รักวุ่นวายของยัยsตัวแม่

8.3

เขียนโดย yandere_sama

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.41 น.

  8 ตอน
  3 วิจารณ์
  10.88K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559 13.38 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ี5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก


แสงยามบ่ายแก่ๆตกกระทบผิวกายขาวซีดผ่านผ้าม่านผืนหนา เด็กสาวผู้มีดวงตาสีแดงสดจับจ้องไปที่น้องสาวฝาแฝดซึ่งกำลังเล่นอยู่กับเด็กสาวผมดำยาวอย่างน่าอิจฉาเสียงหัวเราะต่อกระซิกดังแว่วมาตามสายลมอ่อนๆจนบางครั้งเธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดยืนมองน้องสาวของเธอช่างแตกต่างกันเหลือเกินทั้งๆที่มีใบหน้าที่แยกกันไม่ออกทำไมน้องของเธอกลับสดใสและดูเปล่งประกายเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์“มานั่งทำอะไรตรงนี้หล่ะเรา”ผู้มากวัยกว่าเอ่ยทักเธอมีผมสีขาวคล้ายสำลีและดวงตาสีแดงสดไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอได้กรรมพันธ์พวกนี้มาจากใคร“คุณแม่!!”“อะไรกันทำหน้าแบบนั้นตกใจในความสวยของแม่หล่ะสิ”ยิ้มทะเล้น “ว่าแต่เราเถอะมีอะไรรึปล่าวนั่งซึมเป็นหมาหงอยเชียว”“เปล่าค่ะหนูก็แค่...”พยายามจะหลบสายตา“ก็แค่...ก็แค่อะไรเอ่ยแหมเดี๋ยวนี้มีลับลมคมในอะไรกับแม่แล้วหรอเนี่ย”ยังพูดจากวนลูกสาวไม่เลิก“โถ่คุณแม่เนี่ยละก็”ทำแก้มป่อง “หนูก็แค่อิจฉาน้องหน่ะค่ะ”เธอกล่าวตอบไปเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่าเธอเกลียดน้องหรืออะไรหรอกนะเธอรักน้องของเธอมากแต่แค่บางครั้งเธอก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาในใบหน้ายามเมื่อมีความสุขเช่นนั้นต่างหาก“อิจฉา?”“หนูก็แค่คิดว่าทำไมเราถึงแตกต่างหน่ะค่ะทั้งๆที่เหมือนกันแท้ๆ”เธอก้มหน้านิ่งผู้เป็นแม่ยิ้มมุมปากเธออดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปยีหัวลูกสาวคนนี้ก็น่ารักขนาดนี้นี่นะ“อะไรกันแม่ก็นึกว่าเรื่องอะไร”พูดพลางนั่งลงข้างๆลูกสาวสุดที่รัก “ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากเลยนี่นาว่าจะต้องเหมือนใครเรื่องแบบนี้หน่ะเป็นตัวเองก็พอแล้วไม่ใช่หรอไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นคนอื่นหรอกเหนื่อยเปล่าๆจริงมั๊ยหล่ะ”ยิ้มกวนประสาท“หรอคะ”ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยก่อนจะจัดผมตัวเองให้เข้าทรงเพราะแม่ของเธอดันยีหัวจนยุ่งไปหมด“งั้นทำไมคุณแม่ไม่ให้หนูออกไปเล่นข้างนอกกันหล่ะ”คำถามต้องห้ามหลุดออกจากปากเด็กหญิง เธอสงสัยเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเล็กเพราะว่าพ่อกับแม่ของเธอไม่เคยปล่อยให้เธอออกไปเล่นข้างนอกคนเดียวเลยกว่าจะได้ออกไปแต่ละที่เธอต้องขอร้องข้ามวันค่อนวันเหนื่อยจนแทบขาดใจเพราะพ่อของเธอใจแข็งน่าดูเชียวหล่ะ“ร..เรื่องนั้น”“ว่าไงหล่ะคะ”“เอ่อแม่...เอ่อใช่แม่ต้องไป..ไปตลาดๆแม่ต้องไปตลาดงั้นราตรีเฝ้าบ้านดีๆนะลูก”ทำตาลอกแลกไปมามือไม้ก็ชี้สะเปะสะปะแลดูน่าสงสัยสุดๆแต่ก่อนที่ราตรีจะทันได้ห้ามคุณเธอก็บึ่งหายไปกับสายลม‘น่าสงสัยจริงๆ’
  ตะวันร้องเสียงหลงเมื่อวิ่งเข้ามาในบ้านพลางตรงปรี่มาที่ราตรีซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเบื่อหน่าย“พ..พี่คะ”เข้ามาหลบข้างหลังก่อนจะคว้าหมับที่เอวของราตรีราวกับจะให้เป็นกำแพงบังอะไรซักอย่างแต่ที่แน่ๆมันทำให้น้องของเธอกลัวจนตัวสั่นไปหมดเลยหล่ะ“ตะวันเป็นอะไรรึปล่าว”มองหน้าน้องสาวตาโตด้วยสายตาคาดคั้้น“อีฟเค้า”น้ำตาซึมส่งเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสารพูดไม่ทันไรตัวปัญหาก็โผล่เข้ามาทันทีเด็กสาวแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ตะวันอย่างสนุกสนานแถมยังเอาผมดำๆของเธอมาปิดที่ใบหน้าจนมิดแล้วเดินส่งเสียงฮือๆขู่ขวัญน้องสาวขี้กลัวอย่างตะวันเสียจนกลัวหัวหด ราตรีที่รู้สึกหมันไส้เพื่อนสาวจึงฟาดสันมือลงที่กลางกะบาลเพื่อนตัวแสบเสียเต็มรักจนคนขี้แกล้งร้องเสียงหลง“โอ๊ยเล่นอะไรเนี่ยราตรีอีฟเจ็บนะ”ลูบหัวตัวเองป้อยๆ“เจ็บสิจะได้จำบอกแล้วไงว่าอย่าแกล้งตะวันหน่ะ”ทำเสียงดุพลางหันไปปลอบน้องสาวตัวเล็กในอ้อมแขนปึง!!ประตูกระทบกำแพงเสียงดังสนั่นเรียกสายตาของเด็กสาวทั้งสามให้หันไปหาต้นเสียงซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจากแม่จอมยุ่งของเธอ“ราตรีแม่กลับมาแว้ว”ตะโกนลั่นบ้านพลางหอบถุงพะรุงพะรังเข้ามาวางเกลื่อนไปหมด ราตรีมองตามด้วยสายตาละเหี่ยเธอลืมแม่ของเธอไปเสียสนิทว่าเวลาที่คุณเธอไปซื้อของต้องหาคนตามประกบเพราะแม่ของเธอเป็นคนหลอกง่ายจึงโดนคนยุยัดของให้ช่วยซื้อบ่อยครั้ง“คุณแม่คะ!!”เอามื้อเท้าเอว“ชะอุ๊ย!อะไรหรอจ๊ะคุณลูก”ยิ้มแห้ง“นี่มันอะไรไม่ทราบคะ”ชี้ไปที่กองถุงขนมซึ่งพอดูไปแล้วแต่ละถุงมีแต่อันที่จะหมดอายุแล้วทั้งนั้น“ก็เฮียเม้งเค้าบอกว่าจะลดราคาแม่ก็เลยเหมาเขามาหน่ะ”ส่งยิ้มให้ลูกสาว“นี่คุณป้านภา...”อีฟพูดได้เพียงแค่นั้นเมื่อเธอรู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวผู้มากวัยราวกับจะจับกินเลือดกินเนื้อ “นี่คุณน้านภาจะเหมามาเปิดร้านเองเลยรึไงคะเนี่ย”กลืนน้ำลาย“แหมน้าเน้ออะไรกันจ๊ะไม่ต้องเกรงใจหรอกเรียกพี่นภาเลยก็ด..กรี๊ด”ลูกสาวคนโตเดินเข้ามาหยิกแม่ของเธออย่างนึกหมันไส้“เข้ามาหยิกแม่ทำไมเนี่ย”ลูบแขนตัวเอง“ก็เผื่อคุณแม่จะเจียมสังขาลตัวเองบ้างหน่ะค่ะ”อดแขวะแม่ตัวเองไม่ได้“แหมเดี๋ยวนี้ปากคอเรอะร้าย”แขวะกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“เอ๋แล้วจะเอายังไงดีหล่ะคะกับกองขนมนี่หน่ะคุณแม่ที่รัก”แสยะยิ้มร้ายกาจ นภากลืนน้ำลายเอื้อกเธอไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าสามีของเธอเข้ามาเห็นจะเป็นเช่นไร“ราตรี~~”ทำตาเป็นประกาย”แม่ผิดไปแล้วจริงๆนะช่วยแม่หน่อย”เขย่าแขนลูกสาวไปมาเอาแก้มถูไถแบบอ้อนสุดฤธิ“เอ๋ก็ได้อยู่หรอกค่ะแต่หนูมีข้อแม้นะ^ ^”“อะไรหล่ะแม่ยอมทำทุกอย่าง”ทำหน้าตาจริงจัง“พาหนูไปเล่นข้างนอกหนึ่งอาทิตย์โอเคมั๊ยคะห้ามต่อรอง”ยิ้มเย็นจนผู้เป็นแม่ขนลุกซู่เธอเสียท่าลูกสาวตัวดีเข้าให้แล้ว”จ๊ะ”รับคำทั้งน้ำตา
วันต่อมาอากาศเป็นใจท้องฟ้าสดใสตอนแรกนั้นนภาคิดว่าจะเบี้ยวลูกโดยการหาข้ออ้างว่าอากาศร้อนแต่ทำไมวันนี้มันช่าง...เย็นสบายกว่าวันปกติโลกนี้ลำเอียงจริงๆ“อะไรกันคะคุณแม่อุส่าออกมากับลูกสาว’คนสวย’ทั้งทีหน้าบึ้งเป็นตูดลิงเชียว”มองหน้าผู้มากวัยกว่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข“เข้าใจเปรียบนะลูกเลิฟหน้าใสๆอย่างแม่จะไปเหมือนก้นลิงได้ยังไงหล่ะจ๊ะ”“อ้าวหรอคะไอ้หนูก็นึกว่า...”ตั้งท่าจะพูดต่อคนเป็นแม่ยกมือปรามทันทีเมื่อล่วงรู้ชะตากรรมได้ว่าลูกสาวจะแขวะตนเช่นไร สองแม่ลูกเดินอยู่นานกว่าจะถึงที่หมายซึ่งเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อมๆในหมู่บ้านตามความเป็นจริงเธอควรจะมาได้เร็วกว่านี้ถ้าแม่จอมป่วนไม่แวะนู่นดูนี่ตลอดทางจนเสียเวลา“เอ้าไปเล่นสิแม่อยากจะไปทำงานบ้านแล้วนะนั่งดูเด็กเล่นเบื่อจะแย่”ทำหน้าบึ้งตึงใส่ลูกสาว“โถทำพูดเข้าคนทำงานบ้านนี่คุณพ่อไม่ใช่หรอคะจะไปนอนตีพุงเล่นที่บ้านก็บอกมาเถอะหนูให้อภัย”“พูดจาน่าเกลียดจัง”เบ้ปาก“เอ๋ไม่เท่าคุณแม่ที่รักหลอกค่ะ”สองสาวยังคงตั้งคารมต่างวัยต่อไปจนราตรียอมแพ้เนื่องจากเสียเวลามามากกับแม่จอมยุ่งของเธอ เธอมองซ้ายแลขวาไปมาอย่างตื่นเต้น แทบรอไม่ไหวที่จะได้เพื่อนใหม่เพราะเพื่อนของเธอนอกจากอีฟกับราตรีแล้วก็มีแค่แม่ของเธอคนเดียวที่จะมานั่งเล่นด้วยตอนสายๆ”อ๊ะเจอเหยื่อแล้ว”ไม่พูดเปล่ารีบตรงปรี่ไปที่เป้าหมายทันที“อะแฮ่ม!”สไลท์ตัวเนียนๆมานั่งข้างๆ“ค..คะ!?”สะดุ้งโหยง“นี่เราชื่อราตรีนะแล้วเธอหล่ะ”เอ่ยอย่างเป็นมิตรแต่สายตานี่สิ...แทะโลมคนตรงหน้าสุดๆ


  ราตรีมองเพื่อนใหม่อย่างตื่นเต้นเธอไม่เคยเห็นคนที่สวยขนาดนี้มาก่อนผมสีทองเงางามกับตาสีฟ้าน้ำทะเลน่าดึงดูดยังไม่นับผิวขาวน้ำผึ้งน่ากินนั่นอีกนะ“ฟ..ฟ้าใสค่ะ”มองหน้าราตรีเขม็งเธอรู้สึกกล้าๆกลัวๆอยู่บ้างที่จะตอบคำถามคนแปลกหน้าอย่างราตรีที่อยู่ๆก็โผล่พรวดพราดเข้ามาทักทาย“เอ๋ฟ้าใสชื่อน่ารักจังเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะโอเคเนอะ^ ^”พูดเออออเองเสร็จสับไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้อ้าปากเลยด้วยซ้ำฟ้าใสเลยได้แต่พยักหน้ารับหงึกหงักด้วยความจำยอม‘เอาหละเล่นดีกว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง’ราตรีคิดในใจ ไม่นึกเลยว่านางเอกจะมีนิสัยอย่างนี้ตั้งแต่เด็กน่าเสียใจจริงๆเมื่อแนะนำตัวเป็นเพื่อนกันเสร็จเรียบร้อยราตรีจึงรีบจะเล่นทรายตรงหน้าอย่างไม่รอช้าแต่ก่อนที่เด็กสาวจะทันได้แตะผิวทรายแม่ของเธอก็เข้ามาห้ามไว้เสียก่อน“สต็อปปุ”“คะ/อ๊ะ!”ราตรีมองหน้านภาอย่างไม่พอใจเธอจ้องไปที่ใบหน้านั้นไปพลางปล่อยออร่าไปพลางอย่างเหลืออด“นี่ราตรีจะจับทรายมือเปล่าอย่างนี้ได้ยังไงเอ้าถุงมือใส่ซะเนี่ยดูสิแบ็คทีเรียทั้งนั้นแล้วก็เดี๋ยวแม่กางร่มให้เองเล่นไปเถอะไม่ต้องสนใจหรอก”พูดไปก็กางร่มลายคิทตี้สีชมพูให้คุณลูกสุดที่รักไปด้วย“เว่อไปแล้วค่ะ”“ทำไมอายหรอจ๊ะคุณลูก”ยิ้มยียวนกวนของต่ำ= =‘ลายมุ้งมิ้งซะขนาดนี้หน้าหนาอย่างหนูก็มียางอายนะคะใครจะไปแบ๊วเหมือนแม่กันแค่คิดก็คลื่นไส้แล้วไม่ใช่แนวของเราซักนิด’ราตรีและฟ้าใสเล่นกันอย่างสนุกสนาน(หรือคุณเธอสนุกอยู่คนเดียวก็มิอาจทราบได้)เธอเล่นกันเสียจนหมดวันดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปทุกทีๆ“ฟ้าใสกลับได้แล้วลูก”หญิงสาวผมทองตะโกนเรียก ฟ้าใสพยักหน้าหงีกหงักก่อนจะเดินเตาะแตะไปหาผู้เป็นแม่ที่กำลังยืนยิ้มให้ราตรีอย่างเอ็นดู“ไปแล้วหรอ”ทำเสียงอ่อยเธอไม่ค่อยอยากจะลาเพื่อนใหม่คนนี้เลย“อืมไว้มาเล่นกันอีกนะ”ฟ้าใสยิ้มรับเธอโบกมือให้ราตรีช้าๆเป็นการอำลา“หงอยเลยสิเรา”ยิ้มกวนประสาทราตรีจับแขนเสื้อคนเป็นแม่ไว้แน่น แวบแรกนภาคิดว่าเธอจะโดนลูกสาวหยิกจนแขนเขียวอีกรอบแต่พอมาดูดีๆราตรีก็แค่อ้อนเธอเท่านั้น“กลับบ้านกันเถอะค่ะหิวแล้ว”“อืมกลับกันเถอะ”
ผ่านมาแล้วหนึ่งอาทิตย์เต็มๆราตรีเฝ้าคอยให้ฟ้าใสกลับมาเล่นด้วยกันตามสัญญาโดยการมานั่งรอที่สนามเด็กเล่นกับแม่แต่เช้าแต่เจ้าตัวก็ไม่โผล่มาเสียทีจนหมดเวลาอิสรภาพของเธอ

เธอสอดส่องสายตาไปที่บ้านข้างเคียงซึ่งตอนนี้มีรถบรรทุกคันใหญ่จอดอยู่เต็มไปหมดดูรกหูรกตาสิ้นดีไม่รู้ว่ากลัวข้างบ้านจะไม่ได้ยินหรืออย่างไรทำไมถึงได้เสียงดังโหวกเหวกถึงเพียงนี้ราตรีกระโดดลงจากเก้าอี้ตัวสูงด้วยความเบื่อหน่ายพลางคิดถึงเพื่อนตัวดีทีไม่ยอมทำตามสัญญาไม่สิอาจมีแค่เธอก็ได้ที่คิดว่าเป็นเพื่อน.....

“อ๊า! ให้ตายสิยัยฟ้าใสนั่นหายไปเลยนะถ้าเจอหน้าอีกล่ะก็ฉันจะ..”ราตรีพูดค้างไว้เพียงแค่นั้นเมื่อรู้สึกได้ถึงเสียงหวานคุ้นหูที่ดังมาจากด้านหลัง “ฉันจะ....อะไรหรอ”ฟ้าใสยิ้มละไมทำท่าทางไร้เดียงสา
“...”ราตรีมองฟ้าใสตาค้างจ้องมองเพื่อนสาวตั้งแต่หัวจรดเท้ามือทั้งสองข้างตบไปที่แก้มอย่างแรง “โอ๊ย!”แก้มขาวๆขึ้นสีแดงระเรือ ราตรียิ้มน้ำตาไหลเอ่อออกมาจากดวงตาสีแดงเป็นสายเมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้ฝันไป
“อ้าวอะไรกันเธอเป็นอะไรรึปล่าว”ฟ้าใสวิ่งปรี่เข้ามาหาพร้อมกับตะโกนโหวกเหวกจนตะวันและอีฟวิ่งเข้ามาดู
“พี่คะ!!”ตะวันร้องลั่นไล่ตบตีฟ้าใสพัลวันซึ่งอีฟที่ยืนงงอยู่ในที่แรกก็เข้าไปร่วมวงด้วยในเวลาไม่นาน ราตรีวิ่งวุ่นห้ามสองคนนั้นหลังจากที่ยืนดูอยู่นานหลายนาที(ดูไปขำไป)
“เดี๋ยว Stop!!”เข้าไปคั่นกลาง
“พี่คะเป็นอะไรรึปล่าวโดนคนนี้ทำร้ายใช่มั๊ย”ชี้ไปที่ฟ้าใสซึ่งกำลังนอนกองอยู่บนพื้นร้องเสียงโอดโอยอย่างน่าสงสาร
“ม..ไม่ใช่นะฟ้าใสไม่ได้ทำอะไรซักหน่อยคนนี้เค้าเป็นเพื่อนพี่”
“อูย...”ฟ้าใสทำเสียงอ่อยลูบตามต้นแขนของตนเองน้ำตาไหลเอ่อตรงขอบตาตะวันกับอีฟสะดุ้งมองหน้ากันเลิกลักก่อนจะวิ่งไปขอโทษขอโพยฟ้าใสยกใหญ่
“แหะๆๆไม่เป็นไรหรอกฉันผิดเองหละ”ฟ้าใสยิ้มแห้งในใจของเธอคิดแต่เพียงว่าเพื่อนของเธอคนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ แต่ขืนเธอกล่าวอย่างนั้นออกไปคงไม่แคล้วได้เป็นผีเฝ้าพรม
“จะว่าไปเธอมาทำอะไรเอาตอนนี้รู้มั๊ยว่าฉันรอเธอนานแค่ไหน”ราตรีทำหน้าบึ่งตึงเมื่อคิดถึงเรื่องที่แค้นใจมานาน
“อ๊ะขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อนแต่ว่าฉันจะต้องย้ายบ้านแม่ก็เลยให้ฉันไปช่วยเก็บของพอหลังจากที่เตรียมตัวเสร็จกลับไปรอเธอที่สนามเด็กเล่นเท่าไหร่ก็หาเธอไม่เจอซักที”ฟ้าใสพูดเสียงสลด
“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่บ้านหลังนี้หล่ะ”ราตรีเลิกคิ้วฟ้าใสยิ้มแห้งก่อนมองไปที่ตะวัน
“แหะๆคือหนูบอกเค้าเองแหละก็อยู่ดีๆคนนี้ก็เข้ามาทักนี่นา”
“ไม่ได้โกรธฉันใช่มั๊ย”ฟ้าใสมองหน้าราตรีพลางยิ้มเศร้า
“อืม...ไอ้โกรธก็โกรธอยู่หรอกนะแต่ว่าในเมื่อเธอมาหาแล้วฉันจะหายโกรธก็ได้แต่ยังไงก็ขอทำโทษเธอซักหน่อยละกันตกลงนะ”ยิ้มเจ้าเล่ห์อีฟมองหน้าฟ้าใสกับราตรีสลับกันไปมาด้วยใบหน้าบึ่งตึง
“ว่ามาเลยฉันยอมรับโทษทุกอย่าง”ฟ้าใสพูดเสียงหนักแน่น
“เป็นเพื่อนฉันหนึ่งอาทิตย์ถ้าเธอไม่ตกลงฉันจะให้ตะวันกับอีฟกระทืบเธอต่อ”เอ่ยเสียงเย็น
“ได้สิจะตลอดไปเลยก็ได้นะ”ยีหัวราตรีไปมาอย่างเอ็นดู ทำไมกันนะตั้งแต่เธอเจอเพื่อสาวคนนี้ครั้งแรกเธอกลับรู้สึกอยากอยู่ข้างๆตลอดเวลาบางทีอาจเป็นเพราะความน่ารักของเพื่อนตัวเล็กคนนี้ก็เป็นได้ฟ้าใสคิดอย่างนั้น
วลาล่วงเลยมาหลายเดือนฟ้าใสมักจะมาเล่นที่บ้านราตรีเสมอแม้บางครั้งเธอจะรู้สึกอยากจะไปเล่นข้างนอกกับพวกตะวันก็ตาม“นี่ออกไปเล่นที่สวนสาธารณะกันมั๊ย”ฟ้าใสชวนเธอตัดสินใจอยู่หลายวันกว่าจะสามารถแสดงความกล้าออกมาได้ ราตรีก้มหน้านิ่งเธอรู้ดีว่าถ้าเธอออกไปเล่นข้างนอกเธอคงโดนคุณพ่อกับคุณแม่ดุเอาแน่ๆ“เล่นในบ้านแทนได้ไหม”เธอพยายามบ่ายเบี่ยง“งั้นไปเล่นหน้าบ้านก็ได้ นะๆตะวันกับอีฟรออยู่”ทำตาเป็นประกายราตรีเลิกคิ้วเหมือนกำลังไตร่ตรองคำสั่งของแม่ของเธอ‘อย่าออกไปเล่นนอกบ้านนะ’คำพูดของนภายังคงดังก้องอยู่ในหัว‘เล่นนอกบ้านงั้นหรอแต่หน้าบ้านก็ยังถือว่าเป็นบริเวณบ้านนี่นะหึๆๆ’ริมฝีปากอมชมพูเหยีดยิ้ม

ราตรีหยิบเสื้อกันหนาวสีครีมขึ้นมาใส่พร้อมกับยื่นมือไปให้ฟ้าใส“ไปกัน”ฟ้าใสยิ้มรับพลางจูงมือราตรีให้ออกไปเล่นข้างนอกแต่แล้วเพียงแค่เธอก้าวเท้าออกจากบ้านเท่านั้นกระจกแผ่นหนาที่อยู่บริเวณชั้นสองกลับหลุดร่วงลงมาอย่างไม่อาจทราบสาเหตุราวกับว่ามีคนดึงมันออกมาทั้งๆที่บริเวณชั้นสองไม่มีใครเลยเพล้ง!! กระจกบานใหญ่แตกจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเศษกระจกปลิวว่อนไปทั่วเร็วกว่าที่ฟ้าใสจะปัดป้องหนึ่งในเศษกระจกที่ปลิวไปทั่วนั้นกระเด็นเข้ามาที่ดวงตาของราตรีจนเด็กสาวลงไปนอนดิ้นด้วยความเจ็บปวด น้ำตนกลายเป็นสีเลือดจากพิษของบาดแผล สายตาพร่ามัวไปหมดฟ้าใสทำได้เพียงแค่วิ่งไปตามแม่ของราตรีที่กำลังนั่งเม้าอยู่กับแม่ของเธอที่ข้างบ้านเท่านั้นนภาตาโตเมื่อรู้ข่าวเธอวิ่งไปหาลูกสาวจนแทบล้มก่อนจะเข้าไปประคองร่างน้อยๆนั้นขึ้นมาแนบอก ตะวันกับอีฟสติแตกวิ่งวนไปวนมาราวกับหนูติดจั่นรอบๆร่างที่ไร้สติของราตรี ฟ้าใสวิ่งตามมาในเวลาไม่นานนักเธอปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้นก่อนที่ขาทั้งสองข้างของเธอจะไร้สิ้นเรี่ยวแรงและล้มพับไป
“คุณหมอครับลูกสาวผม...ลูกสาวผมจะเป็นอะไรรึปล่าวครับ”ชายวัยกลางคนตะโกนทั้งน้ำตาเขาคิดโทษตัวเองมาตลอดที่ไม่มีเวลาให้ลูกสาวจนต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น“คุณพ่อใจเย็นๆก่อนนะคะตอนนี้หมอได้ผ่าตัดเอาเศษกระจกออกจากตาของน้องไปแล้วค่ะแต่...”หมอสาวทำสีหน้าหม่นลงเธอรู้สึกสงสารคนไข้ตัวน้อยคนนี้จับใจจนไม่กล้าเอ่ยต่อเพราะกลัวว่าร่างน้อยๆนั้นจะได้ยิน
“แต่..แต่อะไรครับ”คนเป็นพ่อเริ่มหัวเสียเสียงแหบพร่าอย่างน่าสงสารเขาเขย่าแขนคุณหมอคนนั้นอย่างแรงจนร่างบางแทบจะปลิวไปตามแรงเขย่า(ถ้าเปรียบเธอเป็นเครื่องดนตรีไทยคงไม่พ้นอังกะลุง)“โอ๊ย!ใจเย็นๆก่อนนะคะคือกระจกตาของน้องฉีกขาดจนไม่สามารถมองเห็นได้ค่ะแต่คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะน้องจะกลับมามองเห็นอีกครั้งถ้าได้รับการผ่าตัดกระจกตาดำของผู้ที่มาบริจาค”หมอสาวพยายามพูดอย่างใจเย็นแม้เธอจะกลัวชายตรงหน้ามากก็ตาม“แล้วมันตอนไหนหละครับหมอตอนไหนถึงลูกของผมจะมองเห็นอีก”คนเป็นพ่อแทบทรุดเมื่อรู้ว่าลูกสาวคนโตตาบอด เขาน่าจะเชื่อคำทำนายให้มากกว่านี้ถ้าเขาเชื่อและหาทางแก้ตามที่ในหนังสือบอกลูกสาวของเขาคงไม่ตาบอดเรื่องทั้งหมดคงเป็นความผิดของเขา“หมอก็ไม่ทราบค่ะเพราะว่าคนไข้ที่รอการรับบริจาคมีเยอะมากยังไงคุณพ่อก็ใจเย็นๆก่อนนะคะ”หมอสาวกล่าวทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินหนีออกจากห้องไปเพราะขืนเธออยู่ต่อถ้าคนตรงหน้าเกิดสติแตกขึ้นมาเธอคงได้ไปเป็นคนไข้ไปนอนที่เตียงแทนที่จะต้องเป็นคนรักษาแน่ๆ“คุณพ่อคะคุณแม่คะ”ราตรีพูดเสียงแผ่วมือไม้จับสะเปะสะปะไปมาหาที่พึ่งพิง“จ๊ะลูกแม่อยู่ตรงนี้แล้ว”นภาจับมือลูกสาวไว้แน่นน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเธอร้องไห้ตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องจนตาบวมช้ำไปหมด พ่อที่ตอนนี้กำลังสติแตกจึงได้แต่นั่งสงบสติอารมณ์เงียบๆอยู่บนโซฟาราวกับไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น“แม่คะที่นี่ที่ไหนเปิดไฟให้หนูหน่อยหนูมองไม่เห็นอะไรเลย”ราตรีสะอื้นเด็กสาวเม้มปากแน่นความจริงเธอตื่นตั้งแต่ที่หมอสาวคนนั้นเข้ามาเธอได้ยินที่พูดกันทุกอย่างแต่แค่ไม่อยากยอมรับความจริงเท่านั้นความจริงที่ว่าเธอตาบอด“...”“แม่คะอย่าเงียบสิช่วยเปิดไฟให้หนูทีหนูมองไม่เห็นหนูกลัว”ราตรีกัดริมฝีปากจนห้อเลือดความกลัวเข้าปกคลุมจิตใจของเด็กสาวจนเธอแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่“...”นภาได้แต่เงียบมองใบหน้าลูกสาวสุดที่รักทั้งน้ำตา“แม่คะหนูไม่เล่นนะขอร้องหล่ะค่ะช่วยเปิดไฟให้หนูหน่อยหนูกลัวแล้วนะคะแม่..แม่คะ..แม่!!!”ราตรีตะโกนลั่นมือกำผ้าปูที่นอนไว้แน่นจนมันยับยู่ยี่ไปหมดเด็กสาวร้องไห้โฮออกมานานหลายชั่วโมงจนผลอยหลับไปนภานั่งกุมมือลูกสาวไว้แน่นเธอจะไม่ปล่อยให้ราตรีเป็นอะไรไปอีกตราบใดที่เธอมีชีวิตอยู่ คำพูดของหมอดูคนนั้นหวนกลับเข้ามาหาเธออีกครั้ง
 ‘ลูกสาวของคุณโชคร้ายจริงๆแม่หนูคนนี้จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินอายุสิบหกผมเสียใจ’หมอดูเฒ่าพูดเสียงสั่นเมื่อรู้สึกได้ถึงดวงตาอันแข็งกร้าวของพ่อเด็ก‘คุณเอาอะไรมาพูดผมอุส่าเห็นว่าคุณเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงถึงได้พาครอบครัวมาดูแล้วคุณมาแช่งลูกสาวผมอย่างนี้งั้นหรอ’ชายหนุ่มตวาดความจริงแล้วเขาไม่ได้เป็นคนเชื่อเรื่องงมงายแบบนี้เลยด้วยซ้ำถ้าภรรยาของเขาไม่เป็นคนขอร้องเขาใจไม่ยอมเปลืองน้ำมันพามาเด็ดขาดผู้เป็นสามีมองหน้าภรรยาอย่างเป็นห่วงเขากลัวว่าเธอจะคิดมากกับเรื่องนี้และเขาก็คิดถูกนภาหน้าซีดมือทั้งสองข้างที่กำลังอุ้มลูกสาวทั้งสองสั่นระริก‘ขอโทษคุณจริงๆพ่อหนุ่มแต่เรื่องนี้ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากให้คำแนะนำ’ชายแก่พูดเสียงเรียบ‘จะหลอกอะไรจากผมรึไงหละ’ชายหนุ่มมองหมอดูชราอย่างดูแคลนแต่ชายแก่ก็มีความอดทนพอที่จะไม่ใส่ใจสายตาเหยียดหยามนั้น‘จงจำไว้พ่อหนุ่มถึงแม้ว่าจะยืดเวลาตายของแม่หนูนี่ไม่ได้แต่อย่างน้อยๆก็ยังสามารถที่จะปกป้องภัยอันตรายได้อยู่’ชายแก่ยิ้มให้ราตรีในอ้อมแขนของนภาด้วยสายตาเอ็นดู ‘ฉันไม่อยากแนะนำสิ่งนี้ให้ซักเท่าไหร่แต่ขอให้นี่เป็นหนทางสุดท้ายจริงๆที่จะใช้มัน’หมอดูหยิบหนังสือปกสีน้ำตาลอ่อนออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะยื่นให้นภา‘ฉันจะไม่คิดเงินคุณในการดูดวงครั้งนี้ก็แล้วกันนะคุณผู้หญิงเผื่อใครบางคนในนี้จะเข้าใจอะไรมากขึ้น’
หลายเดือนต่อมาราตรีก็ได้ออกจากโรงพยาบาลไปใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้งแม้ตาทั้งสองข้างจะมองอะไรไม่เห็นแต่เธอก็ได้รับความรักความเอาใจใส่จากพ่อแม่และน้องสาวสุดที่รักอย่างดี“พี่คะจะเอาอะไรรึปล่าวเดี๋ยวหนูหยิบให้เอามั๊ย”ตะวันบีบมือราตรีเบาๆราตรีส่ายหน้าเป็นเชิงปฎิเสธหันไปหาต้นเสียงก่อนจะพูดในสิ่งที่อัดอั้นมานานตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล“ฟ้าใสไปไหนแล้วหล่ะพี่ไม่ได้ยินเสียงเค้าเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง”ราตรียิ้มเศร้า“ฟ้าใสเค้าไม่ยอมออกมาคุยกับใครเลยค่ะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอน”ตะวันบอกตามที่รู้ซึ่งเธอก็รู้มาจากแม่ของเธออีกทีหนึ่ง“งั้นหรอ”“พี่อยากเจอเขาหรอคะ”จ้องไปที่ใบหน้านิ่งราวกับหุ่นปั้นนั้น“อืมนิดหน่อยน่ะแต่ไม่เป็นไรหรอกพี่เริ่มจะชินแล้วหล่ะการอยู่แบบนี้หน่ะราตรีออกไปเล่นข้างนอกก็ได้นะ”ก้มลงมองพื้นด้วยความเคยชิน เธอไม่อยากให้น้องสาวมาเป็นห่วงเธอมากนัก“...”ตะวันมองพี่สาวฝาแฝดตาละห้อยเธออยากจะตอบแทนพี่สาวแสนดีคนนี้บ้างเพียงซักนิดก็ยังดี แต่คนอย่างเธอจะทำอะไรได้หล่ะนอกจากจะคอยรับความช่วยเหลือกับก่อปัญหาให้ราตรีประจำ คราวนี้ขอใหถึงตาเธอบ้างได้รึปล่าวนะตาที่เธอจะได้ปกป้องราตรีบ้างภาพของฟ้าใสแล่นเข้ามาในหัว...ใช่แล้วถ้าเธอพาฟ้าใสมาที่นี่ได้พี่สาวของเธอจะต้องดีใจมากแน่ๆ เร็วเท่าความคิดตะวันรีบวิ่งไปหาฟ้าใสที่บ้านอย่างรวดเร็วมือทั้งสองข้างทุบรัวที่ประตูไม้อัดแผ่นบางจนมีเสียงดังปึงปังปลุกให้ฟ้าใสที่กำลังนอนสะอื้นอยู่ให้ตื่นจากภวัง“ฟ้าใสพี่ราตรีอยากเจอเธอมากนะไปหาพี่เค้าหน่อยสิ”ตะวันตะโกนมือทั้งสองข้างยังเคาะประตูไม่หยุด“ฉันไม่ไปได้ไหมฉันไม่อยากให้ราตรีบาดเจ็บอีกที่ราตรีต้องเข้าโรงบาลก็เป็นเพราะฉัน”เสียงสะอื้นดังออกมาจากห้องตะวันหน้าเจื่อนลง เธอต้องทำให้ฟ้าใสไปหาพี่ได้สิหน่าเด็กสาวคิดอย่างนั้นก่อนจะพยายามเรียกต่อไปอย่างใจเย็น
 “ขอร้องหล่ะนะมันเป็นอุบัติเหตุเธอไม่ผิดซักหน่อยนะๆ”“เธอกำลังทำให้ฉันรู้สึกแย่นะตะวันเธอก็รู้นี่ว่าถ้าฉันไม่พาราตรีออกไปเล่นก็คงไม่เป็นอย่างนี้ดูยังไงฉันก็ผิดไม่ใช่รึไง”ฟ้าใสตวาดทั้งน้ำตาตะวันสะดุ้งโหยงหัวสมองพยายามคิดกลั่นกรองคำพูดออกมาให้สวยงามที่สุดเท่าที่สมองเล็กๆของเธอจะทำได้“เธอจะโทษตัวเองทำไมฟ้าใสยอมรับความจริงได้แล้วรู้มั๊ยว่าพี่ราตรีเค้าอยากจะเจอหน้าหน่ะ”“เธอจะดุจะด่ายังไงก็ได้นะแต่แค่ราตรีเท่านั้นที่ไม่ได้ถ้าขืนเธอบอกว่าเกลียดฉันขึ้นมาฉันคงไม่เหลืออะไรแล้ว”ฟ้าใสครางตะวันเริ่มเดือดเธอไม่นึกเลยว่าฟ้าใสจะคุยด้วยยากขนาดนี้“เธอคิดอย่างนั้นงั้นหรอฉันคิดว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทพี่ฉันซะอีกแต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วหล่ะเก็บความเห็นแก่ตัวของเธอไว้อย่างเดิมนั่นแหละดีแล้ว ฉันไปก่อนหล่ะนะขอให้ซักวันนึงเธอจะตาสว่างกว่านี้”ตะวันหันหลังเตรียมจะกลับบ้านแต่ก็ถูกมือเย็นเฉียบคว้าเอาไว้เสียก่อน“เดี๋ยว”เสียงของฟ้าใสแหบพร่ามือของเธอสั่นระริกตะวันมองฟ้าใสอย่างตกตะลึงช่วงเวลาหลายเดือนที่ไม่ได้เจอกันทำให้เธอเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยหรือดวงตาสีน้ำทะเลหมองลงไปมากขอบตารอบๆบวมเป่งเนื่องจากร้องไห้มาหลายวันปากซีดเซียวเหมือนไม่มีเลือดไปเลี้ยงกับร่างกายที่ผอมแห้งจนติดกระดูก ความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่หายไปจนหมด“ฉันยอมไปแล้ว”ฟ้าใสพูดเสียบแหบดวงตาเสมองไปทางอื่นไม่อยากจะมองใบหน้าที่เหมือนกับเพื่อนสนิทของเธอให้ช้ำใจ
ขณะที่ราตรีนั่งรอฟ้าใสอยู่ทีีห้องนั่งเล่นคนเดียวเธอก็ได้แต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยในโลกมืดของเธอ ลองจินตนาการถึงสนามเด็กเล่นในหมู่บ้านที่เคยไปภาพใบหน้าของฟ้าใสตอนยิ้มให้กลิ่นดินทรายเมื่อตอนนั้นเหมือนยังติดอยู่ที่ปลายจมูก“พี่คะฟ้าใสมาหาค่ะ”ตะวันผลักหลังฟ้าใสให้ล้มลงไปนั่งข้างๆราตรี สาวผมทองสะดุ้งสุดตัวหน้าแดงก่ำกระเถิบออกจากตัวเพื่อนสาวสุดฤธิแต่ก็โดนมือน้อยๆนั้นคว้าเอาไว้จนหน้าแทบคะมำ“ฟ้าใสหรอ”ราตรียิ้มสายตายังทอดยาวอยู่ที่ผนังสีขาว“อืมราตรีขอโทษนะขอโทษจริงๆถ้าฉันรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ล่ะก็”ฟ้าใสสะอื้นคำพูดที่เธอพร่ำบอกกับตัวเองหลายเดือนได้หลุดออกจากปากของเธอแล้ว“ไม่เป็นไรหรอกเห็นมั๊ยฉันหายแล้วนะถึงตาจะมองไม่เห็นแต่ก็ยังไปเที่ยวที่สนามเด็กเล่นได้อยู่”ราตรียิ้มหวานหัวเราะคิกคักกลบเกลื่อนอารมณ์ในตอนนี้ของเธอ“...”“นี่ฟ้าใสเธอช่วยพาฉันไปที่สนามเด็กเล่นที่เราเจอกันได้มั๊ย”ทำเสียงออดอ้อน
  “อ๊ะไม่ได้นะคะพี่”ตะวันแย้ง เธอไม่อยากจะให้พี่สาวของเธอเป็นอะไรไปอีก“อย่าขี้เป็นห่วงเหมือนแม่กับพ่ออีกคนสิถ้าเธอเป็นห่วงพี่นักจะไปกับพี่ก็ได้นะ”“ต..แต่ว่า”ตะวันทำตาหลุบฟ้าใสก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีจึงได้แต่ก้มหน้าเงียบๆรอให้ตะวันตัดสินใจ“อ๊าตื่นเต้นจังเลยเนอะพี่ไม่ได้มาสนามเด็กเล่นตั้งนานแหน่ะ”ราตรียิ้มร่า ตะวันได้แต่ถอนหายใจในความเอาแต่ใจของพี่สาวถึงเธอจะพยายามแย้งยังไงแต่ก็แพ้แรงอ้อนนั่นอยู่ดีทั้งสามเดินไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ถึงที่หมายเกรซรีบพาราตรีไปนั่งที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ก่อนจะนั่งลงข้างๆ“พี่คะเดี๋ยวตะวันไปซื้อเครปให้ก่อนนะนั่งตรงนี้อย่าไหนนะคะ”น้องสาวสั่งพี่เสียงแข็งจ้าฉันเป็นพี่เธอนะไม่ต้องห่วงขนาดนั้นก็ได้หน่า”ตะวันวิ่งไปซื้อเครปที่อยู่ไกลจากสนามเด็กเล่นไปเล็กน้อยทิ้งให้ฟ้าใสอยู่กับราตรีแค่2คน“อ..เอ่อคือ”ฟ้าใสอึกอักพยายามจะชวนอีกฝ่ายคุยแต่ปากดันขยับไม่ได้ดั่งใจซะนี่“หืม”“เธอไม่โกรธฉันหรอที่ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอตาบอดหน่ะ”“พูดอะไรอย่างนั้น”ราตรีจับมือฟ้าใสขึ้นมาวางบนตัก”เธอไม่ได้ผิดอะไรซักหน่อยฉันจะโกรธทำไมหล่ะ”“ต..แต่”“น่าๆเรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าใส่ใจเลยเอ้ายิ้มรึยังเนี่ยอย่าโกหกหล่ะสาวงามต้องคู่กับร้อยยิ้มสิ”ราตรีหันมายิ้มให้ฟ้าใสแม้ดวงตาทั้งสองข้างนั้นจะไม่ได้มองมาที่เธอเหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ทำให้เด็กสาวอบอุ่นหัวใจเฉกเช่นวันที่เจอวันแรก“อื้อขอบคุณนะเดี๋ยวฉันไปซื้อน้ำมาให้รออยู่ตรงนี้หล่ะ”ฟ้าใสกระโดดลงจากม้านั่งก่อนจะวิ่งไปที่เครื่องขายน้ำหัวใจของเด็กสาวเต้นถี่เร็วจนมันแทบจะระเบิดหน้าของเธอร้อนผ่าวหรือว่าจะไม่สบายกันฮ่าๆๆต้องใช่แน่ ฟ้าใสคิดแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่ก็ตาม

“เสียงแบบนั้นกำลังอายอยู่สินะคิกๆๆฟ้าใสนี่น่ารักจังน้า~~”พูดไปหัวเราะไปแกว่งขาเล่นอยู่บนม้านั่งอย่างมีความสุข เจ้าตัวดูไม่ทุกร้อนกับสภาพในตอนนี้ของตนเองเลยซักนิดหรือบางทีเธออาจจะแค่ไม่อยากจะทุกร้อนอีกแล้วเสียงหัวเราะหยุดลงแค่นั้นเมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าฟ้าใสกับตะวันอยู่ไกลพอที่จะไม่เห็นสภาพในตอนนี้ของเธอ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกจากนัยส์ตาสีแดงสดเป็นสายไม่รู้ทำไมเธอถึงมีรางสังหรแปลกตั้งแต่เช้าแล้วหวังว่ามันคงจะเป็นแค่สิ่งที่เธอคิดไปเอง“อ้าวหนูมาทำอะไรตรงนี้ล่ะเนี่ยเป็นอะไรรึเปล่า”ราตรีใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างรีบร้อนก่อนหันไปหาต้นเสียง“เปล่าค่ะหนูแค่รอเพื่อน”เธอตอบตามความจริง“หืมงั้นหรอ”ชายร่างใหญ่คลี่ยิ้มพร้อมกับเข้าไปกระชากแขนราตรีอย่างแรงจนตัวลอย“โอ๊ย!!”เธอร้องเมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณต้นแขน“ไปกับลุงดีกว่าลุงมีขนมเยอะแยะเลยนะ”เสียงหอบกระหายดังที่ข้างหู“ม..ไม่นะฟ้าใส ตะวันช่วยด้วย”ราตรีกรีดร้องในสภาพที่เธอตกเป็นรองอย่างนี้ทำให้เด็กสาวทำตัวไม่ถูกถ้าตาเธอยังมองเห็นอยู่แค่ไอ้บ้ากามคนเดียวเธอจัดการได้สบายอยู่แล้ว“อ๊ะราตรี!/พี่คะ!”ตะวันกับฟ้าใสตะโกนพร้อมกันทั้งสองวิ่งเข้ามาฉุดกระชากราตรีให้หลุดออกจากวงแขนของชายร่างใหญ่“โอ๊ย!”เท้าน้อยๆขยี้อยู่ที่รองเท้าแตะคู่เก่าของอีกฝ่ายจนไอ้หื่นตัวโตต้องลงไปนอนกองถึงแรงของตะวันจะสู้ไม่ไหวแต่ฟ้าใสก็ตัวโตกว่าการที่จะจัดการชายคนนี้จึงไม่ตึงมือมากนักถ้าเธอไม่ได้ผอมแห้งเหมือนตอนนี้ล่ะก็นะ...“หนอยยัยบ้าทำอะไรของแกวะอยากตายรึไง”ชายร่างยักษ์เริ่มหัวเสียเข้ามาล็อคแขนฟ้าใสไว้ทำท่าจะต่อยแต่ตะวันก็เข้ามาช่วยไว้เธอใช้ร่างเล็กๆของเธอกระโดดขี่คอแล้วเอาหินที่เก็บได้ตามพื้นโขกที่หัวชายคนนั้นอย่างแรง“โอ๊ย!!เจ็บนะเว้ยไอ้เด็กบ้า”สบถเสียงดัง แรงของตะวันยังมีไม่มากพอที่จะทำให้ชายร่างใหญ่คนนี้สลบไอ้หื่นสลัดตะวันจนตะวันลงไปกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่ที่พื้น“แสบนักนะมึง!!”เขาคำรามมือหนาแบบผู้ชายเตรียมง้างเพื่อจะต่อยผู้หญิงตรงหน้าแต่ราตรีก็เข้าไปคว้าแขนไว้ เธอกะจังหวะความหามืออยู่นานกว่าจะพบและเธอจะไม่ปล่อยไอ้หื่นนี่ทำร้ายน้องกับเพื่อนของเธออย่างเด็ดขาด“เฮ้ยปล่อยนะเว้ย”ชายร่างยักษ์สะบัดราตรีอย่างแรงจนร่างบางปลิวหวือไปล้มอยู่กลางถนนรถกระบะเก่าคร่ำครึที่กำลังขับซิ่งด้วยความเร็วสูงปะทะเข้ากับร่างของราตรีอย่างจังร่างเล็กกระแทกเข้ากับฟุตบาทอีกฝั่งหนึ่งของสนามเด็กเล่นเลือดไหลเจิ่งนองเต็มถนนไปหมดทั้งชายร่างใหญ่และรถกระบะคันนั้นต่างหนีความผิดกันจ้าระหวั่น ตะวันกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นสภาพของพี่สาวตัวเองฟ้าใสรีบวิ่งเข้าไปช้อนร่างของราตรีให้อยู่ในอ้อมกอดเธอตรวจสอบดูร่างของเพื่อนสาวก่อนจะปล่อยโฮออกมาเสียงดลั่นเมื่อเธอได้รู้ว่าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว“ราตรีอย่าแกล้งกันอย่างนี้สิ”“...”“ขอร้องล่ะลืมตาขึ้นมาเถอะนะอย่าเพิ่มทิ้งชั้นไป”น้ำตาไหลพรั่งพรูอาบแก้ม“...”“ราตรีอย่าทำอย่างนี้กับฉันเลยนะนี่ฉันรักเธอนะได้ยินรึเปล่าฉันรักเธอ!!”ฟ้าใสกระซิบที่ข้างหูราตรีด้วยเสียงที่แหบพร่าเธอได้สูญเสียคนสำคัญของเธอไปอีกแล้ว
“คุณหมอครับลูกผมอยู่ไหนคุณเอาลูกผมไปซ่อนไว้ที่ไหน!!”“คุณครับใจเย็นๆก่อนนะครับต้องขอโทษจริงๆแต่ว่าลูกสาวของคุณเสียชีวิตตั้งแต่ที่เกิดเหตุแล้วทางเราเสียใจจริงๆครับ”หมอหนุ่มพยายามปลอบประโลมคนเป็นพ่อ“ไม่จริงคุณโกหกราตรียังไม่ตายคุณหลอกผมไม่ได้หรอกบอกมานะว่าลูกผมอยู่ไหนผมจะไปหาลูก”“เอกคะคุณใจเย็นๆก่อนนะ”นภาพยายามห้ามเธอก็เสียใจไม่น้อยเหมือนกันที่พอรู้ตัวอีกทีลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนก็จากเธอไปแบบไม่มีวันกลับ“นภาคุณเข้าข้างมันหรอคุณบ้าไปแล้วรึไง”เอกตะโกนทั้งน้ำตา“...”“ไอ้เด็กนั่นอยู่ไหน!!”“คุณจะทำอะไรเด็กคะ!”นภาพูดเสียงแหบ“ผมจะฆ่ามัน”น้ำเสียงเย็นเยียบที่ปล่อยออกมาจากปากของชายตรงหน้านั้นทำให้นภากลัวจับใจเธอทำได้เพียงแค่กลั้นใจพูดด้วยต่อให้คนตรงหน้าสงบสติอารมณ์ลงเท่านั้น“คุณอย่าเพิ่งคิดอะไรบ้าๆอย่างนั้นสิคะลองใจเย็นๆแล้วมองความเป็นจริงซะบ้าง”“ไม่ผมเย็นมาพอแล้วผมจะไปหาลูกแล้วพาลูกกลับบ้าน”เขาพยายามยืนกราน ในขณะที่กำลังเสียสติอยู่นั้นเองรถที่ขนศพราตรีออกมาจากห้องฉุกเฉินก็เข็นผ่านหน้าเขาไปพอดีเมื่อเอกเห็นดังนั้นเขาจึงคว้าร่างของลูกสาวคนโตมาอุ้มในท่าเจ้าสาวก่อนจะวิ่งหนีลงไปข้างล่าง“เฮ้ยจับไว้เร็ว!”หมอหนุ่มตะโกนไล่หลังแต่เอกก็ยังไม่ยอมแพ้เขาหนีมาจนถึงรถของตัวเองรีบบิดกุญแจสตาร์ทรถออกไปจากโรงพยาบาลแบบไม่คิดชีวิตในหัวของเอกตอนนี้มีเพียงว่า ‘ใครที่ทำให้ลูกสาวของเขาเป็นแบบนี้มันต้องตาย’ที่บ้านของฟ้าใสเธอกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าบ้านขณะที่แม่ของเธอออกไปทำงาน ตอนเธอกลับมาถึงบ้านหลังจากเหตุการณ์วันนั้นแม่ก็กลับมาบ้านก่อนจะสารภาพว่ากำลังจะแต่งงานใหม่และเธอต้องย้ายไปอยู่ที่อังกฤษด้วยกันเรื่องต่างๆประดังประเดเข้ามาหาเด็กสาวจนเธอแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่“บอกไปซะแล้วสินะความรู้สึกของเรา”ฟ้าใสพูดด้วยอารมณ์เลื่อนลอยตาทั้งสองข้างจ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย“ฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตายตอนนี้เธอคงจะเกลียดฉันแล้วสินะฮะๆๆเรานี่มันโง่จริงๆถ้าฉันตายซะตอนนี้ราตรีจะอภัยให้ฉันมั๊ยน้า”รถยนต์สีขาวสะอาดตาเคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าบ้านราตรี เอกดิ่งมาหาฟ้าใสอย่างไม่รอช้าพร้อมกับอุ้มขี้นพาดบ่าเมื่อประชิดตัว เด็กสาวสะดุ้งเฮือกพยายามจะดิ้นให้หลุดจากชายแปลกหน้าคนนี้แต่ก็ไม่สำเร็จเธอถูกมัดอยู่ทีี่กลางห้องนั่งเล่นซึ่งบนพรมสีแดงเลือดมีตัวอักษรประหลาดๆเขียนอยู่ฟ้าใสหันซ้ายทีขวาทีไปมาอย่างตื่นตระหนกเมื่อเธอเห็นศพเพื่อนสาววางอยู่ตรงหน้าปกหนังสือสีน้ำตาลแก่ถูกหยิบออกจากชั้นหนังสือ เอกเริ่มอ่านอักขระประหลาดพวกนั้นอย่างชำชองเขาพยายามที่จะอ่านมันแทบตายตอนราตรีตาบอดจนในที่สุดเขาก็สามารถทำพิธีกรรมนี้ได้อักษรประหลาดบนพรมส่องแสงสีแดงขึ้นมาก่อนที่ตัวเธอจะค่อยๆลอยขึ้นสติเลือนลางจนเหมือนจะดับลงได้ทุกเวลามือของราตรีกระตุกไปมาราวกับว่าพลังชีวิตของเธอกำลังถูกถ่ายโอนไปให้เพื่อนสาวสติของเด็กสาวเริ่มขาดห้วงไปทุกทีๆ แต่ก่อนที่สติเธอจะดับไปนั้นนภาก็เข้ามาช่วยเธอเอาไว้เสียก่อน“ฝากลูกของฉันด้วยนะฟ้าใส”ภาพของนภาที่พุ่งเข้ามาทำลายพิธีฉายเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบไปเด็กสาวตื่นขึ้นมาที่บ้านไม้ในย่านชนบทของอังกฤษสายลมอ่อนๆพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านผืนบางปลิวไสว‘ฝันอย่างนี้อีกแล้ว’เธอคิดดวงตาสีน้ำทะเลฉายแววเศร้าลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วัยเด็กชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารในมือ“อ้าวตื่นแล้วหรอลูก”พ่อเลี้ยงของเธอยิ้มแป้นในขณะที่มือทั้งสองค่อยๆวางข้าวต้มลงบนโต๊ะข้างเตียงลูกเลี้ยงคนสวย“ค่ะคุณพ่อ”เธอยิ้มให้“เรื่องที่จะไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองไทยพ่อคุยกับแม่แล้วนะแม่เค้าอนุญาติแล้ว”“ขอบคุณค่ะพ่อฟ้า...”เธอหยุดพูดเพียงแค่นั้นเมื่อพ่อของเธอทำท่าจุ๊ปาก“แหน่ะๆบอกแล้วไงว่าไม่ได้ชื่อฟ้าใสแล้วลูกชื่อเกรซต่างหากล่ะสัญญากับพ่อแล้วนี่”“ค่ะคุณพ่อหนูจะจำไว้”“อืมงั้นพ่อไปก่อนนะหายไข้เร็วๆล่ะเรา”ฉีกยิ้มให้ลูกเลี้ยงอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะเดินออกจากห้องไป“เฮ้อ”เกรซถอนหายใจ เธออยู่ที่อังกฤษมาห้าปีแล้วคงถึงเวลาที่เธอจะได้กลับไปบ้านเกิดเสียที“รอก่อนนะราตรีฉันกำลังจะไปหาเธอแล้ว”
....................................................................................................................


ติดตามเรื่องอื่นๆหรือตอนที่ไวกว่าได้ที่เพจได้เลยค่ะขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
https://www.facebook.com/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B4QwQ-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B0-127421940992898/

 



 













 






 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา