The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่
7.3
เขียนโดย Alcatraz
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.
14 chapter
1 วิจารณ์
16.12K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) Negotiation
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความPrologue Act
Chapter 9th
Negotiation
ห้องเดอลุกซ์ของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง
เขตที่พักนักท่องเที่ยว
คริสซาลิส เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักร
23 กันยายน ก.ศ.327
08.33 น.
ปกติแล้วซินเธีย เดอ ลาพาซ ไม่เคยตื่นเกินแปดโมงเช้า
ปกติแล้วเธอมักจะรับรุ่งอรุณอย่างสดชื่นแจ่มใส พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่
ถ้าเป็นวันปกติละก็นะ
“อูย...ปวดหัวจัง...”
เสียงครางที่ดังมาจากเตียงขนาดคิงไซส์ใจกลางห้องบอกให้กุนเธอร์ซึ่งรออยู่รู้ว่าคุณหนูของเขาได้พ้นออกจากห้วงนิทราแล้ว และหน้าที่แรกของพ่อบ้านอย่างเขาคือการเอาเครื่องดื่มแก้อาการเมาค้างไปเสิร์ฟ
“คุณกุนเธอร์เหรอคะ...นี่ฉันอยู่ที่ไหน...”
นอกจากความสะลึมสะลือแล้ว ซินเธียยังรู้สึกเหมือนมีใครเพิ่งจับเธอลงไปปั่นในเครื่องซักผ้า โลกทั้งใบดูมัวๆหมุนไปมา และศีรษะของเธอก็ปวดร้าวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ห้องพักของเราที่โรงแรมครับ ดื่มนี่ก่อนนะครับ...”
กุนเธอร์ตอบพลางควบคุมให้หุ่นยนต์รับใช้ของห้องยื่นแก้วที่มีนมอุ่นๆบรรจุอยู่เต็มให้หญิงสาวที่รับไปดื่มอย่างกระหาย
“ห้องพัก...แต่ว่าเมื่อคืนฉัน...แค่ก!”
คุณหนูตระกูลเดอ ลาพาซพยายามกลืนนมลงคอ แค่ความรู้สึกคลื่นเหียนที่เข้ามาเยือนอย่างกะทันหันทำให้เธอสำลักมันออกมาทั้งหมดแทน กุนเธอร์รีบบังคับหุ่นยนต์ลากหญิงสาวลงจากเตียงไปยังห้องน้ำทันทีเพราะรู้ว่าอะไรจะตามมาหลังจากนี้
“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่...”
ซินเธียผู้เพิ่งมีประสบการณ์กับสิ่งที่เรียกว่าอาการเมาค้างเป็นครั้งแรกในชีวิตเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องน้ำหลังทิ้งของในกระเพาะทั้งหมดไว้ในนั้น เธอเอนตัวลงบนโซฟาหนานุ่ม พยายามรวบรวมสติให้กลับมาเต็มร้อย
“จำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ” กุนเธอร์เปลี่ยนเครื่องดื่มใหม่เป็นชาเขียวควันกรุ่น แต่ซินเธียไม่รู้สึกอยากดื่มอะไรอีกซักเท่าไหร่ หญิงสาวพยายามต่อสู้กับอาการปวดหัวที่รุมเร้าเข้ามาอย่างไม่ลดละ พลางเรียกหาความทรงจำของเมื่อคืนวานนี้...
เมื่อคืนเธอตอบรับคำตกลงของคนขับรถโดยสารที่จะพาไปยังเอลลีเซียม และเขาก็ส่งเธอไว้ริมถนนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรื่นรมย์และราคะ
เธอที่ไม่รู้จะไปไหนดีก็เข้าไปในบาร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด และถูกชายสามคนเข้ามาตีสนิทด้วย พวกนั้นคะยั้นคะยอให้เธอดื่ม ถ้าไม่ดื่มก็เหมือนมาไม่ถึงเอลลีเซียม
แล้วจากนั้น...
ความทรงจำของเมื่อคืนขาดหายลงแค่นั้น จบลงแค่ที่ว่าเธออยู่ในบาร์กับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้อีกสามคน...
หญิงสาวรู้สึกเย็นเฉียบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าเมื่อนึกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หรือได้เกิดขึ้นไปแล้ว พร้อมกับนึกด่าตัวเองเป็นสิบหนๆ ไม่รู้ปีศาจตนไหนดลใจให้เธอทำเรื่องบ้าๆอย่างการปล่อยตัวถึงขนาดนั้น
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ เมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นเลย พอดีว่ามีพลเมืองดีเข้ามาช่วยไว้น่ะครับ แล้วเขาก็ช่วยพามาส่งที่ห้องด้วย ต้องขอบคุณคนๆนั้นมากจริงๆ”
กุนเธอร์ที่อ่านขาดว่าซินเธียกำลังคิดอะไรอยู่รีบเอ่ยขึ้นเพื่อคลายความกังวลให้แก่คุณหนูของเขา
“จริงเหรอคะ ดีจังเลย...อูย...”
แม้อยากจะยินดีขนาดไหน แต่อาการเมาค้างไม่เคยปราณีใครทั้งสิ้น พ่อบ้านชุดดำมองเธออย่างเป็นห่วงก่อนจะถาม
“ไหวไหมครับ นัดกับองค์ราชินีวันนี้อาจพอเลื่อนได้สักชั่วโมงหนึ่ง...”
“อย่านะคะ! ถ้าคุณเรมาร์รู้เรื่องนี้เข้าละก็ ฉันคงโดนเล่นงานแน่เลยละค่ะ...”
ซินเธียร้องปฏิเสธเสียงหลง เธอยอมตายเสียยังดีกว่าให้หัวหน้าสำนักงานการทูตจับได้ว่าเธอทำเรื่องเสียมารยาทกับผู้มีอำนาจสูงสุดของราชอาณาจักร
“แต่ว่าคุณซินเธียดูไม่พร้อมเลยนะครับ...”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้สบายมาก...อ๋อย”
ถึงปากจะยืนยัน แต่ร่างกายของหญิงสาวไม่ค่อยอยากจะร่วมมือด้วยเสียเท่าไหร่ เพียงแค่ลุกขึ้นมา ซินเธียก็ซวนเซจวนจะล้มคว่ำ ร้อนถึงกุนเธอร์ต้องให้หุ่นรับใช้ประคองไปยังเตียงนอน
“ผมจะลองหาวิธีแก้เมาค้างดูเท่าที่จะทำได้นะครับ”
ทูตแห่งสหภาพนอนซมหมดสภาพอยู่บนเตียงขณะที่ AI ผู้ช่วยของเธอเริ่มดึงข้อมูลอะไรบางอย่างออกมาเป็นโฮโลแกรมกลางอากาศดูวุ่นวายไปหมด ซินเธียพยายามนึกถึง ‘พลเมืองดี’ ที่ได้ช่วยเธอไว้เมื่อคืน แต่ความทรงจำที่ขาดๆหายๆและขมุกขมัวก็มอบให้เธอได้แค่เสียงของการต่อสู้ระหว่างใครสักคนเท่านั้น ไม่ว่าพลเมืองดีนั่นจะเป็นใครก็ตาม เธอก็นึกขอบคุณคนๆนั้นอยู่ในใจอย่างล้นพ้น ถ้าไม่ได้ถูกช่วยไว้ ป่านนี้เธอคงไปอยู่ไหนต่อไหนเสียแล้วก็ไม่รู้
หลังจากลองทำสารพัดวิธีที่กุนเธอร์สรรหามาเพื่อแก้อาการเมาค้าง ซินเธียก็รู้สึกดีขึ้นพอที่จะเดินเหินได้อย่างสะดวก แม้ศีรษะจะยังรู้สึกปวดตุบๆอยู่บ้าง แต่ถ้ารอนานกว่านี้เธอจะต้องผิดนัดกับองค์ราชินี ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เธอหรือเรมาร์ปรารถนาอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรแน่นะครับคุณซินเธีย หน้ายังดูซีดๆอยู่เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็คงหายแล้ว”
พ่อบ้านชุดดำเอ่ยถามคุณหนูของตนซ้ำเป็นหนที่ห้านับตั้งแต่พวกเขาออกมาจากโรงแรม ซึ่งซินเธียก็ตอบกลับไปด้วยประโยคเดิมเป็นรอบที่ห้าเช่นกัน การจราจรของคริสซาลิสในวันนี้ก็ยังคงย่ำแย่เกินเยียวยาเช่นเคย ตามที่รถโดยสารอัตโนมัติคันนี้รายงาน กว่าเธอจะไปถึงพระราชวังเกรเซียสก็คงใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งชั่วโมง ซินเธียจึงถือโอกาสนี้ในการทบทวนเอกสารการเจรจาเป็นหนสุดท้าย
‘อ่านยังไงก็ดูไม่ค่อยจะคุ้มค่าจริงๆ’
ถึงจะยาวเหยียดเพราะท่วมเต็มไปด้วยข้อตกลง กฎ และระเบียบปฏิบัติมากมาย แต่ซินเธียก็สรุปใจความสำคัญของการเจรจาครั้งนี้ออกมาได้อย่างง่ายๆว่ามันเป็นการซื้ออาณาเขต
ในบรรดาสามขั้วอำนาจใหญ่นั้น ราชอาณาจักรนั้นมีอาณาเขตกว้างขวางที่สุด รองลงมาก็คือสหภาพ และตามด้วยสมาพันธรัฐซึ่งมีขนาดเล็กกว่าราชอาณาจักรถึงเกือบครึ่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าทั้งสามฝ่ายจะครอบครองพื้นที่กว่าเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์บนไกอาไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีอาณานิคมจำนวนมากที่มีการปกครองเป็นเอกราชของตนเอง ไม่ได้อยู่ใต้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งส่วนหนึ่งของอาณานิคมเหล่านี้เองคือผู้ที่ช่วยให้สหภาพต่อกรกับอีกสองฝ่ายได้อย่างสูสีในสงครามเมื่อสิบสามปีก่อน
แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทำกันบนโลกเก่า แต่การซื้อขายอาณาเขตระหว่างอาณานิคมด้วยกันบนไกอากลับเป็นเรื่องปกติ เพราะพื้นที่บนไกอานั้นแม้จะถูกครอบครองโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จริง แต่โดยมากก็เป็นเพียงพื้นที่ซึ่งเป็นธรรมชาติดั้งเดิม การซื้อขายจึงไม่มีผลกระทบใดๆกับที่อยู่อาศัยของประชาชนตาดำๆ ด้วยเหตุที่ว่าการขยายพื้นที่ซึ่งเป็นเขตเมืองที่มีความเจริญนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก และในช่วงเวลาสามร้อยยี่สิบเจ็ดปีของมนุษยชาติบนไกอา กว่าครึ่งก็ได้ถูกใช้ไปกับการตั้งถิ่นฐาน การปรับตัวและเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ จนพื้นที่ซึ่งถูกพัฒนาแล้วนั้นมีเพียงแค่จุดเล็กๆ หรือไม่ก็เป็นบริเวณที่มีทรัพยากรสำคัญอยู่เท่านั้น
และบริเวณที่สหภาพต้องการซื้อก็เป็นหนึ่งในพื้นที่รกร้างเหล่านั้น พื้นที่รกร้างที่มีแต่ป่า ป่า และป่า ไร้ซึ่งทรัพยากรที่มีความสลักสำคัญใดๆ อยู่สุดชายขอบระหว่างสหภาพกับราชอาณาจักร ไม่มีอะไรอยู่แถวนั้นนอกจากกองทหารตระเวนชายแดนของทั้งสองฝ่าย
แต่ฝ่ายหนึ่งยอมจ่ายเงินที่สามารถนำไปสร้างเมืองใหม่ได้ทั้งเมืองเพื่อพื้นที่ๆว่านั่น
เป็นข้อตกลงที่เธอไม่อยากจะเชื่อว่าถูกเขียนขึ้นมาโดยเรมาร์ ฮาลสัน ปรมาจารย์ด้านการทูตคนนั้น
ซินธียปิด PCD ลง พยายามเลิกคิดเกี่ยวกับความไม่สมเหตุสมผลนั้น หน้าที่ของเธอคือการทำให้การเจรจาบรรลุผล ไม่ใช่ตั้งคำถามเกี่ยวกับมัน นั่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกนักวิชาการปากมากดีกว่า
ขณะผ่านอนุสรสถานของอัลทิเซียร์ ฟาห์รอน ซินเธียก็เงยหน้าขึ้นมองรูปหล่อขนาดมหึมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือยแบบไร้สาระที่สุดจนชาวสหภาพพากันด่าซะไม่เหลือดี แต่เมื่อได้มาดูใกล้ๆด้วยตัวเองแล้ว เธอก็รู้สึกว่าการฟุ่มเฟือยสักนิดเพื่อความสวยงามขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
รูปหล่อนั้นเป็นร่างของหญิงสาวผมสั้นเสมอบ่าในชุดเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ทั้งหมดเป็นสีทองล้วนๆจนแสบตาหากจ้องมองตรงๆ มือข้างหนึ่งของเธอยื่นไปข้างหน้าราวกับพยายามจะคว้าจับอะไรบางอย่าง และแม้จะเป็นแค่โลหะไร้ชีวิต แต่ใบหน้านั้นกลับมีความมุ่งมั่นแผ่พุ่งออกมาอย่างน่าประหลาด ตรงบริเวณฐานของที่ตั้งรูปหล่อมีตัวอักษรถูกแกะสลักไว้อย่างประณีตว่า ‘อัลทิเซียร์ ฟาห์รอน ปฐมราชินีแห่งราชอาณาจักร’ มีผู้คนอยู่บ้างประปราย บ้างก็พักผ่อนหย่อนใจอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะรอบๆรูปหล่อ บ้างก็เดินถ่ายรูปไปทั่วเหมือนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่จะได้ถ่าย แต่ที่แน่นอนคือมันดูสงบต่างจากส่วนอื่นๆของคริสซาลิสอย่างสิ้นเชิง
“คุณกุนเธอร์ช่วยบันทึกลงตารางเวลาด้วยนะคะว่าหลังจากการเจรจาเสร็จฉันจะมาอนุสรสถานนี่”
“เรียบร้อยครับ แต่ว่าตอนนี้คุณซินเธียยัง...”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็หายแล้ว” หญิงสาวรู้ก่อนอีกฝ่ายพูดจบเสียอีกว่าเขากำลังจะถามอะไร เธอแอบถอนหายใจให้กับตัวเอง นึกอยากจะตั้งโปรแกรมกุนเธอร์ใหม่ซักรอบ แต่พ่อของเธอคงไม่มีวันยอมแน่ๆ
หน้าพระราชวังเกรเซียส
11.33 น.
ที่ประทับของราชินีแห่งราชอาณาจักรเองก็เป็นอีกหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของคริสซาลิส และแม้จะอายุกว่าหนึ่งร้อยปี มันก็ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างอันสวยที่สุดบนไกอา ด้วยพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยไร่และสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างความล้ำสมัยของไกอาและดีไซน์ของโลกเก่าไว้อย่างกลมกลืน ออกแบบโดยสามสถาปนิกที่โด่งดังที่สุดบนไกอาในเวลานั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พระราชวังเกรเซียสเปิดให้เข้าชมเพียงแค่วันสำคัญอย่างวันเฉลิมฉลองการครองราชย์หรือช่วงปีใหม่เท่านั้น และไม่อนุญาตให้มีการถ่ายภาพใดๆ แต่วันนี้ซินเธียกำลังจะได้ยลโฉมมันด้วยตาของตัวเอง โดยไม่มีบรรดานักท่องเที่ยวแออัดเบียดเสียดอีกด้วย
หลังจากผ่านด่านตรวจของทหารรักษาพระองค์ที่ประจำการอยู่โดยรอบพระราชวังมาได้แล้ว ทูตจากสหภาพก็เดินทอดน่องผ่านสวนด้านหน้าพระราชวัง มองซ้ายทีขวาทีเหมือนเด็กที่เพิ่งไปสวนสนุกครั้งแรกและไม่รู้ว่าจะมองตรงไหนดี ทุกอย่างมันสวยไปหมด ทั้งต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างดี ดอกไม้ที่เธอเคยเห็นแค่ภาพ หรือน้ำพุทองคำแท้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงใจกลาง ขนาดทางเดินเท้ายังสวยจนเธอไม่อยากจะเหยียบ
เธอลองหยิบ PCD ออกมาเพื่อเรียกหากุนเธอร์ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆจากพ่อบ้านของเธอ ซึ่งก็ทำเอาหญิงสาวใจแป้วไปเหมือนกัน ตอนนี้เธอโดดเดี่ยวจริงๆแล้ว
“ท่านทูตเดอ ลาพาซ ใช่ไหมคะ”
ซินเธียหันขวับไปตามเสียงเรียกก็เจอเข้ากับหญิงไม่ค่อยสาวอายุประมาณสี่สิบกลางๆในชุดเครื่องแบบทหารรักษาพระองค์ แต่เครื่องแบบของเธอต่างจากทหารทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการประดับตกแต่งที่ดูหรูหรากว่า หรือจะส่วนประกอบของชุดรบที่สอดแทรกอยู่อย่างแนบเนียนก็ตาม เส้นผมสีทรายมัดเป็นมวยเรียบร้อยพร้อมจะสวมหมวกชุดรบทับได้ทันที ดวงตาสีเขียวอ่อนพินิจคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเฉียบคม ตรงต้นขามีซองปืนพกติดอยู่แม้ว่าในเขตราชฐานนั้นจะห้ามพกพาอาวุธโดยเด็ดขาด แสดงว่าเธอคนนี้ต้องมีอะไรพิเศษแน่นอน
“ค่ะ แล้วคุณคือ...”
“เวลรียา ลูเชฟสกี้ องครักษ์หลวงค่ะ ฉันได้รับคำสั่งจากองค์ราชินีให้มารอรับคุณ ต้องการจะไปพบพระนางเลยหรือเปล่าคะ หรืออยากชมสวนอีกสักนิดหนึ่งดี” รอยยิ้มบางๆถูกมอบให้กับแขกผู้มาเยือนที่ยิ้มกลับอย่างมีมารยาทก่อนจะตอบไป
“ได้ทันทีค่ะ นี่ก็ใกล้เวลานัดแล้วด้วย”
“ค่ะ เชิญตามมาทางนี้”
หลังเดินผ่านส่วนหลักของพระราชวังที่แม้จะใหญ่โตแต่ก็ไร้ซึ่งผู้คนจนดูเงียบเหงา ทั้งคู่ก็มาถึงสวนอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสวนด้านหน้าพระราชวัง แต่สำหรับความสวยนั้นสวนเล็กๆแห่งนี้กลับชนะขาดจนซินเธียไม่อยากคิดว่าเงินที่ต้องใช้ในการแต่งสวนที่สวยขนาดนี้จะมากมายขนาดไหน เพราะทั้งสวนดูราวกับมีชีวิตเป็นของตัวเองเลยทีเดียว นอกจากนั้น ในสวนนี้ไม่ได้มีแค่ต้นไม้เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีนกหลายชนิดบินร่อนไปมา และถ้าตาไม่ฝาดไป เหมือนเมื่อกี้เธอจะเห็นกวางตัวเป็นๆกระโดดหย็องแหย็งอยู่หลังพุ่มไม้อีกด้วย
“แล้วองค์ราชินี?”
เวลรียาไม่ตอบกระไร เพียงแค่เดินนำเธอต่อเข้าไปยังใจกลางสวน ที่ซึ่งศาลาสำหรับนั่งเล่นสีขาวหลังเล็กตั้งอยู่ บนนั้น ใครหนึ่งกำลังยืนโปรยอาหารให้บรรดานกและสัตว์เล็กอื่นๆอีกหลายชนิด เมื่อเวลรียาและซินเธียก้าวเข้าไปใกล้ เหล่าสัตว์ที่กำลังกินอาหารกันอย่างเพลิดเพลินก็แตกกระจายกันออกไป และผู้ให้อาหารก็หันมาทางอาคันตุกะจากสหภาพกับองครักษ์หลวง
คนๆนั้นคือเด็กสาวอายุไม่น่าเกินสิบสี่หรือสิบห้าปี เส้นผมสีออบซิเดียนของเธอถูกมัดเป็นทรงทวินเทลยาวถึงไหล่ แววขี้เล่นฉายชัดออกมาจากดวงตาสีชาดเหมือนทับทิมเอก เธอสวมชุดโกธิคกระโปรงยาวดำสลับแดงตัดกับสภาพแวดล้อมที่อยู่อย่างสิ้นเชิง ริมฝีปากสีกุหลาบโค้งเป็นรอยยิ้มน้อยๆต้อนรับผู้มาเยือน
ทีแรกซินเธียเดาว่าเธอคงเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ที่มาพักผ่อนในสวนแห่งนี้ หญิงสาวจึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเวลรียาคุกเข่าขวาลง มือขวากำแนบอกซ้ายและเอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม
“ถวายบังคมเพคะ องค์ราชินี”
‘องค์ราชินี!?’
แม้จะสับสน แต่ซินเธียก็ก้มลงทำท่าเดียวกันกับเวลรียาในทันใด เธอจะกระทำการใดๆที่เป็นการเสียมารยาทไม่ได้เป็นอันขาด
แต่เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าองค์ราชินีกลับเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์และบ่นด้วยเสียงออกจะน้อยใจ
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องทำความเคารพบ้าบออะไรนั่น ฉันก็เป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเธอนั่นแหละ ไม่ต้องมาแบ่งแยกกันหรอก แล้วก็ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ตลกๆพวกนั้นกับฉันด้วยนะ ยิ่งใช้มันก็เหมือนยิ่งห่างไกลกันเข้าไปอีกน่ะสิ”
ซินเธียแหงนหน้ามองผู้นำของราชอาณาจักรอย่างประหลาดใจในขณะที่เวลรียาลุกขึ้นยืนกอดอกและโต้กลับไปบ้าง
“ไม่ได้หรอกคะ คุณรู้มั้ยคะว่าฐานะของตัวเองต่างจากคนทั่วไปขนาดไหน”
“ฉันรู้มาเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่นั่นไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องถูกปฏิบัติด้วยอย่างพิเศษกว่าคนทั่วไปสักหน่อยนี่นา”
“แต่ว่า...”
และทั้งสองก็เริ่มเถียงกันไปมาเหมือนเพื่อนสนิทเสียมากกว่าโดยไม่ได้ให้ความสนใจแก่ซินเธียที่ยังคงไม่เลิกคุกเข่า แถมยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆเสียด้วยจนหญิงสาวต้องถือวิสาสะเข้าไปขัดเสียเอง
“คือว่า...การเจรจา...”
เมื่อนั้นสายตาสองคู่จึงจับมาที่เธอพร้อมกันจนซินเธียสะดุ้ง ก่อนที่เด็กสาวผู้เป็นถึงราชินีจะกระวีกระวาดเข้ามาดึงเธอขึ้นและพาไปยังชุดโต๊ะเก้าอี้บนศาลา ปากก็พูดไปด้วย
“ตายแล้ว ขอโทษด้วยนะ เห็นไหม เพราะเถียงกับเธอเลยทำเสียมารยาทกับแขกจนได้” ประโยคท้ายถูกส่งให้กับองครักษ์หลวงที่พ่นลมหายใจยาวพร้อมกับที่ซินเธียถูกจับนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และราชินีแห่งราชอาณาจักรก็นั่งลงยังฝั่งตรงข้าม เวลรียานั้นก็ก้าวขึ้นมาบนศาลาเช่นกัน แต่ตำแหน่งของเธอคือด้านหลังขององค์ราชินี
“เธอคือ ซินเธีย เดอ ลาพาซ ทูตจากราชอาณาจักรใช่ไหม ฉัน โอลิเวีย ฟาห์รอน ราชินีองค์ที่ เอ่อ ที่เท่าไหร่นะ”
“เก้า” เวลรียากระซิบลอดไรฟันบอกขณะที่โอลิเวียพยักหน้าหงึกๆ
“ใช่ นั่นแหละ ราชินีองค์ที่เก้าแห่งราชอาณาจักร ยินดีที่ได้รู้จัก”
“กระหม่อมมีความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับพระราชทานพระราชวโรกาส...”
ยังไม่ทันจะจบประโยค นิ้วของอีกฝ่ายก็ถูกยกขึ้นมาแตะกับปากเธอเสียก่อน และเจ้าของนิ้วเองก็ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
“โยนคำไร้สาระพวกนั้นทิ้งไปเถอะ ฉันได้ยินแล้วอยากจะบ้าตาย คุยกันแบบธรรมดาๆดีกว่า เอาชาหน่อยไหม”
“อะ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ซินเธียนั่งเอ๋ออยู่ชั่วครู่ขณะมองโอลิเวียรินชาจากกาที่อยู่บนโต๊ะเล็กข้างๆลงในถ้วยสามใบ ส่งหนึ่งในนั้นให้ทูตสหภาพ ยกถ้วยหนึ่งขึ้นจิบเอง ส่วนอีกถ้วยที่เหลือถูกเอาไปโดยเวลรียาที่ดื่มจนหมดในอึกเดียว
“อ๊า โธ่ ชาดีๆต้องค่อยๆลิ้มรสทีละนิดสิ เธอนี่จริงๆเลย” องค์ราชินีโวยใส่องครักษ์หลวงที่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระใดๆ แถมยังบุ้ยใบ้ให้เธอรู้สึกตัวว่ายังมีแขกอีกคนอยู่ด้วย
“อุ้ย ขอโทษ ลืมตัวไปนิดนึง เอาละ ท่านทูต เราจะเริ่มการเจรจากันเลยดีไหม”
“ค่ะ นี่คือรายละเอียดของการเจรจา” ซินเธียแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เริ่มงานได้เสียที เธอยก PCD ขึ้นมา กดคำสั่งให้มันฉายเอกสารการเจรจาขึ้นมา
“พวกนั้นน่ะฉันอ่านหมดแล้วล่ะ...”
แต่โอลิเวียกลับไม่ได้ให้ความสนใจกับมัน มือทั้งสองของของเธอประสานกันไว้บนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้า จ้องเข้าไปในดวงตาของทูตจากสหภาพ
“ตอบฉันหน่อยได้ไหมท่านทูต ว่าทำไมฉันถึงต้องยอมรับการซื้ออาณาเขตครั้งนี้ด้วย”
บรรยากาศเป็นกันเองเมื่อครู่หายวับไปอย่างฉับพลัน ซินเธียสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากเด็กสาวร่างอ้อนแอ้นตรงหน้าจนเริ่มรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่อาจจะหลบตาของอีกฝ่ายได้ ถ้าทำแบบนั้นเธอจะถูกบีบให้ถอยมากกว่าเก่า
“ถึงดูเผินๆการซื้อขายนี่ฝั่งของฉันจะได้เปรียบ แต่ฉันรู้จักคนที่เขียนมันขึ้นมาดี คนๆนั้นไม่เคยมองหมากแค่ตาเดียว เขามองไปสองหรือสามตาเสมอ ดีไม่มีอาจตั้งแต่ตาแรกจนถึงตาสุดท้ายไว้หมดแล้ว และการรุกฆาตของเขาอาจเริ่มจากการซื้อขายนี่ก็ได้ ฉะนั้น ไหนลองบอกเหตุผลที่ฉันควรจะทำให้ตัวเองถูกกำจัดออกไปจากกระดานหน่อยสิ”
ซินเธียพยายามต่อสู้กับแรงกดดัน เรียบเรียงความคิดและคำพูดจากสิ่งที่เคยร่ำเรียนมา แต่ก็เหมือนว่าพวกมันหนีหายไปหมดโดยมิได้นัดหมาย ส่วนโอลิเวียก็รุกต่ออย่างไม่ปราณี
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งนะ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างทั้งสามฝ่ายเริ่มจะคุกรุ่นขึ้นมาอีกแล้วด้วยนี่สิ...ว่าไงล่ะ ท่านทูต หรือชาของฉันเข้มเกินจนลิ้นเป็นอัมพาตไปแล้ว”
ขณะกำลังจนด้วยคำพูด สิ่งที่โอลิเวียเอ่ยออกมาก็ไปกระตุกต่อมสงสัยของซินเธีย หญิงสาวรวบรวมเสียงก่อนจะเริ่มบุกกลับ
“เมื่อกี้ท่านพูดว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสามฝ่ายเริ่มจะคุกกรุ่นอีกแล้วใช่ไหมคะ”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกให้เธอไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก แต่ซินเธียก็ยังเลือกใช้สรรพนามที่ให้ความเคารพอีกฝ่ายสูงอยู่ดี
“หืม? ก็ใช่แหละ แล้วไงล่ะ ท่านทูต”
“ท่านคงไม่ต้องการสงครามหรอก ใช่ไหมคะ”
โอลิเวียนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบช้าๆ
“ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มีหรอก สงครามคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสามารถสร้างขึ้นมาได้แล้ว เธอเองน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรือไง”
ประโยคนั้นถูกเน้นเสียราวกับว่าราชินีแห่งราชอาณาจักรทราบว่าซินเธียเคยผ่านอะไรมาในอดีต แต่หญิงสาวก็ไม่ได้สังเกตถึงจุดนั้น เพราะตอนนี้เธอทำให้อีกฝ่ายเอนเอียงได้แล้ว
“งั้นการซื้อขายนี่ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันสงครามนั้นค่ะ”
“หืม” โอลิเวียเลิกคิ้วขึ้น “ไหนลองอธิบายหน่อยซิท่านทูต”
“ตอนนี้กองทัพของราชอาณาจักรกำลังพยายามขยายขนาดใช่ไหมคะ”
“ก็ไม่ปฏิเสธหรอก...”
“และแน่นอนว่าการที่จะทำแบบนั้นต้องอาศัยเงินจำนวนมาก หรือท่านจะบอกว่าไม่จริง”
โอลิเวียนิ่งเงียบ ซินเธียจึงอธิบายต่อ
“ถ้าท่านสามารถขยายกองทัพได้ใหญ่พอจนสมาพันธรัฐไม่กล้าตอแยกับราชอาณาจักร ก็เท่ากับว่าสงครามจะไม่มีทางเกิดขึ้น”
“แล้วทางฝ่ายของเธอล่ะ”
“ท่านก็รู้นี่คะว่าเราไม่เคยรุกรานใครก่อน ที่เราสู้ในสงครามครั้งก่อนก็เป็นเพียงแค่การป้องกันตัวเท่านั้น”
“ถ้าเกิดฝ่ายฉันเกิดกลายเป็นผู้รุกรานขึ้นมาเสียเองล่ะ”
“ราชินีแห่งราชอาณาจักรคงไม่กลืนน้ำลายตัวเองหรอก ใช่ไหมล่ะคะ”
ประโยคนั้นทำให้โอลิเวียหัวเราะออกมาดังลั่นจนแม้แต่เวลรียาที่ยืนฟังอย่างเงียบๆมาโดยตลอดยังเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เธอไม่ได้ยินราชินีหัวเราะแบบนี้มานานแล้ว
“ยอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมจริงๆ ซินเธีย เดอ ลาพาซ นอกจากเรมาร์แล้ว ก็เพิ่งเคยมีคนทำให้ฉันตอบตกลงได้เร็วขนาดนี้”
ทูตจากสหภาพยิ้มออกมาอย่างดีใจที่อีกฝ่ายตัดสินใจรับการซื้อขายอาณาเขต เท่ากับว่างานชิ้นแรกของเธอในฐานะทูตสำเร็จลุล่วงไปได้ แม้จะไม่ด้วยดีนักก็ตาม
“เอ้า เซ็น ประทับตรา เรียบร้อย” โอลิเวียจัดการทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับเวลรียา
“ช่วยบอกให้ฝ่ายความมั่นคงถ่ายโอนข้อมูลไปยังสหภาพที แบบด่วนที่สุดเลยนะ”
องครักษ์หลวงแตะเครื่องมือสื่อสารไร้สายที่เหน็บอยู่ตรงใบหูทเอ่ยตามที่องค์ราชินีสั่ง PCD ของซินเธียก็มีหน้าจอแสดงถึงการเข้าระบบจากภายนอกและเอกสารที่ผ่านการลงนามแล้วก็ถูกส่งไปยังสำนักงานการทูตแห่งสหภาพ
“ยินดีด้วยนะท่านทูต มากินเค้กฉลองกันดีกว่าเนอะ”
เมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง บรรยากาศสบายๆก็กลับมาอีกหนจนซินเธียปรับตัวแทบไม่ทัน คราวนี้โอลิเวียดึงเค้กสามชิ้นออกมาจากกล่องเก็บอุณหภูมิซึ่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันกับที่วางชุดน้ำชาและยื่นชิ้นหนึ่งให้ซินเธีย ส่วนตัวเธอเองก็จัดการกับอีกชิ้นอย่างรวดเร็ว
“ว้าว รสชาติดีมากเลยค่ะ”
ซินเธียที่เริ่มรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับราชินีคนนี้ชมเปาะ ซึ่งก็ไม่ได้เกินความจริงแม้แต่น้อย เค้กนั่นอร่อยจนเธอรู้สึกเคลิ้มไปเลยทีเดียว
“ใช่ไหมล่า ไม่กินเหรอเวล อร่อยนะ”
“ฉันไม่กินไขมันเกินความจำเป็นของแต่ละวันค่ะ”
องครักษ์หลวงปฏิเสธเสียงแข็ง แต่โอลิเวียไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“แหม อายุปูนนี้แล้วยังจะห่วงสวยอีก กินๆเข้าไปเถอะน่า จากร้านโปรดของฉันเลยนะ”
“ไม่ได้ห่วงสวยซักหน่อย...”
เวลรียาที่ถูกคะยั้นคะยอมากๆเข้าก็กินเข้าไปหนึ่งคำอย่างเสียมิได้ ขณะโอลิเวียที่กินส่วนของเธอหมดแล้วทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้และหันมาจ้องซินเธียจนหญิงสาวชะงักในท่าตักเค้กเข้าปาก
“มะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันมีคนที่อยากให้เธอรู้จักน่ะ เขากำลังจะมาถึงแล้วละ”
ซินเธียรู้สึกงุนงงขึ้นมาทันที ทำไมจู่ๆราชินีแห่งราชอาณาจักรถึงอยากให้เธอ ทูตมือใหม่จากสหภาพและเป็นเพียงคนที่เคยเจอกันครั้งแรก ไปรู้จักกับคนๆนั้นได้
ราวกับถึงคิว ใครบางคนที่ว่านั่นก็ก้าวสู่สวนหลังพระราชวังพอดี เมื่อเขาเข้ามาจนซินเธียสามารถมองได้ชัดเจนถึงทุกรายละเอียดของคนๆนั้น ช้อนตักเค้กก็ร่วงหล่นลงจากมือตกลงพื้น สีหน้าไม่ต่างอะไรกับคนโดนผีหลอก ไม่สิ ต่อให้โดนผีหลอกสีหน้าเธอก็คงไม่ถึงขนาดนี้ ปากเอ่ยชื่อของคนๆนั้นออกมาด้วยเสียงไม่เกินกระซิบ
“เล...เดน?”
Chapter 9th
Negotiation
ห้องเดอลุกซ์ของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง
เขตที่พักนักท่องเที่ยว
คริสซาลิส เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักร
23 กันยายน ก.ศ.327
08.33 น.
ปกติแล้วซินเธีย เดอ ลาพาซ ไม่เคยตื่นเกินแปดโมงเช้า
ปกติแล้วเธอมักจะรับรุ่งอรุณอย่างสดชื่นแจ่มใส พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่
ถ้าเป็นวันปกติละก็นะ
“อูย...ปวดหัวจัง...”
เสียงครางที่ดังมาจากเตียงขนาดคิงไซส์ใจกลางห้องบอกให้กุนเธอร์ซึ่งรออยู่รู้ว่าคุณหนูของเขาได้พ้นออกจากห้วงนิทราแล้ว และหน้าที่แรกของพ่อบ้านอย่างเขาคือการเอาเครื่องดื่มแก้อาการเมาค้างไปเสิร์ฟ
“คุณกุนเธอร์เหรอคะ...นี่ฉันอยู่ที่ไหน...”
นอกจากความสะลึมสะลือแล้ว ซินเธียยังรู้สึกเหมือนมีใครเพิ่งจับเธอลงไปปั่นในเครื่องซักผ้า โลกทั้งใบดูมัวๆหมุนไปมา และศีรษะของเธอก็ปวดร้าวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ห้องพักของเราที่โรงแรมครับ ดื่มนี่ก่อนนะครับ...”
กุนเธอร์ตอบพลางควบคุมให้หุ่นยนต์รับใช้ของห้องยื่นแก้วที่มีนมอุ่นๆบรรจุอยู่เต็มให้หญิงสาวที่รับไปดื่มอย่างกระหาย
“ห้องพัก...แต่ว่าเมื่อคืนฉัน...แค่ก!”
คุณหนูตระกูลเดอ ลาพาซพยายามกลืนนมลงคอ แค่ความรู้สึกคลื่นเหียนที่เข้ามาเยือนอย่างกะทันหันทำให้เธอสำลักมันออกมาทั้งหมดแทน กุนเธอร์รีบบังคับหุ่นยนต์ลากหญิงสาวลงจากเตียงไปยังห้องน้ำทันทีเพราะรู้ว่าอะไรจะตามมาหลังจากนี้
“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่...”
ซินเธียผู้เพิ่งมีประสบการณ์กับสิ่งที่เรียกว่าอาการเมาค้างเป็นครั้งแรกในชีวิตเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องน้ำหลังทิ้งของในกระเพาะทั้งหมดไว้ในนั้น เธอเอนตัวลงบนโซฟาหนานุ่ม พยายามรวบรวมสติให้กลับมาเต็มร้อย
“จำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ” กุนเธอร์เปลี่ยนเครื่องดื่มใหม่เป็นชาเขียวควันกรุ่น แต่ซินเธียไม่รู้สึกอยากดื่มอะไรอีกซักเท่าไหร่ หญิงสาวพยายามต่อสู้กับอาการปวดหัวที่รุมเร้าเข้ามาอย่างไม่ลดละ พลางเรียกหาความทรงจำของเมื่อคืนวานนี้...
เมื่อคืนเธอตอบรับคำตกลงของคนขับรถโดยสารที่จะพาไปยังเอลลีเซียม และเขาก็ส่งเธอไว้ริมถนนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรื่นรมย์และราคะ
เธอที่ไม่รู้จะไปไหนดีก็เข้าไปในบาร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด และถูกชายสามคนเข้ามาตีสนิทด้วย พวกนั้นคะยั้นคะยอให้เธอดื่ม ถ้าไม่ดื่มก็เหมือนมาไม่ถึงเอลลีเซียม
แล้วจากนั้น...
ความทรงจำของเมื่อคืนขาดหายลงแค่นั้น จบลงแค่ที่ว่าเธออยู่ในบาร์กับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้อีกสามคน...
หญิงสาวรู้สึกเย็นเฉียบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าเมื่อนึกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หรือได้เกิดขึ้นไปแล้ว พร้อมกับนึกด่าตัวเองเป็นสิบหนๆ ไม่รู้ปีศาจตนไหนดลใจให้เธอทำเรื่องบ้าๆอย่างการปล่อยตัวถึงขนาดนั้น
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ เมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นเลย พอดีว่ามีพลเมืองดีเข้ามาช่วยไว้น่ะครับ แล้วเขาก็ช่วยพามาส่งที่ห้องด้วย ต้องขอบคุณคนๆนั้นมากจริงๆ”
กุนเธอร์ที่อ่านขาดว่าซินเธียกำลังคิดอะไรอยู่รีบเอ่ยขึ้นเพื่อคลายความกังวลให้แก่คุณหนูของเขา
“จริงเหรอคะ ดีจังเลย...อูย...”
แม้อยากจะยินดีขนาดไหน แต่อาการเมาค้างไม่เคยปราณีใครทั้งสิ้น พ่อบ้านชุดดำมองเธออย่างเป็นห่วงก่อนจะถาม
“ไหวไหมครับ นัดกับองค์ราชินีวันนี้อาจพอเลื่อนได้สักชั่วโมงหนึ่ง...”
“อย่านะคะ! ถ้าคุณเรมาร์รู้เรื่องนี้เข้าละก็ ฉันคงโดนเล่นงานแน่เลยละค่ะ...”
ซินเธียร้องปฏิเสธเสียงหลง เธอยอมตายเสียยังดีกว่าให้หัวหน้าสำนักงานการทูตจับได้ว่าเธอทำเรื่องเสียมารยาทกับผู้มีอำนาจสูงสุดของราชอาณาจักร
“แต่ว่าคุณซินเธียดูไม่พร้อมเลยนะครับ...”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้สบายมาก...อ๋อย”
ถึงปากจะยืนยัน แต่ร่างกายของหญิงสาวไม่ค่อยอยากจะร่วมมือด้วยเสียเท่าไหร่ เพียงแค่ลุกขึ้นมา ซินเธียก็ซวนเซจวนจะล้มคว่ำ ร้อนถึงกุนเธอร์ต้องให้หุ่นรับใช้ประคองไปยังเตียงนอน
“ผมจะลองหาวิธีแก้เมาค้างดูเท่าที่จะทำได้นะครับ”
ทูตแห่งสหภาพนอนซมหมดสภาพอยู่บนเตียงขณะที่ AI ผู้ช่วยของเธอเริ่มดึงข้อมูลอะไรบางอย่างออกมาเป็นโฮโลแกรมกลางอากาศดูวุ่นวายไปหมด ซินเธียพยายามนึกถึง ‘พลเมืองดี’ ที่ได้ช่วยเธอไว้เมื่อคืน แต่ความทรงจำที่ขาดๆหายๆและขมุกขมัวก็มอบให้เธอได้แค่เสียงของการต่อสู้ระหว่างใครสักคนเท่านั้น ไม่ว่าพลเมืองดีนั่นจะเป็นใครก็ตาม เธอก็นึกขอบคุณคนๆนั้นอยู่ในใจอย่างล้นพ้น ถ้าไม่ได้ถูกช่วยไว้ ป่านนี้เธอคงไปอยู่ไหนต่อไหนเสียแล้วก็ไม่รู้
หลังจากลองทำสารพัดวิธีที่กุนเธอร์สรรหามาเพื่อแก้อาการเมาค้าง ซินเธียก็รู้สึกดีขึ้นพอที่จะเดินเหินได้อย่างสะดวก แม้ศีรษะจะยังรู้สึกปวดตุบๆอยู่บ้าง แต่ถ้ารอนานกว่านี้เธอจะต้องผิดนัดกับองค์ราชินี ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เธอหรือเรมาร์ปรารถนาอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรแน่นะครับคุณซินเธีย หน้ายังดูซีดๆอยู่เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็คงหายแล้ว”
พ่อบ้านชุดดำเอ่ยถามคุณหนูของตนซ้ำเป็นหนที่ห้านับตั้งแต่พวกเขาออกมาจากโรงแรม ซึ่งซินเธียก็ตอบกลับไปด้วยประโยคเดิมเป็นรอบที่ห้าเช่นกัน การจราจรของคริสซาลิสในวันนี้ก็ยังคงย่ำแย่เกินเยียวยาเช่นเคย ตามที่รถโดยสารอัตโนมัติคันนี้รายงาน กว่าเธอจะไปถึงพระราชวังเกรเซียสก็คงใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งชั่วโมง ซินเธียจึงถือโอกาสนี้ในการทบทวนเอกสารการเจรจาเป็นหนสุดท้าย
‘อ่านยังไงก็ดูไม่ค่อยจะคุ้มค่าจริงๆ’
ถึงจะยาวเหยียดเพราะท่วมเต็มไปด้วยข้อตกลง กฎ และระเบียบปฏิบัติมากมาย แต่ซินเธียก็สรุปใจความสำคัญของการเจรจาครั้งนี้ออกมาได้อย่างง่ายๆว่ามันเป็นการซื้ออาณาเขต
ในบรรดาสามขั้วอำนาจใหญ่นั้น ราชอาณาจักรนั้นมีอาณาเขตกว้างขวางที่สุด รองลงมาก็คือสหภาพ และตามด้วยสมาพันธรัฐซึ่งมีขนาดเล็กกว่าราชอาณาจักรถึงเกือบครึ่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าทั้งสามฝ่ายจะครอบครองพื้นที่กว่าเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์บนไกอาไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีอาณานิคมจำนวนมากที่มีการปกครองเป็นเอกราชของตนเอง ไม่ได้อยู่ใต้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งส่วนหนึ่งของอาณานิคมเหล่านี้เองคือผู้ที่ช่วยให้สหภาพต่อกรกับอีกสองฝ่ายได้อย่างสูสีในสงครามเมื่อสิบสามปีก่อน
แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทำกันบนโลกเก่า แต่การซื้อขายอาณาเขตระหว่างอาณานิคมด้วยกันบนไกอากลับเป็นเรื่องปกติ เพราะพื้นที่บนไกอานั้นแม้จะถูกครอบครองโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จริง แต่โดยมากก็เป็นเพียงพื้นที่ซึ่งเป็นธรรมชาติดั้งเดิม การซื้อขายจึงไม่มีผลกระทบใดๆกับที่อยู่อาศัยของประชาชนตาดำๆ ด้วยเหตุที่ว่าการขยายพื้นที่ซึ่งเป็นเขตเมืองที่มีความเจริญนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก และในช่วงเวลาสามร้อยยี่สิบเจ็ดปีของมนุษยชาติบนไกอา กว่าครึ่งก็ได้ถูกใช้ไปกับการตั้งถิ่นฐาน การปรับตัวและเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ จนพื้นที่ซึ่งถูกพัฒนาแล้วนั้นมีเพียงแค่จุดเล็กๆ หรือไม่ก็เป็นบริเวณที่มีทรัพยากรสำคัญอยู่เท่านั้น
และบริเวณที่สหภาพต้องการซื้อก็เป็นหนึ่งในพื้นที่รกร้างเหล่านั้น พื้นที่รกร้างที่มีแต่ป่า ป่า และป่า ไร้ซึ่งทรัพยากรที่มีความสลักสำคัญใดๆ อยู่สุดชายขอบระหว่างสหภาพกับราชอาณาจักร ไม่มีอะไรอยู่แถวนั้นนอกจากกองทหารตระเวนชายแดนของทั้งสองฝ่าย
แต่ฝ่ายหนึ่งยอมจ่ายเงินที่สามารถนำไปสร้างเมืองใหม่ได้ทั้งเมืองเพื่อพื้นที่ๆว่านั่น
เป็นข้อตกลงที่เธอไม่อยากจะเชื่อว่าถูกเขียนขึ้นมาโดยเรมาร์ ฮาลสัน ปรมาจารย์ด้านการทูตคนนั้น
ซินธียปิด PCD ลง พยายามเลิกคิดเกี่ยวกับความไม่สมเหตุสมผลนั้น หน้าที่ของเธอคือการทำให้การเจรจาบรรลุผล ไม่ใช่ตั้งคำถามเกี่ยวกับมัน นั่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกนักวิชาการปากมากดีกว่า
ขณะผ่านอนุสรสถานของอัลทิเซียร์ ฟาห์รอน ซินเธียก็เงยหน้าขึ้นมองรูปหล่อขนาดมหึมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือยแบบไร้สาระที่สุดจนชาวสหภาพพากันด่าซะไม่เหลือดี แต่เมื่อได้มาดูใกล้ๆด้วยตัวเองแล้ว เธอก็รู้สึกว่าการฟุ่มเฟือยสักนิดเพื่อความสวยงามขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
รูปหล่อนั้นเป็นร่างของหญิงสาวผมสั้นเสมอบ่าในชุดเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ทั้งหมดเป็นสีทองล้วนๆจนแสบตาหากจ้องมองตรงๆ มือข้างหนึ่งของเธอยื่นไปข้างหน้าราวกับพยายามจะคว้าจับอะไรบางอย่าง และแม้จะเป็นแค่โลหะไร้ชีวิต แต่ใบหน้านั้นกลับมีความมุ่งมั่นแผ่พุ่งออกมาอย่างน่าประหลาด ตรงบริเวณฐานของที่ตั้งรูปหล่อมีตัวอักษรถูกแกะสลักไว้อย่างประณีตว่า ‘อัลทิเซียร์ ฟาห์รอน ปฐมราชินีแห่งราชอาณาจักร’ มีผู้คนอยู่บ้างประปราย บ้างก็พักผ่อนหย่อนใจอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะรอบๆรูปหล่อ บ้างก็เดินถ่ายรูปไปทั่วเหมือนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่จะได้ถ่าย แต่ที่แน่นอนคือมันดูสงบต่างจากส่วนอื่นๆของคริสซาลิสอย่างสิ้นเชิง
“คุณกุนเธอร์ช่วยบันทึกลงตารางเวลาด้วยนะคะว่าหลังจากการเจรจาเสร็จฉันจะมาอนุสรสถานนี่”
“เรียบร้อยครับ แต่ว่าตอนนี้คุณซินเธียยัง...”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็หายแล้ว” หญิงสาวรู้ก่อนอีกฝ่ายพูดจบเสียอีกว่าเขากำลังจะถามอะไร เธอแอบถอนหายใจให้กับตัวเอง นึกอยากจะตั้งโปรแกรมกุนเธอร์ใหม่ซักรอบ แต่พ่อของเธอคงไม่มีวันยอมแน่ๆ
หน้าพระราชวังเกรเซียส
11.33 น.
ที่ประทับของราชินีแห่งราชอาณาจักรเองก็เป็นอีกหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของคริสซาลิส และแม้จะอายุกว่าหนึ่งร้อยปี มันก็ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างอันสวยที่สุดบนไกอา ด้วยพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยไร่และสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างความล้ำสมัยของไกอาและดีไซน์ของโลกเก่าไว้อย่างกลมกลืน ออกแบบโดยสามสถาปนิกที่โด่งดังที่สุดบนไกอาในเวลานั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พระราชวังเกรเซียสเปิดให้เข้าชมเพียงแค่วันสำคัญอย่างวันเฉลิมฉลองการครองราชย์หรือช่วงปีใหม่เท่านั้น และไม่อนุญาตให้มีการถ่ายภาพใดๆ แต่วันนี้ซินเธียกำลังจะได้ยลโฉมมันด้วยตาของตัวเอง โดยไม่มีบรรดานักท่องเที่ยวแออัดเบียดเสียดอีกด้วย
หลังจากผ่านด่านตรวจของทหารรักษาพระองค์ที่ประจำการอยู่โดยรอบพระราชวังมาได้แล้ว ทูตจากสหภาพก็เดินทอดน่องผ่านสวนด้านหน้าพระราชวัง มองซ้ายทีขวาทีเหมือนเด็กที่เพิ่งไปสวนสนุกครั้งแรกและไม่รู้ว่าจะมองตรงไหนดี ทุกอย่างมันสวยไปหมด ทั้งต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างดี ดอกไม้ที่เธอเคยเห็นแค่ภาพ หรือน้ำพุทองคำแท้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงใจกลาง ขนาดทางเดินเท้ายังสวยจนเธอไม่อยากจะเหยียบ
เธอลองหยิบ PCD ออกมาเพื่อเรียกหากุนเธอร์ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆจากพ่อบ้านของเธอ ซึ่งก็ทำเอาหญิงสาวใจแป้วไปเหมือนกัน ตอนนี้เธอโดดเดี่ยวจริงๆแล้ว
“ท่านทูตเดอ ลาพาซ ใช่ไหมคะ”
ซินเธียหันขวับไปตามเสียงเรียกก็เจอเข้ากับหญิงไม่ค่อยสาวอายุประมาณสี่สิบกลางๆในชุดเครื่องแบบทหารรักษาพระองค์ แต่เครื่องแบบของเธอต่างจากทหารทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการประดับตกแต่งที่ดูหรูหรากว่า หรือจะส่วนประกอบของชุดรบที่สอดแทรกอยู่อย่างแนบเนียนก็ตาม เส้นผมสีทรายมัดเป็นมวยเรียบร้อยพร้อมจะสวมหมวกชุดรบทับได้ทันที ดวงตาสีเขียวอ่อนพินิจคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเฉียบคม ตรงต้นขามีซองปืนพกติดอยู่แม้ว่าในเขตราชฐานนั้นจะห้ามพกพาอาวุธโดยเด็ดขาด แสดงว่าเธอคนนี้ต้องมีอะไรพิเศษแน่นอน
“ค่ะ แล้วคุณคือ...”
“เวลรียา ลูเชฟสกี้ องครักษ์หลวงค่ะ ฉันได้รับคำสั่งจากองค์ราชินีให้มารอรับคุณ ต้องการจะไปพบพระนางเลยหรือเปล่าคะ หรืออยากชมสวนอีกสักนิดหนึ่งดี” รอยยิ้มบางๆถูกมอบให้กับแขกผู้มาเยือนที่ยิ้มกลับอย่างมีมารยาทก่อนจะตอบไป
“ได้ทันทีค่ะ นี่ก็ใกล้เวลานัดแล้วด้วย”
“ค่ะ เชิญตามมาทางนี้”
หลังเดินผ่านส่วนหลักของพระราชวังที่แม้จะใหญ่โตแต่ก็ไร้ซึ่งผู้คนจนดูเงียบเหงา ทั้งคู่ก็มาถึงสวนอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสวนด้านหน้าพระราชวัง แต่สำหรับความสวยนั้นสวนเล็กๆแห่งนี้กลับชนะขาดจนซินเธียไม่อยากคิดว่าเงินที่ต้องใช้ในการแต่งสวนที่สวยขนาดนี้จะมากมายขนาดไหน เพราะทั้งสวนดูราวกับมีชีวิตเป็นของตัวเองเลยทีเดียว นอกจากนั้น ในสวนนี้ไม่ได้มีแค่ต้นไม้เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีนกหลายชนิดบินร่อนไปมา และถ้าตาไม่ฝาดไป เหมือนเมื่อกี้เธอจะเห็นกวางตัวเป็นๆกระโดดหย็องแหย็งอยู่หลังพุ่มไม้อีกด้วย
“แล้วองค์ราชินี?”
เวลรียาไม่ตอบกระไร เพียงแค่เดินนำเธอต่อเข้าไปยังใจกลางสวน ที่ซึ่งศาลาสำหรับนั่งเล่นสีขาวหลังเล็กตั้งอยู่ บนนั้น ใครหนึ่งกำลังยืนโปรยอาหารให้บรรดานกและสัตว์เล็กอื่นๆอีกหลายชนิด เมื่อเวลรียาและซินเธียก้าวเข้าไปใกล้ เหล่าสัตว์ที่กำลังกินอาหารกันอย่างเพลิดเพลินก็แตกกระจายกันออกไป และผู้ให้อาหารก็หันมาทางอาคันตุกะจากสหภาพกับองครักษ์หลวง
คนๆนั้นคือเด็กสาวอายุไม่น่าเกินสิบสี่หรือสิบห้าปี เส้นผมสีออบซิเดียนของเธอถูกมัดเป็นทรงทวินเทลยาวถึงไหล่ แววขี้เล่นฉายชัดออกมาจากดวงตาสีชาดเหมือนทับทิมเอก เธอสวมชุดโกธิคกระโปรงยาวดำสลับแดงตัดกับสภาพแวดล้อมที่อยู่อย่างสิ้นเชิง ริมฝีปากสีกุหลาบโค้งเป็นรอยยิ้มน้อยๆต้อนรับผู้มาเยือน
ทีแรกซินเธียเดาว่าเธอคงเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ที่มาพักผ่อนในสวนแห่งนี้ หญิงสาวจึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเวลรียาคุกเข่าขวาลง มือขวากำแนบอกซ้ายและเอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม
“ถวายบังคมเพคะ องค์ราชินี”
‘องค์ราชินี!?’
แม้จะสับสน แต่ซินเธียก็ก้มลงทำท่าเดียวกันกับเวลรียาในทันใด เธอจะกระทำการใดๆที่เป็นการเสียมารยาทไม่ได้เป็นอันขาด
แต่เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าองค์ราชินีกลับเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์และบ่นด้วยเสียงออกจะน้อยใจ
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องทำความเคารพบ้าบออะไรนั่น ฉันก็เป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเธอนั่นแหละ ไม่ต้องมาแบ่งแยกกันหรอก แล้วก็ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ตลกๆพวกนั้นกับฉันด้วยนะ ยิ่งใช้มันก็เหมือนยิ่งห่างไกลกันเข้าไปอีกน่ะสิ”
ซินเธียแหงนหน้ามองผู้นำของราชอาณาจักรอย่างประหลาดใจในขณะที่เวลรียาลุกขึ้นยืนกอดอกและโต้กลับไปบ้าง
“ไม่ได้หรอกคะ คุณรู้มั้ยคะว่าฐานะของตัวเองต่างจากคนทั่วไปขนาดไหน”
“ฉันรู้มาเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่นั่นไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องถูกปฏิบัติด้วยอย่างพิเศษกว่าคนทั่วไปสักหน่อยนี่นา”
“แต่ว่า...”
และทั้งสองก็เริ่มเถียงกันไปมาเหมือนเพื่อนสนิทเสียมากกว่าโดยไม่ได้ให้ความสนใจแก่ซินเธียที่ยังคงไม่เลิกคุกเข่า แถมยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆเสียด้วยจนหญิงสาวต้องถือวิสาสะเข้าไปขัดเสียเอง
“คือว่า...การเจรจา...”
เมื่อนั้นสายตาสองคู่จึงจับมาที่เธอพร้อมกันจนซินเธียสะดุ้ง ก่อนที่เด็กสาวผู้เป็นถึงราชินีจะกระวีกระวาดเข้ามาดึงเธอขึ้นและพาไปยังชุดโต๊ะเก้าอี้บนศาลา ปากก็พูดไปด้วย
“ตายแล้ว ขอโทษด้วยนะ เห็นไหม เพราะเถียงกับเธอเลยทำเสียมารยาทกับแขกจนได้” ประโยคท้ายถูกส่งให้กับองครักษ์หลวงที่พ่นลมหายใจยาวพร้อมกับที่ซินเธียถูกจับนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และราชินีแห่งราชอาณาจักรก็นั่งลงยังฝั่งตรงข้าม เวลรียานั้นก็ก้าวขึ้นมาบนศาลาเช่นกัน แต่ตำแหน่งของเธอคือด้านหลังขององค์ราชินี
“เธอคือ ซินเธีย เดอ ลาพาซ ทูตจากราชอาณาจักรใช่ไหม ฉัน โอลิเวีย ฟาห์รอน ราชินีองค์ที่ เอ่อ ที่เท่าไหร่นะ”
“เก้า” เวลรียากระซิบลอดไรฟันบอกขณะที่โอลิเวียพยักหน้าหงึกๆ
“ใช่ นั่นแหละ ราชินีองค์ที่เก้าแห่งราชอาณาจักร ยินดีที่ได้รู้จัก”
“กระหม่อมมีความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับพระราชทานพระราชวโรกาส...”
ยังไม่ทันจะจบประโยค นิ้วของอีกฝ่ายก็ถูกยกขึ้นมาแตะกับปากเธอเสียก่อน และเจ้าของนิ้วเองก็ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
“โยนคำไร้สาระพวกนั้นทิ้งไปเถอะ ฉันได้ยินแล้วอยากจะบ้าตาย คุยกันแบบธรรมดาๆดีกว่า เอาชาหน่อยไหม”
“อะ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ซินเธียนั่งเอ๋ออยู่ชั่วครู่ขณะมองโอลิเวียรินชาจากกาที่อยู่บนโต๊ะเล็กข้างๆลงในถ้วยสามใบ ส่งหนึ่งในนั้นให้ทูตสหภาพ ยกถ้วยหนึ่งขึ้นจิบเอง ส่วนอีกถ้วยที่เหลือถูกเอาไปโดยเวลรียาที่ดื่มจนหมดในอึกเดียว
“อ๊า โธ่ ชาดีๆต้องค่อยๆลิ้มรสทีละนิดสิ เธอนี่จริงๆเลย” องค์ราชินีโวยใส่องครักษ์หลวงที่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระใดๆ แถมยังบุ้ยใบ้ให้เธอรู้สึกตัวว่ายังมีแขกอีกคนอยู่ด้วย
“อุ้ย ขอโทษ ลืมตัวไปนิดนึง เอาละ ท่านทูต เราจะเริ่มการเจรจากันเลยดีไหม”
“ค่ะ นี่คือรายละเอียดของการเจรจา” ซินเธียแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เริ่มงานได้เสียที เธอยก PCD ขึ้นมา กดคำสั่งให้มันฉายเอกสารการเจรจาขึ้นมา
“พวกนั้นน่ะฉันอ่านหมดแล้วล่ะ...”
แต่โอลิเวียกลับไม่ได้ให้ความสนใจกับมัน มือทั้งสองของของเธอประสานกันไว้บนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้า จ้องเข้าไปในดวงตาของทูตจากสหภาพ
“ตอบฉันหน่อยได้ไหมท่านทูต ว่าทำไมฉันถึงต้องยอมรับการซื้ออาณาเขตครั้งนี้ด้วย”
บรรยากาศเป็นกันเองเมื่อครู่หายวับไปอย่างฉับพลัน ซินเธียสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากเด็กสาวร่างอ้อนแอ้นตรงหน้าจนเริ่มรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่อาจจะหลบตาของอีกฝ่ายได้ ถ้าทำแบบนั้นเธอจะถูกบีบให้ถอยมากกว่าเก่า
“ถึงดูเผินๆการซื้อขายนี่ฝั่งของฉันจะได้เปรียบ แต่ฉันรู้จักคนที่เขียนมันขึ้นมาดี คนๆนั้นไม่เคยมองหมากแค่ตาเดียว เขามองไปสองหรือสามตาเสมอ ดีไม่มีอาจตั้งแต่ตาแรกจนถึงตาสุดท้ายไว้หมดแล้ว และการรุกฆาตของเขาอาจเริ่มจากการซื้อขายนี่ก็ได้ ฉะนั้น ไหนลองบอกเหตุผลที่ฉันควรจะทำให้ตัวเองถูกกำจัดออกไปจากกระดานหน่อยสิ”
ซินเธียพยายามต่อสู้กับแรงกดดัน เรียบเรียงความคิดและคำพูดจากสิ่งที่เคยร่ำเรียนมา แต่ก็เหมือนว่าพวกมันหนีหายไปหมดโดยมิได้นัดหมาย ส่วนโอลิเวียก็รุกต่ออย่างไม่ปราณี
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งนะ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างทั้งสามฝ่ายเริ่มจะคุกรุ่นขึ้นมาอีกแล้วด้วยนี่สิ...ว่าไงล่ะ ท่านทูต หรือชาของฉันเข้มเกินจนลิ้นเป็นอัมพาตไปแล้ว”
ขณะกำลังจนด้วยคำพูด สิ่งที่โอลิเวียเอ่ยออกมาก็ไปกระตุกต่อมสงสัยของซินเธีย หญิงสาวรวบรวมเสียงก่อนจะเริ่มบุกกลับ
“เมื่อกี้ท่านพูดว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสามฝ่ายเริ่มจะคุกกรุ่นอีกแล้วใช่ไหมคะ”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกให้เธอไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก แต่ซินเธียก็ยังเลือกใช้สรรพนามที่ให้ความเคารพอีกฝ่ายสูงอยู่ดี
“หืม? ก็ใช่แหละ แล้วไงล่ะ ท่านทูต”
“ท่านคงไม่ต้องการสงครามหรอก ใช่ไหมคะ”
โอลิเวียนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบช้าๆ
“ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มีหรอก สงครามคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสามารถสร้างขึ้นมาได้แล้ว เธอเองน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรือไง”
ประโยคนั้นถูกเน้นเสียราวกับว่าราชินีแห่งราชอาณาจักรทราบว่าซินเธียเคยผ่านอะไรมาในอดีต แต่หญิงสาวก็ไม่ได้สังเกตถึงจุดนั้น เพราะตอนนี้เธอทำให้อีกฝ่ายเอนเอียงได้แล้ว
“งั้นการซื้อขายนี่ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันสงครามนั้นค่ะ”
“หืม” โอลิเวียเลิกคิ้วขึ้น “ไหนลองอธิบายหน่อยซิท่านทูต”
“ตอนนี้กองทัพของราชอาณาจักรกำลังพยายามขยายขนาดใช่ไหมคะ”
“ก็ไม่ปฏิเสธหรอก...”
“และแน่นอนว่าการที่จะทำแบบนั้นต้องอาศัยเงินจำนวนมาก หรือท่านจะบอกว่าไม่จริง”
โอลิเวียนิ่งเงียบ ซินเธียจึงอธิบายต่อ
“ถ้าท่านสามารถขยายกองทัพได้ใหญ่พอจนสมาพันธรัฐไม่กล้าตอแยกับราชอาณาจักร ก็เท่ากับว่าสงครามจะไม่มีทางเกิดขึ้น”
“แล้วทางฝ่ายของเธอล่ะ”
“ท่านก็รู้นี่คะว่าเราไม่เคยรุกรานใครก่อน ที่เราสู้ในสงครามครั้งก่อนก็เป็นเพียงแค่การป้องกันตัวเท่านั้น”
“ถ้าเกิดฝ่ายฉันเกิดกลายเป็นผู้รุกรานขึ้นมาเสียเองล่ะ”
“ราชินีแห่งราชอาณาจักรคงไม่กลืนน้ำลายตัวเองหรอก ใช่ไหมล่ะคะ”
ประโยคนั้นทำให้โอลิเวียหัวเราะออกมาดังลั่นจนแม้แต่เวลรียาที่ยืนฟังอย่างเงียบๆมาโดยตลอดยังเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เธอไม่ได้ยินราชินีหัวเราะแบบนี้มานานแล้ว
“ยอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมจริงๆ ซินเธีย เดอ ลาพาซ นอกจากเรมาร์แล้ว ก็เพิ่งเคยมีคนทำให้ฉันตอบตกลงได้เร็วขนาดนี้”
ทูตจากสหภาพยิ้มออกมาอย่างดีใจที่อีกฝ่ายตัดสินใจรับการซื้อขายอาณาเขต เท่ากับว่างานชิ้นแรกของเธอในฐานะทูตสำเร็จลุล่วงไปได้ แม้จะไม่ด้วยดีนักก็ตาม
“เอ้า เซ็น ประทับตรา เรียบร้อย” โอลิเวียจัดการทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับเวลรียา
“ช่วยบอกให้ฝ่ายความมั่นคงถ่ายโอนข้อมูลไปยังสหภาพที แบบด่วนที่สุดเลยนะ”
องครักษ์หลวงแตะเครื่องมือสื่อสารไร้สายที่เหน็บอยู่ตรงใบหูทเอ่ยตามที่องค์ราชินีสั่ง PCD ของซินเธียก็มีหน้าจอแสดงถึงการเข้าระบบจากภายนอกและเอกสารที่ผ่านการลงนามแล้วก็ถูกส่งไปยังสำนักงานการทูตแห่งสหภาพ
“ยินดีด้วยนะท่านทูต มากินเค้กฉลองกันดีกว่าเนอะ”
เมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง บรรยากาศสบายๆก็กลับมาอีกหนจนซินเธียปรับตัวแทบไม่ทัน คราวนี้โอลิเวียดึงเค้กสามชิ้นออกมาจากกล่องเก็บอุณหภูมิซึ่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันกับที่วางชุดน้ำชาและยื่นชิ้นหนึ่งให้ซินเธีย ส่วนตัวเธอเองก็จัดการกับอีกชิ้นอย่างรวดเร็ว
“ว้าว รสชาติดีมากเลยค่ะ”
ซินเธียที่เริ่มรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับราชินีคนนี้ชมเปาะ ซึ่งก็ไม่ได้เกินความจริงแม้แต่น้อย เค้กนั่นอร่อยจนเธอรู้สึกเคลิ้มไปเลยทีเดียว
“ใช่ไหมล่า ไม่กินเหรอเวล อร่อยนะ”
“ฉันไม่กินไขมันเกินความจำเป็นของแต่ละวันค่ะ”
องครักษ์หลวงปฏิเสธเสียงแข็ง แต่โอลิเวียไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“แหม อายุปูนนี้แล้วยังจะห่วงสวยอีก กินๆเข้าไปเถอะน่า จากร้านโปรดของฉันเลยนะ”
“ไม่ได้ห่วงสวยซักหน่อย...”
เวลรียาที่ถูกคะยั้นคะยอมากๆเข้าก็กินเข้าไปหนึ่งคำอย่างเสียมิได้ ขณะโอลิเวียที่กินส่วนของเธอหมดแล้วทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้และหันมาจ้องซินเธียจนหญิงสาวชะงักในท่าตักเค้กเข้าปาก
“มะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันมีคนที่อยากให้เธอรู้จักน่ะ เขากำลังจะมาถึงแล้วละ”
ซินเธียรู้สึกงุนงงขึ้นมาทันที ทำไมจู่ๆราชินีแห่งราชอาณาจักรถึงอยากให้เธอ ทูตมือใหม่จากสหภาพและเป็นเพียงคนที่เคยเจอกันครั้งแรก ไปรู้จักกับคนๆนั้นได้
ราวกับถึงคิว ใครบางคนที่ว่านั่นก็ก้าวสู่สวนหลังพระราชวังพอดี เมื่อเขาเข้ามาจนซินเธียสามารถมองได้ชัดเจนถึงทุกรายละเอียดของคนๆนั้น ช้อนตักเค้กก็ร่วงหล่นลงจากมือตกลงพื้น สีหน้าไม่ต่างอะไรกับคนโดนผีหลอก ไม่สิ ต่อให้โดนผีหลอกสีหน้าเธอก็คงไม่ถึงขนาดนี้ ปากเอ่ยชื่อของคนๆนั้นออกมาด้วยเสียงไม่เกินกระซิบ
“เล...เดน?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ