Sacred Light ภัยแห่งลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์
-
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.27 น.
9 ตอน
0 วิจารณ์
11.29K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 12.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) สาวน้อยจากเมืองหลวง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ วันเริ่มปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นจากคำพูดประโยคนี้
“เอ้าๆ รีบกลับไปนั่งที่ได้แล้ว ใครช้าจะให้วิ่งรอบสนามเพิ่มห้ารอบในคาบพละ ไม่ได้พูดเล่นนะ”
ไม่มีการทักทายช่วงเช้า ไม่มีอรุณสวัสดิ์ใดๆ ทั้งนั้น ทันทีที่เสียงกริ่งแรกของภาคเรียนใหม่ดังขึ้น ประตูหน้าห้องถูกเปิดอย่างรุนแรง แล้วเสียงรองเท้าผ้าใบย่ำบนพื้นกระเบื้องก็ดังขึ้นถัดจากนั้น เมื่อเห็นใบหน้าอันบึ้งตึงของอาจารย์ประจำชั้น… หรือน่าจะเป็นอาจารย์ประจำชั้น นักเรียนที่พูดคุยแลกเปลี่ยนความทรงจำในช่วงวันหยุดก็รีบกลับไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง แล้วนักเรียนทั้งสามสิบคนก็กล่าวสวัสดีอาจารย์อย่างพร้อมเพรียงกัน
“เหยาะแหยะมาก หยุดเรียนไปนานร่างกายเลยฝ่อหมดแล้วเหรอ หรือเอาแต่เล่นสนุกจนนอนดึกเลยไม่มีแรง เวลาพูดก็หัดพูดให้ดังกว่านี้หน่อย” เสียงอันเด็ดขาดของอาจารย์ประจำชั้นดังขึ้น แต่ไม่มีนักเรียนคนใดทำตาม กลับมีคนแอบหัวเราะด้วยซ้ำ เพราะพวกเขารู้ว่าจะเกิดอะไรต่อ สังเกตจากสายตาที่ลำบากใจของอาจารย์
“…ก็อะไรประมาณนี้มั้ง ไม่ได้เจอกันตั้งสามเดือนคงมีคิดถึงกันบ้างสินะ ถ้าใครคิดถึงอาจารย์ก็ขอให้ยกมือขึ้น…… ไม่มีเลยเหรอ น่าเศร้าเหลือเกินนะ ถ้าอย่างนั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เราไม่ได้เจอกันตั้งสามเดือน ใครเป็นใครก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ฉันอยากให้พวกเธอออกมาแนะนำตัวให้ฟังเสียงดังฟังชัดทีละคน แล้วก็บอกด้วยว่าปิดภาคเรียนไปทำอะไรกันมาบ้าง เริ่มจากเธอก่อนเลย เครเซล”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเล็กๆ เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังเมื่อไม่มีใครยกมือตามที่ถูกเรียก แต่แล้วเสียงนั้นก็กลายเป็นการกลั้นหายใจเฮือกใหญ่ของนักเรียนทั้งห้อง นักเรียนหญิงที่ถูกเรียกชื่อทำสีหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเองกับเพื่อนร่วมห้องที่รู้จักกันดีตั้งแต่ปีก่อน เรียงตามลำดับไปทีละคน
“ไม่อยากเปิดเทอมเลย เลื่อนไปอีกสักปีได้ไหม ขอให้ร่างกายกับจิตใจได้พักสักหน่อยเถอะ…”
นักเรียนชายที่นั่งอยู่เกือบท้ายห้องบ่นกับตัวเองระหว่างที่เพื่อนกำลังแนะนำตัวอยู่ ก่อนจะปล่อยหาวออกมาหนึ่งครั้ง แต่เดิมก็ไม่ชอบวันเปิดภาคเรียนอยู่แล้ว ยิ่งต้องแบกสังขารมาเรียนหลังจากที่เพิ่งช่วยเก็บกวาดครั้งใหญ่หลังงานเทศกาลจบลงเมื่อห้าชั่วโมงก่อน เมื่อกี้ก็เพิ่งหลับกลางอากาศระหว่างพิธีปฐมนิเทศ
มันไม่เข้าท่าสักนิดที่เด็กม.5 ยังต้องเข้าร่วมพิธีด้วย แต่เมื่อนึกถึงนักเรียนหญิงม.6 ที่เข้านอนหลังจากเขา แต่ก็ยังตื่นมาปลุกเขาที่ยังนอนเซาอยู่บนที่นอน มันทำให้เขาไม่กล้าคิดอะไรอีกเลย
จนกระทั่งผ่านมาถึงคิวของเขา
“…แนะนำตัวได้ดี ต่อไปก็เป็นเอเดรียนสินะ รีบลุกมาได้แล้ว ถ้ายังง่วงนอนก็ค่อยมาเรียนพรุ่งนี้ดีไหม”
อาจารย์เรียกชื่อของเอเดรียนที่กำลังเหม่อลอย เสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมห้องปลุกเขาขึ้นมาจากความคิด เอเดรียนจึงรีบเดินไปหน้าห้องแล้วเริ่มแนะนำตัว แต่เสียงแรกที่ออกมากลับเป็นการหาวที่ยาวนานจนเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าเดิม หลังจากที่พูดชื่อกับสิ่งที่ได้ทำในช่วงปิดภาคเรียนจนจบ เขาก็โค้งศีรษะพอเป็นมารยาทแล้วรีบเดินกลับไปที่โต๊ะเรียน โดยครั้งนี้ตั้งใจว่าจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แล้วจะไม่เงยขึ้นมาอีกจนกว่าชั่วโมงโฮมรูมก่อนเริ่มเรียนจะจบลง
ผ่านไปหลายนาที นักเรียนคนสุดท้ายก็แนะนำตัวเสร็จ แล้วก็ไม่มีใครเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่พวกเขาต้องลุกขึ้นไปพูดเลยสักคนเดียว
“เป็นการแนะนำตัวที่ดี ทำได้ดีมาก คราวนี้พวกเธอคงอยากรู้สินะว่าทำไมฉันถึงให้พวกเธอแนะนำตัวกัน พวกเธอก็รู้จักกันมาตั้งหนึ่งปีแล้วใช่ไหม ความจริงฉันก็จำพวกเธอได้ครบทุกคนนั่นแหละ โดยเฉพาะเธอ… ปีนี้ผลการเรียนของเธอจะทำประวัติศาสตร์ใหม่อีกไหม” อาจารย์พูดได้ตรงประเด็นมาก นั่นเป็นคำถามในใจของนักเรียนทุกคนในตอนนี้ แต่คำพูดหลังจากนั้นที่มุ่งเป้ามายังเอเดรียนทำให้เขาอายม้วน อาจารย์ประจำชั้นเดินออกไปที่ประตูหน้าห้อง เขากวักมือสองครั้งก่อนจะเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินกลับไปยืนประจำที่โดยมีอีกคนหนึ่งเดินตามมาด้วย
“เหตุผลทั้งหมดก็เพราะ เด็กคนนี้ยังไงเล่า”
เอเดรียนที่ได้ยินคำพูดนั้นเงยหน้าขึ้นมา ก่อนที่ห้วงความคิดจะถูกสะกดพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ
คนที่ยืนอยู่กับอาจารย์ประจำชั้นร่างกำยำก็คือ เด็กสาวที่มีใบหน้างดงาม เป็นสิ่งที่ไม่มีทางพบได้เลยในเมืองแห่งนี้ แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นของเธอยิ่งกว่านั้นก็คือ เส้นผมที่ทอประกายเป็นสีเงินเรียบสวย ดวงตาสีฟ้า และตัวหนีบผมรูปกางเขนสีทองที่เข้ากับเธอได้อย่างน่าอัศจรรย์
สิ่งที่เห็นทำให้เพื่อนผู้ชายส่งเสียงร้อง “โอ้!” แล้วเพื่อนผู้หญิงก็เปล่งเสียง “โห!” ตามมาทีหลัง นั่นคือชุดที่ดูมีระดับ ชายกระโปรงยาวคลุมเข่าแหวกด้านข้างจากเอว สวมทับกางเกงจักรยานสีดำ เป็นเครื่องแต่งกายที่หรูหราต่างจากพวกเขาที่สวมเสื้อผ้าสามัญชนโดยสิ้นเชิง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เด็กคนนี้จะเข้ามาเรียนกับพวกเธอ หวังว่าพวกเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีกับนักเรียนใหม่คนนี้ได้ ไหนเธอลองแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ของเธอหน่อยสิ” อยากเอาเสียงทุ้มๆ ของอาจารย์ออกไปให้เหลือแต่นักเรียนคนนั้นเหลือเกิน นั่นไม่ใช่ความคิด มีนักเรียนคนหนึ่งพูดอย่างนั้นจริงๆ เด็กสาวผมเงินยิ้มรับอย่างสดใส เป็นรอยยิ้มที่เปล่งประกายจนหลอมสีหน้าไม่ชอบใจของอาจารย์ประจำชั้นให้กลายเป็นเครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่งของเธอไปเลย แล้วเธอก็กล่าวทักทายกับเพื่อนทุกคนว่า
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลูน่า ลูเทอร์ร่า เพิ่งย้ายมาจากเมืองหลวงเมื่อวานนี้เองค่ะ ฉันได้ฟังทุกคนแนะนำตัวเมื่อครู่นี้แล้วค่ะ ทุกคนใช้ช่วงเวลาปิดภาคเรียนได้น่าสนุกจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่รังเกียจในตัวฉันที่ย้ายมาจากเมืองหลวง ช่วยแนะนำเมืองที่น่าสนุกนี้ให้ฉันได้รู้จักด้วยนะคะ หลังจากนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัว โปรดรับฉันเป็นหนึ่งในเพื่อนของทุกคนด้วยนะคะ” แล้วเธอก็โค้งคำนับ
ลูน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ประกอบกับการวางตัวอันสง่างามแต่ไม่ลืมที่จะเหลือช่องว่างให้ผู้อื่นเข้าแทรกได้ เพิ่มเสน่ห์ให้เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ หลงใหลในตัวเธอได้อย่างไม่อยากเย็น ยกเว้นเอเดรียนที่ยังคงมองเธออย่างเหม่อลอย ไม่ใช่ว่าเขาหลงในใบหน้าอันงดงามของเธอ แต่ว่าเป็นเส้นผมที่เปล่งประกายเป็นสีเงิน เขาจำได้ว่าเคยเห็นมันมาก่อน โทนสีใกล้เคียงกันเลย แต่กลับจำไม่ได้แล้วว่าเคยเห็นที่ไหน เขาเหม่อไปไกลจนไม่ได้ยินเสียงปรบมือให้กับเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่
นั่นเป็นการแนะนำตัวที่ไม่มีที่ติ เพียงแค่นั้นก็ดึงดูดทุกความสนใจมาที่เธอได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าลูน่ายังมีสิ่งที่ต้องการพูดอยู่อีก ใบหน้ายิ้มแย้มจบลงตรงนั้น เมื่อเธอสูดหายใจเข้าไปใหม่ เสน่ห์ของเด็กสาวจากเมืองหลวงก็หายไปแทบทั้งหมด
“ถึงอย่างนั้น มีอยู่พวกหนึ่งที่ฉันจะไม่เป็นเพื่อนด้วยเด็ดขาดค่ะ” น้ำเสียงของลูน่าแข็งขึ้น “ทุกคนคงกำลังสงสัยว่าฉันย้ายมาเรียนที่นี่ทำไมใช่ไหมคะ เหตุผลก็เพราะฉันได้ยินมาว่ากำลังจะมีแม่มดเข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ในปีนี้ ฉันยังไม่รู้ว่าแม่มดคนนั้นเรียนอยู่ห้องไหน หรือแม้แต่จะเข้าศึกษาที่โรงเรียนนี้จริงหรือเปล่า ถ้าใครทราบเบาะแสของแม่มด หรือคนที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแม่มดก็ช่วยบอกฉันด้วย หลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ในส่วนของฉันเอง แค่นี้ล่ะค่ะ”
คำพูดหยาบกระด้าง หางเสียงแทบไม่มีเลย กระทั่งสีหน้าและการวางตัวก็ต่างจากเมื่อครู่นี้เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที บรรยากาศที่เริ่มไม่เข้าท่าทำให้เสียงของเพื่อนร่วมห้องค่อยๆ เบาลง จนสุดท้ายก็เงียบสนิท
“อาจารย์คะ ไม่ทราบว่าโต๊ะเรียนของฉันอยู่ตรงไหนเหรอคะ” ลูน่าเอ่ยถามอย่างสุภาพดังเดิม แต่ก็ช้าเกินไปแล้ว
“อ่ะ… เอ่อ ข้างหลังเอเดรียนตรงนั้นมีโต๊ะเรียนว่างอยู่ เธอไปนั่งตรงนั้นก็แล้วกันนะ” อาจารย์ชี้ไปยังโต๊ะเรียนที่เจ้าของเก่าลาออกไปแล้ว ลูน่าคลายท่าทางที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดลง แล้วกล่าวขอบคุณอย่างน่ารัก ก่อนจะเดินไปนั่งตรงโต๊ะเรียนข้างหลังเอเดรียนด้วยท่าทางสุขุม โดยไม่สนใจเลยว่าสายตาที่ทุกคนมองเธอเปลี่ยนไปจากตอนแรกแล้ว
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น วันนี้ก็คงหมดแค่นี้แหละ ถ้าพวกเธอจะกลับบ้านทันทีก็ไม่ว่าอะไร หรือถ้าจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ก็อย่าให้รบกวนรุ่นพี่ที่กำลังเรียนอยู่ล่ะ ฉันไม่อยากให้เป็นเรื่องตั้งแต่ที่เปิดภาคเรียนวันแรกนะ”
แล้วอาจารย์ก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งความเงียบให้นักเรียนรับผิดชอบกันเอง
“เอ้าๆ รีบกลับไปนั่งที่ได้แล้ว ใครช้าจะให้วิ่งรอบสนามเพิ่มห้ารอบในคาบพละ ไม่ได้พูดเล่นนะ”
ไม่มีการทักทายช่วงเช้า ไม่มีอรุณสวัสดิ์ใดๆ ทั้งนั้น ทันทีที่เสียงกริ่งแรกของภาคเรียนใหม่ดังขึ้น ประตูหน้าห้องถูกเปิดอย่างรุนแรง แล้วเสียงรองเท้าผ้าใบย่ำบนพื้นกระเบื้องก็ดังขึ้นถัดจากนั้น เมื่อเห็นใบหน้าอันบึ้งตึงของอาจารย์ประจำชั้น… หรือน่าจะเป็นอาจารย์ประจำชั้น นักเรียนที่พูดคุยแลกเปลี่ยนความทรงจำในช่วงวันหยุดก็รีบกลับไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง แล้วนักเรียนทั้งสามสิบคนก็กล่าวสวัสดีอาจารย์อย่างพร้อมเพรียงกัน
“เหยาะแหยะมาก หยุดเรียนไปนานร่างกายเลยฝ่อหมดแล้วเหรอ หรือเอาแต่เล่นสนุกจนนอนดึกเลยไม่มีแรง เวลาพูดก็หัดพูดให้ดังกว่านี้หน่อย” เสียงอันเด็ดขาดของอาจารย์ประจำชั้นดังขึ้น แต่ไม่มีนักเรียนคนใดทำตาม กลับมีคนแอบหัวเราะด้วยซ้ำ เพราะพวกเขารู้ว่าจะเกิดอะไรต่อ สังเกตจากสายตาที่ลำบากใจของอาจารย์
“…ก็อะไรประมาณนี้มั้ง ไม่ได้เจอกันตั้งสามเดือนคงมีคิดถึงกันบ้างสินะ ถ้าใครคิดถึงอาจารย์ก็ขอให้ยกมือขึ้น…… ไม่มีเลยเหรอ น่าเศร้าเหลือเกินนะ ถ้าอย่างนั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เราไม่ได้เจอกันตั้งสามเดือน ใครเป็นใครก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ฉันอยากให้พวกเธอออกมาแนะนำตัวให้ฟังเสียงดังฟังชัดทีละคน แล้วก็บอกด้วยว่าปิดภาคเรียนไปทำอะไรกันมาบ้าง เริ่มจากเธอก่อนเลย เครเซล”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเล็กๆ เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังเมื่อไม่มีใครยกมือตามที่ถูกเรียก แต่แล้วเสียงนั้นก็กลายเป็นการกลั้นหายใจเฮือกใหญ่ของนักเรียนทั้งห้อง นักเรียนหญิงที่ถูกเรียกชื่อทำสีหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเองกับเพื่อนร่วมห้องที่รู้จักกันดีตั้งแต่ปีก่อน เรียงตามลำดับไปทีละคน
“ไม่อยากเปิดเทอมเลย เลื่อนไปอีกสักปีได้ไหม ขอให้ร่างกายกับจิตใจได้พักสักหน่อยเถอะ…”
นักเรียนชายที่นั่งอยู่เกือบท้ายห้องบ่นกับตัวเองระหว่างที่เพื่อนกำลังแนะนำตัวอยู่ ก่อนจะปล่อยหาวออกมาหนึ่งครั้ง แต่เดิมก็ไม่ชอบวันเปิดภาคเรียนอยู่แล้ว ยิ่งต้องแบกสังขารมาเรียนหลังจากที่เพิ่งช่วยเก็บกวาดครั้งใหญ่หลังงานเทศกาลจบลงเมื่อห้าชั่วโมงก่อน เมื่อกี้ก็เพิ่งหลับกลางอากาศระหว่างพิธีปฐมนิเทศ
มันไม่เข้าท่าสักนิดที่เด็กม.5 ยังต้องเข้าร่วมพิธีด้วย แต่เมื่อนึกถึงนักเรียนหญิงม.6 ที่เข้านอนหลังจากเขา แต่ก็ยังตื่นมาปลุกเขาที่ยังนอนเซาอยู่บนที่นอน มันทำให้เขาไม่กล้าคิดอะไรอีกเลย
จนกระทั่งผ่านมาถึงคิวของเขา
“…แนะนำตัวได้ดี ต่อไปก็เป็นเอเดรียนสินะ รีบลุกมาได้แล้ว ถ้ายังง่วงนอนก็ค่อยมาเรียนพรุ่งนี้ดีไหม”
อาจารย์เรียกชื่อของเอเดรียนที่กำลังเหม่อลอย เสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมห้องปลุกเขาขึ้นมาจากความคิด เอเดรียนจึงรีบเดินไปหน้าห้องแล้วเริ่มแนะนำตัว แต่เสียงแรกที่ออกมากลับเป็นการหาวที่ยาวนานจนเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าเดิม หลังจากที่พูดชื่อกับสิ่งที่ได้ทำในช่วงปิดภาคเรียนจนจบ เขาก็โค้งศีรษะพอเป็นมารยาทแล้วรีบเดินกลับไปที่โต๊ะเรียน โดยครั้งนี้ตั้งใจว่าจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แล้วจะไม่เงยขึ้นมาอีกจนกว่าชั่วโมงโฮมรูมก่อนเริ่มเรียนจะจบลง
ผ่านไปหลายนาที นักเรียนคนสุดท้ายก็แนะนำตัวเสร็จ แล้วก็ไม่มีใครเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่พวกเขาต้องลุกขึ้นไปพูดเลยสักคนเดียว
“เป็นการแนะนำตัวที่ดี ทำได้ดีมาก คราวนี้พวกเธอคงอยากรู้สินะว่าทำไมฉันถึงให้พวกเธอแนะนำตัวกัน พวกเธอก็รู้จักกันมาตั้งหนึ่งปีแล้วใช่ไหม ความจริงฉันก็จำพวกเธอได้ครบทุกคนนั่นแหละ โดยเฉพาะเธอ… ปีนี้ผลการเรียนของเธอจะทำประวัติศาสตร์ใหม่อีกไหม” อาจารย์พูดได้ตรงประเด็นมาก นั่นเป็นคำถามในใจของนักเรียนทุกคนในตอนนี้ แต่คำพูดหลังจากนั้นที่มุ่งเป้ามายังเอเดรียนทำให้เขาอายม้วน อาจารย์ประจำชั้นเดินออกไปที่ประตูหน้าห้อง เขากวักมือสองครั้งก่อนจะเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินกลับไปยืนประจำที่โดยมีอีกคนหนึ่งเดินตามมาด้วย
“เหตุผลทั้งหมดก็เพราะ เด็กคนนี้ยังไงเล่า”
เอเดรียนที่ได้ยินคำพูดนั้นเงยหน้าขึ้นมา ก่อนที่ห้วงความคิดจะถูกสะกดพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ
คนที่ยืนอยู่กับอาจารย์ประจำชั้นร่างกำยำก็คือ เด็กสาวที่มีใบหน้างดงาม เป็นสิ่งที่ไม่มีทางพบได้เลยในเมืองแห่งนี้ แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นของเธอยิ่งกว่านั้นก็คือ เส้นผมที่ทอประกายเป็นสีเงินเรียบสวย ดวงตาสีฟ้า และตัวหนีบผมรูปกางเขนสีทองที่เข้ากับเธอได้อย่างน่าอัศจรรย์
สิ่งที่เห็นทำให้เพื่อนผู้ชายส่งเสียงร้อง “โอ้!” แล้วเพื่อนผู้หญิงก็เปล่งเสียง “โห!” ตามมาทีหลัง นั่นคือชุดที่ดูมีระดับ ชายกระโปรงยาวคลุมเข่าแหวกด้านข้างจากเอว สวมทับกางเกงจักรยานสีดำ เป็นเครื่องแต่งกายที่หรูหราต่างจากพวกเขาที่สวมเสื้อผ้าสามัญชนโดยสิ้นเชิง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เด็กคนนี้จะเข้ามาเรียนกับพวกเธอ หวังว่าพวกเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีกับนักเรียนใหม่คนนี้ได้ ไหนเธอลองแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ของเธอหน่อยสิ” อยากเอาเสียงทุ้มๆ ของอาจารย์ออกไปให้เหลือแต่นักเรียนคนนั้นเหลือเกิน นั่นไม่ใช่ความคิด มีนักเรียนคนหนึ่งพูดอย่างนั้นจริงๆ เด็กสาวผมเงินยิ้มรับอย่างสดใส เป็นรอยยิ้มที่เปล่งประกายจนหลอมสีหน้าไม่ชอบใจของอาจารย์ประจำชั้นให้กลายเป็นเครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่งของเธอไปเลย แล้วเธอก็กล่าวทักทายกับเพื่อนทุกคนว่า
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลูน่า ลูเทอร์ร่า เพิ่งย้ายมาจากเมืองหลวงเมื่อวานนี้เองค่ะ ฉันได้ฟังทุกคนแนะนำตัวเมื่อครู่นี้แล้วค่ะ ทุกคนใช้ช่วงเวลาปิดภาคเรียนได้น่าสนุกจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่รังเกียจในตัวฉันที่ย้ายมาจากเมืองหลวง ช่วยแนะนำเมืองที่น่าสนุกนี้ให้ฉันได้รู้จักด้วยนะคะ หลังจากนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัว โปรดรับฉันเป็นหนึ่งในเพื่อนของทุกคนด้วยนะคะ” แล้วเธอก็โค้งคำนับ
ลูน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ประกอบกับการวางตัวอันสง่างามแต่ไม่ลืมที่จะเหลือช่องว่างให้ผู้อื่นเข้าแทรกได้ เพิ่มเสน่ห์ให้เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ หลงใหลในตัวเธอได้อย่างไม่อยากเย็น ยกเว้นเอเดรียนที่ยังคงมองเธออย่างเหม่อลอย ไม่ใช่ว่าเขาหลงในใบหน้าอันงดงามของเธอ แต่ว่าเป็นเส้นผมที่เปล่งประกายเป็นสีเงิน เขาจำได้ว่าเคยเห็นมันมาก่อน โทนสีใกล้เคียงกันเลย แต่กลับจำไม่ได้แล้วว่าเคยเห็นที่ไหน เขาเหม่อไปไกลจนไม่ได้ยินเสียงปรบมือให้กับเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่
นั่นเป็นการแนะนำตัวที่ไม่มีที่ติ เพียงแค่นั้นก็ดึงดูดทุกความสนใจมาที่เธอได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าลูน่ายังมีสิ่งที่ต้องการพูดอยู่อีก ใบหน้ายิ้มแย้มจบลงตรงนั้น เมื่อเธอสูดหายใจเข้าไปใหม่ เสน่ห์ของเด็กสาวจากเมืองหลวงก็หายไปแทบทั้งหมด
“ถึงอย่างนั้น มีอยู่พวกหนึ่งที่ฉันจะไม่เป็นเพื่อนด้วยเด็ดขาดค่ะ” น้ำเสียงของลูน่าแข็งขึ้น “ทุกคนคงกำลังสงสัยว่าฉันย้ายมาเรียนที่นี่ทำไมใช่ไหมคะ เหตุผลก็เพราะฉันได้ยินมาว่ากำลังจะมีแม่มดเข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ในปีนี้ ฉันยังไม่รู้ว่าแม่มดคนนั้นเรียนอยู่ห้องไหน หรือแม้แต่จะเข้าศึกษาที่โรงเรียนนี้จริงหรือเปล่า ถ้าใครทราบเบาะแสของแม่มด หรือคนที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแม่มดก็ช่วยบอกฉันด้วย หลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ในส่วนของฉันเอง แค่นี้ล่ะค่ะ”
คำพูดหยาบกระด้าง หางเสียงแทบไม่มีเลย กระทั่งสีหน้าและการวางตัวก็ต่างจากเมื่อครู่นี้เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที บรรยากาศที่เริ่มไม่เข้าท่าทำให้เสียงของเพื่อนร่วมห้องค่อยๆ เบาลง จนสุดท้ายก็เงียบสนิท
“อาจารย์คะ ไม่ทราบว่าโต๊ะเรียนของฉันอยู่ตรงไหนเหรอคะ” ลูน่าเอ่ยถามอย่างสุภาพดังเดิม แต่ก็ช้าเกินไปแล้ว
“อ่ะ… เอ่อ ข้างหลังเอเดรียนตรงนั้นมีโต๊ะเรียนว่างอยู่ เธอไปนั่งตรงนั้นก็แล้วกันนะ” อาจารย์ชี้ไปยังโต๊ะเรียนที่เจ้าของเก่าลาออกไปแล้ว ลูน่าคลายท่าทางที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดลง แล้วกล่าวขอบคุณอย่างน่ารัก ก่อนจะเดินไปนั่งตรงโต๊ะเรียนข้างหลังเอเดรียนด้วยท่าทางสุขุม โดยไม่สนใจเลยว่าสายตาที่ทุกคนมองเธอเปลี่ยนไปจากตอนแรกแล้ว
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น วันนี้ก็คงหมดแค่นี้แหละ ถ้าพวกเธอจะกลับบ้านทันทีก็ไม่ว่าอะไร หรือถ้าจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ก็อย่าให้รบกวนรุ่นพี่ที่กำลังเรียนอยู่ล่ะ ฉันไม่อยากให้เป็นเรื่องตั้งแต่ที่เปิดภาคเรียนวันแรกนะ”
แล้วอาจารย์ก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งความเงียบให้นักเรียนรับผิดชอบกันเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ