ฟิลาเดลเฟียร์
เขียนโดย RD1412
วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.30 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559 17.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ข้อเสนอ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความข้อเสนอ
“ฝ่าบาท” หัวหน้าราชองครักษ์กล่าว เขาเงยหน้าขึ้นหลังจากก้มคำนับและเปิดฮู้ดออก เผยให้เห็นผมสีดำรัติกาลและดวงตาที่ทอประกาย คาเรลล่ากระพริบตา เขาดูอายุน้อยมาก!
หัวหน้าราชองครักษ์ไม่ใช่คนหล่อจัด แต่เธอก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มและดูเย็นชานั้นมีเสน่ห์ไม่น้อย เธอเอียงคอ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองสกปรกมอมแมมเหลือเกิน
“นี้นางรึ” มกุฎราชกุมารแห่งฟิลาเดลเฟียร์ถาม คาเรลหันกลับมาขณะหัวหน้าราชองครักษ์ตอบรับ ชายทั้งสองจ้องเธอ รอให้โค้งคำนับ เมื่อเธอยังคงนิ่งเฉย อีสเรย์เริ่มขยับเท้า ส่วนเจ้าชายมองหัวหน้าราชองครักษ์ก่อนจะเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
คำนับเขา! ทำไมเธอจะต้องแสดงความเคารพกับคนที่ส่งเธอไปกะเทาะหินกัน เสียงฝีเท้าดังก้องขึ้นด้านหลังและใครบางคนคว้าคอเธอ คาเรลเบิกตาขึ้นก่อนถูกจับโยนลงพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ แก้มของเธอเจ็บแปลบ สายตาพร่าเลือน แขนเจ็บเพราะมือถูกล่ามจนข้อศอกบิด
“วิธีทักทายกษัตริย์ในอนาคตของเจ้าคือแบบนี้รึ” เจ้าของแรงมหาศาลตะคอกใส่คาเรล เธอขู่ฟ่อ กัดฟันแน่นขณะหันไปมองชายสถุนผู้จับเธอกดลงกับพื้น เข้าตัวใหญ่กว่าผู้คุมคนอื่น สวมเครื่องแบบสีแดงส้มสลับดำซึ้งเข้ากันดีกับหนวดสีแสบตาที่ขยับขึ้นลงเมื่อเขาคำรามใส่เธอ หากขยับแขนขวาได้อีกซักนิ้ว เธอจะสามารถเหวียงเขาให้เสียศูนย์และคว้าดาบ โซ่ตรวนกดลึกเข้าไปที่ท้อง
“ข้าไม่เข้าใจนักว่าทำไมท่านต้องบังคับให้คนก้มหัวด้วย” มกุฎราชกุมารกล่าว “ในเมื่อวัตถุประสงค์ของการทำท่านั้นก็เพื่อแสดงความจงรักภักดีและความเคารพ” น้ำเสียงของเจ้าชายเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน คาเรลพยายามเงยหน้ามองขึ้น แต่ก็เห็นเพียงแต่รองเท้าบู๊ตหนังสีดำบนพื้นขาว
“ข้าเห็นแล้วว่าท่านเคารพข้า ดยุกพอริงตัน แต่คงไม่จำเป็นนักที่ต้องพยายามขนาดนี้เพื่อให้คาเรลล่า ซีซานีลเห็นพ้องกับท่าน เราต่างก็ทราบดีว่านางไม่ได้รักครอบครัวข้าเลย บางทีท่านอาจแค่อยู่ชากลบหลู่เกียรตินาง” พระองค์หยุดและมองมาที่เธอ “ท่านได้เจอเสนาบดีฝ่ายคลับแล้วหรือยัง ข้าไม่อยากให้ท่านไปสาย อุตส่าห์เดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อพบเขา”
เมื่อเข้าใจว่าถูกไล่ ผู้ทำร้ายเธอจึงส่งเสียงต่ำในลำคอและยอมปล่อยมือ คาเรลค่อยๆยกหน้าขึ้นจากพื้นหินอ่อนแล้วชันเข่าขึ้น ความเย็นจากพื้นช่วยบรรเทาความเจ็บ หากเธอหลบหนีออกไปได้ เธอจะไล่ล่าดยุกพอริงตันผู้นี้และทักทายคืนอย่างสาสมเลยทีเดียว
เธอค่อยๆลุกขึ้นยืน รวบรวมความทะนง สะบัดผมยาวสีแดงเลือดหมูไปข้างหลังแล้วเชิดหน้าขึ้น เธอสบตากับเจ้าชาย
เอลเรียส เดอ ฟิลาเดลเฟียร์ยิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่ฝึกมาอย่างดี อบอวลไปด้วยเสน่ห์แบบราชนิกุล พระองค์นั่งเอกเขนกบนบัลลังก์ มือเท้าคาง มงกุฎสีเงินส่องประกายบนเรือนผมสีน้ำตาลเฮเซล เสื้อคลุมสีแดงทิ้งชายสง่างามรอบบัลลังก์ ดวงตาสีเข้มที่มองตรงมาช่างทรงเสน่ห์ เจ้าชายองค์นี้รูปงามมากและอายุค่อนข้างน้อย
เจ้าชายต้องไม่หล่อสิ! เจ้าชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซื่อบื้อและขี้แย ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่เขาเป็นทั้งราชนิกุลแถมยังรูปงามอีก!
คาเรลขยับเท้าขณะพระองค์ขมวดคิ้วสำรวจเธอ “ดูเหมือนข้าบอกให้จ้าช่วยทำความสะอาดนาง” พระองกล่าวกับหัวหน้าอัลฟอล์ท ผู้ซึ่งก้าวขึ้นมาข้างหน้า เธอก้มลงมองชุดมอมแมมน่าสังเวชแล้วเม้มปากเป็นเส้นตรง คงสวยอยู่หรอกหากต้องไปกะเทาะหินเช้ายันค่ำทุกวัน
หากมองผ่านๆ คนอาจคิดว่าตาของเธอเป็นสีฟ้า เทาหรืออากจะเขียว ขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าที่สวม ทว่าเมื่อมองใกล้ๆสีประหลาดเหล่านี้จะถูกบดบังด้วยวงแหวนสีทองเป็นประกายที่ล้อมรอบตาดำของเธอ แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือผมยาวสีแดงเข้มที่บางครั้งดูเหมือนมีกองไฟขนาดย่อมปะทุเมื่อเธอโกรธจัด แม้รูปร่างหน้าตาของเธอจะชวนพิศวงเพียงใดแต่เมื่อยืนต่อหน้าเอลเรียส เดอ ฟิลาเดลเฟียร์ เธอเป็นเพียงหนูสกปรกตัวหนึ่งเท่านั้น หน้าเธอร้อนวูบเมื่อหัวหน้าอัลฟอล์ทกล่าว “ข้าไม่อยากให้ท่านรอนาน”
มกุฎราชกุมารส่ายหน้าเมื่อเรย์เอื้อมมือมาจับแขนเธออีกครั้ง “ไม่ต้องตอนนี้ก็ได้ ข้าพอเห็นแววนางแล้ว” เจ้าชายยืดตัวขึ้น ยังคงเพ่งมองคาเรล “คิดว่ายังไม่มีใครแนะนำให้เรารู้จักกัน แต่เจ้าอาจรู้แล้ว ข้าคือเอลเรียส เดอ ฟิลาเดลเฟียร์ มกุฎราชกุมารแห่งฟิลาเดลเฟียร์ ตอนนี้อาจเป็นมกุฎราชกุมารแห่งดินแดนส่วนใหญ่ในดินแดนเอลเดนแล้วก็ได้”
คาเรลไม่สนใจความขมขืนเมื่อได้ยินชื่อนั้น เธออยากกระโจนเข้าไปทำร้ายคนตรงหน้าเสียจริงๆ
“และเจ้า คาเรลล่า ซีซานีล มือสังหารที่เก่งกาจที่สุดแห่งฟิลาเดลเฟียร์ หรืออาจจะที่สุดของเอลเดนเลยก็เป็นได้” พระองค์สำรวจคาเรลที่ยังคงนิ่งเกร็งก่อนจะเลิกคิ้วสีเฮนเซลสวยได้รูป “ดูเจ้าอายุยังน้อยนะ” พระองค์สบตาเธอแล้วส่งยิ้มอีกครั้ง “ข้าเคยได้ยินเรื่องน่าตื่นเต้นของเจ้า คิดว่าฟิลาเดลเฟียร์แห่งนี้เป็นอย่างไรบ้างละ”
ยโสนักนะ
“ก็ดี” เธอตอบ เชิดคางขึ้นอีกเล็กน้อย
“หนึ่งปีผ่านไป เจ้ายังดูแข็งแรงดี ข้าสงสัยนักว่าเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อโดยเฉลี่ยแล้วคนในเหมืองจะอยู่ได้ราวหนึ่งเดือนเท่านั้น”
“ข้าก็สงสัยอยู่” เธอกระพริบตา เชิดหน้าขึ้นและจัดโซ่ที่ล่ามอยู่ราวกับมันเป็นถุงมือลูกไม้
มกุฎราชกุมารทรงหันไปทางหัวหน้าองครักษ์ “นางพูดติดสำเนียงบางอย่างใช่ไหม ฟังดูไม่เหมือนพวกคนชั้นต่ำ”
“ก็ไม่น่าเหมือนหรอก” คาเรลพูดแทรก
“เพคะ” อัสเรย์ อัลฟอล์ทคำรามใส่เธอ
“อะไรนะ” คาเรลล่าถาม
“เจ้าต้องลงท้ายด้วยคำว่า เพคะ “
คาเรลยิ้มเยาะแล้วหันทางเจ้าชาย เธอประหลาดใจเมื่อเอลเรียสหัวเราะ “โทษที่เจ้าได้รับไม่สอนอะไรเจ้าเลยเหรอ”
ถ้าแขนไม่ถูกพันธนาการแบบนี้ เธอจะกอดอก “ข้าไม่เห็นว่าในเหมืองจะสอนอะไรนอกจากวิธีใช้สิ่ว ขวาน หรืออุปกรณ์อะไรที่ใช้กะเทาะหิน”
“แล้วเจ้าไม่เคยพยายามหนีเลยหรือ”
คาเรลล่าค่อยๆเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ “หนึ่งครั้ง”
เจ้าชายเลิกคิ้วและหันไปทางหัวหน้าอัลฟอล์ท “ข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้”
คาเรลเหลียวไปมองอีสเรย์ เขามองเจ้าชายด้วยแววตาขอลุแก่โทษ “หัวหน้าผู้คุมเพิ่งแจ้งข้าเมื่อบ่ายนี้ว่าเคยเกิดเหตุเมื่อสามเดือน –“
“แค่หนึ่งครั้งเมื่อสี่เดือนก่อน” เธอแย้ง
“สี่เดือน” อีสเรย์กล่าว “หลังจากซีซานีลมาที่นี่ นางพยายามหนี”
เธอรอฟังเรื่องที่เหลือ แต่เขาจบเพียงเท่านั้น “นั่นไม่ใช่ตอนที่สนุกที่สุด!” เธอว่า
“มีตอนที่สนุกที่สุดด้วยหรือ” มกุฎราชกุมารถาม สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเบ้
อีสเรย์ อัลฟอล์ทถลึงตาใส่เธอก่อนกล่าวว่า “ไม่มีหวังจะหลบหนีจากเหมืองได้ ทหารยามทุกนายสามารถยิงกระรอกได้จากระยะห่างสองร้อยก้าว พยายามหนีก็เท่ากับฆ่าตัวตาย”
“แต่เจ้าก็รอด ทำไมเจ้าถึงไม่หนีออกไป” เจ้าชายกล่าวกับเธอ
คาเรลฉีกยิ้มขึ้นอีก “ข้าก็แค่ไม่ไป”
“เจ้าอธิบายเรื่องน่าตื่นเต้นได้เพียงหนึ่งบรรทัดหรือ” เจ้าชายคะยั้นคะยอ หัวหน้าองครักษ์หน้าบึ้ง “นางฆ่าผู้คุ้มกันยี่สิบสี่นายก่อนจับได้” เขาว่า “และอยู่ห่างจากกำแพงเพียงปลายนิ้ว ก่อนทหารจะทำให้นางหมดสติ”
“แล้วไง” เอลเรียสตรัสถาม
“แล้วไงรึ! ท่านทราบหรือไม่ว่ากำแพงอยู่ห่างจากเหมืองเท่าไหร่ ห้าร้อยหกสิบสามฟุตจากปากทางเข้าเหมือง”
“แล้วไงล่ะ” พระองค์ถามซ้ำ
“คุณหัวหน้า นักโทษที่หลบหนีจะไปไกลจากเหมืองได้เท่าไหร่กันนะ” คาเรลแกล้งถาม อีสเรย์ดูหงุดหงิดกว่าเดิม “สามฟุต” เขาตอบไม่เต็มเสียง “ปกติผู้คุมจะสามารถยิงผู้หลบหนีได้ก่อนพวกนั้นไปไกลกว่าสามฟุต”
“แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ฆ่าเจ้า”
บางทีการพูดเรื่องกำแพงเป็นสิ่งที่ดี คาเรลล่าฉีกยิ้ม “บิดาของท่านคงเห็นว่าการให้ข้าทุกทรมาณในเหมืองมีประโยชน์กว่าฆ่าข้าทิ้งเสีย” เธอเชิดคางขึ้น “ข้าจึงไม่คิดหลบหนี”
“เจ้ามีแผลเป็นเยอะไหม” เจ้าชายถาม คาเรลยักไหล่ พระองค์ยิ้ม พยายามเปลี่ยนบรรยากาศ “หมุนตัวสิ ขอดูหลังเจ้าหน่อย” คาเรลล่าขมวดคิ้วมองหัวหน้าองครักษ์ เมื่อเขาไม่ว่าอะไรจึงหมุนตัวหันหลัง มกุฎราชกุมารจุปาก “ดูแผลไม่ออกเลยเพราะมีฝุ่นเยอะมาก” เจ้าชายกล่าวขณะตรวจสอบผิวหนังจากรอยขาดของเสื้อ เธอหน้าบึ้งเมื่อพระองค์ว่า “แล้วยังเหม็นดินมากด้วย!”
“หากใครก็ตามที่ไม่ได้อาบน้ำหรือพรมน้ำหอมเลย ข้าว่าก็คงไม่หอมกรุ่นเหมือนท่านหรอก....เพคะ” คาเรลล่าเสริมท้ายเมื่อหัวหน้าราชองครักษ์ทำหน้าถมึงทึงมาทางเธอ
มกุฎราชกุมารเดินช้าๆรอบตัวเธอ อีสเรย์และองครักษ์ทั้งหมดจับตามอง มือวางบนดาบอย่างที่ควรทำ เธออาจยกมือข้ามหัวเจ้าชายและใช้สายโซ่รัดหลอดลมให้สิ้นใจได้เพียงเสี้ยววินาที แค่เห็นสีหน้าองครักษ์ก็น่าจะคุ้มแล้ว เจ้าชายยังคงสำรวจต่อไป ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอยู่ใกล้เธอมากเกินไปจนอาจเป็นอันตรายได้ “เท่าที่เห็น” พระองค์ตรัส ทำหน้าครุ่นคิด “เจ้าควรจะมีแผลเป็นหรือแผลเล็ก ๆ” พระองค์ขมวดคิ้วอีกเล็กน้อย “แต่ข้าค่อนข้างแปลกใจที่ไม่เห็นแม้แต่รอยแผลเดียว ถึงจะประหลาดแต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่เจ้าไม่ต้องเลือกชุดมากนัก”
“ชุดหรือ” พระองค์ยืนใกล้เสียจนเห็นรายละเอียดด้ายที่ใช้เย็บเสื้อคลุมและกลิ่นน้ำหอมผสมกลิ่นเหล็กและม้า
เอลเรียสยิ้ม “เจ้ามีดวงตาที่สวยมาก และโกรธมากด้วย”
“ข้าอยากรู้” เธอเริ่ม แต่หัวหน้าอัลฟอล์ทกระชากตัวเธอห่างออกมาจากมกุฎราชกุมาร แรงจนเธอต้องหันไปมองตาเขียว “ข้าไม่ฆ่าเจ้าชายหรอก นายซื่อบื่อ”
“ระวังคำพูดด้วย ไม่งั้นข้าจะโยนเจ้ากลับเข้าไปในเหมือง” อีสเรย์พูดรอดไรฟัน
“แหม แต่ข้าว่าไม่” เธอเอียงคอ
“ทำไม” คาเรลล่ามองชายสองคนสลับกันแล้วยักไหล่ “เพราะเจ้าชายของเจ้าต้องการบางอย่างจากข้า บางอย่างที่ต้องถ่อมาถึงเหมืองสกปรกนี้ด้วยตัวเอง” เธอส่งสายตาเจ้าเล่ห์ “พวกท่านแค่ถามเพื่อหยั่งเชิงว่าร่างกายและจิตใจข้ายังสมประกอบดีหรือเปล่า และใช่ ข้ารู้ตัวดีว่าข้ายังมีสติครบถ้วนดี ทีนี้ ข้าอยากรู้ว่าทำไมท่านจึงมาที่นี่ และต้องการใช้ข้าทำอะไรในเมื่อไม่มีคำสังประหาร”
ชายสองคนมองหน้ากัน เอลเรียสยกนิ้วขึ้นบรรจบกัน สีหน้าดูจริงจังขึ้น “ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า”
คาเรลรู้สึกแน่นหน้าอก เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มีโอกาศพูดประโยคนี้กับมกุฎราชกุมารเอลเรียสเช่นนี้ เธออาจสังหารพระองค์ได้โดยง่าย กระชากรอยยิ้มออกจากใบหน้า ทำลายเกียรติกษัตริย์เหมือนที่พระองค์ทำลายเธอ
ดวงตาเจ้าชายฉายแววขบขันเมื่อเห็นท่าทางที่แก่นกล้าของเธอ แต่ทรงหยุดอ้อยอิ่งเล็กน้อยเมื่อมองเรือนร่าง คาเรลล่าแทบจะกระโจนข่วนหน้าพระองค์ที่จ้องเธอแบบนั้น แต่เมื่อนึกดูว่าพระองค์ยังอุตส่าห์มองทั้งที่อยู่อยู่ในสภาพโสโครกแค่ไหน รอยยิ้มผุดที่มุมปาก “พวกเจ้าออกไปก่อน อีสเรย์ เจ้าอยู่นี่”
องครักษ์แปดนายเดินเรียงแถวออกจากห้องแล้วปิดประตูเป็นการกระทำที่โง่เขลามาก แต่สีหน้าหัวหน้าอัลฟอล์ทยังคงอ่านยากเช่นเคย เขาคงไม่คิดจริงๆหรอกนะว่าจะรับมือเธอได้หากเธอพยายามหนี คาเรลยืดตัวขึ้น คนพวกนี้วางแผนอะไรกัน
เจ้าชายหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่คิดว่าเสี่ยงไปหน่อยรึ ที่วางท่าอวดกล้าขนาดนี้ทั้งที่มีอิสรภาพเจ้าเป็นเดิมพันอยู่”
“เหลือเพียงท่านสองคนในห้องกว้าง ข้าไม่คิดว่าอิสรภาพของข้าจะหายากนัก” อีสเรย์ส่งเสียงในลำคอเตือนเธอและบีบแขนเธอแน่นขึ้นอีก แต่คาเรลทำเพียงยังไหล่
เจ้าชายหัวเราะ “แต่ข้าว่าบางทีความหยิ่งยโสของเจ้าอาจเป็นประโยชน์ก็ได้” เขาว่า “ข้าไม่อาจเสแสร้งว่าอาณาจักรของพ่อข้าสร้างขึ้นมาด้วยความเชื่อใจและเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่เรื่องนี้เจ้าคงรู้ดีอยู่แล้ว” คาเรลเลิกคิ้วรอให้เจ้าชายพูดต่อ “เสด็จพ่อของข้าเกิดความคิดว่าอยากจะมีนักสู้ส่วนตัวสักคน”
เธอต้องใช้เวลาสักครู่ทีเดียวกว่าจะเข้าใจ
คาเรลล่าหัวเราะ “เสด็จพ่อของท่านต้องการนักสู้หรือนี่ อย่าบอกนะว่าพระองค์กำจัดขุนนางที่นู่นหมดแล้ว ข้าว่าน่าจะเหลืออัศวินสุภาพบุรุษสักคนสิ ผู้จงรักภักดีและหาญกล้าอย่างนายที่จับแขนข้าซะแน่นน่ะ”
“ระวังคำพูดหน่อย” อีสเรย์เตือนมาจากด้านหลังเธอ แต่ก็ยอมคลายมือ
“เสด็จพ่อต้องการใครสักคนมาช่วยอาณาจักร” เจ้าชายถอนหายใจ “คนที่....ดูแลยาก”
“ท่านหมายความว่า ท่านต้องการขี้ข้ามาทำงานสกปรกแทนท่าน?” คาเรลเอียงคอ
“หากเจ้าจะพูดเสียทื่อขนาดนั้น ก็นับว่าใช่” เจ้าชายตรัส สีหน้าดูจริงจัง “นักสู้จะต้องทำให้ศัตรูของพระองค์เงียบเสียง”
“เงียบเหมือนป่าช้างั้นสิ” คาเรลล่ายิ้มหวาน
เจ้าชายกระตุกมุมปากเล็กน้อย สีหน้าเฉยเมย “ใช่”
ทำงานเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตว์ของกษัตริย์แห่งฟิลาเดลเฟียร์ คาเรลล่าเชิดคางขึ้น ให้ฆ่าคนเพื่อเขา เป็นเขี้ยวในปากสัตว์ร้ายที่เขมือบดินแดนเอลเดนไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“หากข้าปฏิเสธก็แค่กลับไปนั่งเคาะหินเคาะกรวดงั้นสิ”
“หากเจ้ารับข้อเสนอ อีกหกปีข้าจะคืนอิสรภาพให้เจ้า”
หกปีในฐานะนักฆ่าของกษัตริย์ หรือ ชั่วชีวิตในเหมืองน่าเบื่อ
“อย่างไรก็ตาม” เจ้าชายกล่าว “ยังมีปัญหาอีกอย่าง” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสบเธออีกครั้ง “ตำแหน่งนี้ยังไม่ได้เป็นของเจ้าเสียทีเดียว เสด็จพ่ออยากให้มีเรื่องสนุกอีกนิดหน่อย พระองค์จะจัดงานประลอง ทรงเชิญสมาชิกสภายี่สิบสามท่านให้ส่งว่าที่นักสู้หนึ่งรายเข้าฝึกซ้อมในลานปราสาทแก้ว และสุดท้ายนักสู้จะประลองกัน ผู้ชนะ” พระองค์กล่าวพร้อมยิ้มบางๆ “จะได้รับตำแหน่งนักฆ่าแห่งฟิลาเดลเฟียร์อย่างเป็นทางการ”
เธอแทบจะไม่ได้ยินคำพูดช่วงท้ายๆ ประลอง! “กับใคร”
“นักฆ่า โจรและนักรบจากทั่วเอลเดน” เธอกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ “แหม ข้าเป็นเพียงผู้หญิงบอบบาง จะเอาแรงที่ไหนไปต่อกรกับนักสู้นิรนามกันเล่า” คาเรลล่าช้อนตาขึ้นมองอย่างน่าสงสาร
เจ้าชายหลุดหัวเราะ “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ข้าคิดว่าคงไม่มีใครโด่งดังเท่าเจ้า พูดถึงเรื่องนี้ข้านึกขึ้นมาได้ เจ้าต้องไม่ประลองในนามคาเรลล่า ซีซานีล”
“อะไรนะ”
“เจ้าต้องใช้นามแฝง เจ้าคงไม่รู้งั้นสิ ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังพิจารณาคดีเจ้าเสร็จ”
“นักโทษในเหมืองย่อมไม่ได้ยินข่าวสารอะไรอยู่แล้ว”
เอลเรียสหัวเราะเบาๆแล้วส่ายศรีษะ “ไม่มีใครรู้ว่าคาเรลล่า ซีซานีลเป็นเพียงหญิงสาว ทุกคนคิดว่าเจ้าต้องบึกบึนและแก่กว่านี้มาก”
“อะไรนะ” นี่เธอควรภูมิใจหรือเปล่า
“เจ้าปกปิดตัวตนมาตลอดเวลาเที่ยวไล่ฆ่าคน หลังพิจารณาคดี เสด็จพ่อคิดว่าอาจเป็นการฉลาดกว่าถ้าไม่บอกว่าคนที่ทำให้ทั่วทั้งเอลเดนสั่นคลอนเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุสิบห้าสิบหก”
“ข้าไม่ได้เที่ยวฆ่าคน” เธอแย้ง “ข้าเพียงแต่รับการจ้างวาน อีกอย่างข้าอายุสิบเจ็ดแล้ว”
คาเรลเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ตกลงคือข้าต้องเป็นขี้ข้าด้วยชื่อและยศที่ไม่ได้เป็นของข้าเลยงั้นรึ แล้วทุกคนจะไปรู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วนักสู้แห่งฟิลาเดลเฟียร์นั้นคือใคร”
“ข้าเองก็ไม่รู้และไม่สนใจด้วย แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเคยเป็นมือหนึ่ง และผู้คนยังต้องกระซิบกระซาบกันเมื่อเอ่ยถึงชื่อเจ้า” พระองค์มองเธอ “หากเจ้ายินดีสู้เพื่อข้า เป็นนักสู้ของข้า ในการประลองที่ใช้เวลาเป็นเดือนๆ ข้าจะขอเสด็จพ่อให้มองอิสรภาพแก่เจ้าในหกปี”
“สี่”
“ห้าปี”
“ก็ได้” คาเรลยิ้มอย่างพอใจ “แล้วท่านหมายความว่าอย่างรที่ว่าเคยเป็นมือหนึ่ง”
“เจ้าอยู่ในเหมืองมาหนึ่งปีแล้ว ใครจะรู้ว่าเจ้ายังสามารถทำอะไรได้บ้าง”
เธอยักไหล่ “แหม อยู่ในเหมืองข้าก็ได้กินแต่ข้าวโอ๊ตแฉะๆกับขนมปังแห้งๆเท่านั้นเอง”
“เจ้าจะได้รู้รายละเอียดเมื่อถึงรีฟโฮล์แล้ว” มกุฎราชกุมารเอลเรียสตรัส แล้วหัวหน้าองครักษ์ก็ลากเธอออกไปจากห้อง
อย่างน้อย เธอก็จะไม่เป็นนักสู้แห่งฟิลาเดลเฟียร์โดยเปล่าประโยชน์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ