ฟิลาเดลเฟียร์
6.0
เขียนโดย RD1412
วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.30 น.
3 บท
0 วิจารณ์
5,083 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559 17.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) หัวหน้าราชองครักษ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหัวหน้าราชองครักษ์
เมื่อคาเรลล่าทิ้งตัวลงบนเตียงหลังการพบปะในท้องพระโรงนั้น เธอนอนไม่หลับทั้งที่รู้สึกอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง หลังจากอาบน้ำอย่างลวกๆ เธอรู้สึกปวดแผลบนแผ่นหลัง เธอเปลี่ยนท่านอนตะแคงเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดบนแผ่นหลังที่ถูกเสื้อผ้ารัดรึง มือเรียวลูบไปบนฟูก รู้สึกแปลกประหลาดที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ก่อนอาบน้ำอีสเรย์มาปลดโซ่ให้ เสียงสะท้อนก้องของลูกกุญแจที่ไปปลดล็อก เสียงตกกระทบพื้นเมื่อมันเลื่อนหลุดจากมือ เธอมองขึ้นไปบนเพดาน หมุนข้อต่อร่างกายและถอนหายใจอย่างเป็นสุข
แต่ช่างรู้สึกแปลกที่ได้นอนบนฟูกอุ่นๆ มีผ้าไหมห่มร่างกายและมีหมอนอยู่ใต้แก้ม เธอลืมไปแล้วว่ารสชาติอาหารอื่นนอกจากข้าวโอ๊ตแฉะๆกับขนมปังแห้งเป็นอย่างไร แม้อาหารเย็นจะไม่ได้วิเศษนัก แต่เธอก็จัดการไก่อบทั้งตัว เธออยากกิน อยากลูบพุงป่อง ๆ และรู้สึกว่าไม่น่ากินมากไป ท้องเธอคงจะปรับตัวได้
ภายใต้ชุดนอนที่เธอยืนกรานว่าจะไม่ยอมใส่ชุดกระโปรงสีหวาน แต่เสื้อแขนกุดตัวใหญ่และกางเกงขาสั้นก็ดูดีกว่าชุดทำงานในเหมืองมาก คาเรลกลิ้งตัวไปบนฟูก ผมสีแดงยาวสยาย มันหอมและไม่มีฝุ่น แต่เธอก็ยังรำคาญใจเมื่อส่องกระจกแล้วเห็นโหนกแก้มที่นูนเป็นสันและดวงตาลึกโหลที่สะท้อนกลับมา เธอจะกิน กินให้มากและออกกำลังกาย เธอจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ขณะที่นึกถึงการเฉลิมฉลองและความรุ่งโรจที่จะได้กลับมา เธอก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
เมื่ออีสเรย์มารับตัวเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาพบว่าเธอนอนอยู่บนพื้น คู้ตัวอยู่กับผ้าห่ม “ซีซานีล” เขาเรียก เธองึมงำซุกหน้าในผ้าห่มลึกกว่าเดิม “ทำไมเจ้าไปนอนบนพื้นเล่า” เธอลืมตาขึ้นแล้วพลิกตัวนอนหงายแหงนหน้ามองเขา “ก็เตียงมันนอนไม่สบาย” เธอตอบง่ายๆ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจและหาว เธอดูเหมือนเด็กเสียจริง ๆ
แสงอาทิตย์ที่บริสุทธิ์ สดชื่น และอบอุ่น แสงอาทิตย์ที่เธอจะได้อาบวันแล้ววันเล่าหากได้รับอิสรภาพ ลำแสงที่ทองลอดผ่านผ้าม่านผืนหนาเข้ามาเป็นเส้นตรง คาเรลล่ายืนมือออกไปช้าๆ มือของเธอซีดขาว และกระดูกข้อนิ้วโปนออกมาอย่างชัดเจน เธอเดินไปที่หน้าต่าง เลื่อนเปิดผ้าม่านออก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีปุยเมฆสีขาวแล้วสูดอากาศสดชื่นยามเช้า
รอยยิ้มปรากฏชัดเจนบนใบหน้า อีสเรย์เลิกคิ้วข้างหนึ่งแต่ไม่พูดอะไร
เธอรู้สึกร่าเริงและอารมณ์ดีเมื่อรับชุดขี่ม้ามาจากคนรับใช้ สวมมันและรวบผมขึ้นสูง เธอชอบเสื้อผ้า ชอบสัมผัสของผ้าไหม กำมะหยี่ แพร หนังกลับ ชีฟอง และตื่นตาตื่นใจกับความประณีตของตะเข็บ ความสมบูรณ์แบบของลายปักซับซ้อนบนผิวผ้า เมื่อเธอชนะการแข่งไร้สาระนี้และเป็นอิสระ เธอจะซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดที่อยากได้
เธอหัวเราะเมื่อเรย์กึ่งลากกึ่งจูงเธอไปอีกห้อง สีหน้าระอาเมื่อเห็นคาเรลล่าชื่นชมตัวเองอยู่หน้ากระจกถึงห้านาที ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณทำให้เธออยากกระโดดโลดเต้นไปตามโถงทางเดินที่ทอดยามไปยังสนามใหญ่ ตรงไปยังกองคาราวานม้าใกล้กำแพงสูง
เสียงม้าร้องดังไปทั่วบริเวณ สุนัขสามตัววิ่งรี่ออกจากกองคาราวานมาทักทาย แต่ละตัวเพรียวเหมือนลูกธนู เธอคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แผลที่หลังเจ็บแปลบเมื่อเธอใช้มือประคองหัวสุนัขและลูบขนที่ราบเรียบของมัน พวกมันเลียนิ้วและหน้าเธอ หางกวัดแกว่งระพื้น
รองเท้าบู๊ตหนังสีดำสนิทคู่หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เหล่าสุนัขพลันสงบนนิ่งและนั่งลง คาเรลล่าเงยหน้ามอง เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มของมกุฎราชกุมารแห่งฟิลาเดลเฟียร์กำลังสำรวจใบหน้าเธออยู่ พระองค์ยิ้มบาง ๆ “ไม่ปกติเลยนะที่พวกมันสนใจคนแปลกหน้า” พระองค์กล่าวพร้อมเกาหูสุนัขตัวหนึ่ง
เธอส่ายหน้าขณะหัวหน้าราชองครักษ์ก้าวเข้ามาด้านหลัง ใกล้เสียจนหัวเข่าครูดกับเสื้อคลุมกำมะหยี่ของเธอ แค่ขยับสองทีเธอก็จะปลดอาวุธของเขาได้
“เจ้าชอบสุนัขรึ” เจ้าชายถาม เธอพยักหน้าแล้วก้มลงยิ้มให้กับสุนัขตัวที่เอาหัวถูกับแขนเธอ “นี่ข้าจะมีบุญได้ยินเสียงของเจ้าบ้างหรือไม่ หรือเจ้าตั้งใจจะเงียบไปตลอดการเดินทาง”
“ข้าเปล่าเงียบ เพียงแต่องครักษ์แสนซื่อสัตว์ของท่านมักจะทำหน้าไม่พอใจทุกครั้งที่ข้าพูดกับท่าน” เจ้าชายหัวเราะ และคาเรลหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่คนด้านหลังที่กระทุ้งเข่าใส่หลังที่มีแผล
เธอขึ้นหลังม้า ลูบมือไปบนขนสั้นเกรียนสีน้ำตาลไหม้ เธอกำลังจะออกไปจากเหมืองแล้วจริง ๆ เธอสูดหายใจเข้าลึก รู้แก่ใจดีว่าถ้าพยายามากพอเธอจะหลบหนีจากกองคาราวานนี้ได้ จนกระทั่งรู้สึกว่ามีเหล็กที่ข้อแขน อีสเรย์นั่นเอง เขาล็อกข้อมือเธอกับโซ่ที่ลากยาวไปถึงม้าของเขาและปลายโซ่หายเข้าไปในกระเป๋าข้างอาน เขาอยู่บนหลังม้าขนเป็นมันสีดำ ส่วนเธอคิดว่าจะกระโดดลงจากม้าและใช้โซ่แขวนคอเขากับต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด เธอยู่หน้าใส่ขณะที่เขาเบือนหน้าไปทางอื่น
คณะเดินทางค่อนข้างใหญ่ รวมแล้วยี่สิบคน ถัดจากม้าขององครักษ์ที่ถือธงอาณาจักร คือเจ้าชายกับดยุกพอริงตัน จากนั้นเป็นม้าของราชองครักษ์หกนาย ที่ดูแข็งทื่อเหมือนตอไม้บนหลังม้า เธอกระแทกโซ่ใส่อานม้าและตวัดตามองอีสเรย์ เขาไม่โต้ตอบอันใด
พระอาทิตย์เริ่มขึ้นสูง หลังตรวจตราเสบียงและข้าวของเป็นรอบสุดท้าย คณะก็ออกเดินทาง เนื่องจากนักโทษส่วนใหญ่ทำงานในเหมือง มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ได้ทำงานอยู่ในเพิงพักโงนเงน สนามอันกว้างขวางจึงแทบจะถูกทิ้งร้าง กำแพงใกล้เข้ามาทุกที เลือดในกายเธอแล่นพล่าน ครั้งสุดท้ายที่เธอได้เข้าใกล้กำแพงนี้เมื่อไหร่กันนะ
เสียงฟาดแส้ดังขึ้น เสียงกรีดร้องตามมาติด ๆ คาเรลล่าหันกลับไป มองผ่านองครักษ์และเกวียนขนเสบียงไปยังสนามที่เกือบจะว่างเปล่า ไม่มีนักโทษคนไหนสามารถหนีพ้นไปจากที่นี่ได้ แม้กระทั่งตายแล้ว แต่ละสัปดาห์ พวกเขาจะขุดหลุมฝันศพใหญ่ใต้เพิงพัก และทุกสัปดาห์ หลุมนั้นเต็มเสมอ
เธอรู้สึกถึงรอยแผลบนหลังขึ้นมาทันที แม้เธอจะได้รับอิสรภาพ แผลพวกนี้จะทิ้งร่องรอยและย้ำเตือนถึงสิ่งที่เธอประสบมาเสมอ และแม้ว่าเธอจะได้รับอิสระ แต่คนอื่นไม่ได้เหมือนเธอ
คาเรลล่ามองตรงไปข้างหน้า สลัดความคิดเหล่านั้นออกไปขณะเดินลอดใต้กำแพง ภายในกำแพงทึบหนาและอับชื้น เสียงฝีเท้าม้าดังก้องสะท้อน ประตูเหล็กเปิดออกยกตัวขึ้นสูง และส่งเสียงดังคำรามเมื่อมันกระแทกตัวปิดอยู่เบื้องหลัง เธอออกมาได้แล้ว
เธอขยับข้อมือที่ถูกล็อก มองโซ่แกว่งไปมาระหว่างตัวเธอและหัวหน้าราชองครักษ์ มันยึดติดอยู่กับอานม้าของเขา ผูกอยู่กับตัวม้า ซึ่งหากหยุดเดินก็จะปลดออกได้ง่าย เพียงแค่กระตุกมือแรงซักหน่อย โซ่จะกระชากอานหลุดจากม้าและเขาจะกลิ้งลงพื้น
เธอรู้สึกว่าหัวหน้าอัลฟอลล์ทมองเธออยู่ เขาจ้องเธอด้วยดวงตาใต้ขนคิ้วต่ำ ริมฝีผากเม้มแน่น เธอยักไหล่และปล่อยโซ่ลง
ช่วงเช้าค่อยๆผ่านพ้นไป ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าจัดและมีเมฆไม่มาก ทั้งคณะใช้เส้นทางตัดผ่านป่า ไม่ช้าก็พ้นจากดินแดนภูเขารกร้าง ออกสู่ชนบทที่ราบเรียบกว่า ช่วงเที่ยงพวกเขาอยู่ในกิฟเฟอร์เนโรว์ฟอเรส ป่าที่ถูกใช้เป็นเครื่องแบ่งกั้นระหว่างดินแดนที่เจริญแล้วทางตะวันออก กับดินแดนที่ยังไม่ถูกบันทึกในแผนที่ทางฝั่งตะวันตก ยังคงมีตำนานเล่าขานถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เคยอาศัยในป่านี้ สัตว์ดุร้ายกระหายเลือดจากอาณาจักรที่ล่มสลาย และต้นไม้ลึกลับ มิซเซิลโทว์ คาเรลล่าเคยเจอสัตว์ร้ายตัวหนึ่งจากดินแดนต้องสาปแห่งนี้ ถึงแม้จะดุร้ายและอันตราย แต่ก็ยังเลือดออกได้เหมือนสัตว์ทั่วไป
หลังจากเงียบไปหลายชั่วโมง คาเรลล่าหันไปหาอีสเรย์ “มีข่าวลือว่าถ้ากษัตริย์ทำสงครามกับเวลด์ลินเสร็จสิ้นแล้วจะเริ่มล่าอาณานิคมทางฝั่งตะวันตก” เธอพูดเปรย ๆ แต่หวังให้เขาตอบรับหรือปฏิเสธ ยิ่งเธอรู้ตำแหน่งหรือกลยุทธ์ของกษัตริย์มากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น หัวหน้าองครักษ์หันมามองเธอ ขมวดคิ้ว แล้วหันไปทางอื่น “ชะตากรรมของที่ราบกว้างขวางว่างเปล่าและภูเขาน่าหดหู่คงดูมืดมัวสำหรับข้าน่าดู”
เขายังคงมองไปด้านหน้า
“ใจคอท่านจะเมินข้าไปตลอดชีวิตเลยหรือไง”
หัวหน้าอัลฟอล์ทเลิกคิ้ว “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าคุยกับใคร”
เธอเบ้ปากแล้วกระตุกโซ่เอาคืน เขาหันมามองเธอสายตาดุ “ท่านอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบสอง”
“นั่นเด็กมากเลย!” เธอกระพริบตาปริบ ๆ และมองเขาราวกับจะรอคำตอบ “เลื่อนยศเร็วภายในไม่กี่ปีเองหรือ”
“แล้วเจ้าละอายุเท่าไหร่”
“สิบเจ็ด” แต่เขาไม่ได้พูดอะไร “จริง ๆ แล้วอีกไม่กี่เดือนข้าก็จะสิบแปด” เธอพูดต่อไป “ข้ารู้ ช่างน่าประทับใจอาการที่ข้าประสบความสำเร็จขนาดนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้”
“อาชญากรรมไม่ใช่ความสำเร็จหรอกนะ ซีซานีล”
“ก็จริง แต่เป็นคนที่โด่งดังไปทั่วน่ะใช่” เขาไม่ได้ตอบอะไร “ท่านอาจจะอยากถามว่าข้าทำได้อย่างไร”
“ทำอะไร”
“ก็เก่งกาจและโด่งดังได้เร็วขนาดนี้ไง”
“ข้าไม่ได้อยากฟังเรื่องพวกนี้”
นี่ไม่ใช่คำพูดที่ธออยากได้ยินเอาเสียเลย “ท่านนี่ใจร้ายจริง ๆ” เธอว่า แกล้งทำหน้าน้อยอกน้อยใจ ถ้าเธอจะยั่วโทสะเขาให้ได้คงต้องทำอะไรมากกว่านี้
“เจ้าเป็นอาชญากร ข้าเป็นหัวหน้าแห่งราชองครักษ์ ข้าไม่มีหน้าที่ต้องหยิบยื่นคววามใจดีหรือสนทนากับเจ้า เจ้าควรจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ไม่ถูกจับขังอยู่ในเกวียน”
“แหม เอาเถอะ ข้าว่าท่านก็คงไม่ใช่คนคุยสนุกเท่าไหร่ ต่อให้หยิบยื่นความใจดีให้คนอื่นก็เถอะ” เมื่อเขาไม่ตอบอะไรเธอก็รู้สึกหัวเสียขึ้นมากทุกที ไม่กี่นาทีผ่านไป “ท่านกับเจ้าชายสนิทกันเหรอ”
“เรื่องส่วนตัวของข้าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า”
เธอจุปาก “ท่านเกิดมาชาติตระกูลดีขนาดนั้นเลยหรือ”
“ก็ดีพอสมควร” เขายกคางขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกต
“ดยุกหรือ”
“ไม่ใช่”
“ลอร์ด” เขาไม่ตอบ และเธอยิ้มช้า ๆ “ลอร์ดอัลฟอล์ท” เธอยกมือขึ้นพัดตัวเอง “สตรีชั้นสูงคงแห่กันมาเอาใจท่านสิท่า”
“อย่าเรียกข้าอย่างนั้น ข้าไม่ได้มีศักดิ์เป็นลอร์ด” เขาพูดเบาๆ
“ท่านมีพี่ชายหรือ”
“เปล่า” เธอเอียงคอ
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่ได้บรรดาศักดิ์นั้นเล่า” อีกครั้งที่เขาไม่ตอบ เธอรู้ดีว่าควรหยุดเซ้าซี้เขาได้แล้ว แต่เธออดใจไม่แหย่เขาไม่ได้ “เรื่องอื้อฉาวรึ หรือถูกลิดรอนสิทธิ์แต่กเนิด หรือท่านไปก่อเรื่องร้ายๆอะไรมา”
เขาเม้มปากแน่นจนเป็นสีขาว
เธอโน้มตัวไปหาเขา “หรือว่า --”
“จะให้ข้ามัดปากเจ้าหรือว่าจะเงียบเองโดยไม่ต้องช่วย” เขาจ้องไปทางมกุฎราชกุมาร สีหน้าเรียบเฉยอีกครั้ง
เธอกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวขณะเธอเริ่มพูดอีกครั้ง “ท่านแต่งงานหรือยัง”
“ยัง” ปีกจมูกเขากางออก
“ท่านอายุเท่าไหร่ตอนได้ตำแหน่งหัวหน้าแห่งราชองครักษ์”
เขาจับบังเหียนแน่นขึ้นอีก “ยี่สิบ”
คณะเดินทางหยุดในที่โล่งและทหารลงจากหลังม้า เธอหันไปหาอีสเรย์ที่กำลังเหวี่ยงขาข้ามหลังม้าลงไป “เราหยุดทำไมหรือ”
อีสเรย์ปลดโซ่ออกจากอานม้าของเขาและกระตุกแรง ๆ เป็นการบอกให้เธอลงมาจากหลังม้าเช่นกัน “มื้อกลางวัน” เขากล่าว พวงแก้มเป็นสีระเรื่อ
สองสัปดาห์ต่อจากนั้น ทั้งคณะยังคงเดินทางเดินทางต่อ กลางคืนอากาศหนาวเย็นขึ้นและช่วงกลางวันสั้นกว่าเดิม ฝนเย็นจัดตกลงมาสี่วันติดต่อกัน ช่วงนั้นคาเรลล่าหนาวมากเสียจนอยากกระโดดลงผาเสียให้รู้แล้วรู้รอด และหวังว่าจะได้ลากอีสเรย์ลงไปกับเธอด้วย
ทุกสิ่งเปียกแฉะและแทบกลายเป็นน้ำแข็ง แม้จะพอทนกับผมเปียกๆของเอได้ แต่นิ้วเท้าในรองเท้าที่มีน้ำเย็นเฉียบขังอยู่แทบไร้ความรู้สึก เธอรู้สึกเหมือนร่างกายค่อยๆเปื่อยไปทีละส่วน ลมหนาวที่พัดมาบาดผิวเสียจนแทบหลุดจากกระดูก
คาเรลล่าครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนหลังม้าตอนที่มกุฎราชกุมารชักม้าออกจากขบวนตรงมาหาเธอ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วตามจังหวะ เสื้อคลุมสีน้ำเงินกระพือเป็นคลื่น พระองค์สวมเสื้อกั๊กสีเข้มขลิบทองทังเชิ้ตขาว เธออยากแค่นเสียงดูถูก แต่พระองค์ดูดีไม่น้อยในบู๊ตสีดำถึงเข่า และเข็มขัดหนังที่ดูเข้ากัน พระองค์เข้ามาทางอีสเรย์ “มานี่สิ” พระองค์บอกหัวหน้าราชองครักษ์ และเอียงศรีษะไปทางเนินเขาลาดชันมีหญ้าปกคลุมที่คณะเดินทางกำลังจะขึ้นไป
“ไปไหนหรือ” หัวหน้าอัลฟอล์ทถาม เขย่าโซ่ล่ามคาเรลให้ดู เธอตอบกลับเพียงชูแขนข้างที่ถูกล่ามขึ้น หาวแล้วซบหน้าลงกับแผงคอของม้า
“ไปดูทิวทัศน์กัน” เอลเรียสชี้แจง “พานางมาด้วยก็ได้”
อีสเรย์พาเธอออกจากขบวนโดยการดึงโซ่อย่างแรง เธอหันมาขมวดคิ้วใส่เขาแต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าจากม้าเมื่อมันเริ่มวิ่งเหยาะ ทั้งสามขี่ม้าขึ้นเนินลาด อาทิตย์อัสดงเผยตัวออกมาจากกลุ่มเมฆหนา และเธอแทบหยุดหายใจเมื่อได้เห็นยอดอาคารที่พุ่งสูงขึ้นเสียดฟ้า จากหนึ่ง เป็นสาม และอีกมากมาย จากยอดเขา คาเรลล่าจ้องมองผลงานความสำเร็จชิ้นยอดของฟิลาเดลเฟียร์ ปราสาทแก้วรีฟโฮล์
เมื่อคาเรลล่าทิ้งตัวลงบนเตียงหลังการพบปะในท้องพระโรงนั้น เธอนอนไม่หลับทั้งที่รู้สึกอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง หลังจากอาบน้ำอย่างลวกๆ เธอรู้สึกปวดแผลบนแผ่นหลัง เธอเปลี่ยนท่านอนตะแคงเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดบนแผ่นหลังที่ถูกเสื้อผ้ารัดรึง มือเรียวลูบไปบนฟูก รู้สึกแปลกประหลาดที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ก่อนอาบน้ำอีสเรย์มาปลดโซ่ให้ เสียงสะท้อนก้องของลูกกุญแจที่ไปปลดล็อก เสียงตกกระทบพื้นเมื่อมันเลื่อนหลุดจากมือ เธอมองขึ้นไปบนเพดาน หมุนข้อต่อร่างกายและถอนหายใจอย่างเป็นสุข
แต่ช่างรู้สึกแปลกที่ได้นอนบนฟูกอุ่นๆ มีผ้าไหมห่มร่างกายและมีหมอนอยู่ใต้แก้ม เธอลืมไปแล้วว่ารสชาติอาหารอื่นนอกจากข้าวโอ๊ตแฉะๆกับขนมปังแห้งเป็นอย่างไร แม้อาหารเย็นจะไม่ได้วิเศษนัก แต่เธอก็จัดการไก่อบทั้งตัว เธออยากกิน อยากลูบพุงป่อง ๆ และรู้สึกว่าไม่น่ากินมากไป ท้องเธอคงจะปรับตัวได้
ภายใต้ชุดนอนที่เธอยืนกรานว่าจะไม่ยอมใส่ชุดกระโปรงสีหวาน แต่เสื้อแขนกุดตัวใหญ่และกางเกงขาสั้นก็ดูดีกว่าชุดทำงานในเหมืองมาก คาเรลกลิ้งตัวไปบนฟูก ผมสีแดงยาวสยาย มันหอมและไม่มีฝุ่น แต่เธอก็ยังรำคาญใจเมื่อส่องกระจกแล้วเห็นโหนกแก้มที่นูนเป็นสันและดวงตาลึกโหลที่สะท้อนกลับมา เธอจะกิน กินให้มากและออกกำลังกาย เธอจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ขณะที่นึกถึงการเฉลิมฉลองและความรุ่งโรจที่จะได้กลับมา เธอก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
เมื่ออีสเรย์มารับตัวเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาพบว่าเธอนอนอยู่บนพื้น คู้ตัวอยู่กับผ้าห่ม “ซีซานีล” เขาเรียก เธองึมงำซุกหน้าในผ้าห่มลึกกว่าเดิม “ทำไมเจ้าไปนอนบนพื้นเล่า” เธอลืมตาขึ้นแล้วพลิกตัวนอนหงายแหงนหน้ามองเขา “ก็เตียงมันนอนไม่สบาย” เธอตอบง่ายๆ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจและหาว เธอดูเหมือนเด็กเสียจริง ๆ
แสงอาทิตย์ที่บริสุทธิ์ สดชื่น และอบอุ่น แสงอาทิตย์ที่เธอจะได้อาบวันแล้ววันเล่าหากได้รับอิสรภาพ ลำแสงที่ทองลอดผ่านผ้าม่านผืนหนาเข้ามาเป็นเส้นตรง คาเรลล่ายืนมือออกไปช้าๆ มือของเธอซีดขาว และกระดูกข้อนิ้วโปนออกมาอย่างชัดเจน เธอเดินไปที่หน้าต่าง เลื่อนเปิดผ้าม่านออก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีปุยเมฆสีขาวแล้วสูดอากาศสดชื่นยามเช้า
รอยยิ้มปรากฏชัดเจนบนใบหน้า อีสเรย์เลิกคิ้วข้างหนึ่งแต่ไม่พูดอะไร
เธอรู้สึกร่าเริงและอารมณ์ดีเมื่อรับชุดขี่ม้ามาจากคนรับใช้ สวมมันและรวบผมขึ้นสูง เธอชอบเสื้อผ้า ชอบสัมผัสของผ้าไหม กำมะหยี่ แพร หนังกลับ ชีฟอง และตื่นตาตื่นใจกับความประณีตของตะเข็บ ความสมบูรณ์แบบของลายปักซับซ้อนบนผิวผ้า เมื่อเธอชนะการแข่งไร้สาระนี้และเป็นอิสระ เธอจะซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดที่อยากได้
เธอหัวเราะเมื่อเรย์กึ่งลากกึ่งจูงเธอไปอีกห้อง สีหน้าระอาเมื่อเห็นคาเรลล่าชื่นชมตัวเองอยู่หน้ากระจกถึงห้านาที ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณทำให้เธออยากกระโดดโลดเต้นไปตามโถงทางเดินที่ทอดยามไปยังสนามใหญ่ ตรงไปยังกองคาราวานม้าใกล้กำแพงสูง
เสียงม้าร้องดังไปทั่วบริเวณ สุนัขสามตัววิ่งรี่ออกจากกองคาราวานมาทักทาย แต่ละตัวเพรียวเหมือนลูกธนู เธอคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แผลที่หลังเจ็บแปลบเมื่อเธอใช้มือประคองหัวสุนัขและลูบขนที่ราบเรียบของมัน พวกมันเลียนิ้วและหน้าเธอ หางกวัดแกว่งระพื้น
รองเท้าบู๊ตหนังสีดำสนิทคู่หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เหล่าสุนัขพลันสงบนนิ่งและนั่งลง คาเรลล่าเงยหน้ามอง เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มของมกุฎราชกุมารแห่งฟิลาเดลเฟียร์กำลังสำรวจใบหน้าเธออยู่ พระองค์ยิ้มบาง ๆ “ไม่ปกติเลยนะที่พวกมันสนใจคนแปลกหน้า” พระองค์กล่าวพร้อมเกาหูสุนัขตัวหนึ่ง
เธอส่ายหน้าขณะหัวหน้าราชองครักษ์ก้าวเข้ามาด้านหลัง ใกล้เสียจนหัวเข่าครูดกับเสื้อคลุมกำมะหยี่ของเธอ แค่ขยับสองทีเธอก็จะปลดอาวุธของเขาได้
“เจ้าชอบสุนัขรึ” เจ้าชายถาม เธอพยักหน้าแล้วก้มลงยิ้มให้กับสุนัขตัวที่เอาหัวถูกับแขนเธอ “นี่ข้าจะมีบุญได้ยินเสียงของเจ้าบ้างหรือไม่ หรือเจ้าตั้งใจจะเงียบไปตลอดการเดินทาง”
“ข้าเปล่าเงียบ เพียงแต่องครักษ์แสนซื่อสัตว์ของท่านมักจะทำหน้าไม่พอใจทุกครั้งที่ข้าพูดกับท่าน” เจ้าชายหัวเราะ และคาเรลหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่คนด้านหลังที่กระทุ้งเข่าใส่หลังที่มีแผล
เธอขึ้นหลังม้า ลูบมือไปบนขนสั้นเกรียนสีน้ำตาลไหม้ เธอกำลังจะออกไปจากเหมืองแล้วจริง ๆ เธอสูดหายใจเข้าลึก รู้แก่ใจดีว่าถ้าพยายามากพอเธอจะหลบหนีจากกองคาราวานนี้ได้ จนกระทั่งรู้สึกว่ามีเหล็กที่ข้อแขน อีสเรย์นั่นเอง เขาล็อกข้อมือเธอกับโซ่ที่ลากยาวไปถึงม้าของเขาและปลายโซ่หายเข้าไปในกระเป๋าข้างอาน เขาอยู่บนหลังม้าขนเป็นมันสีดำ ส่วนเธอคิดว่าจะกระโดดลงจากม้าและใช้โซ่แขวนคอเขากับต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด เธอยู่หน้าใส่ขณะที่เขาเบือนหน้าไปทางอื่น
คณะเดินทางค่อนข้างใหญ่ รวมแล้วยี่สิบคน ถัดจากม้าขององครักษ์ที่ถือธงอาณาจักร คือเจ้าชายกับดยุกพอริงตัน จากนั้นเป็นม้าของราชองครักษ์หกนาย ที่ดูแข็งทื่อเหมือนตอไม้บนหลังม้า เธอกระแทกโซ่ใส่อานม้าและตวัดตามองอีสเรย์ เขาไม่โต้ตอบอันใด
พระอาทิตย์เริ่มขึ้นสูง หลังตรวจตราเสบียงและข้าวของเป็นรอบสุดท้าย คณะก็ออกเดินทาง เนื่องจากนักโทษส่วนใหญ่ทำงานในเหมือง มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ได้ทำงานอยู่ในเพิงพักโงนเงน สนามอันกว้างขวางจึงแทบจะถูกทิ้งร้าง กำแพงใกล้เข้ามาทุกที เลือดในกายเธอแล่นพล่าน ครั้งสุดท้ายที่เธอได้เข้าใกล้กำแพงนี้เมื่อไหร่กันนะ
เสียงฟาดแส้ดังขึ้น เสียงกรีดร้องตามมาติด ๆ คาเรลล่าหันกลับไป มองผ่านองครักษ์และเกวียนขนเสบียงไปยังสนามที่เกือบจะว่างเปล่า ไม่มีนักโทษคนไหนสามารถหนีพ้นไปจากที่นี่ได้ แม้กระทั่งตายแล้ว แต่ละสัปดาห์ พวกเขาจะขุดหลุมฝันศพใหญ่ใต้เพิงพัก และทุกสัปดาห์ หลุมนั้นเต็มเสมอ
เธอรู้สึกถึงรอยแผลบนหลังขึ้นมาทันที แม้เธอจะได้รับอิสรภาพ แผลพวกนี้จะทิ้งร่องรอยและย้ำเตือนถึงสิ่งที่เธอประสบมาเสมอ และแม้ว่าเธอจะได้รับอิสระ แต่คนอื่นไม่ได้เหมือนเธอ
คาเรลล่ามองตรงไปข้างหน้า สลัดความคิดเหล่านั้นออกไปขณะเดินลอดใต้กำแพง ภายในกำแพงทึบหนาและอับชื้น เสียงฝีเท้าม้าดังก้องสะท้อน ประตูเหล็กเปิดออกยกตัวขึ้นสูง และส่งเสียงดังคำรามเมื่อมันกระแทกตัวปิดอยู่เบื้องหลัง เธอออกมาได้แล้ว
เธอขยับข้อมือที่ถูกล็อก มองโซ่แกว่งไปมาระหว่างตัวเธอและหัวหน้าราชองครักษ์ มันยึดติดอยู่กับอานม้าของเขา ผูกอยู่กับตัวม้า ซึ่งหากหยุดเดินก็จะปลดออกได้ง่าย เพียงแค่กระตุกมือแรงซักหน่อย โซ่จะกระชากอานหลุดจากม้าและเขาจะกลิ้งลงพื้น
เธอรู้สึกว่าหัวหน้าอัลฟอลล์ทมองเธออยู่ เขาจ้องเธอด้วยดวงตาใต้ขนคิ้วต่ำ ริมฝีผากเม้มแน่น เธอยักไหล่และปล่อยโซ่ลง
ช่วงเช้าค่อยๆผ่านพ้นไป ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าจัดและมีเมฆไม่มาก ทั้งคณะใช้เส้นทางตัดผ่านป่า ไม่ช้าก็พ้นจากดินแดนภูเขารกร้าง ออกสู่ชนบทที่ราบเรียบกว่า ช่วงเที่ยงพวกเขาอยู่ในกิฟเฟอร์เนโรว์ฟอเรส ป่าที่ถูกใช้เป็นเครื่องแบ่งกั้นระหว่างดินแดนที่เจริญแล้วทางตะวันออก กับดินแดนที่ยังไม่ถูกบันทึกในแผนที่ทางฝั่งตะวันตก ยังคงมีตำนานเล่าขานถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เคยอาศัยในป่านี้ สัตว์ดุร้ายกระหายเลือดจากอาณาจักรที่ล่มสลาย และต้นไม้ลึกลับ มิซเซิลโทว์ คาเรลล่าเคยเจอสัตว์ร้ายตัวหนึ่งจากดินแดนต้องสาปแห่งนี้ ถึงแม้จะดุร้ายและอันตราย แต่ก็ยังเลือดออกได้เหมือนสัตว์ทั่วไป
หลังจากเงียบไปหลายชั่วโมง คาเรลล่าหันไปหาอีสเรย์ “มีข่าวลือว่าถ้ากษัตริย์ทำสงครามกับเวลด์ลินเสร็จสิ้นแล้วจะเริ่มล่าอาณานิคมทางฝั่งตะวันตก” เธอพูดเปรย ๆ แต่หวังให้เขาตอบรับหรือปฏิเสธ ยิ่งเธอรู้ตำแหน่งหรือกลยุทธ์ของกษัตริย์มากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น หัวหน้าองครักษ์หันมามองเธอ ขมวดคิ้ว แล้วหันไปทางอื่น “ชะตากรรมของที่ราบกว้างขวางว่างเปล่าและภูเขาน่าหดหู่คงดูมืดมัวสำหรับข้าน่าดู”
เขายังคงมองไปด้านหน้า
“ใจคอท่านจะเมินข้าไปตลอดชีวิตเลยหรือไง”
หัวหน้าอัลฟอล์ทเลิกคิ้ว “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าคุยกับใคร”
เธอเบ้ปากแล้วกระตุกโซ่เอาคืน เขาหันมามองเธอสายตาดุ “ท่านอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบสอง”
“นั่นเด็กมากเลย!” เธอกระพริบตาปริบ ๆ และมองเขาราวกับจะรอคำตอบ “เลื่อนยศเร็วภายในไม่กี่ปีเองหรือ”
“แล้วเจ้าละอายุเท่าไหร่”
“สิบเจ็ด” แต่เขาไม่ได้พูดอะไร “จริง ๆ แล้วอีกไม่กี่เดือนข้าก็จะสิบแปด” เธอพูดต่อไป “ข้ารู้ ช่างน่าประทับใจอาการที่ข้าประสบความสำเร็จขนาดนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้”
“อาชญากรรมไม่ใช่ความสำเร็จหรอกนะ ซีซานีล”
“ก็จริง แต่เป็นคนที่โด่งดังไปทั่วน่ะใช่” เขาไม่ได้ตอบอะไร “ท่านอาจจะอยากถามว่าข้าทำได้อย่างไร”
“ทำอะไร”
“ก็เก่งกาจและโด่งดังได้เร็วขนาดนี้ไง”
“ข้าไม่ได้อยากฟังเรื่องพวกนี้”
นี่ไม่ใช่คำพูดที่ธออยากได้ยินเอาเสียเลย “ท่านนี่ใจร้ายจริง ๆ” เธอว่า แกล้งทำหน้าน้อยอกน้อยใจ ถ้าเธอจะยั่วโทสะเขาให้ได้คงต้องทำอะไรมากกว่านี้
“เจ้าเป็นอาชญากร ข้าเป็นหัวหน้าแห่งราชองครักษ์ ข้าไม่มีหน้าที่ต้องหยิบยื่นคววามใจดีหรือสนทนากับเจ้า เจ้าควรจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ไม่ถูกจับขังอยู่ในเกวียน”
“แหม เอาเถอะ ข้าว่าท่านก็คงไม่ใช่คนคุยสนุกเท่าไหร่ ต่อให้หยิบยื่นความใจดีให้คนอื่นก็เถอะ” เมื่อเขาไม่ตอบอะไรเธอก็รู้สึกหัวเสียขึ้นมากทุกที ไม่กี่นาทีผ่านไป “ท่านกับเจ้าชายสนิทกันเหรอ”
“เรื่องส่วนตัวของข้าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า”
เธอจุปาก “ท่านเกิดมาชาติตระกูลดีขนาดนั้นเลยหรือ”
“ก็ดีพอสมควร” เขายกคางขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกต
“ดยุกหรือ”
“ไม่ใช่”
“ลอร์ด” เขาไม่ตอบ และเธอยิ้มช้า ๆ “ลอร์ดอัลฟอล์ท” เธอยกมือขึ้นพัดตัวเอง “สตรีชั้นสูงคงแห่กันมาเอาใจท่านสิท่า”
“อย่าเรียกข้าอย่างนั้น ข้าไม่ได้มีศักดิ์เป็นลอร์ด” เขาพูดเบาๆ
“ท่านมีพี่ชายหรือ”
“เปล่า” เธอเอียงคอ
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่ได้บรรดาศักดิ์นั้นเล่า” อีกครั้งที่เขาไม่ตอบ เธอรู้ดีว่าควรหยุดเซ้าซี้เขาได้แล้ว แต่เธออดใจไม่แหย่เขาไม่ได้ “เรื่องอื้อฉาวรึ หรือถูกลิดรอนสิทธิ์แต่กเนิด หรือท่านไปก่อเรื่องร้ายๆอะไรมา”
เขาเม้มปากแน่นจนเป็นสีขาว
เธอโน้มตัวไปหาเขา “หรือว่า --”
“จะให้ข้ามัดปากเจ้าหรือว่าจะเงียบเองโดยไม่ต้องช่วย” เขาจ้องไปทางมกุฎราชกุมาร สีหน้าเรียบเฉยอีกครั้ง
เธอกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวขณะเธอเริ่มพูดอีกครั้ง “ท่านแต่งงานหรือยัง”
“ยัง” ปีกจมูกเขากางออก
“ท่านอายุเท่าไหร่ตอนได้ตำแหน่งหัวหน้าแห่งราชองครักษ์”
เขาจับบังเหียนแน่นขึ้นอีก “ยี่สิบ”
คณะเดินทางหยุดในที่โล่งและทหารลงจากหลังม้า เธอหันไปหาอีสเรย์ที่กำลังเหวี่ยงขาข้ามหลังม้าลงไป “เราหยุดทำไมหรือ”
อีสเรย์ปลดโซ่ออกจากอานม้าของเขาและกระตุกแรง ๆ เป็นการบอกให้เธอลงมาจากหลังม้าเช่นกัน “มื้อกลางวัน” เขากล่าว พวงแก้มเป็นสีระเรื่อ
สองสัปดาห์ต่อจากนั้น ทั้งคณะยังคงเดินทางเดินทางต่อ กลางคืนอากาศหนาวเย็นขึ้นและช่วงกลางวันสั้นกว่าเดิม ฝนเย็นจัดตกลงมาสี่วันติดต่อกัน ช่วงนั้นคาเรลล่าหนาวมากเสียจนอยากกระโดดลงผาเสียให้รู้แล้วรู้รอด และหวังว่าจะได้ลากอีสเรย์ลงไปกับเธอด้วย
ทุกสิ่งเปียกแฉะและแทบกลายเป็นน้ำแข็ง แม้จะพอทนกับผมเปียกๆของเอได้ แต่นิ้วเท้าในรองเท้าที่มีน้ำเย็นเฉียบขังอยู่แทบไร้ความรู้สึก เธอรู้สึกเหมือนร่างกายค่อยๆเปื่อยไปทีละส่วน ลมหนาวที่พัดมาบาดผิวเสียจนแทบหลุดจากกระดูก
คาเรลล่าครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนหลังม้าตอนที่มกุฎราชกุมารชักม้าออกจากขบวนตรงมาหาเธอ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วตามจังหวะ เสื้อคลุมสีน้ำเงินกระพือเป็นคลื่น พระองค์สวมเสื้อกั๊กสีเข้มขลิบทองทังเชิ้ตขาว เธออยากแค่นเสียงดูถูก แต่พระองค์ดูดีไม่น้อยในบู๊ตสีดำถึงเข่า และเข็มขัดหนังที่ดูเข้ากัน พระองค์เข้ามาทางอีสเรย์ “มานี่สิ” พระองค์บอกหัวหน้าราชองครักษ์ และเอียงศรีษะไปทางเนินเขาลาดชันมีหญ้าปกคลุมที่คณะเดินทางกำลังจะขึ้นไป
“ไปไหนหรือ” หัวหน้าอัลฟอล์ทถาม เขย่าโซ่ล่ามคาเรลให้ดู เธอตอบกลับเพียงชูแขนข้างที่ถูกล่ามขึ้น หาวแล้วซบหน้าลงกับแผงคอของม้า
“ไปดูทิวทัศน์กัน” เอลเรียสชี้แจง “พานางมาด้วยก็ได้”
อีสเรย์พาเธอออกจากขบวนโดยการดึงโซ่อย่างแรง เธอหันมาขมวดคิ้วใส่เขาแต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าจากม้าเมื่อมันเริ่มวิ่งเหยาะ ทั้งสามขี่ม้าขึ้นเนินลาด อาทิตย์อัสดงเผยตัวออกมาจากกลุ่มเมฆหนา และเธอแทบหยุดหายใจเมื่อได้เห็นยอดอาคารที่พุ่งสูงขึ้นเสียดฟ้า จากหนึ่ง เป็นสาม และอีกมากมาย จากยอดเขา คาเรลล่าจ้องมองผลงานความสำเร็จชิ้นยอดของฟิลาเดลเฟียร์ ปราสาทแก้วรีฟโฮล์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ