The Witches : Red Witch
9.0
เขียนโดย Kyoso12
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.55 น.
11 ตอน
19 วิจารณ์
14.31K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 11.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) การเดินทาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากที่เรามาถึงที่นี่เราก็เดินทางกันมาได้สักพักแล้ว ที่ป่าแห่งนี้รวมสารพัดสัตว์ต่างๆและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่มนุษย์คิดว่ามันเป็นแค่ตำนาน ที่นี่มีทั้งพ่อมด แม่มด เอลฟ์ เซนทอร์ อ็อค คนแคระ และอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งบาซิลิสก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
“เฮ้อ ไซเรนนี่สุดยอดไปเลยนะ” เซอร์เบดิเวียร์กล่าวขึ้น
“หึ นั่นเป็นแค่วิญญาณของพวกไซเรนที่ตายไปแล้วนะ ถ้าเจอไซเรนตัวเป็นๆจะไม่ชอบแน่”
“หมายความว่าไง!! ไหนลองอธิบายให้ฟังหน่อยสิ”
“ก็พวกนางไซเรนที่เราเจอเป็นรูปแบบของพรายน้ำซึ่งก็คือวิญญาณของพวกไซเรนนั่นเอง ส่วนพวกไซเรนจริงๆ ตัวจะเหมือนกับนกแต่หน้าตาจะเป็นหญิงสาวที่อัปลักษณ์”
“แล้วที่นี่มีนางเงือกรึเปล่าท่านเมลิซ่า” ทหารคนนึงกล่าวขึ้น
“มีสิ” หลังจากฉันพูดจบเหล่าทหารก็ต่างพากันดีใจยกใหญ่ เพราะชื่อเสียงของนางเงือกด้านความงามนั้นเป็นที่หนึ่งเลยทีเดียวและไหนจะเสียงร้องอันไพเราะของพวกนางอีกละ ส่วนอาเธอร์ก็เอาแต่จ้องมองฉันตลอดเวลาพอฉันหันหน้าไปทางเค้า ก็พยายามหันหน้าหนีตลอดซึ่งบางทีฉันก็คิดว่าเค้าเหมือนกับเด็ก 5 ขวบคนนั้นคนเดิมที่ฉันเคยช่วยชีวิตเอาไว้
“ว่าแต่เมลิซ่าพวกเราจะไปพักแรมที่ไหนกัน”
“ที่หมู่บ้านเซนทอร์ พวกเค้าจะตอนรับพวกเราเป็นอย่างดี” ฉันเดินนำทางไปเรื่อยๆตามทางเดิน แต่ก็ดูเหมือนเราจะเจอกับอะไรบางอย่างเข้าให้
“พวกมนุษย์หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!!!!” พวกอ็อคตัวจิ๋วกระโดดออกมาจากพุ่มและล้อมพวกเราเอาไว้
“อะไรกันเนี่ยอ็อคจิ๋วหรอ!!” อาเธอร์กล่าวขึ้น
“ส่งของมีค่าของพวกเจ้ามาซะ!!!”
“เฮ้อ อยากกินลูกไฟก็ไม่บอก” ฉันกล่าวขึ้น
“เมลิซ่าเองเรอะ ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!!! พวกเราจัดการมัน!!!” เหล่าอ็อคจิ๋วพากันวิ่งกรูมาทางพวกเรา เฮ้อ ฉันละเบื่อพวกนี้จริงๆ ว่าแล้วฉันก็ร่ายคาถาเพื่อให้พวกอ็อคหยุดชงัก
“เฮ้อ ไปกันต่อเถอะก็แค่อ็อคตัวเล็กๆ” ฉันเดินนำเพื่อให้ทุกคนออกจากตรงนั้น จริงๆเลยพวกอ็อคเนี่ยน่าจะทำเหมืองขุดแร่สักหน่อยน่าจะมีประโยชน์กว่านี้แท้ๆ ดันมาเป็นโจรเที่ยวปล้นสดมไปทั่ว เฮ้ออออออ
“ว่าแต่เมลิซ่าคุณไม่เหนื่อยบ้างรึไงใช้พลังเวทย์ไปตั้งขนาดนั้น”
“ก็มีบ้างแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร และอีกอย่างฉันยังไม่ได้ใช้พลังออกมาทั้งหมดหรอกนี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”
“แล้วหมู่บ้านเซนทอร์อีกไกลมั้ยท่านเมลิซ่า”
“ไม่ไกลมากหรอกอีกสักพักก็จะถึงแล้ว” ระหว่างที่ฉันเดินอยู่นั้นมันก็ทำให้ฉันนึกถึงครั้งที่เคยมาที่นี่กับคุณยายมาธาร์ ในตอนนั้นฉันอายุแค่ 16 ปีเอง เป็นการเดินทางครั้งแรกที่สนุกเอามากๆ และมันทำให้ฉันได้รู้จักกับสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ที่นี่ ได้สัมผัสกับความอ่อนโยนของเหล่านางเงือก และความอบอุ่นราวกับญาติของเหล่าเซนทอร์ฉันอยู่ที่นี่กับคุณยายมาธาร์ตลอดหนึ่งปีก่อนที่จะกลับไปยังเมืองคาเมรอท
เพราะคุณยายเคยบอกกับฉันไว้ว่าท่านทิ้งพวกเด็กกำพร้าและคนยากไร้ที่นั่นไม่ได้เพราะพวกเค้าต้องการท่านและนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันอยากจะทำหน้าที่นี้ต่อจากคุณยาย จนกระทั่งฉันเจอกับอาเธอร์และได้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยทำไมกันอาเธอร์ทั้งที่ฉันพยายามหนีหายไปจากชีวิตของเค้าแล้ว แต่กลับต้องมาวนเวียนเจอกับเค้าอีกครั้ง
เวลาต่อมา............
หลังจากที่เราเดินทางกันได้ไม่นานเราก็มาถึงยังหมู่บ้านเซนทอร์ แน่นอนพวกเค้าต้อนรับฉันอย่างดี โดยมีลูอิสหัวหน้าของเหล่าเซนทอร์เป็นคนต้อนรับ พวกเซนทอร์ต่างพากันมาต้อนรับฉันด้วยความคิดถึงพวกเค้าบอกว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไปแล้วถึงแม้ฉันจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยนับตั้งแต่คุณยายท่านเสีย พวกเซนทอร์ได้จัดเตรียมบ้านพักให้กับพวกเราพร้อมกับเชิญพวกเราให้ไปร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของลูอิสอีกด้วย
ส่วนพวกทหารที่เหลือก็ถูกเชิญไปร่วมรับประทานอาหารเช่นกัน โดยฉันให้พวกทหารทานกันไปก่อนเพื่อจะให้เซนทอร์พาพวกเค้าไปชมรอบๆหมู่บ้าน เพื่อพวกเราจะได้ประชุมวางแผนกันเรื่องจะช่วยเจ้าหญิงมอร์กาน่า
“เอาละเชิญพวกท่านนั่งก่อน ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะให้พวกข้าช่วยละ” ลูอิสกล่าวขึ้น
“คือพวกเราต้องการที่จะไปยังถ้ำที่กักขังบาซิลิสเพื่อจะเอาดอกไม้ที่ใช้เป็นยาถอนพิษ เพราะว่าเจ้าหญิงมอร์กาน่าซึ่งเป็นน้องสาวของกษัตริย์ เธอโดนพิษของบาซิลิสแบบอ่อนเข้าไป”
“อื้ม พิษของบาซิลิสแบบอ่อนงั้นรึ งั้นก็แสดงว่าต้องมีคนแอบเอาลมหายใจของบาซิลิสไปให้เจ้าหญิงสูดเข้าไปละสิ”
“ฉันคิดว่าก็คงเป็นแบบนั้น เพราะเหตุนี้เราจึงรีบมาที่นี่”
“แต่ว่ามันอันตรายมากนะ ท่านเมลิซ่า กับการที่เราต้องไปเผชิญกับบาซิลิสเนี่ย”
“ฉันเข้าใจ แต่ว่าท่านพอจะนำทางให้เราได้มั้ย”
“ก็ได้อยู่หรอกท่านเมลิซ่า แต่ข้าทำได้เพียงพาท่านไปถึงแค่ทางเข้าถ้ำเท่านั้น และหลังจากนั้นพวกท่านต้องไปเผชิญด้วยตัวของพวกท่านเอง”
“ถึงจะเสี่ยงยังไงท่านอาเธอร์ก็คงจะไม่ยอมถอยแน่ๆ” เซอร์เบดิเวียร์กล่าวขึ้น
“ถ้างั้น ลูอิสช่วยบอกจุดอ่อนของบาซิลิสหน่อยจะได้มั้ย” ฉันกล่าวขึ้น
“ได้เลยท่านเมลิซ่า ก่อนอื่นเลยเราต้องบอกถึงตัวบาซิลิสก่อนเพราะตัวมันมีหน้าเหมือนไก่ตัวเป็นงูและมีปีกแบบมังกร มันจะโจมตีด้วยการสบตามัน าเราสบตามันเราก็จะกลายเป็นหิน ได้สูดลมหายใจของมันเข้าไปก็กลายเป็นหินเช่นกัน แต่ว่าถ้าเราเห็นมันผ่านเงาสะท้อนเราก็จะกลายเป็นหินได้เช่นเดียวกัน หรือจะให้พูดทำนองว่าสามารถตายได้ทันที ส่วนขนาดตัวของมันก็สูงใหญ่เท่ากับมังกรเลยทีเดียวเชียว วิธีจะจัดการมันท่านจะต้องกลั้นหายใจและห้ามสบตามันเด็ดขาดซึ่งแน่นอนว่า ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนยกเว้นแต่....”
“ใครละ” ฉันกล่าวขึ้น
“ลูเซียส...” เมื่อลูอิสพูดชื่อนี้ขึ้นจึงทำให้ฉันถึงกับสดุ้ง
“ลูเซียสคือใครกัน” อาเธอร์ถามขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน
“เค้าคือพ่อมดดำที่ขายวิญญาณให้กับปีศาจเพื่อแลกมาซึ่งพลังและความอมตะ” ลูอิสอธิบาย
“อื้มเอาเป็นว่าเราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้...” เซอร์เบดิเวียร์กล่าว
“ไม่ ต้องคืนนี้!!!” อาเธอร์ตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้นยืนซึ่งทำให้ทุกคนต่างพากันตกใจในการกระทำของเค้า ฉันเข้าใจดีว่าเค้าเป็นห่วงน้องสาวและต้องการที่จะทำทุกอย่างให้โดยเร็วที่สุด และช่วยน้องสาวให้ได้เร็วที่สุด
“งั้น เอาแบบนี้ดีกว่าท่านอาเธอร์ ข้าจะนำพาท่านออกไปคืนนี้เลยแต่มีข้อแม้ว่า ถ้าหากเราถึงบึงน้ำเมื่อไหร่เราจะหยุดพักที่นั่นทันที เพราะไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะไม่ไหวแน่และอีกอย่างบึงน้ำที่ข้าว่ามันช่วยฟื้นฟูพลังได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันจะช่วยให้เราพร้อมในการต่อสู้เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งใจร้อนท่านอาเธอร์ถ้าหากรีบเกินไม่ใช่แค่กลุ่มของท่านที่จะไม่รอดน้องสาวของท่านก็เช่นกัน”
หลังจากลูอิสพูดจบประโยคก็ทำให้อาเธอร์ยอมสงบแต่โดยดี และรับประทานอาหารต่อกันจนเสร็จ ก่อนจะแยกไปเพื่อเตรียมตัวเดินทางกันต่อ ส่วนตัวฉันรีบแยกมาที่บ้านพักที่ฉันเคยมาอยู่กับคุณยายมาธาร์ ซึ่งพวกเซนทอร์ได้ดูแลรักษาไว้ให้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่าอาเธอร์จะตามมาด้วย ทำไมเค้าไม่ปล่อยให้ฉันมีเวลาส่วนตัวสักนิดเลยละ
“ตามฉันมาทำไม”
“พอดีว่าผมมีเรื่องจะคุยนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร” ฉันหันมาสบตากับอาเธอร์
“ลูเซียสเคยทำอะไรคุณใช่มั้ย คุณถึงได้ตกใจได้ขนาดนั้น” เมื่อจบประโยคของอาเธอร์ทำให้ฉันต้องหันหลังกลับไปอีกครั้งเพื่อปกปิดอาการกลัวเอาไว้ เพราะฉันกลัวในสิ่งที่ลูเซียสเคยทำไว้กับฉัน.....ถ้าจะให้ดีฉันต้องเล่าย้อนไปตอนที่ฉันอายุ 19 ปีตอนนั้นฉันกำลังออกไปล่ากลวางป่าเพื่อจะนำมาทำเป็นอาหารเย็น ขณะที่ฉันกำลังไล่ล่าอยู่นั้นเองลูเซียสก็ปรากฎตัวขึ้นภายใต้เงาของต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าของฉัน เค้าพูดจายั่วยวนและเชื้อเชิญให้ไปเป็นภรรยาของเค้า แต่ว่าฉันปฎิเสธเค้าจึง.......
“ว่ายังไงละ ลูเซียสทำอะไร!!!!” อาเธอร์ตรงดิ่งเข้ามาหาฉันและเขย่าตัวฉัน
“ลูเซียสพยายามขืนใจฉัน....แต่โชคดีที่คุณยายมาธาร์มาช่วยฉันไว้ฉันจึงรอด”
“เพราะแบบนี้ใช่มั้ยคุณถึงไม่เปิดใจให้ใคร”
“ก็จริงอยู่ แต่ตัวฉันเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาอยู่เคียงข้างฉันหรอก อย่างที่ฉันเคยบอกไว้อาเธอร์เธอต้องยอมรับความจริงได้แล้วที่เธอหมั้นกับเจ้าหญิงเจเนวีฟแล้ว แล้วอีกอย่างเธอคงไม่อยากให้เจเนวีฟต้องเสียใจหรอกนะ” เมื่อฉันพูดจบประโยคฉันจึงหยิบสัมภาระที่จำเป็นในการเดินทางและเดินออกจากบ้านโดยทันที และปล่อยให้อาเธอร์เดินตามมาข้างหลังอย่างห่างๆ ฉันรู้ว่าเธอทรมานอาเธอร์แต่ยังไงซะ ความจริงก็คือเธอไม่ควรจะรักฉันตั้งแต่แรก
(บันทึกพิเศษอาเธอร์)
ผมไม่เคยเข้าใจเมลิซ่าเลยสักนิดว่าทำไมเธอถึงปฎิเสธผมกัน อันที่จริงผมหลงรักเธอตั้งแต่ตอน 5 ขวบแล้ว ในตอนนั้นผมคิดว่าเธอเป็นเหมือนนางฟ้าที่ช่วยชีวิตของผมนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมคิดถึงเธอตลอดมาจนกระทั่งผมอายุได้ 15 ปีผมเจอเธออีกครั้งเธอยังดูสาวไม่เปลี่ยนไปจากครั้งที่เจอเธอเลย เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่เท่าที่ผมเคยเจอมา
ผมสีแดงเพลิงที่เป็นลอนสวยได้รูปที่เข้ากันได้ดีกับดวงตาสีเขียวมรกต ริมฝีปากที่แดงเหมือนกับกลีบกุหลาบและผิวที่ขาวเนียนราวกับน้ำนม และตามที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือแม่มดขาวจะมีกลิ่นตัวที่หอมราวกับดอกไม้ซึ่งต่างจากแม่มดดำที่กลิ่นตัวเหม็นสาบ
และเพราะเหตุนี้เวลาที่ผมอยู่ใกล้เธอมันทำให้ผมแทบคลั่ง แล้วอีกอย่างนึงเธออาจจะคิดว่าผมยังเป็นเด็กคนเดิมที่เคยชีวิตเอาไว้ หรืออาจจะเพราะแผลเก่าที่ลูเซียสเคยทำเอาไว้จึงทำให้เธอปฎิเสธผม ผมรู้ว่าเมื่อเราหายาถอนพิษให้กับมอร์กาน่าได้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ
เธอจะหายตัวไปอีกครั้งแต่ว่าตอนนี้มันเป็นโอกาสเดียวของผมที่จะได้ใกล้ชิดกับเมลิซ่าและพยายามเข้าหาตัวเธอให้ได้มากที่สุดแต่ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามหนีผมตลอด ส่วนตัวเจเนวีฟที่เป็นคู่หมั้นของเธอแสนดีมากจนผมไม่อยากจะให้เธอต้องมาเจ็บปวดเพราะผมไม่ได้รักเธอเลยตั้งแต่เราเจอกันผมก็คิดว่าเธอเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษา พยายามเท่าไหร่เธอก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจแทนเมลิซ่าได้เลย
และเวลาที่ผมมองเมลิซ่ายิ่งทำให้รู้สึกว่าเธอคนนี้แหละที่ผมต้องการมากที่สุด และตอนนี้พวกเราก็เดินทางมาได้สักพักแล้วเธอก็ยังทำเฉยต่อหน้าผม และดูเหมือนว่าจะไม่ใส่อะไรผมเลยสักนิด และการที่เธอเมินก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน ผมอยากจะให้เธอรับรู้ความรู้สึกของผมบ้างสักนิดก็ยังดี
(จบบันทึกพิเศษอาเธอร์)
“เอาละ พักกันตรงนี้แหละ” ลูอิสกล่าวขึ้นพร้อมจัดเตรียมฟืนเพื่อที่จะก่อกองไฟสำหรับพักแรมตรงโดยเราจะพักกันที่นี่จนถึงโต้รุ่งและออกเดินทางกันต่อ และใกล้ๆนี่เองที่มีบึงน้ำที่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้
แต่น้ำในบึงแห่งนี้จะออกฤทธิ์ก็ต่อเมื่อแสงของดวงจันทร์สาดส่องมายังผิวน้ำ และตอนนี้ก็ดึกใช่ย่อยพวกเราทุกคนเริ่มล้ากันหมดแล้วจึงสมควรที่พักกันได้แล้ว
“เชิญท่านเมลิซ่าไปก่อนได้เดี๋ยวพวกข้าจะจัดการเรื่องที่นี่ก่อน” ลูอิสกล่าวขึ้น
“ตกลง งั้นฉันขอตัวก่อนละกัน” ฉันเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มพวกผู้ชายมายังบึงน้ำตามลำพังแต่ก็แน่ละ ยังไงอาเธอร์ก็ต้องตามมาประกบฉันแน่ๆ
ฉันจึงค่อยถอดชุดของฉันออกและลงไปยังบึงน้ำและก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่หลบอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นอาเธอร์แน่นอน
“อาเธอร์ออกมาเถอะฉันรู้หมดแล้ว” อาเธอร์จึงค่อยๆเดินออกมาจากพุ่มไม้ที่ใช้หลบซ่อนตัวอยู่
“เฮ้อ โดนจับได้ซะแล้วสิ”
“หึ วิ่งไปหลบจนพุ่มไม้สั่นขนาดนั้นใครๆก็รู้ ว่าแต่จะมาอาบด้วยกันมั้ยละ” ฉันยื่นมือออกไปเพื่อเชิญอาเธอร์และดูเหมือนว่าเค้าจะรอโอกาสนี้มานานมาก
“ไม่คิดว่าจะคุณจะชวนเพื่อให้ไปอาบน้ำด้วยกันนี่เราข้ามอะไรไปรึเปล่า”
“ไม่หรอก ฉันอยากจะคุยกับเธอตรงๆมากกว่า”
ฉันหันหลังให้อาเธอร์ที่กำลังถอดเสื้อผ้าของเค้าอยู่แน่ละสิว่าเค้าต้องอายแน่ๆถ้าฉันหันไปหาเค้าตอนนี้
“เสร็จละ” อาเธอร์รีบเดินลงมาในน้ำอย่างรวดและตรงมาหาฉันทันที ทำให้บึงน้ำแห่งท่วมจนขึ้นมาหน้าอกของฉัน
“ทำไมหน้าแดงแบบนั้นละ”
“ก็อยู่ใกล้ผู้หญิงสวยๆตอนเปลือยแบบนี้จะไม่ให้หน้าแดงได้ยังไง ว่าแต่คุณจะคุยเรื่องอะไรละ”
“เฮ้อ บางทีฉันก็คิดว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมตัดใจจากฉันสักทีอาเธอร์”
“เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องตัดใจจากคุณ”
“พยายามอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ยังไงตัวฉันก็ไม่มีทางรักใครได้อยู่แล้วละอาเธอร์ตัวฉันเองเป็นแม่มด และแม่มดอย่างฉันจะมีอายุที่ยืนยาวกว่าพวกมนุษย์มาก สมมติว่าเราได้ครองรักกัน อยู่ด้วยกันไปสักวันเธอจะต้องตายจากฉันไปและสุดท้ายคนที่ทรมานก็คือฉัน ที่ต้องอยู่อย่างโดดเดียวและคำประนามจากทุกคนที่ฉันเป็นแม่มด เธอไม่คิดถึงจุดนั้นหรออาเธอร์”
“แต่ที่คุณทำเฉยเมยต่อผมมันก็ทรมานไม่ต่างกัน!!” อาเธอร์ตะโกนออกมาด้วยความโกรธจึงทำให้ฉันถึงชะงัก สีหน้าของเค้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“อาเธอร์....”
“ผมเจ็บปวดมากแค่ไหนเมลิซ่า กับการที่คุณปฎิเสธผม พยายามหนีผมและบอกให้ผมกลับไปหาคนที่ผมไม่ได้รักงั้นหรอ แล้วอีกอย่างคุณเองก็เป็นคนที่บอกให้ผมศรัทธาในความรักเอง แต่ทำไมคุณถึงมาพูดกับผมแบบนี้ละ!!”
“ใช่ ฉันบอก แต่ว่าฉันก็ไม่ได้บอกให้เธอมารักฉันนี่!!”
“ผมรักคุณตั้งแต่แรกแล้วเมลิซ่า!!!” น้ำตาของอาเธอร์ค่อยๆเอ่อล้นออกมา อสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่อยู่ข้างใน และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เค้าได้ระบายออกมา ฉันคิดถูกรึเปล่าที่ให้เค้ามาที่นี่
“ผมรักคุณตั้งแต่ครั้วแรกที่ได้เจอกับคุณ ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะยังเด็กมากแต่ผมก็รู้ว่าคุณเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกคิดถึง อยากโหยหาให้ได้ ไม่ว่าใครที่ผ่านเข้ามาก็แทนที่คุณไม่ได้เมลิซ่า”
“แต่ว่าอาเธอร์........”
“คุณจะปฎิเสธอะไรผมอีกละ ถ้าคุณพยายามจะให้ผมเลิกรักคุณละก็ ฆ่าผมทีสิ..”
คำพูดของเค้ามันทำให้ฉันไม่รู้จะตอบเค้าไปยังไงดี เพราะในใจของฉันมันรู้ตื้นตันไปหมดและรู้สึกผิดอีกด้วยที่ฉันทำร้ายจิตใจของเค้า แต่ที่ฉันทำไปก็เพื่อตัวของอาเธอร์เอง เค้าเป็นกษัตริย์ที่มีเกียรติเป็นที่รักใคร่ของประชาชนทุกคนและยังมีคู่หมั้นที่เหมาะสมฉันอยากให้เค้าได้รับในสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ดูเหมือนว่าเค้าจะไม่ต้องการ
“เอาอย่างนี้ดีมั้ยอาเธอร์ ฉันจะให้เวลาเธอถ้าเธอสามารถทำให้ฉันรักเธอได้ถือว่าเธอเป็นฝ่ายชนะ และฉันจะยอมรับรักของเธอ แต่ถ้าเธอทำไม่ได้ทุกอย่างก็จะจบ คิดซะว่าฉันเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้ก็แล้วกัน”
“ได้ผมตกลงจะเริ่มได้ตอนไหน”
“ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป” ทันทีที่ฉันจบประโยคอาเธอร์ก็เริ่มรุกโดยการดึงตัวฉันเข้ามากอดและจัดการใช้ริมฝีปากบดขยี้ที่ต้นคอของฉันอย่างดุเดือด
“เดี๋ยวสิ!!!”
“ก็คุณบอกเริ่มได้เลย ผมก็เริ่มแล้วไง!”
“ฉันบอกว่าทำให้ฉันหลงรักเธอ ไม่ใช่แบบนี้”
“นี่แหละวิธีของผม!” ร่างสูงรัดตัวฉันให้แน่นยิ่งกว่าเดิมและพยายามไซร้คออย่างดุเดือดมากขึ้นไปจนทำให้ร่างกายของฉันรู้สึก้อนผ่าวไปหมด ตอนนี้ฉันนี้ฉันรู้สึกราวกับเป็นกวางน้อยที่กำลังถูกราชสีห์หนุ่มออกล่าอย่างเต็มรูปแบบ และเค้าก็เปลี่ยนจากการไซร้ต้นคอมาบดขยี้ริมฝีปากของฉัน เค้าบดขยี้อย่างรุนแรงจนทำเอาฉันหายใจไม่ออก
พยายามดิ้นเท่าไหร่เค้าก็รัดฉันแน่นยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนกับว่าฉันจะพยายามดิ้นเท่าไหร่เค้าก็ยิ่งไม่ยอมหยุด และจากนั้นเค้าก็เปลี่ยนมาไซร้ที่ต้นคอฉันต่อ
“อาเธอร์พอได้แล้ว” ฉันสั่งให้คนตรงหน้าหยุดการกระทำของเค้า
“ทำไมละ”
“ฉันว่าถึงเวลาที่คนอื่นจะมาอาบน้ำต่อได้แล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้นอาเธอร์จึงแนบจูบที่ริมฝีปากของฉันอีกครั้งก่อนจะปล่อยตัวฉันออกจากอ้อมแขนของเค้า เมื่อได้ดังนั้นฉันจึงรีบขึ้นจากบึงน้ำและใส่ชุดของฉันกลับเป็นเหมือนเดิม และใช้ปลายผมเพื่อปกปิดร่องรอยที่อาเธอร์ทำเอาไว้ เฮ้อ จริงๆเลยนะนี่ถ้าฉันไม่ห้ามเค้าเอาไว้เค้าก็คงจะไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่
“เป็นยังไงบ้างละ ผมเห็นคุณหัวใจเต้นตึกตักเลยนี่”
“เป็นเพราะฉันหายใจไม่ออกมากกว่า”
“จริงหรอ!!” ร่างสูงเข้ามาสวมกอดจากข้างหลัง
“นี่ ปล่อย!!” ฉันพยายามดิ้นให้หลุด
“ผมไม่ปล่อย”
“ถ้าไม่ปล่อยฉันจะ...” ทันทีที่ฉันยกมือขึ้นเพื่อจะร่ายเวทย์มนต์แต่ก็โดนอาเธอร์คว้าข้อมือของฉันไว้ได้ทัน แถมยังบีบข้อมือของฉันราวกับว่าจะทำให้แหลกคามือให้ได้
“ถ้าคุณร่ายคาถาละก็มันจะไม่จบแค่นี้แน่”
“หึ สุดท้ายก็คิดจะใช้วิธีแบบนี้สินะ”
“ถ้ามันจำเป็นผมก็คงต้องทำ” เมื่ออาเธอร์พูดจบฉันจึงสบัดข้อมือออกและเดินกลับมายังแคมป์ไฟที่เป็นจุดพักของพวกเรา ส่วนอาเธอร์ก็เดินตามมาเองแหละ ฉันไม่คิดว่าเค้าจะเป็นแบบนี้ราวกับว่าเค้ากำลังพิสูจน์ตัวเองว่าตัวเค้านั้นไม่ใช่เด็กแบบที่ฉันคิดอีกต่อไปแล้วอย่างนั้นเองรึ
เค้าอยากแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เค้านั้นทำมันออกมาจากแต่เท่าที่ฉันคิด ฉันคิดว่ามันคือความอยาก ความอยากได้ของผู้ชายที่ต้องการจะให้ผู้หญิงที่ตนเองต้องการให้มาเป็นของตนเองให้ได้
“อ้าว เสร็จแล้วหรอ”
“อื้ม”
“เอาละพวกข้าก็ควรจะไปอาบน้ำบ้าง ยังไงพวกข้าก็ขอฝากให้ท่านเมลิซ่าช่วยเฝ้าตรงนี้ให้สักครู่”
“ได้ๆ” ฉันพยักหน้าตอบก่อนที่จะนั่งลงและเช็คของสัมภาระที่เตรียมเอามา เฮ้อ ไปกันหมดเลยงั้นหรอ แบบนี้ฉันก็ต้องอยู่อาเธอร์สองคนสิ ไม่ทันไรนั้นอาเธอร์ก็เดินมาถึงยังแคมป์ไฟพอดิบดี
“อ้าว อยู่คนเดียวหรอ”
“อื้ม ใช่ คนอื่นไปอาบน้ำในบึงกันหมด”
“แบบนี้ก็ดีสิ” อาเธอร์ยิ้มหน้าระรื่นและวิ่งมานั่งเบียดข้างๆตัวฉัน
“เฮ้อ ไปนั่งตรงอื่นไม่ได้รึไง” ฉันผลักหัวคนข้างๆ
“ใจร้ายจังเลย ผมก็แค่มานั่งเป็นเพื่อนใกล้ๆเอง ว่าแต่คุณอะไรอยู่ละ”
“ฉันก็แค่จัดเตรียมของที่จะใช้ในการจัดการบาซิลิส และอีกอย่างก่อนจะถึงบาซิลิสเราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับลูเซียส เพราะตัวลูเซียสอาจจะใช้เวทย์มนต์ควบคุมบาซิลิสอยู่ก็เป็นได้”
“ทำไมคุณถึงไม่ตกใจเวลาเอ่ยชื่อลูเซียสแล้วละ”
“ก็ไม่รู้สินะ” ฉันเบือนหน้าหนี
“เพราะผมใช้มั้ย”
“ไม่ใช่หรอก” ฉันส่ายหัวเล็กน้อย
“แล้วเป็นเพราะอะไรละ”
“เพราะฉันคิดว่ามันไม่มีอะไรที่ฉันจะต้องกลัวลูเซียสอีก” เมื่อฉันพูดจบอาเธอร์ค่อยๆปัดเศษผมที่อยู่บนหน้าของฉันและเชยคางของฉันขึ้นเพื่อให้ฉันหันหน้าไปทางเค้า เค้าค่อยๆน้อมใบหน้าลงและประทับจูบลงบนฝีปากของฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนที่ฉันผลักหน้าอกของอาเธอร์ออก
“จูบฉันอีกทำไม”
“เพราะผมอยากให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น”
“การจูบมันไม่ช่วยอะไรเลย”
“แต่ผมคิดว่ามันช่วยนะ อีกอย่างหนึ่งผมคิดว่าคุณอาจจะชอบด้วยซ้ำ”
“ทะลึ่งแล้วเด็กน้อย รีบไปนอนเถอะเดี๋ยวฉันจะเฝ้ายามให้เอง”
“ผมมากกว่าที่ต้องเป็นฝ่ายพูดคุณต้องนอนพักส่วนผมจะเฝ้ายามเอง จนกว่าคนอื่นจะกลับมาตกลงนะ”
“ก็ได้ อย่าแอบทำอะไรฉันละ” ฉันค่อยๆเอนตัวลงเพื่อจะนอนข้างๆกองไฟ ส่วนอาเธอร์ก็นั่งจ้องฉันจนตาแทบจะไม่กระพริบเลยทีเดียว ก่อนที่เค้าจะค่อยๆตัวลงนอนข้างๆฉันและเงยหน้ามองฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวบนท้องฟ้า
“ดวงดาวที่นี่สวยดีนะ” อาเธอร์กล่าวขึ้น
“ท้องฟ้าที่นี่ก็ท้องฟ้าเดียวกันกับท้องฟ้าที่อาณาจักรของเธอนั่นแหละ แต่แค่เธอไม่เคยได้ออกมานอนชมแบบนี้ไง”
“นั่นสินะ คุณรู้มั้ยว่าวันนี้ผมมีความสุขมากเลย”
“ทำไมกันละเพราะว่าได้จูบฉันรึไง”
“ใช่ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำมาก จะให้ผมทำอีกครั้งก็ได้นะ” คนข้างๆรีบหันตัวมาทางฉัน ฉันจึงใช้มือดันปากของเค้าเอาไว้
“วันนี้พอแล้วอาเธอร์” เมื่อพูดจบฉันจึงหันหน้าหนีเค้าไปอีกทาง
“แต่ผมคิดว่า ผมไม่อยากให้การเดินทางในครั้งนี้ต้องสิ้นสุดเลย เพราะเมื่อเราหาดอกไม้นั่นจนพบ เราก็ต้องแยกออกจากกันดังนั้นผมจึงอยากจะใช้เวลาที่มีอยู่ในตอนนี้ให้มีค่าที่สุด”
“ความจริงก็คือความจริงอาเธอร์”
“งั้นคุณก็ช่วยให้ผมอยู่ในความฝันแบบนี้ต่อไปได้มั้ย” อาเธอร์สอดมือเข้ามาเพื่อกอดฉันเอาไว้ ฉันจึงค่อยๆแกะมือของเค้าออก
“ไม่ได้เธอต้องตื่น” ยิ่งฉันบอกไปแบบนั้นอาเธอร์ก็ยิ่งกอดฉันแน่นขึ้นเข้าไปอีก และไม่ตอบอะไรฉันอีก ฉันแกะมืออาเธอร์ออกอีกครั้งทำให้อาเธอร์ต้องยอมลุกขึ้นนั่งเหมือนเดิมและหลังจากนั้นไม่นานพวกๆทหาร ลูอิส เซอร์เบดิเวียร์และเมอร์ลินก็กลับมาถึงยังแคมป์ไฟ และพักผ่อนนอนหลับกัน โดยมีทหารสองนายกับเซอร์เบดิเวียร์เป็นคนเฝ้ายามในคืนนี้
“เฮ้อ ไซเรนนี่สุดยอดไปเลยนะ” เซอร์เบดิเวียร์กล่าวขึ้น
“หึ นั่นเป็นแค่วิญญาณของพวกไซเรนที่ตายไปแล้วนะ ถ้าเจอไซเรนตัวเป็นๆจะไม่ชอบแน่”
“หมายความว่าไง!! ไหนลองอธิบายให้ฟังหน่อยสิ”
“ก็พวกนางไซเรนที่เราเจอเป็นรูปแบบของพรายน้ำซึ่งก็คือวิญญาณของพวกไซเรนนั่นเอง ส่วนพวกไซเรนจริงๆ ตัวจะเหมือนกับนกแต่หน้าตาจะเป็นหญิงสาวที่อัปลักษณ์”
“แล้วที่นี่มีนางเงือกรึเปล่าท่านเมลิซ่า” ทหารคนนึงกล่าวขึ้น
“มีสิ” หลังจากฉันพูดจบเหล่าทหารก็ต่างพากันดีใจยกใหญ่ เพราะชื่อเสียงของนางเงือกด้านความงามนั้นเป็นที่หนึ่งเลยทีเดียวและไหนจะเสียงร้องอันไพเราะของพวกนางอีกละ ส่วนอาเธอร์ก็เอาแต่จ้องมองฉันตลอดเวลาพอฉันหันหน้าไปทางเค้า ก็พยายามหันหน้าหนีตลอดซึ่งบางทีฉันก็คิดว่าเค้าเหมือนกับเด็ก 5 ขวบคนนั้นคนเดิมที่ฉันเคยช่วยชีวิตเอาไว้
“ว่าแต่เมลิซ่าพวกเราจะไปพักแรมที่ไหนกัน”
“ที่หมู่บ้านเซนทอร์ พวกเค้าจะตอนรับพวกเราเป็นอย่างดี” ฉันเดินนำทางไปเรื่อยๆตามทางเดิน แต่ก็ดูเหมือนเราจะเจอกับอะไรบางอย่างเข้าให้
“พวกมนุษย์หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!!!!” พวกอ็อคตัวจิ๋วกระโดดออกมาจากพุ่มและล้อมพวกเราเอาไว้
“อะไรกันเนี่ยอ็อคจิ๋วหรอ!!” อาเธอร์กล่าวขึ้น
“ส่งของมีค่าของพวกเจ้ามาซะ!!!”
“เฮ้อ อยากกินลูกไฟก็ไม่บอก” ฉันกล่าวขึ้น
“เมลิซ่าเองเรอะ ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!!! พวกเราจัดการมัน!!!” เหล่าอ็อคจิ๋วพากันวิ่งกรูมาทางพวกเรา เฮ้อ ฉันละเบื่อพวกนี้จริงๆ ว่าแล้วฉันก็ร่ายคาถาเพื่อให้พวกอ็อคหยุดชงัก
“เฮ้อ ไปกันต่อเถอะก็แค่อ็อคตัวเล็กๆ” ฉันเดินนำเพื่อให้ทุกคนออกจากตรงนั้น จริงๆเลยพวกอ็อคเนี่ยน่าจะทำเหมืองขุดแร่สักหน่อยน่าจะมีประโยชน์กว่านี้แท้ๆ ดันมาเป็นโจรเที่ยวปล้นสดมไปทั่ว เฮ้ออออออ
“ว่าแต่เมลิซ่าคุณไม่เหนื่อยบ้างรึไงใช้พลังเวทย์ไปตั้งขนาดนั้น”
“ก็มีบ้างแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร และอีกอย่างฉันยังไม่ได้ใช้พลังออกมาทั้งหมดหรอกนี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”
“แล้วหมู่บ้านเซนทอร์อีกไกลมั้ยท่านเมลิซ่า”
“ไม่ไกลมากหรอกอีกสักพักก็จะถึงแล้ว” ระหว่างที่ฉันเดินอยู่นั้นมันก็ทำให้ฉันนึกถึงครั้งที่เคยมาที่นี่กับคุณยายมาธาร์ ในตอนนั้นฉันอายุแค่ 16 ปีเอง เป็นการเดินทางครั้งแรกที่สนุกเอามากๆ และมันทำให้ฉันได้รู้จักกับสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ที่นี่ ได้สัมผัสกับความอ่อนโยนของเหล่านางเงือก และความอบอุ่นราวกับญาติของเหล่าเซนทอร์ฉันอยู่ที่นี่กับคุณยายมาธาร์ตลอดหนึ่งปีก่อนที่จะกลับไปยังเมืองคาเมรอท
เพราะคุณยายเคยบอกกับฉันไว้ว่าท่านทิ้งพวกเด็กกำพร้าและคนยากไร้ที่นั่นไม่ได้เพราะพวกเค้าต้องการท่านและนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันอยากจะทำหน้าที่นี้ต่อจากคุณยาย จนกระทั่งฉันเจอกับอาเธอร์และได้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยทำไมกันอาเธอร์ทั้งที่ฉันพยายามหนีหายไปจากชีวิตของเค้าแล้ว แต่กลับต้องมาวนเวียนเจอกับเค้าอีกครั้ง
เวลาต่อมา............
หลังจากที่เราเดินทางกันได้ไม่นานเราก็มาถึงยังหมู่บ้านเซนทอร์ แน่นอนพวกเค้าต้อนรับฉันอย่างดี โดยมีลูอิสหัวหน้าของเหล่าเซนทอร์เป็นคนต้อนรับ พวกเซนทอร์ต่างพากันมาต้อนรับฉันด้วยความคิดถึงพวกเค้าบอกว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไปแล้วถึงแม้ฉันจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยนับตั้งแต่คุณยายท่านเสีย พวกเซนทอร์ได้จัดเตรียมบ้านพักให้กับพวกเราพร้อมกับเชิญพวกเราให้ไปร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของลูอิสอีกด้วย
ส่วนพวกทหารที่เหลือก็ถูกเชิญไปร่วมรับประทานอาหารเช่นกัน โดยฉันให้พวกทหารทานกันไปก่อนเพื่อจะให้เซนทอร์พาพวกเค้าไปชมรอบๆหมู่บ้าน เพื่อพวกเราจะได้ประชุมวางแผนกันเรื่องจะช่วยเจ้าหญิงมอร์กาน่า
“เอาละเชิญพวกท่านนั่งก่อน ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะให้พวกข้าช่วยละ” ลูอิสกล่าวขึ้น
“คือพวกเราต้องการที่จะไปยังถ้ำที่กักขังบาซิลิสเพื่อจะเอาดอกไม้ที่ใช้เป็นยาถอนพิษ เพราะว่าเจ้าหญิงมอร์กาน่าซึ่งเป็นน้องสาวของกษัตริย์ เธอโดนพิษของบาซิลิสแบบอ่อนเข้าไป”
“อื้ม พิษของบาซิลิสแบบอ่อนงั้นรึ งั้นก็แสดงว่าต้องมีคนแอบเอาลมหายใจของบาซิลิสไปให้เจ้าหญิงสูดเข้าไปละสิ”
“ฉันคิดว่าก็คงเป็นแบบนั้น เพราะเหตุนี้เราจึงรีบมาที่นี่”
“แต่ว่ามันอันตรายมากนะ ท่านเมลิซ่า กับการที่เราต้องไปเผชิญกับบาซิลิสเนี่ย”
“ฉันเข้าใจ แต่ว่าท่านพอจะนำทางให้เราได้มั้ย”
“ก็ได้อยู่หรอกท่านเมลิซ่า แต่ข้าทำได้เพียงพาท่านไปถึงแค่ทางเข้าถ้ำเท่านั้น และหลังจากนั้นพวกท่านต้องไปเผชิญด้วยตัวของพวกท่านเอง”
“ถึงจะเสี่ยงยังไงท่านอาเธอร์ก็คงจะไม่ยอมถอยแน่ๆ” เซอร์เบดิเวียร์กล่าวขึ้น
“ถ้างั้น ลูอิสช่วยบอกจุดอ่อนของบาซิลิสหน่อยจะได้มั้ย” ฉันกล่าวขึ้น
“ได้เลยท่านเมลิซ่า ก่อนอื่นเลยเราต้องบอกถึงตัวบาซิลิสก่อนเพราะตัวมันมีหน้าเหมือนไก่ตัวเป็นงูและมีปีกแบบมังกร มันจะโจมตีด้วยการสบตามัน าเราสบตามันเราก็จะกลายเป็นหิน ได้สูดลมหายใจของมันเข้าไปก็กลายเป็นหินเช่นกัน แต่ว่าถ้าเราเห็นมันผ่านเงาสะท้อนเราก็จะกลายเป็นหินได้เช่นเดียวกัน หรือจะให้พูดทำนองว่าสามารถตายได้ทันที ส่วนขนาดตัวของมันก็สูงใหญ่เท่ากับมังกรเลยทีเดียวเชียว วิธีจะจัดการมันท่านจะต้องกลั้นหายใจและห้ามสบตามันเด็ดขาดซึ่งแน่นอนว่า ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนยกเว้นแต่....”
“ใครละ” ฉันกล่าวขึ้น
“ลูเซียส...” เมื่อลูอิสพูดชื่อนี้ขึ้นจึงทำให้ฉันถึงกับสดุ้ง
“ลูเซียสคือใครกัน” อาเธอร์ถามขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน
“เค้าคือพ่อมดดำที่ขายวิญญาณให้กับปีศาจเพื่อแลกมาซึ่งพลังและความอมตะ” ลูอิสอธิบาย
“อื้มเอาเป็นว่าเราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้...” เซอร์เบดิเวียร์กล่าว
“ไม่ ต้องคืนนี้!!!” อาเธอร์ตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้นยืนซึ่งทำให้ทุกคนต่างพากันตกใจในการกระทำของเค้า ฉันเข้าใจดีว่าเค้าเป็นห่วงน้องสาวและต้องการที่จะทำทุกอย่างให้โดยเร็วที่สุด และช่วยน้องสาวให้ได้เร็วที่สุด
“งั้น เอาแบบนี้ดีกว่าท่านอาเธอร์ ข้าจะนำพาท่านออกไปคืนนี้เลยแต่มีข้อแม้ว่า ถ้าหากเราถึงบึงน้ำเมื่อไหร่เราจะหยุดพักที่นั่นทันที เพราะไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะไม่ไหวแน่และอีกอย่างบึงน้ำที่ข้าว่ามันช่วยฟื้นฟูพลังได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันจะช่วยให้เราพร้อมในการต่อสู้เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งใจร้อนท่านอาเธอร์ถ้าหากรีบเกินไม่ใช่แค่กลุ่มของท่านที่จะไม่รอดน้องสาวของท่านก็เช่นกัน”
หลังจากลูอิสพูดจบประโยคก็ทำให้อาเธอร์ยอมสงบแต่โดยดี และรับประทานอาหารต่อกันจนเสร็จ ก่อนจะแยกไปเพื่อเตรียมตัวเดินทางกันต่อ ส่วนตัวฉันรีบแยกมาที่บ้านพักที่ฉันเคยมาอยู่กับคุณยายมาธาร์ ซึ่งพวกเซนทอร์ได้ดูแลรักษาไว้ให้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่าอาเธอร์จะตามมาด้วย ทำไมเค้าไม่ปล่อยให้ฉันมีเวลาส่วนตัวสักนิดเลยละ
“ตามฉันมาทำไม”
“พอดีว่าผมมีเรื่องจะคุยนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร” ฉันหันมาสบตากับอาเธอร์
“ลูเซียสเคยทำอะไรคุณใช่มั้ย คุณถึงได้ตกใจได้ขนาดนั้น” เมื่อจบประโยคของอาเธอร์ทำให้ฉันต้องหันหลังกลับไปอีกครั้งเพื่อปกปิดอาการกลัวเอาไว้ เพราะฉันกลัวในสิ่งที่ลูเซียสเคยทำไว้กับฉัน.....ถ้าจะให้ดีฉันต้องเล่าย้อนไปตอนที่ฉันอายุ 19 ปีตอนนั้นฉันกำลังออกไปล่ากลวางป่าเพื่อจะนำมาทำเป็นอาหารเย็น ขณะที่ฉันกำลังไล่ล่าอยู่นั้นเองลูเซียสก็ปรากฎตัวขึ้นภายใต้เงาของต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าของฉัน เค้าพูดจายั่วยวนและเชื้อเชิญให้ไปเป็นภรรยาของเค้า แต่ว่าฉันปฎิเสธเค้าจึง.......
“ว่ายังไงละ ลูเซียสทำอะไร!!!!” อาเธอร์ตรงดิ่งเข้ามาหาฉันและเขย่าตัวฉัน
“ลูเซียสพยายามขืนใจฉัน....แต่โชคดีที่คุณยายมาธาร์มาช่วยฉันไว้ฉันจึงรอด”
“เพราะแบบนี้ใช่มั้ยคุณถึงไม่เปิดใจให้ใคร”
“ก็จริงอยู่ แต่ตัวฉันเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาอยู่เคียงข้างฉันหรอก อย่างที่ฉันเคยบอกไว้อาเธอร์เธอต้องยอมรับความจริงได้แล้วที่เธอหมั้นกับเจ้าหญิงเจเนวีฟแล้ว แล้วอีกอย่างเธอคงไม่อยากให้เจเนวีฟต้องเสียใจหรอกนะ” เมื่อฉันพูดจบประโยคฉันจึงหยิบสัมภาระที่จำเป็นในการเดินทางและเดินออกจากบ้านโดยทันที และปล่อยให้อาเธอร์เดินตามมาข้างหลังอย่างห่างๆ ฉันรู้ว่าเธอทรมานอาเธอร์แต่ยังไงซะ ความจริงก็คือเธอไม่ควรจะรักฉันตั้งแต่แรก
(บันทึกพิเศษอาเธอร์)
ผมไม่เคยเข้าใจเมลิซ่าเลยสักนิดว่าทำไมเธอถึงปฎิเสธผมกัน อันที่จริงผมหลงรักเธอตั้งแต่ตอน 5 ขวบแล้ว ในตอนนั้นผมคิดว่าเธอเป็นเหมือนนางฟ้าที่ช่วยชีวิตของผมนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมคิดถึงเธอตลอดมาจนกระทั่งผมอายุได้ 15 ปีผมเจอเธออีกครั้งเธอยังดูสาวไม่เปลี่ยนไปจากครั้งที่เจอเธอเลย เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่เท่าที่ผมเคยเจอมา
ผมสีแดงเพลิงที่เป็นลอนสวยได้รูปที่เข้ากันได้ดีกับดวงตาสีเขียวมรกต ริมฝีปากที่แดงเหมือนกับกลีบกุหลาบและผิวที่ขาวเนียนราวกับน้ำนม และตามที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือแม่มดขาวจะมีกลิ่นตัวที่หอมราวกับดอกไม้ซึ่งต่างจากแม่มดดำที่กลิ่นตัวเหม็นสาบ
และเพราะเหตุนี้เวลาที่ผมอยู่ใกล้เธอมันทำให้ผมแทบคลั่ง แล้วอีกอย่างนึงเธออาจจะคิดว่าผมยังเป็นเด็กคนเดิมที่เคยชีวิตเอาไว้ หรืออาจจะเพราะแผลเก่าที่ลูเซียสเคยทำเอาไว้จึงทำให้เธอปฎิเสธผม ผมรู้ว่าเมื่อเราหายาถอนพิษให้กับมอร์กาน่าได้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ
เธอจะหายตัวไปอีกครั้งแต่ว่าตอนนี้มันเป็นโอกาสเดียวของผมที่จะได้ใกล้ชิดกับเมลิซ่าและพยายามเข้าหาตัวเธอให้ได้มากที่สุดแต่ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามหนีผมตลอด ส่วนตัวเจเนวีฟที่เป็นคู่หมั้นของเธอแสนดีมากจนผมไม่อยากจะให้เธอต้องมาเจ็บปวดเพราะผมไม่ได้รักเธอเลยตั้งแต่เราเจอกันผมก็คิดว่าเธอเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษา พยายามเท่าไหร่เธอก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจแทนเมลิซ่าได้เลย
และเวลาที่ผมมองเมลิซ่ายิ่งทำให้รู้สึกว่าเธอคนนี้แหละที่ผมต้องการมากที่สุด และตอนนี้พวกเราก็เดินทางมาได้สักพักแล้วเธอก็ยังทำเฉยต่อหน้าผม และดูเหมือนว่าจะไม่ใส่อะไรผมเลยสักนิด และการที่เธอเมินก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน ผมอยากจะให้เธอรับรู้ความรู้สึกของผมบ้างสักนิดก็ยังดี
(จบบันทึกพิเศษอาเธอร์)
“เอาละ พักกันตรงนี้แหละ” ลูอิสกล่าวขึ้นพร้อมจัดเตรียมฟืนเพื่อที่จะก่อกองไฟสำหรับพักแรมตรงโดยเราจะพักกันที่นี่จนถึงโต้รุ่งและออกเดินทางกันต่อ และใกล้ๆนี่เองที่มีบึงน้ำที่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้
แต่น้ำในบึงแห่งนี้จะออกฤทธิ์ก็ต่อเมื่อแสงของดวงจันทร์สาดส่องมายังผิวน้ำ และตอนนี้ก็ดึกใช่ย่อยพวกเราทุกคนเริ่มล้ากันหมดแล้วจึงสมควรที่พักกันได้แล้ว
“เชิญท่านเมลิซ่าไปก่อนได้เดี๋ยวพวกข้าจะจัดการเรื่องที่นี่ก่อน” ลูอิสกล่าวขึ้น
“ตกลง งั้นฉันขอตัวก่อนละกัน” ฉันเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มพวกผู้ชายมายังบึงน้ำตามลำพังแต่ก็แน่ละ ยังไงอาเธอร์ก็ต้องตามมาประกบฉันแน่ๆ
ฉันจึงค่อยถอดชุดของฉันออกและลงไปยังบึงน้ำและก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่หลบอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นอาเธอร์แน่นอน
“อาเธอร์ออกมาเถอะฉันรู้หมดแล้ว” อาเธอร์จึงค่อยๆเดินออกมาจากพุ่มไม้ที่ใช้หลบซ่อนตัวอยู่
“เฮ้อ โดนจับได้ซะแล้วสิ”
“หึ วิ่งไปหลบจนพุ่มไม้สั่นขนาดนั้นใครๆก็รู้ ว่าแต่จะมาอาบด้วยกันมั้ยละ” ฉันยื่นมือออกไปเพื่อเชิญอาเธอร์และดูเหมือนว่าเค้าจะรอโอกาสนี้มานานมาก
“ไม่คิดว่าจะคุณจะชวนเพื่อให้ไปอาบน้ำด้วยกันนี่เราข้ามอะไรไปรึเปล่า”
“ไม่หรอก ฉันอยากจะคุยกับเธอตรงๆมากกว่า”
ฉันหันหลังให้อาเธอร์ที่กำลังถอดเสื้อผ้าของเค้าอยู่แน่ละสิว่าเค้าต้องอายแน่ๆถ้าฉันหันไปหาเค้าตอนนี้
“เสร็จละ” อาเธอร์รีบเดินลงมาในน้ำอย่างรวดและตรงมาหาฉันทันที ทำให้บึงน้ำแห่งท่วมจนขึ้นมาหน้าอกของฉัน
“ทำไมหน้าแดงแบบนั้นละ”
“ก็อยู่ใกล้ผู้หญิงสวยๆตอนเปลือยแบบนี้จะไม่ให้หน้าแดงได้ยังไง ว่าแต่คุณจะคุยเรื่องอะไรละ”
“เฮ้อ บางทีฉันก็คิดว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมตัดใจจากฉันสักทีอาเธอร์”
“เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องตัดใจจากคุณ”
“พยายามอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ยังไงตัวฉันก็ไม่มีทางรักใครได้อยู่แล้วละอาเธอร์ตัวฉันเองเป็นแม่มด และแม่มดอย่างฉันจะมีอายุที่ยืนยาวกว่าพวกมนุษย์มาก สมมติว่าเราได้ครองรักกัน อยู่ด้วยกันไปสักวันเธอจะต้องตายจากฉันไปและสุดท้ายคนที่ทรมานก็คือฉัน ที่ต้องอยู่อย่างโดดเดียวและคำประนามจากทุกคนที่ฉันเป็นแม่มด เธอไม่คิดถึงจุดนั้นหรออาเธอร์”
“แต่ที่คุณทำเฉยเมยต่อผมมันก็ทรมานไม่ต่างกัน!!” อาเธอร์ตะโกนออกมาด้วยความโกรธจึงทำให้ฉันถึงชะงัก สีหน้าของเค้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“อาเธอร์....”
“ผมเจ็บปวดมากแค่ไหนเมลิซ่า กับการที่คุณปฎิเสธผม พยายามหนีผมและบอกให้ผมกลับไปหาคนที่ผมไม่ได้รักงั้นหรอ แล้วอีกอย่างคุณเองก็เป็นคนที่บอกให้ผมศรัทธาในความรักเอง แต่ทำไมคุณถึงมาพูดกับผมแบบนี้ละ!!”
“ใช่ ฉันบอก แต่ว่าฉันก็ไม่ได้บอกให้เธอมารักฉันนี่!!”
“ผมรักคุณตั้งแต่แรกแล้วเมลิซ่า!!!” น้ำตาของอาเธอร์ค่อยๆเอ่อล้นออกมา อสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่อยู่ข้างใน และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เค้าได้ระบายออกมา ฉันคิดถูกรึเปล่าที่ให้เค้ามาที่นี่
“ผมรักคุณตั้งแต่ครั้วแรกที่ได้เจอกับคุณ ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะยังเด็กมากแต่ผมก็รู้ว่าคุณเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกคิดถึง อยากโหยหาให้ได้ ไม่ว่าใครที่ผ่านเข้ามาก็แทนที่คุณไม่ได้เมลิซ่า”
“แต่ว่าอาเธอร์........”
“คุณจะปฎิเสธอะไรผมอีกละ ถ้าคุณพยายามจะให้ผมเลิกรักคุณละก็ ฆ่าผมทีสิ..”
คำพูดของเค้ามันทำให้ฉันไม่รู้จะตอบเค้าไปยังไงดี เพราะในใจของฉันมันรู้ตื้นตันไปหมดและรู้สึกผิดอีกด้วยที่ฉันทำร้ายจิตใจของเค้า แต่ที่ฉันทำไปก็เพื่อตัวของอาเธอร์เอง เค้าเป็นกษัตริย์ที่มีเกียรติเป็นที่รักใคร่ของประชาชนทุกคนและยังมีคู่หมั้นที่เหมาะสมฉันอยากให้เค้าได้รับในสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ดูเหมือนว่าเค้าจะไม่ต้องการ
“เอาอย่างนี้ดีมั้ยอาเธอร์ ฉันจะให้เวลาเธอถ้าเธอสามารถทำให้ฉันรักเธอได้ถือว่าเธอเป็นฝ่ายชนะ และฉันจะยอมรับรักของเธอ แต่ถ้าเธอทำไม่ได้ทุกอย่างก็จะจบ คิดซะว่าฉันเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้ก็แล้วกัน”
“ได้ผมตกลงจะเริ่มได้ตอนไหน”
“ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป” ทันทีที่ฉันจบประโยคอาเธอร์ก็เริ่มรุกโดยการดึงตัวฉันเข้ามากอดและจัดการใช้ริมฝีปากบดขยี้ที่ต้นคอของฉันอย่างดุเดือด
“เดี๋ยวสิ!!!”
“ก็คุณบอกเริ่มได้เลย ผมก็เริ่มแล้วไง!”
“ฉันบอกว่าทำให้ฉันหลงรักเธอ ไม่ใช่แบบนี้”
“นี่แหละวิธีของผม!” ร่างสูงรัดตัวฉันให้แน่นยิ่งกว่าเดิมและพยายามไซร้คออย่างดุเดือดมากขึ้นไปจนทำให้ร่างกายของฉันรู้สึก้อนผ่าวไปหมด ตอนนี้ฉันนี้ฉันรู้สึกราวกับเป็นกวางน้อยที่กำลังถูกราชสีห์หนุ่มออกล่าอย่างเต็มรูปแบบ และเค้าก็เปลี่ยนจากการไซร้ต้นคอมาบดขยี้ริมฝีปากของฉัน เค้าบดขยี้อย่างรุนแรงจนทำเอาฉันหายใจไม่ออก
พยายามดิ้นเท่าไหร่เค้าก็รัดฉันแน่นยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนกับว่าฉันจะพยายามดิ้นเท่าไหร่เค้าก็ยิ่งไม่ยอมหยุด และจากนั้นเค้าก็เปลี่ยนมาไซร้ที่ต้นคอฉันต่อ
“อาเธอร์พอได้แล้ว” ฉันสั่งให้คนตรงหน้าหยุดการกระทำของเค้า
“ทำไมละ”
“ฉันว่าถึงเวลาที่คนอื่นจะมาอาบน้ำต่อได้แล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้นอาเธอร์จึงแนบจูบที่ริมฝีปากของฉันอีกครั้งก่อนจะปล่อยตัวฉันออกจากอ้อมแขนของเค้า เมื่อได้ดังนั้นฉันจึงรีบขึ้นจากบึงน้ำและใส่ชุดของฉันกลับเป็นเหมือนเดิม และใช้ปลายผมเพื่อปกปิดร่องรอยที่อาเธอร์ทำเอาไว้ เฮ้อ จริงๆเลยนะนี่ถ้าฉันไม่ห้ามเค้าเอาไว้เค้าก็คงจะไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่
“เป็นยังไงบ้างละ ผมเห็นคุณหัวใจเต้นตึกตักเลยนี่”
“เป็นเพราะฉันหายใจไม่ออกมากกว่า”
“จริงหรอ!!” ร่างสูงเข้ามาสวมกอดจากข้างหลัง
“นี่ ปล่อย!!” ฉันพยายามดิ้นให้หลุด
“ผมไม่ปล่อย”
“ถ้าไม่ปล่อยฉันจะ...” ทันทีที่ฉันยกมือขึ้นเพื่อจะร่ายเวทย์มนต์แต่ก็โดนอาเธอร์คว้าข้อมือของฉันไว้ได้ทัน แถมยังบีบข้อมือของฉันราวกับว่าจะทำให้แหลกคามือให้ได้
“ถ้าคุณร่ายคาถาละก็มันจะไม่จบแค่นี้แน่”
“หึ สุดท้ายก็คิดจะใช้วิธีแบบนี้สินะ”
“ถ้ามันจำเป็นผมก็คงต้องทำ” เมื่ออาเธอร์พูดจบฉันจึงสบัดข้อมือออกและเดินกลับมายังแคมป์ไฟที่เป็นจุดพักของพวกเรา ส่วนอาเธอร์ก็เดินตามมาเองแหละ ฉันไม่คิดว่าเค้าจะเป็นแบบนี้ราวกับว่าเค้ากำลังพิสูจน์ตัวเองว่าตัวเค้านั้นไม่ใช่เด็กแบบที่ฉันคิดอีกต่อไปแล้วอย่างนั้นเองรึ
เค้าอยากแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เค้านั้นทำมันออกมาจากแต่เท่าที่ฉันคิด ฉันคิดว่ามันคือความอยาก ความอยากได้ของผู้ชายที่ต้องการจะให้ผู้หญิงที่ตนเองต้องการให้มาเป็นของตนเองให้ได้
“อ้าว เสร็จแล้วหรอ”
“อื้ม”
“เอาละพวกข้าก็ควรจะไปอาบน้ำบ้าง ยังไงพวกข้าก็ขอฝากให้ท่านเมลิซ่าช่วยเฝ้าตรงนี้ให้สักครู่”
“ได้ๆ” ฉันพยักหน้าตอบก่อนที่จะนั่งลงและเช็คของสัมภาระที่เตรียมเอามา เฮ้อ ไปกันหมดเลยงั้นหรอ แบบนี้ฉันก็ต้องอยู่อาเธอร์สองคนสิ ไม่ทันไรนั้นอาเธอร์ก็เดินมาถึงยังแคมป์ไฟพอดิบดี
“อ้าว อยู่คนเดียวหรอ”
“อื้ม ใช่ คนอื่นไปอาบน้ำในบึงกันหมด”
“แบบนี้ก็ดีสิ” อาเธอร์ยิ้มหน้าระรื่นและวิ่งมานั่งเบียดข้างๆตัวฉัน
“เฮ้อ ไปนั่งตรงอื่นไม่ได้รึไง” ฉันผลักหัวคนข้างๆ
“ใจร้ายจังเลย ผมก็แค่มานั่งเป็นเพื่อนใกล้ๆเอง ว่าแต่คุณอะไรอยู่ละ”
“ฉันก็แค่จัดเตรียมของที่จะใช้ในการจัดการบาซิลิส และอีกอย่างก่อนจะถึงบาซิลิสเราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับลูเซียส เพราะตัวลูเซียสอาจจะใช้เวทย์มนต์ควบคุมบาซิลิสอยู่ก็เป็นได้”
“ทำไมคุณถึงไม่ตกใจเวลาเอ่ยชื่อลูเซียสแล้วละ”
“ก็ไม่รู้สินะ” ฉันเบือนหน้าหนี
“เพราะผมใช้มั้ย”
“ไม่ใช่หรอก” ฉันส่ายหัวเล็กน้อย
“แล้วเป็นเพราะอะไรละ”
“เพราะฉันคิดว่ามันไม่มีอะไรที่ฉันจะต้องกลัวลูเซียสอีก” เมื่อฉันพูดจบอาเธอร์ค่อยๆปัดเศษผมที่อยู่บนหน้าของฉันและเชยคางของฉันขึ้นเพื่อให้ฉันหันหน้าไปทางเค้า เค้าค่อยๆน้อมใบหน้าลงและประทับจูบลงบนฝีปากของฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนที่ฉันผลักหน้าอกของอาเธอร์ออก
“จูบฉันอีกทำไม”
“เพราะผมอยากให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น”
“การจูบมันไม่ช่วยอะไรเลย”
“แต่ผมคิดว่ามันช่วยนะ อีกอย่างหนึ่งผมคิดว่าคุณอาจจะชอบด้วยซ้ำ”
“ทะลึ่งแล้วเด็กน้อย รีบไปนอนเถอะเดี๋ยวฉันจะเฝ้ายามให้เอง”
“ผมมากกว่าที่ต้องเป็นฝ่ายพูดคุณต้องนอนพักส่วนผมจะเฝ้ายามเอง จนกว่าคนอื่นจะกลับมาตกลงนะ”
“ก็ได้ อย่าแอบทำอะไรฉันละ” ฉันค่อยๆเอนตัวลงเพื่อจะนอนข้างๆกองไฟ ส่วนอาเธอร์ก็นั่งจ้องฉันจนตาแทบจะไม่กระพริบเลยทีเดียว ก่อนที่เค้าจะค่อยๆตัวลงนอนข้างๆฉันและเงยหน้ามองฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวบนท้องฟ้า
“ดวงดาวที่นี่สวยดีนะ” อาเธอร์กล่าวขึ้น
“ท้องฟ้าที่นี่ก็ท้องฟ้าเดียวกันกับท้องฟ้าที่อาณาจักรของเธอนั่นแหละ แต่แค่เธอไม่เคยได้ออกมานอนชมแบบนี้ไง”
“นั่นสินะ คุณรู้มั้ยว่าวันนี้ผมมีความสุขมากเลย”
“ทำไมกันละเพราะว่าได้จูบฉันรึไง”
“ใช่ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำมาก จะให้ผมทำอีกครั้งก็ได้นะ” คนข้างๆรีบหันตัวมาทางฉัน ฉันจึงใช้มือดันปากของเค้าเอาไว้
“วันนี้พอแล้วอาเธอร์” เมื่อพูดจบฉันจึงหันหน้าหนีเค้าไปอีกทาง
“แต่ผมคิดว่า ผมไม่อยากให้การเดินทางในครั้งนี้ต้องสิ้นสุดเลย เพราะเมื่อเราหาดอกไม้นั่นจนพบ เราก็ต้องแยกออกจากกันดังนั้นผมจึงอยากจะใช้เวลาที่มีอยู่ในตอนนี้ให้มีค่าที่สุด”
“ความจริงก็คือความจริงอาเธอร์”
“งั้นคุณก็ช่วยให้ผมอยู่ในความฝันแบบนี้ต่อไปได้มั้ย” อาเธอร์สอดมือเข้ามาเพื่อกอดฉันเอาไว้ ฉันจึงค่อยๆแกะมือของเค้าออก
“ไม่ได้เธอต้องตื่น” ยิ่งฉันบอกไปแบบนั้นอาเธอร์ก็ยิ่งกอดฉันแน่นขึ้นเข้าไปอีก และไม่ตอบอะไรฉันอีก ฉันแกะมืออาเธอร์ออกอีกครั้งทำให้อาเธอร์ต้องยอมลุกขึ้นนั่งเหมือนเดิมและหลังจากนั้นไม่นานพวกๆทหาร ลูอิส เซอร์เบดิเวียร์และเมอร์ลินก็กลับมาถึงยังแคมป์ไฟ และพักผ่อนนอนหลับกัน โดยมีทหารสองนายกับเซอร์เบดิเวียร์เป็นคนเฝ้ายามในคืนนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ