Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) Fake/Brave III - Cherry/Tommy - [ท่านพี่]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCrystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
Ch.20 Fake/Brave III
Cherry/Tommy - [ท่านพี่]
◊ ◊ ◊
“ได้แต่ขนมปังแข็งๆ พอกินได้ไหม?”
เอลด้าปลุกฉันขึ้นมายื่นขนมปังแผ่นกลมไม่หนามากมาให้
“นี่ฉัน...หลับไปนานแค่ไหน”
“ครึ่งวัน”
ที่ถามแบบนั้นไปเพราะเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มเห็นดาวรอบตัวค่อนข้างมืดค่ำแล้ว
เพลียจังแฮะ…
“ไม่อยากกินหรือ?”
เอลด้าเห็นฉันเหม่อไม่ยอมรับของสักทีเลยถาม ฉันหยิบมากินหนึ่งคำ
“ขอบคุณ...ไปเอามาจากไหนล่ะนิ?”
“ก็...ไปหยิบมาจากแถวๆ นี้”
“แถวๆ นี้?” ฉันพยักหน้ารับ “จากนางฟ้ากลายเป็นโจร...ไวดีเนอะ”
“มันจำเป็น...แต่สำหรับคนที่เจอเรื่องหนักๆ มา เจ้าทำใจไวดีนะ”
แผ่นขนมปังที่ฉันถืออยู่ชะงัก ในหัวที่เหมือนจะหายปวดกลับมาแปล๊บๆ อีกครั้ง
“แค่ไม่อยากจมปลักกับมันมาก...เฮ้อ ไม่รู้ว่าทำไมตั้งแต่มาโลกนี้เหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กอีกครั้ง อารมณ์ว้าวุ่นไปหมด...เพราะพระเจ้าอีกหรือเปล่านะ”
ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าไปยังที่ๆ ไกลแสนไกลหวังเผื่อว่าจะมีที่สงบอยู่ที่นั่นแต่โดนเอลด้ากระชากลงมา
“ถ้าคิดแบบนั้นมันก็ได้อยู่...แต่ถ้าทุกเรื่องคิดแบบนี้ซะหมด เจ้าคงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”
“งืม ก็พูดถูกอยู่”
“แล้วเจ้า...จะเอายังไงกับชีวิตต่อไป”
เอลด้าถามแบบนั้น ฉันนึกคิดอยู่พักหนึ่ง
“ก็ดูๆ กันไป...ว่าแต่เธอน่าเป็นห่วงกว่าไม่ใช่หรอ? เป็นนางฟ้าอยู่ดีๆ กลายมาเป็นมนุษย์นี่มัน—”
“อย่ามองเหมือนดูถูกนะ!” เอลด้ารีบออกตัว “เห็นแบบนี้มีประสบการณ์ลำบากเยอะ ลองเกิดเป็นมนุษย์หลายรอบเจอมาหลายอย่าง พอตายก็กลับมาเป็นนางฟ้าใหม่...แต่ครั้งนี้คงไม่แล้ว ก็ดีเหมือนกันอยู่มาหลายร้อยปีปลงแล้วล่ะ”
“ฉันเดานิสัยเธอไม่ออกจริง เดี๋ยวยกยอตัวเอง เดี๋ยวเป็นเด็ก...อย่างกับว่าพยายามปิดบังตัวตนที่แท้จริง”
ที่พูดไปแบบนั้นมันมาจากประสบการณ์ที่เคยเรียนรู้กับหน่วยทหารที่ต้องคอยซัพพอร์ตกับหน่วยเฮิฟเว่นพันนิเชอร์ของโลกก่อนในเรื่องต่างๆ ซึ่งหนึ่งในเรื่องนั้นก็คือสืบสวนคนที่พวกเขาจับมาได้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจที่พูดอะไรไปมากนัก กลับได้ปฏิกิริยาตะลึงชั่วครู่ที่แสดงให้เห็นแค่แวบหนึ่งจริงๆ ของเอลด้า มันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แล้วเธอก็อธิบายด้วยสีหน้าใหม่ที่ราวๆ ว่ารำคาญตัวเองอย่างไงอย่างงั้น
“ผลกระทบจากการลองเกิดเป็นมนุษย์เล่นๆ หลายรอบนั่นแหละ บริหารบุคลิกปั่นป่วนไปหมด...นี่ยังไม่ได้ตอบคำตอบของเราเลยนะ”
ฉันหรี่ตากับคำตอบนั้น
คงไม่ใช่อย่างที่คิดล่ะมั้ง...
“ก็บอกแล้วว่าดูๆ กันไปก่อน ถ้ามีหนทางแก้ไขเรื่องบ้าๆ นี่ได้ก็...ฉันจะทำมัน”
พูดเสร็จก็เงยหน้ามองบนฟ้าอีกรอบ เปลี่ยนมือถือขนมปังเป็นข้างซ้ายแทนเพื่อซ่อนอีกมือไว้
แต่ฉันพูดเก่งไปแบบนั้นแหละ คิดแล้วมือยังสั่นๆ อยู่เลย
“งั้นเราจะอยู่ข้างเจ้าเอง”
จู่ๆ เอลด้าเอ่ยในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อออกมา พอเธอเห็นฉันจ้องหนักเข้าเลยพูดแก้เขิน
“เอ่อ...ไม่ใช่เพราะว่าอยากอยู่ใกล้ๆ เจ้านะ รู้สึกผิดต่างหากที่ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้!”
มาแปลกแฮะ...
แต่ก็...
ฉันยื่นมือขวาออกไป ถึงแม้มันจะสั่นอยู่บ้าง
“ขอบคุณนะ...ต่อไปนี้ถือว่าเราเป็นเพื่อน...เอ่อ น่าจะเรียกว่าผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันมากกว่า ฉัน...เฟลิกซ์”
ดูเหมือนว่าเอลด้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันสื่อไปตอนแรก แต่ไม่นานนักเธอก็ยิ้มแล้วยื่นมือขวามาจับ
“เอลด้า อดีตนางฟ้า...ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
ฉันเริ่มสัมผัสได้ว่าสิ่งดีๆ น่าจะเกิดขึ้นบ้างแล้ว ณ ตอนนี้
เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งงั้นหรอ...กับโลกที่มีอายุขัยแค่ยี่สิบปี...
ไม่สิ มันค่อนข้างนานด้วยซ้ำ ถ้าบวกลบกับโลกเก่าก็อยู่ถึงอายุห้าสิบปีกว่าๆ สินะ
หางานทำ ใช้ชีวิตปลีกตัวไม่หยุดกับเรื่องบ้าๆ พวกนั้นอีก จากทุกคนที่เคยอยู่ด้วยกัน
ไม่ต้องแบกเรื่องผู้กล้า ไม่ต้องเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น…ถึงแม้รู้ว่าคนที่รับชะตากรรมแทนฉันจะมีหน้าตาเหมือนกับอากิตะก็เถอะ
อากิตะ...
ให้ตายสิ...หยุดคิดถึงหน้าเขาไม่ได้เลย
ไม่ๆๆๆๆ ต้องเปลี่ยนแผนล่ะ...ทำงานอยู่ที่นี่มีเงินสักพักแล้วหนีให้ใกล้ๆ จากเมืองนี้ เมืองที่มีอากิตะอยู่ เพราะรู้ตัวเองดีว่าถ้าได้เจอเขาอีกรอบ...คงตัดใจเป็นห่วงแทนไม่ได้แน่ๆ
เฟลิกซ์...เธอก็น่าจะรู้ดีนิว่าเขาไม่ใช่อากิตะของจริงหรอก มันก็แค่ของปลอมที่พระเจ้าสร้างมันขึ้นมา
อากิตะ...เขาจากไปดีแล้วอย่างที่เฟียน่าบอกไว้
พอคิดถึงตรงนี้น้ำตาเริ่มซึมอีกรอบ
เจ็บ...มันเจ็บเหลือเกิน
รู้สึกเริ่มแน่นกลางอกอีกรอบ ซึ่งนั่นทำให้นึกถึงอีกคน คนที่สละชีวิตเพื่อเป็นหัวใจแก่ฉัน
คุณมาเรีย...ฉันคิดแบบนี้ มันดีแล้วใช่ไหมคะ
พลันจากความคิดนั้น รู้สึกเหมือนมีใครกำลังกอดจากด้านหลัง อ้อมแขนเรืองแสงประกายทองที่แสนอบอุ่นเฉกเช่นเดียวกับใบหน้าของมาเรียอันเรืองรางที่ขยับเข้ามากระซิบข้างใบหู
“สู้ๆ นะคะ”
ถึงนั่นจะรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่มันทำให้ฉันยืมอ้อมอกของเอลด้าเป็นที่ระบายน้ำตาทั้งคืนอีกรอบ
◊ ◊ ◊
สามวันผ่านไป…
เป็นสามวันที่ฉันพยายามทิ้งทุกเรื่องไว้เบื้องล่างเพราะคิดว่าตัวเอง ณ ตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้เลยแต่ไม่ถึงกับเลิกล้มมัน ถ้ามีโอกาสเมื่อไรฉันก็จะคว้าไว้
เป็นการตัดสินใจที่ยากจริงๆ สำหรับเรื่องนั้น
แต่ปัญหาปากท้องกับที่นอนตอนนี้สำคัญมาก ช่วงนี้ได้กินแต่ของไม่ค่อยดีกับสุขภาพนักและน้ำไม่ได้อาบเลยได้แต่พรมหน้านิดหน่อยจากแม่น้ำสายเล็กที่ไหลเข้าเมือง ซึ่งแน่นอนว่าเปลี่ยนชุดนักเรียนมอต้นชาติที่แล้วเป็นชุดผ้าสีอ่อนเรียบๆ ที่ผูกด้วยเชือกแทนกระดุม และมีผ้าคลุมตัวอีกทีเพื่อบังแขนซ้ายไม่ให้โดดเด่นไว้
ถึงเอลด้าที่มีทักษะโจรอยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะการคุ้มกันและระบบของเมืองนี้ค่อนข้างเข้มงวดเลยได้ของบ้างไม่ได้บ้าง การที่จะทำงานรับจ้างที่นี่ได้ต้องมีตราที่ยืนยันการเสียภาษียืนยันตัวตนก่อน ซึ่งค่อนข้างแพงและไม่คิดว่าจะขโมยเงินเป็นปีเพื่อที่จะได้ตรานั่น เว้นแต่เคยเป็นนักเรียนของสถาบันมาก่อนถึงจะได้ตรานั้นฟรีซึ่งเรื่องนั้นเอลด้าขอให้เลิกคิดไปได้เลยเพราะคนที่จะเป็นนักเรียนได้ต้องเป็น [เด็กใหม่] ที่พวกเขาคัดเลือกมาเองเท่านั้น
เคยคิดอยู่ว่าจะออกจากเมืองนี้ไปตั้งแต่แรกเลยดีไหม? (จากแผนเดิมที่จะอยู่สักพักแล้วค่อยไป) ออกหาของในป่าสร้างบ้านเองอะไรเอง ใช้ชีวิตพึ่งพาตัวเองสุดๆ แต่เอลด้าขอร้องฉันว่าให้ไปที่ๆ หนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน ซึ่งที่นั่นก็คือเขตเมืองทางใต้ของสถาบันนิวส์ไลฟ์ เท่าที่เอลด้าสืบมาได้นั้นว่ากันว่าแถวเขตนั้นเข้มงวดน้อยที่สุด กฎหมายเล่นนอกหลู่นอกทางได้และอีกหลายๆ อย่าง
ก็ว่าไปนั่น ถ้ามีโอกาสไม่ว่ามากน้อยแค่ไหนฉันก็จะทำ
แต่มีอย่างเดียวที่ฉันไม่อยากเจอเป็นครั้งที่สอง...
อากิตะ
◊ ◊ ◊
วันต่อมา…
โอโห้...อยู่กันเป็นรังเลยแฮะ สมกับเป็นมุมบอดของเมืองจริงๆ
ตอนนี้ทั้งฉันและเอลด้าอยู่ภายในกิลด์ผจญภัยสาขาทางใต้ของเมือง ซึ่งภายในนั้นมีที่นั่งไว้พูดคุยเป็นแก็งค์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโจร นักฆ่า นักจิต อัศวิน พ่อค้าใต้ดินและ ฯลฯ ที่ดูรู้ทันทีว่าไม่ใช่พื้นที่สีขาวแน่ๆ ยกเว้นตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้าที่มีพนักงานสาวหูกระต่ายคนหนึ่งประจำอยู่และราวกับว่าเธอมีออร่าไล่ความมืดทุกๆ ด้านแถวนั้นได้
“เอลด้า...แน่ใจหรอว่าคิดถูกใช่ไหมที่มาที่นี่”
“ถูกแล้ว ที่นี่แหละที่จะหาเงินได้โดยไม่ต้องมีพันธะอะไร...ไปลงทะเบียนกัน”
แล้วเธอก็ลากไปตรงเคาน์เตอร์ทันที ซึ่งก็มีคนแถวๆ นั้นแหลบชำเลืองมองบ้าง
“วันนี้มาทำธุระอะไรกันคะ?”
พนักงานหูกระต่ายเอ่ยตามสคริป เอลด้าเปลี่ยนบุคลิกให้ดูเหมือนคนมีประสบการณ์เรื่องฆ่าฟันเยอะบอกพนักงาน
“ก็เพิ่งซัดกับโจรกระจอกมา...”
“แล้ว?”
พนักงานเหมือนจะไม่ซื้อมุกที่เอลด้าส่งเลยรีบกลับเข้าเรื่อง
“เอ่อ...มาลงทะเบียนให้เพื่อนละนะ”
“อ๋อ ได้ค่ะ...มาอย่างกับรู้ว่าช่วงนี้เรามีแพ็กเกจล่อลวง...อุ๊ย...เชิญเพื่อนมาขึ้นทะเบียนที่นี่ก็จะได้แต้มเลื่อนขั้นฟรี จำกัดจำนวนชวนหนึ่งคนค่ะ”
กลิ่นตุๆ จากคำอธิบายของพนักงานที่ชวนให้ไม่น่าไว้ใจหรือเป็นมุกเฉยๆ อันนี้ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ เหมือนว่าเอลด้าได้แอบมาลงทะเบียนไว้ก่อนแล้ว ระหว่างที่พนักงานเขาให้เขียนชื่อด้วยภาษาอังกฤษ ฉันถึงได้จ้องหน้าเอลด้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
“อย่ามองแบบนั้น เรามาถึงแถวนี้ก่อนถึงได้ลงทะเบียนไว้ ไม่ได้หวังเรื่องแต้มอะไรนั่นเลย”
“หรอ...”
เอาเถอะ เราก็ไม่ได้เสียอะไรไปสักหน่อย
หลังจากเขียนชื่อเสร็จ พนักงานสอบถามถึงสิ่งที่จะใช้ในขั้นตอนต่อไป
“ใช้เวทมนต์เบื้องต้นได้ไหมคะ?”
“ไม่”
เอาจริงๆ แล้วจะใช้มันก็ใช้ได้ แต่เพราะลองร่ายแต่ละทีมันได้ผลที่รุนแรงเกินไปหน่อยเลยไม่ได้ฝึกต่อ สัสดีบอกไว้ว่ามาฝึกกับคนที่สถาบันจะปลอดภัยกว่า แต่ตอนนี้คงไม่ได้ใช้มันเร็วๆ นี้แน่เลยบอกไปว่าใช้ไม่ได้
“ทักษะการต่อสู้ ถนัดอะไรคะ?”
“ประชิดตัว”
“ประชิดตัว? ใช้อาวุธอะไรคะ?”
“เจ้านี่”
ฉันยกแขนซ้ายขึ้นมาจากผ้าคลุม พนักงานสะดุ้งตกใจแล้วมองเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน
“คะคุณเป็นไซบอร์ก!?”
“อ่า ก็ใช่...”
ฉันกำลังเหวอเพราะพนักงานตกใจเสียงดังมากจนหลายคนในร้านหันมามอง คุณหูกระต่ายรีบก้มหัวขอโทษ
“เมื่อสักครู่ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ พอดีดิฉันไม่ค่อยเห็นไซบอร์กแบบนี้มาก่อนเลยตกใจนิดหน่อยค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เราทำหน้าเข้าใจแล้วกระซิบถามคนข้างๆ “นี่...ไม่ค่อยมีไซบอร์กอย่างฉันหรอ?”
“ไม่เคยมีใครมีแขนใหญ่แบบเจ้าเท่านั้นเอง”
เอลด้าที่เปลี่ยนบุคลิกกับมาเป็นเหมือนเดิมบอกแบบนั้น พนักงานหูกระต่ายเขียนอะไรบ้างอย่างลงในแผ่นสมัครเพิ่มเติมก่อนที่จะหยิบม้วนคัมภีร์ที่กางออกเป็นแผ่นผ้าสีม่วงขนาดเกือบเท่ากระดาษ A4 ที่มีวงเวทย์หกเหลี่ยมสลักอยู่และเอาแผ่นป้ายไม้หกเหลี่ยมเท่าอุ้มมือวางทับแล้วอธิบาย
“ขออนุญาตนำมือขวาท่านประทับบนแผ่นป้ายด้วยค่ะ...โปรดระวังตอนทำสัญญาจะมีแสงและความร้อนเล็กน้อยอย่าได้ตกใจไป”
พอเอามือขวาทาบตามที่บอกก็รู้สึกถึงความร้อนอุ่นๆ ที่ฝ่ามือ ตัวแผ่นผ้าตรงส่วนวงเวทย์เรืองแสงเล็กน้อยก่อนที่จะดับวูบไป
“ประเมินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอามือออกได้ค่ะ”
หา!? ประเมินอะไร?
ฉันชักมือกลับไปทั้งๆ ที่ยังสงสัย คุณพนักงานพลิกด้านป้ายไม้หกเหลี่ยมแล้วทำสีหน้าแปลกใจเลยชำเลืองมองป้ายที่มีสัญลักษณ์อยู่สองอย่างถูกทำให้เป็นเส้นทึบ ตรงกลางเป็นรูปทรงเลขาคณิตหกเหลี่ยมที่มีแต่เส้นขอบหนึ่งอันและขอบรอบๆ ป้ายไม้เป็นเส้นทึบหนาหนึ่งเส้นได้แต่เป็นเส้นปะ
คืออะไรหว่า?
“มีปัญหาอะไรหรือ?”
เอลด้าถามก่อนที่จะมองไปที่แผ่นป้าย พนักงานเอื้อมตัวเข้ามาพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สามคน
“เอ่อ...คุณเฟลิกซ์ คุณเป็นมนุษย์จริงๆ หรือเปล่าคะ?”
มันเป็นคำถามที่ไม่ทันตั้งตัวเลยอำอึ่ง เอลด้ากระซิบข้างหูอีกครั้ง
“เปิดให้เธอดูเลย”
“แต่ว่าเรื่องนี้อยากเก็บไว้เป็นความลับ—”
“อย่าได้โกหกกับพวกเจ้าหน้าที่ จะได้ไม่มีปัญหาตามหลังมา”
ถึงเอลด้าจะแนะนำแบบนั้นแต่ใจไม่อยากอยู่ดี...แต่สุดท้ายแล้วฉันค่อยๆ แก้ปมเชือกตรงกลางเสื้อสองปั้มเปิดให้เห็นแท่งคริสตัลขนาดเท่ากำมือที่ฝังแน่นอยู่กลางหน้าอก พนักงานกระต่ายทำหน้าเข้าใจและรีบผูกเชือกเสื้อให้อย่างรวดเร็วแล้วกระซิบบอก
“ทำไมไม่บอกว่าเป็นคริสเมนตั้งแต่แรกละคะ!? ถ้าเกิดพวกนักล่ามานาแถวๆ นี้รู้เข้าจะแย่เอานะคะ”
“จริงด้วย...ลืมสนิท”
“นักล่ามานา? คืออะไร?”
เอลด้าเอามือกุมหน้าตัวเองราวกับว่าเพิ่งนึกอะไรได้ ส่วนฉันเอียงคอสงสัยถามไป คุณพนักงานกระซิบบอก
“เป็นพวกที่ชอบลักพาสิ่งของที่มีมานาเก็บกักจำนวนมากไปปล่อยในตลาดมืดนอกเมืองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นยาฟื้นฟูมานาระดับสูง อาวุธโบราณรวมถึงคริสเมนอย่างคุณด้วยค่ะ”
“แล้วถ้าฉันโดนลักพาตัวไป...พวกเขาจะทำอะไรงั้นหรอ? งัดของกลางอกออกมา?”
“ไม่ใช่ค่ะ เท่าที่ได้ยินมาพวกเขาจะตรึงแขนขาแล้วสูบมานาจากตัวคุณเรื่อยๆ ถ้าใกล้หมดก็พัก พอฟื้นตัวเต็มที่ก็สูบต่อใหม่ ทำแบบนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะเสื่อมสภาพค่ะ เท่าที่ได้ยินมาบางคนโดนสูบเกือบร้อยปี...ได้โปรดถ้าเจอคนน่าสงสัยให้รีบแจ้งทางกิลด์ให้ทราบเลยนะคะ”
พนักงานกิลด์อธิบายสับเสร็จ หารู้ไหมว่าฉันแทบจะไม่ได้ฟังอย่างหลังเลย
อันตราย...
ความมุ่งมานะตอนแรกหายหมด พลิกตัวกลับหลังหันเตรียมออกจากร้านแต่ก็ถูกเอลด้ารั้งตัวไว้ เธอใช้เวลากล่อมฉันอยู่หลายนาทีจนยอมทำเรื่องต่อ คุณพนักงานกิลด์ได้อธิบายเรื่องสัญลักษณ์บนป้ายเพิ่มเติมด้วยการนำแผ่นป้ายทุกแบบขึ้นมาให้ดู
การแบ่งระดับของนักผจญภัยจะใช้จำนวนหกเหลี่ยมตรงกลางเป็นหลักซึ่งแบ่งออกได้สี่ระดับ
หกเหลี่ยมหนึ่งอันที่มีแต่เส้นขอบ = นักผจญภัยหน้าใหม่
หกเหลี่ยมหนึ่งอัน (ทึบ) = นักผจญภัย
หกเหลี่ยมสามอัน (ทึบ) = นักผจญภัยขั้นกลาง
หกเหลี่ยมเจ็ดอัน (ทึบ) = นักผจญภัยขั้นสูง
และการเลื่อนขั้นสู่ระดับถัดไปนั้นทำได้ด้วยการทำเควสของทางกิลด์สำเร็จ, ช่วยเหลือภัยพิบัติใหญ่ๆ และอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการกิลด์จะพิจารณา ทุกๆ อย่างจะได้สิ่งตอบแทนเป็นแต้มเลื่อนขั้น ส่วนสิ่งของอย่างอื่นแล้วแต่เควส
ซึ่งแต้มนั้นจะมีค่าสูงสุดอยู่ที่ 100 แต้มต่อหนึ่งหกเหลี่ยมทึบบนป้าย ซึ่งถ้ายังไม่ครบหนึ่งร้อยบนแผ่นป้ายจะแสดงเป็นหกเหลี่ยมที่มีเส้นขอบแล้วข้างในหกเหลี่ยมนั้นจะมีความสูงของแต้มอยู่คล้ายๆ ระดับน้ำเวลาเติมน้ำเข้าไป
เพราะฉะนั้นแล้วขั้นทั้งสี่จะมีแต้มดังนี้
นักผจญภัยหน้าใหม่ = 0-99 แต้ม
นักผจญภัย = 100-299 แต้ม
นักผจญภัยขั้นกลาง = 300-699 แต้ม
นักผจญภัยขั้นสูง = 700 ขึ้นไป
อันที่จริงจะมีระดับสูงกว่านั้นอีก แต่พนักงานกิลด์บอกว่าไม่จำเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา (ง่ายๆ ก็คือขอให้เป็นนักผจญภัยขั้นสูงก่อนถึงจะบอกให้ฟัง)
ส่วนเวลาเพิ่มแต้มลงบนแผ่นป้ายนั้นต้องเป็นที่กิลด์หรือตัวแทนกิลด์เท่านั้น ส่วนเรื่องถ้าแผ่นป้ายหายหรือโดนขโมยให้รีบมาแจ้งกับทางกิลด์เพื่อที่จะใช้เวทย์ระงับของเก่าแล้วขึ้นอันใหม่แทนให้
และอย่างสุดท้ายที่ทำให้พนักงานกิลด์ตะลึงก่อนหน้านี้ก็คือเส้นขอบริมป้าย มันมีไว้แสดงมานาและความเชี่ยวชาญการใช้เวทมนต์
ไม่มีเส้น = มนุษย์เป็นส่วนใหญ่
เส้นขอบหนึ่งเส้น = มีมานาน้อย มักจะเป็นฮาล์ฟเอลฟ์ที่มีเชื้อทางเอลฟ์น้อยมาก, มนุษย์แต่ก็พบได้น้อยและต้องเป็นผู้ที่ใช้เวทย์บ่อยๆ ด้วย (ผ่านม้วนคัมภีร์หรือคริสตัล), ผู้ที่สูญเสียพลังมานาหลายสถานการณ์ เป็นต้น
เส้นขอบสองเส้น = มีมานาปานกลาง ส่วนมากเป็นดาร์คเอลฟ์และฮาล์ฟเอลฟ์ พวกปีศาจระดับล่างและคริสเมน
เส้นขอบสามเส้น = มีมานาสูง จะเป็นพวกเอลฟ์แท้, ปีศาจขั้นสูง
และอย่างสุดท้ายก็คือเส้นขอบเส้นเดียวแต่มีความหนาอย่างมาก ส่วนใหญ่จะพบในผู้กล้า, จอมมารหรือนักเวทย์ขั้นสูงที่เป็นเอลฟ์อายุร้อยปีขึ้นหรือสัตว์ในตำนานและนั่นทำให้ฉันขนลุกซู่เลยทีเดียว
แต่ยังไม่หมด ที่เส้นขอบตัวที่ใช้วัดเวทย์และมานาทั้งยังมีอีกสิ่งหนึ่งแฝงอยู่บนเส้นนั้นก็คือรอยต่อของเส้น ยิ่งมีจำนวนเส้นปะมากเท่าไรยังแสดงให้ถึงความ “ไม่เชี่ยวชาญ” การใช้เวทมนต์เท่านั้น กล่าวง่ายๆ ก็คือ บางคนบางเผ่าอาจจะมีมานาในตัวสูงแต่ไม่เคยใช้เวทมนต์ เลยทำให้ประสิทธิภาพที่ได้มานั้นต่ำเป็นอย่างมาก และเท่าที่ฉันย้อนนึกช่วงสามเดือนก่อน...ไม่เคยฝึกใช้เวทมนต์เป็นชิ้นเป็นอันสักทีเพราะมัวยุ่งกับภารกิจช่วยเหลือคนที่ได้รับผลกระทบจากการฟอร์ดาวน์ของเมืองบาลาส
พอพนักงานกิลด์อธิบายจบลง เธอขอร้องให้ลองทำแผ่นป้ายกิลด์ขึ้นมาอีกรอบเพื่อความแน่ใจไม่ให้เกินความผิดพลาด แต่แล้วผลก็เหมือนเดิม
“งืม...เดี๋ยวดิฉันจะส่งเรื่องนี้ไปสาขาใหญ่นะคะ น่าจะเกิดความผิดพลาดบางอย่างแน่ๆ”
“ฉันก็ว่างั้น ฮ่าๆ”
แต่ไม่ใช่ไม่มีมูลเลยทีเดียว พลังที่ฉันเคยใช้ได้...ก็คือหอกของผู้กล้านี่น่า?
“แล้ว...จะทำยังไงแผ่นป้ายที่มีปัญหา?”
เอลด้าถาม คุณพนักงานหูกระต่ายก้มหัวทีหนึ่งก่อนที่จะบอก
“คงต้องให้พกตัวนี้ไปก่อนละคะ ดิฉันก็ไม่ได้อยากจะให้เป็นอย่างนี้ แต่คิดว่าถ้าคุณให้คนอื่นเห็นคงคิดว่าของปลอมละคะ มันไม่ค่อยมีใครมีเส้นมานาหนาทึบขนาดนี้”
“แล้วถ้าเกิดเรื่องเพราะเจ้านี่ขึ้นมาละ?”
“ต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆ ค่ะ ทางเราไม่สามารถที่จะปลอมแผ่นป้ายเพื่อปิดบังได้ มันเป็นนโยบายที่สำคัญค่ะ ไม่อย่างงั้นความน่าเชื่อของแผ่นป้ายนี้มันจะถูกทำลายลงนะคะ”
เมื่อทางพนักงานยื่นยันแบบนั้นแล้ว ฉันเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร
“งั้นก็แค่เก็บไว้ไม่ให้ใครเห็น...ก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“มันก็ใช่อยู่...” เอลด้าเกาหัว “เฮ้อ...เอาแบบนั้นก็ได้”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้ามีคนที่มีปัญหากับป้ายนี้จริงๆ ช่วยบอกคนที่ว่าสามารถติดต่อสอบถามเรื่องนี้กับทางสมาคมกิลด์สาขาทางใต้สถาบันนิวส์ไลฟ์ได้เลยนะคะ” พนักงานบอก “น่าจะช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้นสำหรับคุณได้”
“ถือว่าช่วยได้” เอลด้าว่า “แต่...เรื่องแบบนี้ควรเรียกผู้จัดการที่นี่มาคุยด้วยนะ?”
“ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ ผู้จัดการสาขาช่วงนี้ยังว่างอยู่ด้วยเนื่องจากต้องไปแก้ปัญหาผู้จัดการคนเก่าอีกคนไปก่อเรื่องที่สาขาบาลาสค่ะ”
“เมืองบาลาส?” ฉันเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ๋อ...ฉันเห็นอยู่ สมาคมกิลด์ที่นั่น...มัน...พังเละเลยนี่? เกิดอะไรขึ้น?”
“สำหรับสมาคมแล้ว สาขาที่นั่นถือว่าเป็นความอับยศของพวกเราเลยค่ะ”
และแล้วคุณพนักงานเข้าดราม่าเรื่องภายในองค์กร เธอเล่าว่าสาขาที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องฟอร์ดาวน์ขึ้นมาด้วยการปล่อยปะละเลยการร้องขอเควสตรวจสอบคนที่แอบขุดแกนกลางคริสตัลหลายครั้งหลายคราว และตอนหลังฟอร์ดาวน์หนึ่งเดือนถึงได้รู้เบาะแสเพิ่มเติมว่าผู้จัดการสาขานั้นรับเงินใต้โต๊ะจากผู้ว่าประจำเมืองบาลาสหรือมีศักดิ์ตำแหน่งเป็นนักเวทย์ประจำเมืองอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ฉันคิดว่าคงได้ข่าวมาจากสัสดีแน่ๆ เพราะเขาเคยบอกว่าจะไปรายงาน ‘หลายๆ เรื่อง’ กับทางสมาคมกิลด์ในเมืองหนึ่งที่แวะในช่วงนั้น พอคิดถึงเรื่องนี้เลยกระซิบถามเอลด้า
“เธอไม่รู้เรื่องนี้เลยหรอ?”
“นางฟ้าไม่ได้มีตาเป็นสับปะรด ถ้ารู้...ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดีเพราะหน้าที่เราก็คือจับตามองเท่านั้น”
“หรอ...แล้วที่ทำกับฉันล่ะ?”
“อันนั้นกรณีพิเศษ อย่าขุดได้ไหม”
“อ๋อหรอ...”
ฉันลองแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ดู ซึ่งเธอออกอาการตกใจนิดหน่อย
“ก็ได้ก็ได้ อยากช่วยเฉยๆ จบไหม?”
“ฮ่าๆ”
“เอ่อ...คุณเอลด้าค่ะ” พนักงานกิลด์ขัด “รบกวนขอป้ายกิลด์ด้วยค่ะ จะเพิ่มแต้มแนะนำเพื่อนให้”
เอลด้าที่ไม่สบอารมณ์โดนฉันแกล้งส่งแผ่นป้ายที่มีแต้มยังไม่ถึงระดับนักผจญภัยให้ พอพนักงานส่งคืนก็มีแต้มครึ่งหนึ่งของหกเหลี่ยมอันแรกแล้ว คุณพนักงานอธิบายงานขั้นต่อไป
“สำหรับเรื่องรับเควสนั่น จะรับได้เฉพาะเควสที่เหมาะกับระดับตัวเองเท่านั้นค่ะ ไม่สามารถรับเควสข้ามขั้นกันได้ ยกเว้นมีเหตุจำเป็นจริงๆ ที่ทางกิลด์จะยกเว้นให้ สำหรับทั้งสองคนแล้วเป็นเควสช่วยเหลือชาวบ้านเป็นหลักนะคะ”
“ปราบมอนเตอร์ให้พวกเขาใช่ไหม?”
ฉันออกโรงถามทันทีอย่างตื่นเต้นเพราะอยากได้เงินเยอะๆ จากการปราบมอนเตอร์เพื่อที่จะเช่าโรงแรมแช่น้ำกินอาหารเช้าดีๆ ใจจะขาดแล้วและเอล้าก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่คำตอบของพนักงานกลับไม่ใช่
“ขออภัยด้วยค่ะ คุณทั้งสองยังรับเควสนั้นไม่ได้ต้องขึ้นอีกระดับก่อนค่ะ...ถึงอย่างงั้นสำหรับรอบเมืองนี้แล้ว เควสปราบมอนเตอร์น้อยมากเพราะถูกจัดการอย่างเด็ดขาดมานานแล้วค่ะ”
ได้ยินแบบนั้นแล้วถึงกับไหล่ตก เอลด้าถามต่อ
“แล้วค่าตอบแทนเควสที่จะได้รับทำ...พอที่จะเช่าโรงแรมอยู่ได้สักวันสองวันไหม?”
“ถ้าทำเควสที่จะให้ต่อไปนี้...ค่าแรงที่ได้อยู่ได้สองวันต่อเควสค่ะ สำหรับโรงแรมถูกๆ นะคะ”
“เย้!”
ฉันยกมือขวาดีใจเพราะตอนนี้การได้นอนโรงแรมเป็นสิ่งเดียวที่ต้องการมากที่สุดแล้วตอนนี้หลังได้นอนนอกบ้านบนพื้นแข็งๆ มาสามวัน และแล้วคุณพนักงานบอกบางสิ่ง
“แต่มันเป็นเควสที่น่าจะเหนื่อยหน่อยนะคะ ช่วงนี้คนย้ายเข้ามากับผ่านเมืองนี้ค่อนข้างเยอะ เลยจะมีแต่เควสช่วยขนของ ตามหาของหายและปัญหาระดับพื้นฐานสารพัด”
พอได้ยินแบบนั้นทั้งสองคนมองหน้าและยักไหล่พร้อมกัน
“ยังไงก็ได้”
◊ ◊ ◊
และแล้วเป็นเวลาสามวันผ่านไปอีกครั้ง
“เตียงนุ่มๆ!”
ฉันที่เพิ่งเดินเข้าห้องพักโรงแรมราคาถูกชั้นเดียวทิ้งดิ่งบนเตียงคู่แล้วขมวดคิ้วเอามือกดเตียง
“มันแข็งขึ้นหรือเปล่าเนี่ย!?”
“นอนมาสองคืนแล้วยังจำไม่ได้หรือ? อีกอย่าง...เตียงมันไม่ได้นุ่มอยู่แล้ว”
เอลด้าเดินตามมาที่หลังว่า เธอตรงดิ่งไปที่เยือกน้ำในห้องที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ทันที พวกเขาเพิ่งกลับมาจากทำเควสช่วยเหลือชาวเมือง ซึ่งล่าสุดเป็นงานช่วยเศรษฐีรายหนึ่งที่เพิ่งย้ายเข้ามาในเมืองและมีแต่ของหนักๆ เริ่มทำตั้งแต่เช้าเพิ่งจะเสร็จตอนเที่ยงนี่เองแล้วกลับมาที่โรงแรมก็บ่ายแล้ว ห้องที่อยู่นั้นก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมากมายตามราคา
“อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าถนนริมทางล่ะกัน” ฉันว่าตามความจริง
“ไม่เถียงแล้วก็ได้...ปวดหัว”
เอลด้าพูดอย่างหงุดหงิด
“ขอโทษขอโทษ...”
“เฮ้อ เจ้าทำตัวเด็กขึ้นเรื่อยๆ นะ” เอลด้าว่า
“ก็...แค่คิดว่าอยากทำตัวให้สมกับรูปร่างนี้มากขึ้น”
“ร่างนี้? จะเลียนแบบนิสัยอันนาหรือไง?.”
คำพูดของเอลด้าทำให้ฉันประหลาดใจ
“หือ? รู้เรื่องอันนาด้วย?”
“ไม่เชิง...” เอลด้าเดินมานั่งบนเตียงด้วยกัน “รู้จากพระเจ้าว่าเขาจับวิญญาณเจ้าใส่ร่างใหม่ที่เลียนแบบกับคนที่เธอ...เอ่อ...คนที่อะไรนะ...”
“คนที่...ฉันแคร์มากนะ”
ฉันบอกอย่างงั้นไป เอลด้านิ่งไปพักหนึ่งเหมือนอ่านใจฉันได้ถึงได้ถาม
“เกิดอะไรขึ้นกับ...เด็กคนนั้นหรือ?”
“อันนา เธอ...คือ มันค่อนข้างไม่ดีน่ะ ฉัน...ไม่สมควรเป็นคนพูดเรื่องนี้”
“ทำไมถึงพูดไม่ได้?”
“เพราะฉันทำให้อันนาต้อง—”
ก๊อกๆ
มีคนมาเคาะประตูขัดจังหวะพอดีเป็นป้าที่ดูแลโรงแรมแห่งนี้ เธอถือถาดที่มีผลไม้นานาชนิดเข้าห้องมา
“เอาของกินเล่นมาให้จ้า”
“โอ้ว ขอบคุณมากค่ะ” เอลด้ารีบเข้าไปรับอย่างไว้ “เอ่อ...อันนี้คิดเงินเพิ่มหรือเปล่า? นี่มันเวลาบ่ายแล้วไม่ใช่อาหารตอนเช้า?”
“ป้าอยากให้เอง” ป้ายืนยัน “นานๆ ทีจะมีคู่สาวล้วนมาพักหลายวัน ช่วยลดเสียงรบกวนตอนดึกได้บ้าง”
“อ๋อ ฮ่าๆ”
“ฮ่าๆ”
ฉันกับเอลด้าขานรับอย่างเข้าใจดีเพราะสองคืนแล้วที่ได้ยินเสียงเพลงบรรเลงรักจากสองห้องข้างๆ และห้องฝั่งตรงข้ามเกือบทั้งคืน อันที่จริงโรมแรมแรกที่พักก็มีแบบนี้เหมือนกันถึงได้ย้ายแต่ก็ไม่พ้นอยู่ดีเลยตัดใจที่จะหาที่พักใหม่เพราะคงเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกับหมดตามโรงแรมราคาถูกๆ นี่
เคยถามเรื่องพวกนี้กับคนที่โรงแรมแรกก็บอกว่า เพราะเหตุการณฟอร์ดาวน์ทำให้มีคนแห่กันย้ายและผ่านเมืองนี้มากขึ้น พอมีคนมากขึ้น หลายๆ อย่างก็มากขึ้นเช่นกัน การขายบริการทางเพศแถวนี้เลยได้รับความนิยมสูงมากจากแขกที่ผ่านไปมา…
อยากจะไม่สนใจเรื่องนี้อยู่หรอกแต่มันรบกวนเวลานอนมาก
พอป้าออกไปสักพัก ก็มีเสียงเพลงบรรเลงรักจากห้องทางขวาดังขึ้น...
เฮ้ยๆ เล่นกันตั้งแต่บ่ายเลยหรอ?
“เฟลิกซ์...เราว่าไปที่ร้านเหล้าออริน่ากันเลยไหม” เอลด้าชวน
“หือ? ไปทำไม?”
“อ้าว...ที่นั่นเป็นเควสที่สองของวันนี้ไง?” เธอมองหน้าเหมือนฉันจำไม่ได้
“แต่เวลาที่ให้ทำมันตอนกลางคืนนิ?”
“ไม่อยากจะอยู่ฟังเจ้าพวกบ้ากามหรอก”
เอลด้าพูดแล้วชักสีหน้าแต่ก็มีอาการที่หันไปมองข้างห้องตามทิศทางเสียงที่ได้ยินบ้าง ฉันเกิดตรัสรู้บางอย่าง
“อ๋อ...หือ? หรือว่า...หึๆ”
“ขำอะไรของเจ้า?” เธอมองค้อน
“เปล่าๆ”
“ต้องมีอะไรแน่ๆ”
“เปล่าจริงๆ นะ ฮ่าๆ”
“บอกมาเดี๋ยวนี้”
“จะออกไปรอหน้าโรงแรม”
ฉันรีบเผ่นออกจากห้องไปทันทีและไม่ลืมที่จะหยิบผ้าคลุมไปด้วย
◊ ◊ ◊
“ไม่คิดว่าทางกิลด์จะส่งผู้หญิงน่ารักน่ายิกกับ...”
บาร์เทนเดอร์ประจำร้านออริน่าในชุดเมดที่เหมือนกับพนักงานโรงแรมเมอรี่อินที่เมืองบาลาสกล่าวพร้อมมองหน้าฉันแล้วก็มองเอลด้าและจู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ
“ไม่ออกความเห็นดีกว่า”
“งืม...”
เอลด้าพยักหน้า...ซึ่งฉันดูออกว่าเธอพยายามอดทนอยู่ บาร์เทนเดอร์เมดเตรียมของที่บาร์ข้องเธอแล้วพูดต่อ
“แต่มาไวดีนะคะ อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด”
“มีเรื่องนิดหน่อยเลยมาก่อนเวลา” เอลด้าพูดหน้าตายด้าน
“ก็ดีค่ะ มาก่อนจะได้พูดรายละเอียดเพิ่มเติมเตรียมพร้อมสำหรับงานหนักคืนนี้”
“ที่ว่าให้คุ้มกันทรัพย์สินที่นี่?” ฉันว่าตามเควสที่ได้มา
“ใช่ค่ะ จากแขกทั้งสองคนที่จะมีเรื่องกันคืนนี้” บาร์เทนเดอร์เมดว่า
“แล้วรู้ล่วงหน้าได้ยังไง?” เอลด้าถาม
“นิสัยกับชีวิตประจำวันของคุณลูกค้าที่เข้ามาในร้านนี้ยอมรู้ค่ะ”
“แล้ว...พวกเขามีหน้าตายังไง ในเควสไม่ได้ระบุมา?”
“พอถึงเวลาจะชี้ตัวเองค่ะ...และพวกคุณก็มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินร้านค้าเสียหาย”
พอบาร์เทนเดอร์เมดพูดแบบนั้น...เราทั้งคู่ต่างเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ฉันจะเข้าใจสิ่งที่สื่อเพราะมีประสบการณ์ Badass ในร้านเหล้าบ่อยๆ ที่โลกเก่า
“ต่อให้พวกนั้นฆ่ากันตายก็ทำเฉยใช่ไหม”
“ถูกต้องค่ะ”
“ทำไมไม่บอกตรงๆ?”
เหมือนว่าเอลด้าจะไม่ชอบใจกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือเควส
“ขืนระบุเควสไปแบบนั้นก็ไม่ผ่านอนุมัติสิค่ะ”
“สองคนนั้นคงทำร้านเสียหายหลายครั้งแล้วใช่ไหมเอ่ย?”
ฉันถามอย่างผ่อนคลายไป บาร์เทนเดอร์เมดทำหน้าพึงพอใจกับท่าทางนั้น
“ถูกต้องอีกละคะ...ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว กรุณาช่วยบังคับทั้งสองคนนั่นซัดกันให้ตายกันไปข้างหนึ่งไวๆ”
“มันมากเกินไปแล้ว”
เอลด้าที่ไม่ชอบใจพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ฉันเห็นท่าไม่ดีเลยกระซิบ
“เดี๋ยวๆ เรื่องแค่นี้ไม่น่าเป็นไรน่า”
“แต่เราไม่อยากให้มีปัญหาทำนองนี้ ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาคนที่ซวยคือเราสองคน”
“เถอะน่า...ถึงเวลานั้นก็รีบทำให้มันจบๆ ไปสิ” ฉันพยายามไม่ทำเรื่องให้ยุ่งยากแต่มันทำให้เพิ่งนึกอะไรได้เลยหันไปถามคุณเมด “นี่ๆ แล้วสองคนนั้นมีพลังเวทย์คัมภีร์หรือทักษะอะไรไหม?”
“คัมภีร์เวทย์ไม่แน่ใจแต่ทั้งคู่เป็นอัศวินค่ะ”
“นั่นไง ปัญหาแรกมาล่ะ”
เอลด้าเอ่ยขึ้นทันทีแล้วคุณบาร์เทนเดอร์เมดเรียกร้องบางอย่าง
“จริงสิ ฉันต้องขอดูตรากิลด์ทั้งคู่หน่อยค่ะ อยากรู้ว่าพอจะต่อกรพวกเขาได้ทั้งถ้ามันเริ่มเกินการควบคุม”
ฉันหันไปมองหน้าขอความเห็นเอลด้าทันทีเพราะรู้ดีว่าป้ายกิลด์ของฉันมันมีปัญหาบางอย่าง แต่เธอพยักหน้าบอกให้ส่งไปเลย
“งืม...คุณเอลด้าสินะคะ พอใช้ได้...อีกคุณเฟลิกซ์ก็...”
และแล้วคุณเมดก็ช็อกค้างไปเลย
ว่าแล้ว...
“ทะทะทะทำไมมันถึง—”
“ความผิดพลาดบางอย่างของกิลด์” ฉันว่า “แล้วยังแก้อะไรไม่ได้เลยเป็นอย่างที่เห็นค่ะ”
“อ่า...ถ้าเป็นแบบนั้น ความสามารถจริงๆ ของคุณอยู่ในระดับไหน”
“ก็มีแขนซ้ายไซบอร์กทรงพลังนี่กับ...” และฉันก็แก้เชือกเปิดกลางอกให้ดู “คริสเมนค่ะ”
“ดูคุณ...หลากหลายดีนะคะ”
คุณเมดพูดหน้าเหวอๆ ไปซึ่งเอลด้าชอบใจอย่างมากที่ได้เห็นหน้าเมดแบบนั้น และแล้วก็มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเข้ามาน่าจะเป็นลูกค้าประจำเพราะคุณเมดหันไปเห็นแล้วยิ้มให้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณบาร์เบส คุณรอน คุณคิรินซัง คุณลีนี่”
“จัดของลองท้องเบาๆ ก่อนนะคะ”
“ขอเบียร์ก่อนหนึ่งที่”
เสียงผู้หญิงกับผู้ชายในกลุ่มสี่คนนั้นทำฉันและเอลด้าเสียวสันหลังวาป
ใช่สองคนนั้นที่จับฉันหลายวันก่อนที่ขบวนนั่นหรือเปล่า?
ตอนนี้ทั้งคู่ไม่กล้าหันไปมองก้มหน้าที่เคาน์เตอร์อย่างเดียว และดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดจะเดินไปนั่งที่โต๊ะมุมร้านข้างหลังขวามือฉัน
ดีนะที่เราสองคนใส่ผ้าคลุมหัวมาด้วย
ที่คิดแบบนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เพราะย่านที่โรงแรมอาศัยอยู่เต็มไปด้วยการค้าบริการทางเพศจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เจอเรื่องยุ่งยากเวลาออกไปข้างนอกจะสวมผ้าคลุมเกือบทั้งตัวเปิดให้เห็นแค่หน้า
“เอลด้า...ที่จริงเราไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ใช่ไหม?”
“แบบนี้ดีแล้ว ไม่อยากมีเรื่องยุ่งยากเพิ่ม”
ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจแล้วคิดพลางถึงพวกเขา
หวังว่าคงอยู่กันไม่นานนะ
◊ ◊ ◊
อยู่ยาวกันไปแล้วนะเฮ้ย!
พวกนั้นยังไม่ออกจากร้านอีก…
ใจฉันร้อนลุ่มไม่ใช่เพราะเบียร์แต่เป็นเพราะกลุ่มคนโต๊ะหนึ่งที่มีสองคนที่ฉันกับเอลด้าไม่อยากจะเจอด้วยยังไม่ออกจากร้าน จนตกดึกใกล้เวลาตามที่เควสระบุแล้ว บาร์เทนเดอร์เมดคนที่เป็นเจ้าของเควสก็บอกกรายๆ ว่าทั้งสองคนนั้นใกล้จะมาแล้ว
ให้ตายสิ หรือว่าเควสนี่จะล้มเหลว?
ไม่นะ ถ้าล้มเหลวก็โดนตัดแต้มอ่ะดิ
“เอลด้า ฉันจำไม่ได้ว่าถ้าทำเควสพลาดจะโดนตัด—”
“ขออีกแก้วข๊า แหะๆๆๆ อึ่ก!”
และแล้วที่พึ่งสุดท้ายก็หายไป เอลด้าอยู่ในสภาพไม่พร้อมทำงาน
ตั้งแต่เมื่อไร!! นางฟ้าเมาเหล้าเนี่ยนะ!
หือ? คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินตำนานทั้งสวรรค์เมาน้ำ—
เหอะๆ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรแล้ว...ฉันคนเดียวจะไหวไหมเนี่ย
คิดแบบนั้นแล้วมองแขนซ้ายตัวเอง
น่าจะไหวอยู่...แต่คงไม่ถึงกับพังร้านมั้ง
และแล้วเวลานั้นก็น่าจะมาถึงแล้ว เพราะท่าทางเมดเคร่งเครียดขึ้นมามองไปยังประตูหน้าร้านซึ่งฉันเลือกที่จะไม่มองตรงๆ เพราะไม่อยากสร้างจุดสนใจแก่เป้าหมาย พอประตูร้านเปิดคิ้วของเมดยิ่งขมวดแล้วเธอเดินไปยิงริมสุดของเคาน์เตอร์ด้านในที่ใกล้ประตู
“ทำไมมาคนเดียว? แล้วสองคนนั้นล่ะ?”
“เจ้าสองตัวนั้นซัดกันก่อนที่จะมาถึงนี่แล้วล่ะ ฮ่าๆ น่าเสียดายที่เธอไม่เห็นด้วยตาตัวเอง”
ตาฉันเปิดกว้างขึ้นหลังจากได้เสียงอีกคนที่เป็นผู้หญิงแหลมๆ
เสียงนี่มัน...
“ถึงตายไหม? เรย์ลี่”
“จะโดนยามแถวนั้นซัดน่วมใกล้ตายสิไม่ว่า ฮ่าๆๆๆ”
พอได้ยินชื่อนั้นร่างกายส่วนหัวมันหันไปหาเอง เจอกับคนที่คุ้นเคยกันที่สุดในโลกนี้...
“ระ—”
ปากที่อยากจะสะกดชื่อเธอใจจะขาดแต่กลับชะงักลง
เธอ...จำเราไม่ได้แล้วนี่น่า
มือขวาที่กำลังจะยืดเอื้อมออกไปอ่อนแรงลงกลับที่เดิม ตาตกมองต่ำอย่างไร้จุดหมาย แต่บทสนทนาของทั้งคู่นั้นยังคงได้ยิน
“งั้นจะมีคราวหน้าอีกไหม?”
“ไม่แน่หรอก” เรย์ลี่ว่า
“แย่จัง...งานนี้เธอต้องเป็นคนจ่ายเงินทำเควสแทนฉันแล้ว”
“หา? เรย์ลี่จ่าย?”
“จะมาทำเป็นงงอะไร เธอเป็นคนทำพลาดเองก็ต้องรับผิดชอบสิ”
“อ๋อ...เรย์ลี่ไม่เบี้ยวอยู่แล้วน่า ไหนๆ คนที่สมาคมกิลด์ผจญภัยส่งมา ขอคุยลดค่าจ้างหน่อยสิ”
“ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ผู้หญิงสองคน”
จบประโยคนั้น ฉันที่คอตกอยู่เงยหน้าอัตโนมัติอย่างไร้อารมณ์ แน่นอนว่าไม่ได้หวังถึงปาฏิหาริย์อะไรแล้ว
แต่ว่า...
“เอ๋!? ท่านพี่?”
“หือ?”
“ท่านพี่!?”
เรย์ลี่กำลังพูดสรรพนามที่เรียกแทนฉันอย่างที่เคย ฉันพูดตะกุกตะกะกลับไป
“เธอ!?...จำฉัน...ได้!?”
“จะจำได้สิค่ะ! ท่านพี่ก็คือท่านพี่ของหนู! ท่านพี่!”
จู่ๆ เรย์ลี่กระโดดสวมกอด
เฮ...นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย...
คนที่ไม่คาดฝันว่าจะทำอะไรแบบนี้แล้วเจ้าตัวเริ่มพล่ามยาวด้วยน้ำตา
“ท่านพี่รู้ไหมมันเกิดบ้าอะไรขึ้น!? ท่านพี่หายไปเกือบเดืนแล้ว...ทุกๆ คนจำท่านพี่เฟลิกซ์ไม่ได้เลย! ไอ้ผู้ชายคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้มาแทนที่พี่ซะงั้น! พยายามบอกท่านสัสดีก็แล้ว คนอื่นในเรือบินก็แล้วหาว่าเรย์ลี่เล่นตลกทั้งนั้น! หื้ออื้อ...ท่านพี่หายไปไหนมากันแน่?า ใครบังอาจทำเรื่องแบบนี้! ใครใช้เวทมนต์เปลี่ยนแปลงความทรงจำทุกคน!”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรย์ลี่ว่ามาทำให้ในหัวฉันกลับตลาปัตรไปหมด
เรย์ลี่ไม่ควรจำเรื่องฉันได้...ทำไมถึง...
ฉันผละเรย์ลี่ออกเล็กน้อยแล้วมองหน้าเรย์ลี่เต็มและอดที่จะลูบหัวไม่ได้ ก่อนก็จะพูดในสิ่งที่อยากจะพูด
“นึกว่าเสียเธอไปซะแล้ว”
และแล้วฉันเลือกที่จะยังไม่ถามหาคำตอบทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทิ้งตัวโอบกอดเรย์ลี่แน่นๆ อีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน
◊ ◊ ◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.20 นะจ๊ะ
นับเป็นตอนที่สามติดต่อกันที่ดราม่ากันยาวๆ ฮ่าๆ
แต่ว่าช่วงหลังนี้เริ่มมีแสงสว่างมาแล้ว! (เรย์ลี่ถือคบเพลิงมา :P )
เฟลิกซ์กับเอลด้าที่กำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้นกลับได้พบกับเรย์ลี่ที่ยังจำพวกเขาได้!?
และเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป ทั้งสองคนจะอธิบายเรื่องพระเจ้าแก่เรย์ลี่หรือไม่?
แล้วชะตากรรมพวกเขาจะเป็นไปในทิศทางใด?
โปรดติดตามต่อตอนไปที่จะเกี่ยวข้องกับชื่อตอนหลักแล้วที่มีชื่อว่า
Ch.20 Fake/Brave III - Cherry/Tommy - [ผู้ร่วมชะตากรรม]
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ