นางพญาไร้ใจ
7.9
เขียนโดย nightshadow
วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 08.27 น.
37 ตอน
1 วิจารณ์
40.49K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 19.13 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) บุคลิกของผู้นำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมี่เหยียนและจินหย่งแอบหลบเหล่านางกำนัน ด้วยวิชาตัวเบาของผู้ฝึกยุทธ์ทำให้ฝีเท้าแผ่วเบาและมีความรวดเร็ว ทั้งสองไปที่ห้องทรงงาน และได้พบว่าที่นั่นมี จำนวนกองฎีฏาเป็นกองพะเนินที่ยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน กองอยู่บนโต๊ะทรงงานจริงอย่างที่มี่เหยียนได้คาดเดาไว้ สร้างความระอาและความสังเวชใจให้กับทั้งสอง เด็กสองคนช่วยกันขนฎีฏาออกมาเท่าที่จะเอาออกมาได้ไหว และแอบลอบกระโดดขึ้นปีนหลังคา และมายังที่อุทยานที่เคยนัดกันอยู่เดิม แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อมาถึงกลับไม่พบร่างของไป๋เฟิงที่น่าจะกำลังรอพวกเขาอยู่ แต่มี่เหยียนก็ละความสนใจและหันมาวางกองฎีฏาและรีบเปิดอ่านทันที โดยมีจินหย่งนั่งดูอยู่ด้วยข้างกัน ทั้งสองจับจ้องข้อความของฎีฏา และโดยที่มี่เหยียนเปรยออกมาอย่างอ่านไปด้วย พร้อมทั้งหาทางแก้ปัญหาไปด้วย "ตอนนี้ภายในเมืองของเรามีปัญหาโรคระบาดในบางเมือง ปัญหาความแห้งแล้ง การปลูกพืชพันธุ์ไร่นา จนทำให้ส่วนใหญ่ยากจนอดอยาก มีอาชญากรรมเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และส่งผลให้ไม่มีเงินจ่ายภาษีทำให้เงินในท้องพระคลังเริ่มร่อยหลอลง หากมีปัญหาอื่นๆที่ใหญ่หลวงเข้ามา คงทำให้ไม่มีงบประมาณพอที่จะเอาไปแก้ไขปัญหาได้ คงต้องแก้ไขปัญหาไปทีละเรื่อง คงต้องเริ่มต้นจากแก้ปัญหาโรคระบาดก่อน เพราะหากปล่อยเอาไว้โรคอาจลุกลามจนบานปลายและติดไปยังเมืองข้างเคียง ข้าว่าน่าจะระดมหมอหลวงในวังที่มีความรู้ และติดประกาศขอความร่วมมือจากหมอ ที่กำลังสอบวิชาแพทย์หลวงเพื่อเข้ามาเป็นหมอหลวงภายในวัง ว่าหากหมอหลวงคนใดมีความรู้และสามารถช่วยแก้ปัญหาโรคระบาดได้ หากมีใบประกาศที่แสดงว่าจบวิชาแพทย์หลวงโดยการสอบมาแล้ว ก็จะสามารถเข้ามาเป็นหมอหลวงภายในวังได้เลย แบบนี้ก็จะได้ช่วยกันแก้ปัญหาโรคระบาดของชาวเมืองนี้ได้" "พะยะค่ะ" จินหย่งรับคำขององค์หญิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ซึ่งในขณะที่เด็กทั้งสองคนกำลังมีสมาธิอยู่ที่ฎีฏาที่กำลังอ่านอยู่จนไม่ได้สังเกตุว่า...
ในขณะนี้รอบๆอุทยานไม่ได้มีเพียงพวกเขาสองคน แต่ในตอนนี้มีฮ่องเต้ องค์หญิงหลี่ถิงพระองค์โต แม่ทัพจินหยาง เสนาธิการเหอจื่อหลงและเหล่าขุนนางทหารและนางข้าหลวง และไป๋เฟิงอยู่บริเวณนั้น ฮ่องเต้สั่งห้ามไม่ให้ขันทีรายงานการเสด็จมาถึงของพระองค์ และทั้งหมดมาดูเด็กทั้งสองอย่างเงียบๆ ภายในใจแม้ฮ่องเต้จะทรงพิโรธเป็นอย่างมาก แต่ก็อดที่จะละอายใจไม่ได้ เพราะพระองค์ไม่ได้เปิดอ่านฎีฏาเหล่านั้นเลย เหล่าข้าราชบริพาน ทหารกล้าและเหล่าขุนนางที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตงฉินหรือกังฉินต่างรู้สึกทึ่งในพระปรีชาและสติปัญญาความสามารถ ขององค์หญิงหลี่เหวินและจินหย่งในความเป็นเด็กอัจฉริยะที่น่าทึ่ง และบางคนที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อบ้านเมืองรู้สึกชื่นชมในพระปรีชาและการคิดอ่านที่เป็นไปเพื่อราษฎรขององค์หญิงพระองค์น้อย แต่เมื่อเหลือบเห็นพระพักตรที่ฉายแววพิโรธขององค์ฮ่องเต้ ก็ต้องทอดถอนใจอย่างนึกเป็นห่วงเด็กอัจฉริยะทั้งสอง "ข้าคงเป็นฮ่องเต้ที่แย่มากจนต้องให้พระธิดาของข้าที่เป็นเพียงเด็กหกขวบ กับบุตรชายอายุเก้าขวบของท่านช่วยงานเลยล่ะสินะท่านแม่ทัพจิน!" มี่เหยียนและจินหย่งที่ได้ยินพระสุรเสียงประชดของฮ่องเต้หลี่จง ก็เงยหน้าขึ้นมาเพราะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และยิ่งแน่นอนว่าเด็กฉลาดทั้งสองย่อมรู้ดีว่า เป็นใครไปทูลฟ้อง มี่เหยียนเงยหน้ามองกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่รอบอุทยานด้วยแววตาเรียบนิ่ง ไร้แววตื่นตระหนกลนลาน และยังคงท่าทีอันแสนเยือกเย็นเอาไว้ ส่วนจินหย่งนั้นก็ไม่ได้ตื่นกลัวเพียงแต่นึกเป็นห่วงองค์หญิงของเขาที่อาจได้รับโทษ แล้วก็ให้โกรธเคืองเด็กขี้ฟ้องบางคน จนส่งสายตาเคียดแค้นชิงชังราวกับอยากฆ่าคนไปให้กับไป๋เฟิง จนนางสะดุ้งและหน้าซีดหลบสายตาก้มหน้างุดอย่างเด็กที่ทำความผิด
มี่เหยียนลุกขึ้นจากเก้าอี้และถวายความเคารพกับฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว "บังอาจนัก! คำสั่งของข้ามันไม่ได้เข้าหูของเจ้าเลยหรือไงหลี่เหวินเห็นทีว่าหากข้าไม่ลงโทษเจ้าเสียบ้างคงไม่สำนึกความผิด และบุตรชายของเจ้าด้วยแม่ทัพจินหยาง มีอย่างหรือเป็นเด็กอมมือกันอยู่แท้ๆรึอาจยุ่งเรื่องบ้านเมืองไม่มานั่งบัลลังก์แทนข้าเสียเลยล่ะ!" มี่เหยียนคุกเข่าลงพร้อมกับเอ่ยปากถ้อยคำที่แสนห้าวหาญจนคนในบริเวณนั้นนิ่งอึ้ง "ทูลเสด็จพ่อลูกทราบดีเพคะว่าการแอบเอาฎีฏาที่เป็นงานของฮ่องเต้ออกมานั้นมีโทษ ลูกขอรับผิดแต่โดยดี หากแต่อยากจะขอได้โปรดทรงเมตตาฟังคำขอของลูกด้วยเพคะ ในยามนี้หม่อมฉันอยากขอให้เสด็จพ่อ ทรงเร่งแก้ปัญหาในฎีฏาอย่างเร่งด่วนเพราะปัญหาโรคระบาดในขณะนี้ใหญ่หลวงนัก หากปล่อยเลยไปอาจบานปลายจนส่งผลต่อชีวิตของราษฎร และโรคระบาดจะแพร่กระจายจนไม่อาจแก้ รวมถึงอยากขอให้เสด็จพ่อทรงสละเวลาสักน้อยนิด อ่านฎีฏาเหล่านี้ เพราะมันคือความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนของพวกเราอยู่ จึงไม่อาจละเลยและหากว่าพระองค์จะสั่งประหารหม่อมฉันหรือลงโทษประการใด หม่อมฉันพร้อมน้อบรับเพคะ และเรื่องในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจทำของลูกเอง จินหย่งเป็นแค่ลูกน้องที่ซื่อสัตย์ทำตามคำสั่งนายเท่านั้น หากพระองค์จะทรงลงโทษหม่อมฉันขอรับโทษทั้งหมดเพียงผู้เดียวเพคะ" คำกล่าวอย่างห้าวหาญกังวาลขององค์หญิงพระองค์น้อย สร้างความยำเกรงและนับถือให้กับทุกคนที่อยู่ที่นั่นที่ไม่อยากเชื่อว่าจะมาจากเด็กหญิงวัยเพียงหกขวบ "ดี! เอางั้นก็ได้ทหารจงนำไม้เรียวมาให้ข้า ข้าจะลงโทษพระธิดาของข้าด้วยมือข้าเอง" เอ่ยตรัสพร้อมกับตบพระหัตไปที่พระพักตรของพระธิดาองค์เล็กจนหน้าหัน โดยที่ผู้ถูกตบสีหน้ายังคงเฉยชาไร้อารมณ์ไม่แปรเปลี่ยน แต่คนที่รู้สึกเจ็บปวดใจและซาบซึ้งใจในการปกป้องขององค์หญิงที่มีต่อเขานั้น ทำให้เด็กชายจินหย่งคุกเข่าร้องขอการลงโทษด้วยเช่นกัน "ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญากระหม่อมด้วยพะยะค่ะ กระหม่อมขอรับพระอาญาเช่นเดียวกันกับองค์หญิงด้วยพะยะค่ะ" ฮ่องเต้หลี่จงกำพระหัตแน่น พร้อมเอ่ยตรัส "ได้! ออกรับแทนกันนักข้าก็จะให้สมใจ แม่ทัพจินหยางข้าขอสั่งให้ท่านจงโบยบุตรชายของท่านด้วยมือท่านเอง ด้วยไม้โบยที่ใช้ลงโทษผู้ใหญ่ เป็นจำนวนสามที" คำสั่งนั้นทำให้มี่เหยียนเพ่งมองไปยังเด็กชายด้วยความสงสารเห็นใจ เพราะสำหรับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆเพียงเก้าขวบ ที่ถูกตีด้วยไม้โบยของผู้ใหญ่ ที่แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ถูกสั่งโบยยังทนแทบไม่ไหว แล้วนี้เขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆที่กระดูกยังอ่อน จึงถือเป็นโทษที่หนักเป็นอย่างมาก ได้แต่ส่งสายตาเห็นใจไปให้เด็กชาย จินหย่งที่เห็นพระเนตรที่มักเย็นชา มีแววพระเนตรสงสารเห็นใจมาให้เขาก็รู้สึกประทับใจอย่างมากจนไม่หวั่นเกรงกับโทษของเขาเลยแม้แต่น้อย และแล้วองค์หญิงที่ถูกโบยด้วยไม้เรียวอย่างแรงด้วยพระหัตของฮ่องเต้ และจินหย่งก็ถูกแม่ทัพจินหยางบิดาของเขาโบยด้วยมือตัวเองเช่นเดียวกัน เสียงไม้กระทบแหวกอากาศปะทะผิวเนื้อ แต่ไม่ได้ทำให้สีหน้าของผู้ถูกลงโทษเสียใจในสิ่งที่ทำเพราะมันคือเจตนารมย์อันแน่วแน่ของพวกเขา เมื่อการลงโทษจบลงเด็กชายลุกไม่ขึ้นจากการถูกโบย ไป๋เฟิงโผเข้ามาหาร้องไห้ด้วยความสงสารเด็กชาย แต่กลับถูกตวาดอย่างไม่ใยดี "เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!" และในทันใดนั้นเองเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดและจำได้ติดตาก็คือ องค์หญิงหลี่เหวินออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากได้รับการเฆี่ยนตีจากฮ่องเต้ ยืนด้วยความทรงสง่าพร้อมเอ่ย "ไป๋เฟิงเจ้าลุกขึ้นมาตรงหน้าข้าเดี๋ยวนี้!" เด็กน้อยไป๋เฟิงลุกขึ้นเดินเข้ามาตรงหน้า ทันใดนั้นเองก็ถูกฝ่ามือของมี่เหยียนตบไปที่ใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยเสียงดัง เป็นรอยแดงปรากฏอย่างชัดเจนจนร่างของเด็กน้อยไป๋เฟิงลงไปกองอยู่ที่พื้น โดยที่ทุกคนในที่นั่นพากันตกตะลึง มี่เหยียนไม่สนใจในสายตาของผู้อื่นที่มองมาและกล่าวเสียงเย็นต่อไปว่า "ข้าอยากให้เจ้าจำคำข้าเอาไว้อย่างหนึ่งนะไป๋เฟิง ข้าอาจจะเห็นใจหรือมีความเมตตาให้แก่ใครตามสมควร แต่หากผู้ใดทรยศต่อข้าโทษของคนผู้นั้นคือความตาย อย่าให้ข้าต้องทำเช่นนั้นกับเจ้าเลย ท่านเสนาธิการเหอจื่อหลงหลังจากนี้ข้าขอสั่ง ให้ทำโทษกักบริเวณบุตรสาวของท่านเป็นเวลาหนึ่งเดือนให้อยู่แต่ในจวนของท่านห้ามไม่ให้ออกไปที่ใด ทำผิดต้องถูกลงโทษข้ากับจินหย่งมีความผิดสมควรถูกลงโทษ บุตรสาวของท่านทรยศต่อผู้เป็นนายทรยศต่อข้า ก็ควรถูกลงโทษด้วยเช่นเดียวกัน" กล่าวจบก็เดินออกไปจากที่ตรงนั้นด้วยพระพักตรเรียบเฉยเข้มงวด ทุกคนในที่นั้นรู้สึกว่ามีรัศมีของความเป็นผู้นำที่น่ายำเกรงและเคารพออกมาจากร่างบางตัวน้อย ขององค์หญิงจนทำให้ทุกคนเคารพยำเกรง เพราะเจ้าหญิงพระองค์น้อยมีทั้งความกล้าหาญ เข้มแข็ง เยือกเย็น และความเด็ดขาดจนทุกคนรู้สึกยำเกรงออกมาอย่างน่าประหลาดใจ แต่มีเพียงผู้เดียวในที่นั้นที่นอกจากความเคารพยำเกรงยังมีความรัก เทิดทูลและหลงใหลในความเป็นผู้นำที่งามสง่าขององค์หญิงและเขาก็คือ เด็กชายจินหย่งที่นอนไร้เรี่ยวแรงจากการถูกโบย แต่หากสีหน้ากลับมีรอยยิ้มภูมิใจออกมาอย่างไม่นึกเสียใจกับโทษที่เขาได้รับแต่อย่างใด
ในขณะนี้รอบๆอุทยานไม่ได้มีเพียงพวกเขาสองคน แต่ในตอนนี้มีฮ่องเต้ องค์หญิงหลี่ถิงพระองค์โต แม่ทัพจินหยาง เสนาธิการเหอจื่อหลงและเหล่าขุนนางทหารและนางข้าหลวง และไป๋เฟิงอยู่บริเวณนั้น ฮ่องเต้สั่งห้ามไม่ให้ขันทีรายงานการเสด็จมาถึงของพระองค์ และทั้งหมดมาดูเด็กทั้งสองอย่างเงียบๆ ภายในใจแม้ฮ่องเต้จะทรงพิโรธเป็นอย่างมาก แต่ก็อดที่จะละอายใจไม่ได้ เพราะพระองค์ไม่ได้เปิดอ่านฎีฏาเหล่านั้นเลย เหล่าข้าราชบริพาน ทหารกล้าและเหล่าขุนนางที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตงฉินหรือกังฉินต่างรู้สึกทึ่งในพระปรีชาและสติปัญญาความสามารถ ขององค์หญิงหลี่เหวินและจินหย่งในความเป็นเด็กอัจฉริยะที่น่าทึ่ง และบางคนที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อบ้านเมืองรู้สึกชื่นชมในพระปรีชาและการคิดอ่านที่เป็นไปเพื่อราษฎรขององค์หญิงพระองค์น้อย แต่เมื่อเหลือบเห็นพระพักตรที่ฉายแววพิโรธขององค์ฮ่องเต้ ก็ต้องทอดถอนใจอย่างนึกเป็นห่วงเด็กอัจฉริยะทั้งสอง "ข้าคงเป็นฮ่องเต้ที่แย่มากจนต้องให้พระธิดาของข้าที่เป็นเพียงเด็กหกขวบ กับบุตรชายอายุเก้าขวบของท่านช่วยงานเลยล่ะสินะท่านแม่ทัพจิน!" มี่เหยียนและจินหย่งที่ได้ยินพระสุรเสียงประชดของฮ่องเต้หลี่จง ก็เงยหน้าขึ้นมาเพราะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และยิ่งแน่นอนว่าเด็กฉลาดทั้งสองย่อมรู้ดีว่า เป็นใครไปทูลฟ้อง มี่เหยียนเงยหน้ามองกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่รอบอุทยานด้วยแววตาเรียบนิ่ง ไร้แววตื่นตระหนกลนลาน และยังคงท่าทีอันแสนเยือกเย็นเอาไว้ ส่วนจินหย่งนั้นก็ไม่ได้ตื่นกลัวเพียงแต่นึกเป็นห่วงองค์หญิงของเขาที่อาจได้รับโทษ แล้วก็ให้โกรธเคืองเด็กขี้ฟ้องบางคน จนส่งสายตาเคียดแค้นชิงชังราวกับอยากฆ่าคนไปให้กับไป๋เฟิง จนนางสะดุ้งและหน้าซีดหลบสายตาก้มหน้างุดอย่างเด็กที่ทำความผิด
มี่เหยียนลุกขึ้นจากเก้าอี้และถวายความเคารพกับฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว "บังอาจนัก! คำสั่งของข้ามันไม่ได้เข้าหูของเจ้าเลยหรือไงหลี่เหวินเห็นทีว่าหากข้าไม่ลงโทษเจ้าเสียบ้างคงไม่สำนึกความผิด และบุตรชายของเจ้าด้วยแม่ทัพจินหยาง มีอย่างหรือเป็นเด็กอมมือกันอยู่แท้ๆรึอาจยุ่งเรื่องบ้านเมืองไม่มานั่งบัลลังก์แทนข้าเสียเลยล่ะ!" มี่เหยียนคุกเข่าลงพร้อมกับเอ่ยปากถ้อยคำที่แสนห้าวหาญจนคนในบริเวณนั้นนิ่งอึ้ง "ทูลเสด็จพ่อลูกทราบดีเพคะว่าการแอบเอาฎีฏาที่เป็นงานของฮ่องเต้ออกมานั้นมีโทษ ลูกขอรับผิดแต่โดยดี หากแต่อยากจะขอได้โปรดทรงเมตตาฟังคำขอของลูกด้วยเพคะ ในยามนี้หม่อมฉันอยากขอให้เสด็จพ่อ ทรงเร่งแก้ปัญหาในฎีฏาอย่างเร่งด่วนเพราะปัญหาโรคระบาดในขณะนี้ใหญ่หลวงนัก หากปล่อยเลยไปอาจบานปลายจนส่งผลต่อชีวิตของราษฎร และโรคระบาดจะแพร่กระจายจนไม่อาจแก้ รวมถึงอยากขอให้เสด็จพ่อทรงสละเวลาสักน้อยนิด อ่านฎีฏาเหล่านี้ เพราะมันคือความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนของพวกเราอยู่ จึงไม่อาจละเลยและหากว่าพระองค์จะสั่งประหารหม่อมฉันหรือลงโทษประการใด หม่อมฉันพร้อมน้อบรับเพคะ และเรื่องในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจทำของลูกเอง จินหย่งเป็นแค่ลูกน้องที่ซื่อสัตย์ทำตามคำสั่งนายเท่านั้น หากพระองค์จะทรงลงโทษหม่อมฉันขอรับโทษทั้งหมดเพียงผู้เดียวเพคะ" คำกล่าวอย่างห้าวหาญกังวาลขององค์หญิงพระองค์น้อย สร้างความยำเกรงและนับถือให้กับทุกคนที่อยู่ที่นั่นที่ไม่อยากเชื่อว่าจะมาจากเด็กหญิงวัยเพียงหกขวบ "ดี! เอางั้นก็ได้ทหารจงนำไม้เรียวมาให้ข้า ข้าจะลงโทษพระธิดาของข้าด้วยมือข้าเอง" เอ่ยตรัสพร้อมกับตบพระหัตไปที่พระพักตรของพระธิดาองค์เล็กจนหน้าหัน โดยที่ผู้ถูกตบสีหน้ายังคงเฉยชาไร้อารมณ์ไม่แปรเปลี่ยน แต่คนที่รู้สึกเจ็บปวดใจและซาบซึ้งใจในการปกป้องขององค์หญิงที่มีต่อเขานั้น ทำให้เด็กชายจินหย่งคุกเข่าร้องขอการลงโทษด้วยเช่นกัน "ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญากระหม่อมด้วยพะยะค่ะ กระหม่อมขอรับพระอาญาเช่นเดียวกันกับองค์หญิงด้วยพะยะค่ะ" ฮ่องเต้หลี่จงกำพระหัตแน่น พร้อมเอ่ยตรัส "ได้! ออกรับแทนกันนักข้าก็จะให้สมใจ แม่ทัพจินหยางข้าขอสั่งให้ท่านจงโบยบุตรชายของท่านด้วยมือท่านเอง ด้วยไม้โบยที่ใช้ลงโทษผู้ใหญ่ เป็นจำนวนสามที" คำสั่งนั้นทำให้มี่เหยียนเพ่งมองไปยังเด็กชายด้วยความสงสารเห็นใจ เพราะสำหรับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆเพียงเก้าขวบ ที่ถูกตีด้วยไม้โบยของผู้ใหญ่ ที่แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ถูกสั่งโบยยังทนแทบไม่ไหว แล้วนี้เขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆที่กระดูกยังอ่อน จึงถือเป็นโทษที่หนักเป็นอย่างมาก ได้แต่ส่งสายตาเห็นใจไปให้เด็กชาย จินหย่งที่เห็นพระเนตรที่มักเย็นชา มีแววพระเนตรสงสารเห็นใจมาให้เขาก็รู้สึกประทับใจอย่างมากจนไม่หวั่นเกรงกับโทษของเขาเลยแม้แต่น้อย และแล้วองค์หญิงที่ถูกโบยด้วยไม้เรียวอย่างแรงด้วยพระหัตของฮ่องเต้ และจินหย่งก็ถูกแม่ทัพจินหยางบิดาของเขาโบยด้วยมือตัวเองเช่นเดียวกัน เสียงไม้กระทบแหวกอากาศปะทะผิวเนื้อ แต่ไม่ได้ทำให้สีหน้าของผู้ถูกลงโทษเสียใจในสิ่งที่ทำเพราะมันคือเจตนารมย์อันแน่วแน่ของพวกเขา เมื่อการลงโทษจบลงเด็กชายลุกไม่ขึ้นจากการถูกโบย ไป๋เฟิงโผเข้ามาหาร้องไห้ด้วยความสงสารเด็กชาย แต่กลับถูกตวาดอย่างไม่ใยดี "เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!" และในทันใดนั้นเองเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดและจำได้ติดตาก็คือ องค์หญิงหลี่เหวินออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากได้รับการเฆี่ยนตีจากฮ่องเต้ ยืนด้วยความทรงสง่าพร้อมเอ่ย "ไป๋เฟิงเจ้าลุกขึ้นมาตรงหน้าข้าเดี๋ยวนี้!" เด็กน้อยไป๋เฟิงลุกขึ้นเดินเข้ามาตรงหน้า ทันใดนั้นเองก็ถูกฝ่ามือของมี่เหยียนตบไปที่ใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยเสียงดัง เป็นรอยแดงปรากฏอย่างชัดเจนจนร่างของเด็กน้อยไป๋เฟิงลงไปกองอยู่ที่พื้น โดยที่ทุกคนในที่นั่นพากันตกตะลึง มี่เหยียนไม่สนใจในสายตาของผู้อื่นที่มองมาและกล่าวเสียงเย็นต่อไปว่า "ข้าอยากให้เจ้าจำคำข้าเอาไว้อย่างหนึ่งนะไป๋เฟิง ข้าอาจจะเห็นใจหรือมีความเมตตาให้แก่ใครตามสมควร แต่หากผู้ใดทรยศต่อข้าโทษของคนผู้นั้นคือความตาย อย่าให้ข้าต้องทำเช่นนั้นกับเจ้าเลย ท่านเสนาธิการเหอจื่อหลงหลังจากนี้ข้าขอสั่ง ให้ทำโทษกักบริเวณบุตรสาวของท่านเป็นเวลาหนึ่งเดือนให้อยู่แต่ในจวนของท่านห้ามไม่ให้ออกไปที่ใด ทำผิดต้องถูกลงโทษข้ากับจินหย่งมีความผิดสมควรถูกลงโทษ บุตรสาวของท่านทรยศต่อผู้เป็นนายทรยศต่อข้า ก็ควรถูกลงโทษด้วยเช่นเดียวกัน" กล่าวจบก็เดินออกไปจากที่ตรงนั้นด้วยพระพักตรเรียบเฉยเข้มงวด ทุกคนในที่นั้นรู้สึกว่ามีรัศมีของความเป็นผู้นำที่น่ายำเกรงและเคารพออกมาจากร่างบางตัวน้อย ขององค์หญิงจนทำให้ทุกคนเคารพยำเกรง เพราะเจ้าหญิงพระองค์น้อยมีทั้งความกล้าหาญ เข้มแข็ง เยือกเย็น และความเด็ดขาดจนทุกคนรู้สึกยำเกรงออกมาอย่างน่าประหลาดใจ แต่มีเพียงผู้เดียวในที่นั้นที่นอกจากความเคารพยำเกรงยังมีความรัก เทิดทูลและหลงใหลในความเป็นผู้นำที่งามสง่าขององค์หญิงและเขาก็คือ เด็กชายจินหย่งที่นอนไร้เรี่ยวแรงจากการถูกโบย แต่หากสีหน้ากลับมีรอยยิ้มภูมิใจออกมาอย่างไม่นึกเสียใจกับโทษที่เขาได้รับแต่อย่างใด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ