ดวงใจจ้าว
7.7
เขียนโดย ขจรกลิ่น
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.27 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
4,286 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ. 2559 14.45 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) พบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ไอ้กล่ำ ไอ้กล่ำ” เสียงพระยาพิสุทธิมนตรีสมุหกรมทหารบก เรียกบ่าวคนสนิท
“ขอรับ”
“แกไปตามคุณหนูของแกมาพบฉันประเดี๋ยวนี้ไป ให้ไวเทียวฉันต้องรีบไปวังสมเด็จ
ส่วนแกต้องพาแม่เอื้อมไปธุระให้ฉันที่วังรังสกุล” น้ำเสียงอาจดูเรียบเฉยหากแต่แฝงความเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“วังรังสกุลเทียวหรือขอรับ” รับคำสั่งเจ้านายด้วยความฉงน
“เออสิว่ะหนังสือราชการสำคัญฉบับนี้ที่แกหยิบติดมากระไร จะให้พ่อเกื้อถือไปทูลเกล้าถวายไม่ได้เสียด้วยต้องไปวังสมเด็จด้วยกันกับฉัน จะให้แกถือไปฉันเกรงเสด็จจะทรงกริ้วถึงจะไม่ทรงถือพระองค์ แต่ยากจะคาดเดาพระทัยนักหนังสือฉบับนี้เป็นหนังสือราชการสำคัญเสียด้วย”
“ท่านเจ้าพระยาไม่ถือไปที่วังสมเด็จด้วยดอกหรือขอรับ เสด็จอาจจะเสด็จก็เป็นได้นะขอรับ”
“พระองค์ชายพบไม่ทรงเสด็จดอก ทรงส่งบ่าวไปช่วยอยู่มากอีกทั้งยังมีข้าหลวงตำหนักคุณจอมอีกไม่น้อย
ครั้นทรงเสด็จคงไม่พ้นเย็น บ่ายวันนี้ฉันแลพ่อเกื้อต้องเข้ากรมเสียด้วย”
“กระผมขอประทานโทษขอรับ คราวหน้าคราวหลังกระผมจะดูให้ดีเทียวขอรับ” นายกล่ำพูดด้วยความสำนึก
ผิดเสียจนไม่น่าให้อภัยเป็นเพราะความไม่รอบครอบของตนแท้เทียวเจ้านายจึงได้ลำบากเพียงนี้
“แกไม่ผิดดอก ฉันรีบแกจึงลนลานไม่ทันมอง เอาเถิดไปตามแม่เอื้อมมาเถอะประเดี๋ยวจะไม่ทันการ
นี้ก็ใกล้เวลาไปวังสมเด็จเต็มทีอย่าได้คิดมากเลย แกรับใช้ฉันมาก็นานฉันไม่เคยมองแกเป็นบ่าวดอก
เป็นเพื่อนเป็นที่ปรึกษาฉันมาก็หลายครา ผ่านกระไรมาด้วยกันก็มากเรื่องนี้ความผิดแกคนเดียวเสีย
ที่ไหน” ท่านเจ้าพระยามองสีหน้าบ่าวคนสนิทแล้วก็ให้เห็นใจอยู่ไม่น้อยด้วยอยู่เล่นกันมาแต่เล็ก
เห็นนายกล่ำเป็นเสมือนเพื่อนที่รู้ใจมาเสมอไม่เคยมองเป็นบ่าวเลยสักครั้ง
“ฮือ...ฮือขอรับท่านเจ้าพระยา”
ยกมือปาดน้ำตาลูกผู้ชายวัยกลางคนที่ไหลออกมาด้วยความปิติในความรัก ความเมตตาของเจ้านายที่ตนรับใช้มาตลอดหลายสิบปี ไม่เคยสักเพียงครั้งที่ท่านเจ้าพระยามองตนเป็นบ่าวเช่นที่ท่านพูด อีกทั้งตนยังได้มีโอกาสเรียนหนังสือก็เพราะท่านช่วยพูดกับเจ้าคุณพ่อท่าน ท่านยังดูแลเลี้ยงตนแลครอบครัวเป็นอย่างดีมาเสมอ เจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีลุกจากเก้าอี้ในห้อง
ทำงานเดินมาตบบ่านายกล่ำเบาๆเชิงปลอบ
“รีบเถอะประเดี๋ยวฉันก็ไม่ทันไปวังสมเด็จกันพอดี
ดอกไอ้เกลอ” น้ำเสียงหยอกเช่นสมัยหนุ่มรุ่นยังคงอยู่ นายกล่ำพยักหน้าแลรีบไปตามเจ้านายที่อายุ
น้อยที่สุดในบ้านเทพวานิชย์ทันที...........
วารินทร์ หญิงสาววัย 16 ย่าง 17 บุตรีคนเล็กของเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีคนนี้เฉลียวฉลาดผิดกับเด็กสาววัยเดียวกันแม้นมีกิริยาแสนซนแลกระโดกกระเดกไปสักหน่อย แต่หากมีเรื่องสำคัญใดเกิดขึ้นหล่อนกลายเป็นคนละคนเลยทีเดียวการวางตนของบุตรีสร้างความภูมิใจแก่ท่าน เจ้าพระยายิ่งนัก
แลการเป็นนักเรียนอังกฤษของเจ้าพระยาพิสุทธิ ทำให้ท่านเป็นผู้ที่มีความคิดกว้างไกลแลสมัยใหม่อยู่ไม่น้อยท่านจึงไม่ได้ปิดกั้นการเรียนหนังสือของบุตรีกลับเห็นดีแลสนับสนุนเสียอีกด้วย ท่านเจ้าพระยาส่งวารินทร์ไปเรียนหนังสือยังปีนังตั้งแต่วารินทร์อายุเพียง 7 ปีเศษเท่านั้น พร้อมกับส่งบุตรชายไปเรียนยังอังกฤษเช่นกัน ที่ปีนังพี่ชายผู้แหกกฎของสกุลไม่รับราชการเอาดีด้านค้าขายของท่านเจ้าพระยาซึ่งผิดใจกับเจ้าคุณพ่อของท่านหนีไปทำการค้าขายจนมีกิจการใหญ่โตอยู่ที่นั้น เจ้าพระยาพิสุทธิจึงฝากวารินทร์ อย่างวางใจแลธนินก็รักใคร่เมตตาวารินทร์ราวกับลูกสาวก็ไม่ปาน ด้วยอยากมีลูกสาวเป็นอันมากแต่ก็ไม่มีโอกาสมี มีแต่สามทหารเสือวิ่งซนให้วุ่นบ้านไปหมด แม้การส่งบุตรีไปเรียนหนังสือที่ปีนังจะทำให้คู่ชีวิตเช่นคุณหญิงทิพย์เคืองสักหน่อยก็ตาม ด้วยคุณหญิงทิพย์เกรงว่าหากบุตรีรู้หนังสือมากจะทำให้ออกเรือนยากนั้นเอง พอวารินทร์จบคอนแวนต์คุณหญิงทิพย์สบโอกาสจึงได้เกลี้ยกล่อมเจ้าพระยาพิสุทธิให้บุตรีกลับพระนครเพื่อเรียนการเรือน
วารินทร์จำใจต้องกลับพระนครทั้งที่ใจอยากเรียนต่อคอลเลจยังอังกฤษอยู่มากเมื่อถึงพระนครเจ้าหล่อนทำข้อตกลงกับคุณหญิงแม่เรื่องการเรียนในทันที เมื่อไม่มีโอกาสเรียนคอลเลจอย่างใจคิดจึงขอเรียนภาษาอังกฤษแลฝรั่งเศสด้วยสนใจยิ่งนัก ท่านเจ้าพระยาก็เห็นดีด้วยผิดกับคุณหญิงทิพย์ที่ใจแข็งไม่ยอมเด็ดขาด ร้อนถึงพี่ชายที่รักน้องสาวยิ่งกว่าสิ่งใดเช่นหลวงวิเศษณรงค์ต้องมาช่วยพูดกับคุณหญิงทิพย์พร้อมกับชี้ให้เห็นเหตุผลที่คุณหญิงทิพย์ต้องยอมอย่างคัดค้านไม่ได้ด้วยกลัวหนักหนา
“หากคุณหญิงแม่ไม่ยอมน้องแลน้องแอบหนีกลับปีนังกระผมกับเจ้าคุณพ่อคงไม่มีปัญญาใดเรียกน้องกลับมาเพราะน้องอยากเรียนต่อคอลเลจมากเหลือเกินคุณหญิงแม่ก็ทราบหากเป็นเรื่องการเรียนเจ้าคุณพ่อท่านไม่เคยขัดแลลุงธนินก็รักแม่เอื้อมมากเสียด้วยคุณหญิงแม่ยอมได้หรือขอรับหากเป็นเช่นนั้นแม่เอื้อมยอมเรียนการเรือนถึง 3 วันไม่น้อยดอกขอรับส่วนอีก 4 วันให้น้องทำในสิ่งที่น้องตั้งใจเถิดขอรับ”
ด้วยความกลัวบุตรีเพียงคนเดียวจะทำอย่างที่บุตรชายบอกคุณหญิงทิพย์จำต้องยอมให้วารินทร์ทำตามใจคือเรียนการเรือนเพียง 3 วันส่วนในวันที่เหลือนั้นเรียนภาษาอังกฤษแลฝรั่งเศสกับมิชชันนารีที่ท่านเจ้าพระยาหามาให้ตามประสงค์ของบุตรีอันเป็นที่รักเมื่อนึกย้อนถึงใบหน้าบูดบึ้งของคู่ชีวิตขึ้นมาคราใดท่านเจ้าพระยาก็อดอมยิ้มออกมาเสียทุกคราไม่ได้
เวลาสามวันในพระนครยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าใดสำหรับวารินทร์ด้วยจากพระนครไปเสียนานตั้งแต่เดินทางพร้อมกับพี่ชายไปยังปีนังก็เกือบ 10 ปีเทียวที่ไม่ได้กลับพระนคร
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”เสียงเคาะประตูห้องหนังสือดังขึ้น
“ใครหรือจ๊ะเข้ามาเถิดจ๊ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานแลแฝงความเมตตาอ่อนน้อมอยู่มากเอ่ยบอกผู้ที่เคาะประตู
“กระผมเองขอรับ ตามหาเสียทั่วมาอ่านหนังสือแต่เช้าเทียวขอรับ”
“แปลกที่นะจ๊ะเอื้อมนอนไม่ใคร่หลับเท่าใดจึงมาอ่านหนังสือว่าแต่ลุงกล่ำเถิดตามหาเอื้อมเช่นนี้เจ้าคุณพ่อต้องมีธุระสำคัญเป็นแน่ใช่ไหมจ๊ะ”
“ขอรับท่านเจ้าพระยารอคุณหนูอยู่ที่ห้องทำงานขอรับ”
“จ๊ะเอื้อมจะรีบไปประเดี๋ยวนี้”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูห้องทำงานของท่านเจ้าพระยาดังขึ้นท่านเจ้าพระยารู้โดยทันทีว่าบุตรีแก่นแก้วที่ท่านรักดั่งดวงใจมาถึงแล้ว
“แม่เอื้อมหรือเข้ามาเถิดลูก”
“กราบเจ้าคุณพ่อเจ้าค่ะ เจ้าคุณพ่อให้ลุงกล่ำไปตามลูกเช่นนี้ต้องมีความสำคัญมากเป็นแน่ใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”
“ใช่แล้วแม่เอื้อมพ่อจะให้ลูกถือหนังสือราชการสำคัญฉบับหนึ่งไปยังวังรังสกุลเพื่อทูลเกล้าถวายพระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุล” พูดด้วยท่าทีเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“หนังสือราชการสำคัญเช่นนี้เหตุใดเจ้าคุณพ่อให้ลูกถือไปทูลเกล้าถวายเล่าเจ้าค่ะ”
“พ่อไม่อยากให้แม่เอื้อมไปดอกลูกแต่พ่อแลพ่อเกื้อต้องเข้าเฝ้าสมเด็จกิตติจะให้นายกล่ำเป็นผู้ถือไปเห็นทีจะไม่ควรแลประการสำคัญเสด็จทรงลาราชการ 3 วันเสียด้วยพ่อจึงใคร่วานให้แม่เอื้อมเป็นผู้ถือไปทูลเกล้าถวายเสด็จ” “เจ้าค่ะแต่ลูกไม่เคยเข้าเฝ้าเจ้านายลูกเกรงจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรเจ้าค่ะ”
“ไม่กระไรดอกคุณหญิงแม่จะสอนให้พอเอาตัวรอดได้อยู่ดอกลูก ลูกสาวพ่อรู้จักเอาตัวรอดอยู่แล้วไม่ใช่ดอกหรือ”
“โธ่เจ้าคุณพ่อเหย้าลูกหรือเจ้าค่ะ”
“เอาเถิดแค่ไม่กระโดกกระเดกเวลาเข้าเฝ้าแลระวังกิริยาให้มากเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์พูดให้น้อยตอบเมื่อทรงมีรับสั่งถามแลเมื่อถวายหนังสือฉบับนี้เสร็จก็กราบบังคมทูลลาเสด็จอย่าได้ช้าเสด็จพระองค์ชายไม่ทรงโปรดคุยงานราชการกับสตรีสักเท่าใด”
“เจ้าค่ะลูกจะรีบไปรีบกลับเจ้าคุณพ่ออย่าได้ห่วงเมื่อลูกรับปากสิ่งใดแล้วก็จะทำให้ดีไม่ให้เสียมาถึง
เจ้าคุณพ่อดอกเจ้าค่ะ” เจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีลุกจากเก้าอี้ทำงานแลเอามือลูบหัวบุตรีด้วยความเอ็นดู
“พ่อรู้ว่าบุตรีของเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีเก่งมาเพียงใด พ่อขอโทษที่ไม่อาจค้านคุณแม่ของลูกได้จน
ลูกต้องกลับมาพระนครไม่ได้เรียนคอลเลจดั่งที่ตั้งใจเอาไว้” พูดพลางมองหน้าบุตรีอย่างเห็นใจ
“ไม่เป็นกระไรดอกเจ้าค่ะเพียงแค่นี้ก็ดีที่สุดแล้วลูกแสนดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกเจ้าคุณพ่อ เจ้าคุณพ่อ
ไม่เคยปิดกั้นลูกแม้สักครั้งไม่ว่าลูกจะทำสิ่งใดหากเป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่เคยคัดค้านมีแต่ส่งเสริม
หากเกิดเป็นลูกสาวบ้านอื่นคงเป็นการยากสำหรับเรื่องเรียนหนังสือไม่ถูกบังคับถวายตัวเป็นคุณ
ข้าหลวงในพระราชวังก็คงได้แต่เย็บปักเป็นแต่งานเรือนหรือไม่คงถูกบังคับให้ออกเรือนไปแล้ว
เป็นแน่นี้ได้เรียนถึงคอนแวนต์เทียวอีกอย่างกลับพระนครมาก็ดีเจ้าค่ะ ลูกคิดถึง
เจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ พี่เกื้อ คุณพี่พิม นมสร้อย แลทุกคนในบ้านจะแย่ เพียงแต่ใจหายคิดถึงลุงธนิน
ป้าเกด แลพี่ชายทั้งสามก็เท่านั้น”
“ไม่กระไรดอกลูกปีนังเดินทางไม่นานก็ถึงคิดถึงก็ไปเยี่ยม
เขียนจดหมาย หรือโทรเลขหาก็ยังได้ อยากไปเมื่อใดบอกพ่อ พ่ออนุญาต”
จอมอ้อนของบ้านโผล่เข้ากอดเจ้าคุณพ่อเสียแน่น “ ขอบพระคุณค่ะ ลูกรักเจ้าคุณพ่อนะเจ้าค่ะ”
“โธ่แม่เอื้อมกระโดดกอดพ่อราวกับเด็กเทียวปีนี้ก็จะ 17 แล้วนะลูกไปเถิดรีบไปแต่งตัวพ่อต้องไปเตรียมตัว
เข้าเฝ้าสมเด็จที่วังสมเด็จเช่นกัน” “เจ้าค่ะ” ยิ้มสดใสแฝงความขี้อ้อนของวารินทร์ทำให้ท่านเจ้าพระยา
แลหลวงวิเศษณรงค์ หรือแม้กระทั้งสะใภ้อย่างแม่พิมค่อยปกป้องจากการขาดโทษของคุณหญิงทิพย์
อยู่บ่อยครั้ง..............................................
ไม่นานรถยนต์บ้านเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีแล่นมาถึงยังหน้ามุขของวังรังสกุลอันใหญ่โตงดงาม
ตัวอาคารตกแต่งแบบยุโรปผสมผสานความเป็นไทยออกมาได้อย่างพอเหมาะ ขณะที่รถยนต์แล่นผ่านตั้งแต่หน้าประตูวังจนถึงหน้ามุขล้วนแต่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ชายพบ ด้วยขณะนั้นทรงพักเปลี่ยนพระอิริยาบถตรงเฉลียงห้องทรงงานอยู่พอดี ทรงทอดพระเนตรอยู่ครู่หนึ่งก่อนมีรับสั่งกับนายเปลี่ยนที่สาระวนอยู่กับกองเอกสารที่เสด็จทรงใช้ให้หา “มานู้นแล้วรถบ้านเจ้าพระยาพิสุทธินายกล่ำคงเป็นคนขับมาอีกตามเคย” “ฝ่าพระบาททรงตรัสว่ากระไรกระหม่อม” “ก็ที่แกบอกฉันเมื่อเช้าที่ฉันให้ไปส่งพวกบ่าวที่วังทูลกระหม่อมกระไรเล่าแกบอกฉันไม่ใช่ดอกหรือว่าเจ้าพระยาพิสุทธิบอกแกว่าจะให้บุตรีนำหนังสือมาให้ฉันที่วังไม่ใช่ดอกหรือ”
“ใช่แล้วกระหม่อม ฝ่าพระบาทจะทรงเสด็จด้วยพระองค์เองหรือจะให้กระหม่อนไปรับแทนกระหม่อน” “ฉันจะลงไปเองอยากเห็นหน้านักเจ้าพระยาพิสุทธิไว้ใจขนาดให้ถือหนังสือราชการสำคัญมาให้ฉันแสดงว่าบุตรีของท่านต้องไม่ใช่สตรีทั่วไปเป็นแน่ แกไปบอกแม่อิ่มทีว่าให้พาหล่อนไปรอฉันที่ห้องรับรอง ก่อนฉันจะขึ้นมาเห็นเอ็ดแม่พุดอยู่ตรงหน้ามุขเสร็จสรรพแกก็ถามแม่อิ่มเสียว่าเตรียมข้าวของพร้อมแล้วหรือไม่ถ้าแม่อิ่มพร้อมแกก็พาแม่อิ่มไปส่งที่วังสมเด็จเสียให้เรียบร้อย”
“กระหม่อม” นายเปลี่ยนทำตามที่เสด็จทรงรับสั่งโดยไม่รีรอแต่ทว่ายังไม่ทันที่นายเปลี่ยนจะออกจากห้องทรงงานเสด็จทรงเสด็จออกจากห้องทรงงานก่อนนายเปลี่ยนเสียอีกหันไปอีกที่ก็ไม่เห็นเสด็จแล้ว
“โธ่เสด็จพระทัยร้อนอีกตามเคยปล่อยกระหม่อมพูดคนเดียวอีกแล้ว” พูดพลางยกมือเกาหัวด้วยความงงงวย
.........................................................................................
พระองค์ชายพบทรงเสด็จลงจากห้องทรงงานระหว่างพระดำเนินอยู่สายพระเนตรทรงทอดพระเนตรเข้ากับเหตุการณ์ที่สร้างความประทับพระทัยแก่พระองค์โดยไม่ทันรู้พระองค์ ว่าบุตรีของเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีผู้นี้จะกลายมาเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในพระทัยของพระองค์ในเวลาไม่นานนับแต่บัดนี้
................................................
ที่นี้นะหรือวังรังสกุล ที่ใครๆต่างพากันเกรงผู้ครอบครองวังยิ่งนัก พระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุล
พระพักตร์จะเป็นเช่นไรกัน พระชันษาจะกี่ชันษาเทียว เจ้าคุณพ่อไม่ได้บอกเสียด้วย จริงสิลุงกล่ำต้องรู้เป็นแน่โง่เสียจริง “คุณหนูขอรับ คุณหนู คุณขอรับ ถึงแล้วขอรับ”
“จ๊ะ...ลุงกล่ำขอโทษนะจ๊ะพอดีไม่ได้กลับพระนครเสียนานมองสองข้างทางคิดอะไรเสียเพลินไปหน่อย”
“ขอรับ คุณหนูจะให้กระผมตามไปด้วยไหมขอรับ”
“บอกกี่คราแล้วจ๊ะให้เรียกแทนตัวว่าลุง ไม่เป็นกระไรดอกจ๊ะประเดี๋ยวเอื้อมลงไปเองลุงกล่ำคอย
เอื้อมหน้ามุขสักประเดี๋ยวนะจ๊ะคงไม่นานเท่าใดเอื้อมจะรีบออกมา” “ขอรับ”
“ลุงกล่ำจ๊ะพระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุลพระองค์มีพระชันษาสักเท่าใดกันจ๊ะ”
“ราว 25 ชันษาเห็นจะกระมังขอรับ” “งั้นดอกหรือ เอื้อมไปก่อนนะลุงกล่ำคอยตรงนี้สักประเดี๋ยวนะจ๊ะ”
วารินทร์ลงจากรถเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้ามุข ท่าทีเก้ๆกังๆแลการแต่งกายของวารินทร์ เป็นที่สะดุดตาของแม่อิ่มพระนมนัยเสด็จเป็นอันมาก นมอิ่มเดินตรงมาหาวารินทร์โดยที่เจ้าหล่อนไม่ทันตั้งตัว
“แม่หนูมาหาใครกันหรือจ๊ะ” สายตานมอิ่มมองสำรวจวารินทร์ อย่างไม่วางตาด้วยทรงผมการแต่งกายผิดกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป ผมยาวถักปักเปียปล่อยปลายผมไว้ตรงข้างบ่าด้านซ้ายปลายผมเป็นลอนงามไม่ได้ไว้ผมทรงดอกกระทุ่มเช่นหญิงสาวทั่วไปในพระนคร ดูแปลกตาการแต่งกายของหล่อนดูช่างคล้ายกับแหม่มในตลาดที่นมอิ่มมักพบอยู่บ่อยครั้งไม่ได้นุ่งโจงในมือถือซองสีน้ำตาลแบบที่นายเปลี่ยนถือให้เสด็จอยู่ บ่อยๆ
วารินทร์มองผู้หญิงสูงอายุตรงหน้าสักครู่อย่างพินิจการแต่งกายผิดจากบ่าวไพร่ธรรมดาทั่วไปพินิจอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมแลไม่ถือตนเพียงสักหน่อยว่าตัวเป็นถึงบุตรีของเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีสมุหกรมทหารบก
“กราบเจ้าค่ะดิฉันวารินทร์เจ้าค่ะ หรือจะเรียกเอื่อมก็ได้เจ้าค่ะดิฉันเป็นบุตรีเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรี เจ้าคุณพ่อท่านให้ดิฉันถือหนังสือราชการฉบับนี้มาทูลเกล้าถวายพระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุลเจ้าค่ะ ท่านติดงานที่วังสมเด็จมาด้วยตนเองไม่นะเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องไหว้อิฉันดอกค่ะคุณเอื้อมอิฉันชื่ออิ่มเจ้าค่ะเป็นเพียงแต่พระนมของเสด็จที่เสด็จทรงเมตตาขอเจ้าจอมออกมาอยู่ยังวังรังสกุลก็เท่านั้นดอกเจ้าค่ะคุณเอื้อมเป็นถึงลูกพระน้ำพระยามาไหว้อิฉันใครเห็นเข้าคงไม่งาม”
“ไม่ดอกจ๊ะแม่อิ่ม แม่อิ่มมีน้ำใจเข้ามาถามฉันที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ถ้าแม่อิ่มไม่เข้ามาถามฉัน ฉันก็ไม่รู้จะทำตัวกระไรไม่เคยเข้าเฝ้าเจ้านายเสียด้วยวังอะไรก็เพิ่งเคยมาครานี้เป็นคราแรก”
“แต่...คุณเอื้อม”
“ชนชั้นหรือสำหรับฉันไม่ใคร่สำคัญดอกจ๊ะผู้ใหญ่มีน้ำใจมาถามถึงฉันไม่รู้หรือรู้ว่าแม่อิ่มเป็นใครก็สมควรแล้วที่ฉันกราบแม่อิ่มเด็กกราบผู้ใหญ่ผิดดอกหรือจ๊ะ” “โธ่แม่คุณรูปก็งามกิริยาก็งามจิตใจงามยิ่งกว่าผิดกับลูกพระน้ำพระยาคนอื่นเสียอีกมาเจ้าค่ะอิฉันจะพาไปรอเสด็จที่ห้องรับรอง”
วารินทร์ถูกตัวพามายังห้องรับรองภายในห้องกว้างมีโซฟาหนังชุดใหญ่ดูโก้ไม่น้อยใหญ่กว่าบ้านคุณลุงที่ปีนังเสียอีกวางอยู่กลางห้อง
“คุณเอื้อมรอก่อนนะเจ้าค่ะอิฉันจะไปบอกเจ้าเปลี่ยนให้ไปกราบทูลเสด็จก่อน”
“ขอบพระคุณมากนะจ๊ะ” ใบหน้ายิ้มจริงใจแลกิริยานอบน้อมอ่อนโยนของเจ้าหล่อนซื้อใจนมอิ่มไปเสียหมดสิ้นในเวลาไม่กี่นาทีที่พบหล่อนเท่านั้น เหตุการณ์แลบทสนทนาของวารินทร์แลนมอิ่มอยู่ในสายพระเนตรของเสด็จแทบทั้งหมด วารินทร์สร้างความประทับพระทัยแก่เสด็จโดยที่หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเช่นเดียวกันกับเสด็จที่ทรงทอดพระเนตรความงามแลกิริยาของหล่อนจนไม่ทันรู้พระองค์เช่นกัน เสด็จไม่ทรงทอดพระเนตรหรือทรงใส่พระทัยสตรีใดเป็นพิเศษแม้นมีสตรีสูงศักดิ์มากมายเข้ามาพระองค์ชายพบทรงไม่แม้นแต่ชายพระเนตรเสียด้วยซ้ำไปแต่กับวารินทร์พระองค์ชายพบทรงหยุดทอดพระเนตรแลทรงสดับบทสนทนาของเจ้าหล่อนแลนมอิ่มอยู่เสียนาน
นมอิ่มยิ้มอย่างเอ็นดูให้กิริยาของวารินทร์ก่อนรีบเดินไปตามหานายเปลี่ยนด้วยกลัวหล่อนจะ
คอยนาน ไม่นานหลังจากนมอิ่มเดินออกห้อง เพียงชั่วครู่ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าใบหน้าคมคาย
สวมเสื้อฝ้ายสีขาวโปร่งกางเกงแพรสีน้ำตาลเข้มเหลือบมันยืนอยู่หน้าประตูห้องรับรองชายผู้
นั้นคือพระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุล ไม่ทันที่พระองค์ชายพบจะทรงเสด็จพระดำเนินเข้ามายังห้องรับรอง
วารินณ์ก็เดินตรงดิ่งไปยังหน้าพระพักตร์อย่างรวดเร็วจนพระองค์ชายพบทรงไม่ทันตั้งพระองค์
“นายเปลี่ยน นายเปลี่ยนหรือป่าวจ๊ะ”
“เออ ฉันไม่...”ไม่มีแม้ช่องว่างที่จะทรงได้ออกพระโอษฐ์รับสั่งตอบหล่อน
“ฉันวารินทร์จ๊ะ เรียกเอื้อมก็ได้ฉันเป็นบุตรีเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีถือหนังสือราชการมาทูลเกล้าถวายเสด็จแต่เสด็จไม่ทรงว่างเสียกระมัง พบนายเปลี่ยนก็ดี ฉันดีใจมากไม่ต้องเข้าเฝ้าฉันไม่เคยเข้าเฝ้าเจ้านายคำราชาศัพท์ก็ไม่ใคร่รู้เกรงจะเสียไปถึงเจ้าคุณพ่อ นี้จ๊ะฝากนายเปลี่ยนถวายเสด็จดีกว่า เอาล่ะฉันกลับละจ๊ะนายเปลี่ยน ขอบใจนายเปลี่ยนที่เป็นธุระให้ฉัน วันนี้เป็นวันเรียนการเรือนเห็นว่าคุณหญิงแม่จะสอนทำกลีบลำดวน ฉันจะฝากกลีบลำดวนฝีมือฉันให้ลุงกล่ำมาให้นายเปลี่ยนนะจ๊ะที่วังสมเด็จวันพรุ่งนายเปลี่ยนต้องตามเสด็จเป็นแน่เอาไว้ทานระหว่างรอเสด็จเป็นการขอบใจจากฉัน ไปล่ะจ๊ะประเดี๋ยวชักช้าคงได้เฝ้าเสด็จเป็นแน่” หล่อนลาเสด็จอย่างรวดเร็วคงเกรงเสด็จมากจริงดั่งที่พูด ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสดใสที่หล่อนยิ้มให้เสด็จ ทำให้พระทัยเต้นแรงยิ่งนัก
...... อะไรกันเหตุใดใจฉันเต้นเร็วถึงเพียงนี้ราวกับเหนื่อยก็ไม่ปานรอยยิ้มนั่นทำไมหน้าอกแน่นไปหมด หน้าร้อนวูบวาบเช่นนี้คือกระไรกัน “ฝ่าพระบาท ฝ่าบาทพระองค์ชายพบ” นายเปลี่ยนพูดพลางเขย่าพระหัตถ์เจ้าชีวิต
“อะไรหรือ”
“ฝ่าพระบาททรงเป็นกระไรกระหม่อนพระพักตร์แดงกล่ำเทียวทรงประชวรหรือป่าวกระหม่อม”ถามเจ้าชีวิตด้วยท่าทีเป็นห่วงด้วยเสด็จไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
“ป่าวฉันไม่ได้เป็นอันใดดอกแกไม่ต้องห่วงฉัน”
“เสด็จทรงพบบุตรีเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีแล้วหรือกระหม่อม”
“พบแล้ว” ทรงรับสั่งสั้นๆพรางแย้มที่มุมพระโอษฐ์เล็กน้อย”
“ฉันขึ้นห้องทำงานละแกไปยกน้ำมะตูมขึ้นไปให้ฉันหน่อยวันนี้อยากดื่มน้ำมะตูมขนมไม่ต้องดอกบอกแม่อิ่มว่าฉันไม่เอาขนม” “กระหม่อนแต่วันนี้มีกลีบลำดวนที่ทรงโปรดนะกระหม่อน” “ไม่ก็ไม่สิแกนี้กระไรฉันรอชิมกลีบลำดอกวันพรุ่ง นี้ถ้านายกล่ำบ่าวคนสนิทเจ้าพระยาพิสุทธิฝากกลีบลำดวนให้แก่วันพรุ่งแก่ก็รับมาแลไม่ต้องพูดกระไรเข้าใจหรือไม่” “กระหม่อม”นายเปลี่ยนรับคำสั่งจากเสด็จ แลอีกตามเคยนายเปลี่ยนฉงนในความหมายของเสด็จแลเสด็จทรงเร่งฝีพระบาทขึ้นห้องทรงงานประทับที่เฉลียงทอดพระเนตรรถยนต์บ้านเจ้าพระยาพิสุทธิแล่นออกไปจากวังรังสกุลด้วยภายในรถมีสตรีที่สร้างความประทับพระทัยนั่งอยู่ภายในนั้นเอง......................................
“ลุงกล่ำกลับเรือนเถอะจ๊ะหิวขนมฝีมือแม่สร้อยจะแย่”
“ขอรับ เข้าเฝ้าเสด็จเป็นกระไรบ้างขอรับ”
“ไม่ได้เข้าเฝ้าดอกจ๊ะพบนายเปลี่ยนเสียก่อนให้นายเปลี่ยนถวายเสด็จดีกว่าเอื้อมดีใจนักที่ไม่ต้องเข้าเฝ้า”
“ไอ้เปลี่ยนมันเดินไวแท้เทียวมาคุยกับลุงจากกันสักครู่ก่อนคุณหนูลงมามันทันขึ้นไปถึงห้องรับรองแปลกจริง” “จ๊ะกลับกันเถอะจ๊ะประเดี๋ยวคุณหญิงแม่จะคอยเป็นโดนเอ็ดกันพอดี วันนี้เรียนทำกลีบลำดวนเสียด้วย
ลุงกล่ำจ๊ะวันพรุ่งส่งเจ้าคุณพ่อยังวังสมเด็จเอื้อมวานฝากกลีบลำดวนที่เอื้อมทำให้นายเปลี่ยน
ด้วยนะจ๊ะเป็นน้ำใจที่นายเปลี่ยนทำให้เอื้อมไม่ต้องเข้าเฝ้าเสด็จ”
“ขอรับ”
..................................................
นายเปลี่ยนยกน้ำมะตูมขึ้นมาถวายเสด็จยังห้องทรงงานแลทำการหาเอกสารต่อแลเสด็จทรงรับสั่งถามบ่าวคนสนิท
“แกว่าฉันเหมือนคนบ่าวสนิทหน้าห้องมากกว่าจะเป็นเจ้านายหรือไม่”
เมื่อฟังรับสั่งนายเปลี่ยนเลิกคิ้วสูงพลางตอบ “ฝ่าพระบาทนะหรือกระหม่อมใครกันช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงถึงเพียงนั้นกระหม่อม” ก็ทรงสง่าแลรูปงามถึงปานนี้แม้จะทรงสวมฉลององค์ด้วยเสื้อผ้าฝ้ายแทนฉลองพระองค์ด้วยเครื่องแบบนายทหารก็มิได้ลดความสง่างามของเสด็จลงแม้เพียงสักหน่อย
“ฝ่าพระบาทเหตุใดทรงมีพระดำริเช่นนั้นกระหม่อม ถึงไม่ทรงฉลององค์ด้วยเครื่องแบบนายทหารหรือฉลององค์ในชุดลำรองหรือแม้กระทั่งฉลององค์เช่นคนทั่วไปกระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใครมาก่อนมองเพียงครู่ก็ให้รู้ได้ว่าไม่ใช่สามัญชนธรรมดาเป็นแน่กระหม่อม”
“งั้นดอกหรือ แกผิดถนัดด้วยแกอยู่ในแวววงเจ้านายกระมังมีอยู่ดอกที่คิดว่าฉัน
ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์” ประโยคนี้ฟังดูราวกับทรงน้อยพระทัยแต่ฉะไหนกับทรงตรัส
พร้อมกับทรงพระสรวลออกมา นายเปลี่ยนมองเสด็จด้วยความฉงนยิ่งนักวันนี้
เป็นคราแรกตั้งแต่ทรงเสด็จนิวัติสยามแลทรงมีความสุขถึงเพียงนี้ ปกติจะทรง
มีพระพักตร์ครึมอยู่ไม่น้อยด้วยข้อราชการมากอีกทั้งพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ
โปรดเกล้าฯให้จัดตั้งโรงเรียนเสนาธิการทหารบกขึ้น ยิ่งทรงงานหนักมากขึ้นไป
กว่าแต่ก่อนเมื่อเสด็จทรงมีความสุขเช่นนี้บ่าวเช่นนายเปลี่ยนก็ให้สุขใจนักถึงจะไม่
รู้เหตุของความสุขก็ตาม แต่เชื่อเถิดว่าต้องรับสั่งเล่าเป็นแน่เพราะเสด็จไม่เคยทรงมีเรื่อง
ปิดบังนายเปลี่ยนแม้สักเรื่องด้วยทรงทอดพระเนตรนายเปลี่ยนเป็นพระสหายรัก
แลรับใช้ใกล้ชิดมาแสนนานห่างพระวรกายก็เพียงตอนเสร็จยังอังกฤษเพียงเท่านั้นแล
นายเปลี่ยนยังรู้พระทัยเป็นที่สุดรู้โดยมิต้องรับสั่งอันใดให้มากความเสียด้วย
........................................................................................................................................
“ขอรับ”
“แกไปตามคุณหนูของแกมาพบฉันประเดี๋ยวนี้ไป ให้ไวเทียวฉันต้องรีบไปวังสมเด็จ
ส่วนแกต้องพาแม่เอื้อมไปธุระให้ฉันที่วังรังสกุล” น้ำเสียงอาจดูเรียบเฉยหากแต่แฝงความเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“วังรังสกุลเทียวหรือขอรับ” รับคำสั่งเจ้านายด้วยความฉงน
“เออสิว่ะหนังสือราชการสำคัญฉบับนี้ที่แกหยิบติดมากระไร จะให้พ่อเกื้อถือไปทูลเกล้าถวายไม่ได้เสียด้วยต้องไปวังสมเด็จด้วยกันกับฉัน จะให้แกถือไปฉันเกรงเสด็จจะทรงกริ้วถึงจะไม่ทรงถือพระองค์ แต่ยากจะคาดเดาพระทัยนักหนังสือฉบับนี้เป็นหนังสือราชการสำคัญเสียด้วย”
“ท่านเจ้าพระยาไม่ถือไปที่วังสมเด็จด้วยดอกหรือขอรับ เสด็จอาจจะเสด็จก็เป็นได้นะขอรับ”
“พระองค์ชายพบไม่ทรงเสด็จดอก ทรงส่งบ่าวไปช่วยอยู่มากอีกทั้งยังมีข้าหลวงตำหนักคุณจอมอีกไม่น้อย
ครั้นทรงเสด็จคงไม่พ้นเย็น บ่ายวันนี้ฉันแลพ่อเกื้อต้องเข้ากรมเสียด้วย”
“กระผมขอประทานโทษขอรับ คราวหน้าคราวหลังกระผมจะดูให้ดีเทียวขอรับ” นายกล่ำพูดด้วยความสำนึก
ผิดเสียจนไม่น่าให้อภัยเป็นเพราะความไม่รอบครอบของตนแท้เทียวเจ้านายจึงได้ลำบากเพียงนี้
“แกไม่ผิดดอก ฉันรีบแกจึงลนลานไม่ทันมอง เอาเถิดไปตามแม่เอื้อมมาเถอะประเดี๋ยวจะไม่ทันการ
นี้ก็ใกล้เวลาไปวังสมเด็จเต็มทีอย่าได้คิดมากเลย แกรับใช้ฉันมาก็นานฉันไม่เคยมองแกเป็นบ่าวดอก
เป็นเพื่อนเป็นที่ปรึกษาฉันมาก็หลายครา ผ่านกระไรมาด้วยกันก็มากเรื่องนี้ความผิดแกคนเดียวเสีย
ที่ไหน” ท่านเจ้าพระยามองสีหน้าบ่าวคนสนิทแล้วก็ให้เห็นใจอยู่ไม่น้อยด้วยอยู่เล่นกันมาแต่เล็ก
เห็นนายกล่ำเป็นเสมือนเพื่อนที่รู้ใจมาเสมอไม่เคยมองเป็นบ่าวเลยสักครั้ง
“ฮือ...ฮือขอรับท่านเจ้าพระยา”
ยกมือปาดน้ำตาลูกผู้ชายวัยกลางคนที่ไหลออกมาด้วยความปิติในความรัก ความเมตตาของเจ้านายที่ตนรับใช้มาตลอดหลายสิบปี ไม่เคยสักเพียงครั้งที่ท่านเจ้าพระยามองตนเป็นบ่าวเช่นที่ท่านพูด อีกทั้งตนยังได้มีโอกาสเรียนหนังสือก็เพราะท่านช่วยพูดกับเจ้าคุณพ่อท่าน ท่านยังดูแลเลี้ยงตนแลครอบครัวเป็นอย่างดีมาเสมอ เจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีลุกจากเก้าอี้ในห้อง
ทำงานเดินมาตบบ่านายกล่ำเบาๆเชิงปลอบ
“รีบเถอะประเดี๋ยวฉันก็ไม่ทันไปวังสมเด็จกันพอดี
ดอกไอ้เกลอ” น้ำเสียงหยอกเช่นสมัยหนุ่มรุ่นยังคงอยู่ นายกล่ำพยักหน้าแลรีบไปตามเจ้านายที่อายุ
น้อยที่สุดในบ้านเทพวานิชย์ทันที...........
วารินทร์ หญิงสาววัย 16 ย่าง 17 บุตรีคนเล็กของเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีคนนี้เฉลียวฉลาดผิดกับเด็กสาววัยเดียวกันแม้นมีกิริยาแสนซนแลกระโดกกระเดกไปสักหน่อย แต่หากมีเรื่องสำคัญใดเกิดขึ้นหล่อนกลายเป็นคนละคนเลยทีเดียวการวางตนของบุตรีสร้างความภูมิใจแก่ท่าน เจ้าพระยายิ่งนัก
แลการเป็นนักเรียนอังกฤษของเจ้าพระยาพิสุทธิ ทำให้ท่านเป็นผู้ที่มีความคิดกว้างไกลแลสมัยใหม่อยู่ไม่น้อยท่านจึงไม่ได้ปิดกั้นการเรียนหนังสือของบุตรีกลับเห็นดีแลสนับสนุนเสียอีกด้วย ท่านเจ้าพระยาส่งวารินทร์ไปเรียนหนังสือยังปีนังตั้งแต่วารินทร์อายุเพียง 7 ปีเศษเท่านั้น พร้อมกับส่งบุตรชายไปเรียนยังอังกฤษเช่นกัน ที่ปีนังพี่ชายผู้แหกกฎของสกุลไม่รับราชการเอาดีด้านค้าขายของท่านเจ้าพระยาซึ่งผิดใจกับเจ้าคุณพ่อของท่านหนีไปทำการค้าขายจนมีกิจการใหญ่โตอยู่ที่นั้น เจ้าพระยาพิสุทธิจึงฝากวารินทร์ อย่างวางใจแลธนินก็รักใคร่เมตตาวารินทร์ราวกับลูกสาวก็ไม่ปาน ด้วยอยากมีลูกสาวเป็นอันมากแต่ก็ไม่มีโอกาสมี มีแต่สามทหารเสือวิ่งซนให้วุ่นบ้านไปหมด แม้การส่งบุตรีไปเรียนหนังสือที่ปีนังจะทำให้คู่ชีวิตเช่นคุณหญิงทิพย์เคืองสักหน่อยก็ตาม ด้วยคุณหญิงทิพย์เกรงว่าหากบุตรีรู้หนังสือมากจะทำให้ออกเรือนยากนั้นเอง พอวารินทร์จบคอนแวนต์คุณหญิงทิพย์สบโอกาสจึงได้เกลี้ยกล่อมเจ้าพระยาพิสุทธิให้บุตรีกลับพระนครเพื่อเรียนการเรือน
วารินทร์จำใจต้องกลับพระนครทั้งที่ใจอยากเรียนต่อคอลเลจยังอังกฤษอยู่มากเมื่อถึงพระนครเจ้าหล่อนทำข้อตกลงกับคุณหญิงแม่เรื่องการเรียนในทันที เมื่อไม่มีโอกาสเรียนคอลเลจอย่างใจคิดจึงขอเรียนภาษาอังกฤษแลฝรั่งเศสด้วยสนใจยิ่งนัก ท่านเจ้าพระยาก็เห็นดีด้วยผิดกับคุณหญิงทิพย์ที่ใจแข็งไม่ยอมเด็ดขาด ร้อนถึงพี่ชายที่รักน้องสาวยิ่งกว่าสิ่งใดเช่นหลวงวิเศษณรงค์ต้องมาช่วยพูดกับคุณหญิงทิพย์พร้อมกับชี้ให้เห็นเหตุผลที่คุณหญิงทิพย์ต้องยอมอย่างคัดค้านไม่ได้ด้วยกลัวหนักหนา
“หากคุณหญิงแม่ไม่ยอมน้องแลน้องแอบหนีกลับปีนังกระผมกับเจ้าคุณพ่อคงไม่มีปัญญาใดเรียกน้องกลับมาเพราะน้องอยากเรียนต่อคอลเลจมากเหลือเกินคุณหญิงแม่ก็ทราบหากเป็นเรื่องการเรียนเจ้าคุณพ่อท่านไม่เคยขัดแลลุงธนินก็รักแม่เอื้อมมากเสียด้วยคุณหญิงแม่ยอมได้หรือขอรับหากเป็นเช่นนั้นแม่เอื้อมยอมเรียนการเรือนถึง 3 วันไม่น้อยดอกขอรับส่วนอีก 4 วันให้น้องทำในสิ่งที่น้องตั้งใจเถิดขอรับ”
ด้วยความกลัวบุตรีเพียงคนเดียวจะทำอย่างที่บุตรชายบอกคุณหญิงทิพย์จำต้องยอมให้วารินทร์ทำตามใจคือเรียนการเรือนเพียง 3 วันส่วนในวันที่เหลือนั้นเรียนภาษาอังกฤษแลฝรั่งเศสกับมิชชันนารีที่ท่านเจ้าพระยาหามาให้ตามประสงค์ของบุตรีอันเป็นที่รักเมื่อนึกย้อนถึงใบหน้าบูดบึ้งของคู่ชีวิตขึ้นมาคราใดท่านเจ้าพระยาก็อดอมยิ้มออกมาเสียทุกคราไม่ได้
เวลาสามวันในพระนครยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าใดสำหรับวารินทร์ด้วยจากพระนครไปเสียนานตั้งแต่เดินทางพร้อมกับพี่ชายไปยังปีนังก็เกือบ 10 ปีเทียวที่ไม่ได้กลับพระนคร
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”เสียงเคาะประตูห้องหนังสือดังขึ้น
“ใครหรือจ๊ะเข้ามาเถิดจ๊ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานแลแฝงความเมตตาอ่อนน้อมอยู่มากเอ่ยบอกผู้ที่เคาะประตู
“กระผมเองขอรับ ตามหาเสียทั่วมาอ่านหนังสือแต่เช้าเทียวขอรับ”
“แปลกที่นะจ๊ะเอื้อมนอนไม่ใคร่หลับเท่าใดจึงมาอ่านหนังสือว่าแต่ลุงกล่ำเถิดตามหาเอื้อมเช่นนี้เจ้าคุณพ่อต้องมีธุระสำคัญเป็นแน่ใช่ไหมจ๊ะ”
“ขอรับท่านเจ้าพระยารอคุณหนูอยู่ที่ห้องทำงานขอรับ”
“จ๊ะเอื้อมจะรีบไปประเดี๋ยวนี้”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูห้องทำงานของท่านเจ้าพระยาดังขึ้นท่านเจ้าพระยารู้โดยทันทีว่าบุตรีแก่นแก้วที่ท่านรักดั่งดวงใจมาถึงแล้ว
“แม่เอื้อมหรือเข้ามาเถิดลูก”
“กราบเจ้าคุณพ่อเจ้าค่ะ เจ้าคุณพ่อให้ลุงกล่ำไปตามลูกเช่นนี้ต้องมีความสำคัญมากเป็นแน่ใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”
“ใช่แล้วแม่เอื้อมพ่อจะให้ลูกถือหนังสือราชการสำคัญฉบับหนึ่งไปยังวังรังสกุลเพื่อทูลเกล้าถวายพระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุล” พูดด้วยท่าทีเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“หนังสือราชการสำคัญเช่นนี้เหตุใดเจ้าคุณพ่อให้ลูกถือไปทูลเกล้าถวายเล่าเจ้าค่ะ”
“พ่อไม่อยากให้แม่เอื้อมไปดอกลูกแต่พ่อแลพ่อเกื้อต้องเข้าเฝ้าสมเด็จกิตติจะให้นายกล่ำเป็นผู้ถือไปเห็นทีจะไม่ควรแลประการสำคัญเสด็จทรงลาราชการ 3 วันเสียด้วยพ่อจึงใคร่วานให้แม่เอื้อมเป็นผู้ถือไปทูลเกล้าถวายเสด็จ” “เจ้าค่ะแต่ลูกไม่เคยเข้าเฝ้าเจ้านายลูกเกรงจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรเจ้าค่ะ”
“ไม่กระไรดอกคุณหญิงแม่จะสอนให้พอเอาตัวรอดได้อยู่ดอกลูก ลูกสาวพ่อรู้จักเอาตัวรอดอยู่แล้วไม่ใช่ดอกหรือ”
“โธ่เจ้าคุณพ่อเหย้าลูกหรือเจ้าค่ะ”
“เอาเถิดแค่ไม่กระโดกกระเดกเวลาเข้าเฝ้าแลระวังกิริยาให้มากเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์พูดให้น้อยตอบเมื่อทรงมีรับสั่งถามแลเมื่อถวายหนังสือฉบับนี้เสร็จก็กราบบังคมทูลลาเสด็จอย่าได้ช้าเสด็จพระองค์ชายไม่ทรงโปรดคุยงานราชการกับสตรีสักเท่าใด”
“เจ้าค่ะลูกจะรีบไปรีบกลับเจ้าคุณพ่ออย่าได้ห่วงเมื่อลูกรับปากสิ่งใดแล้วก็จะทำให้ดีไม่ให้เสียมาถึง
เจ้าคุณพ่อดอกเจ้าค่ะ” เจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีลุกจากเก้าอี้ทำงานแลเอามือลูบหัวบุตรีด้วยความเอ็นดู
“พ่อรู้ว่าบุตรีของเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีเก่งมาเพียงใด พ่อขอโทษที่ไม่อาจค้านคุณแม่ของลูกได้จน
ลูกต้องกลับมาพระนครไม่ได้เรียนคอลเลจดั่งที่ตั้งใจเอาไว้” พูดพลางมองหน้าบุตรีอย่างเห็นใจ
“ไม่เป็นกระไรดอกเจ้าค่ะเพียงแค่นี้ก็ดีที่สุดแล้วลูกแสนดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกเจ้าคุณพ่อ เจ้าคุณพ่อ
ไม่เคยปิดกั้นลูกแม้สักครั้งไม่ว่าลูกจะทำสิ่งใดหากเป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่เคยคัดค้านมีแต่ส่งเสริม
หากเกิดเป็นลูกสาวบ้านอื่นคงเป็นการยากสำหรับเรื่องเรียนหนังสือไม่ถูกบังคับถวายตัวเป็นคุณ
ข้าหลวงในพระราชวังก็คงได้แต่เย็บปักเป็นแต่งานเรือนหรือไม่คงถูกบังคับให้ออกเรือนไปแล้ว
เป็นแน่นี้ได้เรียนถึงคอนแวนต์เทียวอีกอย่างกลับพระนครมาก็ดีเจ้าค่ะ ลูกคิดถึง
เจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ พี่เกื้อ คุณพี่พิม นมสร้อย แลทุกคนในบ้านจะแย่ เพียงแต่ใจหายคิดถึงลุงธนิน
ป้าเกด แลพี่ชายทั้งสามก็เท่านั้น”
“ไม่กระไรดอกลูกปีนังเดินทางไม่นานก็ถึงคิดถึงก็ไปเยี่ยม
เขียนจดหมาย หรือโทรเลขหาก็ยังได้ อยากไปเมื่อใดบอกพ่อ พ่ออนุญาต”
จอมอ้อนของบ้านโผล่เข้ากอดเจ้าคุณพ่อเสียแน่น “ ขอบพระคุณค่ะ ลูกรักเจ้าคุณพ่อนะเจ้าค่ะ”
“โธ่แม่เอื้อมกระโดดกอดพ่อราวกับเด็กเทียวปีนี้ก็จะ 17 แล้วนะลูกไปเถิดรีบไปแต่งตัวพ่อต้องไปเตรียมตัว
เข้าเฝ้าสมเด็จที่วังสมเด็จเช่นกัน” “เจ้าค่ะ” ยิ้มสดใสแฝงความขี้อ้อนของวารินทร์ทำให้ท่านเจ้าพระยา
แลหลวงวิเศษณรงค์ หรือแม้กระทั้งสะใภ้อย่างแม่พิมค่อยปกป้องจากการขาดโทษของคุณหญิงทิพย์
อยู่บ่อยครั้ง..............................................
ไม่นานรถยนต์บ้านเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีแล่นมาถึงยังหน้ามุขของวังรังสกุลอันใหญ่โตงดงาม
ตัวอาคารตกแต่งแบบยุโรปผสมผสานความเป็นไทยออกมาได้อย่างพอเหมาะ ขณะที่รถยนต์แล่นผ่านตั้งแต่หน้าประตูวังจนถึงหน้ามุขล้วนแต่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ชายพบ ด้วยขณะนั้นทรงพักเปลี่ยนพระอิริยาบถตรงเฉลียงห้องทรงงานอยู่พอดี ทรงทอดพระเนตรอยู่ครู่หนึ่งก่อนมีรับสั่งกับนายเปลี่ยนที่สาระวนอยู่กับกองเอกสารที่เสด็จทรงใช้ให้หา “มานู้นแล้วรถบ้านเจ้าพระยาพิสุทธินายกล่ำคงเป็นคนขับมาอีกตามเคย” “ฝ่าพระบาททรงตรัสว่ากระไรกระหม่อม” “ก็ที่แกบอกฉันเมื่อเช้าที่ฉันให้ไปส่งพวกบ่าวที่วังทูลกระหม่อมกระไรเล่าแกบอกฉันไม่ใช่ดอกหรือว่าเจ้าพระยาพิสุทธิบอกแกว่าจะให้บุตรีนำหนังสือมาให้ฉันที่วังไม่ใช่ดอกหรือ”
“ใช่แล้วกระหม่อม ฝ่าพระบาทจะทรงเสด็จด้วยพระองค์เองหรือจะให้กระหม่อนไปรับแทนกระหม่อน” “ฉันจะลงไปเองอยากเห็นหน้านักเจ้าพระยาพิสุทธิไว้ใจขนาดให้ถือหนังสือราชการสำคัญมาให้ฉันแสดงว่าบุตรีของท่านต้องไม่ใช่สตรีทั่วไปเป็นแน่ แกไปบอกแม่อิ่มทีว่าให้พาหล่อนไปรอฉันที่ห้องรับรอง ก่อนฉันจะขึ้นมาเห็นเอ็ดแม่พุดอยู่ตรงหน้ามุขเสร็จสรรพแกก็ถามแม่อิ่มเสียว่าเตรียมข้าวของพร้อมแล้วหรือไม่ถ้าแม่อิ่มพร้อมแกก็พาแม่อิ่มไปส่งที่วังสมเด็จเสียให้เรียบร้อย”
“กระหม่อม” นายเปลี่ยนทำตามที่เสด็จทรงรับสั่งโดยไม่รีรอแต่ทว่ายังไม่ทันที่นายเปลี่ยนจะออกจากห้องทรงงานเสด็จทรงเสด็จออกจากห้องทรงงานก่อนนายเปลี่ยนเสียอีกหันไปอีกที่ก็ไม่เห็นเสด็จแล้ว
“โธ่เสด็จพระทัยร้อนอีกตามเคยปล่อยกระหม่อมพูดคนเดียวอีกแล้ว” พูดพลางยกมือเกาหัวด้วยความงงงวย
.........................................................................................
พระองค์ชายพบทรงเสด็จลงจากห้องทรงงานระหว่างพระดำเนินอยู่สายพระเนตรทรงทอดพระเนตรเข้ากับเหตุการณ์ที่สร้างความประทับพระทัยแก่พระองค์โดยไม่ทันรู้พระองค์ ว่าบุตรีของเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีผู้นี้จะกลายมาเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในพระทัยของพระองค์ในเวลาไม่นานนับแต่บัดนี้
................................................
ที่นี้นะหรือวังรังสกุล ที่ใครๆต่างพากันเกรงผู้ครอบครองวังยิ่งนัก พระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุล
พระพักตร์จะเป็นเช่นไรกัน พระชันษาจะกี่ชันษาเทียว เจ้าคุณพ่อไม่ได้บอกเสียด้วย จริงสิลุงกล่ำต้องรู้เป็นแน่โง่เสียจริง “คุณหนูขอรับ คุณหนู คุณขอรับ ถึงแล้วขอรับ”
“จ๊ะ...ลุงกล่ำขอโทษนะจ๊ะพอดีไม่ได้กลับพระนครเสียนานมองสองข้างทางคิดอะไรเสียเพลินไปหน่อย”
“ขอรับ คุณหนูจะให้กระผมตามไปด้วยไหมขอรับ”
“บอกกี่คราแล้วจ๊ะให้เรียกแทนตัวว่าลุง ไม่เป็นกระไรดอกจ๊ะประเดี๋ยวเอื้อมลงไปเองลุงกล่ำคอย
เอื้อมหน้ามุขสักประเดี๋ยวนะจ๊ะคงไม่นานเท่าใดเอื้อมจะรีบออกมา” “ขอรับ”
“ลุงกล่ำจ๊ะพระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุลพระองค์มีพระชันษาสักเท่าใดกันจ๊ะ”
“ราว 25 ชันษาเห็นจะกระมังขอรับ” “งั้นดอกหรือ เอื้อมไปก่อนนะลุงกล่ำคอยตรงนี้สักประเดี๋ยวนะจ๊ะ”
วารินทร์ลงจากรถเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้ามุข ท่าทีเก้ๆกังๆแลการแต่งกายของวารินทร์ เป็นที่สะดุดตาของแม่อิ่มพระนมนัยเสด็จเป็นอันมาก นมอิ่มเดินตรงมาหาวารินทร์โดยที่เจ้าหล่อนไม่ทันตั้งตัว
“แม่หนูมาหาใครกันหรือจ๊ะ” สายตานมอิ่มมองสำรวจวารินทร์ อย่างไม่วางตาด้วยทรงผมการแต่งกายผิดกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป ผมยาวถักปักเปียปล่อยปลายผมไว้ตรงข้างบ่าด้านซ้ายปลายผมเป็นลอนงามไม่ได้ไว้ผมทรงดอกกระทุ่มเช่นหญิงสาวทั่วไปในพระนคร ดูแปลกตาการแต่งกายของหล่อนดูช่างคล้ายกับแหม่มในตลาดที่นมอิ่มมักพบอยู่บ่อยครั้งไม่ได้นุ่งโจงในมือถือซองสีน้ำตาลแบบที่นายเปลี่ยนถือให้เสด็จอยู่ บ่อยๆ
วารินทร์มองผู้หญิงสูงอายุตรงหน้าสักครู่อย่างพินิจการแต่งกายผิดจากบ่าวไพร่ธรรมดาทั่วไปพินิจอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมแลไม่ถือตนเพียงสักหน่อยว่าตัวเป็นถึงบุตรีของเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีสมุหกรมทหารบก
“กราบเจ้าค่ะดิฉันวารินทร์เจ้าค่ะ หรือจะเรียกเอื่อมก็ได้เจ้าค่ะดิฉันเป็นบุตรีเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรี เจ้าคุณพ่อท่านให้ดิฉันถือหนังสือราชการฉบับนี้มาทูลเกล้าถวายพระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุลเจ้าค่ะ ท่านติดงานที่วังสมเด็จมาด้วยตนเองไม่นะเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องไหว้อิฉันดอกค่ะคุณเอื้อมอิฉันชื่ออิ่มเจ้าค่ะเป็นเพียงแต่พระนมของเสด็จที่เสด็จทรงเมตตาขอเจ้าจอมออกมาอยู่ยังวังรังสกุลก็เท่านั้นดอกเจ้าค่ะคุณเอื้อมเป็นถึงลูกพระน้ำพระยามาไหว้อิฉันใครเห็นเข้าคงไม่งาม”
“ไม่ดอกจ๊ะแม่อิ่ม แม่อิ่มมีน้ำใจเข้ามาถามฉันที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ถ้าแม่อิ่มไม่เข้ามาถามฉัน ฉันก็ไม่รู้จะทำตัวกระไรไม่เคยเข้าเฝ้าเจ้านายเสียด้วยวังอะไรก็เพิ่งเคยมาครานี้เป็นคราแรก”
“แต่...คุณเอื้อม”
“ชนชั้นหรือสำหรับฉันไม่ใคร่สำคัญดอกจ๊ะผู้ใหญ่มีน้ำใจมาถามถึงฉันไม่รู้หรือรู้ว่าแม่อิ่มเป็นใครก็สมควรแล้วที่ฉันกราบแม่อิ่มเด็กกราบผู้ใหญ่ผิดดอกหรือจ๊ะ” “โธ่แม่คุณรูปก็งามกิริยาก็งามจิตใจงามยิ่งกว่าผิดกับลูกพระน้ำพระยาคนอื่นเสียอีกมาเจ้าค่ะอิฉันจะพาไปรอเสด็จที่ห้องรับรอง”
วารินทร์ถูกตัวพามายังห้องรับรองภายในห้องกว้างมีโซฟาหนังชุดใหญ่ดูโก้ไม่น้อยใหญ่กว่าบ้านคุณลุงที่ปีนังเสียอีกวางอยู่กลางห้อง
“คุณเอื้อมรอก่อนนะเจ้าค่ะอิฉันจะไปบอกเจ้าเปลี่ยนให้ไปกราบทูลเสด็จก่อน”
“ขอบพระคุณมากนะจ๊ะ” ใบหน้ายิ้มจริงใจแลกิริยานอบน้อมอ่อนโยนของเจ้าหล่อนซื้อใจนมอิ่มไปเสียหมดสิ้นในเวลาไม่กี่นาทีที่พบหล่อนเท่านั้น เหตุการณ์แลบทสนทนาของวารินทร์แลนมอิ่มอยู่ในสายพระเนตรของเสด็จแทบทั้งหมด วารินทร์สร้างความประทับพระทัยแก่เสด็จโดยที่หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเช่นเดียวกันกับเสด็จที่ทรงทอดพระเนตรความงามแลกิริยาของหล่อนจนไม่ทันรู้พระองค์เช่นกัน เสด็จไม่ทรงทอดพระเนตรหรือทรงใส่พระทัยสตรีใดเป็นพิเศษแม้นมีสตรีสูงศักดิ์มากมายเข้ามาพระองค์ชายพบทรงไม่แม้นแต่ชายพระเนตรเสียด้วยซ้ำไปแต่กับวารินทร์พระองค์ชายพบทรงหยุดทอดพระเนตรแลทรงสดับบทสนทนาของเจ้าหล่อนแลนมอิ่มอยู่เสียนาน
นมอิ่มยิ้มอย่างเอ็นดูให้กิริยาของวารินทร์ก่อนรีบเดินไปตามหานายเปลี่ยนด้วยกลัวหล่อนจะ
คอยนาน ไม่นานหลังจากนมอิ่มเดินออกห้อง เพียงชั่วครู่ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าใบหน้าคมคาย
สวมเสื้อฝ้ายสีขาวโปร่งกางเกงแพรสีน้ำตาลเข้มเหลือบมันยืนอยู่หน้าประตูห้องรับรองชายผู้
นั้นคือพระองค์เจ้าชายกฤตดนัยรังสกุล ไม่ทันที่พระองค์ชายพบจะทรงเสด็จพระดำเนินเข้ามายังห้องรับรอง
วารินณ์ก็เดินตรงดิ่งไปยังหน้าพระพักตร์อย่างรวดเร็วจนพระองค์ชายพบทรงไม่ทันตั้งพระองค์
“นายเปลี่ยน นายเปลี่ยนหรือป่าวจ๊ะ”
“เออ ฉันไม่...”ไม่มีแม้ช่องว่างที่จะทรงได้ออกพระโอษฐ์รับสั่งตอบหล่อน
“ฉันวารินทร์จ๊ะ เรียกเอื้อมก็ได้ฉันเป็นบุตรีเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีถือหนังสือราชการมาทูลเกล้าถวายเสด็จแต่เสด็จไม่ทรงว่างเสียกระมัง พบนายเปลี่ยนก็ดี ฉันดีใจมากไม่ต้องเข้าเฝ้าฉันไม่เคยเข้าเฝ้าเจ้านายคำราชาศัพท์ก็ไม่ใคร่รู้เกรงจะเสียไปถึงเจ้าคุณพ่อ นี้จ๊ะฝากนายเปลี่ยนถวายเสด็จดีกว่า เอาล่ะฉันกลับละจ๊ะนายเปลี่ยน ขอบใจนายเปลี่ยนที่เป็นธุระให้ฉัน วันนี้เป็นวันเรียนการเรือนเห็นว่าคุณหญิงแม่จะสอนทำกลีบลำดวน ฉันจะฝากกลีบลำดวนฝีมือฉันให้ลุงกล่ำมาให้นายเปลี่ยนนะจ๊ะที่วังสมเด็จวันพรุ่งนายเปลี่ยนต้องตามเสด็จเป็นแน่เอาไว้ทานระหว่างรอเสด็จเป็นการขอบใจจากฉัน ไปล่ะจ๊ะประเดี๋ยวชักช้าคงได้เฝ้าเสด็จเป็นแน่” หล่อนลาเสด็จอย่างรวดเร็วคงเกรงเสด็จมากจริงดั่งที่พูด ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสดใสที่หล่อนยิ้มให้เสด็จ ทำให้พระทัยเต้นแรงยิ่งนัก
...... อะไรกันเหตุใดใจฉันเต้นเร็วถึงเพียงนี้ราวกับเหนื่อยก็ไม่ปานรอยยิ้มนั่นทำไมหน้าอกแน่นไปหมด หน้าร้อนวูบวาบเช่นนี้คือกระไรกัน “ฝ่าพระบาท ฝ่าบาทพระองค์ชายพบ” นายเปลี่ยนพูดพลางเขย่าพระหัตถ์เจ้าชีวิต
“อะไรหรือ”
“ฝ่าพระบาททรงเป็นกระไรกระหม่อนพระพักตร์แดงกล่ำเทียวทรงประชวรหรือป่าวกระหม่อม”ถามเจ้าชีวิตด้วยท่าทีเป็นห่วงด้วยเสด็จไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
“ป่าวฉันไม่ได้เป็นอันใดดอกแกไม่ต้องห่วงฉัน”
“เสด็จทรงพบบุตรีเจ้าพระยาพิสุทธิมนตรีแล้วหรือกระหม่อม”
“พบแล้ว” ทรงรับสั่งสั้นๆพรางแย้มที่มุมพระโอษฐ์เล็กน้อย”
“ฉันขึ้นห้องทำงานละแกไปยกน้ำมะตูมขึ้นไปให้ฉันหน่อยวันนี้อยากดื่มน้ำมะตูมขนมไม่ต้องดอกบอกแม่อิ่มว่าฉันไม่เอาขนม” “กระหม่อนแต่วันนี้มีกลีบลำดวนที่ทรงโปรดนะกระหม่อน” “ไม่ก็ไม่สิแกนี้กระไรฉันรอชิมกลีบลำดอกวันพรุ่ง นี้ถ้านายกล่ำบ่าวคนสนิทเจ้าพระยาพิสุทธิฝากกลีบลำดวนให้แก่วันพรุ่งแก่ก็รับมาแลไม่ต้องพูดกระไรเข้าใจหรือไม่” “กระหม่อม”นายเปลี่ยนรับคำสั่งจากเสด็จ แลอีกตามเคยนายเปลี่ยนฉงนในความหมายของเสด็จแลเสด็จทรงเร่งฝีพระบาทขึ้นห้องทรงงานประทับที่เฉลียงทอดพระเนตรรถยนต์บ้านเจ้าพระยาพิสุทธิแล่นออกไปจากวังรังสกุลด้วยภายในรถมีสตรีที่สร้างความประทับพระทัยนั่งอยู่ภายในนั้นเอง......................................
“ลุงกล่ำกลับเรือนเถอะจ๊ะหิวขนมฝีมือแม่สร้อยจะแย่”
“ขอรับ เข้าเฝ้าเสด็จเป็นกระไรบ้างขอรับ”
“ไม่ได้เข้าเฝ้าดอกจ๊ะพบนายเปลี่ยนเสียก่อนให้นายเปลี่ยนถวายเสด็จดีกว่าเอื้อมดีใจนักที่ไม่ต้องเข้าเฝ้า”
“ไอ้เปลี่ยนมันเดินไวแท้เทียวมาคุยกับลุงจากกันสักครู่ก่อนคุณหนูลงมามันทันขึ้นไปถึงห้องรับรองแปลกจริง” “จ๊ะกลับกันเถอะจ๊ะประเดี๋ยวคุณหญิงแม่จะคอยเป็นโดนเอ็ดกันพอดี วันนี้เรียนทำกลีบลำดวนเสียด้วย
ลุงกล่ำจ๊ะวันพรุ่งส่งเจ้าคุณพ่อยังวังสมเด็จเอื้อมวานฝากกลีบลำดวนที่เอื้อมทำให้นายเปลี่ยน
ด้วยนะจ๊ะเป็นน้ำใจที่นายเปลี่ยนทำให้เอื้อมไม่ต้องเข้าเฝ้าเสด็จ”
“ขอรับ”
..................................................
นายเปลี่ยนยกน้ำมะตูมขึ้นมาถวายเสด็จยังห้องทรงงานแลทำการหาเอกสารต่อแลเสด็จทรงรับสั่งถามบ่าวคนสนิท
“แกว่าฉันเหมือนคนบ่าวสนิทหน้าห้องมากกว่าจะเป็นเจ้านายหรือไม่”
เมื่อฟังรับสั่งนายเปลี่ยนเลิกคิ้วสูงพลางตอบ “ฝ่าพระบาทนะหรือกระหม่อมใครกันช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงถึงเพียงนั้นกระหม่อม” ก็ทรงสง่าแลรูปงามถึงปานนี้แม้จะทรงสวมฉลององค์ด้วยเสื้อผ้าฝ้ายแทนฉลองพระองค์ด้วยเครื่องแบบนายทหารก็มิได้ลดความสง่างามของเสด็จลงแม้เพียงสักหน่อย
“ฝ่าพระบาทเหตุใดทรงมีพระดำริเช่นนั้นกระหม่อม ถึงไม่ทรงฉลององค์ด้วยเครื่องแบบนายทหารหรือฉลององค์ในชุดลำรองหรือแม้กระทั่งฉลององค์เช่นคนทั่วไปกระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใครมาก่อนมองเพียงครู่ก็ให้รู้ได้ว่าไม่ใช่สามัญชนธรรมดาเป็นแน่กระหม่อม”
“งั้นดอกหรือ แกผิดถนัดด้วยแกอยู่ในแวววงเจ้านายกระมังมีอยู่ดอกที่คิดว่าฉัน
ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์” ประโยคนี้ฟังดูราวกับทรงน้อยพระทัยแต่ฉะไหนกับทรงตรัส
พร้อมกับทรงพระสรวลออกมา นายเปลี่ยนมองเสด็จด้วยความฉงนยิ่งนักวันนี้
เป็นคราแรกตั้งแต่ทรงเสด็จนิวัติสยามแลทรงมีความสุขถึงเพียงนี้ ปกติจะทรง
มีพระพักตร์ครึมอยู่ไม่น้อยด้วยข้อราชการมากอีกทั้งพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ
โปรดเกล้าฯให้จัดตั้งโรงเรียนเสนาธิการทหารบกขึ้น ยิ่งทรงงานหนักมากขึ้นไป
กว่าแต่ก่อนเมื่อเสด็จทรงมีความสุขเช่นนี้บ่าวเช่นนายเปลี่ยนก็ให้สุขใจนักถึงจะไม่
รู้เหตุของความสุขก็ตาม แต่เชื่อเถิดว่าต้องรับสั่งเล่าเป็นแน่เพราะเสด็จไม่เคยทรงมีเรื่อง
ปิดบังนายเปลี่ยนแม้สักเรื่องด้วยทรงทอดพระเนตรนายเปลี่ยนเป็นพระสหายรัก
แลรับใช้ใกล้ชิดมาแสนนานห่างพระวรกายก็เพียงตอนเสร็จยังอังกฤษเพียงเท่านั้นแล
นายเปลี่ยนยังรู้พระทัยเป็นที่สุดรู้โดยมิต้องรับสั่งอันใดให้มากความเสียด้วย
........................................................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ