สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก

7.7

เขียนโดย Yaksa

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) หารือหลังการต่อสู้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     รู้สึกปวดเนื้อปวดตัวไปหมด ร่างกายเองก็ขยับลำบากทั้งๆที่ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้วแต่ผมก็ยังคงนอนอยู่บนเตียง ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมากนักก็แค่เหนื่อยล้าจากเรื่องราวที่ได้เผชิญมา

     “เจร่าตื่นรึยัง?”

     เสียงเรียกของเดเน่ดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตู เหมือนอีกฝ่ายจะตื่นก่อนผมนานแล้วแถมรู้สึกได้กลิ่นของอาหารลอยขึ้นมาจากครัวเสียด้วย

     “อ่า...ตื่นแล้วค่ะ...”

     ขณะตอบกลับไปนั้นผมก็วางนาฬิกากลับคืนที่หัวเตียง แล้วพยายามดันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อย

     “จะทานข้าวเช้าเลยไหม?”

     “อ่า...ค่ะจะลุกไปทานเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

     รู้สึกอยากนอนทั้งวันเลยแฮะวันนี้... อ๊ะ! มีงานต้องไปทำด้วยนี้นา.... แต่ว่าทั้งเมืองเกิดเรื่องยุ่งขนาดนี้ร้านจะยังเปิดไหมนะ...

     ระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยผมก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหลังอาบน้ำ เอาจริงๆก็เริ่มจะชินกับการเป็นผู้หญิงมากขึ้นแล้ว

     ผมเดินลงไปชั้นล่างแล้วจึงตรงเข้าห้องอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายในยามเช้า ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตรงไปยังห้องครัว ที่นั้นเดเน่ได้ทำอาหารเช้าเตรียมไว้ให้แล้วผมจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะแล้วลงมือทานอาหารเช้าทันที

     “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”

     “อร่อยดีค่ะ...”

     “เปล่า...พี่หมายถึงเรื่องเมื่อคืนน่ะ”

     เธอถามพลางรินน้ำลงแก้ว ก่อนจะวางให้แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม

     อาจเพราะเมื่อคืนผมกลับมาถึงบ้านแล้วอาบน้ำเสร็จก็เข้านอนเลย เดเน่จึงไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสมรภูมิเสียเท่าไหร่

     อืม...ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก...ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี...มีคนบาดเจ็บบ้างแต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครตายล่ะนะ...

     “ก็ราบรื่นดีนะคะ...อย่างมากก็แค่มีคนบาดเจ็บแล้วก็บ้านเรือนเสียหาย”

     “อืม...เพราะแผนการของเจร่ารึเปล่านะ?”

     “เพราะอัศวินและทหารมากกว่าค่ะ ทุกคนทำหน้าที่ได้ดีมากเลย”

     “นั้นสินะ ทุกคนต่างต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองกันสุดความสามารถเลยสินะ…”

     “ค่ะ...ทุกคนพยายามกันมากเลยค่ะ”

     หลังจากทานอาหารเช้าแล้วผมยังคงรู้สึกเหนื่อยอ่อนที่จะขยับตัวไปไหนไกลจึงนั่งเล่นอยู่ในบ้าน โดยการขึ้นไปนำหมอนและผ้าห่มลงมาแล้วปูนอนกลางห้องรับแขกทางเดเน่เองก็นำอ่านหนังสือมานั่งอ่านอยู่ข้างๆ เหมือนว่าวันนี้เธอก็ว่างเช่นกัน

     “วันนี้ดูเจร่าขี้เกียจจังนะ...ทุกทีจะเห็นออกไปหอสมุดแล้วนี่...”

     “อา...นั้นสินะคะ...”

     “อ่า...เอาเถอะ พักผ่อนซักวันก็ดีเหมือนกัน...”

     เธอพูดพลางหันกลับไปอ่านหนังสือในมือต่อ

     แต่นอนเฉยๆแบบนี้ก็น่าเบื่อเหมือนกัน...จะว่าไป...อยากรู้เรื่องที่ไม่มีบันทึกในหนังสือจังนะ...

     “…พี่เดเน่คะ...อธิบายเรื่องเวทย์มนต์ให้ฟังหน่อยสิคะ”

     “หืม…อืม...เรื่องเวทย์มนต์เหรอ?”

     เดเน่มองเลิกขึ้นเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะวางหนังสือลงบนตัก

     “จะว่าไป...ก็ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับเวทย์อยู่ในหอสมุดเลยล่ะนะ แล้วอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?”

     “อืม...ทั้งหมดนั้นแหละค่ะ...”

     “ถ้าอย่างนั้น...ควรจะเริ่มที่พื้นฐานก่อนสินะ...เอ่อ...ก็อย่างที่รู้ๆทุกเผ่าจะมีมาน่า(พลังเวท/จิตแห่งชีวิต)อยู่ภายในร่าง”

     เมื่อเดเน่เริ่มอธิบายผมก็ขยับตัวให้เข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นเพื่อฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะอธิบาย

     “แต่ล่ะเผ่าพันธุ์ก็จะมีสีของมาน่าที่แตกต่างกัน...”

     “สีเหรอคะ?”

     “ใช่...สีของมาน่าก็เหมือนเป็นสิ่งยืนยันว่าอยู่เผ่าใด ยกตัวอย่างเช่น...นาเทียร์จะมีมาน่าสีเขียว เซรูรานจะเป็นสีขาว อันเรจเดย์จะมีสีทอง...”

     “แล้ววีนิซัทล่ะคะ...”

     “มนุษย์เราจะมีมาน่าเป็นสีแดงน่ะ...”

     “เห...สีแดงเหรอคะ...”

     ผมเริ่มดึงหมอนที่ใช้รองศีรษะออกแล้วนำมากอดแทน

     “พี่เดเน่ใช้เวทย์ได้ไหมคะ?”

     “อืม...พี่ใช้ไม่ได้น่ะ...แต่ถ้าแค่เรียกมาน่าออกมาใครๆก็สามารถทำได้นะ…”

     เธอกล่าวพร้อมกับยกมือขวาขึ้นมาจากนั้นก็นิ่งเงียบไปเหมือนกำลังตั้งสมาธิเพื่อทำอะไรบางอย่าง ช่วงเวลาต่อมาไม่ถึงหนึ่งนาทีแสงอ่อนๆสีแดงก็ค่อยๆกระจายออกมาจากมือของเธอ

     แสงสีแดงนั้นมันค่อยๆก่อตัวเป็นเส้นและมีการเคลื่อนไหวราวกับกำลังไหลเวียนรอบแขนของเดเน่ ก่อนที่เธอจะสะบัดมันออกส่งผลให้แสงนั้นกระจายหายไปในอากาศ

     “ก็ประมาณนี้แหละจ๊ะ...”

     “มันดูสวยจังเลยนะคะ...”

     เริ่มรู้สึกหลงใหลในแสงนั้นแล้วสิ...

     “แต่ถ้ามีมาน่าแล้วทำไมบางคนถึงใช้เวทย์ไม่ได้ล่ะคะ...”

     “อืม...”

     เดเน่ใช้นิ้วชี้มือความแตะแก้มพลางส่งเสียงในลำคอ

     “เท่าที่พี่เคยถามจากพวกนักเวทย์มา หลักๆก็ประมาณว่าอยู่ที่ปริมาณมาน่าในร่างกับความสามารถในการปล่อยออกมาจากร่างกายน่ะจ๊ะ...”

     ระหว่างที่เธออธิบายผมก็ขยับเข้าไปนอนบนตักเธอ เดเน่เห็นดังนั้นจึงใช้มือลูบหัวผมเบาๆ

     “พี่จะอธิบายเรื่อง ประเภทของเวทย์ต่อเลยนะ...”

     ผมจึงพยักหน้าให้เป็นคำตอบ

     “โดยหลักแล้วเวทย์มนต์จะแบ่งประเภทการร่ายเวทย์ตามธาตุ ธาตุหลักๆก็มี อัคคีธาตุ วารีธาตุ ปฐพีธาตุ วายุธาตุ ธาตุศักดิ์สิทธิ์ ธาตุมาร ทั้งหมดก็หกธาตุ...”

     “เอ๊ะ...แล้วสายฟ้าล่ะคะ?”

     เพราะเมื่อคืนผมเห็นแครอลซัดสายฟ้าเข้ามือของนักรบเกราะทมิฬอย่างจัง จึงเกิดสงสัยขึ้นมาว่านั้นคือธาตุหลักด้วยรึเปล่า

     “อันนั้นคือการแตกแขนงธาตุลงมาให้มันมีความพิเศษกว่าเวทย์อื่น อ๋อ...แล้วก็ยังมีการผสมธาตุหลักเพื่อร่ายเวทย์ที่แปลกใหม่ออกไปด้วยนะ”

     แลดูเป็นข้อมูลที่ลึกพอสมควรเลยแฮะ...

     “แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ใช้เองล่ะนะ เพราะทั้งการแตกแขนงและการผสมเวทย์พี่ฟังมาว่ามันเปลื้องมาน่าสุดๆเลยล่ะ”

     “เอ่อ...แล้วถ้ามาน่าหมดจะเป็นยังไงเหรอคะ...”

     “รู้สึกว่าจะหมดสติไปเลย... แต่ถ้าเป็นระดับจอมเวทย์ก็อาจจะแค่ขยับร่างกายไม่ได้แค่นั้นแหละจ๊ะ...เก่งอีกนิดก็ยังคงยืนไหวแต่คงจะใช้เวทย์ไม่ได้ไปซักพัก”

     เห...มีผลเสียเยอะอยู่นะเนี่ย...

     เดเน่ยังคงลูบหัวผมอย่างต่อเนื่องเหมือนเธอจะชอบให้ผมนอนหนุนตักพอสมควร แต่จู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องที่ได้ยินจากนักรบผู้เป็นศัตรูเมื่อคืนขึ้นมาได้

     “พี่เดเน่คะ...คือว่า...”

     จะถามว่ายังไงดีนะ...เดเน่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยสิ...

     “เอ่อ...รา...”

     จังหวะที่กำลังจะเอ่ยถามออกไปเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากหน้าบ้าน

     “อ่า...ใครมากันนะ...ขอโทษนะ”

     เธอกล่าวขอโทษแล้วยกศีรษะผมขึ้นเพื่อให้ตัวเองสามารถขยับออกและลุกขึ้นได้ เดเน่เดินตรงไปที่ประตูเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนส่วนผมก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิมแต่ก็ใช้หมอนที่กอดอยู่มาหนุนหัวแทนแล้ว

     เหมือนจะเงียบไปนานแฮะ...

     “ใครมาเหรอคะพี่เดเน่?”

     ไม่มีเสียงตอบกลับผมจึงลุกขึ้นเดินตรงไปยังประตูบ้าน แล้วก็ต้องพบกับผู้ที่มาเยือนชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆได้ยาก

     “อ่ะ...ฝ่าบาท...”

     ทันทีที่เห็นใบหน้านั้นผมก็ทำตัวเงอะงะจะคุกเข่าทำความเคารพ แต่อีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน

     “สวัสดีจ๊ะ...เจร่า…”

     กราฟิสเซลเอ่ยทักทายด้วยร้อยยิ้ม นั้นทำให้ภาพของเธอที่เหยียบอกศัตรูกลับมาอยู่ในหัวผมอีกครั้ง

     บรรยากาศแตกต่างกับตอนอยู่ในสมรภูมิจริงๆ...แต่มาเจอครั้งที่สองไม่ค่อยกดดันเท่ากับตอนเจอครั้งแรกเท่าไหร่เลย...

     วันนี้เธออยู่ในชุดที่แตกต่างจากเมื่อวานเล็กน้อย และชุดที่สวมนั้นก็ค่อนข้างดูโปร่งสบายจึงทำให้ผิวหนังที่ไม่ได้ถูกเสื้อผ้าปิดไว้มีบาดแผลเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนบางส่วน ส่วนผ้าคลุมขนสัตว์นั้นก็ยังคงสวมไว้เช่นเดิม

     “มะ...มาทำอะไรเหรอคะ?”

     ผมชำเลืองมองเดเน่ที่ยืนอยู่ข้างๆเธอเองก็ทำสีหน้าเหมือนยังไม่ทราบเรื่องราวเช่นกัน

     “ก็มารับพวกเธอไปปราสาทน่ะ...พอดีว่าจะมีประชุมหารือเรื่องที่เกิดขึ้นกันนิดหน่อย”

     “เอ่อ...ถึงกับต้องมาเองเลยเหรอคะ?”

     เดเน่ถามในสิ่งที่ผมอยากรู้ออกไปพอดี

     “ก็นะ...ฉันเองก็ใช่ว่าจะได้ออกมานอกปราสาทบ่อยเสียด้วยสิ ถ้ามีโอกาสก็ต้องออกมาล่ะนะ”

     “อ่า...ค่ะ...”

     “ไปกันเถอะ...”

     อีกฝ่ายพูดพร้อมกับหันหลังเดินไปยังรถม้าที่ดูหรูหรา ซึ่งคนที่ยืนรอปิดประตูนั้นก็คือเมดสาวคนเมื่อคืน

     “พี่ต้องไปด้วยเหรอ?”

     เดเน่ถามออกมาอย่างสงสัย

     “ฝ่าบาทบอกว่า ‘พวกเธอ’ คงจะใช่ล่ะมั้งคะ...”

     หลังจากพวกเราหยิบเสื้อคลุมมาสวมและปิดล็อกประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถม้าในทันที เมื่อเมดสาวปิดประตูรถม้าเสร็จแล้วเธอก็กลับไปคุมบังเหียนเพื่อควบคุมรถให้เคลื่อนที่

     ว่าแต่ลิซ่าไม่มาด้วยเหรอไงนะ...

     ที่คิดแบบนั้นเพราะในรถม้ามีเพียง กราฟิสเซล เดเน่ และ เราเท่านั้น

     “ให้ฉันมาด้วยจะดีเหรอคะฝ่าบาท…”

     “อื้ม...ถ้าเธออยู่ด้วยเจร่าคงจะสบายใจกว่าน่ะ...”

     ได้ยินดังนั้นเดเน่ก็หันมาส่งยิ้มให้

 

     รถม้าใช้เวลากว่าสิบนาทีค่อยๆเคลื่อนที่ไปจนในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย เมื่อเมดสาวเปิดประตูรถม้าให้กราฟิสเซลก็ก้าวลงไปก่อน ผมจึงก้าวเท้าลงตามไปเช่นกัน

     สถานที่รถม้ามาจอดเป็นสวนหน้าปราสาทที่ดูสวยงาม อีกทั้งยังมีบ่อน้ำอยู่ภายในสวนอีกด้วย ต้นไม้เองก็ให้ความร่มรื่นมากเลยทีเดียว

     กราฟิสเซลเดินนำเข้าไปยังประตูปราสาทที่ดูโอ่อ่า ผมจึงไม่มีเวลาชมสวนนานนักก็รีบชักเท้าเดินตามทุกคนไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ทางเดินก็ดูกว้างขวางทอดยาวไปถึงภายใน ทั้งรูปวาดสีน้ำมันและรูปปั้นต่างก็ดูจะเป็นของมีราคา

     พวกเราเดินผ่านห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งมีแชนเดอเลียร์แขวนไว้กลางห้อง ผมสังเกตได้ว่าที่ด้านบนของโคมระย้าหรือรอบๆห้องต่างก็ยังคงใช้เทียนในการให้ความสว่าง

     ในที่สุดหลังจากเดินมาพอสมควรก็มาถึงห้องที่มีประตูคู่ใหญ่โต เมดสาวคนนั้นเปิดประตูเผยให้เห็นห้องที่ใหญ่โตไม่แพ้ห้องโถง เธอผายมือให้พวกเราได้เข้าไป

     ภายในนั้นมีเหล่าอัศวินระดับหัวหน้าหน่วยนั่งอยู่เต็มห้อง นับได้รวมๆแล้วประมาณเกือบหกสิบนาย มีประมาณยี่สิบคนที่ได้นั่งรอบโต๊ะส่วนที่เหลือก็นั่งฟังการประชุมอยู่รอบๆริมห้อง

     ทุกคนไม่ได้สวมหมวกเหล็กและต่างก็สวมผ้าคลุมสีแดงเป็นการสื่อว่าเธอคืออัศวินระดับหัวหน้าหน่วย แต่ก็มีไม่กี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะสวมผ้าคลุมสีทองเช่นกัน

     ผมเลิ่กลั่กอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าควรจะนั่งหรือยืนดี ถ้าหากว่านั่งก็ไม่รู้ว่าควรจะนั่งตรงไหนจนสุดท้ายก็ได้กราฟิสเซลช่วยดึงข้อมือให้ไปนั่งข้างๆเธอ

     ส่วนเดเน่ที่เห็นว่าผมได้ที่นั่งแล้วก็หันกลับหมายจะเดินไปนั่งยังที่ว่างด้านหลัง แต่ผมก็ดึงข้อมือเธอไว้ก่อนเช่นกัน เพราะผมในตอนนี้กำลังเป็นเป้าจากสายตาของทุกคนเหมือนอย่างเมื่อคืนเลย

     “มะ...มานั่งด้วยกันได้ไหมคะ”

     “เอ๋...แต่ที่โต๊ะไม่มีที่นั่งแล้วนะ แถมพี่ยังไม่ใช่อัศวินด้วย...”

     “งั้น...ฉันจะนั่งตักพี่เองค่ะ...เอ่อ...ได้ไหมคะ”

     ผมเอ่ยพลางหันไปถามกราฟิสเซลที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเธอก็ส่งยิ้มแล้วก็พยักหน้าให้อย่างไม่คิดอะไรมาก ผมรีบลุกขึ้นแล้วดึงเดเน่ให้เธอมานั่งแทน เธอทำสีหน้าลำบากใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบนั่งลง ผมเองจึงนั่งลงไปบนตักเธอเช่นกัน

     อ่า...แบบนี้สบายใจกว่าจริงๆแฮะ...อุ...จะว่าไปสัมผัสที่ด้านหลัง...

     “เอาล่ะเมื่อทุกคนพร้อมแล้วเรามาเริ่มประชุมหารือกันเถอะ”

     ผมมองไปรอบๆโต๊ะก็ยังคงมีสายตามองมาที่ผมด้วยความแปลกใจปนสงสัย แต่ก็มีบางคนส่งยิ้มมาให้ นั้นนับว่าเป็นเรื่องดีรึเปล่านะ

     ระหว่างที่ราชาอธิบายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานเมดหลายต่อหลายคนต่างก็เข้าภายในห้องเพื่อนำขนมและเครื่องดื่มมาบริการแก่เหล่าอัศวินทุกคน ผมเองก็นั่งฟังจับใจความพลางหยิบขนมมาทานจนกระทั่งเมื่อเธอเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์การต่อสู้กับนักรบเกราะทมิฬ

     บางคนต่างก็เริ่มมีสีหน้าปั้นยาก และเมื่อกราฟิสเซลกล่าวถึงราชันผู้ปกครองทุกสิ่ง(Overlord)ภายในห้องต่างก็ส่งเสียงฮือฮาอย่างสนอกสนใจ

     “เอ้า! เงียบหน่อย...”

     องค์ราชาตบโต๊ะสองทีทำให้ภายในห้องกลับมาเงียบเหมือนเดิม

     “ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่ามันเป็นแค่ตำนานกล่อมเด็กก่อนนอนเท่านั้น...”

     มีแต่เราที่ไม่รู้ล่ะนะ...เอาไว้ถามจากเดเน่ทีหลังก็แล้วกัน...

     ขณะที่คิดแบบนั้นผมก็หยิบคุกกี้ขึ้นมาทานจนหมดไปครึ่งจานแล้ว

     “แต่สิ่งที่เจ้านักรับเกราะดำนั้นบอกมาก็คือ ‘รอวันที่สุริยันถูกกลืนหายไป...’…”

     ขณะที่กราฟิสเซลอธิบายนั้นสมองผมก็เริ่มที่จะตามไม่ทันแล้วจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาหยิบคุกกี้ในจานมากัดอยู่เพียงคนเดียว ต่างจากทุกคนที่เริ่มจะมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมากทุกที

     “...เพราะฉะนั้นจนกว่าจะถึงเวลานั้นเราคงต้องหาทางป้องการเผ่าพันธุ์วีนิซัทของเราให้ได้...เอาล่ะ! เรื่องของมันยังไงคงไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้เสียเท่าไหร่...”

     ผมเอื้อมมือไปจับแก้วทรงเหมือนเยือกที่ทำด้วยเหล็กก่อนจะยกมันมาจิบ แล้วผมก็ได้รู้ว่ารสชาติของน้ำที่อยู่ในแก้วนั้นมันคือนม ด้วยความสงสัยว่าคนอื่นได้เครื่องดื่มชนิดเดียวกันไหม ผมจึงวางแก้วของตัวเองแล้วยกแก้วของเดเน่ขึ้นมาดื่มรสชาติของน้ำที่อยู่ในแก้วคือไวน์รสอ่อนๆ

     ...โดนมองเป็นเด็กจริงๆด้วย...

     เดเน่ที่กำลังสนใจสิ่งที่ราชาพูดก็สังเกตว่าผมกำลังถือแก้วน้ำของเธออยู่ เธอจึงนำแก้วนั้นไปวางไว้ห่างมือผม

     “…สำหรับเหตุการณ์ที่ออร์คบุกโจมตีเข้ามาทางเราได้ส่งคนไปติดต่อกับเมืองอื่นแล้ว อีกประมาณสองวันก็คงทราบข่าว... ต่อไปมาคุยเรื่องวิธีป้องกันไม่ให้ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีกก็แล้วกัน...”

     กราฟิสเซลเรียกให้เมดนำแผนที่ขนาดใหญ่มากางไว้บนโต๊ะ พลางเอ่ยถามอัศวินทุกคนรอบห้อง

     “ใครมีอะไรจะเสนอแนะไหม? เจร่าล่ะ...มีไหม?”

     “…คะ...ค่ะ...”

     ซึ่งจังหวะที่เธอหันมาผมก็กำลังหักคุกกี้เข้าปากอยู่พอดี ผมจึงรีบเคี้ยวพร้อมกับมองไปยังแผนที่ตรงหน้า

     “เอ่อ...วิธีป้องกันสินะคะ...”

     “อื้ม...”

     ระหว่างที่ผมกำลังพินิจแผนที่อยู่ อัศวินที่นั่งร่วมโต๊ะก็ยกมือขึ้นแล้วลองเอ่ยข้อเสนอออกมา

     “สร้างกำแพงครอบคลุมพื้นที่พักอาศัยภายนอกดีไหมคะ...”

     “น่าสนใจดี! แต่ว่าทรัพยากรเราไม่มากพอขนาดนั้นนะ อีกทั้งยังใช้เวลามากอีกด้วยสิ”

     “งั้นเปลี่ยนจากหินเป็นไม้ล่ะคะ”

     อัศวินอีกคนที่นั่งไม่ห่างจากคนเมื่อครู่เท่าไหร่นักพูดเสริมขึ้นมา

     “แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ต้องตัดไม้ทั้งภูเขาเลยน่ะสิ”

     ได้ยินแบบนั้นอัศวินคนอื่นๆต่างก็ส่งเสียครางในลำคอครุ่นคิด

     “ไม่ต้องสร้างอะไรหรอกค่ะ...”

     สิ่งที่ผมเอ่ยออกมาดึงความสนใจของคนภายในห้องอย่างรวดเร็ว

     “แค่ขุดคลองไว้ขวางกั้นก็พอแล้ว”

     “หืม...”

     กราฟิสเซลมองแผนที่แล้วพยายามคิดภาพตามผมจึงยืดตัวลุกขึ้นจากตักเดเน่แล้วใช้นิ้วชี้ไปยังแผนที่

     “ถ้าเราขุดคลองจากแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองเข้ามา...จากตรงนี้...ลากยามมาจนถึงตรงนี้ได้ก็จะเป็นการชะลอการโจมตีจากพวกมอนสเตอร์ได้”

     ผมชำเลืองมองทุกคนก่อนจะเอ่ยเสริมอีกเล็กน้อย

     “ถ้าขุดลึกพอก็จะสามารถป้องการพวกที่ตัวใหญ่หรือมีความสีได้ดีด้วยนะคะ”

     “แล้วเรื่องเส้นทางล่ะ...คนที่เดินทางมาจากแชมส์จะไม่ลำบากเหรอ?”

     “เรื่องนั้นเราสร้างสะพานไว้สำหรับเดินทางข้ามฝั่งก็ได้นะคะ”

     “ถ้าอย่างนั้นมอนสเตอร์ก็สามารถผ่านเข้ามาได้เหมือนกันสิ”

     “อืม...ถ้าอย่างนั้นเราทำเป็นสะพานยกดีไหมคะ”

     “นึกภาพไม่ค่อยออกเลยน้า...”

     อืม...นั้นสินะ...จะอธิบายยังไงดีนะ...

     “ขอกระดาษกับปากกาหน่อยจะได้ไหมคะ”

     เมื่อผมขอไปกราฟิสเซลก็เรียกให้เมดที่ยืนอยู่ภายในห้องไปนำส่งที่ผมต้องการมา รอได้ไม่นานเมดคนเมื่อครู่ก็นำกระดาษสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกับปากการทรงหรูมาวางไว้ให้ ผมจึงหยิบปากกาแล้วเริ่มถ่ายทอดภาพในหัวลงไป

     “เสร็จแล้วค่ะ...”

     ผมวางปากกาพร้อมกับส่งกระดาษในมือให้องค์ราชา

     “เห...วาดรูปสวยดีนะ...”

     โชคดีตอนเรียกวิชาเลือกเราเลือกลงเรียนศิลปะ... แต่ฝีมือเรายังนับว่าอยู่ในระดับกลางๆเมื่อเทียบกับคนอื่นที่เรียนด้วยกันน่ะนะ...

     “แล้วหลักการทำงานของมันล่ะ...”

     กราฟิสเซลวางกระดาษลงงพร้อมกับชี้นิ้วไปที่รูปวาดสะพานในกระดาษ

     “ก็จะใช้หลักการหมุนของเฟืองตรงนี้เพื่อยกสะพานตรงนี้ขึ้นน่ะค่ะ...”

     อีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจผมจึงอธิบายเสริมให้มากขึ้น

     “ถ้าเราหมุนเฟืองตรงนี้จะสามารถลดแรงที่ใช้ในการยกสะพานได้ ทำให้เพียงแค่ใช้คนที่มีกำลังมาเพียงคนเดียวอีกทั้งยังรวดเร็วกว่าอีกด้วย”

     “น่าสนใจดีนะ...”

     “ค่ะ...อ๋อ...ตรงส่วนที่ใช้ดึงสะพานคงต้องทำเป็นโซ่นะคะเพื่อความคงทนน่ะค่ะ”

     “อืม...เอาตามนี่แล้วกันนะ”

     “ที่อยากจะแนะนำอีกเรื่องคือนำไปประยุกกับประตูเมืองให้เปลี่ยนเป็นแบบยกจะดีกว่านะคะ”

     “จะลองทำตามที่ว่ามานะ แล้วมีใครจะทักท้วงหรือเสนออะไรไหม?”

     “ถ้าหากว่าศัตรูสามารถบินได้ล่ะ...”

     “เอ่อ...”

     เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้พบเจอผมจึงนิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิด

     “นั้นสินะคะ...อืม...ในตอนนี้ฉันยังคิดวิธีแก้ปัญหาไม่ได้แต่ถ้าวิธีรับมือที่พอจะคิดออกก็มีอยู่ค่ะ...”

     “ลองว่ามาสิ”

     องค์ราชากล่าวออกมาอย่างสนใจ

     “ก็สร้างหอคอยตรวจการตรงบริเวณเรียบคลองห่างกันไปประมาณสิบเมตรก็ดีนะคะ แล้วก็ให้คนที่ไปประจำการโดยใช้หน้าไม้หรือไม่ก็ธนูก็ดีนะคะ”

      “อืม...ที่พูดมาก็พอจะเห็นภาพอยู่...”

      “ค่ะ...”

     ระหว่างที่อธิบายออกไปผมก็หยิบคุกกี้ขึ้นมาเคี้ยวไปด้วย

 

     หลังจากใช้เวลาร่วมชั่วโมงหลายฝ่ายต่างก็ได้ข้อสรุปและวิธีในการรับมือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

     “มีใครจะออกความเห็นอะไรอีกไหม?”

     เมื่อทุกคนในห้องต่างเงียบ กราฟิสเซลจึงเอ่ยปิดการประชุมในทันที

     “สำหรับครั้งนี้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน...ตั้งแต่นี้ไปก็ยกระดับความสามารถในการรบเตรียมพร้อมไว้เผื่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยก็แล้วกัน งั้นก็...แยกย้ายได้!”

     เมื่อการประชุมจบลงอัศวินหลายนายต่างก็ลุกขึ้นทำความเคารพราชาของพวกเธอแล้วจึงลุกขึ้นเดินทยอยออกจากห้องไป เพียงแต่บางคนก็ยังคงนั่งอยู่ต่อและพูดคุยกันอีกเล็กน้อย

     “ขอบใจสำหรับนำแนะนำนะเจร่า...ว่าแต่ชอบทานคุกกี้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

     ผมก็เพิ่งจะสังเกตว่าตัวเองได้ทานคุกกี้ไปมากพอควร เห็นได้จากจำนวนจานใส่คุกกี้ที่วางกองอยู่บนโต๊ะนับสิบ อีกทั้งยังมีเยือกใส่นมอีกสองเยือก

     นี่เรากินจุกกินจิกขนาดนี้เลยเหรอ?... แต่คุกกี้เองก็มีรสชาติที่ดีอยู่แล้วไม่แปลกที่เราจะกินไปมาขนาดนั้นล่ะนะ...

     “ก็ชอบของหวานทานเล่นนะคะ แต่วันนี้ดูจะมากเกินปกติไปเสียหน่อย”

     สงสัยจะเป็นเพราะความกดดันและเหนื่อยล้าที่ยังสะสมอยู่ล่ะมั้ง...

     “ให้แม่ครัวของทางเราทำเผื่อกลับบ้านดีไหม?”

     “อ่า...ไม่เป็นไรค่ะ...เหมือนจะเริ่มอิ่มแล้วด้วย”

     ทำแบบนั้นแลดูจะมากเกินไปหน่อย...

     “จะว่าไป...ลิซ่าล่ะคะ?”

     “นอนซมอยู่ในห้องน่ะ อยากพบไหมล่ะ?”

     “ไม่รบกวนเธอจะดีกว่าค่ะ...”

     “เอ่อ...เจร่าลุกก่อนได้ไหม...”

     พอชำเลืองมองเจ้าของเสียงนั้นเธอก็ทำสีหน้าเหมือนกำลังทนกับความเจ็บปวดอยู่ สงสัยว่าผมจะนั่งบนตักเธอนานเกินไปเสียแล้วเดเน่จึงเริ่มมีอาการเหน็บชา

     ผมจึงลุกขึ้นแล้วขยับออกมายืนข้างเดเน่เพราะการประชุมจบแล้วอีกซักพักพวกเราก็คงต้องกลับบ้านเช่นกัน ระหว่างที่รอเดเน่หายจากอาหารเหน็บชาอัศวินสาวผู้ซึ่งผมรู้จักเป็นอย่างดีก็เดินเข้ามาทักทาย

     “สวัสดีจ๊ะ เจร่า...ก็คิดว่าแล้วว่าเธอจะต้องมาล่ะนะ...”

     “แต่ฉันไม่คิดว่าจะได้มาอยู่ตรงนี้เลยนะคะ...”

     เพราะราชาเป็นฝ่ายมาเชิญด้วยตัวเองล่ะนะถึงต้องมาอย่างเลี่ยงไม่ได้...

     “จะว่าไปเอลเซ่…”

     กราฟิสเซลได้เห็นหน้าของเอลเซ่ก็เอ่ยขึ้นเหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้

     “เมื่อคืนอัศวินกองของเธอต่อสู้ได้ดีมากเลยนะ ฉันอยากจะมอบรางวัลให้อยู่หรอกแต่มันจะไม่ค่อยดีต่ออัศวินก่องอื่นน่ะ”

     “ไม่เป็นไรค่ะ... พวกฉันเพียงแค่ทำตามหน้าที่...”

     “อื้ม...แต่ถ้ามีเรื่องอะไรฉันจะเรียกกองของเธอเป็นอันดับแรกๆก็แล้วกันนะ”

     “ขอบคุณค่ะ...”

     “ว่าแต่เจร่าจะกลับเลยไหม? ฉันจะได้เตรียมรถม้าให้...”

     ผมหันไปสบตากับเดเน่เพื่อปรึกษาหาคำตอบซึ่งเธอก็พยักหน้ามาให้

     “ค่ะ...รบกวนด้วยนะคะ...”

     “อื้มขอบคุณสำหรับวันนี้นะ”

     พวกเราทั้งสามกล่าวลาพร้อมกับเดินออกจากห้องมา เมื่อพ้นประตูห้องออกมาเอลเซ่ก็เป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อน

     “เหมือนว่าฝ่าบาทจะชอบในความสามารถของเจร่านะ...”

     “อย่างนั้นเหรอคะ...ว่าแต่บาดแผลเป็นยังไงบ้างค่ะ?”

     “อื้ม...หนักอยู่นะ ก็เล่นโดนดาบเสียบทะลุแขนเลยเนี่ยสิ…”

     เธอพูดพร้อมกับถอดเกราะแขนซ้ายออกมเผยให้เห็นผ้าพันแผลที่มีเลือดซึมออกมา

     “ท่าจะเจ็บนะคะนั้น...”

     “ชินแล้วล่ะ...ว่าแต่เดเน่ในวันนี้เหมือนคุณแม่ที่มาคุมลูกสาวเลยนะ”

     “ฉันหรือ?”

     เอลเซ่หันไปพูดคุยกับเดเน่อย่างเป็นกันเอง จะว่าไปสองคนนี้ก็เพิ่งจะได้รู้จักกันเมื่อวาน

     “นี่ฉันดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

     “เปล่าซักหน่อย...แค่ตอนที่เจร่านั่งตักเธอแล้วบรรยากาศมันให้ความรู้สึกใกล้เคียงน่ะ”

     “งั้นหรอกเหรอ”

     เดเน่พูดพลางใช้นิ้วมวนเส้นผมมรายาวลงมาด้านหน้า

     “วันหลังพวกเธอก็มาเที่ยวเล่นที่บ้านฉันบ้างก็ได้นะ จะได้เจอกับเจร่าด้วยไง”

     “อืม...นั้นสินะ วันหลังพวกฉันจะไปแล้วกันนะ แต่ช่วงนี้ติดปัญหาซ่อมบ้านเรือนของชาวบ้านน่ะ”

     จังหวะที่คุยกันอยู่นั้นพวกเราก็เดินมาจนถึงปากทางประตูเข้าปราสาท

     “ลากันตรงนี้แล้วกันนะ... แล้วเจอกันนะทั้งสองคน...”

     เอลเซ่โบกมือให้ก่อนจะวิ่งหายไปทางสวนด้านหลังคาดว่าไปรับม้าของเธอคือจากคอก ส่วนพวกเราทั้งสองก็ยืนรอรถม้าอยู่ที่เดิมไม่นานรถม้าหรูหราทรงคุ้นตาก็วิ่งมาจอดอยู่ตรงหน้า

     เมดสาวที่พบเจอจนคุ้นหน้าลงมาเปิดประตูให้ แต่จังหวะที่จะปิดก็มีเมดอีกคนวิ่งมาหาพวกเราแล้วส่งตะกร้าที่คลุมด้วยผ้าสีขาวมาให้ เธอบอกว่าราชาเป็นคนสั่งให้นำมาส่งให้

     เมื่อผมลงเปิดดูภายในนั้นก็พบกับคุกกี้จนนวนมากอัดแน่นอยู่ในตะกร้า

     เป็นราชาที่ใจดีจังแฮะ...วันหลังเจอคงต้องขอบคุณอีกครั้งล่ะนะ

     ผมฝากคำขอบคุณให้เมดคนนั้นกลับไปบอกยังกราฟิสเซล ก่อนที่เมดประจำรถม้าจะปิดประตูแล้วไปควบม้าเพื่อสั่งให้มันเคลื่อนที่

     วันนี้...รู้สึกเหนื่อยอ่อนจังแฮะ... เจออะไรแบบนี้หลายครั้งติดกันในสองวันแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ...

     ขณะที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนั้นผมก็หยิบคุกกี้ในตะกร้าขึ้นมาทาน พร้อมกับมองบรรยากาศของบ้านเมืองจากภายในรถม้า

     ...เดี๋ยวให้คุณเมดหยุดรถที่ร้าน แล้วเราลงไปลางานดีกว่า... วันนี้ขอทำตัวขี้เกียจซักวันแล้วกัน...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา