The Witches : Red Witch
เขียนโดย Kyoso12
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.55 น.
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 11.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) อดีตที่ปิดกั้นหัวใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็ผ่านมาอีก 3 ปี ไม่รู้ว่าฉันจะหลบแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน แต่ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย ตั้งแต่การสิ้นพระชนย์ของกษัตริย์อูเธอร์ผู้เกลียดชังแม่มดทั้งปวงและป้ายสีใส่ร้ายพวกแม่มดอย่างฉันว่าเป็นอันตรายก็ได้ไปจากโลกนี้แล้ว ส่วนอาเธอร์ได้เป็นกษัตริย์ทันทีหลังจากท่านพ่อของเค้าสิ้นพระชนย์ได้ไม่นานเพราะอาณาจักรนี้ต้องการผู้ปกครองที่แข็งแกร่งจริงๆ
โดยมีพระคู่หมั้นเจเนวีฟคอยช่วยเหลือ และน้องสาวของเค้ามอร์กาน่า เกือบลืมไปยังมีอีกคนที่ฉันไม่ได้พูดถึงเมอร์ลินพระสหายคนสนิทของอาเธอร์ ซึ่งตัวเมอร์ลินเองก็เป็นพ่อมดขาวเหมือนกัน เพราะเหตุนี้ทำให้แม่มดดำถูกประหารอยู่บ่อยครั้ง ก็แน่ละคนหาเบาะแสเป็นพ่อมดขาวนี่นา ส่วนตัวฉันเองก็ได้แต่ดูพวกแม่มดดำเหล่าโดนไปเผาไปที่ละคนอยู่ห่างๆ ฉันขอเดาไว้ว่าอีกไม่นานจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นว่าดังนั้นฉันก็ทำได้แค่รอเวลาอยู่ในกระท่อมเล็กๆกลางป่านั้น เฮ้อ วันนี้จะทำอะไรดีนะ ซ่อมผ้าม่านดีมั้ยนะ หรือว่าจะทำยาสมุนไพรดีละ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ความคิด ฉันจึงค่อยๆพยุงตัวเดินไปที่ประตูเพื่อจะดูว่ามีใครมาที่นี่หวังว่าจะเป็นแค่พวกพรานป่าที่ผ่านมาแถวนี้ไม่ก็พวกพ่อมดแม่มดขาวที่ฉันรู้จักนะ และทันทีที่ฉันเปิดประตูออกไปฉันก็ได้พบกับ.....เมอร์ลิน ใช่ เค้าคือเมอร์ลินพ่อมดขาวที่ฉันได้อธิบายไว้นั่นเอง
“อ้าว เมอร์ลิน มาทำอะไรที่นี่หรอ” ฉันทักทายเมอร์ลินก่อนที่จะเชื้อเชิญให้เมอร์ลินเข้ามาในบ้าน
“คือมีเรื่องด่วนนิดหน่อย” เมอร์ลินรีบเดินตรงไปยังเก้าอี้และนั่งลงทันทีเพื่อเปิดประเด็น
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรละ”
“คือตอนนี้เจ้าหญิงมอร์กาน่าอาการแย่มากๆเลย ไม่ว่ายาตัวไหนก็รักษานางไม่หายเลย ฉันมาที่เพื่อจะเชิญเธอไปดูอาการของเจ้าหญิง”
“เอ่อ.......คือฉันคงไปไม่ได้หรอกเมอร์ลิน”
“ทำไมละ เมลิซ่า ในเมื่อที่ผ่านมาเธอคอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดทำไมเธอถึงปฏิเสธแบบนี้ละ” หลังจากจบคำพูดของเมอร์ลินมันทำให้ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่ฉันได้พบอาเธอร์ฉันไม่อยากไปพบกับเค้าอีกเพราะว่าเค้ารู้แล้วว่าฉันเป็นแม่มดแล้วและเค้าอาจจะประหารฉันได้ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันที่ฉันเคยช่วยชีวิตของเค้าเอาไว้เมื่อตอนยังเด็ก ก็ไม่รู้สินะ แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ไปเด็ดขาด
“ก็เพราะฉันไม่อยากไป ฉันเกลียดเด็กคนนั้น.......” หลังจากที่ฉันพูดจบประโยคเมอร์ลินก็แสดงสีหน้าตึงเครียดพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย
“เอาละ ในเมื่อเธอไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร แต่ว่าอย่างน้อยคุณช่วยเห็นใจอาเธอร์หน่อยจะได้มั้ย ผมสงสารอาเธอร์เหลือเค้าต้องทรมานกินไม่ได้นอนไม่หลับที่เห็นน้องสาวของตัวเองต้องเป็นแบบนั้น ได้โปรดเถอะเมลิซ่าถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งเดียวที่ผมจะขอร้องละกัน”
“ขอเวลาฉันคิดหน่อยได้มั้ยเมอร์ลิน”
“แสดงว่าคุณเริ่ม...”
“ไม่ฉันแค่สงสัย ว่าคนที่รอบรู้เรื่องยาและการรักษาแต่กลับช่วยเจ้าหญิงไม่ได้เลยสักนิด”
“งั้นคุณก็คงต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วละ” เมอร์ลินย่อตัวและคุกเข่าต่อหน้าฉัน ฉันรู้หรอกนะว่าเค้าพยายามให้ฉันไปให้ได้ แต่จะทำไงได้ใจนึงฉันเองก็ไม่อยากไปเจออาเธอร์อีกใจนึงฉันก็อยากจะไปดูอาการของเจ้าหญิงมอร์กาน่า ฉันเดินครุ่นคิดและเดินไปเดินมาอยู่ในกระท่อม ส่วนเมอร์ลินที่เห็นท่าทางของฉันก็คงจะปวดหัวไม่น้อย เมอร์ลินจึงค่อยๆลุกขึ้นและถอนหายใจเล็กน้อย
“ถ้าฉันไม่ไปละ”
“ผมก็จะพาคุณไปเดี๋ยวนี้!” หลังจากที่เมอร์ลินพูดจบประโยคก็มีเหล่าทหารพากันเข้ามาในกระท่อมของฉัน ทำเอาฉันมึนงงไปพักใหญ่ ว่าแต่นี่มันอะไรกัน!!!!
“เดี๋ยวๆๆ นี่มันบ้านฉันนะคุณจะให้ทหารพวกนี้เข้ามาอัดอยู่ในบ้านของฉันไม่ได้นะ”
“คุณผู้หญิงขอแนะนำตัวหน่อยละผมเป็นหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมนามของข้าคือเซอร์เบดิเวียร์ กระผมมีหน้าที่พาท่านเมลิซ่าไปพบกษัตริย์อาเธอร์ หลังจากที่เมอร์ลินเชื้อเชิญท่านไม่สำเร็จก็จะเป็นหน้าที่ของ กระผมในการพาตัวท่านไป”
ตัดมาที่ปราสาทแห่งคาเมรอท ณ ห้องบรรทมของเจ้าหญิงมอร์กาน่า
ฉันได้แต่ดูอาการของเจ้าหญิงอย่างอดสงสัยไม่ได้ว่านางโดนอะไรกันแน่แต่ที่ฉันแน่ใจที่สุดพิษที่อยู่ในตัวนางไม่ใช่พิษที่มีอยู่ในเมืองนี้แน่นอน ไม่ใช่งูพิษหรือผลไม้มีพิษแน่ๆ ว่าดังนั้นฉันจึงบอกให้ผู้ชายทุกคนออกไปจากห้องเพื่อจะตรวจดูร่างกายของเจ้าหญิง เมื่อทุกคนออกไปจนหมดฉันจึงเปิดผ้าห่มออกมาใช่แบบที่ฉันคิดเท้าของเจ้าหญิงเริ่มกลายเป็นหิน นี่เป็นพิษของบาซิลิส!!
แต่ว่าเป็นพิษแบบอ่อนๆถ้าเจ้าหญิงโดนไปตรงๆละก็เจ้าหญิงจะตายทันทีแต่ว่าบาซิลิสมีอยู่แค่ที่เดียวคือป่าอาถรรย์เป็นไม่ได้ เรื่องนี้จะต้องมีคนทำแน่ๆ แม่มดดำงั้นหรอ ว่าแต่แม่มดดำคนไหนกันที่ทำแบบนี้ ไม่สิเราต้องคิดถึงยาถอนพิษก่อนใช่ ดอกไม้ที่อยู่ในถ้ำของบาซิลิสมีฤทธิ์ในการช่วยรักษาได้ เพียงแค่ดอกเดียวและนำมาปรุงยาแค่นั้น
“ท่านอาเธอร์ท่านจะเข้ามาในนี้ไม่ได้!!!!” เสียงของเมอร์ลินตะโกนดังมาจากข้างนอกห้องทำให้ฉันถึงกับสดุ้งไม่นะไม่ใช่ตอนนี้สิ เค้าจะเข้ามาตอนนี้ไม่ได้
ปัง!!!!
ทันใดนั้นอาเธอร์ก็ใช้กำลังกระแทกประตูห้องจนเปิดออกโดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามใดทั้งสิ้น ส่วนฉันก็ได้แต่ถอนหายใจ ให้กับคนที่กำลังเดินมาข้างหลังฉัน
“อาการเป็นยังไง” คนข้างหลังฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ
“อาการทรุดตัวลงไปเรื่อยๆถ้าไม่รีบหายาถอนพิษอาการของนางก็จะแย่ลงและสุดท้ายเมื่อร่างกายของนางกลายเป็นหินทั่วทั้งตัวนางก็จะสิ้นใจ”
“แล้วยาถอนพิษนั่นจะหาได้ที่ไหน”
“ป่าอาถรรย์”
“เธอรู้ทางมั้ย”
“รู้แต่ว่าทางที่พวกมนุษย์จะไปได้นั้นไกลมากต้องข้ามทะเลไป” หลังจากฉันพูดฉันจึงลุกขึ้นจากเตียงของเจ้าหญิง
“ไกลแค่ไหนผมก็จะไป”
“งั้นก็เชิญตามใจคุณละกัน” ไม่ทันไรในขณะที่ฉันจะเดินไปที่ประตูเค้าคว้าข้อมือของฉันไว้ในตอนนี้เค้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากไม่เหมือนแต่ก่อนร่างของเค้าสูงโปร่งดูสง่างามเหมาะกับการเป็นกษัตริย์มาก และมือที่ใหญ่พอที่จะบีบข้อมือของฉันให้แหลกได้
“ทำไมคุณถึงไม่มองหน้าผมเลยละ เมลิซ่า” ร่างสูงถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เพราะว่าสถานะของฉันกับเธอตอนนี้มันต่างกันเกินไปอีกอย่างฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมองหน้าคุณด้วยซ้ำกษัตริย์อาเธอร์” ทันทีที่ฉันจบประโยคเค้าถึงกับชะงักและค่อยๆปล่อยข้อมือของฉันออก ฉันจึงเดินออกไปจากและไปยังห้องรับรองแขกที่เมอร์ลินได้จัดเตรียมเอาไว้ บางทีฉันก็สงสัยในตัวเค้าเหมือนกันท่าทีที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ที่ฉันคิดว่าเค้าเปลี่ยนไปนั้นจริงๆแล้วในส่วนลึกของเค้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
และถ้าหัวใจของเค้าจะโหยหาฉันที่เป็นางฟ้าของเค้าก็คงไม่มีอีกแล้วละ อีกอย่างตัวเค้าเองก็มีคู่หมั้นที่กษัตริย์องค์ก่อน กษัติย์อูเธอร์ได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ฉันก็ไม่ควรจะใส่ใจอะไร ในขณะที่ฉันกำลังเดินไปเรื่อยๆทหารทุกคนต่างวิ่งกันอย่างวุ่นวายเพื่อเตรียมเรือเพื่อจะออกเดินทางไปยังป่าอาถรรย์ที่ฉันพูดถึง และแน่นอนเมื่อเตรียมการเสร็จแล้วเราจะเดินทางไปทันทีเพราะเวลาของเจ้าหญิงมอร์กาน่าใกล้จะหมดลงแล้ว...…………….
วันต่อมา ณ ท่าเรือ
“พระองค์แน่ใจนะว่าจะไปกันแค่นี้จริงๆ”
“ข้าแน่ใจ” หลังจากที่อาเธอร่ำราเจเนวีฟคู่หมั้นเสร็จก็สั่งให้ทหารออกเรือเพื่อที่จะเดินทางไปยังป่าอาถรรย์
การจัดทีมของอาเธอร์เราไปกันทั้งหมด 10 คน เท่านั้นเป็นทหารธรรมดา 6 คนคอยบังคับเรืออีก 2 คนก็จะเป็น เซอร์เบดิเวียร์กับเมอร์ลิน และก็ฉันกับอาเธอร์ ฉันรู้ว่าตัวเจเนวีฟเองก็คงจะอดห่วงอาเธอร์ไม่ได้เพราะบนเรือนั้นมีฉันอยู่ ใช่สิ เพราะฉันเป็นแม่มดยังไงละ ตั้งแต่เจอเจเนวีฟที่ปราสาทเธอเองก็แสดงอาการไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่
ฉันเดินมาที่หัวเรือเพื่อจะดูปลายทางข้างหน้าพร้อมกับบอกทางให้กับเซอร์เบดิเวียร์ที่เป็นคนบังคับเรือ เฮ้อ ลมทะเลแบบนี้ฉันไม่เคยได้สัมผัสมานานแค่ไหนกันนะตั้งแต่ คุณยายท่านเสียละมั้ง คิดถึงจังเลย ลมทะเลที่พัดทำให้เส้นผมของฉันปลิวสยายไปตามลมและเส้นผมของฉันก็สะท้อนกับดวงอาทิตย์ทำให้เส้นผมสีแดงของฉันยิ่งดูร้อนแรงขึ้นไปอีก
“ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะ เมลิซ่า” อาเธอร์ที่เดินมาข้างๆฉันทักขึ้น
“เฮ้อ คิดว่าฉันจะดูดความเยาว์วัยของเด็กๆเข้าไปรึไง”
“เปล่าหรอก ผมพูดจากใจจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมพบคุณตอน 5 ขวบจนมาถึงตอนนี้คุณก็ยังสวยไม่เปลี่ยน”
“หึ นี่พูดชมฉันคิดว่าฉันจะใจอ่อนงั้นสิ อย่าลืมสิอาเธอร์คุณมีคู่หมั้นแล้วนะ” ฉันพูดจิกกัดเล็กเพื่อให้อาเธอร์หยุดพูดจาแบบนี้สักทีฉันชักจะอ้วก
“หมั้นกันเพราะเป็นหน้าที่ แต่ในหัวใจจริงผมไม่ได้รักเจเนวีฟเลยสักนิด”
“ทำไมกันละ”
“เพราะไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาเธอไปซะหมด ถึงจะอยู่ด้วยกันมากแค่ไหนก็ทำใจให้รักเจเนวีฟไม่ได้เลย ราวกับว่าหัวใจดวงนี้มันมีเจ้าของไปแล้ว”
“ถ้างั้นก็เลิกฝันและพบกับความจริงได้แล้ว อาเธอร์ ถึงว่าตอนนี้คุณอาจจะคิดว่าหัวใจคุณปฎิเสธเธอแต่สักวันนึงเมื่อได้ชีวิตคู่ทั้งคุณและเธอก็ต้องปรับตัวเข้าหากันอยู่และอีกอย่างมันคือหน้าที่คุณต้องแบกรับในการเป็นกษัตริย์และเป็นคู่หมั้นที่ดีของเจเนวีฟให้ได้ ชีวิตความรักแบบในเทพนิยายมันไม่มีจริงหรอก”
“มีจริงสิ!!!” ร่างสูงข้างๆพยายามจะโต้เถียงฉันให้ได้แต่ก็เอาเถอะเค้าอายุแค่ 18 ยังไงซะเมื่อเค้าอายุมากขึ้นเค้าก็ต้องเรียนรู้ได้เองแหละ ฉันจึงรีบหันหน้าหนีและเดินไปที่อีกฝากนึงของเรือซึ่งเมอร์ลินยืนอยู่บางที่เมอร์ลินอาจจะช่วยให้ฉันหนีจากอาเธอร์ได้บ้าง ดูท่าทางอาเธอร์คงจะหงุดหงิดไม่ใช่น้อยที่ฉันเดินหนีเค้า
“อ้าว ไม่คุยกับอาเธอร์ต่อหรอเมลิซ่า”
“ไม่ละ ขอบคุณ”
“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้น”
“ก็แค่เจ้าชายน้อยของเธอยังไม่โตสักทีนี่สิ”
“แต่อาเธอร์ก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากเลยนะ ว่าแต่ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นกันละ”
“ฉันคิดว่าเค้ายังจมปรักกับอดีตที่ฉันเคยช่วยชีวิตเค้าเอาไว้ และฉันอยากให้เค้านึกถึงหัวใจของเจเนวีฟบ้างว่าเธอเองจะรู้สึกอย่างไร”
“ก็นะ บางครั้งคนเราก็คิดถึงแต่สิ่งที่เค้ารู้สึกรักครั้งแรก หรืออาจจะเค้าอยากจะทำตามหัวใจตัวเองมากกว่าหน้าที่เพราะบางทีที่เค้าแบกไว้อาจจะหนักเกินไปและต้องการคนที่เค้ารักมาช่วยเยียวยาและคอยเป็นกำลังใจให้เค้าต้องลุกขึ้นสู้”
“หึ แต่ว่ายังไงความจริงก็คือเค้าหมั้นเธอคนนั้นไปแล้ว และเค้าก็ต้องรับผิดชอบหัวใจของเธอคนนั้นด้วย”
“ใช่ จริงอยู่แต่ถ้าอีกคนนึงต้องทรทุกข์และทรมานละ มันจะเป็นยังไง”
“ฉันขอเดาว่าถ้าเค้าทนไม่ไหวเค้าคงต้องฆ่าตัวตายแน่ๆ” ฉันหันมายิ้มให้กับเมอร์ลินก่อนที่เราทั้งคู่จะหัวเราะพร้อมๆกันเมื่อเห็นอาเธอร์พยายามจ้องมองเราทั้งคู่ เฮ้อ เอาเถอะยังไงเราก็แค่มาหายาแก้พิษให้เจ้าหญิงมอร์กาน่า หลังจากจบเรื่องนี้ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย
“ว่าแต่เราต้องใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่”
“อาจจะเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนแต่ถ้าอยากให้เร็วกว่านั้นก็ต้องรอดวงอาทิตย์ตกดินซะก่อน”
“ตกลงฉันจะไปบอกทุกคนบนเรือเดี๋ยวนี้” เมื่อเมอร์ลินได้ยินดังนั้นจึงรีบไปบอกทุกคนบนเรือ ให้เตรียมพร้อมเพราะคืนนี้ทุกคนจะต้องเจอศึกหนักแน่นอน
เวลาต่อมาเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า
ในขณะที่ฉันยืนจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้า ซึ่งเป็นเวลาที่ทำให้สีของท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มสวยงาม และสีของมันก็ยังสะท้อนกับผิวน้ำทะเลอีกด้วย ส่วนอาเธอร์ที่เดินวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ก็เดินมาหยุดอยู่ข้างฉันอีกแล้ว เค้านี่ตื้อไม่เลิกจริงๆ
“เฮ้อ เด็กนี่ก็เด็กเสียจริง”
“ตราบใดที่คุณยังคิดว่าผมเป็นเด็ก ผมก็จะเป็นคนเดิมแบบที่คุณคิด” เค้าหันหน้ามาทำท่าทางกวนพร้อมทั้งหยักคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงหยอกล้อ ไม่รู้ว่าฉันควรจะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดี
“แล้วหลังจากตะวันลับฟ้าแล้วคุณจะทำอะไร”
“ฉันจะเรียกพวกไซเรนออกมาเพื่อเปิดประตูไปยังป่าอาถรรย์ แต่แน่ละพวกไซเรนชอบหลอกล่อผู้ชาย”
“แบบนี้ทุกคนบนเรือรวมทั้งผมก็เสร็จหมดสิ”
“ก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่มีสิ่งเดียวที่ช่วยได้นั่นก็คือ......” ฉันหันไปมองอาเธอร์และขยับตัวเข้าไปใกล้เค้าให้มากพร้อมกับเอามือแนบไปที่อกของอาเธอร์
“คืออะไร”
“เจ้าต้องศรัทธาในความรักของเจ้าอย่างสุดหัวใจเพราะความรักนั้นจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญกับมนต์ล่อลวงของไซเรนได้ แต่ถ้าหากเจ้าไม่เป็นแบบที่ข้าพูดเจ้าก็จะต้องตาย”
“แล้วท่านละศรัทธาในความรักรึเปล่า” อาเธอร์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูนิ่มนวลชวนหลงไหลราวกับว่าจะอ้อนวอนขอความรักจากฉันให้ได้
“ฉันศรัทธาแต่หัวใจของฉันมันแตกสลายไปแล้วพร้อมกับครอบครัวของฉันแล้ว ฉันไม่เหลืออะไรที่ต้องรักอีกแล้ว”
“นั่นเพราะท่านไม่ยอมเปิดใจ” เมื่อสิ้นสุดประโยคดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปเผยให้เห็นดวงดาวมากมายบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ฉันยิ้มให้อาเธอร์เล็กน้อยก่อนที่จะใช้มือเสกเหรียญทองไซเรนที่ข้างหูของอาเธอร์ทำให้อาเธอร์ถึงกับตกใจ และฉันจึงโยนเหรียญลงไปในทะเล
“นั่นอะไร”
“เงินสินจ้าง ความสะดวกที่มาพร้อมกับความตาย ขอต้อนรับสู่ฝันร้ายกษัตริย์อาเธอร์ เพนดรากอน แห่งอาณาจักรคาเมรอท” ฉันเหยียดยิ้มและย่อตัวเล็กน้อยเป็นเชิงเปิดเกมกวนประสาทให้อาเธอร์ฉุนเล่นและดูเหมือนว่าเค้าจะไม่สนุกด้วยเพราะตอนนี้ทั้งลมพายุที่พัดกระหน่ำและคลื่นทะเลซัดสาดอย่างบ้าคลั่งกำลังจู่โจมเข้าสู่เรือของเรา
“เกิดอะไรขึ้น!!!” อาเธอร์ตะโกนถามฉันในขณะที่มือข้างนึงจับเชือกของเรือไว้อย่างแน่นหนา
“ไซเรนกำลังมายังไงละ!!!” ฉันยิ้มเหยียดและมองไปที่ทะเล ที่กำลังบ้าคลั่งแบบสุดๆ จากนั้นไม่นานความอลมานจากพายุเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าที่มิดไร้ซึ่งดวงดาว ไร้ลมกระโชกทุกอย่างสงบนิ่ง และทุกอย่างก็มืดสนิท เหลือแต่เพียงแสงจากคบเพลิงที่ทหารจุดไว้ตามจุดต่างๆบนเรือ และเสียงเพลงของไซเรนก็เริ่มคลืบคลานเข้ามา
“ท่านเมลิซ่าเสียงเพลงนี่มัน” เซอร์เบดิเวียร์กล่าวขึ้น
“ใช่ สาวๆของเรามาแล้ว” หลังจากที่ฉันพูดจบเหล่าทหารก็ต่างพากันชักดาบออกมาเตรียมพร้อมตั้งรับ แต่ทหารเหล่านี้คงจะหารู้ไม่ว่าไซเรนเหล่านี้ ไม่ธรรมดา!!! เสียงของไซเรนบรรเลงดังขึ้นเรื่อยๆพวกทหารที่ตอนเหมือนจะเอาอยู่
แต่ตอนกลับเอาไม่อยู่เริ่มหลงไหลในเสียงเพลงของไซเรน ถ้าเป็นแบบนี้ต้องแย่แน่ๆ ไม่ใช่แค่พวกทหารเซอร์เบดิเวียร์ก็เป็นไปด้วยเหลือเพียงฉัน อาเธอร์และเมอร์ลินที่ยังมีสติอยู่
“เมอร์ลิน!!! เธอไปคุมเรือเดี๋ยวนี้เลย!!!”
“ได้จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!!!”
“ส่วนอาเธอร์คุ้มกันเมอร์ลินด้วย!!!”
“แล้วเธอจะทำอะไร!!!!”
“ไล่พวกไซเรนให้ไปที่ทางเข้าป่าอาถรรย์ไง” ว่าแล้วฉันก็เสกคาถาไฟซึ่งเป็นคาถาที่ฉันชำนาญที่สุดสาดใส่พวกไซเรน ทำให้กระเจิงออกไปบางส่วนแต่ก็ยังไม่ทั้งหมด!!!! และกระแสก็เริ่มเชี่ยวแรงขึ้น!! ทันใดนั้นเองก็เกิดกระแสน้ำวนเป็นทางลงไป ทำให้เรือของพวกเราต้องไหลไปตามทางน้ำวน
ฉันวิ่งไปรอบๆเรือเพื่อจะไล่ไซเรนไปให้พ้นจากพวกทหารที่กำลังหลงระเริงอยู่ แต่เรือโครงเครงแบบนี้ฉันก็แย่เหมือนกันนะ
“อาเธอร์!!! ช่วยโยนเชือกมาที!!!!”
“จัดให้!!!” ทันทีที่อาเธอร์โยนมาให้ฉันจัดการร่ายคาถาเพื่อให้เชือกมัดตัวพวกทหารกับเซอร์เบดิเวียร์ไว้รวมกัน ถ้าไม่ติดว่าเจ้าหญิงมอร์กาน่ากำลังแย่นะฉันไม่เลือกวิธีแบบนี้หรอก!!! และน้ำก็เชี่ยวมากจนทำให้เมอร์ลินบังคับเรือได้ยากมาก
“นั่น!!!! เมลิซ่า!!! เห็นทางออกแล้ว!!!”
“ดี!!! อาเธอร์กางใบเรือเดี๋ยวนี้!!!!!!!”
“เธอจะอะไรอีกละ!!!!”
“เชื่อฉัน!!!!” ไม่ใช่อะไรหรอกนะ เพราะข้างหน้ามันเป็นเหมือนน้ำตกยังไงละ!!! จะว่ายังไงดีเหวก็ไม่เชิง!!! ในระหว่างที่ฉันกับอาเธอร์ต่างก็วุ่นวายกับการกางใบเรือดูเหมือนว่าพวกนางไซเรนก็จะไม่ยอมปล่อยทหารเลยนะ ไม่ไหวละมีแต่วิธีนี้เท่านั้น ฉันจึงร่ายคาถาเพื่อให้เชือกที่หมัดพวกทหารไว้ไปผูกติดกับเสาเรือเพื่อไม่ให้พวกเค้าล่วงลงไป
“เสร็จแล้ว!!!”
“คว้าเชือกไว้ให้ดีละ!!” ฉันและอาเธอร์ต่างคว้าเชือกและจับมันไว้แน่น ส่วนเมอร์ลินก็เตรียมพร้อมแล้วเหมือนกัน และแล้วทางน้ำวนก็มาถึงจุดดิ่ง!!!
“ไม่นะ!!!” ดูเหมือนว่าเชือกที่ฉันจับมันจะเปราะเกินไปจนขาด!! ทำให้ร่างของฉันค่อยๆล่วงลงไป และในจังหวะนั้นอาเธอร์ก็คว้าข้อมือของฉันเอาไว้
“ทำไมไม่หาเชือกให้ดีกว่านี้ละ!!! อยากตายรึไง!!!”
“ถ้าฉันอยากตายเธอจะทำไมละ”
“ฉันก็จะตายพร้อมเธอ”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!
สิ้นคำพูดของอาเธอร์เรือก็พุ่งมาลงมาที่ริมชายหาดของป่าอาถรรย์ กระทบกับพืนน้ำพอดิบพอดี และทำให้ร่างของฉันต้องมานอนแนบกับร่างของอาเธอร์เพราะแรงกระแทกของเรือกับผิวน้ำ ซึ่งตอนนี้มันทำให้ทั้งฉันและอาเธอร์ต่างสบตากันและกัน และดูเหมือนเค้าจะหน้าแดงเอามากๆ
“ทำไมถึงต้องหน้าแดงด้วยละ” ฉันลองแกล้งถามอาเธอร์ดู
“เอ่อ......คือ.....อย่ามองผมจะได้มั้ยและอีกอย่างตรงนั้นอ่ะ” เค้าใช้มือข้างหนึ่งปิดตาเอาไว้ส่วนอีกข้างหนึ่งชี้มาที่หน้าอกของฉัน ฉันจึงค่อยๆลุกขึ้นเพื่อออกจากตัวของเค้า บางทีฉันก็ไม่เข้าใจอาเธอร์เลยสักนิดทั้งที่ฉันพยายามปฎิเสธเค้าแต่เค้าก็ยังดื้อด้านตื้อฉัน พยายามช่วยฉัน จนฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าสิ่งที่ฉันทำไปเมื่อ 20 ปีก่อนมันจะทำให้เค้ากลายเป็นแบบนี้ไปได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ