พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า
7.4
เขียนโดย Blackblood
วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.
42 บท
0 วิจารณ์
39.34K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย
28) บทที่ 28 เกาะแฮนดรัส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 28
เกาะแฮนดรัส
ในฐานทัพเดธแอเรียมีหลุมลึกขนาดมหึมาซึ่งกินพื้นที่ไปมากมาย มองไกลๆ จะเห็นว่ามันมีรูปทรงเป็นกรวยกว้างๆ คล้ายอัฒจันทร์กีฬา เป็นหลุมที่พวกเอลิลเคยขุดแร่ขึ้นมาใช้ ด้านข้างหลุมมีโพรงเหมืองเต็มไปหมด แต่ตอนนี้แร่ในเหมืองทั้งหมดถูกขุดมาใช้จนหมดแล้ว มันจึงกลายเป็นหลุมเหมืองว่างๆ ที่ถูกทิ้งไว้เฉยๆ มีหอคอยสูงอยู่ที่กึ่งกลางหลุม เป็นหอคอยที่สร้างจากก้อนน้ำแข็งสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่ๆ มาวางซ้อนกัน ความสูงบนยอดพอๆ กับปากหลุม มีสะพานแขวนสำหรับให้ข้ามไปบนหอคอยได้ กัปตันโพรเฟดกำลังเดินข้ามสะพานไป ผู้ที่ยืนรอเขาอยู่บนหอคอยน้ำแข็งคือเดลิลวาส เซ็ทซาร์ดผู้เป็นผู้บัญชาการรักษาการณ์เอลิล
“รายงานตัว ท่านผู้บัญชาการรักษาการณ์” กัปตันโพรเฟดเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น ยืนตรง เกราะกระทบกันเสียงดัง
“การสร้างกองทัพของเราเป็นอย่างไรบ้าง” เดลิลวาสถาม ไม่หันมามอง ดูจะสาละวนกับแท่นสี่เหลี่ยมบนหอคอย
“ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สภาพอากาศที่เย็นขึ้นช่วยผลักดันอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องกระบวนการสร้างหรือการกำเนิดวัตถุดิบ” กัปตันโพรเฟดชี้ไปรอบๆ หลุมที่มีโพรงเหมืองเก่าๆ เต็มไปหมด “แร่ไอซ์โกสท์ที่เราใช้สร้างประชากรเอลิลนั้นกำเนิดขึ้นมากและรวดเร็วในอุณหภูมิหนาวเย็น เราเคยขุดได้จากหลุมเหมืองแห่งนี้มากมายมหาศาล และคงจะขุดได้จากที่อื่นอีกมากมาย อีกทั้งคุณภาพของแร่และความเย็นยังช่วยลดระยะเวลาที่ส่วนผสมวัตถุดิบจะแปรสภาพเป็นประชากรเอลิล เราไม่เคยผลิตประชากรได้เร็วเท่านี้มาก่อน”
“ข้าบอกท่านแล้วใช่ไหม อันไดอิ้ง” เดลิลวาสพูด “อุณหภูมิของไอซ์เมสจะเย็นลง แล้วท่านจะผลิตประชากรเอลิลได้มากมายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ชดเชยกับที่เสียไปอย่างเทียบกันไม่ติดทีเดียว”
“ท่านผู้บัญชาการมีแผนการที่ยอดเยี่ยม ข้าขอยกย่อง” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะอย่างมีมารยาท
“ถูกชมว่าฉลาด จากเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด นับเป็นเกียรติยิ่งนัก” เดลิลวาสหันมาโค้งศีรษะ
“อย่างไรก็ตาม” กัปตันโพรเฟดเสริม “ข้ายังสงสัยว่ากองทัพเอลิลที่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่ จะถูกใช้ประโยชน์นอกเหนือจากเจตนารมณ์ของเอลิลหรืออีกเปล่า”
“สิ่งที่ควรจะเป็นเจตนารมณ์เอลิลตอนนี้ คือทำตามที่เราตกลงกันไว้” เดลิลวาสหันกลับไปจัดการกับแท่นสี่เหลี่ยมอีกครั้ง “อย่าลืมว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย พวกท่านไม่ยอมรับข้อตกลงของเราแน่”
“นั่นคือเหตุผลที่ข้าและเอลิลคนอื่นๆ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งท่าน” กัปตันโพรเฟดพูดอย่างไร้ความรู้สึก “แม้จะมีเอลิลจำนวนมากมายสังเวยชีวิตไปกับมันก็ตาม แล้วก็จะมีอีกในอนาคตอันใกล้”
“ทำสงครามก็ต้องมีคนตาย” เดลิลวาสพูดเรื่อยๆ
“มันเป็นสงครามที่เราเอลิลไม่ต้องการจะก่อ” กัปตันโพรเฟดพูด “เราไม่ได้มีเป้าหมายจะประกาศสงครามกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่ได้มีเป้าหมายจะกวาดล้างพวกเขา เราสนใจแค่เรื่องการกลับมาดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดและมั่นคง”
“นั่นคือสิ่งที่พวกท่านคิดในตอนนี้” เดลิลวาสหันมามองอีกฝ่าย “แต่ในอนาคต มั่นใจหรือว่าจะไม่ทำสงครามกับพวกนั้น มั่นใจหรือว่าจะไม่ต้องการกวาดล้างพวกนั้น เหมือนที่เราเฟลมฟอร์สต้องการ”
กัปตันโพรเฟดเงียบ
“คงไม่ลืมใช่ไหมว่า เดิมทีดินแดนทั้งหมดที่ทุกอาณาจักรตั้งอยู่ ล้วนเป็นของเอลิลมาก่อน และทุกดินแดนล้วนปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งตามที่เอลิลต้องการ” เดลิลวาสกล่าว “จนกระทั่งพวกไซคัสลดพื้นที่ของพวกท่านให้มาเหลือแค่ไอซ์เมส และสร้างเผ่าพันธุ์พวกนั้นขึ้นมาล้อมรอบไว้ ถือว่าพวกท่านเสียดินแดนไปไม่รู้กี่เท่า”
“ไม่มีเอลิลคนไหนที่จะลืมเรื่องนั้น” กัปตันโพรเฟดพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ทั้งสี่นั้นไม่เหมือนกับธรรมชาติของพวกท่าน พวกนั้นมีธรรมชาติเหมือนพวกไซคัส ท่านเชื่อหรือว่าเผ่าพันธุ์ที่มีธรรมชาติการดำรงชีพต่างกัน จะอยู่ร่วมกันในดาวแคบๆ ดวงนี้ได้” เดลิลวาสพูดต่อ “สักวัน เมื่อแต่ละฝ่ายเจริญขึ้น มีจำนวนมากขึ้น อาศัยปัจจัยและทรัพยากรมากขึ้น ขยายความกว้างของวงจรชีวิตมากขึ้น แต่ละวงจะต้องขยายวงมาชนกัน แล้วก็ต้องมีสักวงที่ถูกตัดวงจรหายไป เอลิลจะยอมเป็นฝ่ายหายไปอย่างนั้นหรือ” เขาหันมาถาม “หากพวกท่านไม่เป็นผู้กำจัด สักวันพวกท่านจะถูกกำจัดเสียเอง นั่นคือเหตุผลที่เฟลมฟอร์สพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์อื่นๆ ในตอนที่เรายังสามารถเป็นผู้กำจัดได้ แต่เดิมนั้น ก่อนที่พวกผู้สร้างจะมาเดินทางมาเยือนดาวดวงนี้และสร้างเผ่าพันธุ์ของท่านกับพวกไซคัสขึ้น ทั้งดาวดวงนี้เคยเป็นที่อาศัยของเหล่ามังกร แต่ดูสิว่าตอนนี้ มังกรอย่างเราเหลืออะไรบ้าง”
กัปตันโพรเฟดยังคงนิ่งเงียบ
“ข้ากล้าพูดด้วยความเชื่อมั่นทั้งหมดที่มี” เดลิลวาสมั่นใจ “แม้วันนี้เอลิลไม่ต้องการกำจัดเผ่าพันธุ์ทั้งสี่ แต่ในวันข้างหน้า เอลิลจะต้องการแน่”
“แม้นั่นจะเป็นความจริง แต่ข้าก็คิดว่าประกาศสงครามตอนนี้มันยังเร็วเกินไป” กัปตันโพรเฟดว่า
“จะช้าจะเร็วมันก็ต้องเกิด ถ้ามันจะเกิด ก็ควรให้มันเกิดในเวลาที่เหมาะสม” เดลิลวาสพูด “ซึ่งก็คือเวลานี้ เวลาที่ศัตรูทั้งหมดกำลังบอบช้ำจากการต่อสู้กันเอง”
“และเป็นเวลาที่เอลิลเพิ่งจะก่อร่างสร้างตัว และยังไม่มีความพร้อมเต็มที่” กัปตันโพรเฟดต่อประโยค
“แต่ก็ความพร้อมมากพอที่จะพิชิตศัตรูทั้งหมดลงได้” เดลิลวาสต่อประโยคเพิ่ม
“ซึ่งหลังจากพิชิตได้ก็คงเสียหายหนัก” กัปตันโพรเฟดต่อประโยคเพิ่มอีก “หากมีศัตรูใหม่ของเอลิลเกิดขึ้นอีกสักฝ่าย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อศัตรูที่ว่านั่นอย่างยิ่งยวด เป็นกลยุทธ์อันแยบยล ใช้เอลิลเป็นดาบกำจัดศัตรูทั้งหมดของตนจนดาบทื่อ ขณะเดียวกันก็สร้างดาบคมกริบของตนขึ้นมา และคงใช้มันกำจัดเอลิลเข้าสักวัน”
“นั่น เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง” เดลิลวาสตัดบท “แต่ในปัจจุบันนี้ มั่นใจว่าเอลิลจะต้องทำสิ่งที่ควรทำ นั่นคือปฏิบัติตามข้อตกลงของเรา ข้าบัญชาการกองทัพ เอลิลในกองทัพปฏิบัติตาม”
“นั่นคือสิ่งที่เอลิลจำเป็นต้องทำ” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะอย่างไร้ความรู้สึก “และจะทำ”
“ดี และนี่คือปฏิบัติการอีกขั้นของเรา” เดลิลวาสกวาดมือ มีเปลวไฟปรากฏขึ้นมาเป็นรูปแผนที่อาณาจักรโมราโซมอส “แม้ว่าพวกมนุษย์กับเราจะยังไม่ประกาศสงครามกัน แต่พวกนั้นก็รู้ว่าเราไม่เป็นมิตรด้วยแน่ หากพวกนั้นเกิดยกพลมาก่อความวุ่นวายขณะที่เรากำลังกำจัดศัตรูอีกสามเผ่าพันธุ์ มันจะเป็นปัญหา ฉะนั้น เราต้องสร้างความเสียหายให้กับพวกมนุษย์ ให้พวกมันไม่กล้าส่งกองทัพไปไหนนอกจากอยู่ป้องกันพื้นที่ของตน”
“เป็นความคิดที่รอบคอบ พวกมนุษย์ชอบฉวยโอกาสในขณะที่ฝ่ายอื่นๆ รบรากันอยู่ อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับพวกดาร์คเนสดีวิล” กัปตันโพรเฟดพยักหน้า “หากแต่การบุกโจมตีพวกมนุษย์ จะไม่ทำให้พวกนั้นไปร่วมมือกับศัตรูอื่นๆ เพื่อต่อต้านเราหรือ”
“ไม่มีใครอยากร่วมมือกับมนุษย์ หลักจากที่พวกมันหักหลังพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างหน้าด้านๆ และทำสงครามทางน้ำกับพวกโฮเซ่ พวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลเกลียดพวกมนุษย์ยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ส่วนพวกฟอเรสเทอร์ก็อยู่คนละซีกแผนที่กับพวกมนุษย์ ศัตรูทั้งหมดของเราถูกแบ่งแยกโดยสมบูรณ์” เดลิลวาสพูด “อย่างที่เราเฟลมฟอร์สพูดเสมอ การมีศัตรูหลายฝ่ายไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ตราบที่พวกมันทั้งหมดยังไม่ได้มารวมกัน”
“แล้วท่านจะโจมตีพวกมนุษย์ที่เมืองไหน” กัปตันโพรเฟดถาม
“โอมิลรอน” เดลิลวาสชี้ในแผนที่ “ความเสียหายครั้งล่าสุดที่เมืองนี้ได้รับจากพวกดาร์คเนสดีวิล ทำให้เมืองอ่อนแอลง เหมาะที่จะซ้ำแผลเก่า เมื่อทั้งสองเมืองสำคัญอย่างซาโมโรว์กับโอมิลรอนเสียหาย พวกมนุษย์ก็จะไม่กล้าส่งกองกำลังไปไหน”
“มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัว ภายนอกดูมีอำนาจเข้มแข็ง แต่ภายในมีแต่ความบาดหมางและการช่วงชิงผลประโยชน์” กัปตันโพรเฟดกล่าว “ศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ คือพวกดาร์คเนสดีวิล”
“ไม่แข็งแกร่งเกินความสามารถของเราแน่นอน” เดลิลวาสสะบัดมือ แผนที่เปลวไฟหายวับไป
“แต่ก็แข็งแกร่งถึงขั้นต้องลงทุนลงแรงอย่างมหาศาลจึงจะพิชิตได้” กัปตันโพรเฟดพูด “พวกปีศาจมีแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งทัพบก ทัพม้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัพอากาศ พวกนั้นมีสุดยอดทัพอากาศ แม้แต่ทัพอากาศของเราก็ยังต่อกรด้วยไม่ไหว และข้าเชื่อว่าตอนนี้ พวกนั้นก็คงมุ่งพัฒนาเสริมแสนยานุภาพให้ทัพอากาศมากขึ้น อย่างน้อยก่อนที่เรากับพวกนั้นจะรบกันอีกครั้ง พวกเอเลนเซฟเวอรี่ก็คงมีเกราะสวมกันครบทุกตัว แล้วพวกมันก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ”
“ถูกแล้ว พวกดาร์คเนสดีวิลรู้ว่าทัพอากาศคือจุดแข็งที่สุดของตน จึงทุ่มเทพัฒนาให้มากขึ้น” เดลิลวาสดูไม่กังวล “แต่ถ้าไม่มีทัพอากาศ พวกดาร์คเนสดีวิลก็เป็นเพียงปีศาจปีกหัก ไม่ยากหากเราจะพิชิต”
“ท่านพูดเหมือนกับมีวิธีจัดการกับพวกเอเลนเซฟเวอรี่” กัปตันโพรเฟดเอียงคอ
“จำที่ข้าเคยบอกท่านได้ไหม นอกจากรูปปั้นถอนต้นไม้ที่ข้าให้ท่านดูเมื่อครั้งที่แล้ว พี่น้องที่เหลืออีกเจ็ดคนของข้าก็ยังค้นหาวัตถุอีกชิ้น ซึ่งมีพลังมากกว่า มากจนสามารถทำให้เราชนะสงครามไปได้เกือบครึ่งหนึ่งทีเดียว และตอนนี้ พวกเขาก็พบมันแล้ว” เดลิลวาสวางวัตถุสีขาวลงบนแท่นสี่เหลี่ยมข้างหน้า มันเป็นอัญมณีสีขาวหยาบๆ ที่ยังไม่ได้เจียรนัย มีอักษรภาษาดาร์เคนสองสามตัวสลักอยู่
“สิ่งนี้คือ--”
“ถูกแล้ว” เดลิลวาสพยักหน้า มีอัญมณีแบบนี้อีกชิ้นอยู่ในมืออีกข้าง เขาเก็บมันใส่ถุงเหล็กและคล้องไว้ที่เข็มขัด “เซ็ทซาร์ดเราจะทำอะไร เรามีแผนเสมอ พวกเอลิลอย่างท่านอาจมีสติปัญญาล้ำเลิศกว่าเรา แต่ความคิดที่เกี่ยวข้องกับสงคราม เราเฟลมฟอร์สไม่เป็นสองรองใครแน่”
“พวกท่านมีความเป็นเอลิลอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะ “แต่แน่นอน ความคิดที่เกี่ยวข้องกับสงคราม เฟลมฟอร์สอย่างพวกท่านไม่เป็นสองรองใคร”
“ฉะนั้นเราจะพิสูจน์ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ” เดลิลวาสผงกศีรษะ “ท่านจงเริ่มจัดเตรียมทัพและอุปกรณ์สงครามสำหรับยกไปโอมิลรอน ไม่ต้องยกไปมากเพราะเราไม่ได้หวังพิชิตเมือง จุดประสงค์ของเราแค่สร้างความเสียหายให้แก่พวกมนุษย์เท่านั้น แต่เมืองนั้นกำลังอ่อนแอ ท่านอาจถึงขั้นพิชิตได้ทีเดียว”
“รับทราบ” กัปตันโพรเฟดรับคำสั่ง
“ระหว่างที่กำลังเตรียมทัพ ให้ปรับแต่งเรือรบทั้งห้าลำที่ยึดมาได้จากพวกมนุษย์ พร้อมทั้งจัดเตรียมกองกำลังอีกส่วนหนึ่งสำหรับลงเรือ” เดลิลวาสสั่งการต่อ
“รับทราบ” กัปตันโพรเฟดรับคำสั่ง
“มีเพียงเท่านี้ กัปตันโพรเฟด” เดลิลวาสพยักหน้า
“ท่านผู้บัญชาการ” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะทำความเคารพ แล้วเดินออกไปปฏิบัติหน้าที่
**********************
มีแสงจางๆ อยู่บนท้องฟ้ายามใกล้รุ่ง ทุกสรรพชีวิตที่หากินตอนกลางวันในเกาะแฮนดรัสเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา ขณะที่สิ่งมีชีวิตตอนกลางคืนเตรียมพร้อมหลับใหล แสงดาวเริ่มเลือนหาย แสงจากดาวฤกษ์อิลิมิน่าเริ่มฉายแสงแทนที่ บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายนั้น มีสิ่งมีชีวิตบินอยู่ มันเริ่มบินต่ำลงเพื่อเตรียมพร้อมหลบแดด เอเลนเซฟเวอรี่สีดำและโซลิแทร์ที่นั่งอยู่บนหลังมัน เทียมด้วยรถม้าอากาศที่กัปตันมาซูลโดยสารอยู่ ทั้งหมดสวมเกราะติดอาวุธครบชุด เดินทางจากโฟรเซ็นทิเนลตรงมายังที่นี่ ไม่เคยเดินทางออกนอกพื้นที่ไกลเช่นนี้มาก่อน นับว่าแทบจะข้ามซีกแผนที่เลยก็ว่าได้ พวกเขาเดินทางมาแล้วหลายวัน อ้อมอาณาจักรไอซ์เมสทางทิศตะวันออก ผ่านดินแดนร้างที่อยู่เบื้องหน้าอาณาจักรกาโกคอล บินต่อไปยังแนวดินแดนร้างที่อ้อมไปทางตะวันออกของอาณาจักรแบร์ร็อค และขึ้นเหนือ ข้ามทะเลไป จนกระทั่งขึ้นไปสุดบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของอาณาจักรแบร์ร็อค หรือที่มุมขวาบนของแผนที่ จึงมาถึงเกาะแฮนดรัส ที่พวกเขาเสียเวลาเดินทางหลายวันก็เพราะต้องหยุดพักในตอนกลางวันและเดินทางในตอนกลางคืน เพื่อหลีกหนีความร้อน ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์แดนหนาว หากเผชิญกับความร้อนอาจมีปัญหาหนัก
“นานๆ จะเห็นท่านเดินทางไกล” กัปตันมาซูลพูดขณะกัดขนมปัง มืออีกข้างจับขอบรถม้าอากาศ “ปกติแล้วท่านชอบอยู่ติดพื้นที่และเกลียดการเดินทางอย่างกับอะไรดี ใครจะไปนึกว่าจะมีวันที่ท่านเดินทางข้ามครึ่งดวงดาวเลยทีเดียว”
“และข้าขอยืนยัน ข้ายังคงเกลียดการเดินทางเช่นเดิม ยิ่งผ่านครั้งนี้ไป ข้ายิ่งเกลียดหนัก” โซลิแทร์กัดขนมปังเช่นกัน หน้ากากเลื่อนขึ้นเพื่อจะได้กิน “ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงพาคนที่เดินทางออกนอกพื้นที่บ่อยๆ อย่างท่านมาด้วย ข้ารู้ว่าท่านก็เดินทางออกนอกพื้นที่ไม่บ่อยนักหรอก แต่ก็ถือว่าบ่อยที่สุดในพวกเราแล้ว”
“ก็ตอนเด็กๆ ข้ามันขี้ขลาดและไม่ชอบสังคม จึงชอบหลีกหนีไปอยู่นอกพื้นที่คนเดียว เอาเหล้าไปกินย้อมใจ” กัปตันมาซูลพูดไปเคี้ยวไป “หลังจากที่ข้าเปลี่ยนไป ข้าก็พบว่าหมู่บ้านเควอเตอร์สตรีทมีเหล้ารสเลิศทั้งนั้น คุ้มค่ากับการออกนอกอาณาจักรไปเยี่ยมเยียนยามว่าง ท่านต้องไม่เชื่อแน่เลย แต่เจ้าไมโนลล์เจ้าของร้านเหล้านั่นรับทองนิดๆ หน่อยๆ ไป แล้วเอาเบียร์มาให้ข้าเป็นเหยือก คิดดูสิ สิ่งไร้ค่าอย่างทองสามารถแลกกับเบียร์ได้เป็นเหยือก”
“สำหรับข้า ทั้งทองและเบียร์มันก็ไร้ค่าเหมือนๆ กัน สิ่งไร้ค่าแลกกันได้มันก็ไม่แปลกนัก” โซลิแทร์ว่า “แต่ท่านเองก็ควรระมัดระวังนะ แม้หมู่บ้านควอเตอร์สตรีทมันจะอยู่ในเขตดินแดนร้าง แต่ก็เป็นดินแดนร้างที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรโมราโซมอส แม้ว่าที่นั่นจะเป็นกลาง เต็มไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ไม่มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ แต่พวกทหารมนุษย์ก็ชอบไปดื่มเหล้าที่นั่นบ่อยๆ เพราะมันถูกกว่าในอาณาจักร”
“ไปที่นั่นไม่มีใครจำใครได้หรอกท่านลอร์ด คนมากหน้าหลายตาเต็มไปหมด” กัปตันมาซูลพูดอย่างคึกคัก “ส่วนเรื่องทะเลาะวิวาทก็เป็นเรื่องปกติของโรงเหล้าชนบท ข้าเองก็ไม่ได้ซัดหน้ามนุษย์มาตั้งนานแล้ว อยากให้มันเกิดขึ้นบ้าง”
“แต่ใครจะไปรู้ว่าการที่ท่านเดินทางบ่อยๆ หรือที่เคยเป็นคนขี้ขลาด มันจะก่อให้เกิดทักษะที่มีประโยชน์ในการคุมทัพ” โซลิแทร์ว่า “ท่านถอยทัพเร็วมาก ย้ายตำแหน่งทัพก็เร็ว ในบรรดาเราสามคน ท่านเดินทัพรวดเร็วที่สุดแล้ว”
“สุนัขจิ้งจอกไม่ใช่สัตว์แข็งแรง มันตัวเล็ก แต่มันหนีเร็วและโจมตีเร็ว” กัปตันมาซูลจับหมวกเกราะที่มีหัวและหนังจิ้งจอกหิมะคลุมอยู่บนยอดหมวก “การมีแรงบันดาลใจ การแลเห็นคุณค่าของตนเอง มันเป็นบ่อเกิดแห่งพลังมหาศาล ถ้าวันนั้นไม่ได้ท่านเป็นแรงบันดาลใจ สุนัขจิ้งจอกตัวนี้คงเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดไร้ค่าที่มีชีวิตเหมือนซากศพไปวันๆ”
“ถ้าวันนั้นไม่ได้ท่าน ข้านี่แหละจะเป็นซากศพเสียเอง” โซลิแทร์พูด
“ข้าทั้งเชื่อมั่นทั้งศรัทธาในตัวท่าน” กัปตันมาซูลกินขนมปังจนหมด “กระนั้นท่านก็ยังให้ข้ากินอาหารขณะที่บินอยู่ในอากาศ รู้ไหมว่ามันทำลำบากตอนถูกลมตี ถามจริงๆ เถอะ ท่านทำแบบนี้บ่อยๆ หรือ”
“ท่านก็รู้ว่าข้าชอบทำอะไรให้มันง่ายๆ เข้าไว้ จนบางคนเรียกว่ามักง่าย ข้าไม่ชอบการเดินทาง อยากให้มันผ่านพ้นไปเร็วๆ” โซลิแทร์กินขนมปังจนหมด หยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่ม วางท่าได้สบายกว่ากัปตันมาซูล คงทำอย่างนี้มาบ่อยแล้ว “ในเมื่อการหยุดรับประทานอาหารมันทำให้เสียเวลามากขึ้น ก็ทำมันพร้อมๆ กับที่เดินทางนี่ล่ะ”
“เห็นด้วยกับคนที่บอกว่าท่านมักง่าย” กัปตันมาซูลส่ายหน้า “สงสารคนที่จะมาเป็นคนรักท่านจริงๆ มิน่าถึงหาผู้หญิงไม่ได้สักคน ว่าแต่น้ำข้าหมดแล้ว ส่งถุงของท่านให้ข้าที”
ถุงน้ำลอยหวือมาอย่างแรง เกือบจะเข้าหน้ากัปตันมาซูลถ้าเขาไม่คว้าเอาไว้
“เกือบจะสอยข้าลงไปวัดพื้นทรายแล้วนะ” กัปตันมาซูลโวยวาย
“อภัยให้ด้วย ก็เราบินอยู่ ลมก็ตี จะส่งของให้กันมันก็ไม่ง่ายเหมือนปกติ” โซลิแทร์เลื่อนหน้ากากลงมาปิดหน้า “อีกอย่าง ท่านพูดแทงใจดำข้า”
แสงแดดเริ่มส่องสว่าง พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ในตอนกลางคืนทะเลทรายนั้นจะหนาวจัด พวกเขาจึงเดินทางกันสบายๆ แต่ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ตอนกลางวันแล้ว มันจะร้อนจัดในอีกไม่นาน
“ท่าทางต้องหาที่หลบร้อนเสียแล้ว” โซลิแทร์พูดอย่างกังวล “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ข้าเกลียดอากาศร้อน”
“นั่น มีอาคารแปลกๆ อยู่ตรงนั้น” กัปตันมาซูลชี้มือ
อาคารหลังทาด้วยสีแดงเตะตา หลังคามียอดแหลมสูงลิ่วติดธงผืนใหญ่สีเขียว มีป้ายใหญ่ยักษ์ติดรอบอาคารสี่ทิศทางเป็นภาษามนุษย์เขียนว่าร้านโพรฟและสหาย
“คนเสียสติที่ไหนมาตั้งร้านขายของในที่แบบนี้ จะขายให้นกแร้งหรืออูฐทะเลทรายหรือไง” กัปตันมาซูลพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
“แวะที่นั่นกันเถอะ ข้าเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่ไล่จี้หลังข้ามา”
เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำหยุดจอดเบื้องหน้าอาคารอย่างเงียบเชียบ ตรงจังหวะกับที่ไมโนลล์ตนหนึ่งเปิดประตูหน้าร้านออกมาพร้อมกับไม้กวาด คงเตรียมจะทำความสะอาดเมื่อมันเห็นพวกเขามันก็ดีใจใหญ่
“ตาของข้าหลอกข้าหรือไรนี่ ดาร์คเนสดีวิลสองคนเดินทางออกนอกพื้นที่มาไกลแสนไกล และหยุดแวะที่ร้านของเรา มาก่อนที่ร้านจะเปิดเสียอีก” ไมโนลล์รีบทิ้งไม้กวาด เดินเข้ามาหาทั้งคู่ “ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง ขอต้อนรับสู่ร้านอันต่ำต้อยของเรา ข้าชื่อพอร์ท เป็นผู้ช่วยเจ้าของร้าน โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปปลุกเจ้านายของข้า แล้วเราจะได้ทำธุรกิจกันครับ”
“ข้าไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจหรอก ที่ที่ข้าจากมามันไม่มีระบบธุรกิจ” โซลิแทร์กระโดดลงจากหลังพาหนะ “แต่ตอนนี้ข้าต้องการที่หลบแดดมาก”
“พวกท่านเดินทางมาเขตร้อน ไม่ควรสวมเกราะโลหะมาเต็มตัวขนาดนี้ถ้าไม่ใช่พวกโฮเซ่” พอร์ทแนะนำ “เป็นเกราะสีดำด้วย สีดำมันดูดความร้อนนะครับ”
“แล้วพวกเราดูเหมือนคนที่เชี่ยวชาญการเดินทางเขตร้อนหรือไง” โซลิแทร์ย้อน
“แล้วพาหนะของพวกท่านล่ะครับ ให้มันยืนกลางแดดเช่นนี้มันทนได้หรือ” พอร์ทชี้ไปที่เอเลนเซฟเวอรี่สีดำ “เจ้ามังกรสามหัวตัวนี้”
“มันไม่ใช่มังกร” โซลิแทร์แก้ไข เรื่องนี้เขาให้ความสำคัญมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนมากมายเข้าใจว่าเอเลนเซฟเวอรี่เป็นสัตว์ตระกูลมังกร นี่มันค้างคาวชัดๆ “มันอาจดูคล้ายๆ แต่จริงๆ มันคือสัตว์ตระกูลค้างคาว และมันก็ไม่มีความรู้สึกไม่มีชีวิตจิตใจเพราะคำสาปของพวกไซคัส มันจึงทนร้อนได้ แต่พวกเราทนไม่ได้ ฉะนั้นช่วยหาที่หลบร้อนให้ที ข้าเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาแล้ว”
“ตามข้าเข้ามาข้างในร้านดีกว่าครับ ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง” พอร์ทเชิญชวน
กัปตันมาซูลลงจากรถม้า พับเก็บปีกรถม้า หยิบถุงเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากรถม้า มันมีเพชรพลอยอยู่เต็มถุง
“ท่านเอามาด้วยทำไม นี่ไม่ใช่ร้านเหล้าในหมู่บ้านควอเตอร์สตรีทนะ” โซลิแทร์กระซิบ
“ท่านไม่รู้อะไร ไม่ใช่แค่ในหมู่บ้านควอเตอร์สตรีทที่ซื้อขายกันด้วยทองคำหรือเพชรพลอย อีกหลายที่ก็เป็นเหมือนกัน” กัปตันมาซูลกระซิบตอบ
“มีคนเสียสติเห็นไอ้หินวาวๆ ที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เป็นของมีค่าอีกหรือนี่ จะเพี้ยนตามพวกมนุษย์กันหมดหรือไง”
“โดยเฉพาะพวกไมโนลล์ พวกนี้หลงใหลเงินทองเพชรพลอยยิ่งกว่าอะไร” กัปตันมาซูลเสริม “ถ้าจ่ายให้มากพอ พวกมันอาจยอมตายเลยทีเดียว”
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ใช่คนที่เพี้ยนที่สุดแล้ว”
“แน่นอน พวกนี้เพี้ยนที่เห็นแร่ขยะเหล่านี้เป็นสิ่งมีค่า แต่ข้าก็ยังขอยืนยันว่า ท่านคือคนที่เพี้ยนที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาอยู่ดี”
ทั้งสองตามพอร์ทเข้ามาในร้าน ข้างในนี้มืดและเหม็นอับ เต็มไปด้วยชั้นวางของและสินค้าแปลกๆ มีแสงไม่ค่อยมากเพราะเพิ่งเปิดร้าน ตะเกียงยังไม่ถูกจุดทุกตัว แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ร้อน
“ขอตัวไปตามเจ้านาย ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่ครับ” พอร์ทรีบเดินอ้อมเคาน์เตอร์ไปยังหลังร้าน
มันกลับมาพร้อมกับไมโนลล์อีกตนหนึ่งที่ยังอยู่ในชุดนอน สวมหมวกนอน เขี้ยวหมูป่าข้างหนึ่งเลี่ยมด้วยทอง ท่าทางง่วงๆ แต่ก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นลูกค้า
“ท่านสุภาพบุรุษดาร์คเนสดีวิลจากแดนไกลทั้งสอง บอกไม่ถูกเลยว่าดีใจแค่ไหนที่ได้พบพวกท่าน ข้าตั้งร้านอยู่ที่นี่หาลูกค้ายากมาก อย่างที่เห็น ทำเลมันไม่เหมาะสมนัก” มันโค้งคำนับเสียต่ำ “ขอต้อนรับสู่ร้านอันต่ำต้อยของข้า ข้าชื่อโพรฟ เป็นเจ้าของร้าน--”
มันชะงักกลางคันเมื่อเห็นเปลวไฟสีน้ำเงินซีดๆ ในมือของโซลิแทร์ มันอยู่ใกล้กับขวดโหลใบหนึ่งในชั้นวางของมากๆ โซลิแทร์เอามันไปจ่อใกล้ๆ เพื่อจะได้เห็นขวดโหลชัดๆ
“ท่านสุภาพบุรุษ ไอ้สิ่งที่อยู่ในขวดโหลมันวัตถุไวไฟนะครับ ร้านข้าอาจไหม้ทั้งร้านได้”
“ข้าเห็นมันมืด เลยจุดขึ้นมา” โซลิแทร์พูดซื่อๆ “อย่ากังวล มันเป็นมนต์ดำ ไม่ใช่ไฟจริงๆ หรอก มีแสงแต่ไม่มีความร้อน ดูนี่สิ” เขาเอาไฟไปจ่อจมูกยาวๆ ของโพรฟ “มันไม่ร้อน”
โพรฟร้องลั่นด้วยความตกใจ จับจมูกตัวเอง กระโดดถอยไปชนเคาน์เตอร์
“อภัยให้ผู้นำของข้าด้วย เขายังหนุ่ม เติบโตมากับสงคราม และมีนิสัยแบบดาร์คเนสดีวิลโดยแท้ ไม่ค่อยเดินทาง ไม่ชอบเข้าสังคม จึงไม่ค่อยรู้กาลเทศะเท่าไหร่” กัปตันมาซูลพูดอย่างเหนื่อยใจ “ไม่แปลกใจเลยว่า คนมากมายถึงบอกว่าพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำและไม่ค่อยประสีประสากับมารยาท”
พอร์ทประคองโพรฟให้ลุกขึ้นยืน โพรฟคลำจมูกตัวเอง แปลกใจที่มันไม่ไหม้
“ท่านลอร์ด ท่านจะเอาไฟไปจ่อจมูกคนอื่นอย่างนี้ไม่ได้นะ” กัปตันมาซูลบอก
“มันไม่ใช่ไฟนะ แค่ดูเหมือน มันเป็นแสงที่มีลักษณะคล้ายไฟ--”
“เออนั่นแหละ มันไม่ควรจะถูกเอาไปจ่อจมูกคนอื่นอย่างนั้น บางคนไม่รู้ว่ามันไม่ใช่ไฟจริง”
“ขอโทษที ข้าจะจำไว้”
แล้วจู่ๆ โซลิแทร์ก็ยื่นหน้ากากไปชิดหน้าโพรฟ จนอีกฝ่ายตกใจแทบจะกระโดดหนีอีกครั้ง
“ท่านลอร์ด ท่านก็ไม่ควรทำแบบนั้นเหมือนกัน” กัปตันมาซูลกุมหน้าผาก
“เจ้าหน้าคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน นานมากแล้ว” โซลิแทร์พูดอย่างครุ่นคิด “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ทำไมความจำข้าแย่อย่างนี้”
“ในสายตาคนอื่น ไมโนลล์ก็หน้าตาคล้ายๆ กันหมดแหละครับ” โพรฟงึมงำ
“แสดงว่าก่อนหน้านี้ ท่านเคยเห็นไมโนลล์สักตนหรือ” กัปตันมาซูลเลิกคิ้ว
“นึกออกแล้ว ที่เมืองหลวงโฟรเซ็นทิเนล สิบเก้าปีก่อน ตอนที่หลุมพลังมืดระเบิด ข้าลอยละลิ่วอยู่ในอากาศพร้อมกับน้ำแข็งแผ่นใหญ่ใต้ตัว แล้วตกลงไปทับไมโนลล์ตนหนึ่งที่ลอบเข้ามาขโมยไข่เอเลนเซฟเวอรี่ ไข่ใบที่ฟักเจ้าตัวที่ยืนอยู่หน้าร้านนั่น” โซลิแทร์ชี้ออกไปนอกร้าน “ไมโนลล์ตนนั้นมีห่วงทองติดดาวร้อยอยู่ที่จมูก”
“นั่น กริซ” โพรฟร้องขึ้นมา
“รู้จักเขาหรือ” โซลิแทร์ถาม
“ไม่ใช่เขาครับ เธอ”
“เป็นผู้หญิงหรอกหรือนั่น บอกตรงๆ ข้าแยกพวกเจ้าไม่ออกจริงๆ ระหว่างหญิงกับชาย”
“เธอเป็น อดีตหนึ่งในคนรักของข้า เอ้อ! จะเรียกว่าคนรักก็ไม่เต็มปากนัก เรียกว่าคนรักชั่วครั้งชั่วคราวจะใกล้เคียงกว่า” โพรฟอธิบาย “ไม่ได้ผูกพันอะไรกับเธอนักหรอก เกือบจะฆ่าเธอไปหลายรอบด้วยซ้ำ ก็เธอมีนิสัยชอบลักขโมย เฉียดใกล้ของมีค่าหรือของที่ดูหายากราคาดีไม่ได้เลย แต่ก็น่าเสียดายที่เธอตายไปแล้ว ท่านนึกไม่ถึงหรอกว่าเธอร้อนเป็นไฟแค่ไหนตอนอยู่บนเตียง โดยเฉพาะตอนที่เธอ--”
“เอาเถอะ” โซลิแทร์รีบตัดบท “ข้าไม่อยากจินตนาการหรอกว่าไมโนลล์ร่วมรักกันยังไง แค่นี้ก็อึดอัดจะแย่แล้ว อากาศร้อนของที่นี่คงจะฆ่าคนได้ ข้าไม่กล้าออกนอกประตูร้านนี้ไปเลย”
“ท่านสุภาพบุรุษ ข้ามีสินค้าที่จะช่วยแก้ปัญหาให้พวกท่านได้” โพรฟพูดอย่างกระตือรือร้น “พอร์ท ไปเอาหินผิวมังกรมาลังหนึ่งเร็ว”
พอร์ทหายเข้าไปหลังร้าน แล้วกลับมาพร้อมกับหินสีเหลืองหนึ่งลัง เป็นไปตามคาด โซลิแทร์กับกัปตันมาซูลมองอย่างไม่สู้ศรัทธานัก
“มันคือสิ่งที่ข้ากำลังต้องการมากๆ” กัปตันมาซูลประชด “คือตอนนี้ข้ามีแผนจะทำอ่างปลาที่บ้าน แล้วข้าก็ต้องการหินสำหรับแต่งอ่างปลา”
“ทำไมต้องมีคนเล่นมุขนี้ซ้ำๆ กันด้วย ข้าไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน” โพรฟพูดอย่างหงุดหงิด “ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง สิ่งนี้คือหินผิวมังกร กินเข้าไปแล้วร่างกายท่านจะปรับสภาพกับอากาศและสภาพแวดล้อมได้เหมือนมังกร มันกินได้ท่านลอร์ดมืด” โพรฟรีบพูดก่อนที่โซลิแทร์จะทันได้แย้ง “ข้าเรียกมันว่าหินเพราะมันดูเหมือนหิน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่หิน และก็ไม่ได้แข็งเหมือนหิน มันกรอบๆ เหนียวๆ รสชาติก็ไม่ได้แย่”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่ากินเข้าไปแล้ว ข้าจะไม่ลงไปนอนชัก” โซลิแทร์ไม่ไว้ใจ
“โฮซอร์บุฟโฮปกับกัปตันวอร์ดิวเคยซื้อไปหลายลัง แล้วทุกวันนี้พวกเขาก็ยังมีชีวิตปกติดีครับ” โพรฟยืนยัน
“บุฟโฮปอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์เริ่มสนใจ “เจ้ารู้จักคนที่นามสกุลบุฟโฮปด้วยหรือ”
“ไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าแฮนดรัส เจ้าของเกาะแห่งนี้” โพรฟตอบ เขากับพวกพ้องแฮนดรัสของเขาตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณโอเอซิสใจกลางเกาะ นานๆ จะมีแฮนดรัสสองสามคนมาซื้อของจากร้านข้า กลายเป็นว่ากิจการของข้าก็ยังฝืดเคืองอยู่ดีล่ะครับ”
“เยี่ยมทีเดียว เราสองคนอยากพบเขา” กัปตันมาซูลพูด “เอาหินผิวมังกรให้เราสองลัง เขียนแผนที่ตำแหน่งหมู่บ้านแฮนดรัสให้เราด้วย ส่วนนี่ ค่าหิน”
เขาเทอัญมณีครึ่งถุงลงบนเคาน์เตอร์ โพรฟกับพอร์ทอ้าปากค้าง ตาลุกวาว
“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจกับพวกท่านครับ” โพรฟตะกุกตะกัก “หวังจริงๆ ว่าจะแวะมาบ่อยๆ “
*******************
ไม่นานต่อมา โซลิแทร์และกัปตันมาซูลบินอยู่เหนือหมู่บ้านแฮนดรัส เป็นเวลาเดียวกับที่พวกนั้นเสร็จจากรับประทานมื้อเช้า และกำลังหอบข้าวหอบของจะไปทำงานอะไรสักอย่างนอกหมู่บ้าน เมื่อพวกนั้นเห็นพวกเขาบินมาก็แตกตื่นกันใหญ่ คว้าค้อนด้ามยาวกันคนละด้ามเตรียมสู้ทันที ส่วนโซลิแทร์ก็บังคับพาหนะให้ร่อนลงจอดกลางหมู่บ้านอย่างไม่เกรงกลัว พวกแฮนดรัสทั้งหมดยืนล้อมพวกเขาเป็นวงกลมพร้อมกับอาวุธในมือ พร้อมเข้าโจมตีทันทีหากต้องทำ อย่างไรก็ตาม โซลิแทร์ก็ปีนลงจากหลังพาหนะอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน วางท่าสบายๆ ขณะที่มือขวากำรอบด้ามดาบใต้ผ้าคลุม ส่วนกัปตันมาซูลก็ก้าวลงจากรถม้าเข้ามาประกบโซลิแทร์ เตรียมพร้อมจะทำอะไรก็ตามหากได้รับคำสั่ง
“โปรดอยู่ในความสงบทุกท่าน” โซลิแทร์ยกมือข้างที่ไม่ได้จับดาบทำสัญลักษณ์กระดาษขอเจรจา “เรามาอย่างสันติ เราเพียงต้องการพบกับไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าของพวกท่าน”
แฮนดรัสตัวใหญ่ท่าทางมีอายุชูสัญลักษณ์กระดาษตอบกลับ แล้วก้าวเข้ามาประจันหน้ากับโซลิแทร์ มือข้างหนึ่งถือค้อนด้ามยาวอาวุธประจำกาย
“ข้าไม่เคยรู้จักดาร์คเนสดีวิลมาก่อน” เขาพูดเสียงเข้ม “และไม่มีความจำเป็นที่จะรู้จัก”
“พวกท่านบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” แฮนดรัสหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังไรมินคำราม “การกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่รู้จักกาลเทศะ”
“ท่านก็น่าจะทราบดีกัปตันวอร์ดิว พวกเขาเป็นดาร์คเนสดีวิล” ไรมินหันไปบอก แล้วหันกลับมาหาโซลิแทร์ “แม้ว่าดาร์คเนสดีวิลจะมีทักษะเรื่องการทูตค่อนข้างต่ำ แต่อย่างน้อย พวกเขาก็น่าจะรู้มารยาทว่า ควรแนะนำตัวก่อนที่จะพูดคุยกัน”
“ข้า โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล” โซลิแทร์แนะนำตัวเอง และนำแนะกัปตันมาซูล “ส่วนนี่กัปตันมาซูล หนึ่งในสมาชิกผู้นำโฟรเซ็นทิเนล”
“อีกหนึ่งผู้นำอาณาจักรที่มาเยือนถิ่นของเรา” กัปตันวอร์ดิวทำเสียงเบื่อหน่าย
“เพื่อแสดงความจริงใจ ท่านแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ไรมินว่า “ทำไมเราไม่คุยกันโดยให้เห็นใบหน้าจริงๆ พวกเราแฮนดรัสมีค่านิยมว่า การสวมหน้ากากเจรจา มันแสดงถึงความไม่จริงใจ”
“ท่านจะให้ข้าถอดหน้ากากอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์ไม่พอใจ
“แค่การถอดหน้ากากมันสร้างความลำบากให้แก่ท่านมากขนาดนั้นเลยหรือ” ไรมินขมวดคิ้ว
“ท่านลอร์ด ถอดๆ ไปเถอะ” กัปตันมาซูลกระซิบ
“ทำไมข้าต้องถอดหน้ากากตามความต้องการของเขาด้วย”
“หรือท่านจะเดินทางไกลกลับโฟรเซ็นทิเนลไปมือเปล่า เพียงเพราะไม่ยอมถอดหน้ากาก”
โซลิแทร์จึงยอมถอดหน้ากากกับหมวกฮู้ดออกอย่างเสียไม่ได้
“สีผมของท่านแตกต่างจากดาร์คเนสดีวิลทั่วไปนะ” ไรมินพิจารณา
“ผลข้าเคียงจากอำนาจพิเศษที่ข้าได้รับมา” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “แล้วข้าก็ไม่อยากคุยเรื่องนี้”
“เช่นนั้น ท่านอยากคุยเรื่องอะไร”
“นี่ของท่าน” โซลิแทร์ยื่นสร้อยโลหะสีน้ำตาลที่มีจี้รูปกำปั้นหนามให้ไรมิน “ธาร์ค บุฟโฮป บรรพบุรุษของท่านเคยถอดมันให้เบนิทัส โมเรย์ฮาน ผู้นำสูงสุดคนแรกของข้า เป็นสิ่งของที่แสดงความเป็นเพื่อนแท้ สร้อยเส้นนี้ควรตกทอดมาสู่ท่าน ในฐานะผู้สืบสายโลหิตของเขา”
ไรมินรับสร้อยไป แฮนดรัสคนอื่นๆ ยื่นหน้ามาดูอย่างสนใจ
“ขอบคุณ” ไรมิฟสวมสร้อยคล้องคอ “พวกท่านสวมโลหะทั้งตัว แล้วก็เป็นสีดำทั้งหมด ไม่รู้สึกร้อนบ้างหรือ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์แดนหนาวอย่างพวกท่าน”
“หินผิวมังกร” กัปตันมาซูลชี้ไปที่หินผิวมังกรสองลังบนรถม้าอากาศ
“พวกท่านคงพบเจอกับโพรฟแล้ว” ไรมินดูไม่พอใจ “เขาบอกตำแหน่งหมู่บ้านของพวกเราสินะ”
“ดูเหมือนว่าพวกท่านคงไม่ค่อยชอบต้อนรับคนต่างเผ่านัก” โซลิแทร์ว่า
“ดูสิว่าใครเป็นคนพูด” ไรมินสวนกลับ “ขอบคุณสำหรับสร้อย ท่านแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม แต่นี่คงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ท่านเดินทางไกลมาที่นี่”
“เราได้เบาะแสว่าโมเรย์ฮานซ่อนสิ่งของสำคัญไว้ภายในเกาะนี้” โซลิแทร์ตอบ “พวกท่านอยู่ในเกาะนี้มานาน พวกท่านพอจะพบเห็นสถานที่ที่ดูเหมือนถูกปกป้องด้วยมนต์ดำหรือ--”
“ฟังนะ ข้าเข้าใจว่าท่านมีธุระสำคัญ แต่โปรดทราบว่าข้าก็มีเช่นกัน” ไรมินแทรก “ข้าคงไม่มีเวลาช่วยพวกท่าน ข้ากับคนอื่นๆ ต้องไปประกอบเรือที่ชายฝั่ง เรากำลังจะไปตอนที่พวกท่านมาพอดี”
“พวกท่านประกอบเรือ จะเดินทางไปไหนหรือ” กัปตันมาซูลสงสัย
“ชายฝั่งกาโกคอล ไปติดต่อขอหรือแลกเปลี่ยนเมล็ดพืชหรือปัจจัยต่างๆ ในการเพาะปลูกจากพวกฟอเรสเทอร์ รวมทั้งน้ำจืดที่เรากำลังขาดแคลน คิดว่าพวกนั้นน่าทำการเจรจาด้วยมากกว่าเผ่าพันธุ์จากแดนหนาว” ไรมินแดกดัน
“พวกท่านเก็บตัวอยู่ในเกาะนี้มาได้ตั้งหลายสิบปี เหตุใดต้องลงทุนลงแรงต่อเรือข้ามทะเลไปสรรหาปัจจัย” กัปตันมาซูลมองไปรอบๆ “จริงอยู่ เกาะแห่งนี้อาจมีความแห้งแล้งกันดาร แต่พวกท่านก็อยู่ในเขตโอเอซิส มันอุดมสมบูรณ์กว่าทั้งเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดของเราเสียอีก”
“ไอ้สิ่งที่ท่านเรียกว่าความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้” ไรมินกวาดมือไปรอบๆ “มันกำลังมีปัญหา การที่ดาวดวงนี้เสียความสมดุล มันทำให้ความชุ่มชื้นเหือดหาย พืชบางชนิดที่คอยสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ดินเริ่มตาย ยิ่งดินของที่นี่เป็นดินทราย มันเก็บความชุ่มชื้นมากไม่ได้ แล้วเราก็กำลังจะขาดแคลนน้ำ เรามีน้ำไม่เพียงพอต่อการสร้างความชุ่มชื้นให้ดิน หรือสำหรับทำการเกษตร เกาะแห่งนี้มันไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่ แต่ถ้าไม่อยู่ที่นี่ เราก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ฉะนั้นพวกท่านคงพอเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าข้ามีปัญหามากมายที่ต้องจัดการ แล้วมันก็เป็นปัญหาที่รอช้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนของข้าได้อดตายกันหมด”
แล้วไรมินก็หันกลับไป หอบแผ่นไม้และเครื่องไม้เครื่องมือที่ตนทิ้งไว้ กัปตันวอร์ดิวกับแฮนดรัสอีกจำนวนหนึ่งก็แยกย้ายไปหอบสิ่งที่ตนทิ้งไว้เช่นกัน
“โปรดฟังข้าก่อน” โซลิแทร์เรียก “ข้าสามารถช่วยท่านได้”
“ให้ดาร์คเนสดีวิลช่วยเรื่องต่อเรืออย่างนั้นหรือ” ไรมินพ่นลมออกจากจมูก “ขอผ่านดีกว่า ข้าไม่อยากลงไปว่ายน้ำอยู่กลางทะเลพร้อมกับชิ้นส่วนเรือ”
“ข้าไม่มีความสามารถเรื่องเรือหรอก” โซลิแทร์พูด “แต่ข้าสามารถแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำและความชุ่มชื้นให้พวกท่านได้ อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง”
“พูดอย่างกับท่านจะทำให้ฝนตกลงมาได้” กัปตันวอร์ดิวพูดเยาะๆ “มันไม่ตกมาตั้งหลายปีแล้ว”
“ฝนคืออะไรหรือครับ” เด็กน้อยแฮนดรัสคนหนึ่งถามกัปตันวอร์ดิว
“น้ำเป็นล้านๆ หยดตกลงมาจากฟ้าน่ะ ครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้น คงก่อนที่เจ้าจะจำความได้”
โซลิแทร์หงายมือขึ้น ปล่อยกลุ่มไอใสออกมาจากใต้ถุงมือเหล็ก ล่องลอยขึ้นฟ้า แล้วค่อยๆ ก่อตัวเป็นเมฆสีเข้มขยายออกไปเรื่อยๆ แฮนดรัสทุกคนหยุดอยู่กับที่ พวกที่แบกข้าวของอยู่ต่างทิ้งข้าวของกันหมด ยืนจ้องท้องฟ้าตาค้าง มีเสียงฟ้าคำรามพร้อมกับแสงฟ้าแลบ แล้วสายฝนก็กระหน่ำเทลงมา
“นั่นฝนนี่”
“ตะบองเพชรพินาศ! มีฝนตกในหมู่บ้านเรา”
“ฝน ฝน ฝน”
“เร็วเข้าทุกคน อย่าอยู่เฉย” ไรมินพูดอย่างพออกพอใจ แม้จะเปียกทั้งตัว “รีบหาอะไรมารองน้ำฝนกันเร็ว นี่ข้าไม่ได้เห็นฝนตกมานานแค่ไหนแล้วหนอ”
มีเพียงพื้นที่เล็กๆ ของโซลิแทร์ กัปตันมาซูล พาหนะ และรถม้า ที่ไม่เปียกฝน เป็นครั้งแรกที่มีแต่คนยินดีกับน้ำฝนจากเมฆก้อนนี้ พวกเด็กๆ แฮนดรัสกระโดดโลดเต้นเล่นน้ำฝนกันอย่างมีความสุข ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็หาอะไรมารองน้ำกันใหญ่ บางคนก็ร้องเพลงเกี่ยวกับฝนอย่างยินดีปรีดา เปียกปอนกันถ้วนหน้าแต่ก็มีความสุข ความชุ่มชื้นกลับมาเยือนอีกครั้ง พืชทะเลทรายบางชนิดถึงกับเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดและออกดอกทันที มีดอกไม้ทะเลทรายสีสวยสดผุดขึ้นมาจากพื้นเต็มไปหมด
“ตอนที่ข้าโปรยฝนใส่พวกมนุษย์ ทำไมพวกนั้นไม่กระโดดโลดเต้นแบบนี้บ้าง” โซลิแทร์พูดขำๆ
กัปตันมาซูลหัวเราะชอบใจ กัปตันวอร์ดิวที่เปียกปอนเดินเข้ามา เขาโค้งคำนับให้ทั้งคู่
“ท่านคือผู้วิเศษโดยแท้ ท่านสามารถควบคุมเมฆก้อนนั้นได้ ควบคุมขอบเขตฝนได้” เขาชี้พื้นที่เล็กๆ ที่โซลิแทร์ยืนอยู่ มันเว้นช่องไม่มีฝนตกลงมา “โปรดอภัยต่อมารยาทอันไม่สู้ดีของข้าก่อนหน้านี้ด้วย”
“และโปรดอภัยต่อมารยาทที่แย่กว่าของเราเช่นกัน” โซลิแทร์โค้งศีรษะตอบ “ความสามารถทางการทูตของปีศาจเรามันต่ำนัก เราจะพยายามทำให้ดีกว่านี้”
ไรมินถอนดอกไม้ทะเลทรายสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาหนึ่งดอกนำมาขยี้ใส่กะลามะพร้าวผสมกับน้ำฝนแล้วนำมาแต้มที่หน้าผากของโซลิแทร์พร้อมกับก้มหัวคำนับ
“ข้าขอแต่งตั้ง นับจากวันนี้ ท่านคือผู้วิเศษประจำเผ่าของเราโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” เขาป่าวประกาศ “ท่านจะได้รับการต้อนรับอย่างดีทุกครั้งที่เดินทางมาที่นี่ จะได้รับความเคารพจากเราทุกคน ข้าจะสร้างบ้านพักชั่วคราวให้ท่าน ตราบใดที่มีท่านอยู่ พวกเราจะไม่ขาดแคลนน้ำฝน”
แฮนดรัสทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่พร้อมใจปรบมือให้โซลิแทร์ โซลิแทร์รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย เขาไม่เคยเป็นที่ชมชอบของคนต่างเผ่ามาก่อนเลย มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้รับ ส่วนใหญ่จะมีแต่กลัวและเกลียดเขา
“มันจะรักษาความสมบูรณ์ให้แก่พื้นที่ของเราได้ระยะหนึ่ง ก็อย่างที่เห็น เกาะนี้ดินมันไม่ค่อยดี” ไรมินกวาดมือไปรอบๆ “แต่ก็ถือว่าลดปัญหาเฉพาะหน้าไปได้มาก ขอบคุณจริงๆ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ข้าเข้าใจแล้วว่า การที่บรรพบุรุษของข้าเป็นเพื่อนรักกับดาร์คเนสดีวิลคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่มีเหตุผล บางทีปีศาจก็ไม่ได้ต่ำทรามและไม่น่าคบอย่างที่คนอื่นคิด บางทีคนทั้งดาวดวงนี้อาจดูพวกท่านผิดไปหมด”
“เราชินแล้วกับความรู้สึกที่ถูกมองเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย” โซลิแทร์ยิ้มให้ “แต่ครั้งนี้เราเกิดความรู้สึกที่เราไม่ชิน นั่นคือรับรู้ว่ามีคนนิยมชมชอบเรา และเราก็ชอบความรู้สึกนี้ทีเดียว”
“มีถ้ำประหลาดแห่งหนึ่ง บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตก ไม่ไกลจากร้านของโพรฟ” ไรมินนึกได้ “ข้างในถ้ำทั้งหนาวเย็นและเป็นน้ำแข็ง ไม่ใช่ถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแน่นอน บางที ผู้นำสูงสุดคนแรกของพวกท่านอาจเป็นคนสร้างมันขึ้นมา”
“ต้องเป็นเขาแน่” กัปตันมาซูลพูดอย่างกระตือรือร้น
“ข้าจะพาพวกท่านไปเอง” ไรมินอาสา
**************
ไรมินและกัปตันวอร์ดิวพาโซลิแทร์และกัปตันมาซูลมาถึงถ้ำลึกลับที่ว่านั่น ข้างในถ้ำดูท่าจะหนาวเย็นอย่างที่บอกจริงๆ ผนังถ้ำและหินงอกหินย้อยล้วนเป็นน้ำแข็ง แต่พวกเขาไม่รู้สึกอะไรด้วยฤทธิ์ของหินผิวมังกร ถ้ำมีร่องรอยเสียหายจากระเบิด ชิ้นส่วนเพดานถ้ำและผนังถ้ำเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้น กลิ่นดินปืนยังฉุนจมูก พื้นถ้ำบางแห่งมีรอยดำและมีเศษถังไม้เล็กๆ กระจายอยู่ทั่ว
“ดูนี่สิ” ไรมินส่องตะเกียงให้ดูผนังถ้ำด้านที่อยู่ตรงข้ามกับทางเข้า
มันเป็นผนังน้ำแข็งที่มีความเรียบมากแม้จะมีเหลี่ยมเล็กน้อย มีอักษรแปลกๆ สลักอยู่ ดูเป็นผนังส่วนเดียวที่ไม่ได้รับความเสียหายเหมือนผนังถ้ำส่วนอื่นๆ
“ข้าเคยพยายามระเบิดเปิดทางด้วยระเบิดแรงสูง” ไรมินชี้ไปตามเศษซากความเสียหายรอบถ้ำ “แต่มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แล้วก็น่าแปลกใจที่ถ้ำไม่ถล่มด้วย”
“มนต์ดำเป็นพลังงานที่มีอานุภาพสูงส่ง” โซลิแทร์ลูบถุงมือเหล็กไปบนผนังถ้ำส่วนนั้น ตอนนี้เขากลับมาสวมหน้ากากกับหมวกฮู้ดแล้ว
“อักษรที่สลักบนผนังถ้ำ ข้าอ่านมันไม่ออก ไม่รู้ด้วยว่าเป็นภาษาอะไร” ไรมินพูด
“ภาษาดาร์เคน” โซลิแทร์จ้องมองตัวอักษรใกล้ๆ “การใช้พลังงานมนต์ดำ จะต้องมีการจารึกตัวอักษร อาจมีตัวอักษรปรากฏให้เห็นหรือไม่ปรากฏก็ได้ แต่แน่นอน ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญภาษาดาร์เคน”
“มันคล้ายกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดเลยนะ” กัปตันมาซูลลูบมือบนผนังถ้ำ
“ใกล้เคียงที่เดียว แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่า ที่แน่ๆ มันมีแร่ซาทานิกคริสทอลเป็นส่วนประกอบสำคัญเหมือนกัน” โซลิแทร์ว่า “ชัดเจนแล้วว่าโมเรย์ฮานเป็นคนสร้างถ้ำนี้ขึ้นมา เพราะไพรม์ดีวอเชอร์ได้แรงบันดาลใจเรื่องการสร้างกำแพงน้ำแข็งจากโมเรย์ฮานนี่ล่ะ แล้วเราก็นำความคิดของเขามาสานต่อในช่วงปฏิวัติอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล หลังสิ้นสงครามกับพวกเฟลมฟอร์ส”
“ถ้ำนี้ดูแคบๆ ตันๆ และผนังถ้ำส่วนนี้ก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษ” กัปตันวอร์ดิวพูด “เราจึงเดาว่าอาจมีของบางอย่างซ่อนอยู่ด้านหลังผนังถ้ำส่วนนี้”
“ต้องเป็นแผ่นคำสาปที่ใช้ปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์แน่” กัปตันมาซูลพูดอย่างตื่นเต้น
“เป็นความจริงหรือนี่” ไรมินตื่นเต้นเหมือนกัน “กุญแจสู่ดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่ง ถูกซ่อนอยู่ที่นี่มาตลอด ถูกซ่อนมานานก่อนที่เราจะมาอยู่ที่นี่เป็นร้อยเป็นพันปี”
“แสดงว่าดาบที่ถูกปลดปล่อยตอนนี้ คือดาบไอซ์แอคเซอร์” กัปตันวอร์ดิวพูด
“ถ้ามีแผ่นคำสาปซ่อนอยู่หลังผนังถ้ำนี้จริง ท่านจะผ่านมันไปยังไง ท่านแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ไรมินถาม “มันเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิต”
“ข้าจะถอดรหัสมนต์ดำ” โซลิแทร์บอก “ด้วยการอ่านตัวอักษรเหล่านี้”
แล้วเขาก็อ่านอักษรเหล่านั้นด้วยเสียงที่เย็นเยียบชวนขนลุกเหมือนไม่ใช่เสียงของเขา มันอ่อนเบา ลากยาว บาดลึก และอยู่ในโทนเสียงระดับเดียวกันตลอด แม้ทุกคนจะกินหินผิวมังกรเข้าไปแล้ว ก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ เมื่ออ่านจบ ตัวอักษรก็เรืองแสงขึ้นมา พร้อมด้วยรูปสลักบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาใต้ตัวอักษร มันดูคล้ายรูปกรงเล็บปีศาจจับมือกับมือที่มีหนาม
“คืออะไรนี่” กัปตันมาซูลถามงงๆ
“ผนังถ้ำนี้ลงมนต์ดำไว้หลายระดับ ไมได้ใช้แค่ภาษาดาร์เคนถอดรหัส” โซลิแทร์พูดอย่างพิจารณา “จะต้องใช้บางสิ่งในการร่วมถอดรหัสด้วย”
“ใช้อะไรหรือ”
“ไม่ทราบ”
“แล้วไอ้รูปสลักที่ปรากฏขึ้นมานี่ล่ะ หมายถึงอะไร”
“ไม่ทราบเหมือนกัน”
“มือปีศาจจับกับมือหนาม” กัปตันมาซูลครุ่นคิด “มือหนามนี่หมายถึงอะไร”
“หรือหมายถึงมือของโฮเซ่” ไรมินจับจี้รูปกำปั้นหนามที่สร้อยคล้องคอ “เราเป็นภูตตะบองเพชร หนามน่าจะสื่อถึงเราได้”
“รูปสลักนี่เป็นมือปีศาจจับกับมือโฮเซ่” กัปตันวอร์ดิววิเคราะห์ “มันสื่อความถึงมิตรภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์ พอเดาออกไหมว่า สิ่งใดที่เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นมิตรภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์”
แล้วทุกคนก็หันไปมองสร้อยที่คล้องคอไรมิน
“ธาร์ค บุฟโฮปถอดสร้อยของตนให้เบนิทัส โมเรย์ฮาน เพื่อเป็นเครื่องหมายมิตรภาพระหว่างกัน” โซลิแทร์พูดช้าๆ “หรือว่าโมเรย์ฮานจะใช้สร้อยเส้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการถอดรหัสด้วย”
ไรมินถอดสร้อยออกมา ส่งให้โซลิแทร์
“ใช่แล้ว ฉลาดไม่เบา” โซลิแทร์คิดได้ “โมเรย์ฮานรู้ว่าพวกเฟลมฟอร์สจะไม่มีวันตีโจทย์นี้แตก เพราะพวกเฟลมฟอร์สไม่รู้จักมิตรภาพและความเป็นเพื่อน ขณะที่ลูกๆ หลานๆ ดาร์คเนสดีวิลหรือโฮเซ่จะคิดได้ เมื่อพวกเขารู้จักผูกมิตรต่อกัน”
แล้วเขาก็แนบสร้อยกับรูปสลัก ตัวอักษรเรืองแสงเป็นอันหายวับไปทันที โซลิแทร์รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่ผนังถ้ำส่วนนั้น แล้วมันก็ถล่มพังเป็นชิ้นๆ โมเรย์ฮานคงต้องการทิ้งท้ายให้ผู้ทอดรหัสได้เข้าใจ แม้แต่สิ่งที่แข็งแกร่งขนาดนี้ยังพังทลายด้วยสิ่งเล็กๆ อย่างมิตรภาพ
ด้านหลังผนังที่พังทลายลงนั้น มีแท่นหินวางแผ่นโลหะกลมสีดำแผ่นหนึ่ง มันคือแผ่นคำสาปจริงๆ ด้วย โซลิแทร์สังเกตมันได้แวบหนึ่ง ก่อนที่เพดานถ้ำจะเริ่มถล่มลงมา
“ถ้ำนี้ควรจะถล่มลงมาตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่ถล่มเพราะมีพลังงานมนต์ดำค้ำยัน แต่ตอนนี้มนต์ดำเสื่อมพลังแล้ว” โซลิแทร์หันไปบอกทุกคนเร็วๆ “เร็วเข้า ออกไปจากถ้ำกันให้หมด”
ทุกคนรีบเผ่นออกไปจากถ้ำ โซลิแทร์ขยับหลบแท่งน้ำแข็งที่ร่วงลงมา เอื้อมแขนยาวๆ ไปคว้าแผ่นคำสาป แล้วตีลังกาล้อเกวียนหลบชิ้นส่วนเพดานถ้ำที่หล่นโครมๆ ลงมาไม่หยุด เขาวิ่งไปที่ปากถ้ำ พุ่งตัวออกไปเป็นคนสุดท้าย ข้างในถ้ำยังคงถล่มโครมๆ รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่พื้นใต้ตัว ชิ้นส่วนถ้ำบางชิ้นก็กระเด็นออกมา ทำเอาเขาต้องยกแขนป้องกันศีรษะ จนกระทั่งถ้ำหยุดถล่ม ฝุ่นและเกล็ดน้ำแข็งฟุ้งกระจาย ปากทางเข้าพังย่อยยับจนไม่เหลือเค้าของถ้ำอีกต่อไป กัปตันวอร์ดิวพยุงโซลิแทร์ให้ลุกขึ้นยืน
“ควรค่าแก่เวลาที่มันจะถล่มเสียที” โซลิแทร์ปัดผงทรายและเศษน้ำแข็งออกจากผ้าคลุม “เป็นถ้ำที่อายุนับพันปีได้ ยังไม่รวมที่พวกท่านระเบิดมันอีก”
เขาดูรายละเอียดในแผ่นคำสาปคร่าวๆ ใช่แล้ว มันคือแผ่นคำสาปสำหรับปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ มีทั้งเงื่อนไขการปลดปล่อย ข้อความที่ใช้ปลดปล่อย แล้วก็พิกัดตำแหน่งสถานที่จองจำดาบ
“ได้แผ่นคำสาปมาแล้ว พวกท่านจะทำอะไรต่อไป” ไรมินถาม “จะไปปลดปล่อยดาบไหม”
“ไม่มีทาง” โซลิแทร์ตอบทันที “ทั้งเฮเวนล็อคและพ่อข้าก็เอาชีวิตไปทิ้งเพราะการปลดปล่อยดาบ แล้วต่อให้ได้ดาบมา ก็มีผลเสียมากกว่าผลดี ดาบไม่ได้ทำให้เก่งขึ้น ขณะที่คำสาปที่มากับดาบจะอยู่ติดตัวจนตาย แต่อย่างน้อย การที่แผ่นคำสาปอยู่ในมือของฝ่ายข้า ก็ยังดีกว่าตกอยู่ในมือของฝ่ายอื่น”
“เช่นนั้นก็ขอให้พวกท่านโชคดี” ไรมินโค้งศีรษะ “อดีตผู้นำสูงสุดของท่านค้นพบมัน พวกท่านก็ควรได้มันไป”
“แล้วท่านจะทำอะไรต่อ” กัปตันมาซูลถาม
“เราก็จะกลับไปต่อเรือ ต้องเดินทางไปหาปัจจัยที่กาโกคอลอยู่ดี” ไรมินสวมสร้อยที่โซลิแทร์คืนให้คล้องคอเหมือนเดิม “ความชุ่มชื้นจากน้ำฝนของพวกท่านมันจะอยู่แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เราต้องรีบไปหาพืชพรรณที่มีคุณสมบัติรักษาความชุ่มชื้นในดินมาปลูกให้เร็วที่สุด เพื่อชะลอไม่ให้ความอุดมสมบูรณ์ได้ถดถอยไปเร็วกว่านี้”
“เรื่องเพาะปลูก เราคงไม่มีความรู้จะแนะนำอะไรท่านได้” โซลิแทร์ยืนมือไปหาไรมิน “ต่อจากนี้เราจะต้องแยกกันไปคนละทาง พวกท่านดูแลคนของตน สู้กับความลำบากในเกาะนี้เงียบๆ ห่างไกลจากโลกภายนอก ส่วนพวกเราจะกลับไปสู่โลกภายนอก ทำสงครามต่อไป ขอให้ท่านโชคดี”
“เช่นกัน” ไรมินยื่นมือขนาดใหญ่ไปจับมือกับโซลิแทร์ พยายามไม่ให้ไปโดนส่วนคม มันบังมือโซลิแทร์มิดทีเดียว ที่พื้นดินใต้มือที่จับกันของพวกเขา มีชิ้นส่วนผนังถ้ำตกอยู่ ชิ้นส่วนที่มีรูปสลักเป็นกรงเล็บปีศาจจับมือกับมือหนาม
*************
โมราโซมอสเป็นอาณาจักรที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดหลังจากดวงดาวเสียความสมดุล เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่โชคดี พวกมนุษย์ได้รับอิทธิพลจากความหนาวเย็นและความแห้งแล้งน้อยกว่าอาณาจักรอื่นๆ อีกทั้งอาณาเขตอันกว้างใหญ่ ภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม และสภาพอากาศที่ดี ถือเป็นต้นทุนรับมือความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี พวกมนุษย์จึงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้นัก แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง อากาศที่หนาวเย็นขึ้นในบางพื้นที่ หิมะตกในพื้นที่ที่ไม่เคยตกมาก่อน พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของสัตว์ป่าบางชนิด พวกเขารู้ดีว่ามันเกิดจากดาวดวงนี้เสียความสมดุล แล้วก็มีหลายคนที่รู้ว่าดาวดวงนี้เสียความสมดุลก็เพราะดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่งถูกปลดปล่อย น่าสงสัยเป็นที่สุดว่าปลดปล่อยโดยใคร ใครที่กล้าเข้าใกล้ดาบต้องคำสาปที่ทุกคนพยายามหนีห่าง ใครที่มีความสามารถสูงถึงขั้นทำเช่นนั้นได้ แต่ไม่มีใครที่จะรู้สึกกังวลกลัดกลุ้มเท่าพระราชาอีกแล้ว พระองค์เป็นคนเดียวที่รู้ว่าอโลบัสเดินทางไปปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็ง ซึ่งก็มีโอกาสสูงว่าผู้ปลดปล่อยดาบจะเป็นอโลบัส จนป่านนี้แล้วทั้งอโลบัส กัปตันเท็มเปิล และกองกำลังที่ส่งไปไอซ์เมสนั้นยังไม่กลับมา จะส่งคนไปสืบหาก็ไม่ได้ เพราะต้องเก็บเป็นความลับ พระองค์จึงโมโหและหงุดหงิดมากเมื่อมีใครถามถึงอโลบัสและกัปตันเท็มเปิล พระองค์จะตะคอกคำตอบใส่หน้าว่าส่งไปทำภารกิจลับ แล้วถ้าเกิดยังมีคนกล้าถามต่อว่าภารกิจลับอะไร ก็จะถูกตะคอกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมว่า ภารกิจลับคือภารกิจที่ไม่ต้องบอกใคร มีความจำเป็นอะไรต้องบอก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็อยากทราบว่าการที่ดวงดาวเสียความสมดุลนั้น ส่งผลกระทบอะไรต่ออาณาจักรตนและอาณาจักรศัตรูบ้าง พระองค์จึงเรียกขุนนางหลายคนมาประชุมในท้องพระโรง ขุนนางบางคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ยังเสนอหน้าเข้ามาร่วมประชุมเพื่อเอาหน้า
“--ความหนาวเย็นและความแห้งแล้งอาจส่งผลในบางพื้นที่ แต่ก็ไม่เกิดปัญหาใดๆ พะยะค่ะ เนื่องจากระบบชลประทานของเราดีเยี่ยม” ขุนนางแก่ๆ คนหนึ่งรายงาน “ความแห้งแล้งจากความเย็นไม่สร้างความเสียหายมากเท่าความแห้งแล้งจากความร้อน อีกทั้งยังส่งผลดีสำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูหนาวบางชนิด บางพื้นที่ไม่เคยปลูกสตรอว์เบอร์รี่กับแอปเปิลได้มาก่อนก็สามารถปลูกได้ หม่อมฉันภูมิใจที่โมราโซมอสเป็นดินแดนที่ดีที่สุดพะยะค่ะ เหตุนี้มนุษย์เราถึงเจริญก้าวหน้าและขยายความยิ่งใหญ่ได้มากที่สุด”
“มันไม่ส่งผลเสียอะไรก็ดีแล้ว” พระราชาสบายใจขึ้น แน่ล่ะ พระองค์มีส่วนทำให้เกิดการเสียความสมดุลครั้งนี้ คงรู้สึกไม่ดีนักหากมันส่งผลกระทบแย่ๆ “แล้วอาณาจักรของพวกศัตรูล่ะ”
“อาณาจักรแบร์ร็อคก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักพะยะค่ะ” แม็ค แรคแทนทินทูล “อาณาจักรของพวกนั้นเป็นพื้นที่กึ่งทะเลทรายที่มีอากาศร้อน พืชพรรณและสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรก็อดทนต่อความร้อนและความแห้งแล้ง ส่วนอากาศที่เย็นลงก็ไม่ได้ลดความร้อนของอาณาจักรนั้นลงเท่าไรนัก”
“อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลได้รับผลกระทบมากกว่าเราและแบร์ร็อค แต่ก็คาดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับพวกดาร์คเนสดีวิลนัก พวกนั้นคุ้นเคยกับความหนาวเย็น แม้อุณหภูมิจะต่ำลงอีกก็ไม่น่าจะสร้างความลำบากนัก ขณะที่พืชพรรณและสิ่งมีชีวิตก็มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับที่แบร์ร็อค หม่อมฉันคิดว่าการที่ดาวดวงนี้สุญเสียความสมดุลก็ไม่ได้ทำให้พวกดาร์คเนสดีวิลลำบากอะไรนักพะยะค่ะ” แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงรายงาน “แต่ฝ่ายที่ลำบากจะเป็นเรา หากต้องการจะยกทัพไปที่นั่น เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดทวีความหนาวเย็นขึ้นมาก ไม่เหมาะแก่การเข้าไปใกล้”
“แน่ล่ะ ยกทัพไปตอนนี้ แบล็กไรดิงฮู้ดได้โปรยฝนใส่เราแข็งตายกันหมดแน่” พระราชาเห็นด้วย “ถึงอย่างไรตอนนี้เราก็ยังไม่มีปัญญายกทัพไปไหนอยู่ดี เราเสียหายจากการทำศึกมาหลายครั้ง สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ใช้กำลังพลที่เหลือในการปกป้องอาณาจักร ขณะที่กำลังฟื้นฟูตัวเอง”
“ทูลฝ่าบาท” แร็กซ์ริงออกความเห็น “สำหรับอาณาจักรที่ได้รับอิทธิพลจากดวงดาวสูญเสียความสมดุลมากที่สุด คืออาณาจักรไอซ์เมส ที่นั่นหนาวเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
“แล้วมันสำคัญยังไง” พระราชาไม่อยากจะใส่ใจ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเอลิลจะเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วพะยะค่ะ พวกนั้นคงจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมายในระยะเวลาอันสั้น” แร็กซ์ริงชี้แจง “เท่าที่เรารู้คือเอลิลไม่ได้เป็นมิตรกับเรา แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นศัตรูหรือเปล่า ถ้าหากเป็น การที่พวกนั้นเพิ่มจำนวนได้มากย่อมไม่เป็นผลดีต่อเรา”
“ถึงอย่างไรพวกนั้นก็คงไม่คิดจะกำจัดเราง่ายๆ เพราะต้องใช้เราเป็นตัวกั้นระหว่างแบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนล ถ้าพวกเอลิลจะกำจัด ก็คงกำจัดพวกดาร์คเนสดีวิลกับพวกโฮเซ่ก่อนเรา ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี มีคนช่วยกำจัดศัตรูให้เรา” พระราชาพูด “บางที หากในอนาคตเราเข้มแข็งพอ เราก็สามารถฉวยโอกาสยกทัพไปกำจัดพวกเอลิล หลังจากที่พวกเอลิลกำจัดศัตรูให้เราหมดแล้ว กลายเป็นว่าเราคือผู้พิชิตคนสุดท้าย”
“ทรงพระปรีชายิ่งนักพะยะค่ะ” เอ็ดด์ เฟรเทลได้ทีประจบใหญ่
“กระนั้น หม่อมฉันคิดว่าเราก็ควรระมัดระวังตัวไว้บ้างพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงพูด “ตอนนี้หลายเมืองสำคัญของเรากำลังอ่อนแอ ซาโมโรว์ก็กำลังเสียหาย โอมิลรอนก็ขาดแคลนกำลังพล”
“เรื่องนี้ข้าคิดไว้แล้ว” พระราชาพูด “ข้าได้มอบหมายให้แม็คหลานชายของข้าส่งกำลังไปเสริมที่โอมิลรอน คาดว่าจะไปถึงที่นั่นในอีกไม่กี่วัน”
“หลานส่งกองกำลังฮาล์ฟเรดไปส่วนหนึ่งพะยะค่ะ ท่านเจ้าเมืองแร็กซ์ริงคงจะพอใจที่ได้ร่วมงานกับลูกชาย” แรคแทนทินทำหน้าทำตาเยาะเย้ย “เขาจะได้เลิกเหน็บแนมหลานเรื่องที่ปฏิบัติต่อบุตรชายของเขาอย่างไม่ยุติธรรม ทั้งที่หม่อมฉันยึดถือความยุติธรรมยิ่งนัก”
พูดมาได้ไม่อายปาก หน้าด้านหน้าทนสมเป็นนักการเมืองโดยแท้ รู้กันอยู่ว่าแรคแทนทินส่งพวกฮาล์ฟเรดไปที่โอมิลรอน ก็เพื่อจะได้ไม่ต้องส่งมนุษย์แท้ๆ ในสังกัดของตนไป ในช่วงเวลาที่กองทัพขาดแคลนเช่นนี้ เขาย่อมต้องการเก็บรักษากองทัพของตนไว้ แต่แร็กซ์ริงก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงในเรื่องนี้ อย่างน้อย ให้แอนโทดัสบุตรชายของตนกับพวกพ้องฮาล์ฟเรดส่วนหนึ่งออกมาอยู่นอกการบัญชาของแรคแทนทินได้สักระยะหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว
“เอาล่ะ รวมๆ แล้วสถานการณ์ของเราดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา” พระราชากล่าว “สองศัตรูของเรากำลังวุ่นวายกับพวกเอลิล เราปลอดภัยจากพวกมันอีกยาว อาจทำให้เรามีเวลาฟื้นฟูตนเองจนกลับมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงอำนาจที่สุดอีกครั้ง แล้วจะได้ทำอะไรง่ายขึ้น”
“ทูลฝ่าบาท” อาร์รอส ไอวิวรี่เอ่ยขึ้น เหมือนเช่นทุกครั้งที่ทุกคนแทบจะไม่สังเกตว่าเขาอยู่ในท้องพระโรงด้วย เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสงครามและการเมืองกับบรรดาขุนนางจอมละโมบและพระราชาอยู่แล้ว หากไม่มีอะไรสำคัญหรืออะไรที่เกี่ยวกับหน้าที่เขา เขาก็จะยืนเงียบ แต่ครั้งนี้จำต้องเอ่ย “แม้ว่าเรื่องจากภายนอกอาณาจักรจะไม่มีปัญหานัก แต่เรื่องภายในอาณาจักรก็ยังมีปัญหา ประชาชนของเราโอดครวญเรื่องภาษีที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ลัทธิศาสนาเสื่อมถอยถึงขั้นวิกฤต ประชาชนจำนวนมากมายยังไม่พอใจกับการสลายการชุมนุมครั้งนั้น เพราะมีทั้งคนเจ็บคนตายคนเสียหายมากมาย อีกทั้งยังกังวลต่อภัยคุกคามนอกอาณาจักรที่อาจขยายมาถึงอาณาจักรนี้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ว่าประชาชนกลุ่มไหน ตอนนี้ก็เริ่มเสื่อมศรัทธาและเสียความเชื่อมั่นต่อบรรดาผู้ปกครองและผู้บริหารบ้านเมืองกันหมด”
“ข้ามอบหมายหน้าที่ให้เจ้าดูแลความสงบภายในอาณาจักรของเรา เจ้าปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” พระราชาตะคอกใส่อาร์รอส
“หม่อมฉันทำตามที่พระองค์สั่งทุกประการ และพยายามใช้ปัจจัยสนับสนุนอันมีจำกัดที่พระองค์มอบให้เท่าที่หม่อมฉันจะทำได้ และนี่ก็คือผลของมัน” อาร์รอสสวนกลับ “หม่อมฉันเองก็เคยกราบทูลไปแล้ว เรื่องที่พระองค์ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม มันจะนำไปสู่ความเกลียดชังของประชาชนต่อผู้ปกครอง โดยเฉพาะเมื่อพระองค์สลายทุกกลุ่ม ทุกกลุ่มก็ย่อมหันมาเสื่อมศรัทธาพระองค์กันหมด ยิ่งพระองค์ไปขึ้นภาษีในช่วงเวลาที่ลำบากยากแค้น ยิ่งเพิ่มจำนวนประชาชนที่ไม่พอใจมากขึ้นอีก มีหลายพื้นที่ที่ประชาชนเริ่มกระด้างกระเดื่องต่อผู้ปกครอง พวกเขาต้องการสิ่งที่มันยุติธรรมมากกว่านี้”
“ยุติธรรมบ้าบออะไร เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาสงครามนะ แล้วอาณาจักรเราก็ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันจะต้องมีระเบียบเรียบร้อย” พระราชาตะโกนลั่น “การทำสงครามมันมีค่าใช้จ่ายสูง ข้าต้องเก็บภาษีเพื่อให้มันเพียงพอ พวกดาร์คเนสดีวิลกับพวกโฮเซ่บุกโจมตีสองเมืองสำคัญของเรา ขณะที่ประชาชนหลายกลุ่มกลับมารวมตัวชุมนุมกันกดดันข้า ข้าก็ต้องสลายกลุ่มพวกมันไป เศรษฐกิจตกต่ำมันเป็นธรรมดาของช่วงเวลาสงคราม พวกมันคิดว่าจะกินดีอยู่ดีตอนที่พวกดาร์คเนสดีวิลปิดล้อมเมืองหรือตอนที่พวกโฮเซ่ยกพลขึ้นบกหรือไง”
“ขณะที่ประชาชนกำลังยากจนและอดอยาก บรรดาขุนนางของพวกเขา โดยเฉพาะกษัตริย์ของพวกเขา ก็ยังคงอยู่ดีกินดีและร่ำรวยไม่ต่างจากเดิม” อาร์รอสว่า “พวกเขาเริ่มเหลืออดกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม เริ่มมีอคติกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
“พวกมันมีสิทธิ์อะไรมาคิดเช่นนี้” พระราชาหน้าแดง
“พวกเขาก็แค่แสดงความไม่พอใจ ที่บรรดาคนผู้ซึ่งปกครองพวกเขา กินเงินภาษีกินเสบียงของพวกเขา ใช้แรงงานพวกเขา ให้พวกเขาแสดงความเคารพทุกครั้งที่เดินผ่านนั้น” อาร์รอสพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว “แทบไม่ได้ตอบแทนอะไรพวกเขาเลย นอกจากสร้างความลำบากเพิ่มให้มากขึ้น”
เจ้าเมืองหลายคนทำสีหน้าไม่สู้ดี บางคนโกรธ คำพูดเหล่านี้มันกระทบกระเทือนจิตใจพวกเขา ส่วนพระราชานั้นไม่ต้องพูดถึง แทบจะควันออกหูด้วยความโกรธ
“สามหาว” พระองค์คำรามลั่น “กล้าดียังไงมาพูดจาอย่างนี้”
“หม่อมฉันจะพูดจายังไง ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงได้ว่า ตอนนี้ประชาชนกำลังเสียความเชื่อมั่นในบรรดาผู้ปกครองกันเกือบทั้งอาณาจักร” อาร์รอสพูดเรียบๆ “หลังจากไม่มีบรรณาการจากพวกดาร์คเนสดีวิล ไม่มีใครเป็นแรงงานรองมือรองเท้า ไม่มีใครเป็นโล่กำบังสงครามให้ ซ้ำร้ายโล่ที่ว่านั่นยังเปลี่ยนเป็นดาบหันกลับมา ประชาชนมนุษย์ก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มเผชิญกับลำบาก หวาดระแวงภัยจากภายนอกมากขึ้น ลูกหลานของพวกเขาถูกเกณฑ์ไปรบแล้วก็ตายกันอย่างเปล่าประโยชน์ ขณะที่เหล่าขุนนางของพวกเขายังมีชีวิตอย่างสุขสำราญ แทบไม่เคยโผล่หน้าไปมองชีวิตอันยากแค้นของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ และข้าก็เชื่อว่า มีประชาชนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จำหน้ากษัตริย์ของพวกเขาได้”
“ข้าเป็นกษัตริย์ ข้าอยู่สูงที่สุดในมวลมนุษย์ มันเรื่องอะไรที่ข้าจะต้องเอาหน้าไปให้พวกนั้นเห็น” พระราชาตวาด
“ผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอลดำรงชีวิตอยู่ในหมู่ประชาชนของเธออย่างเท่าเทียม ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลยืนอยู่แถวหน้าสุดในศึกทุกครั้ง แม้แต่ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ระบอบที่ใกล้เคียงกับเรา เขาก็ยังร่วมต่อสู้ในสนามรบกับทหารของเขาด้วย” อาร์รอสพูด “ขณะที่พลเรือนและกองทัพของเรา เริ่มจะสงสัยว่าผู้นำของตน ยังมีตัวตนอยู่หรือเปล่า”
“สามหาว” พระราชาลุกยืนจากบัลลังก์ ชี้หน้าอาร์รอส “วันนี้ข้าไม่ต้องการจะฟังอะไรจากเจ้าอีกแล้ว กลับไปที่เมืองของเจ้า แล้วไม่ต้องมาอีกจนกว่าข้าจะเรียกประชุม”
อาร์รอสโค้งศีรษะ แล้วเดินออกนอกท้องพระโรงไป แรคแทนทินกับเฟรเทลยิ้มเยาะ
“พวกไอวิวรี่ ต้องทำสิ่งขัดตาต้องพูดจาขัดหูข้าตลอด” พระราชาค่อยๆ นั่งลงบนบัลลังก์ หอบหายใจด้วยความโกรธ “ดูสิ แอนโทนิดัส หลานของข้ามันเอาข้าไปเปรียบกับเจ้าชั้นต่ำสามคนนั้น เขายังเห็นข้าเป็นพระราชาอยู่อีกไหม”
“โปรดอย่าถือโทษอาร์รอสเลยนะพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงช่วยแก้ตัว “อย่างน้อยเขาก็พูดถูกเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร” พระราชาขึ้นเสียงทันที
“เรื่องที่พระองค์ห่างหายจากการพบปะประชาชนและเหล่าทหารมานานพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงพูดอย่างระมัดระวัง “มันคงจะสร้างขวัญ กำลังใจ และความมั่นใจไม่น้อย หากพระองค์ได้แสดงตัวให้พวกเขาเห็นบ้าง”
“นั่นสินะ” พระองค์ครุ่นคิด “หลายคนเข้าใจว่า ที่ข้าแทบไม่โผล่หน้าไปให้ประชาชนเห็น ก็เพราะข้าแก่ชราจนออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ข้าจะได้แสดงให้ทุกคนเห็นเสียที ว่าข้ายังแข็งแรง และมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานแสนนาน”
“ถูกแล้วพะยะค่ะ”
“เป็นความคิดที่ดี” พระราชากล่าว “ข้าจะลองวางแผนเรื่องนี้ดู”
เกาะแฮนดรัส
ในฐานทัพเดธแอเรียมีหลุมลึกขนาดมหึมาซึ่งกินพื้นที่ไปมากมาย มองไกลๆ จะเห็นว่ามันมีรูปทรงเป็นกรวยกว้างๆ คล้ายอัฒจันทร์กีฬา เป็นหลุมที่พวกเอลิลเคยขุดแร่ขึ้นมาใช้ ด้านข้างหลุมมีโพรงเหมืองเต็มไปหมด แต่ตอนนี้แร่ในเหมืองทั้งหมดถูกขุดมาใช้จนหมดแล้ว มันจึงกลายเป็นหลุมเหมืองว่างๆ ที่ถูกทิ้งไว้เฉยๆ มีหอคอยสูงอยู่ที่กึ่งกลางหลุม เป็นหอคอยที่สร้างจากก้อนน้ำแข็งสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่ๆ มาวางซ้อนกัน ความสูงบนยอดพอๆ กับปากหลุม มีสะพานแขวนสำหรับให้ข้ามไปบนหอคอยได้ กัปตันโพรเฟดกำลังเดินข้ามสะพานไป ผู้ที่ยืนรอเขาอยู่บนหอคอยน้ำแข็งคือเดลิลวาส เซ็ทซาร์ดผู้เป็นผู้บัญชาการรักษาการณ์เอลิล
“รายงานตัว ท่านผู้บัญชาการรักษาการณ์” กัปตันโพรเฟดเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น ยืนตรง เกราะกระทบกันเสียงดัง
“การสร้างกองทัพของเราเป็นอย่างไรบ้าง” เดลิลวาสถาม ไม่หันมามอง ดูจะสาละวนกับแท่นสี่เหลี่ยมบนหอคอย
“ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สภาพอากาศที่เย็นขึ้นช่วยผลักดันอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องกระบวนการสร้างหรือการกำเนิดวัตถุดิบ” กัปตันโพรเฟดชี้ไปรอบๆ หลุมที่มีโพรงเหมืองเก่าๆ เต็มไปหมด “แร่ไอซ์โกสท์ที่เราใช้สร้างประชากรเอลิลนั้นกำเนิดขึ้นมากและรวดเร็วในอุณหภูมิหนาวเย็น เราเคยขุดได้จากหลุมเหมืองแห่งนี้มากมายมหาศาล และคงจะขุดได้จากที่อื่นอีกมากมาย อีกทั้งคุณภาพของแร่และความเย็นยังช่วยลดระยะเวลาที่ส่วนผสมวัตถุดิบจะแปรสภาพเป็นประชากรเอลิล เราไม่เคยผลิตประชากรได้เร็วเท่านี้มาก่อน”
“ข้าบอกท่านแล้วใช่ไหม อันไดอิ้ง” เดลิลวาสพูด “อุณหภูมิของไอซ์เมสจะเย็นลง แล้วท่านจะผลิตประชากรเอลิลได้มากมายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ชดเชยกับที่เสียไปอย่างเทียบกันไม่ติดทีเดียว”
“ท่านผู้บัญชาการมีแผนการที่ยอดเยี่ยม ข้าขอยกย่อง” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะอย่างมีมารยาท
“ถูกชมว่าฉลาด จากเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด นับเป็นเกียรติยิ่งนัก” เดลิลวาสหันมาโค้งศีรษะ
“อย่างไรก็ตาม” กัปตันโพรเฟดเสริม “ข้ายังสงสัยว่ากองทัพเอลิลที่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่ จะถูกใช้ประโยชน์นอกเหนือจากเจตนารมณ์ของเอลิลหรืออีกเปล่า”
“สิ่งที่ควรจะเป็นเจตนารมณ์เอลิลตอนนี้ คือทำตามที่เราตกลงกันไว้” เดลิลวาสหันกลับไปจัดการกับแท่นสี่เหลี่ยมอีกครั้ง “อย่าลืมว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย พวกท่านไม่ยอมรับข้อตกลงของเราแน่”
“นั่นคือเหตุผลที่ข้าและเอลิลคนอื่นๆ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งท่าน” กัปตันโพรเฟดพูดอย่างไร้ความรู้สึก “แม้จะมีเอลิลจำนวนมากมายสังเวยชีวิตไปกับมันก็ตาม แล้วก็จะมีอีกในอนาคตอันใกล้”
“ทำสงครามก็ต้องมีคนตาย” เดลิลวาสพูดเรื่อยๆ
“มันเป็นสงครามที่เราเอลิลไม่ต้องการจะก่อ” กัปตันโพรเฟดพูด “เราไม่ได้มีเป้าหมายจะประกาศสงครามกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่ได้มีเป้าหมายจะกวาดล้างพวกเขา เราสนใจแค่เรื่องการกลับมาดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดและมั่นคง”
“นั่นคือสิ่งที่พวกท่านคิดในตอนนี้” เดลิลวาสหันมามองอีกฝ่าย “แต่ในอนาคต มั่นใจหรือว่าจะไม่ทำสงครามกับพวกนั้น มั่นใจหรือว่าจะไม่ต้องการกวาดล้างพวกนั้น เหมือนที่เราเฟลมฟอร์สต้องการ”
กัปตันโพรเฟดเงียบ
“คงไม่ลืมใช่ไหมว่า เดิมทีดินแดนทั้งหมดที่ทุกอาณาจักรตั้งอยู่ ล้วนเป็นของเอลิลมาก่อน และทุกดินแดนล้วนปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งตามที่เอลิลต้องการ” เดลิลวาสกล่าว “จนกระทั่งพวกไซคัสลดพื้นที่ของพวกท่านให้มาเหลือแค่ไอซ์เมส และสร้างเผ่าพันธุ์พวกนั้นขึ้นมาล้อมรอบไว้ ถือว่าพวกท่านเสียดินแดนไปไม่รู้กี่เท่า”
“ไม่มีเอลิลคนไหนที่จะลืมเรื่องนั้น” กัปตันโพรเฟดพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ทั้งสี่นั้นไม่เหมือนกับธรรมชาติของพวกท่าน พวกนั้นมีธรรมชาติเหมือนพวกไซคัส ท่านเชื่อหรือว่าเผ่าพันธุ์ที่มีธรรมชาติการดำรงชีพต่างกัน จะอยู่ร่วมกันในดาวแคบๆ ดวงนี้ได้” เดลิลวาสพูดต่อ “สักวัน เมื่อแต่ละฝ่ายเจริญขึ้น มีจำนวนมากขึ้น อาศัยปัจจัยและทรัพยากรมากขึ้น ขยายความกว้างของวงจรชีวิตมากขึ้น แต่ละวงจะต้องขยายวงมาชนกัน แล้วก็ต้องมีสักวงที่ถูกตัดวงจรหายไป เอลิลจะยอมเป็นฝ่ายหายไปอย่างนั้นหรือ” เขาหันมาถาม “หากพวกท่านไม่เป็นผู้กำจัด สักวันพวกท่านจะถูกกำจัดเสียเอง นั่นคือเหตุผลที่เฟลมฟอร์สพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์อื่นๆ ในตอนที่เรายังสามารถเป็นผู้กำจัดได้ แต่เดิมนั้น ก่อนที่พวกผู้สร้างจะมาเดินทางมาเยือนดาวดวงนี้และสร้างเผ่าพันธุ์ของท่านกับพวกไซคัสขึ้น ทั้งดาวดวงนี้เคยเป็นที่อาศัยของเหล่ามังกร แต่ดูสิว่าตอนนี้ มังกรอย่างเราเหลืออะไรบ้าง”
กัปตันโพรเฟดยังคงนิ่งเงียบ
“ข้ากล้าพูดด้วยความเชื่อมั่นทั้งหมดที่มี” เดลิลวาสมั่นใจ “แม้วันนี้เอลิลไม่ต้องการกำจัดเผ่าพันธุ์ทั้งสี่ แต่ในวันข้างหน้า เอลิลจะต้องการแน่”
“แม้นั่นจะเป็นความจริง แต่ข้าก็คิดว่าประกาศสงครามตอนนี้มันยังเร็วเกินไป” กัปตันโพรเฟดว่า
“จะช้าจะเร็วมันก็ต้องเกิด ถ้ามันจะเกิด ก็ควรให้มันเกิดในเวลาที่เหมาะสม” เดลิลวาสพูด “ซึ่งก็คือเวลานี้ เวลาที่ศัตรูทั้งหมดกำลังบอบช้ำจากการต่อสู้กันเอง”
“และเป็นเวลาที่เอลิลเพิ่งจะก่อร่างสร้างตัว และยังไม่มีความพร้อมเต็มที่” กัปตันโพรเฟดต่อประโยค
“แต่ก็ความพร้อมมากพอที่จะพิชิตศัตรูทั้งหมดลงได้” เดลิลวาสต่อประโยคเพิ่ม
“ซึ่งหลังจากพิชิตได้ก็คงเสียหายหนัก” กัปตันโพรเฟดต่อประโยคเพิ่มอีก “หากมีศัตรูใหม่ของเอลิลเกิดขึ้นอีกสักฝ่าย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อศัตรูที่ว่านั่นอย่างยิ่งยวด เป็นกลยุทธ์อันแยบยล ใช้เอลิลเป็นดาบกำจัดศัตรูทั้งหมดของตนจนดาบทื่อ ขณะเดียวกันก็สร้างดาบคมกริบของตนขึ้นมา และคงใช้มันกำจัดเอลิลเข้าสักวัน”
“นั่น เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง” เดลิลวาสตัดบท “แต่ในปัจจุบันนี้ มั่นใจว่าเอลิลจะต้องทำสิ่งที่ควรทำ นั่นคือปฏิบัติตามข้อตกลงของเรา ข้าบัญชาการกองทัพ เอลิลในกองทัพปฏิบัติตาม”
“นั่นคือสิ่งที่เอลิลจำเป็นต้องทำ” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะอย่างไร้ความรู้สึก “และจะทำ”
“ดี และนี่คือปฏิบัติการอีกขั้นของเรา” เดลิลวาสกวาดมือ มีเปลวไฟปรากฏขึ้นมาเป็นรูปแผนที่อาณาจักรโมราโซมอส “แม้ว่าพวกมนุษย์กับเราจะยังไม่ประกาศสงครามกัน แต่พวกนั้นก็รู้ว่าเราไม่เป็นมิตรด้วยแน่ หากพวกนั้นเกิดยกพลมาก่อความวุ่นวายขณะที่เรากำลังกำจัดศัตรูอีกสามเผ่าพันธุ์ มันจะเป็นปัญหา ฉะนั้น เราต้องสร้างความเสียหายให้กับพวกมนุษย์ ให้พวกมันไม่กล้าส่งกองทัพไปไหนนอกจากอยู่ป้องกันพื้นที่ของตน”
“เป็นความคิดที่รอบคอบ พวกมนุษย์ชอบฉวยโอกาสในขณะที่ฝ่ายอื่นๆ รบรากันอยู่ อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับพวกดาร์คเนสดีวิล” กัปตันโพรเฟดพยักหน้า “หากแต่การบุกโจมตีพวกมนุษย์ จะไม่ทำให้พวกนั้นไปร่วมมือกับศัตรูอื่นๆ เพื่อต่อต้านเราหรือ”
“ไม่มีใครอยากร่วมมือกับมนุษย์ หลักจากที่พวกมันหักหลังพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างหน้าด้านๆ และทำสงครามทางน้ำกับพวกโฮเซ่ พวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลเกลียดพวกมนุษย์ยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ส่วนพวกฟอเรสเทอร์ก็อยู่คนละซีกแผนที่กับพวกมนุษย์ ศัตรูทั้งหมดของเราถูกแบ่งแยกโดยสมบูรณ์” เดลิลวาสพูด “อย่างที่เราเฟลมฟอร์สพูดเสมอ การมีศัตรูหลายฝ่ายไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ตราบที่พวกมันทั้งหมดยังไม่ได้มารวมกัน”
“แล้วท่านจะโจมตีพวกมนุษย์ที่เมืองไหน” กัปตันโพรเฟดถาม
“โอมิลรอน” เดลิลวาสชี้ในแผนที่ “ความเสียหายครั้งล่าสุดที่เมืองนี้ได้รับจากพวกดาร์คเนสดีวิล ทำให้เมืองอ่อนแอลง เหมาะที่จะซ้ำแผลเก่า เมื่อทั้งสองเมืองสำคัญอย่างซาโมโรว์กับโอมิลรอนเสียหาย พวกมนุษย์ก็จะไม่กล้าส่งกองกำลังไปไหน”
“มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัว ภายนอกดูมีอำนาจเข้มแข็ง แต่ภายในมีแต่ความบาดหมางและการช่วงชิงผลประโยชน์” กัปตันโพรเฟดกล่าว “ศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ คือพวกดาร์คเนสดีวิล”
“ไม่แข็งแกร่งเกินความสามารถของเราแน่นอน” เดลิลวาสสะบัดมือ แผนที่เปลวไฟหายวับไป
“แต่ก็แข็งแกร่งถึงขั้นต้องลงทุนลงแรงอย่างมหาศาลจึงจะพิชิตได้” กัปตันโพรเฟดพูด “พวกปีศาจมีแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งทัพบก ทัพม้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัพอากาศ พวกนั้นมีสุดยอดทัพอากาศ แม้แต่ทัพอากาศของเราก็ยังต่อกรด้วยไม่ไหว และข้าเชื่อว่าตอนนี้ พวกนั้นก็คงมุ่งพัฒนาเสริมแสนยานุภาพให้ทัพอากาศมากขึ้น อย่างน้อยก่อนที่เรากับพวกนั้นจะรบกันอีกครั้ง พวกเอเลนเซฟเวอรี่ก็คงมีเกราะสวมกันครบทุกตัว แล้วพวกมันก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ”
“ถูกแล้ว พวกดาร์คเนสดีวิลรู้ว่าทัพอากาศคือจุดแข็งที่สุดของตน จึงทุ่มเทพัฒนาให้มากขึ้น” เดลิลวาสดูไม่กังวล “แต่ถ้าไม่มีทัพอากาศ พวกดาร์คเนสดีวิลก็เป็นเพียงปีศาจปีกหัก ไม่ยากหากเราจะพิชิต”
“ท่านพูดเหมือนกับมีวิธีจัดการกับพวกเอเลนเซฟเวอรี่” กัปตันโพรเฟดเอียงคอ
“จำที่ข้าเคยบอกท่านได้ไหม นอกจากรูปปั้นถอนต้นไม้ที่ข้าให้ท่านดูเมื่อครั้งที่แล้ว พี่น้องที่เหลืออีกเจ็ดคนของข้าก็ยังค้นหาวัตถุอีกชิ้น ซึ่งมีพลังมากกว่า มากจนสามารถทำให้เราชนะสงครามไปได้เกือบครึ่งหนึ่งทีเดียว และตอนนี้ พวกเขาก็พบมันแล้ว” เดลิลวาสวางวัตถุสีขาวลงบนแท่นสี่เหลี่ยมข้างหน้า มันเป็นอัญมณีสีขาวหยาบๆ ที่ยังไม่ได้เจียรนัย มีอักษรภาษาดาร์เคนสองสามตัวสลักอยู่
“สิ่งนี้คือ--”
“ถูกแล้ว” เดลิลวาสพยักหน้า มีอัญมณีแบบนี้อีกชิ้นอยู่ในมืออีกข้าง เขาเก็บมันใส่ถุงเหล็กและคล้องไว้ที่เข็มขัด “เซ็ทซาร์ดเราจะทำอะไร เรามีแผนเสมอ พวกเอลิลอย่างท่านอาจมีสติปัญญาล้ำเลิศกว่าเรา แต่ความคิดที่เกี่ยวข้องกับสงคราม เราเฟลมฟอร์สไม่เป็นสองรองใครแน่”
“พวกท่านมีความเป็นเอลิลอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะ “แต่แน่นอน ความคิดที่เกี่ยวข้องกับสงคราม เฟลมฟอร์สอย่างพวกท่านไม่เป็นสองรองใคร”
“ฉะนั้นเราจะพิสูจน์ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ” เดลิลวาสผงกศีรษะ “ท่านจงเริ่มจัดเตรียมทัพและอุปกรณ์สงครามสำหรับยกไปโอมิลรอน ไม่ต้องยกไปมากเพราะเราไม่ได้หวังพิชิตเมือง จุดประสงค์ของเราแค่สร้างความเสียหายให้แก่พวกมนุษย์เท่านั้น แต่เมืองนั้นกำลังอ่อนแอ ท่านอาจถึงขั้นพิชิตได้ทีเดียว”
“รับทราบ” กัปตันโพรเฟดรับคำสั่ง
“ระหว่างที่กำลังเตรียมทัพ ให้ปรับแต่งเรือรบทั้งห้าลำที่ยึดมาได้จากพวกมนุษย์ พร้อมทั้งจัดเตรียมกองกำลังอีกส่วนหนึ่งสำหรับลงเรือ” เดลิลวาสสั่งการต่อ
“รับทราบ” กัปตันโพรเฟดรับคำสั่ง
“มีเพียงเท่านี้ กัปตันโพรเฟด” เดลิลวาสพยักหน้า
“ท่านผู้บัญชาการ” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะทำความเคารพ แล้วเดินออกไปปฏิบัติหน้าที่
**********************
มีแสงจางๆ อยู่บนท้องฟ้ายามใกล้รุ่ง ทุกสรรพชีวิตที่หากินตอนกลางวันในเกาะแฮนดรัสเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา ขณะที่สิ่งมีชีวิตตอนกลางคืนเตรียมพร้อมหลับใหล แสงดาวเริ่มเลือนหาย แสงจากดาวฤกษ์อิลิมิน่าเริ่มฉายแสงแทนที่ บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายนั้น มีสิ่งมีชีวิตบินอยู่ มันเริ่มบินต่ำลงเพื่อเตรียมพร้อมหลบแดด เอเลนเซฟเวอรี่สีดำและโซลิแทร์ที่นั่งอยู่บนหลังมัน เทียมด้วยรถม้าอากาศที่กัปตันมาซูลโดยสารอยู่ ทั้งหมดสวมเกราะติดอาวุธครบชุด เดินทางจากโฟรเซ็นทิเนลตรงมายังที่นี่ ไม่เคยเดินทางออกนอกพื้นที่ไกลเช่นนี้มาก่อน นับว่าแทบจะข้ามซีกแผนที่เลยก็ว่าได้ พวกเขาเดินทางมาแล้วหลายวัน อ้อมอาณาจักรไอซ์เมสทางทิศตะวันออก ผ่านดินแดนร้างที่อยู่เบื้องหน้าอาณาจักรกาโกคอล บินต่อไปยังแนวดินแดนร้างที่อ้อมไปทางตะวันออกของอาณาจักรแบร์ร็อค และขึ้นเหนือ ข้ามทะเลไป จนกระทั่งขึ้นไปสุดบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของอาณาจักรแบร์ร็อค หรือที่มุมขวาบนของแผนที่ จึงมาถึงเกาะแฮนดรัส ที่พวกเขาเสียเวลาเดินทางหลายวันก็เพราะต้องหยุดพักในตอนกลางวันและเดินทางในตอนกลางคืน เพื่อหลีกหนีความร้อน ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์แดนหนาว หากเผชิญกับความร้อนอาจมีปัญหาหนัก
“นานๆ จะเห็นท่านเดินทางไกล” กัปตันมาซูลพูดขณะกัดขนมปัง มืออีกข้างจับขอบรถม้าอากาศ “ปกติแล้วท่านชอบอยู่ติดพื้นที่และเกลียดการเดินทางอย่างกับอะไรดี ใครจะไปนึกว่าจะมีวันที่ท่านเดินทางข้ามครึ่งดวงดาวเลยทีเดียว”
“และข้าขอยืนยัน ข้ายังคงเกลียดการเดินทางเช่นเดิม ยิ่งผ่านครั้งนี้ไป ข้ายิ่งเกลียดหนัก” โซลิแทร์กัดขนมปังเช่นกัน หน้ากากเลื่อนขึ้นเพื่อจะได้กิน “ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงพาคนที่เดินทางออกนอกพื้นที่บ่อยๆ อย่างท่านมาด้วย ข้ารู้ว่าท่านก็เดินทางออกนอกพื้นที่ไม่บ่อยนักหรอก แต่ก็ถือว่าบ่อยที่สุดในพวกเราแล้ว”
“ก็ตอนเด็กๆ ข้ามันขี้ขลาดและไม่ชอบสังคม จึงชอบหลีกหนีไปอยู่นอกพื้นที่คนเดียว เอาเหล้าไปกินย้อมใจ” กัปตันมาซูลพูดไปเคี้ยวไป “หลังจากที่ข้าเปลี่ยนไป ข้าก็พบว่าหมู่บ้านเควอเตอร์สตรีทมีเหล้ารสเลิศทั้งนั้น คุ้มค่ากับการออกนอกอาณาจักรไปเยี่ยมเยียนยามว่าง ท่านต้องไม่เชื่อแน่เลย แต่เจ้าไมโนลล์เจ้าของร้านเหล้านั่นรับทองนิดๆ หน่อยๆ ไป แล้วเอาเบียร์มาให้ข้าเป็นเหยือก คิดดูสิ สิ่งไร้ค่าอย่างทองสามารถแลกกับเบียร์ได้เป็นเหยือก”
“สำหรับข้า ทั้งทองและเบียร์มันก็ไร้ค่าเหมือนๆ กัน สิ่งไร้ค่าแลกกันได้มันก็ไม่แปลกนัก” โซลิแทร์ว่า “แต่ท่านเองก็ควรระมัดระวังนะ แม้หมู่บ้านควอเตอร์สตรีทมันจะอยู่ในเขตดินแดนร้าง แต่ก็เป็นดินแดนร้างที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรโมราโซมอส แม้ว่าที่นั่นจะเป็นกลาง เต็มไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ไม่มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ แต่พวกทหารมนุษย์ก็ชอบไปดื่มเหล้าที่นั่นบ่อยๆ เพราะมันถูกกว่าในอาณาจักร”
“ไปที่นั่นไม่มีใครจำใครได้หรอกท่านลอร์ด คนมากหน้าหลายตาเต็มไปหมด” กัปตันมาซูลพูดอย่างคึกคัก “ส่วนเรื่องทะเลาะวิวาทก็เป็นเรื่องปกติของโรงเหล้าชนบท ข้าเองก็ไม่ได้ซัดหน้ามนุษย์มาตั้งนานแล้ว อยากให้มันเกิดขึ้นบ้าง”
“แต่ใครจะไปรู้ว่าการที่ท่านเดินทางบ่อยๆ หรือที่เคยเป็นคนขี้ขลาด มันจะก่อให้เกิดทักษะที่มีประโยชน์ในการคุมทัพ” โซลิแทร์ว่า “ท่านถอยทัพเร็วมาก ย้ายตำแหน่งทัพก็เร็ว ในบรรดาเราสามคน ท่านเดินทัพรวดเร็วที่สุดแล้ว”
“สุนัขจิ้งจอกไม่ใช่สัตว์แข็งแรง มันตัวเล็ก แต่มันหนีเร็วและโจมตีเร็ว” กัปตันมาซูลจับหมวกเกราะที่มีหัวและหนังจิ้งจอกหิมะคลุมอยู่บนยอดหมวก “การมีแรงบันดาลใจ การแลเห็นคุณค่าของตนเอง มันเป็นบ่อเกิดแห่งพลังมหาศาล ถ้าวันนั้นไม่ได้ท่านเป็นแรงบันดาลใจ สุนัขจิ้งจอกตัวนี้คงเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดไร้ค่าที่มีชีวิตเหมือนซากศพไปวันๆ”
“ถ้าวันนั้นไม่ได้ท่าน ข้านี่แหละจะเป็นซากศพเสียเอง” โซลิแทร์พูด
“ข้าทั้งเชื่อมั่นทั้งศรัทธาในตัวท่าน” กัปตันมาซูลกินขนมปังจนหมด “กระนั้นท่านก็ยังให้ข้ากินอาหารขณะที่บินอยู่ในอากาศ รู้ไหมว่ามันทำลำบากตอนถูกลมตี ถามจริงๆ เถอะ ท่านทำแบบนี้บ่อยๆ หรือ”
“ท่านก็รู้ว่าข้าชอบทำอะไรให้มันง่ายๆ เข้าไว้ จนบางคนเรียกว่ามักง่าย ข้าไม่ชอบการเดินทาง อยากให้มันผ่านพ้นไปเร็วๆ” โซลิแทร์กินขนมปังจนหมด หยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่ม วางท่าได้สบายกว่ากัปตันมาซูล คงทำอย่างนี้มาบ่อยแล้ว “ในเมื่อการหยุดรับประทานอาหารมันทำให้เสียเวลามากขึ้น ก็ทำมันพร้อมๆ กับที่เดินทางนี่ล่ะ”
“เห็นด้วยกับคนที่บอกว่าท่านมักง่าย” กัปตันมาซูลส่ายหน้า “สงสารคนที่จะมาเป็นคนรักท่านจริงๆ มิน่าถึงหาผู้หญิงไม่ได้สักคน ว่าแต่น้ำข้าหมดแล้ว ส่งถุงของท่านให้ข้าที”
ถุงน้ำลอยหวือมาอย่างแรง เกือบจะเข้าหน้ากัปตันมาซูลถ้าเขาไม่คว้าเอาไว้
“เกือบจะสอยข้าลงไปวัดพื้นทรายแล้วนะ” กัปตันมาซูลโวยวาย
“อภัยให้ด้วย ก็เราบินอยู่ ลมก็ตี จะส่งของให้กันมันก็ไม่ง่ายเหมือนปกติ” โซลิแทร์เลื่อนหน้ากากลงมาปิดหน้า “อีกอย่าง ท่านพูดแทงใจดำข้า”
แสงแดดเริ่มส่องสว่าง พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ในตอนกลางคืนทะเลทรายนั้นจะหนาวจัด พวกเขาจึงเดินทางกันสบายๆ แต่ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ตอนกลางวันแล้ว มันจะร้อนจัดในอีกไม่นาน
“ท่าทางต้องหาที่หลบร้อนเสียแล้ว” โซลิแทร์พูดอย่างกังวล “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ข้าเกลียดอากาศร้อน”
“นั่น มีอาคารแปลกๆ อยู่ตรงนั้น” กัปตันมาซูลชี้มือ
อาคารหลังทาด้วยสีแดงเตะตา หลังคามียอดแหลมสูงลิ่วติดธงผืนใหญ่สีเขียว มีป้ายใหญ่ยักษ์ติดรอบอาคารสี่ทิศทางเป็นภาษามนุษย์เขียนว่าร้านโพรฟและสหาย
“คนเสียสติที่ไหนมาตั้งร้านขายของในที่แบบนี้ จะขายให้นกแร้งหรืออูฐทะเลทรายหรือไง” กัปตันมาซูลพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
“แวะที่นั่นกันเถอะ ข้าเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่ไล่จี้หลังข้ามา”
เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำหยุดจอดเบื้องหน้าอาคารอย่างเงียบเชียบ ตรงจังหวะกับที่ไมโนลล์ตนหนึ่งเปิดประตูหน้าร้านออกมาพร้อมกับไม้กวาด คงเตรียมจะทำความสะอาดเมื่อมันเห็นพวกเขามันก็ดีใจใหญ่
“ตาของข้าหลอกข้าหรือไรนี่ ดาร์คเนสดีวิลสองคนเดินทางออกนอกพื้นที่มาไกลแสนไกล และหยุดแวะที่ร้านของเรา มาก่อนที่ร้านจะเปิดเสียอีก” ไมโนลล์รีบทิ้งไม้กวาด เดินเข้ามาหาทั้งคู่ “ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง ขอต้อนรับสู่ร้านอันต่ำต้อยของเรา ข้าชื่อพอร์ท เป็นผู้ช่วยเจ้าของร้าน โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปปลุกเจ้านายของข้า แล้วเราจะได้ทำธุรกิจกันครับ”
“ข้าไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจหรอก ที่ที่ข้าจากมามันไม่มีระบบธุรกิจ” โซลิแทร์กระโดดลงจากหลังพาหนะ “แต่ตอนนี้ข้าต้องการที่หลบแดดมาก”
“พวกท่านเดินทางมาเขตร้อน ไม่ควรสวมเกราะโลหะมาเต็มตัวขนาดนี้ถ้าไม่ใช่พวกโฮเซ่” พอร์ทแนะนำ “เป็นเกราะสีดำด้วย สีดำมันดูดความร้อนนะครับ”
“แล้วพวกเราดูเหมือนคนที่เชี่ยวชาญการเดินทางเขตร้อนหรือไง” โซลิแทร์ย้อน
“แล้วพาหนะของพวกท่านล่ะครับ ให้มันยืนกลางแดดเช่นนี้มันทนได้หรือ” พอร์ทชี้ไปที่เอเลนเซฟเวอรี่สีดำ “เจ้ามังกรสามหัวตัวนี้”
“มันไม่ใช่มังกร” โซลิแทร์แก้ไข เรื่องนี้เขาให้ความสำคัญมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนมากมายเข้าใจว่าเอเลนเซฟเวอรี่เป็นสัตว์ตระกูลมังกร นี่มันค้างคาวชัดๆ “มันอาจดูคล้ายๆ แต่จริงๆ มันคือสัตว์ตระกูลค้างคาว และมันก็ไม่มีความรู้สึกไม่มีชีวิตจิตใจเพราะคำสาปของพวกไซคัส มันจึงทนร้อนได้ แต่พวกเราทนไม่ได้ ฉะนั้นช่วยหาที่หลบร้อนให้ที ข้าเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาแล้ว”
“ตามข้าเข้ามาข้างในร้านดีกว่าครับ ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง” พอร์ทเชิญชวน
กัปตันมาซูลลงจากรถม้า พับเก็บปีกรถม้า หยิบถุงเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากรถม้า มันมีเพชรพลอยอยู่เต็มถุง
“ท่านเอามาด้วยทำไม นี่ไม่ใช่ร้านเหล้าในหมู่บ้านควอเตอร์สตรีทนะ” โซลิแทร์กระซิบ
“ท่านไม่รู้อะไร ไม่ใช่แค่ในหมู่บ้านควอเตอร์สตรีทที่ซื้อขายกันด้วยทองคำหรือเพชรพลอย อีกหลายที่ก็เป็นเหมือนกัน” กัปตันมาซูลกระซิบตอบ
“มีคนเสียสติเห็นไอ้หินวาวๆ ที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เป็นของมีค่าอีกหรือนี่ จะเพี้ยนตามพวกมนุษย์กันหมดหรือไง”
“โดยเฉพาะพวกไมโนลล์ พวกนี้หลงใหลเงินทองเพชรพลอยยิ่งกว่าอะไร” กัปตันมาซูลเสริม “ถ้าจ่ายให้มากพอ พวกมันอาจยอมตายเลยทีเดียว”
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ใช่คนที่เพี้ยนที่สุดแล้ว”
“แน่นอน พวกนี้เพี้ยนที่เห็นแร่ขยะเหล่านี้เป็นสิ่งมีค่า แต่ข้าก็ยังขอยืนยันว่า ท่านคือคนที่เพี้ยนที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาอยู่ดี”
ทั้งสองตามพอร์ทเข้ามาในร้าน ข้างในนี้มืดและเหม็นอับ เต็มไปด้วยชั้นวางของและสินค้าแปลกๆ มีแสงไม่ค่อยมากเพราะเพิ่งเปิดร้าน ตะเกียงยังไม่ถูกจุดทุกตัว แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ร้อน
“ขอตัวไปตามเจ้านาย ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่ครับ” พอร์ทรีบเดินอ้อมเคาน์เตอร์ไปยังหลังร้าน
มันกลับมาพร้อมกับไมโนลล์อีกตนหนึ่งที่ยังอยู่ในชุดนอน สวมหมวกนอน เขี้ยวหมูป่าข้างหนึ่งเลี่ยมด้วยทอง ท่าทางง่วงๆ แต่ก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นลูกค้า
“ท่านสุภาพบุรุษดาร์คเนสดีวิลจากแดนไกลทั้งสอง บอกไม่ถูกเลยว่าดีใจแค่ไหนที่ได้พบพวกท่าน ข้าตั้งร้านอยู่ที่นี่หาลูกค้ายากมาก อย่างที่เห็น ทำเลมันไม่เหมาะสมนัก” มันโค้งคำนับเสียต่ำ “ขอต้อนรับสู่ร้านอันต่ำต้อยของข้า ข้าชื่อโพรฟ เป็นเจ้าของร้าน--”
มันชะงักกลางคันเมื่อเห็นเปลวไฟสีน้ำเงินซีดๆ ในมือของโซลิแทร์ มันอยู่ใกล้กับขวดโหลใบหนึ่งในชั้นวางของมากๆ โซลิแทร์เอามันไปจ่อใกล้ๆ เพื่อจะได้เห็นขวดโหลชัดๆ
“ท่านสุภาพบุรุษ ไอ้สิ่งที่อยู่ในขวดโหลมันวัตถุไวไฟนะครับ ร้านข้าอาจไหม้ทั้งร้านได้”
“ข้าเห็นมันมืด เลยจุดขึ้นมา” โซลิแทร์พูดซื่อๆ “อย่ากังวล มันเป็นมนต์ดำ ไม่ใช่ไฟจริงๆ หรอก มีแสงแต่ไม่มีความร้อน ดูนี่สิ” เขาเอาไฟไปจ่อจมูกยาวๆ ของโพรฟ “มันไม่ร้อน”
โพรฟร้องลั่นด้วยความตกใจ จับจมูกตัวเอง กระโดดถอยไปชนเคาน์เตอร์
“อภัยให้ผู้นำของข้าด้วย เขายังหนุ่ม เติบโตมากับสงคราม และมีนิสัยแบบดาร์คเนสดีวิลโดยแท้ ไม่ค่อยเดินทาง ไม่ชอบเข้าสังคม จึงไม่ค่อยรู้กาลเทศะเท่าไหร่” กัปตันมาซูลพูดอย่างเหนื่อยใจ “ไม่แปลกใจเลยว่า คนมากมายถึงบอกว่าพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำและไม่ค่อยประสีประสากับมารยาท”
พอร์ทประคองโพรฟให้ลุกขึ้นยืน โพรฟคลำจมูกตัวเอง แปลกใจที่มันไม่ไหม้
“ท่านลอร์ด ท่านจะเอาไฟไปจ่อจมูกคนอื่นอย่างนี้ไม่ได้นะ” กัปตันมาซูลบอก
“มันไม่ใช่ไฟนะ แค่ดูเหมือน มันเป็นแสงที่มีลักษณะคล้ายไฟ--”
“เออนั่นแหละ มันไม่ควรจะถูกเอาไปจ่อจมูกคนอื่นอย่างนั้น บางคนไม่รู้ว่ามันไม่ใช่ไฟจริง”
“ขอโทษที ข้าจะจำไว้”
แล้วจู่ๆ โซลิแทร์ก็ยื่นหน้ากากไปชิดหน้าโพรฟ จนอีกฝ่ายตกใจแทบจะกระโดดหนีอีกครั้ง
“ท่านลอร์ด ท่านก็ไม่ควรทำแบบนั้นเหมือนกัน” กัปตันมาซูลกุมหน้าผาก
“เจ้าหน้าคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน นานมากแล้ว” โซลิแทร์พูดอย่างครุ่นคิด “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ทำไมความจำข้าแย่อย่างนี้”
“ในสายตาคนอื่น ไมโนลล์ก็หน้าตาคล้ายๆ กันหมดแหละครับ” โพรฟงึมงำ
“แสดงว่าก่อนหน้านี้ ท่านเคยเห็นไมโนลล์สักตนหรือ” กัปตันมาซูลเลิกคิ้ว
“นึกออกแล้ว ที่เมืองหลวงโฟรเซ็นทิเนล สิบเก้าปีก่อน ตอนที่หลุมพลังมืดระเบิด ข้าลอยละลิ่วอยู่ในอากาศพร้อมกับน้ำแข็งแผ่นใหญ่ใต้ตัว แล้วตกลงไปทับไมโนลล์ตนหนึ่งที่ลอบเข้ามาขโมยไข่เอเลนเซฟเวอรี่ ไข่ใบที่ฟักเจ้าตัวที่ยืนอยู่หน้าร้านนั่น” โซลิแทร์ชี้ออกไปนอกร้าน “ไมโนลล์ตนนั้นมีห่วงทองติดดาวร้อยอยู่ที่จมูก”
“นั่น กริซ” โพรฟร้องขึ้นมา
“รู้จักเขาหรือ” โซลิแทร์ถาม
“ไม่ใช่เขาครับ เธอ”
“เป็นผู้หญิงหรอกหรือนั่น บอกตรงๆ ข้าแยกพวกเจ้าไม่ออกจริงๆ ระหว่างหญิงกับชาย”
“เธอเป็น อดีตหนึ่งในคนรักของข้า เอ้อ! จะเรียกว่าคนรักก็ไม่เต็มปากนัก เรียกว่าคนรักชั่วครั้งชั่วคราวจะใกล้เคียงกว่า” โพรฟอธิบาย “ไม่ได้ผูกพันอะไรกับเธอนักหรอก เกือบจะฆ่าเธอไปหลายรอบด้วยซ้ำ ก็เธอมีนิสัยชอบลักขโมย เฉียดใกล้ของมีค่าหรือของที่ดูหายากราคาดีไม่ได้เลย แต่ก็น่าเสียดายที่เธอตายไปแล้ว ท่านนึกไม่ถึงหรอกว่าเธอร้อนเป็นไฟแค่ไหนตอนอยู่บนเตียง โดยเฉพาะตอนที่เธอ--”
“เอาเถอะ” โซลิแทร์รีบตัดบท “ข้าไม่อยากจินตนาการหรอกว่าไมโนลล์ร่วมรักกันยังไง แค่นี้ก็อึดอัดจะแย่แล้ว อากาศร้อนของที่นี่คงจะฆ่าคนได้ ข้าไม่กล้าออกนอกประตูร้านนี้ไปเลย”
“ท่านสุภาพบุรุษ ข้ามีสินค้าที่จะช่วยแก้ปัญหาให้พวกท่านได้” โพรฟพูดอย่างกระตือรือร้น “พอร์ท ไปเอาหินผิวมังกรมาลังหนึ่งเร็ว”
พอร์ทหายเข้าไปหลังร้าน แล้วกลับมาพร้อมกับหินสีเหลืองหนึ่งลัง เป็นไปตามคาด โซลิแทร์กับกัปตันมาซูลมองอย่างไม่สู้ศรัทธานัก
“มันคือสิ่งที่ข้ากำลังต้องการมากๆ” กัปตันมาซูลประชด “คือตอนนี้ข้ามีแผนจะทำอ่างปลาที่บ้าน แล้วข้าก็ต้องการหินสำหรับแต่งอ่างปลา”
“ทำไมต้องมีคนเล่นมุขนี้ซ้ำๆ กันด้วย ข้าไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน” โพรฟพูดอย่างหงุดหงิด “ท่านสุภาพบุรุษทั้งสอง สิ่งนี้คือหินผิวมังกร กินเข้าไปแล้วร่างกายท่านจะปรับสภาพกับอากาศและสภาพแวดล้อมได้เหมือนมังกร มันกินได้ท่านลอร์ดมืด” โพรฟรีบพูดก่อนที่โซลิแทร์จะทันได้แย้ง “ข้าเรียกมันว่าหินเพราะมันดูเหมือนหิน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่หิน และก็ไม่ได้แข็งเหมือนหิน มันกรอบๆ เหนียวๆ รสชาติก็ไม่ได้แย่”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่ากินเข้าไปแล้ว ข้าจะไม่ลงไปนอนชัก” โซลิแทร์ไม่ไว้ใจ
“โฮซอร์บุฟโฮปกับกัปตันวอร์ดิวเคยซื้อไปหลายลัง แล้วทุกวันนี้พวกเขาก็ยังมีชีวิตปกติดีครับ” โพรฟยืนยัน
“บุฟโฮปอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์เริ่มสนใจ “เจ้ารู้จักคนที่นามสกุลบุฟโฮปด้วยหรือ”
“ไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าแฮนดรัส เจ้าของเกาะแห่งนี้” โพรฟตอบ เขากับพวกพ้องแฮนดรัสของเขาตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณโอเอซิสใจกลางเกาะ นานๆ จะมีแฮนดรัสสองสามคนมาซื้อของจากร้านข้า กลายเป็นว่ากิจการของข้าก็ยังฝืดเคืองอยู่ดีล่ะครับ”
“เยี่ยมทีเดียว เราสองคนอยากพบเขา” กัปตันมาซูลพูด “เอาหินผิวมังกรให้เราสองลัง เขียนแผนที่ตำแหน่งหมู่บ้านแฮนดรัสให้เราด้วย ส่วนนี่ ค่าหิน”
เขาเทอัญมณีครึ่งถุงลงบนเคาน์เตอร์ โพรฟกับพอร์ทอ้าปากค้าง ตาลุกวาว
“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจกับพวกท่านครับ” โพรฟตะกุกตะกัก “หวังจริงๆ ว่าจะแวะมาบ่อยๆ “
*******************
ไม่นานต่อมา โซลิแทร์และกัปตันมาซูลบินอยู่เหนือหมู่บ้านแฮนดรัส เป็นเวลาเดียวกับที่พวกนั้นเสร็จจากรับประทานมื้อเช้า และกำลังหอบข้าวหอบของจะไปทำงานอะไรสักอย่างนอกหมู่บ้าน เมื่อพวกนั้นเห็นพวกเขาบินมาก็แตกตื่นกันใหญ่ คว้าค้อนด้ามยาวกันคนละด้ามเตรียมสู้ทันที ส่วนโซลิแทร์ก็บังคับพาหนะให้ร่อนลงจอดกลางหมู่บ้านอย่างไม่เกรงกลัว พวกแฮนดรัสทั้งหมดยืนล้อมพวกเขาเป็นวงกลมพร้อมกับอาวุธในมือ พร้อมเข้าโจมตีทันทีหากต้องทำ อย่างไรก็ตาม โซลิแทร์ก็ปีนลงจากหลังพาหนะอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน วางท่าสบายๆ ขณะที่มือขวากำรอบด้ามดาบใต้ผ้าคลุม ส่วนกัปตันมาซูลก็ก้าวลงจากรถม้าเข้ามาประกบโซลิแทร์ เตรียมพร้อมจะทำอะไรก็ตามหากได้รับคำสั่ง
“โปรดอยู่ในความสงบทุกท่าน” โซลิแทร์ยกมือข้างที่ไม่ได้จับดาบทำสัญลักษณ์กระดาษขอเจรจา “เรามาอย่างสันติ เราเพียงต้องการพบกับไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าของพวกท่าน”
แฮนดรัสตัวใหญ่ท่าทางมีอายุชูสัญลักษณ์กระดาษตอบกลับ แล้วก้าวเข้ามาประจันหน้ากับโซลิแทร์ มือข้างหนึ่งถือค้อนด้ามยาวอาวุธประจำกาย
“ข้าไม่เคยรู้จักดาร์คเนสดีวิลมาก่อน” เขาพูดเสียงเข้ม “และไม่มีความจำเป็นที่จะรู้จัก”
“พวกท่านบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” แฮนดรัสหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังไรมินคำราม “การกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่รู้จักกาลเทศะ”
“ท่านก็น่าจะทราบดีกัปตันวอร์ดิว พวกเขาเป็นดาร์คเนสดีวิล” ไรมินหันไปบอก แล้วหันกลับมาหาโซลิแทร์ “แม้ว่าดาร์คเนสดีวิลจะมีทักษะเรื่องการทูตค่อนข้างต่ำ แต่อย่างน้อย พวกเขาก็น่าจะรู้มารยาทว่า ควรแนะนำตัวก่อนที่จะพูดคุยกัน”
“ข้า โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล” โซลิแทร์แนะนำตัวเอง และนำแนะกัปตันมาซูล “ส่วนนี่กัปตันมาซูล หนึ่งในสมาชิกผู้นำโฟรเซ็นทิเนล”
“อีกหนึ่งผู้นำอาณาจักรที่มาเยือนถิ่นของเรา” กัปตันวอร์ดิวทำเสียงเบื่อหน่าย
“เพื่อแสดงความจริงใจ ท่านแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ไรมินว่า “ทำไมเราไม่คุยกันโดยให้เห็นใบหน้าจริงๆ พวกเราแฮนดรัสมีค่านิยมว่า การสวมหน้ากากเจรจา มันแสดงถึงความไม่จริงใจ”
“ท่านจะให้ข้าถอดหน้ากากอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์ไม่พอใจ
“แค่การถอดหน้ากากมันสร้างความลำบากให้แก่ท่านมากขนาดนั้นเลยหรือ” ไรมินขมวดคิ้ว
“ท่านลอร์ด ถอดๆ ไปเถอะ” กัปตันมาซูลกระซิบ
“ทำไมข้าต้องถอดหน้ากากตามความต้องการของเขาด้วย”
“หรือท่านจะเดินทางไกลกลับโฟรเซ็นทิเนลไปมือเปล่า เพียงเพราะไม่ยอมถอดหน้ากาก”
โซลิแทร์จึงยอมถอดหน้ากากกับหมวกฮู้ดออกอย่างเสียไม่ได้
“สีผมของท่านแตกต่างจากดาร์คเนสดีวิลทั่วไปนะ” ไรมินพิจารณา
“ผลข้าเคียงจากอำนาจพิเศษที่ข้าได้รับมา” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “แล้วข้าก็ไม่อยากคุยเรื่องนี้”
“เช่นนั้น ท่านอยากคุยเรื่องอะไร”
“นี่ของท่าน” โซลิแทร์ยื่นสร้อยโลหะสีน้ำตาลที่มีจี้รูปกำปั้นหนามให้ไรมิน “ธาร์ค บุฟโฮป บรรพบุรุษของท่านเคยถอดมันให้เบนิทัส โมเรย์ฮาน ผู้นำสูงสุดคนแรกของข้า เป็นสิ่งของที่แสดงความเป็นเพื่อนแท้ สร้อยเส้นนี้ควรตกทอดมาสู่ท่าน ในฐานะผู้สืบสายโลหิตของเขา”
ไรมินรับสร้อยไป แฮนดรัสคนอื่นๆ ยื่นหน้ามาดูอย่างสนใจ
“ขอบคุณ” ไรมิฟสวมสร้อยคล้องคอ “พวกท่านสวมโลหะทั้งตัว แล้วก็เป็นสีดำทั้งหมด ไม่รู้สึกร้อนบ้างหรือ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์แดนหนาวอย่างพวกท่าน”
“หินผิวมังกร” กัปตันมาซูลชี้ไปที่หินผิวมังกรสองลังบนรถม้าอากาศ
“พวกท่านคงพบเจอกับโพรฟแล้ว” ไรมินดูไม่พอใจ “เขาบอกตำแหน่งหมู่บ้านของพวกเราสินะ”
“ดูเหมือนว่าพวกท่านคงไม่ค่อยชอบต้อนรับคนต่างเผ่านัก” โซลิแทร์ว่า
“ดูสิว่าใครเป็นคนพูด” ไรมินสวนกลับ “ขอบคุณสำหรับสร้อย ท่านแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม แต่นี่คงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ท่านเดินทางไกลมาที่นี่”
“เราได้เบาะแสว่าโมเรย์ฮานซ่อนสิ่งของสำคัญไว้ภายในเกาะนี้” โซลิแทร์ตอบ “พวกท่านอยู่ในเกาะนี้มานาน พวกท่านพอจะพบเห็นสถานที่ที่ดูเหมือนถูกปกป้องด้วยมนต์ดำหรือ--”
“ฟังนะ ข้าเข้าใจว่าท่านมีธุระสำคัญ แต่โปรดทราบว่าข้าก็มีเช่นกัน” ไรมินแทรก “ข้าคงไม่มีเวลาช่วยพวกท่าน ข้ากับคนอื่นๆ ต้องไปประกอบเรือที่ชายฝั่ง เรากำลังจะไปตอนที่พวกท่านมาพอดี”
“พวกท่านประกอบเรือ จะเดินทางไปไหนหรือ” กัปตันมาซูลสงสัย
“ชายฝั่งกาโกคอล ไปติดต่อขอหรือแลกเปลี่ยนเมล็ดพืชหรือปัจจัยต่างๆ ในการเพาะปลูกจากพวกฟอเรสเทอร์ รวมทั้งน้ำจืดที่เรากำลังขาดแคลน คิดว่าพวกนั้นน่าทำการเจรจาด้วยมากกว่าเผ่าพันธุ์จากแดนหนาว” ไรมินแดกดัน
“พวกท่านเก็บตัวอยู่ในเกาะนี้มาได้ตั้งหลายสิบปี เหตุใดต้องลงทุนลงแรงต่อเรือข้ามทะเลไปสรรหาปัจจัย” กัปตันมาซูลมองไปรอบๆ “จริงอยู่ เกาะแห่งนี้อาจมีความแห้งแล้งกันดาร แต่พวกท่านก็อยู่ในเขตโอเอซิส มันอุดมสมบูรณ์กว่าทั้งเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดของเราเสียอีก”
“ไอ้สิ่งที่ท่านเรียกว่าความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้” ไรมินกวาดมือไปรอบๆ “มันกำลังมีปัญหา การที่ดาวดวงนี้เสียความสมดุล มันทำให้ความชุ่มชื้นเหือดหาย พืชบางชนิดที่คอยสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ดินเริ่มตาย ยิ่งดินของที่นี่เป็นดินทราย มันเก็บความชุ่มชื้นมากไม่ได้ แล้วเราก็กำลังจะขาดแคลนน้ำ เรามีน้ำไม่เพียงพอต่อการสร้างความชุ่มชื้นให้ดิน หรือสำหรับทำการเกษตร เกาะแห่งนี้มันไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่ แต่ถ้าไม่อยู่ที่นี่ เราก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ฉะนั้นพวกท่านคงพอเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าข้ามีปัญหามากมายที่ต้องจัดการ แล้วมันก็เป็นปัญหาที่รอช้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนของข้าได้อดตายกันหมด”
แล้วไรมินก็หันกลับไป หอบแผ่นไม้และเครื่องไม้เครื่องมือที่ตนทิ้งไว้ กัปตันวอร์ดิวกับแฮนดรัสอีกจำนวนหนึ่งก็แยกย้ายไปหอบสิ่งที่ตนทิ้งไว้เช่นกัน
“โปรดฟังข้าก่อน” โซลิแทร์เรียก “ข้าสามารถช่วยท่านได้”
“ให้ดาร์คเนสดีวิลช่วยเรื่องต่อเรืออย่างนั้นหรือ” ไรมินพ่นลมออกจากจมูก “ขอผ่านดีกว่า ข้าไม่อยากลงไปว่ายน้ำอยู่กลางทะเลพร้อมกับชิ้นส่วนเรือ”
“ข้าไม่มีความสามารถเรื่องเรือหรอก” โซลิแทร์พูด “แต่ข้าสามารถแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำและความชุ่มชื้นให้พวกท่านได้ อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง”
“พูดอย่างกับท่านจะทำให้ฝนตกลงมาได้” กัปตันวอร์ดิวพูดเยาะๆ “มันไม่ตกมาตั้งหลายปีแล้ว”
“ฝนคืออะไรหรือครับ” เด็กน้อยแฮนดรัสคนหนึ่งถามกัปตันวอร์ดิว
“น้ำเป็นล้านๆ หยดตกลงมาจากฟ้าน่ะ ครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้น คงก่อนที่เจ้าจะจำความได้”
โซลิแทร์หงายมือขึ้น ปล่อยกลุ่มไอใสออกมาจากใต้ถุงมือเหล็ก ล่องลอยขึ้นฟ้า แล้วค่อยๆ ก่อตัวเป็นเมฆสีเข้มขยายออกไปเรื่อยๆ แฮนดรัสทุกคนหยุดอยู่กับที่ พวกที่แบกข้าวของอยู่ต่างทิ้งข้าวของกันหมด ยืนจ้องท้องฟ้าตาค้าง มีเสียงฟ้าคำรามพร้อมกับแสงฟ้าแลบ แล้วสายฝนก็กระหน่ำเทลงมา
“นั่นฝนนี่”
“ตะบองเพชรพินาศ! มีฝนตกในหมู่บ้านเรา”
“ฝน ฝน ฝน”
“เร็วเข้าทุกคน อย่าอยู่เฉย” ไรมินพูดอย่างพออกพอใจ แม้จะเปียกทั้งตัว “รีบหาอะไรมารองน้ำฝนกันเร็ว นี่ข้าไม่ได้เห็นฝนตกมานานแค่ไหนแล้วหนอ”
มีเพียงพื้นที่เล็กๆ ของโซลิแทร์ กัปตันมาซูล พาหนะ และรถม้า ที่ไม่เปียกฝน เป็นครั้งแรกที่มีแต่คนยินดีกับน้ำฝนจากเมฆก้อนนี้ พวกเด็กๆ แฮนดรัสกระโดดโลดเต้นเล่นน้ำฝนกันอย่างมีความสุข ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็หาอะไรมารองน้ำกันใหญ่ บางคนก็ร้องเพลงเกี่ยวกับฝนอย่างยินดีปรีดา เปียกปอนกันถ้วนหน้าแต่ก็มีความสุข ความชุ่มชื้นกลับมาเยือนอีกครั้ง พืชทะเลทรายบางชนิดถึงกับเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดและออกดอกทันที มีดอกไม้ทะเลทรายสีสวยสดผุดขึ้นมาจากพื้นเต็มไปหมด
“ตอนที่ข้าโปรยฝนใส่พวกมนุษย์ ทำไมพวกนั้นไม่กระโดดโลดเต้นแบบนี้บ้าง” โซลิแทร์พูดขำๆ
กัปตันมาซูลหัวเราะชอบใจ กัปตันวอร์ดิวที่เปียกปอนเดินเข้ามา เขาโค้งคำนับให้ทั้งคู่
“ท่านคือผู้วิเศษโดยแท้ ท่านสามารถควบคุมเมฆก้อนนั้นได้ ควบคุมขอบเขตฝนได้” เขาชี้พื้นที่เล็กๆ ที่โซลิแทร์ยืนอยู่ มันเว้นช่องไม่มีฝนตกลงมา “โปรดอภัยต่อมารยาทอันไม่สู้ดีของข้าก่อนหน้านี้ด้วย”
“และโปรดอภัยต่อมารยาทที่แย่กว่าของเราเช่นกัน” โซลิแทร์โค้งศีรษะตอบ “ความสามารถทางการทูตของปีศาจเรามันต่ำนัก เราจะพยายามทำให้ดีกว่านี้”
ไรมินถอนดอกไม้ทะเลทรายสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาหนึ่งดอกนำมาขยี้ใส่กะลามะพร้าวผสมกับน้ำฝนแล้วนำมาแต้มที่หน้าผากของโซลิแทร์พร้อมกับก้มหัวคำนับ
“ข้าขอแต่งตั้ง นับจากวันนี้ ท่านคือผู้วิเศษประจำเผ่าของเราโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” เขาป่าวประกาศ “ท่านจะได้รับการต้อนรับอย่างดีทุกครั้งที่เดินทางมาที่นี่ จะได้รับความเคารพจากเราทุกคน ข้าจะสร้างบ้านพักชั่วคราวให้ท่าน ตราบใดที่มีท่านอยู่ พวกเราจะไม่ขาดแคลนน้ำฝน”
แฮนดรัสทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่พร้อมใจปรบมือให้โซลิแทร์ โซลิแทร์รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย เขาไม่เคยเป็นที่ชมชอบของคนต่างเผ่ามาก่อนเลย มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้รับ ส่วนใหญ่จะมีแต่กลัวและเกลียดเขา
“มันจะรักษาความสมบูรณ์ให้แก่พื้นที่ของเราได้ระยะหนึ่ง ก็อย่างที่เห็น เกาะนี้ดินมันไม่ค่อยดี” ไรมินกวาดมือไปรอบๆ “แต่ก็ถือว่าลดปัญหาเฉพาะหน้าไปได้มาก ขอบคุณจริงๆ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ข้าเข้าใจแล้วว่า การที่บรรพบุรุษของข้าเป็นเพื่อนรักกับดาร์คเนสดีวิลคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่มีเหตุผล บางทีปีศาจก็ไม่ได้ต่ำทรามและไม่น่าคบอย่างที่คนอื่นคิด บางทีคนทั้งดาวดวงนี้อาจดูพวกท่านผิดไปหมด”
“เราชินแล้วกับความรู้สึกที่ถูกมองเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย” โซลิแทร์ยิ้มให้ “แต่ครั้งนี้เราเกิดความรู้สึกที่เราไม่ชิน นั่นคือรับรู้ว่ามีคนนิยมชมชอบเรา และเราก็ชอบความรู้สึกนี้ทีเดียว”
“มีถ้ำประหลาดแห่งหนึ่ง บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตก ไม่ไกลจากร้านของโพรฟ” ไรมินนึกได้ “ข้างในถ้ำทั้งหนาวเย็นและเป็นน้ำแข็ง ไม่ใช่ถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแน่นอน บางที ผู้นำสูงสุดคนแรกของพวกท่านอาจเป็นคนสร้างมันขึ้นมา”
“ต้องเป็นเขาแน่” กัปตันมาซูลพูดอย่างกระตือรือร้น
“ข้าจะพาพวกท่านไปเอง” ไรมินอาสา
**************
ไรมินและกัปตันวอร์ดิวพาโซลิแทร์และกัปตันมาซูลมาถึงถ้ำลึกลับที่ว่านั่น ข้างในถ้ำดูท่าจะหนาวเย็นอย่างที่บอกจริงๆ ผนังถ้ำและหินงอกหินย้อยล้วนเป็นน้ำแข็ง แต่พวกเขาไม่รู้สึกอะไรด้วยฤทธิ์ของหินผิวมังกร ถ้ำมีร่องรอยเสียหายจากระเบิด ชิ้นส่วนเพดานถ้ำและผนังถ้ำเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้น กลิ่นดินปืนยังฉุนจมูก พื้นถ้ำบางแห่งมีรอยดำและมีเศษถังไม้เล็กๆ กระจายอยู่ทั่ว
“ดูนี่สิ” ไรมินส่องตะเกียงให้ดูผนังถ้ำด้านที่อยู่ตรงข้ามกับทางเข้า
มันเป็นผนังน้ำแข็งที่มีความเรียบมากแม้จะมีเหลี่ยมเล็กน้อย มีอักษรแปลกๆ สลักอยู่ ดูเป็นผนังส่วนเดียวที่ไม่ได้รับความเสียหายเหมือนผนังถ้ำส่วนอื่นๆ
“ข้าเคยพยายามระเบิดเปิดทางด้วยระเบิดแรงสูง” ไรมินชี้ไปตามเศษซากความเสียหายรอบถ้ำ “แต่มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แล้วก็น่าแปลกใจที่ถ้ำไม่ถล่มด้วย”
“มนต์ดำเป็นพลังงานที่มีอานุภาพสูงส่ง” โซลิแทร์ลูบถุงมือเหล็กไปบนผนังถ้ำส่วนนั้น ตอนนี้เขากลับมาสวมหน้ากากกับหมวกฮู้ดแล้ว
“อักษรที่สลักบนผนังถ้ำ ข้าอ่านมันไม่ออก ไม่รู้ด้วยว่าเป็นภาษาอะไร” ไรมินพูด
“ภาษาดาร์เคน” โซลิแทร์จ้องมองตัวอักษรใกล้ๆ “การใช้พลังงานมนต์ดำ จะต้องมีการจารึกตัวอักษร อาจมีตัวอักษรปรากฏให้เห็นหรือไม่ปรากฏก็ได้ แต่แน่นอน ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญภาษาดาร์เคน”
“มันคล้ายกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดเลยนะ” กัปตันมาซูลลูบมือบนผนังถ้ำ
“ใกล้เคียงที่เดียว แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่า ที่แน่ๆ มันมีแร่ซาทานิกคริสทอลเป็นส่วนประกอบสำคัญเหมือนกัน” โซลิแทร์ว่า “ชัดเจนแล้วว่าโมเรย์ฮานเป็นคนสร้างถ้ำนี้ขึ้นมา เพราะไพรม์ดีวอเชอร์ได้แรงบันดาลใจเรื่องการสร้างกำแพงน้ำแข็งจากโมเรย์ฮานนี่ล่ะ แล้วเราก็นำความคิดของเขามาสานต่อในช่วงปฏิวัติอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล หลังสิ้นสงครามกับพวกเฟลมฟอร์ส”
“ถ้ำนี้ดูแคบๆ ตันๆ และผนังถ้ำส่วนนี้ก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษ” กัปตันวอร์ดิวพูด “เราจึงเดาว่าอาจมีของบางอย่างซ่อนอยู่ด้านหลังผนังถ้ำส่วนนี้”
“ต้องเป็นแผ่นคำสาปที่ใช้ปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์แน่” กัปตันมาซูลพูดอย่างตื่นเต้น
“เป็นความจริงหรือนี่” ไรมินตื่นเต้นเหมือนกัน “กุญแจสู่ดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่ง ถูกซ่อนอยู่ที่นี่มาตลอด ถูกซ่อนมานานก่อนที่เราจะมาอยู่ที่นี่เป็นร้อยเป็นพันปี”
“แสดงว่าดาบที่ถูกปลดปล่อยตอนนี้ คือดาบไอซ์แอคเซอร์” กัปตันวอร์ดิวพูด
“ถ้ามีแผ่นคำสาปซ่อนอยู่หลังผนังถ้ำนี้จริง ท่านจะผ่านมันไปยังไง ท่านแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ไรมินถาม “มันเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิต”
“ข้าจะถอดรหัสมนต์ดำ” โซลิแทร์บอก “ด้วยการอ่านตัวอักษรเหล่านี้”
แล้วเขาก็อ่านอักษรเหล่านั้นด้วยเสียงที่เย็นเยียบชวนขนลุกเหมือนไม่ใช่เสียงของเขา มันอ่อนเบา ลากยาว บาดลึก และอยู่ในโทนเสียงระดับเดียวกันตลอด แม้ทุกคนจะกินหินผิวมังกรเข้าไปแล้ว ก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ เมื่ออ่านจบ ตัวอักษรก็เรืองแสงขึ้นมา พร้อมด้วยรูปสลักบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาใต้ตัวอักษร มันดูคล้ายรูปกรงเล็บปีศาจจับมือกับมือที่มีหนาม
“คืออะไรนี่” กัปตันมาซูลถามงงๆ
“ผนังถ้ำนี้ลงมนต์ดำไว้หลายระดับ ไมได้ใช้แค่ภาษาดาร์เคนถอดรหัส” โซลิแทร์พูดอย่างพิจารณา “จะต้องใช้บางสิ่งในการร่วมถอดรหัสด้วย”
“ใช้อะไรหรือ”
“ไม่ทราบ”
“แล้วไอ้รูปสลักที่ปรากฏขึ้นมานี่ล่ะ หมายถึงอะไร”
“ไม่ทราบเหมือนกัน”
“มือปีศาจจับกับมือหนาม” กัปตันมาซูลครุ่นคิด “มือหนามนี่หมายถึงอะไร”
“หรือหมายถึงมือของโฮเซ่” ไรมินจับจี้รูปกำปั้นหนามที่สร้อยคล้องคอ “เราเป็นภูตตะบองเพชร หนามน่าจะสื่อถึงเราได้”
“รูปสลักนี่เป็นมือปีศาจจับกับมือโฮเซ่” กัปตันวอร์ดิววิเคราะห์ “มันสื่อความถึงมิตรภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์ พอเดาออกไหมว่า สิ่งใดที่เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นมิตรภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์”
แล้วทุกคนก็หันไปมองสร้อยที่คล้องคอไรมิน
“ธาร์ค บุฟโฮปถอดสร้อยของตนให้เบนิทัส โมเรย์ฮาน เพื่อเป็นเครื่องหมายมิตรภาพระหว่างกัน” โซลิแทร์พูดช้าๆ “หรือว่าโมเรย์ฮานจะใช้สร้อยเส้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการถอดรหัสด้วย”
ไรมินถอดสร้อยออกมา ส่งให้โซลิแทร์
“ใช่แล้ว ฉลาดไม่เบา” โซลิแทร์คิดได้ “โมเรย์ฮานรู้ว่าพวกเฟลมฟอร์สจะไม่มีวันตีโจทย์นี้แตก เพราะพวกเฟลมฟอร์สไม่รู้จักมิตรภาพและความเป็นเพื่อน ขณะที่ลูกๆ หลานๆ ดาร์คเนสดีวิลหรือโฮเซ่จะคิดได้ เมื่อพวกเขารู้จักผูกมิตรต่อกัน”
แล้วเขาก็แนบสร้อยกับรูปสลัก ตัวอักษรเรืองแสงเป็นอันหายวับไปทันที โซลิแทร์รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่ผนังถ้ำส่วนนั้น แล้วมันก็ถล่มพังเป็นชิ้นๆ โมเรย์ฮานคงต้องการทิ้งท้ายให้ผู้ทอดรหัสได้เข้าใจ แม้แต่สิ่งที่แข็งแกร่งขนาดนี้ยังพังทลายด้วยสิ่งเล็กๆ อย่างมิตรภาพ
ด้านหลังผนังที่พังทลายลงนั้น มีแท่นหินวางแผ่นโลหะกลมสีดำแผ่นหนึ่ง มันคือแผ่นคำสาปจริงๆ ด้วย โซลิแทร์สังเกตมันได้แวบหนึ่ง ก่อนที่เพดานถ้ำจะเริ่มถล่มลงมา
“ถ้ำนี้ควรจะถล่มลงมาตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่ถล่มเพราะมีพลังงานมนต์ดำค้ำยัน แต่ตอนนี้มนต์ดำเสื่อมพลังแล้ว” โซลิแทร์หันไปบอกทุกคนเร็วๆ “เร็วเข้า ออกไปจากถ้ำกันให้หมด”
ทุกคนรีบเผ่นออกไปจากถ้ำ โซลิแทร์ขยับหลบแท่งน้ำแข็งที่ร่วงลงมา เอื้อมแขนยาวๆ ไปคว้าแผ่นคำสาป แล้วตีลังกาล้อเกวียนหลบชิ้นส่วนเพดานถ้ำที่หล่นโครมๆ ลงมาไม่หยุด เขาวิ่งไปที่ปากถ้ำ พุ่งตัวออกไปเป็นคนสุดท้าย ข้างในถ้ำยังคงถล่มโครมๆ รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่พื้นใต้ตัว ชิ้นส่วนถ้ำบางชิ้นก็กระเด็นออกมา ทำเอาเขาต้องยกแขนป้องกันศีรษะ จนกระทั่งถ้ำหยุดถล่ม ฝุ่นและเกล็ดน้ำแข็งฟุ้งกระจาย ปากทางเข้าพังย่อยยับจนไม่เหลือเค้าของถ้ำอีกต่อไป กัปตันวอร์ดิวพยุงโซลิแทร์ให้ลุกขึ้นยืน
“ควรค่าแก่เวลาที่มันจะถล่มเสียที” โซลิแทร์ปัดผงทรายและเศษน้ำแข็งออกจากผ้าคลุม “เป็นถ้ำที่อายุนับพันปีได้ ยังไม่รวมที่พวกท่านระเบิดมันอีก”
เขาดูรายละเอียดในแผ่นคำสาปคร่าวๆ ใช่แล้ว มันคือแผ่นคำสาปสำหรับปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ มีทั้งเงื่อนไขการปลดปล่อย ข้อความที่ใช้ปลดปล่อย แล้วก็พิกัดตำแหน่งสถานที่จองจำดาบ
“ได้แผ่นคำสาปมาแล้ว พวกท่านจะทำอะไรต่อไป” ไรมินถาม “จะไปปลดปล่อยดาบไหม”
“ไม่มีทาง” โซลิแทร์ตอบทันที “ทั้งเฮเวนล็อคและพ่อข้าก็เอาชีวิตไปทิ้งเพราะการปลดปล่อยดาบ แล้วต่อให้ได้ดาบมา ก็มีผลเสียมากกว่าผลดี ดาบไม่ได้ทำให้เก่งขึ้น ขณะที่คำสาปที่มากับดาบจะอยู่ติดตัวจนตาย แต่อย่างน้อย การที่แผ่นคำสาปอยู่ในมือของฝ่ายข้า ก็ยังดีกว่าตกอยู่ในมือของฝ่ายอื่น”
“เช่นนั้นก็ขอให้พวกท่านโชคดี” ไรมินโค้งศีรษะ “อดีตผู้นำสูงสุดของท่านค้นพบมัน พวกท่านก็ควรได้มันไป”
“แล้วท่านจะทำอะไรต่อ” กัปตันมาซูลถาม
“เราก็จะกลับไปต่อเรือ ต้องเดินทางไปหาปัจจัยที่กาโกคอลอยู่ดี” ไรมินสวมสร้อยที่โซลิแทร์คืนให้คล้องคอเหมือนเดิม “ความชุ่มชื้นจากน้ำฝนของพวกท่านมันจะอยู่แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เราต้องรีบไปหาพืชพรรณที่มีคุณสมบัติรักษาความชุ่มชื้นในดินมาปลูกให้เร็วที่สุด เพื่อชะลอไม่ให้ความอุดมสมบูรณ์ได้ถดถอยไปเร็วกว่านี้”
“เรื่องเพาะปลูก เราคงไม่มีความรู้จะแนะนำอะไรท่านได้” โซลิแทร์ยืนมือไปหาไรมิน “ต่อจากนี้เราจะต้องแยกกันไปคนละทาง พวกท่านดูแลคนของตน สู้กับความลำบากในเกาะนี้เงียบๆ ห่างไกลจากโลกภายนอก ส่วนพวกเราจะกลับไปสู่โลกภายนอก ทำสงครามต่อไป ขอให้ท่านโชคดี”
“เช่นกัน” ไรมินยื่นมือขนาดใหญ่ไปจับมือกับโซลิแทร์ พยายามไม่ให้ไปโดนส่วนคม มันบังมือโซลิแทร์มิดทีเดียว ที่พื้นดินใต้มือที่จับกันของพวกเขา มีชิ้นส่วนผนังถ้ำตกอยู่ ชิ้นส่วนที่มีรูปสลักเป็นกรงเล็บปีศาจจับมือกับมือหนาม
*************
โมราโซมอสเป็นอาณาจักรที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดหลังจากดวงดาวเสียความสมดุล เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่โชคดี พวกมนุษย์ได้รับอิทธิพลจากความหนาวเย็นและความแห้งแล้งน้อยกว่าอาณาจักรอื่นๆ อีกทั้งอาณาเขตอันกว้างใหญ่ ภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม และสภาพอากาศที่ดี ถือเป็นต้นทุนรับมือความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี พวกมนุษย์จึงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้นัก แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง อากาศที่หนาวเย็นขึ้นในบางพื้นที่ หิมะตกในพื้นที่ที่ไม่เคยตกมาก่อน พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของสัตว์ป่าบางชนิด พวกเขารู้ดีว่ามันเกิดจากดาวดวงนี้เสียความสมดุล แล้วก็มีหลายคนที่รู้ว่าดาวดวงนี้เสียความสมดุลก็เพราะดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่งถูกปลดปล่อย น่าสงสัยเป็นที่สุดว่าปลดปล่อยโดยใคร ใครที่กล้าเข้าใกล้ดาบต้องคำสาปที่ทุกคนพยายามหนีห่าง ใครที่มีความสามารถสูงถึงขั้นทำเช่นนั้นได้ แต่ไม่มีใครที่จะรู้สึกกังวลกลัดกลุ้มเท่าพระราชาอีกแล้ว พระองค์เป็นคนเดียวที่รู้ว่าอโลบัสเดินทางไปปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็ง ซึ่งก็มีโอกาสสูงว่าผู้ปลดปล่อยดาบจะเป็นอโลบัส จนป่านนี้แล้วทั้งอโลบัส กัปตันเท็มเปิล และกองกำลังที่ส่งไปไอซ์เมสนั้นยังไม่กลับมา จะส่งคนไปสืบหาก็ไม่ได้ เพราะต้องเก็บเป็นความลับ พระองค์จึงโมโหและหงุดหงิดมากเมื่อมีใครถามถึงอโลบัสและกัปตันเท็มเปิล พระองค์จะตะคอกคำตอบใส่หน้าว่าส่งไปทำภารกิจลับ แล้วถ้าเกิดยังมีคนกล้าถามต่อว่าภารกิจลับอะไร ก็จะถูกตะคอกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมว่า ภารกิจลับคือภารกิจที่ไม่ต้องบอกใคร มีความจำเป็นอะไรต้องบอก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็อยากทราบว่าการที่ดวงดาวเสียความสมดุลนั้น ส่งผลกระทบอะไรต่ออาณาจักรตนและอาณาจักรศัตรูบ้าง พระองค์จึงเรียกขุนนางหลายคนมาประชุมในท้องพระโรง ขุนนางบางคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ยังเสนอหน้าเข้ามาร่วมประชุมเพื่อเอาหน้า
“--ความหนาวเย็นและความแห้งแล้งอาจส่งผลในบางพื้นที่ แต่ก็ไม่เกิดปัญหาใดๆ พะยะค่ะ เนื่องจากระบบชลประทานของเราดีเยี่ยม” ขุนนางแก่ๆ คนหนึ่งรายงาน “ความแห้งแล้งจากความเย็นไม่สร้างความเสียหายมากเท่าความแห้งแล้งจากความร้อน อีกทั้งยังส่งผลดีสำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูหนาวบางชนิด บางพื้นที่ไม่เคยปลูกสตรอว์เบอร์รี่กับแอปเปิลได้มาก่อนก็สามารถปลูกได้ หม่อมฉันภูมิใจที่โมราโซมอสเป็นดินแดนที่ดีที่สุดพะยะค่ะ เหตุนี้มนุษย์เราถึงเจริญก้าวหน้าและขยายความยิ่งใหญ่ได้มากที่สุด”
“มันไม่ส่งผลเสียอะไรก็ดีแล้ว” พระราชาสบายใจขึ้น แน่ล่ะ พระองค์มีส่วนทำให้เกิดการเสียความสมดุลครั้งนี้ คงรู้สึกไม่ดีนักหากมันส่งผลกระทบแย่ๆ “แล้วอาณาจักรของพวกศัตรูล่ะ”
“อาณาจักรแบร์ร็อคก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักพะยะค่ะ” แม็ค แรคแทนทินทูล “อาณาจักรของพวกนั้นเป็นพื้นที่กึ่งทะเลทรายที่มีอากาศร้อน พืชพรรณและสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรก็อดทนต่อความร้อนและความแห้งแล้ง ส่วนอากาศที่เย็นลงก็ไม่ได้ลดความร้อนของอาณาจักรนั้นลงเท่าไรนัก”
“อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลได้รับผลกระทบมากกว่าเราและแบร์ร็อค แต่ก็คาดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับพวกดาร์คเนสดีวิลนัก พวกนั้นคุ้นเคยกับความหนาวเย็น แม้อุณหภูมิจะต่ำลงอีกก็ไม่น่าจะสร้างความลำบากนัก ขณะที่พืชพรรณและสิ่งมีชีวิตก็มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับที่แบร์ร็อค หม่อมฉันคิดว่าการที่ดาวดวงนี้สุญเสียความสมดุลก็ไม่ได้ทำให้พวกดาร์คเนสดีวิลลำบากอะไรนักพะยะค่ะ” แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงรายงาน “แต่ฝ่ายที่ลำบากจะเป็นเรา หากต้องการจะยกทัพไปที่นั่น เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดทวีความหนาวเย็นขึ้นมาก ไม่เหมาะแก่การเข้าไปใกล้”
“แน่ล่ะ ยกทัพไปตอนนี้ แบล็กไรดิงฮู้ดได้โปรยฝนใส่เราแข็งตายกันหมดแน่” พระราชาเห็นด้วย “ถึงอย่างไรตอนนี้เราก็ยังไม่มีปัญญายกทัพไปไหนอยู่ดี เราเสียหายจากการทำศึกมาหลายครั้ง สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ใช้กำลังพลที่เหลือในการปกป้องอาณาจักร ขณะที่กำลังฟื้นฟูตัวเอง”
“ทูลฝ่าบาท” แร็กซ์ริงออกความเห็น “สำหรับอาณาจักรที่ได้รับอิทธิพลจากดวงดาวสูญเสียความสมดุลมากที่สุด คืออาณาจักรไอซ์เมส ที่นั่นหนาวเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
“แล้วมันสำคัญยังไง” พระราชาไม่อยากจะใส่ใจ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเอลิลจะเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วพะยะค่ะ พวกนั้นคงจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมายในระยะเวลาอันสั้น” แร็กซ์ริงชี้แจง “เท่าที่เรารู้คือเอลิลไม่ได้เป็นมิตรกับเรา แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นศัตรูหรือเปล่า ถ้าหากเป็น การที่พวกนั้นเพิ่มจำนวนได้มากย่อมไม่เป็นผลดีต่อเรา”
“ถึงอย่างไรพวกนั้นก็คงไม่คิดจะกำจัดเราง่ายๆ เพราะต้องใช้เราเป็นตัวกั้นระหว่างแบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนล ถ้าพวกเอลิลจะกำจัด ก็คงกำจัดพวกดาร์คเนสดีวิลกับพวกโฮเซ่ก่อนเรา ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี มีคนช่วยกำจัดศัตรูให้เรา” พระราชาพูด “บางที หากในอนาคตเราเข้มแข็งพอ เราก็สามารถฉวยโอกาสยกทัพไปกำจัดพวกเอลิล หลังจากที่พวกเอลิลกำจัดศัตรูให้เราหมดแล้ว กลายเป็นว่าเราคือผู้พิชิตคนสุดท้าย”
“ทรงพระปรีชายิ่งนักพะยะค่ะ” เอ็ดด์ เฟรเทลได้ทีประจบใหญ่
“กระนั้น หม่อมฉันคิดว่าเราก็ควรระมัดระวังตัวไว้บ้างพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงพูด “ตอนนี้หลายเมืองสำคัญของเรากำลังอ่อนแอ ซาโมโรว์ก็กำลังเสียหาย โอมิลรอนก็ขาดแคลนกำลังพล”
“เรื่องนี้ข้าคิดไว้แล้ว” พระราชาพูด “ข้าได้มอบหมายให้แม็คหลานชายของข้าส่งกำลังไปเสริมที่โอมิลรอน คาดว่าจะไปถึงที่นั่นในอีกไม่กี่วัน”
“หลานส่งกองกำลังฮาล์ฟเรดไปส่วนหนึ่งพะยะค่ะ ท่านเจ้าเมืองแร็กซ์ริงคงจะพอใจที่ได้ร่วมงานกับลูกชาย” แรคแทนทินทำหน้าทำตาเยาะเย้ย “เขาจะได้เลิกเหน็บแนมหลานเรื่องที่ปฏิบัติต่อบุตรชายของเขาอย่างไม่ยุติธรรม ทั้งที่หม่อมฉันยึดถือความยุติธรรมยิ่งนัก”
พูดมาได้ไม่อายปาก หน้าด้านหน้าทนสมเป็นนักการเมืองโดยแท้ รู้กันอยู่ว่าแรคแทนทินส่งพวกฮาล์ฟเรดไปที่โอมิลรอน ก็เพื่อจะได้ไม่ต้องส่งมนุษย์แท้ๆ ในสังกัดของตนไป ในช่วงเวลาที่กองทัพขาดแคลนเช่นนี้ เขาย่อมต้องการเก็บรักษากองทัพของตนไว้ แต่แร็กซ์ริงก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงในเรื่องนี้ อย่างน้อย ให้แอนโทดัสบุตรชายของตนกับพวกพ้องฮาล์ฟเรดส่วนหนึ่งออกมาอยู่นอกการบัญชาของแรคแทนทินได้สักระยะหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว
“เอาล่ะ รวมๆ แล้วสถานการณ์ของเราดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา” พระราชากล่าว “สองศัตรูของเรากำลังวุ่นวายกับพวกเอลิล เราปลอดภัยจากพวกมันอีกยาว อาจทำให้เรามีเวลาฟื้นฟูตนเองจนกลับมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงอำนาจที่สุดอีกครั้ง แล้วจะได้ทำอะไรง่ายขึ้น”
“ทูลฝ่าบาท” อาร์รอส ไอวิวรี่เอ่ยขึ้น เหมือนเช่นทุกครั้งที่ทุกคนแทบจะไม่สังเกตว่าเขาอยู่ในท้องพระโรงด้วย เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสงครามและการเมืองกับบรรดาขุนนางจอมละโมบและพระราชาอยู่แล้ว หากไม่มีอะไรสำคัญหรืออะไรที่เกี่ยวกับหน้าที่เขา เขาก็จะยืนเงียบ แต่ครั้งนี้จำต้องเอ่ย “แม้ว่าเรื่องจากภายนอกอาณาจักรจะไม่มีปัญหานัก แต่เรื่องภายในอาณาจักรก็ยังมีปัญหา ประชาชนของเราโอดครวญเรื่องภาษีที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ลัทธิศาสนาเสื่อมถอยถึงขั้นวิกฤต ประชาชนจำนวนมากมายยังไม่พอใจกับการสลายการชุมนุมครั้งนั้น เพราะมีทั้งคนเจ็บคนตายคนเสียหายมากมาย อีกทั้งยังกังวลต่อภัยคุกคามนอกอาณาจักรที่อาจขยายมาถึงอาณาจักรนี้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ว่าประชาชนกลุ่มไหน ตอนนี้ก็เริ่มเสื่อมศรัทธาและเสียความเชื่อมั่นต่อบรรดาผู้ปกครองและผู้บริหารบ้านเมืองกันหมด”
“ข้ามอบหมายหน้าที่ให้เจ้าดูแลความสงบภายในอาณาจักรของเรา เจ้าปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” พระราชาตะคอกใส่อาร์รอส
“หม่อมฉันทำตามที่พระองค์สั่งทุกประการ และพยายามใช้ปัจจัยสนับสนุนอันมีจำกัดที่พระองค์มอบให้เท่าที่หม่อมฉันจะทำได้ และนี่ก็คือผลของมัน” อาร์รอสสวนกลับ “หม่อมฉันเองก็เคยกราบทูลไปแล้ว เรื่องที่พระองค์ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม มันจะนำไปสู่ความเกลียดชังของประชาชนต่อผู้ปกครอง โดยเฉพาะเมื่อพระองค์สลายทุกกลุ่ม ทุกกลุ่มก็ย่อมหันมาเสื่อมศรัทธาพระองค์กันหมด ยิ่งพระองค์ไปขึ้นภาษีในช่วงเวลาที่ลำบากยากแค้น ยิ่งเพิ่มจำนวนประชาชนที่ไม่พอใจมากขึ้นอีก มีหลายพื้นที่ที่ประชาชนเริ่มกระด้างกระเดื่องต่อผู้ปกครอง พวกเขาต้องการสิ่งที่มันยุติธรรมมากกว่านี้”
“ยุติธรรมบ้าบออะไร เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาสงครามนะ แล้วอาณาจักรเราก็ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันจะต้องมีระเบียบเรียบร้อย” พระราชาตะโกนลั่น “การทำสงครามมันมีค่าใช้จ่ายสูง ข้าต้องเก็บภาษีเพื่อให้มันเพียงพอ พวกดาร์คเนสดีวิลกับพวกโฮเซ่บุกโจมตีสองเมืองสำคัญของเรา ขณะที่ประชาชนหลายกลุ่มกลับมารวมตัวชุมนุมกันกดดันข้า ข้าก็ต้องสลายกลุ่มพวกมันไป เศรษฐกิจตกต่ำมันเป็นธรรมดาของช่วงเวลาสงคราม พวกมันคิดว่าจะกินดีอยู่ดีตอนที่พวกดาร์คเนสดีวิลปิดล้อมเมืองหรือตอนที่พวกโฮเซ่ยกพลขึ้นบกหรือไง”
“ขณะที่ประชาชนกำลังยากจนและอดอยาก บรรดาขุนนางของพวกเขา โดยเฉพาะกษัตริย์ของพวกเขา ก็ยังคงอยู่ดีกินดีและร่ำรวยไม่ต่างจากเดิม” อาร์รอสว่า “พวกเขาเริ่มเหลืออดกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม เริ่มมีอคติกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
“พวกมันมีสิทธิ์อะไรมาคิดเช่นนี้” พระราชาหน้าแดง
“พวกเขาก็แค่แสดงความไม่พอใจ ที่บรรดาคนผู้ซึ่งปกครองพวกเขา กินเงินภาษีกินเสบียงของพวกเขา ใช้แรงงานพวกเขา ให้พวกเขาแสดงความเคารพทุกครั้งที่เดินผ่านนั้น” อาร์รอสพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว “แทบไม่ได้ตอบแทนอะไรพวกเขาเลย นอกจากสร้างความลำบากเพิ่มให้มากขึ้น”
เจ้าเมืองหลายคนทำสีหน้าไม่สู้ดี บางคนโกรธ คำพูดเหล่านี้มันกระทบกระเทือนจิตใจพวกเขา ส่วนพระราชานั้นไม่ต้องพูดถึง แทบจะควันออกหูด้วยความโกรธ
“สามหาว” พระองค์คำรามลั่น “กล้าดียังไงมาพูดจาอย่างนี้”
“หม่อมฉันจะพูดจายังไง ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงได้ว่า ตอนนี้ประชาชนกำลังเสียความเชื่อมั่นในบรรดาผู้ปกครองกันเกือบทั้งอาณาจักร” อาร์รอสพูดเรียบๆ “หลังจากไม่มีบรรณาการจากพวกดาร์คเนสดีวิล ไม่มีใครเป็นแรงงานรองมือรองเท้า ไม่มีใครเป็นโล่กำบังสงครามให้ ซ้ำร้ายโล่ที่ว่านั่นยังเปลี่ยนเป็นดาบหันกลับมา ประชาชนมนุษย์ก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มเผชิญกับลำบาก หวาดระแวงภัยจากภายนอกมากขึ้น ลูกหลานของพวกเขาถูกเกณฑ์ไปรบแล้วก็ตายกันอย่างเปล่าประโยชน์ ขณะที่เหล่าขุนนางของพวกเขายังมีชีวิตอย่างสุขสำราญ แทบไม่เคยโผล่หน้าไปมองชีวิตอันยากแค้นของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ และข้าก็เชื่อว่า มีประชาชนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จำหน้ากษัตริย์ของพวกเขาได้”
“ข้าเป็นกษัตริย์ ข้าอยู่สูงที่สุดในมวลมนุษย์ มันเรื่องอะไรที่ข้าจะต้องเอาหน้าไปให้พวกนั้นเห็น” พระราชาตวาด
“ผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอลดำรงชีวิตอยู่ในหมู่ประชาชนของเธออย่างเท่าเทียม ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลยืนอยู่แถวหน้าสุดในศึกทุกครั้ง แม้แต่ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ระบอบที่ใกล้เคียงกับเรา เขาก็ยังร่วมต่อสู้ในสนามรบกับทหารของเขาด้วย” อาร์รอสพูด “ขณะที่พลเรือนและกองทัพของเรา เริ่มจะสงสัยว่าผู้นำของตน ยังมีตัวตนอยู่หรือเปล่า”
“สามหาว” พระราชาลุกยืนจากบัลลังก์ ชี้หน้าอาร์รอส “วันนี้ข้าไม่ต้องการจะฟังอะไรจากเจ้าอีกแล้ว กลับไปที่เมืองของเจ้า แล้วไม่ต้องมาอีกจนกว่าข้าจะเรียกประชุม”
อาร์รอสโค้งศีรษะ แล้วเดินออกนอกท้องพระโรงไป แรคแทนทินกับเฟรเทลยิ้มเยาะ
“พวกไอวิวรี่ ต้องทำสิ่งขัดตาต้องพูดจาขัดหูข้าตลอด” พระราชาค่อยๆ นั่งลงบนบัลลังก์ หอบหายใจด้วยความโกรธ “ดูสิ แอนโทนิดัส หลานของข้ามันเอาข้าไปเปรียบกับเจ้าชั้นต่ำสามคนนั้น เขายังเห็นข้าเป็นพระราชาอยู่อีกไหม”
“โปรดอย่าถือโทษอาร์รอสเลยนะพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงช่วยแก้ตัว “อย่างน้อยเขาก็พูดถูกเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร” พระราชาขึ้นเสียงทันที
“เรื่องที่พระองค์ห่างหายจากการพบปะประชาชนและเหล่าทหารมานานพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงพูดอย่างระมัดระวัง “มันคงจะสร้างขวัญ กำลังใจ และความมั่นใจไม่น้อย หากพระองค์ได้แสดงตัวให้พวกเขาเห็นบ้าง”
“นั่นสินะ” พระองค์ครุ่นคิด “หลายคนเข้าใจว่า ที่ข้าแทบไม่โผล่หน้าไปให้ประชาชนเห็น ก็เพราะข้าแก่ชราจนออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ข้าจะได้แสดงให้ทุกคนเห็นเสียที ว่าข้ายังแข็งแรง และมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานแสนนาน”
“ถูกแล้วพะยะค่ะ”
“เป็นความคิดที่ดี” พระราชากล่าว “ข้าจะลองวางแผนเรื่องนี้ดู”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ