สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก

7.7

เขียนโดย Yaksa

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ความลำบากของหญิงสาว...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     อืม...จะว่ายังไงดีล่ะ...เพราะเป็นผู้หญิงล่ะนะเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ไม่แปลกอะไร...แต่ว่า... เอ่อ...ยังไงดีล่ะ...

     ผมนั่งม้วนกระดาษชำระอยู่ในห้องน้ำพลางครุ่นคิดว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้ดี ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มเปลี่ยนสีจากสีดำเป็นสีฟ้าและอีกไม่กี่อึดใจดวงอาทิตย์ก็พร้อมทอแสงทำหน้าที่ของมัน

     ก็สงสัยอยู่ว่าทำวันนี้เราถึงได้อยากเข้าห้องน้ำตอนเช้าผิดผิดปกติ...

     ในตอนนี้ผมกำลังเผชิญกับปัญหาที่หญิงสาวทุกคนต้องเคยพบเจอและเพราะเป็นประสบการณ์ครั้งแรก ผมก็ได้แต่นั่งสงบนิ่งด้วยความรู้สึกบรรยายอะไรไม่ถูก

     มิน่าสองวันมานี้ถึงได้ปวดแถวๆท้องน้อยนัก...

     ระหว่างที่คิดว่าควรจะทำยังไงดีนั้น ผมก็ตัดสินใจได้ว่าก่อนอื่นขั้นแรกควรจะออกจากห้องน้ำไปก่อนแล้วค่อยไปปรึกษาเดเน่

     จะว่าไปก็รู้สึกแปลกๆมาหลายวันแล้วล่ะนะ... แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้…

     หลังจากจัดการปัญหาด้วยตัวเองเบื้องต้นไปแล้วผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเสียเท่าไหร่ เดเน่ที่เพิ่งตื่นก็งัวเงียเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง

     “อา...อรุณสวัสดิ์เจร่า...ฮ้าว~…วันนี้ตื่นเช้าจังนะ...”

     เธออยู่ในชุดนอนซีทรูสีขาวแม้จะเพิ่งตื่นจนผมสีขาวกระเซอะกระเซิง แต่ใบหน้านั้นยังคงดูสวยงาม

     “อ่ะ...อรุณสวัสดิ์ค่ะ...”

     เมื่อกล่าวทักทายอีกฝ่ายไปแล้วผมก็เดินมุ่งไปล้างมือยังห้องอาบน้ำ ก่อนจะเดินออกมาหาเดเน่ที่กำลังนั่งงัวเงียอยู่ที่ห้องรับแขก

     “เอ่อ...”

     “หืม~…อะไรเหรอ...”

     จะอธิบายหรือถามยังไงดีเนี่ย...

     ถึงแม้พวกเราจะอยู่กันแค่สองคนภายในบ้านหลังนี้ แต่ผมก็รู้สึกเขินๆที่จะพูดออกไปจึงได้แต่อ่ำอึ่งอยู่ที่เดิม

     “หรือว่าหิวแล้วเหรอ...”

     “ปะ...เปล่าค่ะ...”

     ยังไงก็คงต้องถามล่ะนะ...

     ผมเดินเข้าไปแล้วยกมือขึ้นมาป้องปากเพื่อกระซิบบอกเธอ

     “อา...อืมๆ...ว่าแต่...ครั้งแรกเหรอ?”

     เธอหันมาถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

     “ค่ะ...มั้งนะคะ...”

     “หืม...งั้นเดี๋ยวพี่สาวไปหยิบมาให้ก็แล้วกัน...ระหว่างนี่ก็อาบน้ำล้างตัวรอไปก่อนก็แล้วกันนะ”

     เดเน่ค่อยๆลุกขึ้นเดินกลับไปยังห้องนอนชั้นบน ช่วงที่รออยู่ผมจึงทำตามคำแนะนำที่อีกฝ่ายบอก

     หลังจากทำความสะอาดร่างกายในช่วงเช้าเสร็จแล้ว ผมก็เปลี่ยนชุดแล้วเดินกลับไปนั่งรอเธออยู่ที่ห้องรับแขก แม้ว่าจะเพิ่งอาบน้ำมาแต่ก็ยังคงไม่ค่อยจะรู้สึกสบายตัวเสียเท่าไหร่

     เธอกลับมาพร้อมกับซองกระดาษเล็กๆในมือจากนั้นจึงนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะตรงหน้า แล้วจึงเริ่มสอนวิชาสุขศึกษาพื้นให้แก่หญิงสาวที่อยู่ในช่วงเจริญวัยอย่างเรา

     “ก็ตอนนี้ก็ใช้ของพี่ไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่จะไปซื้อแบบที่เหมาะสำหรับเธอมาให้”

     “อ่า...ค่ะ...”

     “เปลี่ยนทุกสามช่วงเวลานะ เช้า กลางวัน เย็น...”

     ผมรับซองสีขาวตรงหน้ามาถือไว้ในมือ

     “แล้วมีอาการอะไรอีกไหม?”

     “ก็ปวดเมื่อยตามตัว...แล้วก็ปวดๆแถวๆท้องน้อย อาการอื่นๆก็...”

     ขณะให้คำตอบผมก็จับบริเวณช่วงท้องพลางคิดถึงสภาพอาการที่เกิดขึ้นในตอนนี้

     “อืม...แล้วปวดมากไหม?”

     “ไม่มากนะคะ...แล้วหิวบ่อยกับอ่อนแรงเนี่ยเกี่ยวไหมคะ...”

     “ก็มีส่วนนะ...ช่วงนี้ก็ลดของหวานแล้วก็เดินออกกำลังเบาๆก็แล้วกัน...”

     “เฮ๊ะ...แต่ว่าช่วงนี้ฉันรู้สึกอยากทานมากกว่าปกติเลยนะคะ...”

     “เพราะอย่างนั้นถึงต้องลดล่ะนะ…”

     ใช้เวลาอยู่นานในที่สุดผมก็พอจะทราบถึงวิธีปฏิบัติจัดการปัญหาในช่วงเวลานี้สำหรับการใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงแล้ว

     “อืม...แต่แปลกนะที่มันมาช้าผิดปกติมากเลย”

     ไม่ผิดปกติหรอกค่ะ...ก็เพิ่งจะเป็นผู้หญิงมาได้ไม่ถึงเดือนเลย...

     และในที่สุดปัญหาของหญิงสาวก็ได้รับการแก้ไขแม้ว่าจะยังไม่ค่อยจะรู้สึกคุ้นชินกับช่วงล่างเสียเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้ให้มันเกิดปัญหา

     สมกับเป็นโลกของหญิงสาว...วิทยาการเพื่อยกระดับชีวิตผู้หญิงเนี่ยมีความก้าวหน้ากว่าที่คิดจริงๆ...

     หลังจากทานมื้อเช้าฝีมือเดเน่แล้ว ผมก็หยิบหนังสือของเธอขึ้นไปนอนเอนกายอ่านบนห้อง

     วันนี้ควรจะอยู่ติดบ้านเป็นการดีที่สุดล่ะนะ...

     “เจร่า...นอนอยู่เหรอ...ยังปวดอยู่ไหม...”

     เดเน่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องพร้อมกับผ้าขนหนูในมือ

     “มีอะไรหรอกคะ”

     ผมลดหนังสือในมือลงมาวางบนตัก พลางมองอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง

     “พี่อุ่นผ้าขนหนูมาให้น่ะ… ใช้ประคบลดอาการได้นะ”

     “งั้นเหรอคะ...”

     ผมรับผ้าขนหนูมาแล้ววางมันไว้บนท้อง ซักพักก็รู้สึกอาการดีขึ้นมากทำแบบนี่ช่วยได้มากเลยทีเดียว

     “พี่จะไปตลาดน่ะ...เอาอะไรไหม?”

     “อืม...ขะ...”

     “ของหวานไม่ได้!”

     อ่า...งั้นก็อะไรก็ได้ล่ะมั้ง...

     “งั้นไม่เป็นไรค่ะ...อ๊ะ...ฝากไปลางานกับเจ้าของร้านให้หน่อยนะคะ...”

     “ได้สิ...งั้นก็นอนพักผ่อนอยู่บ้านก็แล้วกันนะ”

     “ค่ะ...”

     เมื่อคุณพี่สาวเดินออกจากห้องไปแล้วผมก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ ซักพักต่อมาผมก็ได้ยินเสียงปิดประตูบ้าน

     ด้วยความรู้สึกสบายๆผมจึงนอนเอนกายอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องนอนแล้วก็ค่อยๆงีบหลับไป

 

     หลังจากหลุดออกมาจากห้วงความฝันผมก็ค่อยๆขยับร่างกายบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหยิบนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงมาดูเวลา

     ...งีบไปชั่วโมงกว่าเองเหรอ... แต่รู้สึกหิวจัง...

     ผมขยับยกหนังสือออกจากกาย จากนั้นจึงดันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินลงไปยังห้องครัวชั้นล่าง

     จะว่าไป... มีคุกกี้ที่ได้จากตอนประชุมใส่อยู่ในขวดโหลนี่นะ...

     คิดได้ดังนั้นก็ตรงไปเปิดตู้เก็บของในห้องครัว พลางมองหาสิ่งที่ต้องการแล้วหยิบขวดโหลดที่มีคุกกี้อยู่ภายในมาเคี้ยวในปาก

     อืม...ถึงจะเริ่มไม่กรอบแล้ว...แต่อย่างน้อยก็หวานล่ะนะ...

     ผมอุ้มขวดโหลไว้ในมือแล้วเดินกัดคุกกี้ในปากออกมาจากห้องครัว จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเปิดประตูจากหน้าบ้าน

     “อ้าว...เจร่า...พี่กลับมาแล้ว...จ๊ะ”

     อึก...หลักฐานคามือเลย...

     เดเน่เดินเข้ามาดึงขวดโหลไปจากมือผมที่ถืออยู่

     แต่อย่างน้อยก็ยังมีอยู่ในมือขวาอีกชิ้นล่ะนะ...

     เห็นดังนั้นผมจึงยกคุกกี้ในมือขวาขึ้นมากัด พร้อมกับเดินตามเดเน่กลับไปในห้องครัว

     “พี่บอกแล้วไงว่าลดของหวานน่ะ...”

     “แต่เพิ่งกินไปได้แค่สามชิ้นเองนะคะ”

     อันที่จริงก็ห้าแล้วล่ะ...

     “เอาเถอะ...ทานผลไม้แทนแล้วกัน”

     เธอกล่าวพร้อมกับหยิบผลไม้สีแดงในถุงกระดาษออกมาส่งให้ ซึ่งผมก็แบมือรับมากัดแต่โดยดี

     “พี่ไปลางานให้แล้วนะ คุณเจ้าของร้านก็ฝากยาสมุนไพรมาให้เจร่าด้วยล่ะ”

     เดเน่หยิบขวดยาที่มีน้ำสีดำขุ่นๆอยู่ภายในออกมาจากถุงกระดาษอีกใบ

     ดูจากสีแล้วไม่น่าดื่มเลย...

     “เธอบอกว่าจนกว่าจะหายดีก็หยุดงานไปก่อนก็ได้”

     “อ่าค่ะ...”

     ช่วงที่ตอบกลับไปผมก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าแอปเปิ้ลในมือถูกกัดจนเหลือแต่แกนเสียแล้ว ดูท่าร่างกายคงจะต้องการสารอาหารจริงๆ

     มาคิดๆดูแล้วอาการของเราดูจะไม่ค่อยหนักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่น... แต่ก็หวังว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนะ...

 

     อีกสามวันถัดมาอาการช่วงนั้นของเดือนผ่านไป ร่างกายก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติผมจึงสามารถกลับมาทำอาหารได้หลังจากปล่อยให้เดเน่รับหน้าที่อยู่เสียนาน เมื่อทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วเดเน่ก็ออกจากบ้านไปเพราะมีงานสอนหนังสือ

     ส่วนผมก็มีจุดหมายแล้วเช่นกันที่แห่งนั้นคือค่ายทหารที่เอลเซ่สังกัดอยู่ เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ควรจะฝึกการใช้อาวุธเอาไว้บ้าง

     เมื่อมาถึงผมก็เดินผ่านสายตาของทั้งทหารและอัศวินกองอื่นตรงไปยังห้องพักของพวกเธอ

     “สวัสดีค่ะ...เอ่อ...ไม่อยู่...?”

     หลังเปิดบานประตูเข้าไปด็ไม่พบใครภายในห้องนั้น

     คิดว่าตอนเที่ยงจะอยู่กันซะอีก...

     “มาหาใครเหรอ?”

     อัศวินจากหน่วยอื่นเอ่ยทักจากด้านหลังผมจึงหันไปกล่าวทักทายและถามถึงที่อยู่ของกองทหารที่34

     “อืม...วันนี้เป็นเวรของกองที่34ไปช่วยซ่อมบ้านเรือนน่ะ... แต่อีกซักชั่วโมงก็กลับมาแล้วมั้ง...”

     “อ่า...ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

     “อืม...จ๊ะ เข้าไปรอพวกเธอก่อนก็ได้...”

     ได้ยินดังนั้นผมจึงผงกศีรษะให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอภายในห้อง ทว่านั่งรอได้ไม่ถึงห้านาทีก็เริ่มออกอาการเบื่อหน่าย

     “…น่าเบื่อแฮะ...”

     ระหว่างที่คิดหาอะไรทำฆ่าเวลาอยู่นั้น ก็นึกถึงภาพของเดเน่ที่เรียกมาน่าออกมาจากแขนขึ้นได้ ผมจึงลองยกแขนขึ้นมาเพื่อลองปล่อยมาน่าออกมาบ้าง

     ฮึบ... อืม... อย่างนี่รึเปล่านะ...

     แต่พยายามอยู่นานก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ผมจึงคิดว่า ควรจะปรึกษาวิธีการใช้มาน่ากับแครอลน่าจะได้ผลดีกว่า

     ขณะที่คิดแบบนั้นก็มีใครบางคงเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ผมหันกลับไปมองก็พบกับอัศวินสาวสองคนเดินเข้ามา

     “อ่า...เหนื่อยๆ เมื่อไหร่จะเสร็จนะ...”

     “นั้นสิ... อ๊ะ...เจร่า”

     “สวัสดีค่ะ...”

     เมื่อแครอลและอัลม่าสังเกตเห็นผมจึงถอดหมวกเหล็กออกแล้วกล่าวทักทาย

     “อืม...เช่นกัน...มีธุระอะไรเหรอ?”

     “อ่า...ค่ะ...ว่าแต่คนอื่นๆล่ะคะ”

     “โลเรนกับเอลเซ่กำลังช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนอยู่น่ะ พวกฉันออกเวรแล้วก็เลยกลับมาก่อน ส่วนวินเชสต้าแวะซื้อของคิดว่าเดี๋ยวก็กลับมากันแล้วล่ะ...”

     แครอลช่วยอธิบายให้คำตอบพร้อมๆกับถอดเกราะออก

     ว่าแต่สวมเกราะกันทุกวันเลย...ไม่ร้อนหรือไงนะ...

     “เหรอคะ...”

     “แต่ก็เป็นโอกาสอันดีแล้ว...”

     เธอหันไปส่งยิ้มให้กับอัลม่าก่อนจะเดินตรงเข้าห้องครัวไป ซักพักก็กลับออกมาพร้อมกับขวดแก้วสีน้ำตาลเข้มในมือและแก้วน้ำสองใบ ส่วนผมที่พอจะรู้แล้วว่าพวกเธอจะทำอะไรกันจึงเดินกลับไปนั่งรอที่เก้าอี้ตัวเดิม

     “กว่าเอลเซ่จะกลับก็อีกนานเลย...ระหว่างนี้ก็ขอสนุกกับเจ้านี่ก็แล้วกันนะ”

     อัลม่าที่ถอดชุดเกราะเสร็จแล้วรีบตรงไปนั่งยังโต๊ะแล้วคว้าแก้วมาให้แครอลรินน้ำในขวดลงไป พวกเธอเริ่มสังสรรค์กันสองคนอย่างสนุกสนาน

     “จะว่าไปดื่มแต่หัววันจะไม่เป็นไรเหรอคะ?”

     “ถ้าเอลเซ่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอกน่า...”

     ชักอยากให้เอลเซ่กลับมาซะตอนนี้เลยจริงๆ...

     “คุณแครอลคะ คือว่ามีเรื่องจะถามน่ะคะ...”

     “หืม ว่ามาสิ...”

     เธอหันมาถามพลางเลียริมฝีปาก

     “อยากให้ช่วยสอนใช้เวทย์หน่อยน่ะค่ะ”

     “ใช้เวทย์เหรอ อืม...”

     ระหว่างที่กำลังคิดอะไรอยู่นั้นเธอก็ยกแก้วขึ้นดื่ม

     “ก็ได้อยู่นะ แต่ถ้ามาน่าเธอน้อยอันนี้ก็คงต้องเสียใจด้วยล่ะนะ”

     “อ่า...ค่ะ...”

     “กลับมาแล้ว! อ้าวเจร่าอยู่ด้วยเหรอ?”

     “สวัสดีค่ะ...”

     ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาเยือนก็คือมือธนูสาวผมสีทอง เธอกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษเต็มสองมือ

     “อ๊า~ ดื่มเหล้าแต่หัววันกันอีกแล้ว...”

     “ไม่เห็นเป็นไรเลยงานก็ไปทำมาแล้ว แถมยังออกเวรแล้วด้วยใช่ไหมอัล..”

     “ถูกต้อง...”

     เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยแฮะ...

     “เอาเถอะอย่าให้เอลเซ่จับได้ก็แล้วกัน ถ้าหัวหน้ารู้ขึ้นมาฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ”

     วินเชสต้าเดินเข้ามานำถุงกระดาษในมือวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบวัตถุดิบออกมาวางเรียกราย

     “จะทำอาหารเหรอคะ?”

     “อืม...ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกันเลยน่ะ”

     แสดงว่าพวกเธอดื่มกันเพียวๆเลยสินะ... ซักวันกระเพราะต้องมีปัญหาแน่ๆ...

     ผมหันไปมองสองสาวที่ดื่มสุรากันอย่างสนุกสนานพลางถอนหายใจออกมา

     “เอาล่ะ...ฉันไปทำอาหารก่อนนะ”

     “ให้ช่วยไหมคะ...”

     “อื้ม... อ่ะ!...จริงด้วย…”

     เธอส่งเสียงออกมาเหมือนคิดอะไรออกก่อนจะวางวัตถุดิบไว้บนโต๊ะแล้วตรงไปเปิดตู้เก็บอุปกรณ์

     “นี่...จ๊ะ”

     มือธนูสาวกลับมาพร้อมกับผ้าสีขาวที่พับอย่างเรียบร้อยในมือ

     “อะไรเหรอคะ?”

     “ก็ผ้ากันเปื้อนน่ะ”

     ผมรับมาพร้อมกับยกมันขึ้นพินิจ

     “เอ่อ...ระบายพริ้วๆนี่ต้องเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ...”

     “ถ้าเจร่าได้สวมคงจะดูดีนะ...”

     “แต่ว่ามัน...”

     “สวมเลยสิ...”

     ไม่ได้ฟังเลยสินะคะ...

     เธอส่งสายตาเป็นประกายมาให้ ผมจึงนำผ้ากันเปื้อนมาสวมทับตัวอย่างช่วยไม่ได้

     “อืมๆ น่ารักมาก จะว่าไป... รวบผมด้วยก็ดีนะ...”

     ผมรับริบบิ้นสีขาวจากเธอมารวมผมแล้วผูกไว้เป็นทรงหางม้า

     “งั้นก็ไปทำอาหารกันเถอะเนอะ...”

     หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วพวกเรากนำไปจัดเรียงบนโต๊ะ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่เอลเซ่และโลเรนกลับมาพอดี

     “กลับมาแล้ว...”

     “อ่า...ค่ะสวัสดีค่ะ”

     “อ้าว...เจร่ามีธุระอะไรเหรอ?”

     “ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ แต่เอาไว้หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จก่อนก็ได้นะค่ะ”

     พูดจบผมก็วางจานในมือลงบนโต๊ะ นั้นเองที่ทำให้ได้เห็นทั้งอัลม่าและแครอลกำลังนอนหมอบราบไปกับพื้นโต๊ะ

     ก็พอจะเข้าใจล่ะนะ...ว่าทำไปเพื่ออะไร...

     “แล้ว...พวกเธอเป็นอะไรกันน่ะ...”

     คำถามของเอลเซ่ทำให้ทั้งสองคนเกิดอาการไหล่กระตุเล็กน้อย

     “ปะ...เปล่า...แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”

     “อ๋อ...เหรอ... แต่ฉันคิดว่าเพราะขวดที่ซ่อนอยู่มากกว่าล่ะมั้ง...”

     เอลเซ่ชำเลืองมองพลางปลดเกราะที่สวมอยู่ออก ส่วนทั้งสองคนที่ฟุบอยู่ก็ดันตัวขึ้นมานั่งเพราะไม่มีสาเหตุให้ต้องปิดบังอีกแล้ว

     “เฮ้อ... เอาเถอะ! อย่าดื่มเยอะก็แล้วกัน”

     “หัวหน้าใจดีจังเลยค่ะ...”

     ได้ยินดังนั้นทั้งสองคนก็เริ่มดื่มน้ำเมากันต่อ

     ว่าแต่... เมากันแล้วสินะนั้น...

     เมื่อพร้อมแล้วทุกคนต่างก็นั่งที่และลงมือทานอาหารกัน เว้นผมเพียงคนเดียวที่ไม่ค่อยจะหิวเสียเท่าไหร่จึงนั่งทานขนมร่วมโต๊ะกับทุกคนไปพลางทั้งอย่างนั้น

     ระหว่างที่ทุกคนทานอาหารอยู่ผมก็นั่งฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกัน เหมือนว่าการซ่อมแซมบ้านเรือนกำลังคืบหน้ามากเลยทีเดียวส่วนเรื่องการขุดคลองก็เริ่มมีการลงพื้นที่เพื่อเตรียมการแล้ว

     หลังจากมื้อเที่ยงผ่านไปและเก็บกวาดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว ผมก็มานั่งฟังแครอลอธิบายเรื่องการใช้เวทย์ แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเสียเท่าไหร่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากน้ำในมือหรือเพราะผมไม่เข้าใจเอง

     “ให้ลองจินตนาการว่ามีหมอกควันกำลังลอยอยู่รอบแขนดูสิ”

     อืม... หมอก... ควัน...

     ผมลองทำตามที่แครอลแนะนำแต่ผลที่ได้คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “เอ่อ...ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยค่ะ...”

     “แปลกจัง...ลองตั้งหลายแบบก็แล้วนะ...งั้นขอมือซ้ายหน่อย...”

     แครอลแบมือมาให้ผมจึงวางมือของตัวเองลงไปบนมือของเธอ

     “ไหนดูซิ...”

     เธอพูดพลางใช้นิ้วมืออีกข้างลากนิ้วไปบนฝ่ามือของผม

     “เอ่อ...แปลกจังนะ...ปกติมันต้องได้สิ...”

     “อะไรที่ว่าแปลกเหรอคะ?”

     “ก็มาน่าน่ะ...ฉันสัมผัสไม่ได้เลย...”

     “เฮ๊ะ...”

     “อ่า...เหมือนจะใช้คำพูดผิดไปอ่ะนะ…ต้องบอกว่าเบาบางจนสัมผัสไม่ได้เลยมากกว่า”

     ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยค่ะ...

     “มีน้อยเหรอคะ...”

     “อืมน้อย...น้อยมากด้วย...”

     จบแล้ว...ความฝันของการเป็นนักเวทย์ ปกติตัวละครที่มาจากต่างโลกมันต้องมีความสามารถขั้นเทพติดตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ? แล้วไหง...เราถึงได้...

     “เสียใจด้วยนะ...เหมือนเธอจะใช้เวทย์ไม่ได้น่ะ หรือแม้แต่เรียกมาน่าออกมาก็ดูจะเป็นไปได้ยากเลย”

     รู้สึกผิดหวังหนักกว่าเดิมอีก... ไม่เป็นไรไปเอาดีทางด้านการใช้อาวุธก็ได้...

     “ถ้าอย่างนั้น...คุณเอลเซ่ค่ะ ช่วยสอนการใช้ดาบให้หน่อยสิคะ”

     “หืม... ดาบเหรอ?”

     “ค่ะ”

     เธอจับคางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา

     “เอาสิ งั้นไปที่สนามซ้อมกันเลยก็แล้วกัน...”

     ได้ยินดังนั้นผมก็ลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไป แต่เอลเซ่ที่หันมาพอดีก็ชี้นิ้วมาที่ผม แล้วพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

     “ว่าแต่จะไปทั้งชุดนั้นเหรอ...”

     ผมก้มมองชุดที่สวมอยู่ก็พบว่ายังคงเป็นผ้ากันเปื้อนสีขาวที่วินเชสต้าให้มา เห็นดังนั้นผมจึงรีบถอดออกพร้อมกับพับแล้วนำไปวางบนโต๊ะ แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะถอดริบบิ้นที่ผูกผมอยู่ออกด้วย

     ซึ่งวินเชสต้าที่นั่งเหตุการณ์มาตั้งแต่เมื่อครู่ก็ก็เดินตามมาอย่างสนใจเช่นกัน ใช้เวลาเดินเกือบสองนาทีก็มาถึงสนามซ้อมต่อสู้ พื้นในสนามเป็นทรายมีไว้สำหรับป้องกันแรกกระแทกจากการต่อสู้และโดยรอบยังมีทั้งทหารและอัศวินคนอื่นๆซ้อมรบกันอยู่

     เอลเซ่เดินตรงไปหยิบดาบไม้มาแล้วจึงโบกมือเรียกให้ผมตามเธอเข้าไปภายในพื้นที่ซักซ้อม เธอชักดาบข้างเอวออกมาปักไว้บนพื้นแล้วจึงเดินห่างออกไปพร้อมกับดาบไม้ในมือ

     เธอหยุดเดินในระยะห่างกันไม่ถึงห้าเมตรก่อนจะเอ่ยขึ้น

     “ก่อนอื่นก็ต้องให้มือคุ้นชินกันน้ำหนักของดาบ ใช้ดาบของฉันบุกข้ามาได้เลย”

     ผมเดินเข้าไปดึงดาบออกมาจากพื้นตามที่อีกฝ่ายบอกแต่กลับยกขึ้นมาถือได้ยากเพราะน้ำหนักของมัน

     อุ...หนักจัง... นี่เอลเซ่ถือด้วยมือข้างเดียวได้ยังไงเนี่ย...

     ด้วยความที่ตัวดาบหนักพอสมควรผมจึงต้องใช้สองมือประคองมันให้สามารถรักษาสมดุลจนถือไว้ได้

     “งั้นก็ลองบุกเข้ามาสิ...”

     แค่ถือยังยากเลย...จะให้เดินเข้าไปโจมตีเนี่ยนะ...

     “เอ่อ...งั้น เอาล่ะนะคะ...”

     ผมประคองดาบในมือพร้อมกับค่อยๆก้าวเดินตรงไปหาเอลเซ่ เมื่อเข้าระยะเมตรกว่าๆผมกะว่าจะพุ่งตัวเข้าไปแล้วใช้ดาบในมือฟันลงไป แต่ทว่า

     “ยะ...ว๊าย~…อุฟ...”

     ความเป็นจริงคือผมก้าวสะดุดจนทำให้ตัวเองล้มลงไปโชคดีที่เป็นพื้นทรายจึงไม่เจ็บมากนัก

     เจ็บๆ...เฮ๊ะ...ว่าแต่ดาบในมือล่ะ?...

     ผมดันตัวเองขึ้นนั่งพลางมองหาสิ่งที่เคยอยู่ในมือ

     “เอ่อ...เจร่า...”

     หญิงสาวผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ผมจึงเงยหน้ามองเธออย่างสงสัยก่อนจะสังเกตเห็นดาบเหล็กในมือเธอ

     “ดาบน่ะใช้ฟันนะ... ไม่ได้ใช้เขวี้ยงนะ...”

     “ขะ...ขอโทษค่ะ...”

     ดูเหมือนว่าดาบในมือผมจะหลุดลอยไปหาเอลเซ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรื่องดีคือเธอเบี่ยงตัวหลบแล้วรับมันไว้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงฆ่าเธอไปแล้ว

     “จะฝึกใหม่ไหม?”

     “ไม่แล้วดีกว่าค่ะ...”

ขืนถือดาบแบบนี้ไปร่วมสู้มีหวังจะทำให้พวกเดียวกันเจ็บซะเปล่าๆ...

     จังหวะที่ผมลุกขึ้นมาอย่างผิดหวังเล็กน้อยก็สังเกตเห็นวินเชสต้ายืนดูอยู่ข้างสนาม เธอเดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับธนูไม้ในมือ

     “เหมือนดาบจะไม่ไหวนะ ลองยิงธนูไหม?”

     “นั้นสินะคะ... ลองดูก็ได้ค่ะ...”

     พอผมให้คำตอบไปพวกเธอก็พาเดินไปยังอีกที่หนึ่ง ที่นั้นเป็นสนามซ้อมยิงเป้าสำหรับมือธนู

     “เจร่ารู้วิธียิงพื้นฐานรึยังเอ่ย?”

     “ไม่เลยค่ะ...”

     ได้ยินดังนั้นวินเชสต้าก็เริ่มจัดท่ายืนให้พร้อมกับยกคันธนูไม้ขึ้นมาถือ

     “ยกคันศรไว้... วิธีจับก็แบบนี้นะ”

     เธอสาธิตวิธีการยิงเบื้องต้นให้ดูจากนั้นก็ส่งธนูและลูกธนูมาให้ถือไว้

     “จากนั้นก็น้าวสายมาอยู่บริเวณใต้คาง...ดึงสายไว้ให้ลูกธนูเป็นระนาบเดียวกับแขนนะ…ถ่ายน้ำหนักไปด้านหลังแล้วปล่อยไว้แบบนั้นก่อน...”

     อ่ะ...อยู่ในท่านี้แล้วรู้สึกปวดตึงช่วงไหล่จัง...

     “จากนั้นก็เล็ง....ถ้าหากว่าเล็งเสร็จแล้วก็ปล่อยสายได้เลย...”

     ใช้เวลาเล็งอยู่ไม่กี้วิผมก็ปล่อยสายในทันที ผลคือนอกจากจะไม่เข้าเป้าแล้วลูกธนูยังร่วงระหว่างทางอีกด้วย

     “ลองอีกซักสี่ห้าลูกเป็นไง...”

     เธอหยิบลูกธนูมาส่งให้ซึ่งผมก็รับมาน้าวสายและยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง...

     “เอ่อ...ถ้าฝึกก็คงแม่นขึ้น...มั้งนะ”

     ไม่มีลูกไหนที่เข้าแม้แต่จะเฉียดเข้าเป้าเลย ทุกลูกต่างลอยเป็นวิถีโค้งร่วงลงระหว่างทางเสียทุกลูก

     ผมเดินตรงไปหาวินเชสต้าพร้อมกับส่งธนูในมือคืนให้

     “กลับแล้วค่ะ...”

     “เอ๊ะ...จะกลับแล้วเหรอ?”

     “ค่ะ...”

     ผมพยักหน้าให้พร้อมกับหันหลังเดินก้มหน้าออกมาอย่างรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ทดสอบดูหลายอย่างแล้วก็เห็นว่าความสามารถในการใช้อาวุธของนั้นแย่ระดับเด็กผู้หญิงอายุคราวเดียวกันยังทำได้ดีกว่า

     ยิงก็ไม่แม่น... ถือดาบก็ไม่ไหว... พลังเวทย์ก็ไม่มี... อ่า~...จะทำอะไรได้มั้งเนี่ยเรา...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา