Sacred Light ภัยแห่งลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.27 น.
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 12.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) แดนต้องห้าม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“แล้วทำไมฉันต้องตามมาด้วยล่ะ ถ้าอยากจะเล่นไร้สาระก็เล่นไปคนเดียวสิ”
เสียงบ่นของเด็กหนุ่มดังไล่หลังเด็กสาวที่มุ่งหน้าออกจากโรงเรียนอย่างกระตือรือร้น ฝีเท้าและสายตาที่มองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นกำลังบอกเขาว่า เรื่องปวดสมองกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ขณะนั้นยังเหลือเวลาที่เขาสามารถอ่านหนังสือได้อีกเก้าชั่วโมงเต็มๆ ทั้งที่นั่นเป็นช่วงเวลาที่มีค่าแท้ๆ แต่ก็ถูกดึงเข้ามาทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้เสียได้
ลูน่าหันกลับมามองเอเดรียนที่บ่นมาตลอดทาง แล้วพูดขณะที่เดินกลับหลัง
“นายยังคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นอยู่อีกเหรอ ถ้านายฟังสิ่งที่ฉันพูดจนจบ บางทีนายอาจจะเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ได้มากขึ้น แล้วเอามือที่ปิดหูอยู่ลงได้หรือเปล่า นายอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ก็คงเคยได้ยินเรื่องของแดนต้องห้ามมาบ้างสินะ เครเซลบอกฉันว่ามันเป็นสถานที่ในเมืองนี้ที่ไม่มีใครอยากเข้าไปเลย แม้แต่คนที่อาศัยอยู่แถบนั้นก็ไม่อยากล่วงล้ำเข้าไป ฉันเคยคิดว่าพวกแม่มดจะหลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลผู้คน แต่ถ้าเป็นใจกลางย่านชุมชน แต่ไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้ก็ใช้ได้เหมือนกัน และถ้าคิดว่าแม่มดคนนั้นต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ ฉันก็จะ…”
“เป็นฉันจะไม่เข้าไปที่นั่นเด็ดขาด ฉันจะกลับบ้าน ปล่อยแขนฉันนะ” เอเดรียนที่ฟังจุดประสงค์ของลูน่าแล้วก็หันหลังกลับ แต่ก็ถูกมือที่ไวกว่าคว้าแขนเอาไว้ได้ก่อน เขาพยายามสลัดให้หลุด แต่มือที่จับแขนของเขาอยู่ก็ไม่เลื่อนไปเลยสักนิด แล้วยังรู้สึกว่าฝ่ามือของเธอกำแน่นและด้านราวกับผู้ชายที่ใช้แรงงานอย่างหนัก เพื่อนเก่าคนนี้ย้ายไปทำอะไรที่เมืองหลวงกันแน่
“พูดอย่างนี้แสดงว่านายก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันสินะ นายรู้แต่ไม่บอกฉันถือว่ามีความผิดร้ายแรง แต่มันก็ให้อภัยกันได้ถ้านายมีส่วนช่วยในการจับกุมแม่มดที่ซ่อนตัวอยู่ข้างในนั้น ยอมตามมาด้วยกันเถอะน่า” คราวนี้ลูน่าโผเข้าเกาะแขนของเอเดรียน แล้วรัดให้กระชับขึ้น
เธอคงวางแผนทำอะไรสักอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอขาดไปอย่างมากสำหรับแผนการนี้ มันจึงใช้ไม่ได้ผลกับเอเดรียน และการแข็งขืนก็ยิ่งรุนแรงจนลูน่าต้องใช้แรงในการหยุดเขา สุดท้ายเอเดรียนก็ยอมตามเธอไปแต่โดยดี พร้อมกับแขนซ้ายที่มีรอยช้ำเป็นรูปนิ้วและฝ่ามือ ระหว่างทางก็หยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน แต่ไม่มีเนื้อหาบทไหนเลยที่เขาจำได้ในตอนนี้ สมาธิของเอเดรียนจดจ่ออยู่กับเส้นทางข้างหน้า ยังเหลืออีกไกลเท่าไหร่กว่าจะถึงจุดหมายของลูน่า เพื่อที่เขาจะได้หาจังหวะรีบหนีไปทันที
ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นแหล่งกบดานของแม่มดหรอก
“นี่มัน…” หลังจากที่เดินตามมากว่าสามสิบนาที ฝีเท้าของลูน่าก็หยุดลง “อะไรกันเนี่ย!” แล้วร้องเสียงหลง
เอเดรียนเก็บหนังสือใส่กระเป๋าทำท่าจะวิ่งหนี แต่ลูน่าก็ถอยกลับมาจับแขนของเขาเอาไว้แน่น เขาพลาดโอกาสสุดท้ายที่จะหนีไปแล้ว
“ที่นี่แหละ แดนต้องห้ามที่เธออยากจะมา ในเมื่อมาถึงแล้วก็รีบปล่อยฉันสักที ฉันจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ”
“ไม่ได้หรอก… นายจะต้องเข้าไปข้างในกับฉัน… ที่นี่คือโลกต่างมิติเหรอ สถานที่แห่งนี้มีอยู่จริงสินะ” ลูน่ายืนตัวเกร็ง มันคงเร็วเกินไปถ้าจะให้เด็กสาวที่ชินกับสภาพแวดล้อมในเมืองหลวงต้องเจอกับอะไรอย่างนี้
“ที่นี่แหละ แดนต้องห้ามที่เธออยากมา เชิญเข้าไปสำรวจให้พอใจเถอะ ส่วนฉันก็คงต้องขอตัวแค่นี้”
เอเดรียนชี้ไปยังสิ่งปลูกสร้างที่สร้างจากไม้และหิน บุหลังคาด้วยฟางเหมือนบ้านเรือนและร้านค้าทุกแห่งในเมือง ในสถานที่แห่งนั้น ทุกหลังเปิดเป็นร้านค้าทั้งหมด ราวกับถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านค้าเรียงราย แต่สิ่งที่นำมาให้บริการไม่ใช่ความรื่นรมย์ของเมืองไกลปืนเที่ยง ไม่ใช่อาหารอร่อยหลากรส หรือของใช้กับของที่ระลึกที่เลือกสรรมาให้ลูกค้า
แต่เป็นมนุษย์…
หรือเจาะจงลงก็คือ มันเป็นสถานที่ที่ตอบสนองความปรารถนาในตัวมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอเลยล่ะ ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อว่ามีที่แบบนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน แต่มันคงเร็วเกินไปที่จะรับรู้เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่สิ เธอไม่ควรรับรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ พวกเรารีบกลับกันเถอะ ถ้าพวกที่โรงเรียนรู้ว่าพวกเรามาที่นี่คงได้เป็นเรื่องใหญ่แน่” เอเดรียนเข้าไปจับมือลูน่า แต่กลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายถูกดึงเข้าไปหาแทน
“ไม่เอาหรอก” ลูน่าเอ่ยขึ้นด้วยสภาพที่สติไม่อยู่กับตัว “ฉันมีหน้าที่ต้องหาพวกแม่มด ถ้าฉันหันหลังให้กับแหล่งกบดานของพวกมัน มันจะเป็นรอยด่างต่อหน้าที่ของฉัน แล้วฉันก็มาถึงที่นี่แล้ว มีแต่จะต้องสำรวจจนทั่วเท่านั้น”
เธอพูดจบแล้วเดินเข้าไปในแดนต้องห้ามแห่งนั้น เรียกว่าเป็นการขยับขาทีละขั้นตอนมากกว่า เธอเหยียบลงกับพื้น กดเท้าเอาไว้แน่น ก่อนจะก้าวเท้าอีกข้างตามลงไป เธอทำอย่างนี้อยู่หลายครั้งจนเอเดรียนเริ่มชื่นชมในตัวเธอ เพราะเธอเพิ่งทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่หลายคนยังไม่กล้าทำเป็นผลสำเร็จ แต่เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวตอนที่ร่างกายของเขาถูกแรงดึงให้ขยับตามเข้าไปด้วย เมื่อเธอทำแบบนั้น เอเดรียนก็จะถูกดึงเข้าไปข้างในนั้นด้วย จะออกแรงฝืนตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
ในที่สุด ทั้งสองก็ก้าวผ่านเส้นแบ่งระหว่างศีลธรรมเข้าสู่แหล่งอโคจรเต็มตัว
ถึงจะเรียกอย่างนั้น แต่สิ่งที่รออยู่ในแดนต้องห้ามก็ไม่ใช่ถิ่นของอันธพาลหรือมาเฟียคุมถิ่นแต่อย่างใด เป็นแค่ร้านเหล้าและสถานเริงรมย์ที่เปิดเรียงกันเป็นตึกแถว ไม่มีการข่มขู่รีดทรัพย์หรือล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นกับเด็กมัธยมปลายสองคนที่เดินไปตามทาง มีเพียงสายตาที่เฝ้ามองอย่างเอ็นดูจากเจ้าของถิ่น โดยเฉพาะเมื่อเห็นมือของทั้งสองจับกันแน่น สิ่งที่เหล่าผู้เฝ้ามองคิดตามประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง เอเดรียนที่เหลียวมองตลอดทางพอจะเดาได้ไม่ยาก
“ให้ตายสิ ทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาจัดการอย่างจริงจังสักที แต่ไม่เป็นไร ฉันจะไปรายงานให้ทางลัทธิส่งคนมาเก็บกวาดให้เรียบไปเลย” ส่วนลูน่า ถึงจะเดินต่อไปได้โดยไม่มีปัญหา แต่เธอก็เก็บซ่อนความตื่นกลัวเอาไว้ได้ไม่หมด และเธอก็พูดถึงลัทธิอะไรนั่นอีกแล้ว คิดว่าคงเกี่ยวข้องกับตัวหนีบผมรูปกางเขนที่เธอเก็บรักษาอย่างทะนุถนอม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ฉันพูดตามจริงเลยนะ พวกเรากลับกันเถอะ ไม่ต้องแสดงให้เห็นแล้วก็ได้ ฉันเชื่อเธอแล้วว่าเธอเอาจริง แต่ช่วยบอกได้ไหมว่าทำไมเธอถึงต้องยึดติดกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงขนาดนั้นด้วย แล้วถ้าเธอเจอพวกแม่มดแล้วจะทำยังไงต่อ รวมกลุ่มที่มีแต่แม่มดแล้วเข้าไปเป็นเพื่อนในกลุ่มนั้นเหรอ” เอเดรียนเอ่ยหลายคำถาม ไม่มีคำตอบกลับมาสักอย่างเดียว แต่มือของลูน่ากำมือของเขาแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ ฝีเท้าก็เร็วขึ้นจนเอเดรียนเริ่มเดินตามไม่ทัน
“ไม่ใช่ธุระอะไรของนาย” ลูน่ากระแทกเสียงใส่เขา “เป็นเพื่อนกับแม่มด… ไม่มีทางที่ฉันจะญาติดีกับพวกมันเด็ดขาด ฉันบอกไปตั้งแต่ที่ย้ายมาวันแรกแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าฉันเจอพวกมัน…” แต่ก่อนที่ลูน่าจะพูดจบ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ฝีเท้าของเธอหยุดชะงัก เอเดรียนที่เร่งฝีเท้าตามจึงชนเธอเข้าอย่างจัง แต่ร่างกายของเด็กสาวกลับไม่มีการสะทกสะท้านใดๆ
“…นี่มันน่าแปลกมาก” ความสนใจของลูน่าถูกเบนไปยังร้านหนึ่งคูหาที่พวกเธอกำลังจะเดินผ่านไป ต่างจากร้านขายความสุขอย่างผิดกฎหมายที่ผ่านมาทั้งหมด ร้านค้าที่อยู่ตรงหน้าไม่มีพนักงานต้อนรับเรือนร่างเย้ายวน มีเพียงชั้นวางที่ยื่นออกมายังถนนที่จัดวางสินค้าธรรมดาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา “ทำไมแดนต้องห้ามที่เป็นแหล่งมั่วสุมของอบายมุขถึงมีร้านขายยาตั้งอยู่ได้ล่ะ หรือว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งในอบายมุขในแดนต้องห้ามเหมือนกัน”
เอเดรียนที่เพิ่งจะรู้สึกตัวก็เผลอคิดตาม มันแปลกอย่างที่เธอว่าจริงๆ ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือของลูน่าคลายออก เป็นโอกาสให้เอเดรียนคลายความเจ็บปวดที่มือ แล้วเดินเข้าไปในร้านต้องสงสัยแห่งนั้น นอกจากขวดยาที่ตั้งอยู่บนชั้นข้างนอกร้าน ข้างในร้านยังเต็มไปด้วยขวดยาในจำนวนที่ยากหากจะนับจำนวนที่แน่นอน สีสันของยาข้างในขวดแก้วใสก็เป็นสีที่ตรงตามข้อบังคับของสภานักปรุงยาในเมืองหลวง ส่วนฉลากที่ติดข้างขวดยาก็ระบุส่วนผสมและสรรพคุณเอาไว้อย่างชัดเจน
“ยาแก้ไข้ ยาบรรเทาปวด ยาทาแผลฟกช้ำ มีแต่ยาสามัญทั้งนั้นเลย ทำไมร้านนี้ถึงตั้งอยู่ในแดนต้องห้ามล่ะ”
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง แต่ดูราคาของมันสิ ร้านนี้ขายถูกกว่าร้านขายยาข้างนอกเยอะเลยนะ ถ้าฉันซื้อมันไว้สักโหลก็คงจะดีเหมือนกัน” เอเดรียนพูดขณะก้มลงมองป้ายบอกราคา มันถูกจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นราคาที่ตั้งเพื่อดึงดูดลูกค้า อย่าว่าแต่จะให้มีคนซื้อเลย ขืนตั้งเอาไว้เท่านี้ก็รังแต่จะขาดทุนเสียเปล่าๆ
แล้วเขาก็ได้กลิ่นหอมดอกไม้อยู่ใกล้ๆ ก่อนหน้านั้นหนึ่งจังหวะ เขาได้ยินเสียงจุกไม้ถูกเปิด
“อย่างนี้นี่เอง ไม่ใช่แค่เป็นยาสามัญ แต่กลิ่นก็เป็นมิตรเหมือนกันนะ” ลูน่าเพ่งมองน้ำยาในขวดแก้วที่ถูกเปิด แล้วลองดื่มมันรวดเดียวหมด “แถมรสชาติก็หวานอย่างกับไม่ใช่ยาด้วยนะ เหมือนกับน้ำหวานที่ไม่มีสรรพคุณอะไรเลย นายก็ลองดูสิ”
“เธอจะบ้าเรอะ!” เอเดรียนตรงเข้าไปเขกศีรษะของลูน่า แต่เธอก็หลบพ้น “นี่มันของซื้อขายนะ เธอถือวิสาสะดื่มทั้งที่ยังไม่ได้จ่ายเงิน ฉันพูดอยู่ก็อย่าดื่มเพิ่มอีกขวดสิ” แล้วตวาดใส่เธอที่ดื่มยาอีกหนึ่งขวดที่ปิดฉลากว่า ยาบำรุงกำลัง โดยไม่สำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปก่อนหน้านี้
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงเจ้าของร้านก็คงเข้าใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้แน่” ลูน่าเอาปลายนิ้วแตะตัวหนีบผมของตัวเอง “หรือว่ามันจะเป็นอย่างนี้ ร้านนี้ขายยาในราคาถูกจนไม่น่าเชื่อ มันเป็นหน้าฉากเพื่อให้มีลูกค้าเข้ามาซื้อ แต่ความจริงก็คือ ยาพวกนี้เป็นสิ่งที่พวกแม่มดปรุงขึ้น แล้วบรรจุพลังเวทใส่ลงไปในน้ำยา คนที่ซื้อไปดื่มก็จะได้รับพิษจากยาแล้วตายลงอย่างช้าๆ ต้องใช่แน่ๆ เพราะไม่มียาแก้ไข้หรือยาชูกำลังที่มีกลิ่นหอมแล้วก็หวานอย่างนี้หรอก”
เมื่อพูดจบ ลูน่าก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในร้าน แล้วตะโกนเสียงดังใสแจ๋วว่า
“ข้ารู้แผนการของเจ้าหมดแล้ว ความคิดของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจหลุดรอดสายตาและสมองอันปราดเปรื่องของข้าไปได้ เท่านี้ช่วงเวลสแห่งความสนุกของเจ้าก็หมดลงแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าเผยโฉมหน้าออกมา ไม่อย่างนั้น ข้าคงต้องยาทั้งหมดเป็นของกลาง แล้วแบ่งเอาไว้สำหรับข้าครึ่งหนึ่ง” ลูน่าเปล่งเสียงพร้อมกับน้ำลายที่ไหลเป็นสาย
“ฉันไม่รู้เรื่องด้วยแล้ว เชิญเล่นไปคนเดียวเถอะ” เอเดรียนที่หมดความอดทนแล้วหันหลังกลับ เขาไม่สนใจว่าจะตกเป็นเป้าสนใจของคนอื่นขณะที่กลับออกไปข้างนอกแดนต้องห้าม ไม่สนอีกแล้วว่าเอลรี่หรือคนอื่นๆ จะมองเขาอย่างไรเมื่อเจอหน้ากันอีกครั้ง แต่สิ่งที่แย่กว่าสำหรับเขาก็คือ การอยู่กับคนเสียสติต่ออีกสักวินาที และผลการเรียนที่จะแย่ลงไปอีกในภาคเรียนนี้
แต่เมื่อเขาเดินออกไปก้าวแรก กลับมีคนที่ยืนขวางอยู่ข้างหลัง เธอคนนั้นตัวเล็กกว่าเอเดรียนมาก และสวมผ้ากันเปื้อนเหมือนพนักงานในร้าน “ตัดสินใจหรือยังคะว่าจะซื้อยาอะไร หรือถ้าซื้อยาไปให้ผู้ป่วย กรุณาเล่าอาการของผู้ป่วยคนนั้นให้ฟังด้วยค่ะ” แล้วปิ้มรอยยิ้มพูดกับเขาอย่างสดใส โดยไม่ติดใจเรื่องที่ลูน่ากำลังเสียมารยาทอยู่ในร้านที่น่าจะเป็นของเธออยู่เลย
และเมื่อลูน่าหันมาเห็นเธอ
“คุณเป็นลูกสาวเจ้าของร้านนี้เหรอคะ” ลูน่าปรับเป็นเสียงอ่อนหวาน ทั้งที่เมื่อครู่นี้เพิ่งจะใช้คำโบราณตะโกนอยู่เลย
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านนี้หลังเลิกเรียน ว่าแต่ต้องขอโทษถ้าเข้าใจผิด คุณลูกค้าสองคนเป็นแฟนกันหรือเปล่าคะ” พนักงานสาวที่อายุน้อยกว่าทั้งสองคนถามเสียงใส เอเดรียนตอบรับคำถามโดยตั้งท่าปฏิเสธ แต่ว่าลูน่าไม่ได้มีท่าทางอย่างนั้นเลย เธอปล่อยลมหายใจอย่างสงบนิ่ง แล้วตอบกลับไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“แฟนคืออะไรคะ” เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย “ใช่คำแสลงของวัยรุ่นสมัยนี้หรือเปล่า”
“พูดอะไรของเธอน่ะ/คะ”
เอเดรียนกับพนักงานสาวหันมองกันด้วยสีหน้างุนงง ภาวนาว่าคำพูดที่ได้ยินจะไม่เป็นความจริง แต่ใบหน้าขณะที่เอ่ยคำถามย้อนไม่ได้มีเสี้ยวของการพูดเล่นแม้แต่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามันจะเป็นการพูดจริง ตอนนั้นเอง เอเดรียนก็นึกถึงเรื่องที่ไม่สำคัญขึ้นมาได้หนึ่งเรื่อง ระหว่างที่สบตากับพนักงานสาวที่รู้สึกเหมือนเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน
“เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด เธอคือคนที่ฉันเจอในห้องสมุด คนที่อ่านหนังสือปรุงยายากๆ นั่นใช่ไหม” เขาชี้นิ้วไปยังพนักงานสาว ซึ่งก็ถูกปัดทิ้งอย่างไม่พอใจ
“ใช่ค่ะ ฉันจำคุณลูกค้าผู้ชายกับสีผมของคุณลูกค้าผู้หญิงได้ ฉันเรียนอยู่ม.4 โรงเรียนเดียวกันค่ะ” แล้วเธอก็หยิบตราโรงเรียนเดียวกับเอเดรียนขึ้นแสดง ชื่อที่เขียนอยู่ตรงรายชื่อผู้ถือครองคือ มาริน่า “เมื่อตอนพักเที่ยง รุ่นพี่ผู้ชายถามอะไรแปลกๆ เรื่องการปรุงยา ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ แต่เรื่องที่ถามเป็นเรื่องที่ได้เรียนในวิชาปรุงยาขั้นต้นทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่รุ่นพี่ผู้ชายลุกไปก่อน ไม่อย่างนั้น ฉันคงได้ทบทวนความรู้สมัยมัธยมต้นให้รุ่นพี่แล้วแท้ๆ น่าเสียดายเหมือนกันนะคะ”
“ก็ตอนนั้น… ช่างมันก่อนแล้วกัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอถามหน่อย ผลการเรียนตอนมัธยมต้นของเธอได้เท่าไหร่ เฉพาะวิชาปรุงยาอย่างเดียวก็พอ ถ้าเธอได้เกรดสูงกว่าฉัน ฉันจะยอมรับว่าฉันเรียนแย่กว่าเธอก็ได้” เอเดรียนพูดยืดอกโดยมีเกรด B วิชาปรุงยาซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในชั้นเรียนที่จะได้เป็นประกัน
มาริน่าเผยยิ้มที่มุมปาก
“A” คำตอบถูกเอ่ยสั้นๆ แต่มีพลังทำลายมากกว่าที่เห็น “ผลการเรียนสะสมในภาคเรียนสุดท้าย วิชาปรุงยาของฉันได้เกรด A แล้วก็เป็น A ในคะแนนสูงสุด 100 คะแนนเต็มตลอดการเรียนด้วยนะคะ อาจารย์ที่สอนยังบอกว่าให้ฉันสอบเทียบในวิชาชีพเฉพาะนักปรุงยา แต่ถ้าจะสอบเทียบก็ต้องเข้าเรียนมัธยมปลายก่อน และฉันก็ยังไม่อยากเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงได้พูดอย่างนั้นในตอนนั้นค่ะ” แล้วเธอก็ยิ้มแก้มปริให้เห็นอีกครั้ง
รอยยิ้มที่เห็นนั้นทำให้เอเดรียนสลดลงในพริบตา แต่มันทำให้ลูน่าก็นึกบางอย่างขึ้นได้ สองอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด แต่เจ้าตัวก็อุตส่าห์เชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกันจนได้
“อย่างนี้นี่เอง ก็ถึงได้นึกว่าตอนที่กลับมาที่ห้อง เอเดรียนดูเศร้าผิดปกติ ก็เพราะเจอกับเธอนั่นเอง” ลูน่าพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย แต่วินาทีถัดมา เสียงของเธอก็ดังและกระด้างขึ้น สายตาและท่าทางการยืนก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง “หรือว่าเธอจะเป็นแม่มด!” คำพูดนั้นทำให้เอเดรียนเผลอพ่นลมหายใจทางปาก มีละอองน้ำลายหลุดออกมาเล็กน้อย แต่มาริน่าถึงกับเผลอทำขวดยาตกแตก กลิ่นจากน้ำยาที่นองอยู่เต็มพื้นฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งร้าน เป็นกลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้
“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ พวกแม่มดมีพลังทำให้คนที่มีความสุขต้องจมอยู่กับความทุกข์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ถึงจะยังระบุไม่ได้อย่างชัดเจน แต่ตัวหนีบผมของฉันฟ้องว่าเธอมีพลังนั้นอยู่ เธอคือแม่มดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
“กำลังพูดถึงอะไรอยู่เหรอคะ” มาริน่าถามอย่างสงสัย แต่คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงเข้าไปใกล้ดวงตาสีฟ้าของลูน่า
“ตามมาข้างนอกกับฉัน เธอรู้ว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร จริงไหมเจ้าแม่มด” แล้วลูน่าก็ผลักมาริน่าออกไปด้วยแรงมหาศาล มาริน่าล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ต่อหน้าสายตาของคนอื่นที่กระจายตัวอยู่ในแดนต้องห้ามในเวลาห้าโมงเย็น
“เดี๋ยวก่อนสิ เธอกำลังจะทำอะไรรุ่นน้องน่ะ” เอเดรียนรีบวิ่งเข้าไปห้าม แต่ว่า…
“คนไม่เกี่ยวอย่าสอดปาก!” นั่นเป็นคำพูดของลูน่า ท่าทางของเธอน่ากลัวที่สุดเท่าที่เอเดรียนเคยได้เห็นจนเขาไม่อยากเชื่อว่าเธอคือเด็กสาวที่ย้ายมาจากเมืองหลวง เธอคนนั้นที่กล่าวทักทายเพื่อนร่วมห้องอย่างสดใสในวันเปิดภาคเรียนวันแรก และเพื่อนสมัยเด็กที่เขาจำได้เพียงสีผม ราวกับภาพของอันธพาลขาใหญ่ที่ใช้กำลังรีดไถทรัพย์สินของผู้อื่น มันน่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีก
ไม่มีคำอธิบายสำหรับสิ่งนี้ นอกเสียจากผู้ใหญ่ยังไม่กล้าเข้าใกล้เธอ อารมณ์แปรปรวนของเธอคาดเดาไม่ได้จริงๆ
และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เอเดรียนมองเห็นดวงตาของลูน่าเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และมีน้ำตาไหลลงมา
“มีความสุขดีหรือเปล่า รู้ไหมว่าข้าใช้เวลาตามหาเจ้ามานานเท่าไหร่ ตั้งแต่วันนั้นที่พวกเจ้าฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ในหัวใจของข้า ผลักดันให้ข้าต้องก้าวเดินบนเส้นทางนี้ วันนี้เป็นคราวของเจ้าบ้างแล้ว ตามมาที่โบสถ์ด้วยกันกับข้า แล้วข้าจะทำพิธีชำระบาปให้กับเจ้า แล้วไม่ต้องขัดขืนหรือต่อรองให้เสียเวลา เพราะข้าไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น”
“รุ่นพี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร คือว่ามันเจ็บนะคะ ช่วยปล่อยมือก่อน ฉันหายใจไม่ออกค่ะ”
มาริน่าร้องเสียงอ่อนขณะที่ถูกลูน่าคว้าคอเสื้อ แล้วจับยกขึ้นจากพื้นด้วยแรงทั้งหมดที่มีอยู่ เอเดรียนมีความคิดที่จะเข้าไปหยุดเธอ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ดีไม่ดีจะถูกทำร้ายไปด้วยอีกคนหนึ่ง โดยเฉพาะท่าทางของเธอในตอนนี้เหมือนกับคนที่โกรธจัดจนแยกแยะไม่ออกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร ไม่ต้องพูดถึงการเจรจาให้ปล่อยมือเลย
แต่ถ้าขนาดผู้ใหญ่ที่เข้ามาแยกพวกเธอยังถูกเตะกระเด็น ก็ไม่ต้องพูดถึงตัวเขาเองแล้ว
“ถึงขนาดนี้ยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคำถามของข้าหน่อยสิ เธอปรุงยาอะไรได้บ้าง” ลูน่าคลายมือเล็กน้อยเพื่อให้มาริน่าหายใจได้บ้าง โดยที่สายตาตั้งขวางราวกับกำลังจับผิดอยู่ตลอดเวลา แต่เสียงแรกที่ออกมาก็คือ เสียงสำลักน้ำลายของตัวเอง
“ถามฉันจริงเหรอคะ” มือของลูน่ากำแน่นขึ้นอีกครั้ง ทำให้มาริน่าหายใจไม่สะดวก “ฉันปรุงยาสามัญประเภทยาลดไข้ ยาทาแก้ฟกช้ำทั่วไป แล้วก็ยาฆ่าเชื้อชนิดแอลกอฮอล์ได้ ทั้งหมดนั้นวางอยู่บนชั้นในร้านส่วนหนึ่งค่ะ แล้วก็ยาที่ปรุงยากขึ้นอย่างยาชูกำลัง กับยาถอนพิษขั้นต้น ฉันปรุงยาได้ประมาณนี้ค่ะ”
“ถ้าทำได้แค่นั้น เธอไม่มีทางได้ร้อยคะแนนเต็มในวิชาปรุงยาหรอกจริงไหม” ลูน่าพูดเสียงเครียด แล้วเค้นคำตอบต่อ
“นอกจากนั้นก็ยังมียาเพิ่มเลือด ยาเพิ่มสมรรถนะร่างกาย บางครั้งก็มีคนแกล้งให้ฉันลองปรุงยาเสน่ห์ แต่ยาอย่างนั้นจะไปมีอยู่จริงได้ยังไง แล้วถ้าใช้ของอย่างนั้นเข้าหาคนอื่นก็เป็นได้แค่คนขี้ขลาด ฉันก็เลยปรุงยาพิษขั้นต้นให้ดื่ม หลังจากที่ดื่มแล้วก็ร้องขอให้ฉันปรุงยาถอนพิษให้ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครขอให้ฉันปรุงยาอะไรให้อีกเลยค่ะ นี่คือทั้งหมดแล้วจริงๆ”
“อย่างนั้นเอง ในเมื่อทำได้ขนาดนั้น นั่นคือทั้งหมดของเจ้าแล้วสินะ” ลูน่าหัวเราะในลำคอก่อนจะปล่อยมือ เอเดรียนรีบเข้าไปดูอาการของมาริน่าในทันที ใบหน้าของมาริน่าเริ่มซีดจากอาการขาดเลือด เสียงลมหายใจของเธอสั่นและเร็วมาก ถ้าลูน่าปล่อยเธอช้ากว่านี้สักนิดคงเป็นอันตรายแน่ แต่เจ้าตัวไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย กลับจะมองลงมาอย่างสมเพชด้วยซ้ำ “นั่นถือว่าเล็กน้อยมากสำหรับสิ่งที่พวกเจ้าทำเอาไว้กับข้า ความจริงข้าก็อยากกำจัดเจ้าไปเสียตรงนี้เลย แต่ข้ามีความคิดที่ดีกว่านั้น และเป็นทางเลือกให้เจ้าตัดสินใจ เลือกมาซะสิ จะให้ข้ากำจัดเจ้าลงตรงนี้ หรือว่าจะแสดงตัวอย่างกล้าหาญ แล้วตามไปกับข้าที่โบสถ์”
เอเดรียนเพิ่งสังเกตว่าตัวหนีบผมรูปกางเขนสีทองหายไปแล้ว ลูน่ากำมันเอาไว้ในมือ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอถนอมมันเป็นสิ่งสำคัญ แต่ตอนนี้เธอกำมันแน่นจนส่วนที่เป็นมุมแทบจะฝังลงไปในมือ สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาที่กลับมาเป็นสีฟ้าคือ ความโกรธแค้นที่ไม่รู้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอะไร แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว และลูน่าก็กำลังจะเอามันไปลงกับมาริน่าที่อยู่ตรงหน้านี้
“ฉัน…” มาริน่าตอบเสียงเบา “ไม่ไปหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ก็บอกลาชีวิตของเจ้าลงตรงนี้แหละ”
ลูน่าเงื้อหมัดที่กำกางเขนสีทองไปข้างหลัง เตรียมจะชกใส่รุ่นน้องผู้หญิงสุดแรง มาริน่ายกแขนข้างหนึ่งขึ้นรับ แต่ในขณะเดียวกัน มืออีกข้างก็มุดลงไปใต้ผ้ากันเปื้อนของร้านขายยาไปหยิบเอาขวดยาจากกระเป๋าคาดเอวที่เธอสวมอยู่ตลอดเวลาขึ้นมา แล้วสาดของเหลวข้างในใส่ลูน่าจนเปียกชุ่ม ยาในขวดนั้นไม่มีกลิ่น แต่มีสีม่วงและเหนียวจนน่าสงสัย ลูน่าที่ถูกสาดน้ำยาใส่เต็มหน้าใช้มือทั้งสองเช็ดมันออก ในตอนนั้นดูเหมือนว่าอารมณ์ของเธอจะเริ่มกลับมาคงที่
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แววตาและความรู้สึกที่คลั่งแค้นก็กลายเป็นความว่างเปล่า ราวกับสิ่งที่เธอทั้งพูดและกระทำไปไม่นานนี้เป็นเพียงการหยอกล้อระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง เพียงแต่รุนแรงเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง กำปั้นที่ตั้งใจจะใช้ทำร้ายมาริน่าวางแนบข้างลำตัว แววตาก็สลดลงไป อย่างกับกำลังสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปเมื่อสักครู่
“…ฉันขอโทษ ยกโทษให้รุ่นพี่ที่ทำตัวไม่สมกับเป็นรุ่นพี่อย่างฉันด้วยเถอะนะ ฉันก็แค่อยากจะทำความรู้จักกันเธอบ้าง แต่ว่าฉันเพิ่งจะย้ายมาจากเมืองหลวง แล้วก็ยังไม่รู้ว่าคนในเมืองที่ห่างไกลอย่างนี้มีนิสัยใจคอเป็นยังไง แต่ว่า ฉันอยากรู้จักกับเธอจริงๆ นะ เธอคงจะไม่ยกโทษให้ฉันใช่ไหม เพราะว่าฉันทำเรื่องที่เกินเลยกับเธอไปแล้ว แล้วก็ทุกคนที่ห้ามฉันด้วย ฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายใครเลย แต่กว่าจะรู้สึกตัว ฉันก็ทำเรื่องที่เลวร้ายลงไปซะแล้ว ฉัน… ขอโทษจริงๆ นะคะ”
ลูน่าเอ่ยคำขอโทษพร้อมกับโค้งศีรษะอย่างนอบน้อมที่สุด ถึงจะไม่ทำให้อาการบาดเจ็บที่ได้รับบรรเทาลง แต่มันก็พอช่วยเธอได้ในระดับหนึ่ง มันก็มีบางคนที่ยังโกรธในการกระทำของเธออยู่ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเอาความกับเธอ สุดท้ายแล้ว ลูน่ากับเอเดรียนก็เดินออกจากแดนต้องห้าม แล้วมีความคิดที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ต่อให้มีเรื่องจำเป็นสักเท่าไหร่ก็ตาม
เอเดรียนที่เป็นฝ่ายเดินตามหลังมาตลอดทางเร่งฝีเท้าเข้าประชิดตัวลูน่าที่เดินเหมือนกับคนไร้ความรู้สึก เขามีสิ่งที่อยากจะพูดกับเธอหลายเรื่อง ทั้งการเล่นตามล่าแม่มดที่ควรจะจบลงสักที และการขอโทษที่ควรจะทำมากกว่าคำพูด แต่ภาพของเด็กสาวที่เล่นงานผู้ใหญ่หลายคนให้หมดสภาพทำให้เขายังไม่พร้อมที่จะพูด เขาจึงทำได้เพียงตบฝ่ามือลงที่ไหล่ของเธอ แววตาที่เหม่อลอยก็กลับมามีชีวิตจิตใจอีกครั้ง ร่างกายของลูน่ากระตุกวูบไปทั้งตัว ก่อนที่จะหันมองไปรอบตัวอย่างรีบร้อน ท่าทางราวกับภาพสุดท้ายที่เธอเห็นไม่ใช่ตรงนี้
“เจ้าแม่มด… แม่มดนั่นอยู่ที่ไหน แล้วฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” เธอตะโกนอย่างร้อนรน ก่อนจะกระโจนคว้าคอเสื้อของเอเดรียนแล้วสะบัดเต็มแรงจนแทบขาด เธออาจทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากคว้าคอเสื้อผู้อื่นแล้วก็ได้ “เอเดรียน นายยังปลอดภัยใช่ไหม ไม่ได้โดนแม่มดนั่นเอายาอะไรให้ดื่มใช่ไหม ดีแล้วที่นายยังปลอดภัย”
เธอพูดอย่างโล่งอก แต่เอเดรียนก็ผลักลูน่าไปข้างหลังสุดแรง แล้วก็ไม่มีการขยับเช่นทุกครั้ง
“พอได้แล้ว เมื่อกี้เธอเพิ่งจะขอโทษที่ทำเรื่องไม่เข้าท่ากับมาริน่าแล้วก็คนที่อยู่ที่นั่นอยู่เลยไม่ใช่เหรอ เกิดบ้าอะไรขึ้นอีกล่ะ ถ้าเธอยังไม่หยุดพูดถึงแม่มดแล้วกลับไปทำร้ายรุ่นน้องคนนั้นอีก คราวนี้ฉันจะบอกให้คุณเอลด้าไล่เธอออกไปจริงๆ แน่ แต่ตอนนี้คุณเอลด้าไม่อยู่บ้าน… ถ้าอย่างนั้นก็บอกคุณเอลรี่ก็ได้ ทำไมเธอถึงเที่ยวสงสัยคนอื่นว่าเป็นแม่มดไปทั่วเลยนะ”
“มันเป็นแม่มดจริงๆ” ลูน่ากัดฟันด้วยความเครียด “เมื่อกี้นี้ ฉันก็คิดจะหยุดหมัดเอาไว้อยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าแม่มดนั่นก็สาดน้ำยาอะไรก็ไม่รู้ใส่หน้าฉัน แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนกับมีใครมากระซิบข้างหูว่าให้ฉันหลับตาลง พอรู้สึกตัวอีกทีก็เดินมาด้วยกันกับนายตรงนี้ เข้าใจแล้วใช่ไหม มันเป็นการกระทำของแม่มด แล้วมันยังกล้าทำเรื่องอย่างนี้กับฉัน กับคนของลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์”
“ไม่เข้าใจมาตรฐานการล้อเล่นของเธอจริงๆ นะ” เอเดรียนถอนหายใจ
“ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ยังพอมีโอกาส เจ้าแม่มดนั่นจะต้องชดใช้ในสิ่งที่มันทำ” ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร ลูน่าก็วิ่งผ่านเอเดรียนกลับไปที่ร้านขายยาสามัญอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าของเธอเร็วมากจนเอเดรียนไล่ตามไม่ทัน มันเร็วยิ่งกว่านักวิ่งที่ได้รางวัลเหรียญทองในงานกีฬาระดับอาณาจักรที่เอเดรียนเคยเข้าไปดูสมัยประถมเสียอีก แต่เมื่อลูน่ากลับไปถึงร้านขายยาที่มาริน่าทำงานพิเศษอยู่ คนแรกและคนเดียวที่เธอเจอในร้านแห่งนั้นกลับเป็นชายวัยกลางคนที่กำลังทำความสะอาดหน้าร้านอยู่
“แม่มด… มาริน่าอยู่หรือเปล่าคะ” ลูน่าตรงเข้าไปถามชายคนนั้น ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร
“มาริน่า เด็กที่ทำงานพิเศษในร้านของฉันเหรอ” แล้วเขาก็ชี้เข้าไปยังจุดคิดเงินข้างในร้าน มีผ้ากันเปื้อนที่เลอะฝุ่นวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ “กลับไปแล้วล่ะ พวกเธอเป็นเพื่อนของเด็กคนนั้นเหรอ” ได้ยินดังนั้น ลูน่าก็เกร็งคิ้วแน่น เอเดรียนได้ยินเสียงขบฟันที่ดังจนน่าขนลุก ท่าทางเธอจะโมโหกับคำตอบที่ได้รับ แต่ก็ยังมีสติมากพอที่จะไม่กระโจนเข้าไปทำร้ายเขา
“แม่มด… มาริน่ากลับไปแล้วเหรอคะ” ลูน่าถามด้วยเสียงที่พยายามข่มให้เรียบที่สุด
“เพิ่งจะกลับไปเมื่อกี้นี้เอง พอดีว่าเธอเอายาไปส่งที่กระท่อมแถบชานเมือง คุณยายที่อาศัยอยู่ที่นั่นตัวคนเดียวลุกเดินไปไหนไม่สะดวก แล้วมันก็ไกลจากที่นี่มาก ฉันเลยอนุญาตให้เธอกลับบ้านหลังจากที่ไปส่งยาเสร็จแล้วได้เลย แต่ว่าเด็กคนนั้นก็มีความรู้เกี่ยวกับยาเยอะมาก เผลอๆ จะมากกว่าฉันอีกนะ ขนาดฉันที่เรียนจบวิชาชีพนักปรุงยายังแปลกใจเลยล่ะ”
“กระท่อมกลางป่าหลังนั้นสินะ มิน่าล่ะ คุณยายถึงได้พูดอย่างนั้น…” เอเดรียนนึกย้อนไปเมื่อวันเปิดภาคเรียนวันแรก ช่วงพลบค่ำวันนั้น เขากับลูน่าไปทำเรื่องเสียมารยาทที่กระท่อมที่มีหญิงชราอาศัยอยู่ตามลำพัง ก่อนที่พวกเขาจะกลับ หญิงชราบอกว่าจะมีอีกคนหนึ่งมาที่กระท่อมของเธอ อีกคนหนึ่งนั้นก็คงจะเป็นมาริน่าที่เอายาไปส่ง
“พวกเธอเองก็รีบกลับบ้านก่อนจะมืดเถอะ ที่นี่ตอนกลางคืนน่ากลัวมากนะ”
เอเดรียนรีบรับคำแล้วจูงมือลูน่ากลับ มันก็ไม่ใช่ว่าจะมีสัตว์ประหลาดออกมาเดินเพ่นพ่านหรอก แต่แดนต้องห้ามที่ขึ้นชื่อในเรื่องอย่างว่าด้วยแล้ว มันคงไม่ดีนักที่นักเรียนมัธยมปลายสองคนจะมาอยู่ในที่แบบนี้หลังพระอาทิตย์ตกดิน และขณะนี้ พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นจนเดิน่านร้านค้าความสุขร้านแล้วร้านเล่าจนพนักงานเฝ้าหน้าร้านยังไม่ทันที่จะทักพวกเขาเหมือนตอนขามา สักพักก็ใกล้จะออกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว
เอเดรียนหันกลับไปคุยกับลูน่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“หลังจากนี้ เธอก็จะกลับไปที่บ้านของฉันใช่ไหม อย่าเล่าเรื่องที่พวกเรามาที่นี่ให้ใครรู้เชียวนะ ต่อให้คุณเอลรี่จะถามว่าทำไมพวกเราถึงกลับช้า ให้เธอบอกไปว่าเพราะผลการเรียนของฉันไม่ดี พวกเราก็เลยไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดกลาง หรือถ้าถูกถามว่าทำไมถึงไม่ใช้ห้องสมุดโรงเรียนก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันจะเป็นคนตอบเอง เข้าใจหรือเปล่า”
ลูน่าไม่ตอบโต้ แต่พยักหน้าเป็นการตอบรับ แล้วเดินตามเอเดรียนต่อไปอย่างว่าง่าย แต่จังหวะที่อีกหนึ่งก้าวก็จะพ้นจากสถานที่อโคจรแห่งนี้ เอเดรียนกลับหยุดเดินอยู่แค่นั้น สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้าเหมือนกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น และรู้สึกถึงความตื่นกลัวเล็กน้อย เธอมองตามไปก็เห็นคนจำนวนหนึ่งมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ ลำพังแค่นั้นไม่น่าจะทำให้เขาออกอาการได้ถึงขนาดนั้น แล้วเขาก็พูดต่อ
“…ลูน่า ฉันคิดว่าพวกเราไปหาทางออกอื่นดีกว่า ตรงนี้ไม่น่าจะดี”
แต่ว่าตอนนั้นเอง
“พวกเธอสองคนเข้าไปอะไรข้างในนั้นเหรอ” เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูตั้งแต่สมัยเด็กดังขึ้นจากด้านหลัง กำลังเรียกเอเดรียนที่หันกลับเข้าไปในแดนต้องห้ามอยู่ ลูน่าที่ยังมองไปข้างหน้าเห็นผู้ที่กำลังเรียกพวกเธอได้ชัดเจน เธอคนนั้นไว้ผมสีดำปรกไหล่ มีรูปร่างอวบที่ยังไม่ถึงกับมีเนื้อหนังส่วนเกิน ส่วนสูงก็น่าจะเตี้ยกว่าเธอเล็กน้อย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอเพิ่งรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นเมื่อวันอังคารก่อนนี้เอง
ลูน่าผ่อนสายตาลง เธอเดินต่อไปข้างหน้าจนผ่านหลังผู้หญิงคนนั้นไป เหลือเอเดรียนที่หันหลังให้เธออยู่ข้างหลังเส้นแบ่งแดนต้องห้ามอยู่เพียงคนเดียว คำถามเดินถูกเอ่ยขึ้นกับเขาอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากเอเดรียน เพราะในหัวของเขากลายเป็นสีดำสนิท จนผ่านไปหลายนาที เอเดรียนก็รวบรวมความกล้าหันกลับมาเรียกชื่อของเธอ ขณะที่แสงอาทิตย์จางลงไปมากแล้ว
“คุณเอลรี่”
“ฉันเห็นว่าเลิกเรียนแล้ว แต่พวกเธอยังไม่ลงมาจากอาคารเรียนก็เลยไปถามเพื่อนร่วมชั้นของเธอ พวกนั้นบอกว่าพวกเธอออกจากโรงเรียนทันทีที่จบคาบเรียนสุดท้าย แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเธออยู่ที่ไหน จนได้รู้จากเพื่อนคนที่คุยเก่งๆ ของเธอว่าพวกเธอมาอยู่ที่นี่ แต่ตอนที่ตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีหรือเปล่า พวกเธอก็ออกมากันก่อน…”
“ใครกันที่ปากสว่างขนาดนั้น ช่างเถอะ ฉันพอจะรู้อยู่แล้วว่าใคร” คนแรกที่เอเดรียนนึกขึ้นได้มีผิวคล้ำ มัดผมหางม้า และมักจะทักทายคนอื่นอย่างสดใสตลอดเวลา และเป็นคนเดียวที่ยังเข้าหาลูน่าอย่างเป็นมิตร ขณะที่คนอื่นเริ่มเว้นระยะห่างจากเธอทีละนิด “คือว่า ถ้าต้องคุยเรื่องนี้ ผมคิดว่าต้องใช้เวลาทั้งคืนแน่ครับ คุณเอลรี่ต้องเตรียมสอบวิชาชีพเฉพาะช่วงปลายปีนี้ด้วย เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง…”
“ไม่เป็นไรนานแค่ไหนก็ฟังได้อยู่แล้ว และตอนนี้ก็มืดแล้วด้วย กลับบ้านกันเถอะ”
เอลรี่พูดด้วยเสียงอ่อนหวาน แต่นิ้วมือยกขึ้นไปจิกหูให้เอเดรียนเดินตามไป ภาพของทั้งคู่กลายเป็นที่ขบขันสำหรับคนที่ได้เห็น และในจำนวนนั้นยังมีคนที่อยู่ในแดนต้องห้ามตอนที่เกิดเรื่องระหว่างลูน่ากับมาริน่าอีกด้วย เอเดรียนจึงได้แต่ปิดหน้าปิดตาจนกว่าพวกเขาจะหลุดพ้นจากตรงนั้นเสียที จนกว่าจะกลับไปถึงบ้านก็ค่ำ
กว่าที่เอเดรียนจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เข้าใจได้ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
แต่ในคืนนั้น ลูน่าไม่ได้กลับไปที่บ้าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ