พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) บทที่ 27 แผนการเดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 27

แผนการเดินทาง

 

            หลังจากดาบไอซ์แอคเซอร์ถูกปลดปล่อยจากการจองจำอันยาวนาน สภาพอากาศของดวงดาวส่วนซีกที่มีเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน เพียงคืนเดียวเท่านั้นอุณหภูมิของแต่อาณาจักรต่างก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด พื้นที่ใดไม่เคยมีหิมะตกมาก่อนก็มีหิมะบางๆ โปรยปรายจากฟ้า พื้นที่ใดมีสภาพอากาศหนาวเย็นและมีหิมะตกอยู่แล้วก็ยิ่งทวีความหนาวเย็นมากขึ้นอีก ความชุ่มชื้นในบางพื้นที่เริ่มเหือดหายเพราะความหนาวเย็นได้นำพาความแห้งแล้งมาด้วย สำหรับอาณาจักรไอซ์เมสนั้นดูจะได้รับอิทธิพลเรื่องความหนาวเย็นมากที่สุด สภาพอากาศที่นั่นเดิมทีหนาวเย็นมากอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงขั้นเรียกได้ว่าหนาวร้ายกาจ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะดวงดาวสูญเสียความสมดุลนั่นเอง ผลข้างเคียงโดยไม่ตั้งใจจากคำสาปของพวกไซคัส เมื่อดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่งถูกปลดปล่อยโดยที่อีกเล่มยังถูกจองจำอยู่ มันจะส่งผลให้ดาวดวงนี้สูญเสียความสมดุล อาณาจักรกาโกคอลได้รับผลกระทบชัดเจน เนื่องด้วยเป็นอาณาจักรแห่งธรรมชาติและความสมบูรณ์ เมื่อธรรมชาติเปลี่ยน สิ่งต่างๆ ในอาณาจักรก็ย่อมเปลี่ยนตาม แอเมน่า สกายซี ผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอลได้รับรายงานถึงผลกระทบต่างๆ ในอาณาจักรเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องพื้นดินบางส่วนเริ่มแห้งแข็งเพราะขาดความชุ่มชื้น ต้นไม้บางส่วนจะเริ่มอ่อนแอเพราะดินไม่ดี นกบางชนิดที่ไวต่อสภาพอากาศอย่างมากเริ่มพากันตาย สัตว์ในป่าบางชนิดเริ่มพากันอพยพเพื่อหาที่อยู่ใหม่จนวุ่นวายทั้งป่า

          เป็นเหตุให้เหล่าผู้ปกครองอาณาจักรทุกคนต้องมาหารือกันในห้องประชุม ห้องที่อยู่บนยอดสูงสุดของปราสาทต้นไม้ เป็นห้องวงกลมที่มีลักษณะคล้ายโดมโค้ง รอบด้านเป็นกิ่งไม้ใบไม้ มีช่องหน้าต่างหลายช่องสำหรับให้มองออกไปข้างนอก แสงดาวยามค่ำคืนส่องผ่านลงมา ฟอเรสเทอร์ทั้งห้าคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตน ล้อมรอบห้องเป็นวงกลม แต่ละคนสวมขนนกประจำตำแหน่งบนศีรษะ แอเมน่านั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานที่ปูด้วยขนสัตว์ สวมมงกุฎขนนกหัวหน้าเผ่า ดูสวยสง่าและมีอำนาจ ที่นั่งพูดอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอคือไมริฟ โบรริฟเวอร์ หัวหน้าวูดส์วาร์เด็น วันนี้เธอไม่สวมชุดนักรบ แต่สวมชุดกระโปรงตัวเล็กบาง ประดับด้วยดอกไม้ ดูสวยไปอีกแบบ มันรับกับผิวขาวนวลเนียนและรูปร่างสวยๆ ของเธอมาก

          “--ขืนสภาพอากาศเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ กาโกคอลอาจสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ในระยะยาวค่ะ” เธอชี้แจง “อาณาจักรของเราเป็นดินแดนที่มีความเป็นวัฏจักรธรรมชาติสูง หากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกระทบกระเทือน สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่พึ่งพากันก็จะกระทบกระเทือนไปด้วย ความสมดุลของป่าเขาที่เคยเป็นมาจะอยู่ในสภาพแปรปรวน”

          “นั่นไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของปัญหาที่เราควรกังวลหรอก” ไลคอลี่ ซิวาลินบอก “ที่เราควรกังวลก็คือ อาณาจักรไอซ์เมสหนาวเย็นขึ้นมาก พวกท่านคงทราบใช่ไหมว่ามันเป็นปัญหายังไง”

          “เอลิลศัตรูของเรา สามารถเพิ่มจำนวนได้มากขึ้นและเร็วขึ้น” อาร์ทูมิสพูด “พวกนั้นอาศัยแร่ไอซ์โกสท์ในการสร้างประชากร ซึ่งแร่ที่ว่านั้นจะเกิดขึ้นได้มากเมื่ออยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็น อีกทั้งความหนาวเย็นก็ทำให้กระบวนการผลิตประชากรเอลิลรวดเร็วขึ้นด้วย”

          “ที่ผ่านมา เอลิลเสียหายจากการทำศึกติดต่อกันหลายครั้ง” เซ็นแวนเดอร์ประเมิน “แต่ตอนนี้ได้ความหนาวเย็นเข้าช่วย กองทัพเอลิลจะฟื้นฟูอย่างรวดเร็วแน่”

          “ไม่ใช่แค่ฟื้นฟู” ซิวาลินเสริม “แต่จะขยายขนาดพัฒนา จนมีมากกว่าเดิมหลายเท่า”

          “พวกนั้นมีอาวุธที่ดีกว่าเรา มีความสามารถด้านการทหารมากกว่าเรา มีความฉลาดก้าวหน้าเรื่องสงครามมากกว่าเรา” แอเมน่ากล่าว “ถ้ามีกองทัพขนาดใหญ่กว่าเราในอัตราส่วนที่ต่างกันมากๆ เราจะเอาอะไรไปสู้ได้ หากพวกนั้นคิดจะกำจัดเราเป็นฝ่ายแรก”

          “หากอาณาจักรไอซ์เมสยังคงความหนาวเย็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเอลิลก็จะมีอำนาจขึ้นเรื่อยๆ อาจถึงขั้นไม่มีใครพิชิตลงได้” เซ็นแวนเดอร์พูดด้วยเสียงกดดัน “ใครหนอไปปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่ง ทำให้สภาพอากาศกลายเป็นแบบนี้”

          “มีวิธีจะทำให้สภาพอากาศกลายเป็นเหมือนเดิมไหมคะ” ไมริฟถาม ต้องนั่งไขว่ห้างตลอดเวลาเพราะชุดที่เธอสวมค่อนข้างสั้น วัยรุ่นยังไงก็คือวัยรุ่น

          “มีอยู่วิธีเดียว” แอเมน่าตอบ “ปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งอีกเล่ม”

          ทุกคนไม่พูดอะไร ในใจคิดเหมือนกันว่า ลืมวิธีนี้ไปได้เลย

          “พวกท่านคิดว่า ใครเป็นคนปลดปล่อยดาบเล่มนี้” ซิวาลินสงสัย

          “จะเป็นใครก็ช่าง ดาบเล่มนั้นไม่สำคัญอะไร ประเด็นสำคัญคือผลที่ตามมาจากการปลดปล่อยดาบ มันทำให้กองทัพศัตรูของเรามีอำนาจมากขึ้น” เซ็นแวนเดอร์พูด “ทุกท่าน เผ่าพันธุ์ของเราผ่านสงครามมาน้อยที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่รักความสงบและความสบาย นักรบส่วนใหญ่ก็ไม่เคยผ่านสงครามจริงๆ หากวันใดพวกเอลิลยกกองทัพมหึมาตรงมายังกาโกคอล ผู้คนของเราได้ขวัญเสียกันทั้งอาณาจักรแน่”

          “ทุกท่านคะ ข้าขออนุญาตเสนอความคิด” ไมริฟเอ่ยขึ้น

          “พวกเราพร้อมฟัง” แอเมน่าพยักหน้า

          “พวกเอลิลแข็งแกร่งเกินไป เราสู้โดยลำพังไม่ไหว” ไมริฟพูด “แต่พวกเอลิลก็ยังมีศัตรูอีกสองฝ่าย ซึ่งทั้งสองก็แข็งแกร่งกว่าเรา พวกโฮเซ่ พวกดาร์คเนสดีวิล สองเผ่าพันธุ์นี้เกือบจะร่วมกันล้มพวกมนุษย์ได้ทีเดียว ทำไมเราไม่ส่งคนไปเจรจาขอความร่วมมือจากสักฝ่ายล่ะคะ”

          ทุกคนหันมามองเธอ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยกันทุกคน

          “เหตุที่ก่อนหน้านี้ ข้าไม่ให้เราไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนั้น ก็เพราะพวกนั้นทำสงครามมาตลอด นอกจากจะมีศัตรูเป็นพวกเอลิลแล้ว ยังมีศัตรูเป็นพวกมนุษย์ด้วย” แอเมน่าพูด “ถ้าเราไปมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ความวุ่นวายจะติดมาด้วย”

          “แต่ตอนนี้ความวุ่นวายกำลังจะมาเยือนเราแล้วนะคะ” ไมริฟแย้ง “เราอ่อนแอที่สุดในบรรดาศัตรูของพวกเอลิล ถ้าพวกเอลิลคิดจะกำจัดเราก่อน เราจะมีปัญญาไปสู้อะไร”

          “ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาสงคราม เผ่าพันธุ์ที่รับศึกสงครามมากๆ จะดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด พวกนั้นไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากหาทางปกป้องตนเอง” ซิวาลินพูด “เราไม่มีผลประโยชน์อะไรให้พวกนั้น มีหรือพวกนั้นจะแยแสเรา สุดท้ายแล้ว ทุกเผ่าพันธุ์ก็ทำเพื่อตนเองทั้งนั้น”

          “ครั้งสุดท้ายที่พวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลร่วมมือกัน พวกนั้นเสียหายหนักกันทั้งคู่” อาร์ทูมิสบอก “พวกนั้นคงไม่คิดจะร่วมมือกับคนต่างเผ่าพันธุ์อีกเร็วๆ นี้”

          “พวกนั้นเสียหายจากการทำศึกมาหลายครั้ง ถ้าคิดว่าพวกนั้นจะถึงขั้นส่งทัพมาช่วยเหลือเรายามคับขัน ให้คิดใหม่ได้เลย” เซ็นแวนเดอร์มั่นใจ “ในตอนนี้กองทัพเป็นสิ่งมีค่ามหาศาลเกินกว่าจะนำไปใช้ช่วยเหลือใครได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมในอดีต พวกเฟลมฟอร์สถึงคอยส่งกองทัพไปสร้างความเสียหายให้แก่ศัตรูทุกฝ่ายให้เสียหายพร้อมๆ กัน ไม่ตั้งเป้ากำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อน พวกนั้นต้องการให้ศัตรูทุกฝ่ายเสียหายจนช่วยเหลือกันไม่ได้ แน่ล่ะ ใครจะอยากช่วยเหลือใคร ในเมื่อลำพังตนเองก็จะไม่รอด”

          “แต่อย่างน้อย เราก็ควรสื่อสารกับพวกนั้นบ้างไม่ใช่หรือคะ” ไมริฟชี้แจง “เพราะมันดูเป็นหนทางเดียวที่เราจะทำได้ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว”

          ทุกคนนิ่งคิด มันก็จริงของเธอ ถึงอย่างไรทำอะไรสักอย่าง ก็ยังดีว่าไม่ทำอะไรเลย

          “แล้วเจ้าคิดว่าพวกไหนที่เราควรเจรจาด้วย” แอเมน่าถาม

          “พวกโฮเซ่เสียหายหนัก สถานการณ์ของอาณาจักรอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง” ไมริฟพูด “ข้าคิดว่าเราควรเจรจากับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเอลิล พวกดาร์คเนสดีวิลค่ะ"

          เป็นอีกครั้งที่ทุกคนมองเธอด้วยสายตาไม่เห็นด้วย

          “ไม่ควรทำอย่างนั้น” เซ็นแวนเดอร์พูดทันที “พวกปีศาจทั้งป่าเถื่อน ร้ายกาจ เลือดเย็น เปี่ยมไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และเป็นเผ่าพันธุ์ที่นิยมการผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่นน้อยที่สุด พวกนั้นเกลียดแขกที่ไม่ได้รับเชิญยิ่งกว่าอะไรดี”

          “ในอดีต เราเคยผูกมิตรกับพวกดาร์คเนสดีวิล แต่นั่นมันก็ตอนที่โฟรเซ็นทิเนลยังเป็นอาณานิคมของพวกมนุษย์ ตอนนี้ดาร์คเนสดีวิลรุ่นปัจจุบันไม่มีอะไรเหมือนดาร์คเนสดีวิลในอดีต แตกต่างกันราวกับคนละเผ่าพันธุ์ก็ว่าได้” ซิวาลินพูด “ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด พวกดาร์คเนสดีวิลน่ายุ่งเกี่ยวน้อยที่สุดแล้ว”

          “เราไม่อาจไว้ใจพวกนั้นได้ แล้วข้าก็มั่นใจว่าพวกนั้นไม่ไว้ใจเราเหมือนกัน” อาร์ทูมิสบอก “ทุกสิ่งที่พวกนั้นเป็น กับทุกสิ่งที่เราเป็น ล้วนแตกต่างกันแทบทุกอย่าง จะให้เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันเช่นนี้มาร่วมมือกัน มันทำได้ยากยิ่ง”

          “ฟอเรสเทอร์เก็บตัวอยู่ในป่ามานาน เราไม่กล้าเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ  ไม่มีแนวคิดใหม่ๆ  นั่นทำให้เราล้าหลังกว่าเผ่าพันธุ์อื่นมาตลอด” ไมริฟยืนขึ้นพูด “เราอาจคิดว่าเราอยู่กันอย่างสงบ ห่างไกลจากความวุ่นวาย แต่เราต้องยอมรับความจริงค่ะ ว่าดาวดวงนี้มันโหดร้าย เราไม่มีวันหนีความวุ่นวายพ้น เราไม่ทำร้ายใครก็ใช่ว่าจะไม่มีใครทำร้ายเรา หากเราจะอยู่อย่างสงบ เราก็ต้องปกป้องตนเอง และหากเราจะปกป้องตนเอง เราก็ต้องเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ทำสิ่งที่มันแตกต่างไปจากเดิมบ้าง เพราะศัตรูของเราไม่หยุดอยู่กับที่เหมือนเรา” เธอกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ท่านหัวหน้าเผ่าคะ ข้าขออาสาเป็นผู้เดินทางไปเจรจากับพวกดาร์คเนสดีวิลเอง โปรดอนุญาตข้าด้วย”  

          ทุกคนสะดุ้งสุดตัว

          “นั่น” แอเมน่าพูดอย่างจริงจัง “ข้าคงไม่สามารถอนุญาตได้”

          “ท่านหัวหน้าเผ่าคะ ได้โปรด”

          “ไมริฟ เจ้ากำลังจะเข้าไปในดินแดนที่อันตรายมากนะ คนสติดีจะไม่เหยียบเข้าไปถ้าเลือกได้” อาร์ทูมิสเตือน “ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงเวลาสงคราม ยิ่งไม่ปลอดภัย”

          “ในตอนนี้พวกเอลิลกำลังเก็บตัวสร้างกองทัพอยู่ในไอซ์เมส พวกมนุษย์ก็รักษาบาดแผลจากศึกสงครามที่ผ่านมา” ไมริฟให้เหตุผล “ข้าคิดว่าช่วงเวลานี้เหมาะสมที่จะเดินทางไปแล้วค่ะ เส้นทางกำลังสงบ ต้องรีบไปก่อนที่จะมีการต่อสู้เกิดขึ้นอีก”

          “โฟรเซ็นทิเนลไม่ใช่ดินแดนที่น่าอยู่ ถ้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์แดนหนาว เมื่อเดินทางเข้าไปจะพบแต่ความลำบาก” เซ็นแวนเดอร์เตือนบ้าง “อีกทั้งอันตรายมากมาย ทั้งสภาพภูมิประเทศ สิ่งมีชีวิตที่อันตราย สภาพอากาศที่หนาวเย็นจนฆ่าคนได้ คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าหลังจากดวงดาวเสียความสมดุล มันจะหนาวเย็นขึ้นอีกแค่ไหน เผ่าพันธุ์ที่เคยชินกับอากาศดีๆ ของกาโกคอลคงทนได้ลำบาก”

          “ท่านก็เคยเดินทางไปไอซ์เมสนี่คะ ที่นั่นหนาวกว่าโฟรเซ็นทิเนลอีก”

          “แล้วข้ากลับมาในสภาพไหนล่ะ” เซ็นแวนเดอร์ย้อน “ฟังนะไมริฟ หากเจ้าจะเข้าอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล เจ้าจะต้องไปที่เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด เมืองหน้าด่านที่แข็งแกร่งที่สุดในดาวดวงนี้ เมืองที่พวกมนุษย์ขยาดกลัวไปชั่วลูกชั่วหลาน เมืองที่แม้แต่พวกเอลิลก็ยังไม่มีปัญญาพิชิตได้ มันเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุด หนาวเย็นที่สุด ไม่น่าอยู่ที่สุด และอันตรายที่สุดในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล แม่ของข้าพูดมีเหตุผล คนสติดีจะไม่เหยียบเข้าไปถ้าเลือกได้”

          “ข้าไม่หวั่นเกรงต่อความยากลำบากค่ะ ทุกท่านโปรดเชื่อมั่นในความสามารถของข้า”

          “พวกคนแคระจากโอมิลรอนลอบเข้าไป ไม่มีใครรอดกลับมาสักคน ยิ่งในช่วงเวลาสงครามเช่นนี้พวกดาร์คเนสดีวิลยิ่งดุร้าย” ซิวาลินพูด “สิ่งที่พวกนั้นไม่ชอบที่สุด คือการมีกองกำลังติดอาวุธล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของตน”

          “นั่นคือเหตุผลที่ข้าจะไปคนเดียวค่ะ”

          “อะไรนะ” ทุกคนร้องพร้อมกัน

          “นั่นข้ายิ่งไม่อนุญาต” แอเมน่าพูดรัวเร็ว “ข้าจะเป็นหัวหน้าเผ่าแบบไหน หากส่งหัวหน้าวูดส์วาร์เด็นของตนไปเสี่ยงอันตรายอย่างนั้น”

          “หากไปเป็นกองกำลัง พวกดาร์คเนสดีวิลอาจยิงใส่เราก่อนได้ถาม แต่ถ้าข้าไปคนเดียว เป็นผู้หญิงคนเดียว ข้าเชื่อว่าพวกนั้นไม่ทำอะไรแน่ค่ะ” ไมริฟพูดอย่างมั่นใจ “มันจะเป็นการสร้างความประทับใจให้พวกนั้น การเจรจาจะง่ายขึ้นด้วยค่ะ”

          “ไมริฟ หลานสาว เดินทางคนเดียว โดยเฉพาะไปโฟรเซ็นทิเนล มันอันตรายมากนะ”

          “ข้าเชื่อว่ามันยังอันตรายน้อยกว่าให้มีกองกำลังติดตามข้าไปด้วยค่ะ ท่านหมอผี” ไมริฟยืนกราน “ทุกท่านคะ เราคนใดคนหนึ่งควรไปเป็นผู้เจรจา ซึ่งข้าเหมาะสมที่สุดแล้ว ข้าเดินทางนอกอาณาจักรบ่อยที่สุด มีความสนใจเหตุการณ์นอกอาณาจักรมากที่สุด อยู่ใกล้กับโลกภายนอกมากที่สุด ได้โปรดค่ะทุกท่าน ให้โอกาสข้าสักครั้ง ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นกับข้า ตำแหน่งของข้าก็ถือว่าสำคัญน้อยที่สุดในพวกเราทั้งหมด พวกท่านจะไม่เสียคนสำคัญมากนัก”

          ทุกคนเลื่อมใสในความตั้งใจของเธอ แม้เธอจะอายุร้อยกว่าปี แต่การที่เธอหยุดอายุในวัยสิบแปดสิบเก้าปีนี้ ทำให้เธอเป็นสาวไฟแรงจัด มีความกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม แม้แต่ละคนจะเป็นห่วงเป็นใยความปลอดภัยเธอ แต่ก็ไม่อาจทนเห็นไฟแห่งความมุ่งมั่นของเธอดับลงได้

          “ตกลง ไมริฟ ข้าอนุญาต” แอเมน่ายอมตาม “หากเจ้าสัญญาว่าจะระมัดระวังตัว และไม่ว่าเจ้าจะเจรจากับพวกปีศาจได้เรื่องหรือไม่อย่างไร ได้เจรจาหรือไม่ สิ่งที่เจ้าต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างแรกคือ เจ้าจะต้องปลอดภัยกลับมาให้ได้ นั่นคือคำสั่งของข้า ที่เจ้าจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”

          “ขอบคุณค่ะ ท่านหัวหน้าเผ่า” ไมริฟถอนสายบัวอย่างดีใจ “ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังค่ะ”

 

***************

 

          เมืองหน้าด่านฟรอสท์ไอรอนแคลดคือเมืองที่หนาวที่สุดในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล แต่เดิมนั้นพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลคุ้นเคยกับความหนาวเย็นในเมืองนี้ อยู่กันสบายๆ ไม่มีปัญหา แต่เมื่อมันเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นจากการที่ดวงดาวสูญเสียความสมดุล จึงไม่แปลกใจเลยที่จะมีการก่อไฟในฐานทัพมากขึ้น ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดไม่น่าอยู่อย่างยิ่ง ความหนาวนำอันตรายมาทางอ้อม แสงแดดจะปรากฏให้เห็นเพียงวันละชั่วครู่ บางวันก็มืดสนิทตลอดวัน แยกกลางคืนกับกลางวันไม่ออก ความแห้งแล้งจากความหนาวเย็นทำให้สัตว์ร้ายและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทวีความหิวโหยและดุร้าย หรือแค่ความหนาวก็สามารถฆ่าคนได้แล้ว ผลกระทบเหล่านี้ทำให้พวกดาร์คเนสดีวิลหันมาใส่ใจเรื่องดวงดาวเสียความสมดุล ทุกคนรู้ดีว่าเหตุเพราะดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่งถูกปลดปล่อยโดยที่อีกเล่มยังถูกจองจำ

          มีข่าวลือเล่าต่อกันมานานแสนนานว่า เบนิทัส โมเรย์ฮาน ผู้นำสูงสุดคนแรกของโฟรเซ็นทิเนลนั้น เกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับดาบแดนน้ำแข็งสักเล่ม เดิมทีเหล่าผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลชุดปัจจุบันไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก เพราะมันเป็นแค่ข่าวลือพันปีที่ไม่อาจสรุปได้ว่าจริงหรือไม่ ต่อให้จริงมัน ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุระของพวกเขา แต่ตอนนี้จะไม่สนใจไม่ได้แล้ว พวกเขาควรสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดคือต้องไปพบกับเลวี นักประวัติศาสตร์เก่าแก่ของเผ่าพันธุ์ ผู้ซึ่งรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มาตลอดชีวิต บางทีเขาอาจรู้อะไรเกี่ยวกับโมเรย์ฮานบ้าง

          เป็นเหตุให้ในวันนี้โซลิแทร์และเซซิลเดินทางมาเยือนเมืองหลวงโฟรเซ็นทิเนล เมืองที่พวกเขาทั้งคู่เคยสู้ศึกครั้งสุดท้ายกับพวกเฟลมฟอร์สเมื่อสิบเก้าปีก่อน พวกเขาเดินทางด้วยความรวดเร็วทางอากาศ โซลิแทร์ขี่เอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะประจำตัว ขณะที่เซซิลยืนอยู่บนรถม้าศึกที่เทียมอยู่กับเกราะด้านหลังของมัน เป็นรถม้าศึกที่ออกแบบให้บินได้ รูปลักษณ์คล้ายค้างคาวปีศาจ มันคันเล็กกว่า บางกว่า และมีน้ำหนักน้อยกว่ารถม้าบกที่ใช้เทียมม้าปีศาจ อีกทั้งยังมีปีกคู่ใหญ่เหมือนปีกค้างค้าวให้มันบินร่อนได้ รถม้าอากาศคันนี้เป็นตัวอย่างยานเกราะสงครามที่พวกดาร์คเนสดีวิลจะนำไปเสริมแสนยานุภาพให้ทัพอากาศ พวกเขามีโครงการจะเทียมรถม้าอากาศให้เอเลนเซฟเวอรี่ส่วนหนึ่ง ในเมื่อพวกเอเลนเซฟเวอรี่ไม่ยอมให้สิ่งมีชีวิตใดมาขี่หลังตนนอกจากโซลิแทร์ พวกเขาก็พลิกแพลงด้วยการเทียมรถม้าศึกเสีย ให้พวกดีวอเชอร์ร่วมต่อสู้กับพวกเอเลนเซฟเวอรี่บนฟ้าได้ ทัพอากาศดาร์คเนสดีวิลจะร้ายกาจขึ้นอีก พวกดาร์คเนสดีวิลรู้ดีว่าทัพอากาศคือจุดแข็งของกองทัพตน จึงเน้นเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันมากเป็นพิเศษ

          “การทดสอบเป็นอย่างไรบ้าง” โซลิแทร์หันไปถามผ่านหน้ากาก แม้จะพูดเสียงเบาท่ามกลางกระแสลมพัดรุนแรง แต่ด้วยอำนาจภาษาดาร์เคน ก็ทำให้เซซิลได้ยินชัดเจนเหมือนได้ยินข้างหู

          “หากปรับแต่งให้เหมาะสมอีกเล็กน้อย ก็ถือว่าโครงการนี้ผ่าน” เซซิลตะโกนตอบกลับ ไม่มีความสามารถประยุกต์ภาษาดาร์เคนเท่าโซลิแทร์ “บนอากาศไม่เหมือนบนบก โอกาสที่จะหักเลี้ยวกะทันหันมีมากกว่า เพราะศัตรูบินมาได้จากรอบทิศทาง ส่วนโอกาสที่จะปะทะกับอะไรสักอย่างมีน้อยกว่า เพราะในอากาศมีพื้นที่มาก ควรปรับแต่งแอกเทียมรถม้าให้มีความยืดหยุ่นในลักษณะของสปริง จะได้ไม่เสี่ยงต่อการแตกหัก และลดแรงกระแทกยามเลี้ยวกะทันหัน”

          “เรื่องเครื่องกลและเคมี ท่านเก่งที่สุดในเผ่าพันธุ์เราแล้ว อาจารย์เซซิล” โซลิแทร์พูดอย่างอารมณ์ดี “ทันทีที่ทำการปรับแต่งสมบูรณ์ ท่านจงอนุมัติโครงการเสีย แล้วส่งคำสั่งพร้อมแบบแปลนไปยังเมืองฟรอสท์ดีวิล ให้เริ่มต้นผลิตรถม้าศึกอากาศ”  

          “เราคือกำแพง” เซซิลทำแกนกากบาทรับคำสั่ง แล้วก็ต้องรีบจับขอบรถม้าทรงตัวเมื่อโซลิแทร์บังคับพาหนะให้บินเลี้ยว

          โฟรเซ็นทิเนล เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์ เคยได้รับความเสียหายจากศึกสงครามครั้งสุดท้ายกับพวกเฟลมฟอร์ส บัดนี้ได้ถูกฟื้นฟูรักษาจนกลายเป็นเมืองที่น่าอยู่และสวยงามพอตัว ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน ตึกรามบ้านช่องสวยงามและเป็นระเบียบ มีตลาดสำหรับให้ชาวเมืองได้แลกเปลี่ยนสิ่งของกัน (พวกดาร์คเนสดีวิลไม่มีเงินเป็นสื่อกลาง) มีสถาปัตยกรรมที่บ่งบอกถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลัง เมืองนี้ดูสวยงามแบบเรียบง่าย ไม่มีอะไรหรูหราเกินจำเป็นตามแนวสังคมนิยมของพวกดาร์คเนสดีวิล ทุกอย่างที่สร้างขึ้นจะต้องใช้ประโยชน์ได้ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพลเรือน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย พวกเขาไม่ต้องดิ้นรนหาความมั่งคั่งเหมือนพวกมนุษย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบแย่งชิงผลประโยชน์กัน ไม่มีการแบ่งชนชั้น ไม่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคม มีพื้นฐานอยู่ที่ความเสมอภาคและความเท่าเทียม

          แม้เมืองนี้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร แต่ก็รู้กันอย่างไม่เป็นทางการว่าตอนนี้เมืองหลวงที่แท้จริงคือฟรอสท์ไอรอนแคลด มันถือเป็นเมืองที่สำคัญที่สุด เพราะมันปกป้องเมืองอื่นๆ ทั้งอาณาจักร ปัจจัยต่างๆ ถูกส่งไปที่นั่นมากที่สุด เหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์และหน่วยงานทางการรบก็ประจำอยู่ที่นั่น นอกเหนือจากเรื่องทางการสงครามแล้วพวกดาร์คเนสดีวิลก็ไม่มีหน่วยงานอื่น เหล่าผู้นำไม่มีอำนาจเกี่ยวข้องด้านพลเรือนมากนัก ประชาชนดาร์คเนสดีวิลล้วนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง พวกเขาต้องการที่จะดูแลตัวเอง อยู่กันเองโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมาแทรกแซงให้ยุ่งยาก มันทำได้ไม่ยากเมื่อไม่มีระบบเงินตรา

          โซลิแทร์บังคับพาหนะร่อนลงจอดหน้าอาคารใหญ่หลังหนึ่ง ปีนลงจากอานพาหนะ เซซิลลงจากรถม้าอากาศพร้อมกับถอดหมวกเกราะนักรบออก เขาสวมมันเพื่อกันลม เบื้องหน้าของพวกเขาคือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ชาวเมืองที่อยู่ใกล้ๆ ต่างหันมาให้ความสนใจ หลายคนสังเกตเห็นตั้งแต่พวกเขาบินอยู่บนฟ้าแล้ว ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีคนจากหน่วยงานนักรบมาเยี่ยมเยียนเมืองนี้ คนมากมายเคยได้ยินเรื่องเล่าแต่ไม่เคยเห็นเอเลนเซฟเวอรี่ตัวจริง โดยเฉพาะเอเลนเซฟเวอรี่พันธุ์ประหลาดตัวนี้ พวกเด็กๆ ชี้ไม้ชี้มือกันใหญ่ บางคนถือตุ๊กตาเอเลนเซฟเวอรี่ที่ทำขึ้นเอง

          “เขาสวมผ้าคลุมฮู้ด เขามีเอเลนเซฟเวอรี่สีดำเป็นพาหนะ เขาคือแบล็กไรดิงฮู้ดนี่ เขาคือผู้นำสูงสุดของเรา”

          “นั่นดีวอเชอร์จริงๆ ด้วย เขาลอยได้จริงๆ เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนนะ ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ เขาคือเดอะ เจสเทอร์ มีผู้นำดาร์คเนสดีวิลมาที่เมืองเราตั้งสองคน”

          ชาวเมืองจำนวนมากมายต่างหลั่งไหลกันเข้ามาทักทายพวกเขา แต่ละคนซาบซึ้งที่พวกเขาต่อสู้ปกป้องอาณาจักร ปลดปล่อยเผ่าพันธุ์จากการเป็นอาณานิคม สร้างความหวังให้แก่พวกพ้อง ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น พวกเขาคือตัวอย่างและแรงบันดาลใจที่ดีของประชาชนเสมอ โซลิแทร์และเซซิลอดยิ้มไม่ได้ พวกเขาเสียสละต่อสู้มาแทบตาย มีคนจำนวนมากมายขนาดนี้ซาบซึ้ง มันก็เป็นกำลังใจอันล้นเหลือแล้ว เหล่าผู้นำดาร์คเนสดีวิลเป็นนักรบ ไม่ใช่นักการเมืองนักปกครอง เรื่องการพูดจาเอาอกเอาใจนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาถนัด เท่าที่พวกเขาทำได้ ก็แค่ทำแขนกากบาทแสดงความเคารพบรรดาชาวเมือง และเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดการธุระต่อไป

          เป็นอาคารที่ดูเรียบง่าย ไม่มีการตกแต่งเกินจำเป็น แต่ก็ดูสวยงามในแง่ของศิลปะ บรรยากาศทึบทึมตามแบบฉบับดาร์คเนสดีวิล พวกเขาเข้ามาในห้องโถงที่ไม่กว้างแต่ยาว มีคบเพลิงติดผนังตลอดด้านขวา และมีภาพเขียนติดผนังตลอดด้านซ้าย โซลิแทร์หันไปมองภาพหนึ่ง เขียนโดยไซคีย์ เซอร์เพ็นท์สโตน ในภาพมีร่างเล็กๆ สวมผ้าคลุมฮู้ดดำนอนหมอบอยู่บนพื้นหิมะ ท่าทางบาดเจ็บ เหนือหัวมีสายฟ้าฟาดลงไปใส่เงาร่างมังกรสีทองตัวมหึมาที่กำลังพลัดตกลงไปในหลุมที่ลุกเป็นไฟสีดำ มันคือภาพจำลองเหตุการณ์ระหว่างเขากับมาร์กอลลอสเมื่อสิบเก้าปีก่อน ไม่เหมือนจริงนัก แต่ก็สื่อความหมายออกมาเหมือนกัน

          อีกภาพหนึ่งวาดโดยคนเดียวกัน เป็นภาพร่างสูงในผ้าคลุมฮู้ดสีดำ ยิงพลุตราสัญลักษณ์แอ็กนอสทิกส์ครอสสีดำ(สัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล) ขึ้นฟ้าที่ส่องประกายด้วยแสงฟ้าแลบ โดยมีกองทัพนักรบดาร์คเนสดีวิลชูมือแสดงความดีใจอยู่รอบๆ บนพื้นแทบเท้าพวกเขามีธงสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ฉีกขาดหมดสภาพ ภาพนี้คงสื่อความหมายตอนที่เขาปลดปล่อยโฟรเซ็นทิเนลจากการเป็นอาณานิคม แต่ละภาพนั้นดูสวยงามและมีพลัง ทั้งสี แสง เงา องค์ประกอบต่างๆ ครบถ้วน โซลิแทร์รู้สึกดีมากที่ตนมีส่วนร่วมในภาพอันสวยงามเหล่านี้

          “ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ท่านอาจารย์เซซิล”

           บรรดาเด็กน้อยดาร์คเนสดีวิลทั้งหญิงชาย วิ่งมาตามความยาวห้องโถง ตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยความดีใจ เด็กเหล่านี้เป็นเด็กกำพร้ามาจากเมืองฟรอสท์เรน คงมีใครใจดีพาพวกเขามาเที่ยวที่นี่ แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ดูสกปรก มีรูปลักษณ์บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเด็กกำพร้า ครอบครัวของพวกเขาส่วนใหญ่ตายในสงคราม บางคนก็ไม่รู้ความเป็นมาของครอบครัว แต่ตอนนี้พวกเขาดูมีความสุขมาก ทั้งกอดแข้งกอดขากอดผ้าคลุมโซลิแทร์ กอดชายเสื้อคลุมแผ่นโลหะของเซซิล ปกติโซลิแทร์เป็นคนไม่ค่อยชอบเด็ก แต่เขารักเด็กกำพร้าพวกนี้เพราะเด็กพวกนี้ปฏิบัติตัวดีกับเขามาก บางทีมองเด็กพวกนี้ก็เหมือนมองตัวเองในอดีต ทั้งเขากับเซซิลก็เคยเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน

          “ระวังหน่อยนะเด็กๆ เกราะข้าบางส่วนมันคม ระวังสนับแขน แล้วนี่ นีดเดิ้ล แม่สาวน้อยของข้า” โซลิแทร์อุ้มเด็กหญิงดาร์คเนสดีวิลคนหนึ่งขึ้นมาชูขึ้นสูงอย่างเอ็นดู “สาบานได้เลยว่าเจ้าตัวสูงขึ้นเป็นฟุต นี่เราไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วหนอ”

          เด็กหญิงที่ชื่อว่านีดเดิ้ลหัวเราะอย่างมีความสุข โซลิแทร์วางเธอลงและคุกเข่าเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับพวกเด็กๆ

          “พวกท่านชนะกองทัพเอลิลหลายหมื่น พวกท่านสุดยอดจริงๆ ครับ”

          “เราก็แค่ทำหน้าที่ของเรา” โซลิแทร์ตบแก้มเด็กชายเบาๆ อย่างระมัดระวังที่สุด เพราะเขาสวมถุงมือเหล็ก และมีกรงเล็บเหล็กคมกริบที่สนับหลังมือ “ไม่ต้องห่วง พ่อหนุ่มน้อย ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้ากับเพื่อนๆ จะปลอดภัย เราจะคอยปกป้องตลอดเวลา”

          “ดาบเล่มนี้ใช่ไหมครับ ที่ท่านใช้ฆ่าศัตรูมานับไม่ถ้วน” เด็กชายอีกคนลูบมือบนด้ามดาบของโซลิแทร์ที่โผล่ออกมาจากผ้าคลุม

          “เพชรคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้หญิงมนุษย์ ส่วนดาบคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้ชายดาร์คเนสดีวิล” โซลิแทร์พูด “ดาร์คเนสดีวิลเพศชายส่วนใหญ่พกดาบกันทั้งนั้น เมื่อเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ ก็คงได้พกสักเล่ม”

          “ท่านดูผอมลงนะคะอาจารย์เซซิล ท่านดูแลตัวเองดีหรือเปล่าคะ”

          “ขอบใจที่เป็นห่วงรูบี้ แล้วเจ้าล่ะ เป็นเด็กดีหรือเปล่า อย่าไปดื้อซนแถวทะเลสาบอีกนะ มันอันตราย รู้ไหม”

          “อาจารย์เซซิลครับ ข้าแกะสลักตุ๊กตาไม้เป็นรูปท่านด้วย เป็นตัวโปรดของข้าเลย เสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้เอามาด้วย”

          “ท่านลอร์ดมืดครับ ดูนี่สิครับ ข้าทำมันขึ้นมาเอง” เด็กชายคนหนึ่งอวดกำไลข้อมือเหล็กให้ดู เป็นกำไลข้อมือรูปงู เป็นงานที่ละเอียดและสวยงามจนโซลิแทร์รู้สึกทึ่ง

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ทิน ตัวแค่นี้เจ้าเก่งขนาดนี้เลยหรือ”

          “ข้าชอบการทำเครื่องเหล็กครับ ข้าทำแล้วมีความสุข มันทำให้ข้าจิตใจสงบ ข้าเคยได้ยินว่าดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องเหล็ก ชายแท้ควรมีความสามารถเรื่องเครื่องเหล็กบ้าง”

          “แสดงว่าท่านลอร์ดมืดคงไม่ใช่ชายแท้” เซซิลหัวเราะ “แม้ว่าดาร์คเนสดีวิลชายเกือบทุกคนจะมีความสามารถเรื่องการตีเหล็กเป็นพื้นฐาน แต่ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ตีเหล็กไม่ได้เรื่อง เจ้าเก่งกว่าเขาตอนนี้เสียอีกทิน”

          “ขอบคุณอาจารย์เซซิล ท่านทำให้ข้าเสียหน้าทั้งที่ยังสวมหน้ากากอยู่” โซลิแทร์พึมพำ เด็กๆ หัวเราะชอบใจกันใหญ่ “นี่ทิน เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์เรื่องเครื่องเหล็ก ในเมื่อเจ้ามีความสุขกับมัน เจ้าอยากเรียนรู้เพิ่มเติมกับอาร์เรนัส มาร์คาร์ ช่างเหล็กที่เก่งที่สุดของเราไหม”

          “จริงหรือครับ” ทินน้อยตื่นเต้นใหญ่ ถอดกำไลส่งให้โซลิแทร์ “ท่านลอร์ดมืดครับ ถ้าท่านพบเขา โปรดมอบของขวัญชิ้นนี้ให้เขาด้วยนะครับ”

          “ไม่ต้องห่วงพ่อหนุ่ม ข้าได้พบเขาเร็วๆ นี้แน่ มีธุระทางสงครามอีกเยอะ”

          “ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” เสียงอ่อนๆ เบาๆ เรียกขึ้น

          โซลิแทร์เงยหน้าไปมอง เด็กน้อยร่างผอมบางซีดเซียวคนหนึ่ง ยืนอยู่กับชายดาร์คเนสดีวิลที่สวมหมวกไหมพรมสีฉูดฉาดไม่เข้ากับชุด เด็กน้อยคนนี้ดูไม่แข็งแรง ต้องถือไม้เท้าสองข้างพยุงตัว ใบหน้าซีกหนึ่งมีปานดำ เป็นเด็กที่น่าสงสาร แต่ใบหน้าของเขาดูมีความสุขมาก

          “ชาโดว์เฟส (Shadow Face)” โซลิแทร์เข้าไปหาเด็กน้อย คุกเข่าลงไปคุยด้วยใกล้ๆ ในบรรดาเด็กกำพร้าทั้งหมด เขาโปรดปรานคนนี้มากที่สุดแล้ว

          “วันนี้ข้ามีความสุขมากจริงๆ ครับ” เด็กน้อยพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างอ่อนพลัง “ช่วงนี้อาการของข้าดีขึ้น จึงได้มาเที่ยวที่นี่ แล้วยังได้พบท่านอีก ข้าดีใจจริงๆ ครับ”

          “แล้วเจ้าเป็นยังไงบ้าง” โซลิแทร์ลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้

          “ดีขึ้นบ้างแย่ลงบ้าง ตามปกติครับ บางวันข้าก็ทรมาน บางวันอย่างเช่นวันนี้ ข้าก็พอจะไปไหนต่อไหนได้” ชาโดว์เฟสพูดซื่อๆ ตามประสาเด็ก น่าสงสารจับใจ “ท่านลอร์ดมืดครับ ข้าได้ยินว่าท่านบาดเจ็บจากศึกครั้งล่าสุด ท่านเป็นอย่างไรบ้างครับ ข้าหวังจริงๆ ว่าท่านจะหายไวๆ”

          ช่างเป็นเด็กที่น่ารัก แม้ตนเองจะป่วยเปราะบางตลอดเวลา แต่ก็ยังห่วงโซลิแทร์มากกว่า

          “ข้าสบายดีเพื่อนยาก และหวังว่าเจ้าก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน” โซลิแทร์จับหน้าเด็กชายด้วยมือสองข้างอย่างรักใคร่ “เด็กดี”

          “ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม อาจารย์เซซิล” ชายที่สวมหมวกสีฉูดฉาดเดินเข้ามาทักทาย ทำแขนกากบาททำความเคารพ

          “เลวี” โซลิแทร์ยืนขึ้น ทำแขนกากบาทตอบกลับ เซซิลก็เช่นกัน

          “ดูสิ นีดเดิ้ลทำหมวกให้ข้า” เลวีชี้หมวกไหมพรมที่ตนสวม ดูไม่ค่อยสวยงามเป็นหมวกมากนัก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ามันเป็นฝีมือของเด็กวัยแปดเก้าขวบ เชื่อว่าอีกไม่นาน ฝีมือคงพัฒนาได้อีกมาก

          “โอ้โห! สวยมาก” โซลิแทร์แกล้งชม “ทีหลังเจ้าต้องทำให้ข้าสักใบแล้วนีดเดิ้ล”

          “ข้าอยากทำจริงๆ นะคะ แต่พอดีด้ายสีดำหมด ท่านลอร์ดมืดคงไม่สวมสีอื่นนอกจากสีดำ”

          “จะมีใครรู้ใจข้ามากไปกว่าเจ้าอีกหนอ” โซลิแทร์เอื้อมแขนยาวๆ ไปเชยคางเด็กหญิงอย่างเอ็นดู

          “เอาล่ะเด็กๆ นี่ก็สายแล้ว เดี๋ยวจะเดินทางกลับฟรอสท์เรนช้า” เลวีเอ่ยขึ้น “โอไรออนคงรอพวกเจ้าอยู่นอกพิพิธภัณฑ์ ไปกันได้แล้วเดี๋ยวเขารอ ข้าจะคุยธุระกับท่านลอร์ดมืดและอาจารย์เซซิลหน่อย แล้วนีดเดิ้ล จะไปอย่างนั้นเฉยๆ หรือ” เขาย่อตัวลง ชี้ที่แก้มตัวเอง “ลืมอะไรหรือเปล่า”

          นีดเดิ้ลเข้ามาหอมแก้มเขา เขาหยิกแก้มเธอเบาๆ อย่างรักใคร่ จากนั้นเด็กทุกคนก็บอกลาโซลิแทร์กับเซซิล (นีดเดิ้ลขอหอมแก้มเซซิลด้วย) ทยอยกันออกจากพิพิธภัณฑ์จนหมด ชาโดว์เฟสเป็นคนสุดท้ายเพราะต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวไปช้าๆ เขาหันมายิ้มให้โซลิแทร์ ก่อนจะกระย่องกระแย่งจากไป

          “น่าสงสาร” เลวีถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าเด็กน้อยคนนี้จะอยู่ได้อีกกี่ปี ร่างกายเขาอ่อนแอมาก”

          “ไม่มีทางรักษาเลยหรือ” โซลิแทร์พูดอย่างเศร้าใจ

          “มีทางเดียว ให้เขาเป็นดีวอเชอร์” เซซิลตอบ “ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะเข้มแข็ง มีชีวิตอยู่ได้จนกระทั่งถึงเวลา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเขาด้วย”

          “พวกท่านเป็นแรงบันดาลใจให้เขา” เลวีหันมายิ้มให้ทั้งคู่ “อาการของเขาควรจะทรุดหนักกว่านี้มาก แต่การต่อสู้ของพวกท่านนั้นจุดประกายความหวังให้แก่เขา มันทำให้เขามีกำลังใจที่จะสู้เหมือนกัน”

          “ก็ได้แต่หวังว่า เราจะไม่ทำให้เขาผิดหวังสักวัน” โซลิแทร์พูดเสียงเบา

          “ท่านทั้งสองมาพบข้าในวันนี้” เลวีพาทั้งคู่เดินไปตามห้องโถง “มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องดาบที่ถูกปลดปล่อยใช่ไหม”

          “ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับดาบแดนน้ำแข็งบ้าง” โซลิแทร์ถาม

          “ก็เหมือนกับที่หลายคนรู้ มันถูกสร้างจากโลหะที่มีพลังงานสูงมาก โคลด์เคมิสท์เป็นผู้สร้าง ไอซ์ครีเอเทอร์เป็นผู้ครอบครอง เมื่อเอลิลพ่ายสงครามแก่พวกไซคัส ดาบทั้งสองเล่มก็ถูกนำไปจองจำด้วยคำสาปรุนแรง ถึงกับมีการนำทองคำสีดำ แร่ที่หายากมากและมีพลังงานสูง มาหล่อเป็นแผ่นคำสาปสำหรับจองจำดาบแต่ละเล่ม” เลวีโบกไม้โบกมือ “เมื่อมีดาบสักเล่มถูกปลดปล่อย โดยที่อีกเล่มยังถูกจองจำอยู่ ดาวดวงนี้ก็จะเสียความสมดุล อากาศหนาวเย็นครึ่งดวงดาว ครึ่งที่เป็นดินแดนที่ทุกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ อย่างที่มันกำลังเกิดขึ้นตอนนี้”

          “ได้ยินมาว่า ผู้นำสูงสุดคนแรกของเรา มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับดาบแดนน้ำแข็งสักเล่ม” เซซิลถามต่อ “เหมือนกับว่าเขารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ”

          “มันก็แค่ข่าวลือ จริงไม่จริงก็ไม่อาจรู้ได้ มันผ่านมาเป็นพันปีแล้ว ข้อเท็จจริงอาจถูกบิดเบือนจนหมด” เลวีกล่าว “ท่านก็รู้ว่าประวัติศาสตร์มันขึ้นอยู่กับผู้บันทึก หากมีการบิดเบือนเสริมแต่ง ใครจะไปรู้ได้”

          “แต่อย่างน้อยท่านก็เป็นคนยุคเก่า ท่านอายุสามร้อยกว่าปีแล้ว อาจเป็นดาร์คเนสดีวิลที่อายุมากที่สุดก็ว่าได้” โซลิแทร์พูด เลวีรีบจับหน้าจับตาตัวเอง สงสัยว่าหน้าแก่ขนาดนั้นเลยหรือ การเดาอายุของเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิลเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก แม้เลวีจะอายุมากขนาดนั้น แต่เขาก็ดูอ่อนวัยกว่าเซซิลเสียอีก “ข้อมูลที่มาจากท่าน มันคงลดการบิดเบือนได้มากพอควร”

          “บอกไว้ก่อนเลยนะ สิ่งที่ข้ารู้ มันอาจมีมูลความจริงน้อยมาก แล้วข้าก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าจริง ได้แต่สรุปและสันนิษฐานไปเรื่อยเปื่อย” เลวีเลี้ยวเข้าไปในห้องแคบๆ มีเตาผิงและมีหม้อตั้งไฟ ตักน้ำต้มรากไม้สีเขียวมาใส่แก้ว กลิ่นฉุนๆ ของมันบ่งบอกว่ารสชาติต้องขมมากแน่ๆ “เอาสักหน่อยไหม ท่านทั้งสอง”

          “ท่านกินเข้าไปได้ยังไง มันคงจะขมแทบบ้า” โซลิแทร์ถามอย่างสยองขวัญ

          “เมื่อท่านแก่ตัวลง ท่านจะเริ่มชอบกินของขม” เลวีดื่มน้ำต้มรากไม้ “ดาร์คเนสดีวิลอาจดูไม่แก่ แต่ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วท่านลอร์ดมืด ข้ามีชีวิตอยู่มานาน อีกไม่นานก็คงจะสิ้นอายุขัย ระหว่างนี้ข้าก็คงได้แต่นั่งจิบอะไรขมๆ และระลึกถึงชีวิตในอดีต เฝ้ารอความตายที่จะมาถึง ตามประสาคนแก่”

          “บอกข้าทีว่ายามข้าแก่ตัวลง ข้าจะไม่รำพึงรำพันอะไรแบบท่าน”

          “ข้าไม่คิดว่าท่านจะมีโอกาสแก่หรอกท่านลอร์ดมืด” เลวีหัวเราะ “ท่านอยู่แนวหน้าทุกครั้งที่สู้ศึก เหมือนผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนอื่นๆ เกรงว่าจะเหมือนกับพวกนั้นตรงที่อายุไม่ยืนด้วย”

          “เอาเถอะ ข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนดาวบ้าๆ ดวงนี้นานนักหรอก” โซลิแทร์ว่า “ว่าแต่ท่านพอรู้ไหม ว่า เบนิทัส โมเรย์ฮาน ผู้นำสูงสุดคนแรกของเรา เขารู้อะไรเกี่ยวกับดาบแดนน้ำแข็ง”

          “ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเขารู้อะไร ก็ข้าเกิดหลังยุคเขากี่ร้อยปีล่ะ แล้วเขาก็ปิดเงียบเรื่องนี้มาตลอด” เลวีจิบน้ำต้มรากไม้ “แต่ข้าเดาว่า การที่เขารู้อะไรเกี่ยวกับมันนี่แหละ ที่เป็นสาเหตุให้เขาตาย”

          “ท่านหมายความว่าอะไร”

          “ตามข้ามาสิ ท่านทั้งสอง”

          เลวีพาทั้งคู่ไปยังห้องกว้างห้องหนึ่ง ดูจะเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีแท่นวางวัตถุโบราณเต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นอาวุธ เกราะ หรือสิ่งของสำคัญต่างๆ ของบุคคลสำคัญในอดีต แต่ละชิ้นจะมีป้ายบอกที่มาว่าเคยเป็นของใคร โซลิแทร์เคยเห็นคร่าวๆ เพราะเคยมาที่นี่สักครั้งสองครั้ง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะไปดูของชิ้นโปรด มาที่นี่ทุกครั้งจะต้องแวะมาดูมันทุกครั้ง มันคือผ้าคลุมสีดำของมิราจ สเพ็คเทอร์ อดีตผู้นำสูงสุดคนหนึ่ง สวมแล้วจะสามารถเปลี่ยนให้มันเป็นปีกปีศาจเหมือนปีศาจในนิทานได้ แต่แน่นอนว่าใช้บินจริงๆ ไม่ได้เพราะดาร์คเนสดีวิลไม่ใช่สัตว์ปีก ร่างกายไม่ได้มีโครงสร้างสำหรับรองรับการบิน อย่างไรก็ตามตอนเด็กๆ โซลิแทร์ใฝ่ฝันอยากมีปีก อยากมีหางปลายลูกศร อยากมีเขาเหมือนปีศาจในนิทาน มันดูเข้มแข็งและน่าเกรงขามจนพวกมนุษย์ไม่กล้ามาคุกคาม อย่างอื่นไม่ต้องมีก็ได้ ขอแค่มีปีก หากได้สวมผ้าคลุมผืนนี้ก็คงเหมือนได้เติมเต็มความต้องการในวัยเด็ก และไม่มีใครรู้หรอกว่าจนบัดนี้ในใจลึกๆ เขามีความคิดฝันเฟื่องว่าอยากมีปีกเป็นของตัวเอง และโบยบินไปบนฟ้าได้เหมือนพวกเอเลนเซฟเวอรี่เสียเหลือเกิน

          “สำหรับปีศาจเรา การนำอาวุธหรือสิ่งของของบรรพชนไปใช้ประโยชน์ในทางที่เจ้าของเก่าต้องการ ถือเป็นการให้เกียรติสูงสุด เป็นการทดแทนบุญคุณที่ดีเยี่ยมก็ว่าได้” เลวีกล่าว “ของบางชิ้นยังอยู่ในสภาพดี พวกท่านไม่เอาไปใช้ประโยชน์สักหน่อยหรือ”

          “ข้ามีแล้ว ขอบคุณ” โซลิแทร์แตะสนับแขนติดกรงเล็บที่ตนสวม มันเคยเป็นของโดเมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม พี่ฝาแฝดของพ่อเขา และแตะดาบยาวที่เข็มขัด มันทำมาจากชิ้นส่วนรถม้าศึกของไพรม์ดีวอเชอร์

          เซซิลยืนมองหอกสามง่ามเล่มหนึ่ง ด้ามจับสลักลายสวยงาม ประทับตราสัญลักษณ์รูปปากกาขนนกที่มีปลายเป็นสามง่าม ตราสัญลักษณ์ประจำตัวของเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม เพื่อนรักของเขา ทุกครั้งที่เซซิลมาที่นี่ เขาก็จะมาหยุดดูมันเช่นกัน ราวกับมันเป็นตัวแทนเพื่อนผู้ล่วงลับ

          “ตอนท่านกับเขายังเป็นวัยรุ่น ข้าจำได้” เลวีจับไหล่เซซิลจากด้านหลัง “พวกท่านทั้งดื้อซน ชอบเล่นแผลงๆ ทำตัวปัญญาอ่อน ร่าเริงสดใส ทำทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกตลอดเวลา กวนประสาทสุดๆ หาเรื่องเดือดร้อนให้คนแก่อย่างข้าทุกที”

          “จำได้ว่าตอนนั้นข้าเป็นตัวแสบ” เซซิลยิ้มเศร้าๆ “เป็นที่มาของฉายาเดอะ เจสเทอร์ ไม่มีอะไรที่ข้าทำเป็นเรื่องตลกไม่ได้ ทุกคนล้วนอยากกระทืบข้าสักทีสองที เพราะข้ามันตัวกวน”

          “ตอนนั้น สารภาพว่ามีหลายรอบมากที่ข้าอยากจะจับท่านกดหิมะให้ตาย ท่านมันเด็กแสบจริงๆ เซซิล” เลวียิ้ม ถอนหายใจ “แต่หลังจากที่ท่านกลายเป็นคนเงียบขรึม ซึ่งข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ข้าคิดถึงเซซิลจอมแสบคนนั้นจับใจ และข้าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กคนนั้นกลับมาสร้างเรื่องปวดหัวให้ข้าเหมือนเดิม”

          “วัยหนุ่มของข้า คือช่วงเวลาที่ดี” เซซิลถอนสายตาจากหอกของเอโมลิล “แล้วมันก็ผ่านพ้นไป”

          “อภัยให้ด้วยที่ขัดจังหวะการระลึกความหลังของท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย” โซลิแทร์ขบกัดอย่างอารมณ์ดี “แต่ท่านจะพาข้ามาดูอะไรหรือเลวี”

          “นั่น” เลวีชี้ไปที่ผนังห้องด้านหนึ่ง มันมีกรอบสลักข้อความเป็นช่องสี่เหลี่ยมหลายต่อหลายกรอบ โซลิแทร์เข้าไปดูใกล้ๆ พบว่าข้อความในแต่ละกรอบนั้นบันทึกชื่อและตราสัญลักษณ์ประจำตัวของผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลในอดีตทั้งหมด เนื่องด้วยผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลในอดีตมีเยอะมาก กรอบชื่อจึงเต็มไปหมด แต่ละคนจะมีรายละเอียดคร่าวๆ เป็นต้นว่าฉายาอะไร ดำรงตำแหน่งกี่ปีหรือกี่เดือน อาวุธประจำกายคืออะไร พาหนะประจำกายคืออะไร ตายตอนไหน ตายที่ไหน ใครเป็นผู้สังหาร แน่นอนว่าไม่มีใครที่ไม่ถูกสังหาร ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลทุกคนล้วนตายโดยศัตรู โฟรเซ็นทิเนลจึงเป็นอาณาจักรที่มีอดีตผู้นำสูงสุดมากที่สุด มากกว่าสองสามอาณาจักรอื่นรวมกันด้วยซ้ำ ที่เห็นเต็มไปหมดคือตายด้วยน้ำมือของมาร์กอลลอส จอมพิชิต โซลิแทร์มองที่กรอบรองสุดท้าย ซีเมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มพ่อของเขา ตายที่ไอซ์เมส ผู้สังหารคือเฮเวนล็อค เขาไม่รู้สึกอะไรมากเพราะแทบไม่มีความทรงจำอะไรกับพ่อเลย แต่เมื่อเลื่อนสายตาไปยังกรอบสุดท้าย กรอบของไพรม์ดีวอเชอร์ ในใจลึกๆ ก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ ภาพเปลวไฟที่ระเบิดแผดเผาร่างของอาจารย์ผู้เลี้ยงดูเขามาแต่เล็กยังคงติดตาเขา ความรู้สึกแสบร้อนตามตัวจากเปลวไฟนั้นยังฝังอยู่ในความทรงจำเขา ผ่านมาสิบเก้าปีแล้ว

          “ไม่ต้องมองหากรอบของท่านหรอก ท่านลอร์ดมืด” เลวีพูดข้างๆ หมวกฮู้ดด้านซ้ายของโซลิแทร์ “ท่านยังไม่ตาย ยังไม่ถือว่าเป็นอดีตผู้นำสูงสุด เราจึงยังไม่สลักชื่อท่าน ตอนนี้”

          “ท่านว่าอะไรนะ” โซลิแทร์เอียงขวาให้แทน “อภัยให้ด้วย ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หูซ้ายข้ารับเสียงไม่ค่อยดี ตั้งแต่ถูกเซ็ทซาร์ดเตะด้วยรองเท้าเหล็ก”

          “ช่างเถอะ” เลวีชี้ไปที่กรอบอันแรก “นั่น ของโมเรย์ฮาน”

          โซลิแทร์และเซซิลขยับเข้าไปดู

          “ตายที่เกาะแฮนดรัส” เลวีบอก “ตายพร้อมกับธาร์ค บุฟโฮป เพื่อนรักต่างเผ่าพันธุ์ของเขา”

          “โมเรย์ฮานไปทำอะไรที่เกาะแฮนดรัส” โซลิแทร์สงสัย

          “เขากับธาร์ค บุฟโฮปเป็นเพื่อนรักกัน บุฟโฮปเป็นแฮนดรัสคนแรก และน่าจะเป็นคนเดียวที่เคยรับตำแหน่งสมาชิกผู้ปกครองแบร์ร็อค เรื่องนี้ข้าไม่แน่ใจ ข้าไม่รู้ประวัติศาสตร์โฮเซ่นัก แต่รู้ว่าในยุคนั้น โฮเซ่กับแฮนดรัสยังถือเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยังไม่มีการแบ่งแยกเหมือนปัจจุบัน และบุฟโฮปก็ทำความดีความชอบจนผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคสมัยนั้นมอบเกาะแห่งหนึ่งให้เขาเป็นเจ้าของ เกาะแล้งๆ กันดาร ไม่น่าอยู่ แต่ในเมื่อได้มาเปล่าๆ แบบนี้ เป็นใครก็อยากรับ” เลวีอธิบาย “บุฟโฮปปรับปรุงเกาะนั้นให้เป็นบ้านหลังที่สอง และเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับพวกพ้องแฮนดรัสยามฉุกเฉิน ถึงอย่างไรพวกแฮนดรัสก็มีความอดทนต่อความร้อนและความแห้งแล้งสูงมาก พออาศัยอยู่ที่นั่นได้หากจำเป็น แต่ข้ามั่นใจว่าเขาคงลุกขึ้นจากหลุมมาโวยวายแน่ ถ้ารู้ว่าในตอนนี้ลูกหลานของเขาถูกเนรเทศไปอยู่เกาะนั่นกันหมด เกาะแห่งนั้นมันไม่ใช่สถานที่ที่จะอยู่สบายแน่นอน เดี๋ยวก่อนนะท่านลอร์ดมืด” เขานึกขึ้นได้ “ท่านรู้จักกับลูกของราร์ร็อค เฮนิเคม ผู้เนรเทศแฮนดรัสนี่ เขาบ้าเผด็จการเหมือนพ่อหรือเปล่า”

          “คิดว่าไม่นะ” โซลิแทร์ตอบ “กอร์รินดูแตกต่างจากคำว่าเผด็จการพอควร”

          “บุฟโฮปกับโมเรย์ฮานเป็นเพื่อนรักกัน” เลวีเล่าต่อ “ถึงขั้นที่บุฟโฮปถอดสร้อยประจำตัวของตนให้โมเรย์ฮาน เป็นของขวัญแสดงความเป็นเพื่อน และโมเรย์ฮานก็สวมใส่มันตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่นักรบคนสนิทของเขานำร่างเขากลับมาฝังที่โฟรเซ็นทิเนล เป็นค่านิยมของพวกนักรบยุคโบราณน่ะ ถอดเครื่องประดับให้เพื่อน แล้วเพื่อนก็สวมใส่ตลอด”

          เขาเดินไปที่แท่นที่อยู่กลางห้อง หยิบสร้อยโลหะสีน้ำตาลเส้นหนึ่งส่งให้โซลิแทร์ มีจี้เป็นรูปกำปั้นหนาม เหมือนตราสัญลักษณ์ของพวกแฮนดรัส เดาว่ามันคงจะเคยเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของบุฟโฮป แต่เมื่อแฮนดรัสถูกบังคับให้แยกตัวออกมาจากเผ่าพันธุ์โฮเซ่ สัญลักษณ์นี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าของแฮนดรัส สร้อยอาจดูเก่า แต่ก็ทนทาน ไม่น่าเชื่อว่ามีอายุนับร้อยนับพันปีแล้ว

          “แม้แต่สมัยของข้า พวกนักรบก็ยังนิยมถอดเครื่องประดับให้ เพื่อนเพื่อแสดงความเป็นเพื่อนแท้ ซีเมลิลพ่อของท่านก็สวมสร้อยทองแดงที่เพื่อนรักของเขามอบให้ตลอดเวลา” เซซิลบอก “แต่อย่ายึดติดกับวัตถุนัก ไม่จำเป็นต้องถอดอะไรให้กันก็เป็นเพื่อนแท้กันได้ เรื่องนี้อยู่ที่ใจ”

          “แม้ว่าบุฟโฮปกับโมเรย์ฮานเป็นเพื่อนรักกัน แต่ข้าก็คิดว่ามันแปลกๆ ที่โมเรย์ฮานไปตายที่เกาะแฮนดรัส” โซลิแทร์ตั้งข้อสงสัย “ประการแรก ข้าไม่คิดว่าเผ่าพันธุ์แดนหนาวอย่างดาร์คเนสดีวิลจะชอบความร้อนของเกาะนั่น ถ้าโมเรย์ฮานจะไปที่นั่นก็คงจะไปไม่บ่อย อีกทั้งบุฟโฮปเป็นหนึ่งในผู้ปกครองแบร์ร็อค ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ที่แบร์ร็อค คงไม่มีความจำเป็นจะไปเกาะนั่นบ่อยๆ แล้วสมัยนั้นเกาะแฮนดรัสน่าจะยังเป็นเกาะร้าง เพราะพวกแฮนดรัสยังไม่ถูกเนรเทศจากอาณาจักร สรุปแล้ว ข้าคิดว่าการที่ทั้งคู่ไปตายที่เกาะแห่งนั้น มันเป็นอะไรที่น่าสงสัยมากๆ”

          “ท่านมีตรรกะที่ดีมากท่านลอร์ดมืด” เลวีชม “ข้าเห็นด้วย มันแปลกๆ โมเรย์ฮานกับบุฟโฮปไปทำอะไรที่เกาะอันกันดารแห่งนั้น ไม่มีใครรู้ด้วยว่าพวกเขาไปทำอะไร ซึ่งเรื่องอะไรก็ตามที่โมเรย์ฮานปิดเป็นความลับ และอุตส่าห์ไปทนร้อนที่นั่น มันจะต้องเป็นอะไรที่สำคัญมาก”

          “ท่านคิดว่า--”

          “เรื่องนี้ล่ะ น่าจะเป็นต้นตอของข่าวลือที่ว่า โมเรย์ฮานรู้อะไรเกี่ยวกับดาบแดนน้ำแข็งสักเล่ม” เลวีพยักหน้า “การที่เขาไปทำอะไรลับๆ ล่อๆ ที่เกาะแฮนดรัส ข้าเดาว่าเขาคงเอาอะไรสักอย่างไปซ่อนที่นั่น โดยให้บุฟโฮปเพื่อนของเขาช่วยเหลือ ของชิ้นนั้นมันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับดาบแดนน้ำแข็ง”

          “ท่านคิดว่ามันคืออะไร” เซซิลถามความเห็น

          “มีของเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ที่เกี่ยวข้องกับดาบแดนน้ำแข็ง” เลวีกล่าว “แผ่นคำสาปที่ใช้ปลดปล่อยดาบ”

          ทุกคนนิ่งเงียบไปสักพัก

          “ในเมื่อแผ่นคำสาปที่ใช้ปลดปล่อยดาบไอซ์แอคเซอร์อยู่ที่เฮเวนล็อค นั่นหมายความว่าแผ่นคำสาปของโมเรย์ฮานคือแผ่นคำสาปอีกแผ่นที่ใช่ปลดปล่อยดาบอีกเล่ม” เซซิลพูดอย่างครุ่นคิด “ดาบฟรอสท์ฟอเมอร์”

          “หมายความว่า” โซลิแทร์เรียบเรียงเป็นข้อสรุป “โมเรย์ฮานนำแผ่นคำสาปที่ใช้ปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ ไปซ่อนไว้ที่เกาะแฮนดรัส”

          “ดูที่คนฆ่าโมเรย์ฮานสิ ท่านลอร์ดมืด” เลวีชี้ไปที่กรอบข้อความ “ฟอลมิไนท์ มือขวาของมาร์กอลลอสจอมพิชิต หัวหน้าเซ็ทซาร์ด คาดว่าท่านคงรู้จักเขา”

          “แน่นอน” โซลิแทร์มองดูที่มือตนเอง “เขาเป็นคนสอยแม่ของข้าตกจากหลังม้าด้วยลูกดอกมังกร และทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพแบบนี้”

          “เซ็ทซาร์ดคนนี้เก่งมาก สู้หนึ่งต่อสอง เอาชนะได้ทั้งโมเรย์ฮานและบุฟโฮป” เลวีพูด “ดูเหมือนว่าจอมพิชิตจะส่งมือขวาของตนมาจัดการกับทั้งคู่โดยเฉพาะ ท่านพอเดาออกไหมว่าทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการฆ่าทั้งคู่เช่นนี้”

          “หรือว่าเพื่อปิดปาก” โซลิแทร์สันนิษฐาน

          “นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด” เลวีดีดนิ้ว “รู้ใช่ไหมว่าระหว่างเฮเวนล็อคกับมาร์กอลลอส มันมีสงครามเย็นเกิดขึ้น เฮเวนล็อคต้องการจะสร้างเผ่าพันธุ์สร้างกองทัพของตนขึ้นมาบ้าง จึงแสวงหาวัตถุที่มีพลังเพื่อเพิ่มพลังให้กับตน ซึ่งก็คือดาบแดนน้ำแข็งทั้งสองเล่ม เฮเวนล็อคเป็นคนเดียวที่สามารถนำพลังงานของดาบทั้งสองมาขยายและประยุกต์เป็นพลังงานให้แก่ตนได้ แน่นอนว่ามาร์กอลลอสต้องหาทางขัดขวาง เพราะด้วยอุดมการณ์ที่ไม่ตรงกัน หากเฮเวนล็อคสร้างกองทัพขึ้นมาได้ จะต้องทำสงครามกับเฟลมฟอร์สแน่ แต่มาร์กอลลอสก็ไม่อาจขัดขวางตรงๆ ได้ เฮเวนล็อคเป็นคนเดียวที่มาร์กอลลอสกลัว เพราะพลังของเฮเวนล็อคสามารถทำลายมาร์กอลลอสได้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อสิบเก้าปีก่อน”

          “ท่านจะบอกว่า ที่ฟอลมิไนท์ถูกส่งไปฆ่าโมเรย์ฮานกับบุฟโฮปที่เกาะแฮนดรัส ก็เพื่อปกปิดความลับเกี่ยวกับดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์จากเฮเวนล็อคหรือ” เซซิลเอียงคอ

          “ซึ่งก็ทำสำเร็จเสียด้วย เฮเวนล็อคแทบไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์เลยตราบชั่วชีวิต” เลวีพูด “ตอนที่โมเรย์ฮานพบแผ่นคำสาป เขาคงรู้ว่าเฮเวนล็อคตามหามันอยู่ จึงต้องหาที่ซ่อนดีๆ มันอันตรายเกินไปที่จะเก็บไว้ในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล จึงขอความช่วยเหลือจากบุฟโฮปเพื่อนรัก ซ่อนมันไว้ที่เกาะอันห่างไกลแห่งนั้น ไม่มีใครรู้นอกจากพวกเขา แต่โชคร้ายที่จอมพิชิตรู้จนได้ จึงส่งฟอลมิไนท์ไปจัดการฆ่าปกปิดความลับเสีย”

          “ท่านคิดว่าฟอลมิไนท์จะได้แผ่นคำสาปแผ่นนี้ไปไหม” โซลิแทร์ถาม

          “คิดว่าไม่ ประการแรกมันเสี่ยงเกินไป ถ้าเฮเวนล็อครู้ว่าแผ่นคำสาปแผ่นหนึ่งอยู่ที่เฟลมฟอร์ส สงครามเย็นจะได้กลายเป็นสงครามร้อนแน่” เลวีอธิบาย “ประการที่สอง โมเรย์ฮานคงมีที่ซ่อนที่ดีจนฟอลมิไนท์หาไม่เจอ หรืออาจเจอแต่ไม่สามารถเอาแผ่นคำสาปมาได้ โมเรย์ฮานก็เป็นอีกคนที่เชี่ยวชาญด้านพลังมืดและภาษาดาร์เคน เขามีความสามารถพิเศษเรื่องการเข้ารหัสถอดรหัสมนต์ดำ หากเขาซ่อนแผ่นคำสาปด้วยมนต์ดำ มันก็ไม่น่าจะถูกนำออกมาง่ายๆ  หากคิดในอีกแง่หนึ่งโมเรย์ฮานก็ช่วยซ่อนแผ่นคำสาปนี้จากเฮเวนล็อคแล้ว ไม่จำเป็นต้องขุดคุ้ยให้เสียเรื่อง ปล่อยให้มันถูกซ่อนอยู่อย่างนั้นต่อไปนี่แหละ”

          “ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ไหมว่า” โซลิแทร์พูดช้าๆ “ในตอนนี้ แผ่นคำสาปของดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ ยังคงถูกซ่อนอยู่ที่เกาะแฮนดรัส”

          “ข้าว่าเป็นไปได้” เลวีพยักหน้า

          “เอาล่ะ” โซลิแทร์สูดหายใจลึกๆ “เลวี ขอถามอีกหน่อยสิ ท่านคิดว่ามีวิธีไหนที่จะทำให้ดาร์คเนสดีวิลเราทนต่อความร้อนได้บ้าง”

          “เดี๋ยวก่อนนะ ท่านคงไม่--”

          “ถูกแล้ว” โซลิแทร์จับไหล่อีกฝ่าย “ข้าจะเตรียมตัวสำหรับเดินทางไปเกาะแฮนดรัส”

 

***************

 

            พอร์ล็อค แดโมมิกซ์เดินทางมายังเมืองเด็นร็อค หน้าด่านแห่งอาณาจักรแบร์ร็อค ตามคำเชิญของซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ ผู้เป็นเจ้าเมืองและเพื่อนสนิทคนหนึ่ง รู้สึกผิดสังเกตที่ทหารจำนวนหนึ่งในค่ายดูเหมือนกำลังรวมรวบเสบียงและปัจจัยสำหรับเดินทางไกล เขาเดินไปพบท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่ยืนชมวิวอยู่บนกำแพงส่วนที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล ตำแหน่งที่เขายืนอยู่นี้ใกล้กับท่าเรือน้ำลึก มีเรือรบจอดเทียบท่าอยู่ไม่มาก ความเสียหายจากศึกสงครามหลายครั้งทำให้พวกโฮเซ่ขาดแคลนกำลังพล สถานการณ์ของอาณาจักรแบร์ร็อคในตอนนี้ถือว่าไม่ปลอดภัยทีเดียว

            “ซีราส” แดโมมิกซ์ทักทาย

            ท็อกซ์ฟ็อกซ์หันไปจับมือกับเพื่อน และดึงอีกฝ่ายเข้ามาเอาไหล่ชนกัน เกราะกระแทกกันดังโครม เป็นการแสดงการทักทายระหว่างเผ่าพันธุ์โฮเซ่

            “ขอบคุณที่เดินทางมาพบข้า” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด

            “ยังไงเมืองของข้าก็ต้องส่งกองกำลังและทรัพยากรมาช่วยเหลือเมืองหน้าด่าน ตามคำสั่งของเทอร์ริน” แดโมมิกส์ว่า “ข้าก็แค่ร่วมเดินทางมาด้วย ถือเป็นการเดินทางมาเยี่ยมเพื่อน”

            “จำศึกกลางทะเลครั้งนั้นได้ไหม ที่กองเรือของท่านตกอยู่ในวงล้อมกองเรือมนุษย์” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เอ่ยขึ้น มองออกไปนอกทะเล

            “ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ” แดโมมิกซ์หัวเราะ “ข้าคงจะตายไปแล้วถ้าไม่ได้ท่าน ตอนนั้นกองเรือของท่านปะทะกับข้าศึกจนเสียหายหนัก แต่ท่านก็ยังอุตส่าห์ยกกองเรือที่เหลือ ฝ่าวงล้อมเข้ามาช่วยกองเรือของข้า ตัวท่านเองก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”

            “ที่หลังข้ายังมีแผลเป็นอยู่เลย” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ชี้เกราะด้านหลังของตน

            “ท่านอาจใจร้อน มุทะลุ เอาแต่ใจ แต่ท่านทุ่มเทเพื่อเพื่อนเต็มร้อย ซีราส คงจะหาใครที่น่ายกย่องเช่นท่านได้ยาก” แดโมมิกซ์ชื่นชม “เป็นวาสนาของข้าที่มีท่านเป็นเพื่อน”

            “เพื่อน สำคัญกับข้ามาก ข้าได้ดีทุกวันนี้ก็เพราะการสนับสนุนจากเพื่อนๆ อย่างท่าน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรข้าก็พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนของข้าเสมอ” ซีราสหันกลับมามองแดโมมิกซ์ “แล้วท่านล่ะพอร์ล็อค ท่านจะช่วยเหลือเพื่อนของท่านไม่ว่าจะเรื่องอะไรหรือเปล่า ท่านจะช่วยเหลือข้าหรือเปล่า”

            “หากท่านต้องการให้ช่วย มีหรือข้าจะนิ่งเฉย” แดโมมิกซ์พูด “ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ”

            “พ่อของข้าเป็นคนดี เขาสมควรได้รับเกียรติและการชื่นชม” ท็อกซ์ฟ็อกซ์กล่าวขึ้น

            “เขาสมควรได้รับแน่นอน สำหรับข้าแล้ว เขาคือคนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ข้ารู้จัก” แดโมมิกซ์พูดอย่างนับถือ “เขาเป็นคนมีน้ำใจมากที่สุดคนหนึ่งที่ข้าเคยรู้จัก”

            “น่าเศร้า ที่น้อยคนนักจะรู้จักเขาเช่นนั้น ขณะที่คนมากมายต่างรู้จักเขาในลักษณะของผู้นำมาซึ่งสงครามระหว่างเรากับพวกมนุษย์” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ถอนหายใจ “ทั้งที่พ่อข้าเป็นคนดีแสนดี แต่คนมากมายก็เข้าใจว่าเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พวกมนุษย์ประกาศสงครามกับเรา สร้างความด่างพร้อยให้กับตระกูลของข้า ความด่างพร้อยนั้นตกมาที่ข้า ผู้เป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูล ทุกวันนี้ยังมีคนมากมายที่มีอคติกับข้าเพราะสิ่งนี้”

            “เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ทั้งท่านและพ่อของท่านไม่สมควรต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้เลย” แดโมมิกซ์เห็นใจ

            “ฉะนั้น ข้าควรจะกู้เกียรติและศักดิ์ศรีของพ่อและวงศ์ตระกูลคืนมา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด

            “ท่านมีความคิดจะทำอะไรหรือ” แดโมมิกซ์ถาม เริ่มรู้สึกกังวล

            “แสดงความจริงให้ทุกคนรู้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดอย่างจริงจัง “พ่อของข้ามีน้ำใจเสี่ยงตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม แต่แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มกลับฆ่าเขา และรายงานกับพวกมนุษย์ว่าเขาขัดขวางภารกิจ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มต่างหากที่พวกมนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือในการประกาศสงคราม ไม่ใช่เขา”

            “นั่นคือความจริงแท้” แดโมมิกซ์เห็นด้วย

            “แต่ต่อให้ข้าพูดยังไง คนจำนวนมากมายก็ไม่มีทางเชื่อ เพราะมันฟังดูเหมือนข้าแต่งเรื่องขึ้นมาแก้ตัวให้พ่อ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์กัดฟันพูด “ยามที่คนเราต้องเผชิญกับภัยสงคราม ต้องตกทุกข์ ต้องพบเจอกับภัยคุกคามและความเจ็บปวด โดยที่ตนไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน พวกเขาก็จะหาคนกล่าวโทษให้ได้ คนเดียวที่พวกเขาจะคิดออกคือพ่อของข้า ฉะนั้น ข้าต้องการหลักฐานเพื่อล้างมลทินให้แก่พ่อและวงศ์ตระกูล”

            “หลักฐานอะไรหรือ”

            “หนังสือยืนยัน จากผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนปัจจุบัน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตอบ “ยืนยันว่าพ่อของข้าไม่ได้ทำผิด คนที่ผิดคืออาของเขา หากแบล็กไรดิงฮู้ดเป็นผู้ยืนยัน แน่นอนว่าจะเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ”

            “ท่านต้องการให้แบล็กไรดิงฮู้ดลบหลู่เกียรติอาของเขา” แดโมมิกซ์ตาค้าง “เดอะ โนเวลิสท์เป็นที่นับหน้าถือตาของวีรบุรุษดาร์คเนสดีวิลรุ่นหลัง เขาเป็นแรงบันดาลใจให้ปีศาจมากมาย การทำเช่นนั้นย่อมมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของกองทัพปีศาจแน่ แล้วยังทำให้แบล็กไรดิงฮู้ดเสียเกียรติต่อหน้าดาร์คเนสดีวิลทั้งอาณาจักรด้วย มุมมองจากประชาชนต่อตัวเขาจะแย่ลง หากเขานำความด่างพร้อยของอาผู้เป็นวีรบุรุษมาเปิดเผยอย่างเป็นทางการเช่นนั้น”

            “ข้าต้องการให้แบล็กไรดิงฮู้ดแสดงความเป็นลูกผู้ชาย และยอมรับความจริง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เสียงดัง “อาของเขาทำสิ่งที่น่าอับอาย เขาก็ควรทำให้มันถูกต้อง”

            “นั่นคือเหตุผลที่คนของท่านเตรียมข้าวของและเสบียง” แดโมมิกซ์ชี้ไปยังพวกทหารโฮเซ่ที่กำลังขนข้าวขนของ “ท่านจะเดินทางไกล ข้ามแผนที่ไปโฟรเซ็นทิเนล”

            “ไปพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งที่เคยร่วมงานกับพ่อข้า พวกเขาจงรักภัคดีต่อพ่อข้า และอยากให้พ่อข้าได้รับความเป็นธรรม” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดเสียงแข็ง “ข้าจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมจากแบล็กไรดิงฮู้ด และจะไม่กลับจนกว่าจะได้หนังสือยืนยันจากเขา”

            “แล้วถ้าเกิดเขาปฏิเสธล่ะ”

            “หากเขาหน้าด้านหน้าทน ไม่จัดการให้มันถูกต้อง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดช้าๆ “ระหว่างข้ากับเขา ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”

            “ตะบองเพชรพินาศ! นั่นจะทำให้เกิดสงครามระหว่างเรากับพวกดาร์คเนสดีวิลได้ทีเดียวนะ” แดโมมิกซ์ร้องลั่น “ท่านคงจะทราบว่าตอนนี้เรามีศัตรูคู่สงครามเยอะอยู่แล้ว”

            “นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับแบล็กไรดิงฮู้ด เผ่าพันธุ์ไม่เกี่ยว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พึมพำ

            “ท่านเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งระดับสูง หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน มันต้องเกี่ยวแน่นอน” แดโมมิกซ์พูด

            “ท่านคิดว่าข้าสู้เขาไม่ได้หรือไง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ไม่พอใจ

            “ข้าคิดว่าท่านไม่ควรประมาทเขา” แดโมมิกซ์โต้ “แบล็กไรดิงฮู้ดเติบโตมากับสงคราม ใช้ชีวิตกับดาบและอาวุธมาตั้งแต่ยังเล็ก ผ่านศึกและการต่อสู้มามากมาย อยู่แนวหน้าของกองทัพทุกครั้ง”

            “ข้าเองก็ผ่านศึกมามากมาย ประสบการณ์ในการรบก็เยอะ ข้าอายุมากกว่าเขาตั้งสามปี” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำราม “พวกมนุษย์อาจกลัวเขา แต่ข้าไม่ได้กระจอกเหมือนพวกมนุษย์”

            “ต่อให้ท่านชนะเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องดี” แดโมมิกซ์เสริม “มันจะเกิดความขัดแย้งระหว่างโฮเซ่กับดาร์คเนสดีวิล ซึ่งข้าก็บอกท่านไปแล้วว่าตอนนี้เรามีศัตรูมากเกินพอ มันไม่เข้าท่าเลยที่จะสร้างเพิ่ม”

            “เช่นเดียวกันกับพวกดาร์คเนสดีวิลที่ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย” ท็อกซ์ฟ็อกซ์บอก “ฉะนั้นหากแบล็กไรดิงฮู้ดไม่อยากให้เกิดความวุ่นวาย เขาก็จะปฏิเสธได้ยากยิ่งขึ้น”

            “เขาต้องไม่ชอบแน่ที่ถูกบีบเช่นนี้”

            “ถูกบีบให้พูดในสิ่งที่เป็นความจริง ไม่ว่าเขาจะชอบไม่ชอบ มันก็เป็นสิ่งที่เขาควรทำ หากเขายังมีเกียรติเพียงพอ”

            “มันก็จริงของท่าน ความจริงมันก็คือความจริง” แดโมมิกซ์ยอมตาม “อย่างไรก็ตาม การที่ท่านและกองกำลังส่วนหนึ่งเดินทางไกลไปโฟรเซ็นทิเนล มันจะทำให้เมืองนี้ขาดการป้องกันมากขึ้น ท่านก็คงทราบดีว่าเราเสียหายจากศึกสงครามหลายครั้ง อาณาจักรมีกำลังพลไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมืองที่สำคัญอย่างเมืองหน้าด่านแห่งนี้ มันไม่ควรจะขาดแคลนกองกำลังป้องกัน อีกทั้งในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ เมืองหน้าด่านควรมีเจ้าเมืองคอยกำกับดูแล หากท่านไม่อยู่แล้ว ใครจะทำหน้าที่นี้ได้”

            “เหตุนี้ข้าถึงเชิญท่านมาพบ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์จับบ่าอีกฝ่าย “นี่คือสิ่งที่ข้าจะขอจากท่าน ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ โปรดช่วยดูแลเมืองแทนข้าด้วย”

            “ข้าไม่มีความสามารถและความคุ้นเคยกับเมืองนี้ เพื่อนๆ ทั้งกลุ่มของเทอร์รินรวมทั้งตัวเทอร์รินเองก็เช่นกัน มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะดูแลเมืองนี้ได้” แดโมมิกซ์เตือน “จำไม่ได้หรือไง ว่านี่คือเหตุผลที่ท่านไม่รับตำแหน่งรองผู้นำสูงสุด”

            “ก็แค่ดูแลชั่วคราว จนกว่าข้าจะกลับมา”

            “เทอร์รินไม่อนุญาตเรื่องนี้แน่ นี่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งที่ค่อนข้างร้ายแรง”

            “นี่เป็นเรื่องของข้าและวงศ์ตระกูล เทอร์รินไม่จำเป็นต้องรู้จนกระทั่งข้ากลับมา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยืนยัน “เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ข้าจะรับโทษจากเขาเอง ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า ข้าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเทอร์ริน เขาไม่ลงโทษข้าหนักหรอก”

            “แล้วถ้าหากข้าศึกยกพลมาโจมตีขณะที่ท่านกับกองกำลังส่วนหนึ่งไม่อยู่เล่า” แดโมมิกซ์ถาม “จะให้ข้าทำอย่างไร”

            “เรื่องนี้ข้าคิดไว้แล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ชี้แจง “ข้าจะจัดให้กองกำลังส่วนใหญ่ไปประจำการอยู่บริเวณประตูเมือง เพื่อรับมือกับข้าศึกทางบก เชื่อว่าจะเพียงพอต่อการป้องกัน”

            “แล้วถ้าข้าศึกบุกมาทางน้ำล่ะ” แดโมมิกซ์ชี้ออกไปกลางทะเล

            “ข้าศึกไม่มีทางบุกมาทางน้ำ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์มั่นใจ “ตอนนี้พวกมนุษย์กำลังซ่อมแซมฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์ที่เสียหาย อีกนานกว่าจะส่งกองเรือไปบุกโจมตีใครได้ ส่วนพวกเอลิลก็ตั้งฐานทัพที่เมืองหลวงเดธแอเรียเพียงแห่งเดียว มันไม่มีพื้นที่ติดทะเล พวกนั้นจึงยังไม่มีกองกำลังทางเรือเพราะไม่มีอู่ต่อเรือ และก็ต้องใช้เรือลำใหญ่ทีเดียวจึงจะโจมตีเมืองนี้ได้เพราะเรามีกำแพงริมน้ำ” เขาชี้ไปตามแนวกำแพงที่ตนยืนอยู่ “ฉะนั้น ท่านไม่ต้องกังวลทางน้ำพอร์ล็อค ระวังทางบกไว้ก็พอ”

            “ท่านวางแผนนี้มาตั้งแต่เราพบกันครั้งล่าสุดใช่ไหม” แดโมมิกซ์ว่า

            “ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลข้าและของพ่อข้า เป็นสิ่งที่ข้าละเลยไม่ได้ เจ้าปีศาจเนรคุณนั่นทำลายมันย่อยยับป่นปี้ ข้าต้องกอบกู้มันคืนมาพอร์ล็อค” ท็อกซ์ฟ็อกซ์กล่าวอย่างแน่วแน่ “เชื่อว่าหากเป็นท่าน ท่านก็คงจะทำอย่างเดียวกัน”

            แดโมมิกซ์ถอนหายใจ เขารู้สึกไม่สบายใจเลย เรื่องนี้ก็เป็นการกระทำนอกเหนือจากคำสั่งของเทอร์รินเสียด้วย มันจะต้องเกิดความวุ่นวายตามมาไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ท็อกซ์ฟ็อกซ์ก็เป็นเพื่อนของเขาและทำเพื่อเขามามากมาย โดยไม่เคยขอสิ่งใดตอบแทนเลย ในเมื่อครั้งนี้ท็อกซ์ฟ็อกซ์อุตส่าห์ขอร้อง เขาก็จะไม่ขอปฏิเสธ

            “อย่างที่ข้าบอกไป” แดโมมิกซ์จับไหล่อีกฝ่าย “หากท่านต้องการให้ช่วย มีหรือข้าจะนิ่งเฉย ข้าจะดูแลเมืองของท่านจนกว่าท่านจะกลับมา และข้าก็จะเอาใจช่วยท่านในการเดินทางครั้งนี้”

            ทั้งสองจับมือกันและดึงอีกฝ่ายเข้ามา เอาเกราะไหล่กระแทกกันดังโครม ท็อกซ์ฟ็อกซ์พยักหน้าอย่างขอบคุณ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา