Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
8.8
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
25 chapter
4 วิจารณ์
23.73K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
25) Fake/Brave VII - Akita/Felix - [วันแรกของการศึกษา]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ◊ ◊ ◊
“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ขึ้นมาตรงนี้ในฐานะตัวแทนปีหนึ่งทุกคน...และในฐานะผู้กล้าตามที่ใครๆ หลายคนยกยอกัน กระผมและพวกเราปีหนึ่งอยากขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่ทางสถาบัน—”
ตึ้ง!!!
มีใครบางคนทำเก้าอี้ไม้ล้มคว่ำเสียงดังหอประชุมนับพัน ทุกๆ คนที่สวมชุดสีส้มแถบขาวส่วนใหญ่ต่างหันมองตามต้นเสียงแต่ถูกคนที่อยู่บนเวทีดึงความสนใจกลับมา
“พวกเราปีหนึ่งทุกคนต้องขอขอบคุณจากใจจริงที่รับเข้าสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันโดยตรงหลากหลายสถานการณ์...ถ้าให้พูดทั้งหมด ผมคงโดนยามแถวนี้ลากลงเวทีแน่ข้อหาพูดนานครึ่งวัน...”
พอจบประโยคก็มีเสียงหัวเราะปรบมือปะปลาย แต่ฉันที่ล้มเก้าอี้ลงไปนอนกลับพื้นอยู่ไม่ฮาด้วยสักนิด
เจ้านั่น! คนที่มีหน้าเหมือนอากิตะ...ทำไมถึงไปอยู่บนเวที!?
อันที่จริงวันนี้ควรเป็นวันเริ่มต้นที่ดีแต่เสียหมดเพราะเขา…
ท่าทาง น้ำเสียง คำพูดคำจา...เหมือนชะมัด...เหมือนอากิตะชะมัด!!
“ท่านพี่”
เรย์ลี่ที่นั่งเก้าอี้ถัดไปทางขวากระซิบเรียกสติฉันคืนมา ค่อยๆ ยกเก้าอี้แล้วนั่งดังเดิม ทอมมี่และเอลด้าที่นั่งอยู่ทางซ้ายต่างมองด้วยความสงสัยที่ว่าทำไมถึงหงายเก้าอี้ลงไปกับพื้น
ไม่ใช่ความผิดฉันนะ…
พอแก้ตัวในใจเสร็จเงยหน้ามองไปยังเวทีที่อากิตะยังคงกล่าวสุนทรพจน์ต่อไป
มีเวลาตั้งหลายวันก่อนถึงวันนี้แต่หาตัวมันไม่เจอสักที ไหงมาโผล่บนนั่นได้!
วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนใหม่ของสถาบันแห่งนี้ ทุกๆ คนจะได้รับหมายกำหนดการของวันนี้แล้วว่า ช่วงเช้าเข้าพิธีปฐมนิเทศ ณ หอประชุมที่มีลักษณะคล้ายฮอลล์จัดแสดงดนตรีและการแสดงโลกก่อนที่รองรับได้พันกว่าคน เว้นแต่เก้าอี้ที่ไม่ได้ยึดติดกับพื้นแต่อย่างใดเลยเผลอแกว่งหงายหลังลงไป ส่วนแสงไฟที่ประดับให้ความสว่างทั่วฮอลล์กับอุปกรณ์ที่ช่วยขยายเสียงฉันไม่แน่ใจว่าใช้เวทมนต์หรืออย่างอื่นอะไรกันแน่
แต่นั่นไม่สำคัญหรอก…
“อ่า...มีอะไรให้ดีใจหรอ? คุณทอมมี่”
เรย์ลี่ถามคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองไปทางเวทีอยู่
“อ๋อ...แค่คิดถึงบรรยากาศแบบนี้อ่ะครับ”
“นายยังเรียนไม่จบเลยไม่ใช่หรือไง?” ฉันหมายถึงโลกเก่าที่ทอมมี่ยังเป็นเด็กมอปลาย “ทำเป็นบ่นเหมือนคนแก่ไปได้”
“ฮ่าๆ นั่นสิครับ แต่พอมีความทรงจำของ...คนๆ นั้นร่วมสองร้อยปีเลยห่างเหินกับที่แบบนี้แปลกๆ”
ทอมมี่พูดโดยที่ยังมองไปยังเวทีที่มีอากิตะอยู่ ซึ่งนั่นทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่โรงอาหารสัปดาห์ก่อนได้เลยกระซิบถาม
“ทอมมี่! ที่โลกเดิมนายรู้จักกับอากิตะหรอ?”
“เฟียน่าเคยเอารูปเขาให้ดูครับ บอกว่าเป็นพ่อเธอ...คนๆ นั้นหน้าเหมือนเขามาก” ทอมมี่บอกถึงคนที่ทำให้เขารู้สึกอากิตะก็คือลูกสาวโลกก่อนของฉันเอง “เชอรี่ที่มีความทรงจำร่วมกับผมตอนนั้นคงเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ คุณเฟลิกซ์ก็คิดว่าหน้าเหมือนแฟนคุณใช่ไหมครับ”
“เออ ถึงได้หงุดหงิดอยู่นี่ไง อย่าลืมสิว่าเจ้านั่นเป็นคนที่มาแทนที่ฉันด้วยการบิดความทรงจำเกือบทุกคน”
ฉันย้ำเตือนเรื่องนั้น ซึ่งเคยเล่าให้เขาฟังไปแล้วเมื่อประมาณสองสามคืนก่อน
เรย์ลี่ที่เห็นว่าฉันคุยกับทอมมี่เรื่องนั้นเลยเตือน
“ท่านพี่ หวังว่าคงจำได้นะคะว่าอย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้ากับเจ้าผู้กล้าตัวปลอมนั้น เรายังไม่รู้ว่าเขามีไม้ตายอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า”
“จ๊า...รู้แล้ว”
เชอะ...ให้นั่งดูมันกะล่อนผ่านหูผ่านตาเนี่ยนะ...
พอคิดแบบนั้นหูก็เริ่มปฏิเสธสุนทรพจน์ที่อากิตะยังคงบรรยายอยู่ เลยสัมผัสได้ว่ามีบางคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แอบจ้องมองแขนซ้ายจักรกลของฉัน
แขนนี่ยังเป็นของแปลกตาสำหรับพวกนี้อีกหรอเนี่ย เห็นได้ยินมาว่าที่นี่มีการศึกษาขั้นสูงน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับจักรกลบ้างสิ
หือ...หรือชมรมจักรกลที่ช่างแจ๊ะว่ามันเป็นแค่คนส่วนน้อย? คงงั้นมั้ง
บทสรุปที่คิดเองเออเองจบลงพร้อมเสียงตบมือรับการสิ้นสุดของคำกล่าวสุนทรพจน์
เฮ้อ...จบสักที หลังจากนี้ก็จะแยกไปตามห้อง A B ไม่ก็ C หวังว่ามันคงอยู่ห้องเดียวกับเรานะ
ไม่สิ ผอ. นั่นน่าจะจัดการแยกไม่ให้เจอกันแล้วแน่ๆ แต่ถึงอย่างงั้นทั้งสามห้องของปีแรกก็อยู่ติดกัน
หึๆ จะไปเจอหน้ากันตอนไหนก็ได้สินะ
ความคิดฉันมันแผ่ไปยังบนใบหน้า เรย์ลี่ที่สังเกตเห็นเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ บนเวทีมีใครบางคนเดินขึ้นมา เป็นคนที่ชวนให้ฉันตกใจนิดหน่อยเพราะดูดีเกินคาดกว่าที่เคยเห็น
อาเธอร์...ผอ. สถาบันนิวส์ไลฟ์ที่ได้รับตำแหน่งไม่ถึงปี
ชุดผ้าไหมรัดรูปคล้ายชุดสูทนั่นไม่เขากับนิสัยบ้ากามของนายเลยนะ
เหอะๆ อย่างน้อยก็มีเรื่องให้แบล็คเมย์เจ้านั่นล่ะ
◊ ◊ ◊
[หนึ่งชั่วโมงต่อมา - ปีหนึ่ง ห้อง C]
คุณพระเจ้า..คุณเล่นเชี่ยอะไรคะ
ฉันประชดประชันกึ่งสบถสบันในหัวเพราะตอนนี้สิ่งที่เธอเจออย่างกับเดจาวูรอบที่หนึ่งร้อย
ไหนว่าทิ้งโลกนี้ไม่ไยดีแล้วไง ทำไมยังจะทำเรื่องพวกนี้ไว้อีก
ทำไมทุกๆ คนในห้อง C นี่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันหมดเลยวะ!!
ตอนนี้ฉันอยู่ที่ห้อง C ตามรายชื่อที่ถูกแปะไว้หน้าอาคารไม้ชั้นเดียว ทุกๆคนที่เป็นนักเรียนล้วนแต่มีหน้าตาคล้ายละไม้เพื่อนสมัยประถมกันหมดยกเว้นทอมมี่ที่ได้นั่งข้างๆ กัน
ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันดีหรือไม่ดี พฤติกรรมและนิสัยของแต่ละคนนั้นไม่ค่อยเหมือนกับตัวจริงสักเท่าไหร่
เกือบลืมไป...ห้อง C นี่มีนักเรียนอยู่ 18 คน
ไม่รู้ว่าคำว่าห้อง C หมายถึงพวกบ๊วยหรือเปล่า แต่คนอื่นบอกว่าไม่มีบททดสอบอะไรก่อนเข้า
ดูเหมือนว่าจะมีหลายๆ เผ่าคละปนอยู่ มีทั้งเอลฟ์ ปีศาจ มนุษย์และทุกคนล้วนเป็นเด็กไร้เดียงสาถึงรูปร่างหน้าตาบางคนออกจะไปไกลแล้วก็เหอะ มันเป็นเพราะตอนเกิดมาจากเกทนั่นได้รูปร่างที่ถูกแช่แข็งอายุไว้แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าแช่แข็งใบหน้าร่างกายอายุไว้ที่เท่าไหร่
ช่วงห้านาทีแรกที่เข้ามาห้องนี้ฉันก็กลายเป็นจุดสนใจทันทีเพราะแขนซ้ายจักรกลที่ใหญ่ดูไม่เหมาะกับขนาดตัว พวกเขาแห่กันมารุมถามฉันไม่ยั้ง แต่ฉันได้แต่อ่ำอึ้งเพราะตอนนั้นยังตะลึงไม่หายกับหน้าตาพวกเขาที่คล้ายเพื่อนสมัยเด็กถึงแม้บางคนจะดูเป็นผู้ใหญ่ทะลุสี่สิบแล้วก็ตาม
มีเด็ก มีนักเรียนก็ต้องมีครู...คนที่เข้ามาเป็นผู้หญิงใส่แว่นผมทองบุคลิกให้เหมาะกับการกล่อมเด็ก
“อ้าว นักเรียนทุกคน...ครูคือครูประจำชั้นหรือคนที่จะมาดูแลพวกเธอตลอดทั้งปีนะจ๊ะ เรียกครูว่าครูเจนนะ”
“ค่า!/ครับ!”
“เอาล่ะ ครูแนะนำตัวแล้วตาพวกเธอแนะนำตัวบ้างนะจ๊ะ เริ่มจากคนแรกสุดขวามือครูเลย”
หลังจากนั้นก็ไล่ๆ แนะนำทีละคนจนถึงฉันเป็นคนที่สิบเจ็ด (แถวท้ายสุด)
“ฉัน เฟลิกซ์ ดิฟเฟอร์...เอ่อ ฉันก็เป็นอย่างที่เห็น พวกเขาเรียกฉันว่าไซบอร์ก”
แล้วฉันก็ยิงหมัดออกไปเกือบทุกเพดานแล้วดึงกลับมาที่เดิม ได้เสียงว้าวตอบกลับมา สิ่งที่ฉันทำมันไม่ได้ถือว่าเป็นการอวดเก่งอะไร...ก็ฉันเห็นคนอื่นอวดพลังเวทย์และกายภาพต่างๆ นานาความสามรถแต่ละคนนี่หว่า มันอดไม่ได้ที่จะอวดเล็กๆ น้อยๆ บ้าง
“คนสุดท้ายจ้า”
“คะครับ!”
ถึงตาทอมมี่ที่ทำตัวเหมือนเป็นเด็กที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้
“ทอมมี่ เปเรซ...เผ่าปีศาจ ไม่มีอะไรจะโชว์นะครับเพราะประสบอุบัติเหตุสูญเสียพลังเวทย์ไปครับ”
สิ่งที่เขาพูดนั้นเรียกสนใจและสายตาเห็นใจเกือบทุกคน มันเป็นสิ่งที่เรย์ลี่แนะนำให้เขาพูดเพื่อตัดปัญหาเรื่องการพิสูจน์พลังเวทย์ที่ห้องเรียน
และที่ๆ จะไปหลังจากนี้…
“หือ? จริงสิ...ทางเบื้องต้นส่งข้อมูลเธอมาแล้วให้นี่น่า” ครูเจนเพิ่งนึกได้ “เอ่อ ครูไม่น่าให้เธอพูดแบบนั้นเลย มันจะดีเหรอที่ให้คนอื่นรู้แบบนั้น?”
“อ่า...ผมไม่อยากโกหกครับ”
“งืม กล้าหาญเหมือนผู้ชายเลยนะจ๊ะ พูดครับด้วย”
“มันติดปากล่ะครับ มันแปลกมากใช่ไหมครับที่ผู้หญิงพูดแบบนี้?”
“ไม่หรอกจ๊ะ มันเป็นรสนิยมของแต่ล่ะคน นั่งลงเถอะจ๊ะ”
พอทอมมี่นั่งลงประตูห้องข้างหน้าถูกเปิดโดยผู้หญิงที่เตี้ยมากคล้ายเด็กประถมคนหนึ่ง ผมทรงบ๊อบเขียว แว่นตากรอบทองดำหนาคล้ายๆ ของช่างแจ๊ะ ชุดเสื้อเดรสสั้นขาวลายชายกระโปรงเกือบลากพื้นและสวมเสื้อคลุมสีส้มแถบขาวอีกที เธอเหงื่อตกเล็กน้อยจากการพยายามเปิดประตู ครูทักเรียก
“ท่านเลขามาเวล?”
“แฮ่กๆๆ ครูเจนคะ! ได้เวลาพาเด็กนักเรียนไปทดสอบพลังแล้วค่ะ ถึงคิวห้องคุณแล้ว”
◊ ◊ ◊
[ครึ่งชั่วโมงต่อมา]
“ฟรานซิส...ธาตุไฟ มานาระดับสาม ระดับความเชี่ยวชาญปานกลาง”
ชายผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการวัดพลังจากที่ให้นักเรียนปีหนึ่งหรือเด็กใหม่เอามือแตะแท่งคริสตัลใสลูกใหญ่พอๆ กับตู้เย็นตรงกลางเวทีที่ฮลล์เดิมที่ปฐมนิเทศช่วงเช่า ซึ่งมันเปล่งแสงสีแดงฉ่านคล้ายเปลวไฟอยู่ภายใน ส่วนระดับมานาและความเชี่ยวชาญ มองจากข้างเวทีที่ต่อแถวเข้าคิวรอตรวจพลังไม่ค่อยถนัดตาเลยไม่รู้ว่าใช้อะไรวัด
เดี๋ยวนะ...ระดับมานา
“ทอมมี่...พอรู้เปล่าระดับมานานี่มันมีเกณฑ์วัดยังไง?”
ฉันหันไปถามเขาที่ยืนพิงกำแพงไม่ได้เข้าแถวด้วยกัน
“อ๋อ ห้าระดับครับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า”
“ไม่ใช่ต่ำ ปานกลาง สูงหรอ?”
“อันนั้นของสมาคมกิลด์ผจญภัยใช้เป็นเกณฑ์วัดครับ ถ้าพวกสำนักเวทย์และของที่นี่จะใช้แบบตังเลขหนึ่งถึงห้าครับ มันละเอียดกว่า”
“งืม ว่าแต่นายรู้เรื่องพวกนั้นได้ไง”
ทอมมี่เอานิ้วเคาะหัวตัวเองแล้วทำนิ้วเลขสองและเลขศูนย์สองตัว
อ๋อ...ความทรงจำของจอมมาร
และฉันเข้าใจว่าทำไมถึงแสดงออกเป็นท่าทางแทนเพราะมีคนอื่นอยู่รอบตัวเพียบ ทอมมี่เดินเข้ากระซิบบอก
“อย่าให้ผมเกือบหลุดชื่อนั่นออกมาสิครับ”
“ฮ่าๆ โทษที”
ฉันหัวเราะเบาๆ แก้เขิน ทอมมี่เดินถอยหลังไปยืนพิงกำแพงที่เดิม อันที่จริงเขาไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้เพราะถูกแจ้งมาว่าไม่มีพลังเลยไม่มีความจำเป็นต้องมา แต่เขาอยากมาเป็นเพื่อนฉันหรือกลัวอยู่คนเดียวในห้องก็ไม่รู้ ฉันเองก็ไม่กล้าพูดแบบนั้นตรงๆ ด้วยสิ
จะว่าไปความสัมพันธ์ระหว่างเราก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะรู้ว่าอายุต่างกับเกือบยี่สิบปี (โลกก่อน) แต่การที่เขาเป็น [คนเดียว] ที่ฉันรู้จักยังไม่ถึงนาทีถูกส่งต่างโลกมาด้วยกัน
อย่างน้อยๆ เขากับฉันต่างเข้าใจกันและกัน
ต่อไปนี้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ฉันจะอยู่ข้างๆ เขาเอง ไม่ให้ซ้ำรอยคุณมาเรียเด็ดขาด
พอคิดแบบนั้นแล้วมันเจ็บแปล๊บกลางอกขึ้นมา
“เฟลิกซ์ ตาเธอแล้วจ๊ะ”
ครูเจนสะกิดแล้วดันตัวฉันออกไปหน้าเวที ด้วยความที่ยังไม่ทันตั้งตัวเลยออกอาการตื่นตกใจกับจำนวนผู้นั่งสังเกตการณ์พลังเด็กใหม่ ได้ยินมาอยู่ว่าที่นี่มักเอาพลังเวทย์เป็นเกณฑ์การตัดสินใจหลายๆ เรื่องเลยมีพวกรุ่นพี่และอาจารย์บางส่วนมาดู แต่ดูเหมือนคนจะน้อยกว่าช่วงแรกๆ เพราะหลังจากห้อง B วัดพลังเสร็จเริ่มทยอยกลับกันบางส่วนแล้ว คงคิดว่าห้อง C ไม่มีอะไรน่าสนใจมั้ง ไม่เหมือนห้อง A ที่มีอากิตะ...เฮ้ย! ผู้กล้าจอมปลอมที่ดันวัดพลังแล้วได้เกณฑ์สูงเอาเรื่อง ห้อง B ก็น้อยลงตามอันดับ ยิ่งห้อง C ที่ฉันอยู่ยิ่งแล้วใหญ่และทั้งสองห้องเดินทางกลับห้องเรียนก่อนแล้ว
เอาน่าเฟลิกซ์ แกจะมาตื่นเต้นทำป้าแสงอะไร แกอายุสามสิบกว่าๆ แล้วนะ
ฉันกุมมือทั้งสองข้างแน่นแล้วเดินไปอยู่ตรงหน้าแท่นคริสตัลใสตามเจ้าหน้าที่ที่ควักมือเรียก ดูเหมือนว่าแขนซ้ายฉันเป็นที่สนใจแก่พวกที่นั่งดูอยู่ ซึ่งเหลือคนอยู่ประมาณสี่สิบคน
“ต่อไปจะเป็นการตรวจวัดพลังคนสุดท้าย...เอ่อ...ไม่ทราบว่าชื่อเธออ่านว่าอะไรนะ?”
เจ้าหน้าที่ข้างตัวฉันเอ่ยเสียงดังก่อนที่จะหันมาถามดื้อๆ เพราะอ่านชื่อฉันในแผ่นม้วนกระดาษสีเหลืองๆ ไม่ออก
“เฟลิกซ์...เฟลิกซ์ ดิฟเฟอร์”
“เธอชื่อเฟลิกซ์ ดิฟเฟอร์!”
“เอ่อ...ไม่ต้องพูดดังเวอร์ๆ ขนาดนั้นก็ได้นิคะ?”
“มันเป็นธรรมเนียมคนแรกสุดกับคนท้ายสุด”
อ๋อ...คล้ายๆ ที่ให้ตบมือคนแรกกับคนสุดท้ายพอเป็นพิธีอ่ะมั้ง
คิดแบบนั้นได้นิดหน่อยก็ได้ยินเสียงวิจารณ์เรื่องแขนซ้ายจากคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าลอยเข้าหูมาเพียบและที่นั่งแถวหน้าสุดที่มีห้าคนดูเหมือนจะมีตำแหน่งพิเศษอะไรสักอย่างเพราะชุดที่แตกต่างบรรยากาศที่เอาจริงเอาจังและมีผอ. อาเธอร์อยู่ด้วย
อาเธอร์!? เอ่อ...ทำไมฉันต้องตกใจอ่ะเนี่ย คนเป็นผอ. จะมีอยู่ตรงนี้มันก็เป็นเรื่องปกตินิ?
ฉันสลัดความคิดที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ทิ้งไป เจ้าหน้าที่เอ่ย
“เอาล่ะครับ เชิญเอามือ...ขวาแตะที่แท่งคริสตัล”
สิ้นสุดความแนะนำก็ทำตามทันที คริสตัลใสก้อนใหญ่เริ่มเปล่งแสงตรงกลางข้างในแตกต่างทุกคนที่ผ่านมา มันมีหลายสีปะปนกันอย่างกับสีเรนโบว์หรือสายรุ้ง มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ประกายแสงสีขาวเริ่มส่องแสบตาต้องเอามือซ้ายจักรกลมาบัง ผ่านไปสิบวินาทีมันไม่มีทีท่าจะลดลงเลย ทั้งฮอลล์แห่งนี้จะกลายเป็นสีขาวไปหมดแล้ว
“ทุกคนหมอบเร็ว!!”
หา!?
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนแบบนั้น แต่พอจะทำตามที่เขาว่ามือขวากลับติดแน่นกับคริสตัล
ตูม!!!!!!!!!!!!!!!
คริสตัลมันระเบิดดังลั่นฮอลล์สนั่นหวั่นไหวพร้อมควันขาวปกคลุมไปด้วย แต่มีเรื่องที่แปลกใจยิ่งกว่า
ทำไม...ฉันถึงยืนนิ่งไม่เป็นอะไรเลยล่ะ?
พอมองดูรอบๆ แล้วพบกับสิ่งที่ไม่ได้เห็นมานาน เป็นโล่ทรงกลมสีฟ้าจางใสครอบคลุมตัวฉันจากแรงกระแทกของระเบิดไว้ถึงอย่างกับก็ยังสงสัยอยู่ดีว่ามือขวาที่แตะกับคริสตัลตรงๆ มันไม่เป็นอะไรเลยและร่างกายฉันเหมือนเลือดมันพล่านไปทั้งตัว
มันเกิดบ้าอะไรขึ้นอีกละเนี่ย
ระหว่างที่ควันยังไม่หาย ฉันเห็นแสงสีฟ้าส่องสว่างขึ้นตรงใต้ตาเลยก้มลงมองถึงได้เห็นเสื้อตรงกลางอกที่ข้างในกำลังส่องแสงตอบรับปฏิกิริยาบางอย่างด้วยเลยแกะกระดุมเปิดดูพบกับแท่งคริสตัลอันเล็กที่เป็นหัวใจของมาเรีย มันกำลังกระจายแสงนั่นเข้าตัวฉันผ่านเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาชัดแถวๆ นั้น
เฮ้ยๆ นี่มันอะไรเนี่ย
แล้วจู่ๆ มีลมพัดควันขาวแถวที่นั่งไล่ออกไปจากฮอลล์ด้วยฝีมือของผู้หญิงชุดม่วงหางตาแหลมสวมแว่นที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ข้างๆ ฉันที่กระโดดลงเวทีหมอบอยู่พูดว่า
“ขอบคุณมากครับท่านอาจารย์มิสเซล”
“คุณภาพคริสตัลที่คนของเจ้าหามามันเสื่อมหรือยังไง ยูโร่”
อาจารย์สาวแว่นท่านนั้นหันไปถามคนข้างๆ ซึ่งเป็นผู้ชายเผ่ามนุษย์กล้ามใหญ่ผมสีทอง
“เราควรจะห่วงคนที่อยู่บนเวทีก่อน คงจะเจ็บตัวน่า—”
เขาหยุดนิ่งลงเพราะควันบนเวทีเริ่มจางหายแล้วและคนที่เป็นห่วงนั้นก็คือฉันที่ไม่เป็นอะไรเลยแถมยังมีโล่บาเรียพร้อมกับแท่งคริสตัลกลางอกอีกชิ้นที่ส่องแสงอยู่ สร้างความตะลึงแก่สี่สิบคนที่นั่งดูอยู่
ไม่ใช่ว่าฉันทำตัวเด่นแล้วหรอเนี่ย!?
ฉันเริ่มลุกลี้ลุกลนเลยสบตากับอาเธอร์ที่น่าจะช่วยสถานการณ์นี้ได้แต่พบว่าเขานั่งกุมหัวเหมือนเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดบางอย่าง คนที่เหลือที่ไม่ใช่แถวหน้าสุดต่างซุบซิบเกี่ยวกับตัวฉันกันใหญ่
เผ่นเลยดีไหม…
“เธอ...ชื่อเฟลิกซ์ใช่ไหม”
ชายรูปร่างท้วมผมแดงอีกคนที่เป็นมนุษย์ถือเท้าไม้นั่งอยู่
“คะค่ะ!”
“ช่วยบอกเผ่าของเธอ มาจากที่ไหนด้วย”
“เอ่อ...คือฉันคิดว่าเป็นมนุษย์”
“คิดว่า?”
“ก็คิดว่า...คือเกิดมาก็เป็นอย่างงี้แล้ว”
“คริสตัลกลางอกของยัยนั่นเผ่าคริสเมนชัดๆ” อาจารย์แว่นตาแหลมว่า
“คริสเมนก็จัดอยู่ในเผ่ามนุษย์ไม่ใช่หรือ?” อาจารย์ผู้ชายเผ่าปีศาจที่เนื้อผิวสีเทาเอ่ย
“ท่านไม่ได้ติดตามการประชุมวาระความเปลี่ยนแปลงของชนเผ่าหลากหลายแน่ๆ” ชายร่างท้วมว่า “คริสเมนน่ะ มีศักยภาพมากกว่ามนุษย์มากแถมมากกว่าฮาล์ฟเอลฟ์บางส่วนด้วยเลยกำลังมีการจัดจำแนกเผ่าใหม่”
“เรื่องนั้นข้าก็เห็นด้วยท่าน” อาจารย์ปีศาจพูด “แต่ตอนนี้ทุกคนก็เห็นอยู่ว่านอกเหนือเธอจะเป็นคริสเมนแล้วยังเป็นไซบอร์ก”
“เอาจริงๆ แล้วไซบอร์กมันก็แค่ชื่อเรียกเหมาลวกๆ นะ” อาจารย์บ้ากล้ามไม่เห็นด้วย “มันใช้ได้กับทุกเผ่า ถ้าฉันใส่ของแบบนั้นบ้างฉันจะไม่กลายเป็นเอลฟ์ไซบอร์กไปด้วยหรือไง?”
“เราว่าเรื่องนี้ไว้โต้เตียงที่โต๊ะน้ำชาดีกว่าไหม ตอนนี้เราทุกคนต้องทำเรื่องตรงหน้าให้เสร็จก่อน”
ผอ. อาเธอร์พาอีกสี่คนที่น่าจะมีคุณวุฒิหรือตำแหน่งสูงกลับเข้าเรื่องเดิม สาวแว่นตาคมเอ่ยก่อนใคร
“พลังเวทย์ของหล่อนจะพิจารณายังไง? ในเมื่อคริสตัลเอนเนอจี้กลายเป็นเศษไปแล้ว”
“ขั้นสูงสุดเลยไหม?” ชายมีกล้ามออกความเห็น
“จะบ้าหรือไงท่าน แบบนั้นแสดงว่าเด็กคนนี้มีพลังมากกว่าผู้กล้าอีก”
“เดี๋ยวก่อน เรายังไม่รู้สาเหตุเลยว่าทำไมคริสตัลเอนเนอจี้ถึงกักพลังไว้ไม่อยู่” ชายปีศาจเอ่ยถึงความเป็นไปได้ “อาจจะเป็นเพราะอย่างอื่นก็ได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจะกำหนดพลังเวทย์ของเด็กคนนี้ว่ายังไง ท่านคณาจารย์ทั้งหลาย”
ชายร่างท้วมที่ดูสุขุมพอๆ กับอาเธอร์กล่าวเช่นนั้น
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นอาจารย์ทั้งหมดจริงๆ ด้วย พวกเขานุ่งกรุ่นคิดหนัก ส่วนฉันที่เอามือขวาลูบข้างตัวสะดุดอย่างหนึ่งเข้า
หือ? เจ้านี่อาจจะใช้ได้
“เอ่อ...อันนี้พอใช้ได้หรือเปล่า?”
ฉันหยิบป้ายกิลด์ผจญภัยจากกระเป๋าเสื้อ โดยที่ป้ายมีบอกถึงพลังเวทย์ มานาและความเชี่ยวชาญซึ่งฉันว่าพนักงานกิลด์คงไม่ได้เข้าใจผิดเรื่องข้อมูลบนป้ายหรอก ที่ผิดเพี้ยนจริงๆ น่าจะเป็นพลังเวทย์ในตัวฉันมากกว่า ถึงอย่างงั้นฉันยังใช้เวทมนต์ไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักที
ดูเหมือนพวกเขาจะทะลึ่งกับสิ่งที่ปรากฏบนป้ายนั่นหลังก้มลงส่งให้พวกเขา พวกคนที่เหลือที่หลังอยู่ข้างล่างพยายามชะเง้อมองกันใหญ่ แวบหนึ่งฉันเห็นอาเธอร์มองฉันอย่างไม่พอใจเลยแลบลิ้นตอบกลับ
“นี่มัน...เชื่อถือได้ใช่ไหม” สาวแว่นถามหวั่นๆ
“ได้อยู่หรอกถึงจะไม่ถึงกับตรงแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่มันปรากฏอยู่” อาจารย์ปีศาจเอ่ย “และข้าดูของจริงของปลอมออก”
“อาจารย์ครับ!” มีผู้ชายบางคนจากที่หลังข้างหลังตะโกนขึ้นมา “พวกท่านกำลังดูอะไรอยู่? ใช่ป้ายกิลด์อ่ะเปล่า?”
“บาร์เบส!?” อาจารย์แว่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ไม่สอดรู้สอดเห็นสักวันจะตายไหม”
“ฮ่าๆ ขอโทษครับ”
แล้วเจ้าตัวนั่งลงที่เดิม หลังจากนั้นพวกอาจารย์แถวนั้นประชุมสุ่มหัวกันอยู่พักหนึ่งแล้วอาเธอร์ควักมือเรียก
“เธอ...ลงมานี่”
และฉันก็กระโดดลงไปหาพวกเขา ชายมนุษย์ร่างท้วมบอกให้สาวแว่นที่ฉันเพิ่งเห็นชัดๆ ว่าเธอมีหูแหลมที่ไม่ยาวมากนักน่าจะเป็นฮาล์ฟเอลฟ์ให้เสกเวทมนต์
“ท่านมิสเซล กางเวทย์กั้นเสียงให้ที”
เธอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วพึมพำคำร่ายพอร่ายจนจบประโยคก็มีบาเรียสีฟ้าลายหกเหลี่ยมขึ้นครอบคลุมฉันและอาจารย์ทั้งห้า ก่อนที่บาเรียจะปิดมิดได้ยินเสียงร้องโห่ไม่พอใจจากคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ข้างหลัง
คล้ายๆ บาเรียในถ้ำใต้เมืองบาลาสเลยแฮะ แต่มันออกเหลี่ยมๆ ไม่ใช่ทรงกลม
“งั้นใครจะเริ่มก่อน?”
อาเธอร์ถามสี่คนที่เหลือ ดูเหมือนว่าอาจารย์ฮาล์ฟเอลฟ์สาวแว่นจะยกมือแล้วฉีกยิ้มอย่างน่ากลัวขึ้นมา
“ท่าน ผอ. ท่านน่าจะเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่หรือ ดิฉันเห็นว่าท่านกับเด็กคนนี้รู้จักกัน อย่าทำตีเนียนเลย”
พอได้ยินแบบนั้นสันหลังฉันก็เสียงวาปทั้งตัว อาเธอร์ขมวดคิ้ว
“รู้เรื่องได้ยังไง”
“หลายวันก่อนเห็นทั้งสองคนที่โรงอาหารของหอบุ๊คอิงค์...กับเด็กอีกสองคนด้วย หลังจากนั้นก็ตามสืบไม่อยาก” อาจารย์ฮาล์ฟเอลฟ์กล่าวอย่างมั่นใจ
“โอ้ว แสดงว่าท่าน ผอ. มีตัวเต็งทั้งสองคนแล้ว” อาจารย์บ้ากล้ามเอ่ยอย่างเสียดาย “ให้ตาย...แล้วแบบนี้สาขาอัศวินจะเอาอะไรมาสู้”
“เรื่องผู้กล้านั้นเราไม่ได้ล็อตให้อยู่สาขาการปกครองสักหน่อย แล้วแต่เขาจะตัดสินใจ...อันที่จริงเราแทบจะไม่ได้ยุ่งเรื่องนั้นกับเขาด้วยซ้ำ”
อาเธอร์ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ฮาล์ฟเอลฟ์ที่ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่เลยเอ่ยถึงสิ่งที่รู้อีก
“แต่เด็กคนนี้จองไว้แล้วใช่ไหม ถึงกับต้องแยกห้องพักไว้ที่หอสมุดเลย”
“เรื่องนั้นกะว่าจะให้ย้ายไปหอรวมเด็กปีหนึ่งทีหลังนะท่านมิสเซล มีเรื่องที่ยังสะสางไม่เสร็จ”
“คงเกี่ยวกับพลังเวทย์ที่ล้นเหลือของเด็กคนนี้สินะ”
“อะไรประมาณนั้น”
“จริงจังกันหน่อยสิครับ...”
ชายร่างท้วมเร่งกลับเข้าเรื่องแล้วจ้องมองอย่างฉันสนแล้ว...แล้วเขาก็ยกไม้เท้าสีดำลายมังกรฟ้ายื่นมาให้
“ลองถือนี่สิ”
“เลสเตอร์!” ชายปีศาจว่า “นั่นมันอาวุธของผู้กล้าในตำนานแล้วนะท่าน!”
“ถึงได้ให้ลองถือดูไง...รีบรับไปสิ”
ฉันค่อยๆ จับมันด้วยมือขวา รู้สึกว่ามีอะไรกำลังเคลื่อนอยู่ในไม้เท้านี้และที่หัวไม้เทาที่ควรเป็นคริสตัลสีดำกลับเปล่งแสงสีฟ้าขึ้นมา ทำให้ฉันนึกถึงหอกผู้กล้าที่มันจะเปล่งแสงยอมรับเจ้านายของมัน ดูเหมือนอีกสามสิบชีวิตที่นั่งอยู่ข้างหน้าตะลึงกับสิ่งที่เห็นด้วยแม้จะไม่ได้ยินเสียงก็ตาม
ไอ้ไม้เท้านี่เป็นอาวุธผู้กล้าในตำนานจริงๆ หรอเนี่ย มันเบาๆ ยังไงก็ไม่รู้
“เท่านี้น่าจะหมดข้อสงสัยเกี่ยวกับพลังของเด็กคนนี้แล้ว ส่งคืนมา”
พอยื่นคืนไปกลับมีความรู้สึกตอบสนองต่อบางสิ่งทันที เหมือนมีใครกำลังจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เฉียบแหลมคมหวังอะไรสักอย่างจากตัวฉัน...มันเป็นหนึ่งในสามสิบคนที่นั่งอยู่ในฮอลล์นี้แน่ๆ
ใครกันนะ...
ฉันเริ่มวาดตามองแต่ยังไม่ทันที่จะมองครบทุกคนก็ถืออาเธอร์ดึงสติกลับมา
“เฟลิกซ์...เอาป้ายนี่คืนแล้วกลับไปหลังเวทีได้แล้ว”
อาเธอร์โยนป้ายมาให้
“หา!? แค่นี้?” ฉันว่า
“ก็ใช่นะสิ กลับๆ ไปซะอย่าทำตัวเป็นที่สนใจมากกว่านี้”
ถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจก็ทำตาม แต่เดินกลับไปได้เพียงสองเท้า อาจารย์ชายบ้ากล้ามทัก
“จริงสิ เธอเด็กใหม่กับอาเธอร์ ช่วงนี้ระวังตัวกันหน่อย”
“ทำไม?”
“สายของผมรายงานมาว่ามีพวกแก๊งค์นักล่ามานาเข้ามาอยู่ในสถาบันนี้ ถึงแม้การดูแลความปลอดภัยภายใต้อาจารย์อัศวินอย่างผมมีความปลอดภัยสูงแต่มันก็ไม่ได้รับประกันว่าจะเกิดขึ้น”
“ขอบคุณที่เตือน เราดูแลกันเองได้”
อาเธอร์น้อมรับมัน สาวแว่นฮาล์ฟเอลฟ์ข้องใจบางอย่าง
“พูดอย่างกับว่าอยู่บ้านชายเดียวกันเลยนะ”
“จะพูดอะไรให้เกียรติเด็กใหม่หน่อย เธอยังไม่รู้เรื่องพวกนี้”
“ฉันว่าไม่”
เธอเอ่ยแล้วจ้องมองฉันราวกับรู้ดี ฉันก็จ้องกลับตอบก่อนที่จะคิดได้ว่าไม่น่าอยู่ตรงนี้เลยหันหลังกระโดดขึ้นเวทีแต่กะแรงผิดไปหน่อยเลยกระโดดค่อนข้างสูงเหนือมนุษย์พอสมควร ระหว่างนั้นได้ยินเสียงจากคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่นอกวงบาเรีย
“ตะกี้คทาผู้กล้ามันตอบรับเธอใช่ไหมเด็กใหม่!?”
ฉันไม่สนใจเดินกลับเข้าข้างเวทีที่มีครูเจนและเพื่อนร่วมห้องรออยู่ ทุกคนมองฉันในระดับที่สูงกว่าเดิม...เอ่อ หมายถึงมองกันคนละระดับมากกว่าเพื่อนร่วมห้องละนะ ยกเว้นทอมมี่ที่เดินเข้ามากุมมือทั้งสองที่แตกต่าง
“เป็นอะไรไหมครับ”
“ไม่หรอก แค่ตกใจนิดหน่อย...ครูเจนคะ”
“ค่ะคะ!?”
“เรากลับห้องเรียนเถอะค่ะ”
พอบอกแบบนั้นไป ท่าทางครูเจนประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะบอกให้ทุกๆ คนเดินออกข้างหลัง ฉันเบือนสายตาแอบมองพวกคณะอาจารย์ทั้งห้า...ดูเหมือนพวกเขากำลังถกหนักเรื่องของฉัน
◊ ◊ ◊
[ชั่วโมงต่อมา]
“สำหรับคลาสวันนี้สิ้นสุดแล้วนะทุกคน พรุ่งนี้จะเริ่มต้นเรียนอย่างจริงจังทั้งวันกันแล้ว ตั้งใจกันด้วยนะ เลิกเรียนจ้า”
“เคารพ!”
หัวหน้าชายที่เพิ่งถูกแต่งตั้งกล่าวให้ทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วก้มหัวเคารพหลังจากที่ครูเจนแจกแจงกฎระเบียบและรายละเอียดต่างๆ ของการเรียนในสถาบันเสร็จ ทุกๆ คนต่างพากันรุมล้อมฉัน พวกเขาต่างรุมยิงคำถามมากมายในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องพลังเวทย์ของฉันที่ว่ากันว่าเหนือกว่าผู้กล้าห้อง A อีก
ให้ตายสิ ว่าจะไม่ทำตัวเด่นตั้งแต่แรกแล้วนะ...
แต่ก็ช่วยไม่ได้ มันดันมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นที่ฮอลล์นั่น
ระหว่างนั้นฉันเห็นทอมมี่ที่ยังนั่งอยู่ใกล้ๆ มองฉันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มพอใจในสิ่งที่ฉันเผชิญอยู่ ที่จริงฉันอยากให้เขามาช่วยดึงออกจากที่ตรงนี้มาก
“เอ่อ...คือฉันขอกลับก่อนได้ไหม รู้สึกเหนื่อยๆ แน่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“อ่า น่าเสียดายจัง” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งพูด “แต่ไม่เป็นไร พักผ่อนเถอะ ไว้คุยกันต่อพรุ่งนี้น่า”
“จ๊ะ...ทอมมี่!”
ฉันเรียกเขาให้ออกมาหน้าห้องพร้อมกัน ตรงทางเดินมีเด็กใหม่ปีหนึ่งเดินผ่านไปมากันให้วุ่น
“คุณเฟลิกซ์ดังแล้วนะครับ”
“อย่าพูดแบบนั้น ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนี้สักหน่อย”
“ครับๆ ผมเชื่อก็ได้”
“เฮ!? นายไม่เชื่อจริงๆ ใช่ไหม”
“ก็บอกว่าเชื่อไงครับ ฮ่าๆ”
และแล้วหางตาฉันดันไปเห็นสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิดจะได้เห็น โลกทั้งใบแทบหยุดหมุน ทุกเฉดสีกลายเป็นสีเทายกเว้นที่ตัวฉันและคนที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าสิบก้าว
อากิตะ...ทำไมมองฉัน...แบบนั้น
ใช่ เขากำลังมองฉัน...ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและขุ่นเคือง
ไม่ๆ เขาไม่ใช่อากิตะ...แล้วทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะ!? ฉันยังไม่เคยทำอะไรให้—
หรือว่า...
ขาซ้ายกำลังจะก้าวออกไปหาแต่ถูกมือใครบางคนดึงห้ามไว้
“ท่านพี่! ในที่สุดหาตัวเจอสักที!”
ฉันหันมาตามเสียงซึ่งเป็นเรย์ลี่กำลังกอดเอวฉันอยู่ แล้วรีบหันกลับไปทางเดิมพบว่าอากิตะหายไปแล้วอย่างกับภาพหลอน
ฉันคิดมากไปเองหรือเปล่านะ
“ท่านพี่เหม่ออะไรอยู่!? ขาดสารอาหารใช่ม่ะ! ปะๆๆๆ เดี๋ยวเรย์ลี่พาไปกินร้านอร่อยๆ กันดีกว่า”
แล้วเธอก็ลากฉันไปทันที ทอมมี่เดินอมยิ้มตามมาติดๆ การที่เรย์ลี่ร่าเริงสุดๆ วันนี้คงเป็นเพราะไม่ได้เจอกันสามสี่วันแล้ว งานของเรย์ลี่มีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นสักอย่างเลยไม่ได้มาหา
ให้ตายสิ ฉันใจอ่อนกับเธอตลอด
◊ ◊ ◊
[พลบคล่ำวันเดียวกัน]
“เขาว่าจะให้เราเป็นยามเฝ้าหอสมุดแน่ะ”
เอลด้าเดินบ่นเข้าห้องพักในหอสมุดมาที่มีฉันกำลังถอดเสื้อให้ทอมมี่จากแผ่นหลังเธอ
“โอ้ว...เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงจะกลับมา ไม่ต้องรีบก็ได้นะ เราไม่กวนเวลามีสุขของพวกเจ้าล่ะ”
“เดี๋ยว!”
ปัง!
เอลด้าวิ่งหนีปิดประตูออกไปแล้ว ทอมมี่เอามือปิดปากกั้นขำไว้
“ขำอะไรของนาย” ฉันถามจากข้างหลังเขา
“ตลกนิดหน่อยครับ พวกเราเป็นผู้หญิงกันทั้งคู่นิ”
“เพศเดียวกันก็ทำเรื่องแบบนั้นกันได้...นายยิ่งเคยเป็นผู้ชายด้วย”
“อ่าครับ...แล้ว...เห็นปีกที่หักข้างล่างไหมครับ”
ทอมมี่เอ่ยถึงเรื่องที่เขาวานช่วยดูแผ่นหลังที่มีปีกสีเนื้ออยู่กลางหลังซึ่งมันแนบชิดลึกลงไปแต่พอดูออกมามีรอยถูกหักอย่างชัดเจน
“งืม ไม่อย่าเชื่อว่านายมีปีกด้วย”
“ก่อนที่จะถูกเด็ดทิ้งไปเพื่อถูกจองจำคุกใต้ดินนี่” ทอมมี่พูดด้วยสีหน้าที่เศร้า “แต่พักนี้รู้สึกว่ามันเริ่มฟื้นด้วยยังไงก็ไม่รู้ครับ”
“ฟื้นตัว?”
“ใช่ครับ ทั้งๆ ที่ผมไม่น่าจะมีพลังเวทย์หลงเหลืออยู่แล้ว...พยายามใช้ความทรงจำของจอมมารคิดยังไงก็ไม่ออกเพราะเขาไม่เคยถูกเด็ดปีกด้วย”
“งืม...คงเหมือนกับที่...เชอรี่เอามีดแทงร่างนายหรือเปล่า ร่างกายปีศาจมันฟื้นตัวไว”
“ก็ไม่น่าจะเกี่ยวนะครับ ถ้าเป็นแบบนั้นมันน่าจะฟื้นตัวก่อนหน้านี้ตั้งสามเดือนแล้วตั้งแต่ผอ. อาเธอร์ขุดผมขึ้นมาจาก—”
อยู่ๆ ทอมมี่ก็ชะงักไปแล้วพึมพำ
“หรือว่าคืนที่คุณมา...ผอ. อาเธอร์เขาถอนเวทย์บางอย่างจากตัวผม”
“อาจจะใช่ ลองไปถามดูไหม?”
“ไม่ๆๆๆๆ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ไม่ต้องถามแล้ว”
ทอมมี่ปฏิเสธหัวสั่นอย่างชัดเจน ฉันที่เพิ่งรู้ตัวว่าเขากลัวอาเธอร์อย่างกับอะไรดีเลยกอดตัวเขาจากข้างหลัง
“ฉันขอโทษ...ไม่น่าพูดถึงเจ้านั่นเลย”
“อ่า ไม่เป็นไรหรอกครับ...เอ่อ...คือ...”
“หือ? มีอะไรหรอ?”
“มือคุณโดนหน้าอกผมอยู่ครับ”
ทอมมี่ว่าอย่างงั้นฉันเองก็เพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกันและเหมือนจะถูกเนื้อสัมผัสกันตรงๆ ด้วยเพราะถอดเสื้อเขาก่อนหน้านี้ แต่ฉันไม่ผงะหนีกลับขย้ำหน้าอกเขาแทนจนเจ้าตัวร้องลั่น
“อ๊าก!! ทำอะไรครับเนี่ย!?”
“เชอะ! ใหญ่กว่าของฉันอีก เป็นผู้ชายประสาอะไรเนี่ย”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ! หยุดทำแบบนี้เหอะครับ! อ๊าย!”
“ไม่! ฉันจะขย้ำนมนายให้เล็กกว่าของฉันเลยค่อยดู! ถ้าไม่ยอมบอกเคล็ดลับโนตมนั่น!”
มีแต่ยิ่งขย้ำยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรอวะ...ช่างมัน
และฉันก็เล่นใหญ่เต็มที่ไม่ใช่แค่หน้าอกล่ามไปยังใต้รักแร้ เอว หน้าท้อง ต้นขา เจ้าตัวที่โดนฉันแกล้งช่วงแรกหัวเราะน้ำตาไหลแต่สักพักเริ่มหายใจเร็วขึ้นหน้าแดงกล่ำไปหมดและเริ่มร้องเสียงแปลกๆ พอฉันเริ่มรู้ตัวเลยผละออกเห็นทอมมี่หมดสภาพบนเตียงอย่างน่ารักน่าชังเลยทีเดียว
“อุ้ย! เล่นมากไปหน่อย โทษที”
“เฮ้อ...เฮ้อ...”
“อ่า...ไหวไหม?”
ฉันถามอย่างงั้น เจ้าตัวค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งแต่ไม่สามารถหลบซ่อนใบหน้าที่แดงจัดและสายตาที่กำลังโหยหาบางสิ่งที่ต้องการมากมองมาที่ฉัน
“ผม...คือ...ผม...ขอตัวอาบน้ำก่อนนะครับ”
“อ่า...อืม”
และแล้วเจ้าตัวก็หายเข้าห้องน้ำไป ฉันที่ใจหายทิ้งตัวลงบนเตียง...ยื่นมือขวาที่ยังเป็นทรงที่จับหน้าอกทอมมี่อยู่ยกมือลงมาวัดกับของตัวเองที่เกือบไม่มีจนน้ำตาแทบไหล
ห่างกันสามไซต์...หื้ออือ
◊ ◊ ◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.24 นะจ๊ะ
ในที่สุดเฟลิกซ์กับทอมมี่ก็เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันนิวส์ไลฟ์แล้วเรียบร้อย!
แต่การได้เจออากิตะบนเวทีและหน้าห้องเป็นสิ่งที่เฟลิกซ์ไม่คาดคิด
ยังมีเรื่องของพลังเธอที่เป็นที่จับตามองแล้วด้วย!
และทำไมทอมมี่ถึงมีอาการแปลกๆ หลังเฟลิกซ์นวดหน้าอกแบบนั้นด้วยล่ะ!?
(หรือมันเป็นเรื่องปกติ ฮ่าๆ)
ชีวิตทั้งคู่จะเป็นยังไงต่อไป
ตอนต่อไปเรายังไม่ได้โฟกัสถึงพวกเขาหรอก
จะกลับมาดำเนินเรื่องของสามหนุ่มหนึ่งสาวแห่งกรมสอบสวนก่อนดีกว่า!
โปรดติดตามต่อตอนไปที่มีชื่อว่า
Ch.25 Side Story ตำนานรักกรมสอบสวน I - [นักล่ามานา]
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ