The Witches II : Dark Heart

9.2

เขียนโดย Kyoso12

วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.58 น.

  9 ตอน
  6 วิจารณ์
  10.70K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 18.24 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) สตรีผู้แข็งแกร่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

(2 สัปดาห์ต่อมา)

                หลังจากผ่านความเศร้ามาได้ไม่นานฉันก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ราชินีอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ที่อาณาจักรของเราได้เป็นตัวแทนในการแข่งขันประลองดาบ ซึ่งในการแข่งขันครั้งนี้มีอัศวินมากมายจากหลายๆเมืองเข้ามาร่วมแข่งขันในครั้งนี้ด้วยและแน่นอนมอร์เดร็ดเองก็ร่วมแข่งด้วยในฐานะที่เป็นเจ้าภาพมอร์เดร็ดเองก็ฝึกซ้อมอย่างจริงจัง

   ในตอนนี้ฉันกับอาเธอร์นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่หน้าสุดของขอบสนามประลองเพื่อให้พวกเราได้ชมการแข่งขันอย่างใกล้ชิด โดยกรุงเอเธนส์ซึ่งเป็นเจ้าภาพมาตลอดทุกปีนั้นในขอร้องให้พวกเราช่วยเป็นเจ้าภาพในปีนี้เพื่อให้อาณาจักรต่างๆได้รู้จักการแข่งขันมากขึ้น

“เฮ้อ ผมไม่อยากมานั่งดูอะไรแบบนี้เลย” อาเธอร์บ่นพึมพำขณะที่กำลังชมพิธีของงานในครั้งนี้

“เฮ้อ ทนๆดูไปเถอะเดี๋ยวก็มีอะไรสนุกเองแหละ”

“ก็เพราะเราต้องมาดูแบบนี้ไงถึงได้น่าเบื่อ ถ้าได้ลงไปแข่งเองก็คงจะดี”

“นี่คุณอายุเท่าไหร่แล้วอาเธอร์ให้หนุ่มๆเค้าได้ลงสนามกันบ้างเถอะ”

“ครับๆ คุณภรรยา” เมื่ออาเธอร์พูดจบจึงหันไปดูที่สนามต่อส่วนฉันเองก็เพ่งดูเหล่าอัศวินทั้งหลายที่กำลังเข้าสู่สนามเพื่อกล่าวคำปฎิญาณ แต่เอ๊ะเดี๋ยว ในการแข่งครั้งนี้มีผู้หญิงอยู่หนึ่งคน ทำให้ฉันต้องหันไปสะกิดคนข้างๆ

“คุณๆเห็นผู้หญิงคนนั้นมั้ย” ฉันชี้ไปที่สนาม

“อ่อ ใช่ เธอคือลีอาร์เจ้าหญิงแห่งเอเธนส์”

“แบบนั้นเองหรอ แสดงว่าฝีมือของเธอคงจะไม่ใช่เล่นๆเลยสินะ”

“ก็อาจใช่ ว่าแต่ผมไม่เห็นเอสเธอร์เลย”

“อะไรนะ!!!!” ฉันหันไปพูดเสียงดังเพราะความตกใจที่อาเธอร์พูดราวกับเอสเธอร์ร่วมการแข่งขันนี่ด้วย

“คุณได้ยินไม่ผิดหรอกที่รักเอสเธอร์ลงการแข่งขันนี่ด้วย ไม่ต้องห่วงไปหรอกที่รักถึงเธอจะอายุน้อยที่สุดแต่เธอก็ยังเก่งกว่าทหารหลายคนสักอีก อาจจะเทียบเท่ามอร์เดร็กซะด้วยซ้ำ” เมื่ออาเธอร์พูดจบฉันจึงหันกลับไปมองที่สนามเห็นเอสเธอร์และมอร์เดร็ดกำลังเดินเข้าสู่สนามและฮือฮาที่ดังกึกก้องไปทั่วสนามที่มีเด็กผู้หญิงอายุ 9 ขวบลงแข่งขันในครั้งนี้ด้วย เฮ้อ แม้แต่ลูกสาวของฉันก็ยังได้รับอิทธิพลมาจากอาเธอร์เหมือนกันงั้นหรอ หลังจากที่ทุกคนกล่าวคำปฎิญาณตนเสร็จแล้วจึงเริ่มการแข่งขันในคู่แรก

 

“คู่แรก!!!! อัศวินโทมัสจากเมืองตะวันออก ปะทะ!!! เจ้าหญิงเอสเธอร์แห่งคาเมรอท!!!” เสียงโฆษกประจำสนามประกาศรายชื่อของคู่แรก เฮ้อ นี่พ่อลูกบ้านนี้จะทำให้ฉันอกแตกตายจนได้สินะ ฉันหันไปมองอาเธอร์ที่กำลังสนอกสนใจในกันแข่งขันของเอสเธอร์มาก ทางฝั่งคู่ต่อสู้ของเอสเธอร์นั้นใช้ดาบเพลงเล่มเดียว ส่วนเอสเธอร์นั้นใช้ดาบคู่ในการต่อสู้ครั้งนี้

“เฮ้อ พลาดแล้วที่มาเจอกับเด็กคนนี้”

“ทำไมละ”

“ถึงจะเห็นว่าตัวเล็กแบบนั้นแต่ความไวของเอสเธอร์ได้เปรียบมากค่อยดูแล้วกันที่รัก” ฉันจึงหันกลับไปมองที่สนามอีกครั้งซึ่งเอสเธอร์ใช้ความเร็วของเธอในการเข้าหาคู่ต่อสู้ในระยะประชิดความได้เปรียบอีกอย่างของเอสเธอร์ก็คือเธอใช้ดาบเล่มหนึ่งกันดาบของคู่ต่อสู้เอาไว้และจัดการใช้ดาบอีกเล่มฟันที่ขาของคู่ต่อสู้

   เมื่อคู่ต่อสู้เริ่มอ่อนกำลังลงเพราะความเจ็บเธอจึงใช้ดาบฟันไปตามจุดต่างๆของคู่ต่อสู้แบบไม่ยั้งมือ เรียกเสียงเฮฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

“เห็นรึยังที่รัก”

“ฉันเห็นแล้ว”

ไม่นานนักฝ่ายศัตรูของเอสเธอร์ก็ต้องพ่ายแพ้ไปในการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เอสเธอร์เข้าสู้รอบต่อไปได้อย่างง่ายดาย และต่อมาในการแข่งขันคู่อื่นๆก็เหลือแต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะสามารถผ่านเข้ารอบไปได้ มอร์เดร็ดเองก็สามารถผ่านเข้ารอบไปได้อย่างสบายๆ จนกระทั่งถึงรอบรองชนะเลิศที่เค้าต้องมาต่อสู้กับลีอาร์เจ้าหญิงแห่งกรุงเอเธนส์

“ท่านแม่!!!! ข้าขอชนะเลยได้มั้ย!!!!! มอร์เดร็ดตะโกนขึ้นมาจากกลางสนาม

“อย่ามาดูถูกข้านะ!!!!!” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้โต้ตอบมอร์เดร็ดลีอาร์ก็จัดการใช้โล่ของเธอกระแทกไปที่ลำตัวของมอร์เดร็ดอย่างเต็มแรงจนทำให้มอร์เดร็ดกระเด็นไปไกลพอสมควรเลย

“อูยยยย คงเจ็บน่าดูเลยนะ” อาเธอร์กล่าวขึ้น

“เฮ้อ พ่อเป็นยังไงลูกก็เป็นแบบนั้นแหละ” ฉันหันไปมองอาเธอร์พร้อมกับเหยียดยิ้มเล็กน้อย

“ขออภัยด้วจ๊ะที่รัก ว่าแต่มองลีอาร์ไปก็คล้ายๆกับคุณนะว่ามั้ย”

“หึ คุณกำลังจะบอกว่าจะสู่ขอผู้หญิงคนนี้ให้กับลูกชายของคุณใช่มั้ย”

“เมืองของเราต้องการราชินีที่แข็งแกร่งและมีไหวพริบดีเหมือนกับคุณดังนั้นคนที่เหมาะที่สุดน่าจะเป็นลีอาร์นี่แหละ”

“นี่คุณจะไม่ถามลูกสักคำเลยรึไง”

“ก็คุณบอกเองไม่ใช่หรอ ว่ามอร์เดร็ดนิสัยเหมือนกับผม” อาเธอร์หันมาย้อนใส่ฉัน

“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะหันกลับไปดูการต่อสู้ของมอร์เดร็ดและลีอาร์ มอร์เดร็ดเข้าถึงตัวของลีอาร์ได้ยากมากเพราะตัวลีอาร์เองก็ใช้โล่ของเธอในการป้องกันการโจมตีของมอร์เดร็ดได้หมดทุกทาง

 

“คุณว่าใครจะชนะในรอบนี้”

“ลีอาร์ เพราะตัวลีอาร์เองได้เปรียบมอร์เดร็ดในทุกด้านไม่ว่าจะทางด้านการต่อสู้หรือแม้กระทั่งความฉลาดและไหวพริบล้วนแล้วได้เปรียบมอร์เดร็ดทั้งหมดเลย มอร์เดร็ดมีข้อเสียอยู่อย่างเดียวก็คือใจร้อน”

  เมื่อฉันหันกลับไปมองอีกครั้งก็เห็นมอร์เดร็ดวิ่งเอาเข้าไปกระแทกกระโล่ป้องกันของลีอาร์เพื่อหวังว่าจะให้ลีอาร์เสียการทรงตัวแต่มอร์เดร็ดคิดผิดลีอาร์หลบการโจมตีของมอร์เดร็ดและใช้ขาขัดเท้าของมอร์เดร็ดเอาไว้ จนทำให้มอร์เดร็ดล้มลงจนหน้าของเค้ากระแทกกับพื้น

“นี่หรือเจ้าชายแห่งคาเมรอท!!! ทำไมช่างเขลาแบบนี้ละ!!!!” ลีอาร์ตะโกนขึ้นพร้อมกับเอาดาบของเธอเคาะโล่ของเธอ

“เฮ้อ ข้าละเบื่อผู้หญิงถึกแบบเจ้าจริงๆเลย” มอร์เดร็ดตอบโต้ลีอาร์ไปทำให้ลีอาร์ทิ้งอาวุธทั้งหมดและเข้ากระชากเสื้อของมอร์เดร็ดก่อนที่จะซัดหมัดของเธอไปที่หน้าของมอร์เดร็ดอีกหลายครั้ง

“ข้าเป็นผู้หญิงแล้วจะทำไม!!!! กว่าข้าจะมาถึงจุดนี้เจ้ารู้มั้ยว่าข้าฝึกฝนมาลำบากากแค่ไหน!!!!” ลีอาร์หยุดต่อยและยกตัวมอร์เดร็ดขึ้นให้ลอยเหนือพื้น

“นี่.....เจ้า...”

“บอกตามตรงนะ ถึงข้าจะเป็นผู้หญิงแต่ข้าก็ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนกับเจ้าหรอกนะ!!! และอีกอย่างข้าจะไม่ยอมแพ้ให้กับผู้ชายอย่างเจ้า!!!!!!” ลีอาร์ยกกำปั้นขึ้นมาและต่อยที่หน้าของมอร์เดร็ดอย่างเต็มแรงจนทำให้มอร์เดร็ดถึงกับสลบไป กลายเป็นว่ามอร์เดร็ดต้องแพ้ให้กับการต่อสู้ครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

   ทำให้ตอนนี้ลีอาร์เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ส่วนคู่ต่อไปก็คือเอสเธอร์ลูกสาวคนเล็กของเราที่ต้องมาเจอกับชายผู้มีชื่อว่าแซมซันเค้ามาจากเปอร์เซีย แซมซันเป็นชายที่มีรูปร่างใหญ่จนเหมือนกับยักษ์ก็ไม่ปราณทันทีที่เริ่มการต่อสู้เอสเธอร์วิ่งเข้าหาแซมซันและไถลตัวไปที่ระหว่างขาของแซมซันเพื่อใช้มีดปาดไปที่ข้อเท้าของแซมซันซึ่งมันทำให้แซมซันรู้สึกโกรธเอามากๆ แซมซันจึงใช้มือของเค้าจับตัวเอสเธอร์ขึ้นมาให้ลอยเหนือพื้น ทำให้ทั้งฉันและอาเธอร์ต้องลุกขึ้นยืนดูเพราะรู้สึกเป็นห่วงเอสเธอร์เพราะว่าคู่ต่อสู้คนนี้นั้นไม่ใช่เล่นๆเลย

“เหอะ!!!! เด็กน้อยแบบเจ้างั้นหรอจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้า!!!!”

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนะ!!!! เจ้าตัวเหม็น!!!!!”

“หึ!!! ทำมาเป็นพูดดี ชีวิตของเจ้ามันอยู่ในกำมือของข้าแล้ว!!! ข้าแค่ขยี้เจ้าตรงนี้เจ้าก็ตายแล้วเด็กน้อย!!!!” แซมซันพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะเยาะออกมาในเชิงเหยียดที่คิดว่าตนเองได้เปรียบมากกว่าเด็กตัวเล็กๆ ใช่ถึงแม้ว่าแซมซันจะได้เปรียบเอสเธอร์ในเรื่องกำลังแต่ถ้าเรื่องไหวพริบละก็คนละเรื่องเลย

  เอสเธอร์ใช้มีดของเธอแทงไปที่ข้อมือของแซมซันเพื่อให้แซมซันปล่อยเธอออก จากนั้นเธอจึงรีบเกาะแขนของแซมซันเอาไว้และวิ่งบนแขนเข้าไปเพื่อล็อคคอของแซมซันเอาไว้ ทำให้ผู้ชมในสนามต่างพร้อมใจกันส่งเสียงเรียกชื่อของเอสเธอร์กันอย่างล้นหลาม เอสเธอร์ล็อคคอของแซมซันโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเลยสักนิด จนทำให้แซมซันที่โดนล็อคคออยู่นั้นเริ่มขาดอากาศหายใจและทำท่าเหมือนกับว่ากำลังจะหมดสติ

  เอสเธอร์จึงรีบล็อคให้แน่นยิ่งกว่าเดิมจนทำให้แซมซันหมดสติและล้มลงกับพื้น เอสเธอร์จึงปล่อยและกระโดดออกมา เป็นการจบการต่อสู้ที่รวดเร็วและสวยงาม เสียงปรบมือดังอย่างกึกก้องไปทั่วทั้งสนามเพราะทึ่งในฝีมือของเอสเธอร์ที่เอาชนะแซมซันลงได้

“เฮ้อ ทำไมผู้หญิงเดี๋ยวถึงได้โหดร้ายกันจังเลย” อาเธอร์บ่นขึ้นพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย

“เอาเป็นว่าถ้าจบงานนี้แล้วเราลงไปหาลูกข้างล่างกัน”

“ได้เลยครับคุณภรรยา” เมื่อเสร็จจากที่เราพูดคุยกับกันแล้วก็ได้เวลาที่จะพาผู้เข้าแข่งขันที่เหลือเข้าสู่สนามทั้งสองคนโดยที่จะให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนได้พูดคุยกันก่อนฉันมองเห็นเด็กสาวทั้งสองคนกำลังยิ้มให้กันราวกับว่าทั้งคู่ไม่อยากจะสู้กันเลย

“ข้าเจ้าหญิงลีอาร์แห่งเอเธนส์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“ยินดี ข้าเจ้าหญิงเอสเธอร์แห่งคาเมรอทยินดีที่ได้พบเจ้าหญิงผู้แข็งแกร่งอย่างท่าน”

“โอ้ ไม่หรอกคือข้าแค่ผ่านการฝึกฝนมาหนักพอสมควรเลยละ เจ้าเป็นน้องสาวของเค้าหรอ”

“ใช่ พี่ชายข้าเป็นพวกหลงตัวเองนิดหน่อย แต่ก็พอใช้ได้”

“อื้ม ข้าเห็นละ ว่าแต่ทำไมเด็กอย่างเจ้าถึงได้มาลงแข็งแบบนี้ละ”

“เพราะข้าอยากทดสอบฝีมือของตัวเองน่ะ แต่ก็พอแล้วละ ข้าขอสละสิทธิ์ให้ทานชนะไปเลย”

“ไม่ ไม่ ไม่ ข้าต่างหากที่ต้องขอสละสิทธิ์เพราะข้าเกรงว่าไหวพริบของเจ้าอาจจะเหนือกว่าได้”

“ไม่ ข้าดีกว่า”

“ไม่เอาข้าดีกว่า” ทั้งคู่ต่างยืนกรานว่าจะสละสิทธิ์ให้ได้ เฮ้อ ให้ตายสิแบบนี้ก็ไม่จบกันสักทีสิ

“ถ้าหากตัดสินกันไม่ได้แบบนี้จะให้ทำยังไงดีพะยะค่ะ” ทหารคนหนึ่งขึ้นมาถามอาเธอร์

“อื้ม ถ้าแบบนั้นเราคงต้องให้เธอสู้กันให้ได้ไม่ก็....”

“งั้นก็ให้พวกเธอจัดการไซครอปละกัน”

“ว่าไงนะ!!!! เดี๋ยวนี่คุณจะทำอะไร!!!”

“ถ้าผู้ชมต้องการความตื่นเต้นงั้นก็ให้ทั้งสองคนจัดการไซครอป คนที่สามารถปราบไซครอปลงได้เป็นอันชนะ อีกอย่างวิธีไม่ทำให้พวกเธอต้องมาห่ำหั่นกันเองด้วย”

“ถ้างั้นก็เอาแบบนั้นก็ได้” เมื่ออาเธอร์พูดจบฉันจึงร่ายเวทย์มนต์เพื่อเสกไซครอปให้ลงมายังกลางสนามแข่งแห่งนี้

“ให้พวกเจ้าทั้งสองคนจัดการเจ้าไซครอปตัวนี้!!! ใครที่สามรถปราบมันได้ถือว่าเป็นฝ่ายชนะ!!!!” เมื่อฉันประกาศออกไปทำให้ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันอีกครั้งก่อนที่จะเข้าไปจัดการไซครอปที่อยู่ตรงหน้า

“ไปเลย!!!” ลีอาร์ใช้โล่ของเธอเป็นฐานให้เอสเธอร์กระโดดขึ้นไปบนตัวของไซครอปและคอยจัดการไซครอปอยู่ข้างล่าง

“เฮ้อ ผมเดาสองคนนี้ไม่ออกเลยจริงๆ” อาเธอร์บ่นขึ้น

“แต่ฉันคิดว่าทั้งสองคนต่างก็อยากให้อีกฝ่ายชนะ ลีอาร์ส่งตัวเอสเธอร์ขึ้นไปหวังจะให้เธอจัดการแต่ในทางกลับกันเอสเธอร์เองก็พยายามทำให้ไซครอปหันไปสนใจเธอมากกว่าลีอาร์” ในขณะเดียวกันเองนั้นทั้งสองคนต่างช่วยกันโจมตีตามจุดสำคัญต่างๆบนร่างกายของไซครอป ทำให้ไซครอปเกิดอาการโมโหมากยิ่งขึ้น

  มันคำรามไปทั่วทั้งสนามประลอง เอสเธอพยายามจะโจมตีไปที่ดวงตาของมันแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไซครอปที่กำลังโมโหได้เลย ทำให้เอสเธอร์จึงจำเป็นต้องกระโดดลงมาจากตัวของไซครอป ส่วนลีอาร์จึงจัดการใช้โล่ของเธอวิ่งเข้าไปกระแทกที่ขาของไซครอป จนทำให้มันเสียการทรงตัวและล้มลงเป็นจังหวะที่เอสเธอร์ใช้ดาบทั้งสองเล่มปักไปที่ฝ่ามือของมันเพื่อขึ่งเอาไว้กับพื้น

“ตอนนี้แหละ!!!!” เอสเธอร์ตะโกนขึ้นเพื่อให้ลีอาร์รีบวิ่งเข้าไปใช้ดาบของเธอแทงไปที่กลางอกของไซครอปเพื่อจบการต่อสู้นี้อย่างสวยงาม และผลการตัดสินก็เป็นเอกฉัน ลีอาร์เป็นฝ่ายชนะ เหล่าผู้ชมต่างพากันโห่ร้องด้วยความยินดีพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังก้องไปทั่วสนามและดอกไม้ที่ผู้ชมต่างพากันโยนดอกไม้ไปที่สนามซึ่งมันก่อให้เกิดภาพที่สวยงามเอามากๆ เอสเธอร์วิ่งเข้าไปกอดลีอาร์เพื่อแสดงความยินดีกับเธอในชัยชนะครั้งนี้ เมื่อฉันกับอาเธอร์เห็นดังนั้นจึงลงไปที่สนามเพื่อแสดงความยินดีกับทั้งสองคนเช่นกัน

“ท่านแม่!!!!!” เอสเธอร์วิ่งเข้ามาสวมกอดฉันเอาไว้

“เก่งมากจ๊ะลูกแม่ ส่วนเธอก็ยินดีด้วยนะลีอาร์”

“ด้วยความยินดีเพคะ องค์ราชินี” ลีอาร์น้อมตัวให้กับฉัน

“เอาเป็นว่าเสร็จจากพิธีปิดแล้วข้าอยากให้เจ้ามาร่วมงานเลี้ยงฉลองของเรานะ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเพคะ”

 

(ในเวลาต่อมาทางด้านของมอร์เดร็ด)

“เฮ้อ ท่านพี่เนี่ยขี้แพ้จังเลยนะ” เอสเธอร์บ่นขึ้นขณะกำลังรอพี่ชายของเธอที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจก

“หนวกหูน่า!!!”

“ท่านพี่เนี่ยถ้าไม่มีเวทย์มนต์ช่วยป่านนี้หน้าของท่าพี่ของจะเละจนออกงานเลี้ยงในคืนนี้ไม่ได้แน่”

“เฮ้อ เลิกบ่นข้าได้รึยัง”

“ไม่ ข้าไม่เลิกบ่นเพราะขนาดข้ายังได้ที่สองมาครองเลย”

“ทำเป็นพูดไป”

“ว่าแต่ลีอาร์นี่ทั้งสวยและก็ยังเก่งอีกด้วย”

“เหอะ ผู้หญิงแบบนั้นเนี่ยนะสวย”

“เอ้า!! ท่านพี่นางสวยจริงๆนะแถมยังน่ารักอีกด้วยถ้าได้นางมาเป็นพี่สะใภ้ละก็ข้าคงจะปราบปลิ้มน่าดู”

“เฮ้อ ตื่นได้แล้วเอสเธอร์ให้ตายยังไงพี่ก็ไม่ชอบผู้หญิงถึกแบบนั้นหรอก อย่าพี่เนี่ยต้องผู้หญิงที่ดูเป็นกุลสตรี อ่อนหวานและบอบหวานพอที่จะให้พี่ปกป้องได้”

“แหวะ ทำเป็นพูดไประวังเสน่ห์ของลีอาร์นะ เพราะมันอาจจะทำให้ท่านพี่หลงนางจนหัวปักหัวปำ”

“จ้าๆ” หลังจากมอร์เดร็ดแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินมาหาน้องสาวของตนเพื่อจะควงแขนเข้าไปในงานเลี้ยง และพากันเดินออกจากห้องไปเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังห้องโถง

“โอ้โห วันนี้แต่งตัวหล่อจังนะ จะไปอวดสาวที่ไหนกันละ”

“ทั้งอาณาจักร” และจากพูดจบมอร์เดร็ดก็พาเอสเธอร์ก้าวลงบรรไดที่ลงไปสู่ห้องโถง เหล่าแขกสาวๆในงานต่างพากันอ่อนไหวของภาพลักษณ์ของเจ้าชายรูปงามคนนี้ไม่ว่าจะเป็นผมสีแดงประกายทองที่ถูกจัดแต่งออกมาได้อย่างดูดี อีกทั้งชุดทางการสีดำสนิทที่ทำให้สีผิวและผมของมอร์เดร็ดดูเด่นยิ่งขึ้น

  ส่วนเอสเธอร์ก็ใส่ในชุดราตรีสีฟ้าที่เข้ากันได้ดีผมสีทองของเธอ ช่างดูเป็นคู่พี่น้องที่เพอร์เฟ็คที่สุด เมื่อทั้งคู่ลงมาถึงยังข้างล่างเพื่อทักทายแขกในงานสายตาของมอร์เดร็ดกับใครบางคนเข้า ใช่ เธอคือเจ้าหญิงลีอาร์เธอสวมชุดราตรีสีทองที่ดูเป็นสง่าและเข้ากับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอได้เป็นอย่างดี ทำให้ชวนสดุดตาเป็นอย่างมาก ทำให้มอร์เดร็ดต้องปฏิเสธสาวที่เข้ามาขอเค้าเต้นรำและเดินตรงเข้าไปหาลีอาร์ในทันที

“ไง แต่งตัวสวยก็เป็นเหมือนกันหรอเนี่ย” มอร์เดร็ดทักทายลีอาร์ขึ้น

“ข้าก็เป็นผู้หญิงเหมือนดังเช่นผู้หญิงทั่วไป ไม่เห็นจะน่าแปลกใจตรงไหนเลย”

“ไม่ ไม่คือข้าชมเจ้าจากใจจริง”

“ถ้างั้นก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณละกันว่าแต่นึกยังไงมาคุยกับข้าละ”

“พอดีว่าข้ากำลังมองคู่เต้นรำเพื่อจะเปิดงานอยู่น่ะ”

“หึ เจ้าชายรูปงามแบบเจ้าไปขอใคร ใครก็ยอมกันทั้งนั้นแหละ”

“ก็จริง ว่าแต่ไม่มีใครมาขอเจ้าไปเป็นคู่เต้นรำเลยรึ”

“ข้าเป็นถึงผู้ชนะอันดับหนึ่งจากการแข่งขันประลองดาบเมื่อเช้านี้มันก็ทำให้หนุ่มๆหลายๆคนต่างพากันกลัวข้า ข้าก็เลยต้องมายืนคุยแบบนี้ไง”

“ถ้างั้นข้าขออนุญาตสตรีผู้แข็งแกร่งคนนี้มาเป็นคู่เต้นรำในการเปิดงานกับข้าจะได้หรือไม่” มอร์เดร็ดโค้งให้กับลีอาร์พร้อมกับยื่นมือมาทางลีอาร์

“เอาจริงหรอ คือข้าเต้นรำตามแบบของอาณาจักรของเจ้าไม่เป็นหรอกนะ”

“ไม่เป็นเดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าเอง” มอร์เดร็ดดึงมือของลีอาร์เข้ามากุมเอาไว้และพาลีอาร์มายังกลางห้องโถงเพื่อเป็นการเปิดการเต้นรำในครั้งนี้ มอร์เดร็ดส่งสัญญาณให้เหล่านักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลง จากนั้นมอร์เดร็ดใช้มือของขวาของเค้าโอบไปที่เอวของลีอาร์และใช้มืออีกข้างเพื่อประสานมือของลีอาร์เอาไว้

“เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหม่า”

“ทำไมเพราะเหล่าแขกทุกคนที่พากันมองมาที่เจ้าหรือความหล่อของข้า”

“เพราะสายตาของทุกคนต่างหากอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”

“ถ้างั้นก็เริ่มกันเลย” ทั้งคู่เริ่มก้าวเท้าไปตามจังหวะของเพลงที่กำลังบรรเลงอย่างไพเราะ รวมถึงเหล่าแขกที่ต่างเริ่มจับคู่กันเพื่อเข้าไปร่วมเต้นรำด้วย และเหล่าแขกในงานที่ต่างพากันชื่นชมเจ้าชายมอร์เดร็ดกันอย่างไม่ขาดสาย

‘นั่นใช่เจ้าหญิงลีอาร์ที่เค้าล่ำรือกันมั้ย’ เสียงแขกคนหนึ่งในงานพูดขึ้น

‘ใช่ เห็นว่าเธอเดินทางมาไกลมากจากบ้านเมืองของเธอมาไกลเลยทีเดียว’

‘เจ้าชายมอร์เดร็ดช่างรูปงามอะไรเยี่ยงนี้ เฮ้อ ข้าคงจะไม่มีวาสนาพอที่จะเทียบเท่าเจ้าหญิงลีอาร์ได้เลย’ เสียงซุบซิบของแขกในงานทำให้ลีอาร์อดจะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เป็นอะไรไป” มอร์เดร็ดถามขึ้น

“เปล่า ข้าแค่รู้สึกว่าคำพูดของทุกคนที่กำลังพูดถึงเจ้ามันชวนให้ข้าหัวเราะ”

“ก็จริงอยู่แต่อันที่จริงข้าชินกับคำพูดพวกนั้นไปแล้วละ ว่าแต่เจ้าอยากออกไปจากตรงนี้มั้ย”

“ก็ดีเหมือนกัน” ว่าแล้วมอร์เดร็ดก็รีบจูงมือของลีอาร์ออกไปจากห้องโถงออกไปทางสวนที่อยู่หลังปราสาทซึ่งทำให้แขกในงานต่างตกอกตกใจกันเป็นอย่างมาก

“เฮ้อ ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย” มอร์เดร็ดบ่นออกมา

“เจ้าทนในงานที่น่าจะอึดอัดแบบนี้มาตลอดได้ยังไงกัน”

“เพราะข้าเป็นเจ้าชายรูปงามไง”

“นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย”

“ว่าแต่ที่เมืองของเจ้าเป็นยังไงลองเล่าให้ข้าฟังบ้างสิ” มอร์เดร็ดถามคำถามของลีอาร์พร้อมกับเดินในสวนอย่างช้าๆ

“ได้ บ้านเมืองของข้าแต่ก่อนเราเต็มไปด้วยความสงบสุข มีพืชผลอุดมสมบูรณ์ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างเสรีและไม่เบียดเบียนใคร จนกระทั่งสงครามเข้ามาในชีวิตของพวกเรา”

“สงครามงั้นหรอ”

“ใช่ เจ้าเองก็น่าจะรู้นี่สงครามมันเป็นยังไง ในขณะที่ข้าซึ่งเป็นธิดาองค์เล็ก และเป็นผู้หญิงคนเดียวในบรรดาพี่ข้าทั้งเจ็ดคน ที่อาณาจักรของฉันมีสงครามอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ฉันต้องหันมาจับดาบเพื่อเข้าต่อสู้หลายครั้งที่ฉันเอาชนะศัตรูได้แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่านพ่อสนใจตัวฉันเลย ท่านพ่อสนใจแต่พวกพี่ๆที่แม้แต่ใช้ดาบก็ยังไม่ได้เรื่อง”

“เฮ้อ ข้าพอเข้าใจความลำบากของเจ้าอยู่แต่ข้าแค่ไม่เข้าจั้งที่เจ้าเป็นเจ้าหญิงเชียวนะทำไมถึงต้องมาจับดาบอะไรแบบนี้ด้วย”

“เพราะข้าผิดที่เกิดมาเป็นผู้หญิงแล้วละ ถึงแม้จะสร้างความดีมากมายแต่ก็ไม่เคยจะได้รับความรักดังนั้นข้าจึงฝึกฝนการต่อสู้เพื่อสักวันฉันจะเหนือกว่าผู้ใดและหวังว่าท่านพ่อหันมามองฉันบ้าง ไม่เหมือนกับเจ้ามอร์เดร็ดมีแต่คนรักเจ้า...”

“บางครั้งสิ่งที่ข้าได้รับมันก็มากเกินไปจนทำให้ข้าหลุ่มหลงไปกับมัน ขอโทษที่ตอนแรกข้าดูถูกเจ้าไปเมื่อตอนเช้า”

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ถือหรอกข้าก็ล้างแค้นเจ้าไปตอนแข่งแล้วไง”

“นึกถึงทีไรก็ยังเจ็บอยู่เลย”

“ขอโทษทีว่าแต่เจ้าเคยมีความรักบ้างมั้ย”

“ก็เคยนะ ข้าเคยคิดว่านางรักข้าด้วยใจและเพราะความน่ารักของนางเองก็ทำให้ข้ารู้สึกหลงรักนาง จนกระทั่งวันหนึ่งข้าจับได้ว่านางใช้น้ำหอมปลุกอารมณ์เพื่อจะทำให้ข้าเป็นของนาง ข้าจึงต้องตีจากนางและอีกอย่างนางเองก็เป็นผู้หญิงที่ครอบครัวของครัวของข้าไม่ชอบเอามากๆ บางทีข้าเองก็รู้สึกผิดที่ไม่เชื่อฟังคำเตือนของท่านแม่และหลงไปกับมารยาที่ผู้หญิงคนนั้นสร้าง”

“เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าโง่เขลามากเลยใช่มั้ย”

“ใช่ เอ๊ะ!! เดี๋ยวนะเจ้าแกล้งด่าข้าแบบอ้อมๆอย่างนั้นหรอ”

“ใช่ ทั้งที่เจ้าเคยมีความรักแต่เจ้ากลับไม่รู้จักความรักที่แท้จริง”

“แล้วรู้มั้ย”

“พอรู้อยู่บ้าง ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังว่าความรักที่แท้จริงนั้นต้องเกิดจากคนสองคนที่มีความจริงใจต่อกัน และรักอีกฝ่ายด้วยใจที่บริสุทธิ์โดยไม่คำนึงถึงฐานะหรือว่ารูปร่างหน้าตา” ทั้งสองคนเดินมาเรื่อยจนมาถึงยังศาลาที่อยู่กลางสวน

“เจ้านี่ทำให้ข้าดูงี่เง่าไปเลยนะ”

“ขอบคุณ”

“ว่าแต่ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดู”

“อะไรละ” เมื่อทันทีที่ลีอาร์พูดจบมอร์เดร็ดก็ดีดนิ้วขึ้นทำให้เกิดแสงระยับมากมายรอบศาลาแห่งนี้ก่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามและจับใจอย่างยิ่งทำให้ลีอาร์ต้องยิ้มออกมา

“นี่เจ้าทำมันได้ยังไง” ลีอาร์ถามพรางใช้นิ้วชี้ไปที่แสงระยิบระยับ

“เดิมที่ท่านแม่ของข้านางเคยเป็นแม่มดขาวคอยช่วยเหลือผู้คนมากมาย แต่ว่าตอนนี้นางได้สอนเวทย์มนต์ต่างๆนั้นให้กับข้าและน้องสาวของข้า ข้าจึงใช้เวทย์มนต์พวกนี้ในการช่วยเหลือเหล่าผู้คนที่มีความทุกข์ต่อจากแม่ของข้ายังไงละ และข้าหวังว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นจะทำให้เจ้าสบายใจยิ่งขึ้น"

“ขอบคุณนะ ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยมันสวยมากเลย มีใครรู้เรื่องนี้อีกมั้ย”

“ไม่ มีแค่ครอบครัวของข้าและก็คนสนิทเท่านั้นที่รู้ นอกนั้นก็ไม่มีใครมีเพียงเจ้า”

“แล้วทำไมถึงมาบอกข้าละ”

“ก็ไม่รู้สิ บางทีข้าก็เห็นความทุกข์ที่อยู่ในใจของเจ้าข้าก็เลยอยากจะช่วยเท่านั้นเองแหละ”

“เจ้าแน่ใจรึ” ลีอาร์เดินมาใกล้มอร์เดร็ดในระยะประชิดจนทำให้มอร์เดร็ดรึสึกประหม่า

“ข้า....แน่ใจ เอ่อ ว่าแต่พรุ่งนี้ถ้าเจ้าว่างข้าจะพาเจ้าไปขี่ม้าเพื่อชมรอบๆเมืองตกลงมั้ย”

“ได้สิ ข้าว่าอยากจะเที่ยวชมรอบเมืองนี้อยู่พอดีเลย”

“งั้นเอาเป็นว่าตกลงตามนี้ ละกันข้าจะรอเจ้าอยู่ที่หน้าปราสาทในยามเช้า”

“ได้ ว่าแต่เจ้าช่วยไปส่งข้าที่หน้าปราสาทหน่อยจะได้คือบังเอิญว่าข้าไม่ชินกับส้นสูงสักเท่าไหร่เลยอยากจะกลับที่พักเร็วนิดนึง”

“ได้สิครับ คุณผู้หญิง” มอร์เดร็ดเข้ามาจูงมือของลีอาร์เอาไว้พร้อมกับเดินออกไปจากสวนพร้อมๆกัน ในระหว่างที่เดินไปนั้นลีอาร์เล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับการสู้รบในแต่ละครั้งของเธอให้กับมอร์เดร็ดได้ฟัง เพราะมอร์เดร็ดทำให้เธอรู้สึกสบายใจมากเวลาอยู่ด้วยกัน ส่วนมอร์เดร็ดเองก็เล่าเรื่องราวของเค้าช่วงวัยเด็กให้กับลีอาร์ได้ฟังบ้าง มอร์เดร็ดส่งลีอาร์กลับขึ้นบนรถม้าของเธอแล้วมอร์เดร็ดจึงเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยงพร้อมกับเดินตรงไปยังแม่ของเค้าที่กำลังมองพ่อของเค้าเต้นรำอยู่กับน้องสาวของเค้า

“ขอโทษ นะครับมาดามไม่ทราบว่ามีคู่เต้นรำรึยังครับ” มอร์เดร็ดโค้งให้กับแม่ของเค้าเมื่อแม่ของเค้าเห็นดังนั้นจึงทำให้เธอยิ้มออกมา

“วันนี้ลมอะไรพัดลูกมาเนี่ย ปกติลูกจะออกไปเต้นรำกับพวกสาวๆไม่ใช่รึ” เมลิซ่าเธอลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินไปหาลูกชายของนาง

“ไม่ละ วันนี้ลูกพอแล้ว”  มอร์เดร็ดตอบคำถามแม่ของเค้าพร้อมกับยิ้มแบบเขินๆเล็กน้อย

“วันนี้ลูกเป็นอะไรไปรึเปล่า แลลูกแปลกๆไปนะ” เมลิซ่าพยายามเอียงคอเพื่อจะสบตากับลูกของเธอให้ได้

“เปล่า ท่านแม่ลูกไม่ได้เป็นอะไร”

“นั่นแน่ มอร์เดร็ดแม่เห็นลูกเปลี่ยนไปตั้งแต่เจอกับลีอาร์แล้วนะ นี่ลูกเริ่มชอบนางแล้วงั้นหรอ”

“เปล่า ข้าไม่ได้ชอบนางสักหน่อยเราแค่คุยกันถูกคอเฉยๆ”

“คุยอะไรกันอยู่หรอ แม่ลูก” อาเธอร์เดินเข้ามาทักทั้งสองขึ้น

“ก็แค่ปัญหาวัยรุ่นน่ะ ว่าแต่คุณมาเต้นรำกับฉันได้มั้ย”

“ได้สิที่รัก เอสเธอร์ไปเต้นรำกับพี่เค้าเถอะ”

“เพคะ ท่านพ่อ” เอสเธอร์ย่อตัวให้กับพ่อของเธอก่อนที่จะเข้าเต้นรำกับพี่ชายของเธอ ในช่วงเวลานี้มอร์เดร็ดได้แต่ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เค้าเจอลีอาร์ในการแข่งขันประลองดาบไปจนถึงตอนนี้ที่ลีอาร์เดินเข้ามาในงานเลี้ยง ทีแรกเค้ารึสึกแค่ว่าลีอาร์เป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีดีแค่พละกำลังและการต่อสู้แต่กลับไม่ใช่อย่างที่เค้าคิด.....

 

(เช้าวันรุ่งขึ้น)

                ในช่วงเช้าของวันถัดมามอร์เดร็ดจูงม้าตัวโปรดของเค้าออกมายืนรอลีอาร์อยู่ที่หน้าปราสาท หลังจากที่เค้าได้กับเธอเอาไว้เมื่อวานนี้ มอร์เดร็ดเดินวนไปวนมาเพื่อและพยายามที่จะไม่ตื่นเต้นเวลาที่ลีอาร์มาพบเค้า ทันใดนั้นเองลีอาร์ก็ควบม้าของเธอมาที่หน้าปราสาทในชุดพื้นเมืองของเธอ

“รอนานมั้ย”

“ก็ไม่หรอก ว่าแต่นี่ชุดของอาณาจักรเจ้าหรอ”

“ใช่ มันใส่แล้วทำให้ข้ารู้สึกสบายข้าก็เลยใส่ชุดนี้มา อีกอย่างข้าเห็นชุดของอาณาจักรของเจ้าแล้วรู้สึกอึดอัดแทน”

“ไม่หรอก เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่ร้อนเท่าไหร่หรอกนะ” มอร์เดร็ดตอบคำถามของลีอาร์พร้อมกับขึ้นไปบนหลังม้าและควบม้าเข้ามาใกล้ๆลีอาร์อย่างช้าๆ

“เอาละ วันนี้เจ้าจะพาไปที่ไหนบ้างละ”

“อื้ม เอาเป็นว่าข้าจะพาเจ้าไปชมตลาดก่อนดีกว่า อีกอย่างนานๆทีข้าจะได้ไปที่นั่น”

“งั้นก็ไปกันเถอะ” เมื่อทันทีที่ลีอาร์พูดจบทั้งสองก็พากันควบม้ามุ่งไปตามถนนที่จะมุ่งหน้าไปยังตลาดที่อยู่ในตัวเมืองใกล้ๆนี้

“เฮ้อ อากาศยามเช้าของที่นี่ดีจังเลยนะ”

“ถ้าเจ้าชอบที่นี่ก็อยู่ที่นี่ไปเลยสิ”

“ไม่หรอกถึงข้าจะชอบมันมากแค่ไหนแต่ข้าก็มีอาณาจักรของข้าที่ข้าต้องกลับไป อีกอย่างข้าเองก็ไม่ได้มีพันธะใดใดกับอาณาจักรนี้อยู่แล้วด้วย”

“ข้าเข้าใจเจ้าดี”

“และก็ข้าเองก็อยากจะนำชัยชนะในครั้งนี้กลับไปบอกท่านพ่อสักหน่อยก็ยังดี”

“ถึงแม้ว่าพ่อของเจ้าอาจจะไม่ยินดีกับเรื่องนี้เลยสินะ”

“ใช่ แค่เล็กน้อยก็ยังดี” ลีอาร์ก้มหน้าลงขณะที่กำลังควบม้าไปเรื่อยๆ

“อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ เจ้าดูไม่เข้มแข็งแบบผู้หญิงที่ข้าสู้ด้วยเมื่อวานเลยนะ” มอร์เดร็ดยื่นมือมาตบที่ไหล่ของลีอาร์เป็นเชิงให้กำลังใจ

“ขอบคุณนะ”

“ดูนั่นสิ เราไปฝากไว้ที่ตรงนั้นแล้วเดินเข้าไปในตลาดดีกว่า” มอร์เดร็ดชี้ไปยังคอกม้าที่อยู่หน้าตลาด ลีอาร์จึงพยักหน้าตอบรับพร้อมกับควบม้าไปที่คอกม้าที่มอร์เดร็ดบอก และหลังจากที่ทั้งคู่ฝากม้าไว้เรียบร้อยแล้วทั้งคู่จึงเดินเข้าไปในตลาดพร้อมกัน ท่ามกลางชาวเมืองที่พากันออกจับจ่ายซื้อของกันอยู่ที่ตลาดแห่งนี้

“ตลาดที่นี่ช่างดูวุ่นวายจังนะ”

“ก็แบบนี้แหละ ว่าแต่ที่เมืองของเจ้าไม่วุ่นวายแบบนี้บ้างหรอ”

“ก็แค่เคยเป็นแหละ แต่ทุกวันนี้กลับช่างดูเงียบเหงา”

“ข้าเชื่อว่าหลังจากเสร็จสิ้นสงครามนี้แล้วทุกอย่างจะต้องกลับมาเป็นปกติในไม่ช้านี่แน่”

“ขอบคุณ ว่าแต่หลังจากที่เราเดินทั่วตลาดแห่งนี้แล้วเจ้าจะไปที่ไหนต่องั้นหรอ”

“อาจจะเป็นบ้านเก่าของข้า”

“บ้านเก่าของเจ้า?”

“ใช่ มันเป็นบ้านที่ข้าอยู่มาตั้งแต่เกิดเอาเป็นว่าเมื่อเราเสร็จจากที่นี่แล้วเราจะไปที่นั่นกัน”

“ได้สิ”

“เจ้าหญิงลีอาร์!!!!” เด็กผู้หญิงชาวเมืองคนหนึ่งตะโกนขึ้นพร้อมกับวิ่งมาทางลีอาร์กับมอร์เดร็ด

“ว่าไงจ๊ะ” ลีอาร์ย่อตัวลงเพื่อให้เสมอกับเด็กที่เข้ามาหาเธอ

“ข้าได้เห็นการต่อสู้ของท่านเมื่อวานนี้มันทำให้ข้ารู้สึกประทับใจเอามากๆ เมื่อข้าโตขึ้นข้าอยากจะแข็งแกร่งแบบท่านให้”

“โอ้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องหมั่นฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำนะ ไม่ว่ายังไงข้าก็ขอให้เจ้าสู้ๆละกัน”

“ขอบพระทัยเพคะ ว่าแต่ท่านช่วยอุ้มข้าไปตรงนั้นหน่อยจะได้มั้ย” เด็กน้อยชี้ปยังลานกว้างที่ตอนนี้กำลังมีชายคนหนึ่งเล่นเครื่องดนตรีอยู่

“ได้สิ” ลีอาร์อุ้มเด็กผู้หญิงคนนี้ขึ้นบ่าของเธอและเดินตรงไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเล่นดนตรีอยู่ ส่วนมอร์เดร็ดเองก็ได้แต่เดินตามมาแบบงงๆ

“เจ้าหญิงสนใจจะเต้นรำกับข้ามั้ย”

“ไม่หรอกจ๊ะ คือข้าเต้นรำแบบนั้นไม่ได้หรอก”

“ให้เจ้าชายมอร์เดร็ดสอนท่านสิ”

“ข้าเกรงว่า....”

“นะนะนะ ท่านเจ้าหญิงลีอาร์ข้าอยากเห็นท่านเต้นรำ” เด็กผู้หญิงคนนี้ทำสีหน้าออดอ้อน

“ก็ได้จ๊ะ”

“เย้! ข้าดีใจจังท่านวางข้าลงตรงนี้ได้เลยเจ้าหญิง”

“จ้าๆ” เมื่อลีอาร์ปล่อยเด็กผู้หญิงคนนี้ลง นางก็รีบวิ่งไปหาเพื่อนๆของนางและต่างพากันมาดึงมือของลีอาร์ให้เข้าไปที่ใจกลางของลานกว้าง ส่วนชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นก็ต่างพากันดันหลังของมอร์เดร็ดเพื่อให้เข้าไปหาลีอาร์ที่ยืนอยู่ที่ลานกว้าง และจากนั้นเหล่าชาวบ้านต่างก็พากันมุงล้อมทั้งสองคนเอาไว้พร้อมกับส่งเสียงเพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองคนเต้นรำกันให้ได้

“นี่ข้าต้องเต้นรำที่นี่จริงๆงั้นหรอ” ลีอาร์กล่าวขึ้น

“ใช่ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นเอาละคุณผู้หญิงได้โปรดเต้นรำกับผมนะ” มอร์เดร็ดโค้งให้กับลีอาร์พร้อมกับยื่นมือไปทางเธอ ลีอาร์พยักหน้าเพื่อตอบรับและประสานมือเข้ากับมือของมอร์เดร็ด เมื่อนักดนตรีเห็นดังนั้นจึงเริ่มบรรเลงเพลงขึ้นทั้งสองคนจึงเริ่มก้าวตามจังหวะของเพลง ถึงแม้ลีอาร์อาจจะยังไม่เป็นเท่าไหร่แต่ก็มีมอร์เดร็ดคอยนำเพื่อให้เธอขยับตามมอร์เดร็ดปเรื่อยๆ จากนั้นได้ไม่นานจังหวะของเพลงก็เริ่มเร็วขึ้นเปลี่ยนเป็นเพลงสนุก ทำให้เหล่าเด็กที่อยู่ในบริเวณและชาวบ้านบางส่วนเข้ามาร่วมวงเต้นรำด้วย ตอนนี้เสียงเพลงทำให้ลีอาร์และมอร์เดร็ดรู้สึกสนุกไปตามๆกัน

“ข้าว่าเต้นรำที่นี่สนุกกว่าในปราสาทของเจ้าอีกนะ” ลีอาร์กล่าวขึ้นขณะที่กำลังกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน

“ข้าก็ว่าอย่างงั้นแหละ” มอร์เดร็ดตอบลีอาร์พร้อมกลับเข้ามาหาลีอาร์ใกล้ๆทั้งคู่เต้นรำไปเรื่อยๆจนกระทั่งเพลงได้สิ้นสุดลง ชาวบ้านที่เข้ามาร่วมต่างปรบมือให้กับทั้งคู่ทำให้ทั้งสองคนเกิดอาการเขินอายเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาสบตากัน

“เฮ้อ เจ้ายังอยากเต้นรำอยู่อีกมั้ย” มอร์เดร็ดกล่าวขึ้น

“ไม่ละ วันนี้ข้าเหนื่อยเกินไปที่จะเต้นรำต่อแล้ว”

“งั้นก็ถึงเวลาที่ข้าจะพาเจ้าไปชมบ้านเก่าของข้า”

“งั้นก็ไปกันสิ” หลังจากที่ลีอาร์พูดจบทั้งคู่เดินจับมือกันและตรงไปยังคอกม้าที่อยู่หน้าตลาด ตลอดระยะเวลาที่ทางคู่ควบม้าไปที่บ้านหลังเก่าของมอร์เดร็ดนั้นทั้งคู่ต่างหยอกล้อซึ่งกันและกัน

  รวมถึงแชร์เรื่องราวต่างๆที่ได้ประสบพบเจอลีอาร์เล่าถึงเรื่องราวของเธอในช่วงวัยเด็กในสมัยที่ยังไม่มีสงครามให้บาดหมางใจ เช่นเดียวกับมอร์เดร็ดที่ได้เล่าเรื่องราวสมัยที่เค้ายังอยู่แค่กับแม่ของเค้าในบ้านหลังเก่านี้ ทั้งคู่ควบม้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงยังที่แห่งนี้ บ้านหลังเก่าของมอร์เดร็ด

“ว้าว ที่นี่เองหรอ”

“ใช่ ที่นี่แหละ ผูกไว้ที่หน้าบ้านเสร็จแล้วเราก็เข้าไปกัน” มอร์เดร็ดและลีอาร์ต่างพากันรีบลงจากหลังม้าผูกม้าของทั้งสองไว้ที่ต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านหลังนี้ก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างในตัวบ้านพร้อมกัน

“ช่างเป็นบ้านเก่าที่น่าอยู่เสียจริงๆ แลร่มรื่นกว่าปราสาทที่เจ้าอยู่ตอนนี้เสียอีก”

“ก็จริงอยู่ แต่ว่าทุกอย่างมันเป็นไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้หรอก”

“เฮ้อ แต่จะว่าไปแล้วของพวกนี้แลไม่ค่อยดูเก่าเท่าไหร่”

“เผอิญว่าตอนที่ท่านพ่อขอท่านแม่แต่งงานในคอกม้า ข้าก็ร่ายเวทย์มนต์ทิ้งเอาไว้เผื่อว่าสักวันข้าอาจจะหนีมานอนเล่นที่นี่บ้าง” เมื่อมอร์เดร็ดพูดจบเค้าก็ได้แต่มองตามลีอาร์ที่กำลังเดินสำรวจไปรอบๆบ้านหลังนี้ และเดินเข้าไปใกล้ลีอาร์อย่างช้าๆ จนกระทั่งทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากลีอาร์ที่หันมาเจอมอร์เดร็ดที่อยู่ในระยะประชิดถึงกับสดุ้งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“มอร์เดร็ด!!! เจ้าทำให้ข้าตกใจนะ!!!” ลีอาร์หันมาจ้องหน้ามอร์เดร็ดที่อยู่ตรงหน้าจากนั้นลีอาร์จึงค่อยๆก้าวเท้าถอยหลังไปจนชิดพนังของห้อง ส่วนมอร์เดร็ดเองก็ขยับเข้าใกล้ตามไปเรื่อยๆพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างโอบไปที่เอวของลีอาร์

“ถ้างั้นข้าก็ขออภัยด้วยที่เสียมารยาท”

“บางทีเจ้าก็ทำให้ข้ารู้สึกว่าเราไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่แบบสองต่อสองกับเจ้า” ลีอาร์ใช้มือทั้งสองข้างพยายามดันหน้าอกของมอร์เดร็ดเอาไว้เพื่อรักษาระยะห่าง

“หืม แต่ข้าชอบนะมันเป็นอะไรที่ส่วนตัวดีและอีกอย่างเราก็จะได้คุยกันอย่างสะดวกไง”

“เฮ้อ การที่ข้าได้พบเจ้าเพียงแค่วันเดียวไม่ได้ช่วยให้ข้าหลงรักเจ้าหรอกนะ”

“หรืออาจจะเพราะชุดของเจ้าที่บางขนาดนี้ มันทำให้ข้าอดใจไม่ไหว” มอร์เดร็ดกำชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

“นี่เจ้าจะหาว่าข้ายั่วเจ้าอย่างงั้นหรอ”

“ก็คงใช่” มอร์เดร็ดทำหน้าตากวนประสาทพร้อมกับยักคิ้วเล็กน้อย

“หึ บอกเลยว่ามุขนี้มันใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ”

“แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะได้ผลนะ” มอร์เดร็ดเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ลีอาร์มากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนของลีอาร์และใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปตามต้นขาของลีอาร์

“หยุดนะมอร์เดร็ด!!! เจ้ากำลัง..” ยังไม่ทันที่ลีอาร์จะพูดจบมอร์เดร็ดก็ประทับริมฝีปากที่ปากขอลีอาร์จนแน่นตอนนี้หัวใจของทั้งคู่เริ่มสั่นรัวพร้อมกับลมหายใจที่เริ่มร้อนขึ้น ก่อนที่มอร์เดร็ดจะผละริมฝีปากออกจากลีอาร์

“เป็นยังไงบ้าง ข้าเห็นหัวใจของเจ้าเต้นรัวเลยนะ”

“เจ้าเองก็เป็นไม่ใช่หรอ..ทำเองแต่กลับใจสั่นซะเอง” คำพูดของลีอาร์ทำให้มอร์เดร็ดถึงกับหน้าแดงราวกับลูกตำลึง มอร์เดร็ดจึงซบไปที่ไหล่ของลีอาร์เพื่อปิดบังอาการเขิน

“ก็มันครั้งแรกของข้าที่ทำแบบนี้ ข้าก็เลยรู้สึกประหม่าไปหน่อย”

“เฮ้อ เจ้านี่มันจริงๆเลยมอร์เดร็ด” ลีอาร์ลูบหัวของมอร์เดร็ดเบาๆก่อนที่มอร์เดร็ดจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับลีอาร์ ทั้งคู่สบตากันอยู่สักพักก่อนที่มอร์เดร็ดจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบลีอาร์อีกครั้ง มอร์เดร็ดจูบลีอาร์อย่างอ่อนโยนไปเรื่อยๆจนเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆทำให้ลีอาร์ต้องผละหน้าอกของมอร์เดร็ดออก

“ข้าขออีกนิดนึงนะ” เมื่อมอร์เดร็ดพูดจบมอร์เดร็ดเปลี่ยนจากการจูบที่ริมฝีปากเลื่อนลงมาถึงต้นคอของลีอาร์

“ไม่ มอร์เดร็ดขืนถ้าเจ้าทำมากไปกว่านี้ข้าจะไม่ไหวเอานะ”

“ไม่ต้องห่วงข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง อีกอย่างตอนนี้ทั้งเจ้าและข้ากำลังร้อนแบบสุดๆจะให้หยุดเพียงแค่นี้งั้นหรอ” เมื่อพูดจบมอร์เดร็ดจึงหันกลับไปไซร้ที่คอของลีอาร์ไล่ลงมาจนถึงเนินอกของลีอาร์อย่างดุเดือด

“มะ....มอร์เดร็ด.....” ลีอาร์รู้สึกอ่อนไหวราวกับใบไม้ที่กำลังถูกพายุพัดใส่อย่างกระหน่ำจนทำให้เธอต้องใช้เล็บจิกไปที่หลังคอของมอร์เดร็ด จากนั้นมอร์เดร็ดจึงอุ้มลีอาร์ขึ้นและพาเธอไปยังเตียงนอนของเค้า

“เอาละข้าจะเริ่มแล้วนะ” ยังไม่ทันที่มอร์เดร็ดจะได้ทำอะไรต่อลีอาร์ก็ใช้มือของดันปากของมอร์เดร็ดเอาไว้

“ใจเย็นๆก่อนสิ เดี๋ยวข้าก็ท้องขึ้นมาหรอก”

“ไม่เป็นไรถ้าเจ้าท้องข้าก็จะได้แต่งงานกับเจ้าไง”

“เฮ้อ เลิกฝันหวานได้แล้วมอร์เดร็ดเอาไว้วันหลังเถอะนะ” ลีอาร์ผลักมอร์เดร็ดให้ออกห่างจากเธอจากนั้นลีอาร์จึงลุกขึ้นนั่งพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย

“เฮ้อ ข้าผิดเองที่ใจร้อนไปหน่อย”

“ความจริงข้าเองก็อยากจะชกหน้าเจ้าให้หงายเหมือนกัน” ทั้งคู่หันมามองหน้ากันอีกครั้งก่อนที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ต่างพากันแยกย้ายไปกลับไปที่พักของตนเองพร้อมกับนัดหมายว่าพรุ่งนี้ทั้งสองจะมาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดังนั้นทั้งคู่จึงใช้ที่นี่เป็นจุดนัดพบของพวกเค้า

  และในแต่ละวันที่พวกเค้าเจอกันพวกเค้าต่างเจริญความสัมพันขึ้นเรื่อยๆเปลี่ยนความรู้สึกเป็นความรัก พวกเค้าทั้งสองคนใช้เวลาที่มีในการอยู่ร่วมกันในบ้านเล็กหลังนี้ ในตอนนี้มอร์เดร็ดกำลังไล่จูบแผ่นหลังของลีอาร์เลื่อนไปจนถึงต้นคอของเธอ ซึ่งในขณะนี้ลีอาร์กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่บนเตียงนอนของมอร์เดร็ดซึ่งการกระทำของมอร์เดร็ดทำให้ลีอาร์ต้องตื่นลืมตาขึ้นมาด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อย

“มอร์เดร็ดหยุดเถอะ ข้าไม่มีแรงแล้วนะ..”

“ข้ารู้อยู่แล้วแต่ว่าเวลาที่ข้าเห็นเรือนร่างของเจ้าแล้วมันก็ทำให้ข้ารู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมาจนอดใจไว้ไม่อยู่”

“เอาไว้คราวหน้าเถอะมอร์เดร็ด อีกอย่างหนึ่งถ้าข้าเกิดท้องขึ้นมาละ”

“เราก็จะได้แต่งงานกันไง ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง” มอร์เดร็ดใช้มือทั้งสองข้างดึงตัวของลีอาร์ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเค้า ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่ต้องหันมามองหน้ากันและรีบใส่เสื้อผ้าที่วางอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว

“เจ้าไปเปิดประตูสิ!!” ลีอาร์ไล่ให้มอร์เดร็ดไปเปิดประตู

“ก็ได้ๆ” เมื่อได้ยินดังนั้นมอร์เดร็ดจึงเดินไปที่ประตูและเปิดประตูออกไปเพื่อจะดูว่าใครกันที่เป็นคนเคาะ แต่เค้ากลับไม่พบใครมีเพียงเหยี่ยวตัวหนึ่งที่กำลังจ้องมอร์เดร็ดอย่างไม่ขยิบเลย

“ใครมาหรอ!!!” ลีอาร์ตะโกนขึ้น

“แค่เหยี่ยวตัวหนึ่งน่ะ!!”

“เหยี่ยวหรอ!!!” เมื่อได้ยินดังนั้นลีอาร์จึงรีบวิ่งมาประตูทันที เมื่อเห็นเหยี่ยวตัวนี้ลีอาร์จึงก้มลงไปลูบหัวของมันก่อนที่จะยื่นมือของเธอเพื่อฝห้มันขึ้นมาเกาะบนแขนของเธอ

“เอ่อ.........”

“เหยี่ยวตัวนี้ชื่อเทมิสน่ะ มันมาส่งข่าวให้กับข้า” เมื่อลีอาร์พูดเหยี่ยวตัวนี้ก็จัดการคาบม้วนกระดาษเล็กที่สอดอยู่ที่ข้อเท้าของมันขึ้นมาให้ลีอาร์ เมื่อได้ดังนั้นลีอาร์จึงค่อยๆคลี่แผ่นกระดาษนี่ออก

“มันเขียนไว้ว่าอะไร”

“ท่านแม่ต้องการให้ข้ากลับไป...”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา