Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
20) Fake/Brave II - Cherry/Tommy - [ลืมเลือน]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCrystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
Ch.19 Fake/Brave II
Cherry/Tommy - [ลืมเลือน]
◊◊◊
“แม่! แม่! แม่!”
เด็กสาวใครบางคนพยายามเขย่าตัวปลุกฉันอยู่ พอลืมตาขึ้นก็ถูกแสงส่องแสบตาแต่ถึงอย่างงั้นก็เห็นคนที่ปลุก เธอไว้ผมสีขาวที่แสนคุ้นเคยนัยน์ตาสีแดงที่น้ำตาคลอ—
อันนา...
“แค๊ก! แค่กๆๆ”
ฉันสะดุ้งตัวขึ้นมาสำลักน้ำออกมา อีกคนลูบหลังฉันให้ไล่น้ำออกให้หมดพอลืมตาดูอีกทีก็ไม่ใช่คนเดิมที่เห็นเมื่อครู่ มีแต่เอลด้าในร่างของนานามิที่ตัวเปียกทั้งตัวเช่นเดียวกันกับฉัน สภาพโดยรอบราวกับว่าถูกลอยน้ำมาจนถึงในเมือง
เมื่อกี้หลอนหรอ? แล้วทำไมมีน้ำออกจากปาก...ฉันจมน้ำ?
“เฮ้อ...ค่อยอย่างชั่ว เป็นอะไรมากไหม?” เอลด้าถาม
“คะ...คงงั้น แค่กๆ...ตะกี้เธอเรียกฉันว่าแม่หรือเปล่า?”
เธอตกใจเล็กน้อยกับคำถามนั้นก่อนที่จะส่ายหัว
นั่นสินะ...คงหลอนไปเองนั่นแหละ เพราะตอนนี้ตัวฉันก็เหมือนกับอันนาอยู่แล้ว คงเห็นภาพสะท้อนแถวๆ นี้ล่ะมั้ง
ฉันคิดสมมติฐานขึ้นมาก่อนที่จะหันมองทางซ้ายเจอกับแม่น้ำคริสตัลสายเล็กภายในเมือง ฉันเห็นอันนาหรือตัวเองในภาพสะท้อนนั้น
เลิกคิดถึงเด็กคนนั้นไม่ได้สักที
“ขอโทษ...”
คำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของเอลด้าทำให้ฉันต้องหันไปหา
“ขอโทษ?”
“สำหรับเรื่องนี้...”
“เอ่อ...ไม่หรอก เธอช่วยฉันไว้ตั้งหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่จำเป็นต้องพูดแบบนั้น...อีกอย่างฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ? เห็นว่าเธอกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาแล้ว”
“ไม่ๆๆ เราไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น...เรื่องต่อจากนี้ไปต่างหาก ถ้าเป็นไปตามที่ท่านพระเจ้าว่าล่ะก็—”
เอลด้าพูดให้ฉันย้อนคิดถึงสิ่งที่พระเจ้าพูดทิ้งท้ายไว้...
คริสตัลฟอร์จะล่มสลาย ทุกคนจะลืมเรื่องของฉัน...
ลืมงั้นหรอ...
“แล้วทำไมเธอถึงจำฉันได้ล่ะ?”
พอถามเอลด้าไปเธอก็ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่รู้...กรณีพิเศษมั้ง”
“แล้วไอ้หอคอยเหล็กกล้าที่เจ้านั่นพูดถึง?”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน...แต่ที่เรามั่นใจ โลกนี้จักรวาล...จะล่มสลายภายในยี่สิบนี้แน่”
“เฮ้อ...ช่างเถอะ” ฉันเกาหัว “แล้วเธอเอาฉันขึ้นบนฝั่งได้ไงเนี่ย”
“ก็ว่ายลากขึ้นมายังไงล่ะ...ทำไมร่างมนุษย์มันเหนื่อยขนาดนี้นะ” เอลด้าหมุนหัวไหล่ตัวเอง
“หึๆ เอาน่าสู้ๆ หน่อยคุณมนุษย์ฝึกหัด”
“อย่าแสร้งทำเป็นร่าเริงจะได้ไหม...เรารู้นะตอนนี้เธอกังวลเรื่องนั้นอยู่”
เอลด้าพูดในสิ่งที่ฉันพยายามกลบเกลื่อนอยู่
คงใช่อย่างที่เอลด้าบอก ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจฉันมักจะทำแบบนี้อยู่เรื่อยนั่นแหละ
เรย์ลี่และทุกๆ คนจะจำฉันได้ไหมนะ
“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!!”
เสียงผู้คนก้องลั่นกังวานต้อนรับบางอย่าง ทั้งคู่ต่างมองตามต้นเสียงแต่ก็ไม่เห็นเพราะอาคารบ้านเรือนบังอยู่
จริงสิ...ตอนนี้มันจะเป็นเวลาที่—
พอคิดได้รีบลุกขึ้นจะเดินเข้าซอกอาคารเพื่อตามเสียงนั้นได้แต่ถูกเอลด้ารั้งมือไว้
“มันจะทำให้เจ้าเจ็บปวดซะเปล่าๆ นะ อย่าไปหาเลย...เชื่อเราเหอะ”
คำเตือนของเธอนั้นเกิดสองจิตสองใจขึ้นมา มือขวาที่ถูกรั้งไว้อยู่สั่นกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ในที่สุดสะบัดทิ้งไป
“ก็ยังไม่แน่”
แล้วฉันก็ออกตัววิ่งไปถึงมีเสียงไล่หลังมาก็ไม่สน
“อย่าหลอกตัวเองโง่ๆ เลยดีกว่า!”
เอลด้ากัดฟันกับความงี่เง่าของเฟลิกซ์ที่หายลับตาไป เธอถอนหายใจแล้วบ่นถึงนิสัยของเฟลิกซ์อย่างกับคนที่รู้จักกันมานาน
“เฮ้อ...หัวรั้งไม่เคยเปลี่ยน”
◊◊◊
สถาบันนิวส์ไลฟ์
เป็นชื่อเรื่องใหม่ของอาณาจักรแห่งนี้เพราะถูกปกครองด้วยสภานักเรียนมิใช่กษัตริย์หรือขุนนาง ที่เป็นแบบนั้นเพราะพื้นที่สถาบันแห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางเท่ากับอาณาจักรเฟธหรือเอลฟ์ ส่วนผู้ที่อยู่ในสภานั้นเบื้องต้นจะต้องเป็นนักเรียนนักศึกษานักวิจัยเกินห้าปีเป็นต้นไปถึงจะพิจารณาคุณสมบัติอื่นๆ ถัดไป
ทำไมที่แห่งนี้ถึงมีการปกครองที่ไม่เหมือนใคร ต้องย้อนไปเมื่อสองร้อยปีก่อน ปาณิฐานของผู้กล้าที่เป็นผู้ก่อตั้งนิวส์ไลฟ์ที่กล่าวไว้ก็คือ “สรรค์สร้างสิ่งใหม่เพื่อชีวิตใหม่” สถานที่แห่งนี้เลยมีอะไรแปลกๆ ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นศูนย์รวมของนักปราชญ์ นักเวทย์ นักเล่นแปรธาตุ นักผจญภัยและอื่นๆ อีกมากมายโดยที่ไม่แบ่งเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ พื้นที่ของสถาบันก็เลยถูกแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ
ชั้นนอก: ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย ย่านการค้า ตลาด ไร่นาแปลงเล็กและอื่นๆ ที่สมควรจะมี
ชั้นใน: เป็นเขตการการศึกษาล้วนๆ หรือโรงเรียนนั่นเอง มีตึกอาคารที่ถูกออกแบบเพื่อสะดวกต่อการเรียนรู้มากมาย พื้นที่ทั้งหมดถูกคุ้มกันด้วยกำแพงวงเวทย์หกเหลี่ยมใสขนาดมหึมาคล้ายกะลาครอบพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งผู้ที่จะเข้าชั้นในได้นั้นต้องมีตราประทับจากสถาบันก่อน
แน่นอนว่าสถาบันแห่งนี้ไม่ได้อยู่ฝั่งไหนในสงครามระหว่างเฟธกับเอลฟ์ช่วงนี้เลย แต่ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งคั่นระหว่างอาณาจักรทั้งสองรวมทั้งดินแดนปีศาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกเข้ายึดครองได้ตลอดเวลา เหล่าพ่อค้ามักจะใช้เป็นเส้นทางสันจรผ่านมากกว่าตั้งปักหลักธุรกิจที่นี่ ทางสถาบันเลยแก้ปัญหาด้วยการให้นักเรียนสาขาธุรกิจและการค้าสร้างร้านและควบคุมเศรษฐกิจกันเองจนกลายเป็นเมืองที่มีการแลกเปลี่ยนที่ดีที่หนึ่ง
และอีกอย่างที่พูดถึงไม่ได้คือนโยบายหลักของสถาบันนิวส์ไลฟ์แห่งนี้คือช่วยเหลือ [เด็กใหม่] ที่หมายถึงผู้ที่ถูกเกทหรือประตูคริสตัลที่ตั้งอยู่ทั่วดินแดนคริสตัลฟอร์ให้กำเนิดขึ้นมา ดูแลและชี้นำเส้นทางที่ควรแก่พวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้กล้าที่ให้กำเนิดเมืองนี้ขึ้นมายึดถือมาตลอดโดยไม่สนเสียงขัดแย้งเรื่องเอกสิทธิการครอบครอง [เด็กใหม่] ตามพื้นที่อาณาจักรใดๆ ก็ตาม
แต่สำหรับวันนี้มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่ามาทั้งหมดนั้นหรอก…ตอนนี้มีแต่คนอยากเห็น [ผู้กล้า] ที่ถูกทางอาณาจักรทั้งสองล่าหัวกับกิลด์ไม่เป็นทางการที่ชื่อว่าซีราฟิน่าทั้งนั้น
ที่พวกเขาอยากเห็นเพราะว่าพวกเขาทำให้สงครามที่ดินแดนศักดิ์สิทธิสงบลงชั่วคราว...นับว่ามีส่วนนะ สาเหตุที่แท้จริงก็คือเมืองบาลาสเกิดร่วงหล่นสู่โลกมืดมิดข้างล่างหรือเรียกว่าฟอร์ดาวน์ด้วยฝีมือปีศาจตนหนึ่ง มีคนสูญหายและสูญเสียมากมาย
แต่ความเสียหายจะมากกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่า [ผู้กล้า] ที่ถูกหมายหัวพิชิตปราบปีศาจยักษ์ตนนั้นได้ มีพยานหลายคนในกิลด์ซีราฟิน่าแล้วรายงานต่อสมาคมกิลด์ผจญภัยจนตรวจสอบทุกอย่างแล้วว่าเกิดขึ้นจริงเลยมีชื่อเสียงดังกระฉ่อน
ทว่ายังมีผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นอยู่ มันทำให้ตามหัวเมืองต่างๆ ที่อาศัยอยู่ปลายน้ำที่ไหลผ่านเมืองบาลาสเดือดร้อนกันทั่วหน้า ขืนทำสงครามกันต่อไปจะมีแต่ข้อกังขาประกอบกับการที่กิลด์ซีราฟิน่าที่มีผู้กล้าออกตัวช่วยเหลือทำให้มีชื่อเสียงเป็นตัวอย่างที่ทุกๆ อาณาจักรควรกระทำเป็นอย่างมาก เลยมีสัญญาสงบศึกเพื่อไว้อาลัยและเร่งให้ความช่วยเหลือเป็นเวลาหนึ่งปี
ถึงอย่างงั้นก็เถอะ อาณาจักรเฟธไม่ได้จริงจังกับการช่วยเหลือมากนักต่างจากเอลฟ์ที่ช่วยพอประมาณเพราะไม่ใช่พื้นที่อาณาจักรของตัวเอง
เพราะเหตุนั้นกองกำลังซีราฟิน่าจึงถูกกล่าวขานเป็นอย่างมาก สร้างชื่อเสียงแก่สถาบันนิวส์ไลฟ์ ช่วยดึงดูดคนให้เข้ามาเป็นประชาชนที่นี่มากขึ้น
ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี...อย่างน้อยๆ ก็พวกรุ่นพี่ที่อาสาไปช่วยชาวบ้านจากภัยสงครามกำลังจะกลับมาถึงนี้แล้วอีกไม่กี่สัปดาห์
“รอนนนนนนนนนน!”
เสียงสาวเรียกที่ดึงสติเขาที่กำลังนั่งคิดเพลินๆ ซึ่งเสียงนั้นมาจากบนฟ้าเป็นเพื่อนในชั้นปีเดียวกัน ซึ่งเป็นเผ่ากึ่งสัตว์กึ่งมนุษย์ที่เป็นนกอินทรีย์แต่ส่วนหัวยังเป็นมนุษย์กระพือปีกบินลงมาหา ซึ่งมันเป็นผู้หญิงแต่ไม่ได้เจียมตัวหน้าอกที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กภายใต้ชุดเกราะเบามาเบียดแน่นเอียดเพราะกอดเขาอย่างคิดถึง ส่งนัยน์ตาสีม่วงที่แสนน่ารักใส่แต่รอนหาได้ใส่ใจไม่
“ลีนี่!? แรงเธอเยอะกว่าเดิมเปล่าวะ?”
“แหงสิ! เยอะกว่าเดิม! ยกอิฐปูนหินแทบทุกวันเลยนะ!”
“งั้น...ช่วยเลิก...กอดได้ไหม...เริ่มหายใจ...ไม่ออกแล้ว”
ในที่สุดรอนก็หายใจได้สะดวกตามเดิม การกอดเมื่อสักครู่มันทำให้เขาลำบากทั้งกายทั้งใจและหล่อนทำหน้าไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อย
ยัยบ๊องนี่มัน—
“แล้ว...มีงานอะไรกันหรอ?” ลีนี่ถาม
“เธอไม่รู้?”
“อือ”
ลีนี่ส่ายหัวทำตาบ๊องแบ๊ว รอนกำลังจะต่อว่าแต่ฉุกคิดขึ้นมาได้
เธอไปช่วยงานแถวพื้นที่สงครามนี่หว่า?
แล้วทำไมถึงอยู่นี่ได้? ไม่น่าจะกลับมาถึงไวขนาดนี้หรือกลับมาก่อน?
หลายคำถามที่รอนนึกได้แต่ไม่คิดถามเพราะไม่อยากเสียเวลา
“ก็แค่ชาวบ้านมามุงดูผู้กล้าผ่านมาเท่านั้นแหละ”
“ผู้กล้า!? กิลด์ซีราฟิน่าที่เขาว่ากันว่าจัดการปีศาจยักษ์กลายพันธุ์ใช่ไหม?”
“ก็ตามที่สมาคมว่ามางั้น”
“ว้าว!”
ลีนี่ทำตาโตแล้วรีบมองหาสิ่งที่สนใจ รอนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้เลยตบไหล่เธอ
“เดี๋ยวๆ เธออยู่ตรงนี้ไม่ได้ ไปอยู่บนหลังคานู้นไป!”
“โธ่ ไล่เราอีกล่ะ...แล้วอีกสองคนไปไหนล่ะ?”
“เจ้าบาร์เบสปั่นเอกสารเตรียมส่งสรุปคดีให้พวกรุ่นพี่ที่กำลังจะกลับมา...ส่วนเจ้าคิรินซังนั่นจับมัดอยู่กรม”
“โอ้ว! ใจร้ายจัง”
“ขืนให้มันมาแถวนี้ได้วุ่นวายกันพอดี เราถูกสั่งให้มาช่วยนอกเขตไม่อยากก่อเรื่อง”
“งืม...เข้าใจข๊ารอน เสร็จงานเมื่อไรเจอกันที่ร้านเดิมนะ! จะสั่งเบียร์เย็นๆ รอนะ! ขอบินไปดูข้างหน้าเลยดีกว่า”
“เออ…หือ!? เฮ้ย! สั่งไว้ก่อนก็—”
หายเย็นสิวะ...
คำพูดสุดท้ายไม่ได้เอ่ยออกไปเพราะคิดว่าลีนี่ที่บินขึ้นฟ้าคงไม่ได้ยินที่เขาพูดแล้ว รอนถอนหายใจแล้วกลับทำหน้าที่ตัวเองอีกครั้ง เขายืนอยู่กลางถนนที่มีชาวบ้านยืนเรียงรายอยู่ข้างทางเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย เขาถูกดึงตัวมาช่วยดูแลความเรียบร้อยที่ตะวันตกของเมืองนี้ ซึ่งปกติเขาประจำอยู่ทางตอนใต้ แน่นอนว่ารอนไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่ให้มาดูแลความเรียบร้อยให้พวกกิลด์ที่เขากล่าวขานนั่น
มันก็แค่เรื่องเล่าโม้ๆ
รอนคิดแบบนั้นแล้วเห็นผู้หญิงผมขาวสั้นคนหนึ่งที่ตัวเปียกชุ่มไปทั้งตัวกำลังเดินเลาะอยู่ข้างนอกสุด เธอมองหาอะไรบางอย่างอย่างร้อนรนก่อนที่จะเดินเรียบอาคารไปทางที่ขบวนกิลด์ผู้กล้าจะมา ที่แขนซ้ายของเธอเป็นจักรกลมันทำให้เขานึกถึงข่าวลือผู้กล้าหลายเดือนก่อนที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนี้
ผู้หญิง!? ไซบอร์ก!?
◊◊◊
“นั่นมันพวกเขา! กิลด์ซิราฟิน่า!”
“ไหนๆๆๆๆ ขอดูหน่อย!”
“แม่ฮ่ะ! อุ้มหนูสูงๆ กว่านี้เปล่า”
“นั่นเพื่อนข้า! นั่นเพื่อนข้าเอง! เห็นไหมบอกแล้วว่าเจ้านั่นอยู่กิลด์ด้วย!”
“กิลด์ผู้สยบสงคราม!”
“ท่านผู้กล้า!”
และอีกหลายๆ คำเรียกร้องจากชาวบ้านข้างหน้าที่ตะโกนลั่น แต่ฉันไม่สนใจเลือกที่จะหาทางแวกฝูงชนไปหาขบวนกิลด์นั่นให้ไวที่สุด
เรย์ลี่ อาเซีย สัสดี ช่างแจ๊ะ...พวกเขาไม่ลืมฉันแน่ๆ!
พวกเราอยู่ด้วยกันสามเดือนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเลยนะ!
ที่ฉันคิดด้านบวกแบบนั้นเพราะตลอดเวลาสามเดือนที่ช่วยเหลือคนที่ได้ผลกระทบจากฟอร์ดาวน์มันเกิดเรื่องหลายๆ อย่างมากมายจนสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นเฟ้นยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่สัสดีที่เคยเกลียดขี้หน้ามาก่อน ตอนนี้ไม่ได้มีอคติแบบนั้นแล้ว
พอวิ่งมาถึงตรงจุดที่หัวขบวนที่มีคนขี่ม้านำซึ่งจำได้ว่าเป็นลูกน้องของช่างแจ๊ะเลยมองยาวลึกลงไปก็เห็นอีกหลายคนที่คุ้นตามากมาย ฉันเดินเลยไปหน่อยจนเห็นอาเซียขี่ม้าคู่กับสัสดี
นั่น! พวกเขาอยู่นั่น!
แขนทั้งสองแหวกว่ายฝ่าฝูงชนเข้าหาคนที่รู้จัก
“สัสดี! อาเซีย!”
ทั้งคู่หยุดควบม้าหันมามองฉันด้วยสายตาที่งุนงง
“ไม่คิดจะตามหาตัวฉันบ้างหรือไง!? ฉันโดนซัดลงภูเขาไปนะ!”
“เธอ…พูดถึงเรื่องอะไร แล้วเป็นใครเนี่ย?”
ประโยคที่ไม่อยากจะได้ยินจากปากของอาเซีย มันทำให้หูอื้อไปหมด
บ้าน่า...ไม่จริง
“จะจำฉันไม่ได้หรอ? เฟลิกซ์ไง!?”
ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอจะร้องไห้ อาเซียหันไปถามสัสดี
“ท่านสัสดีรู้จักหรือเปล่าคะ?”
“ข้าไม่เคยเห็นไซบอร์กอย่างเจ้า”
คำตอบจากทั้งสองคนที่ย้ำในใจว่าสิ่งที่พระเจ้าพูดไว้เป็นจริง
ฉะฉันไม่ยอมรับมันหรอก!
“นึกดูดีๆ สิ! ขอร้องละ! เดือนก่อนยังถูกพวกเอลฟ์—อ๊าก!”
มีอะไรบางอย่างมาฉาบชนที่ตัวฉันจนล้มลงไป มันเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นครึ่งคนครึ่งนกตัวเป็นๆ เธอเป็นผู้หญิงที่มีแขนกับปีกแยกกัน ส่วนหัวยังคงเป็นมนุษย์แต่ส่วนเท้าที่ถีบฉันเมื่อครู่เป็นนกของจริง นัยน์ตาสีม่วงกับรอยยิ้มสบายๆ มันขัดกับกระทำโดยสิ้นเชิง ก่อนที่จะมีผู้ชายอีกคนเข้ามาเสริม
“ให้ตายสิ ลีนี่...ตัดหน้าอีกแล้ว”
“ฮ่าๆ รอนช้าเองช่วยไม่ได้ แอบเห็นตามผู้หญิงนี้มาตั้งนานล่ะ...ท่านทั้งสองเชิญเดินทางต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้เราสองคนจัดการเอง”
นกสาวที่ชื่อว่าลีนี่บอกให้อาเซียกับสัสดีเดินทางต่อไป มือขวาฉันยื่นสุดแรงหวังว่าจะคว้าไม่ให้ทั้งสองคนจากไปแต่ถูกง่ามเท้าของหล่อนล็อคไว้
“ไม่เอาไม่เอา อย่าทำตัวแบบนี้คุณแขนเหล็ก จะคลั่งไคล้ให้มีขอบเขตบ้าง”
“ลีนี่...ยกตัวเขาขึ้นมาไว้ริมทางก่อน มันขวางขบวน”
“ข๊า”
พวกเขาต่างพยุงตัวฉันขึ้นมา ซึ่งไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะมัวแต่ช็อกกับปฏิกิริยาของอาเซียและสัสดีอยู่ ก่อนที่จะถูกพาออกจากถนนนั้นมีเสียงชาวบ้านเรียกหาใครบางคนดังขึ้นพร้อมกัน
“ผู้กล้า!”
ทั้งสองคนที่จะลากฉันออกไปก็ชะงักมองดูตามเสียงเรียก
ผู้กล้า...พวกเขาไม่ได้เรียกฉันนิ?
แล้วเป็นใคร?
จิตใจที่สงสัยบังคับให้ใบหน้าเงยขึ้นมองไปยังใครบางคนที่กำลังชูหอกผู้กล้าที่เธอเคยใช้มันปราบกินซ่า มันทำให้โลกรอบตัวหยุดหมุน ภาพที่เห็นมีแต่ตัวฉันกับคนที่ถือหอกนั่น ใจเต้นรัวๆ เมื่อมองหน้าเขาชัดขึ้นเรื่อยๆ
เป็นไป...ไม่ได้...
ชายที่มีใบหน้าแลธรรมดาบ้านๆ ผมสั้นสีดำเช่นเดียวกับนัยน์ตา เขากำลังโบกไม้โบกมือแก่ทุกๆ คนที่กำลังชื่นชมตัวเขา ฉันไม่สนใจว่าชุดที่เขาใส่นั้นคืออะไรหรือคนคุ้มกันเขาที่เคยคุ้มกันฉันในฐานะผู้กล้าเพราะคนที่ทุกๆ คนเรียกว่า [ผู้กล้า] นั่นฉันรู้จักเขาในโลกก่อนเป็นอย่างดี เคยอยู่ด้วยกันร่วมทุกข์ร่วมสุข มีลูกด้วยกันและครั้งสุดท้ายที่ได้เจอก็คือหน้าหลุมศพที่มีชื่อของเขาอยู่
อากิตะ...
◊◊◊
[หลายนาทีผ่านมา]
“เท่ห์ดีเนอะ! ผู้กล้าน่ะ”
ลีนี่ออกอาการผ่านสายตาจนรอนรู้สึกไม่ชอบใจ
“เหอะ เป็นผู้กล้าแน่ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ เรื่องที่สมาคมกิลด์อาจจะไม่จริงก็ได้”
“ตาบอดหรือไงห๊ะ? เขาถือหอกของผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีก่อนได้เชียวเลยนะ”
“เรื่องของเธอเหอะ...แล้วจะทำยังไงกับผู้หญิงคนนี้ดี เป็นอะไรไม่รู้ตั้งแต่ตะกี้ล่ะ”
รอนหมายถึงผู้หญิงที่มีมือซ้ายเป็นจักรกลที่เขาและลีนี่ลากตัวออกมานอกถนน หล่อนนั่งเข่าอ่อนตาเหม่อลอยเหมือนไม่ได้สติ
“นั่นสิ...อาการแบบนี้โดนเวทมนต์เล่นงานหรือเปล่า?”
“ถ้าเป็นอย่างที่ว่าคงต้องให้นักเวทย์แถวนี้ช่วยดูอาการ”
“เฟลิกซ์!?”
จู่ๆ ก็มีสาวดูมีอายุหน่อยผมม่วงยาวที่ตัวเปียกชุ่มเหมือนกันกับคนที่เขาลากออกมาทักเรียก เธอเข้ามาเขย่าตัวคนที่ไม่ได้สติ
“เฟลิกซ์!? เธอเป็นอะไร? ตอบเราหน่อย” สาวผมม่วงตบหน้าเฟลิกซ์เบาๆ “เป็นอะไรไปเนี่ย”
“คุณรู้จักกับเธอ?” ลีนี่ถาม
“ใช่ค่ะ...เอ่อ...ถ้าเฟลิกซ์ไปก่อเรื่องอะไรต้องขออภัยด้วยจริงๆ นะคะ คือเธอสติไม่สมประกอบ”
“อ๋อ...อย่างงี้นี่เอง”
รอนเอ่ยแล้วพยักหน้าเข้าใจและคิดว่าดีแล้วที่ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นก่อนที่จะเตือน
“งั้นคุณช่วยดูแลให้มันดีๆ หน่อย ขืนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เราสองคนป่านนี้โดนจับไปไต่สวนแล้ว”
“ขออภัยจริงๆ ด้วยค่ะ จะไม่มีครั้งหน้าแล้ว!”
สาวผมม่วงก้มหัวขอโทษ รอนโบกมือไล่ให้ไปไกลๆ เมื่อสาวผมม่วงพาตัวสาวแขนกลหายไปซอกตึก ลีนี่เอามือมาชกที่ท้องเบาๆ
“ไล่แบบนั้นมันเสียมารยาทนะ”
“ดีกว่าไล่เตะก้น”
“โอ้ย ไม่สุภาพกับผู้หญิงบ้างซะเลย” ลีนี่แบมืออย่างช่วยไม่ได้
“เราจะสุภาพกับคนที่สมควรสุภาพเท่านั้น”
“เครๆ งั้นเราไปกินเหล้ากินเบียร์กันเถอะ!”
ลีนี่เอ่ยเสียงสูงแล้วคว้าคอจะพารอนเดินไปแต่เจ้าตัวรั้งไว้
“งานยังไม่เสร็จ”
“เสร็จแล้วสิ ขบวนเดินไปนู้นจนเข้าเขตการศึกษาแล้ว”
เมื่อได้ยินลีนี่พูดแบบนั้น รอนหันกลับไปมองที่ถนนพบว่าขบวนผู้กล้าไม่อยู่แล้วและชาวบ้านเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ มันถึงกับทำให้เขาหัวเสียมองซ้ายขวาหาใครบางคนที่เขาตั้งใจจะมองหาตั้งแต่แรก ลีนี่เห็นท่าทางแบบนั้นเลยถาม
“มองหาใครหรอ?”
“เอ่อ...เปล่า”
“งั้นไปร้านเดิมของพวกเราเลยดีกว่า! ฮ่าๆๆ”
ลีนี่ลากตัวรอนไปซึ่งเขาพยายามหันกลับไปมองท้ายขบวนที่ไม่รู้อยู่ตรงไหน
พลาดมองหารุ่นพี่เรย์ลี่ซะงั้น
◊◊◊
“เป็นไง...เจอกับตัวแล้วเป็นไง”
เอลด้าที่ลากตัวฉันกลับมาที่เดิมที่ฟื้นจากการจมน้ำขึ้นเสียงใส่ แต่ฉันนั่งกับพื้นก้มหน้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
อากิตะ...
“เฮ้อ...เรื่องนั้นเราจะไม่ถามล่ะ” เอลด้าเลิกสนใจเรื่องนั้น “แต่ถ้าเจ้าถูกคนพวกนั้นจับได้รู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้นมา ถึงมือแขนเหล็กมหัศจรรย์นี่ก็เอาไม่อยู่หรอก”
ทุกๆ คน...
“ให้ตายสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะอ่อนแอได้ขนาดนี้ เฟลิกซ์...หือ? ได้ฟังหรือเปล่าห๊ะ!?”
เอลด้าย่อตัวลงดูหน้าฉันใกล้ๆ เอามือดันแก้มซ้ายขวาฉันแล้วเหลือกตาขึ้นฟ้าอย่างไม่พอใจก่อนที่จะง้างมือขวาเตรียมตบหน้า ฉันไม่หลบไม่หลับตากลัวเจ็บแต่กลับมีน้ำตาซึมออกมาแทน
“เฟลิกซ์...ไปเจออะไรมา”
เอลด้าที่ตบไม่ลงถามเสียงแผ่ว ฉันเงยหน้ามองเธออ้อนวอนอยากให้ช่วยปลอบ
“อากิตะ...ฉันเห็นอากิตะ...เขาถือหอกผู้กล้านั่น มันเปล่งแสงยอมรับเขาเป็นผู้กล้า...ใครๆ ก็เรียกเขาเป็นผู้กล้า...ฉะฉันไม่รู้ทำไม...เขาถึง...”
“อากิตะ...” เอลด้าหรี่ตานึกคิด “อ๋อ เข้าใจล่ะ พระเจ้าคงหาคนมาแทนที่ผู้กล้าอย่างเจ้า แต่...ไม่คิดเลยว่าจะเอาคนรักของเธอมาทำแบบนี้ ใจร้ายซะจริง”
“ขะเขา...มองฉันอย่างกับ...เป็น...อุ๊บ!”
และฉันก็กลั้นมันไม่อยู่ ความเครียดทั้งหมดถูกระบายออกมาในรูปแบบอ๊วก เอลด้าลูบหลังฉันอย่างเห็นใจ ฉันเองก็เอามือขวาลูบด้านหน้า...
หือ!?
“ใจสู้หน่อยเถอะเฟลิกซ์...ใช้ชีวิตต่อเท่าที่จะ—”
เอลด้าชะงักลงเพราะเห็นหน้าฉันที่แย่กว่าเดิมเอามากๆ มือขวากุมกลางอกไว้อยู่
“เฟลิกซ์!? เธอดูแย่...เอามากๆ”
“มะมาเรีย...”
ชื่อที่ฉันเอ่ยขึ้นทำให้เอลด้าขมวดคิ้ว มือขวาฉันกุมเจ้าคริสตัลของมาเรียที่ฝังกลางอกแน่นขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มระบายความรู้สึกบางอย่างที่เพิ่งจะคิดได้
“ทุกอย่าง...กลายเป็นแบบนี้...งั้นมาเรียก็...ตายเปล่า...”
น้ำตาที่สุดกลั้นฝืนทนไหลพรากออกมามากมาย อารมณ์ที่สะเทือนใจกับความรู้สึกผิดยิ่งทำให้มือขวากุมแน่นมากอย่างที่ไม่เคยเป็นก่อนที่จะระเบิดหัวเราะสมเพศชีวิตตัวเอง
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!! ตายเปล่า...ตายเปล่า...มาเรีย...ฉะฉัน ขะ—”
และแล้วอ้อมกอดของเอลด้าทำให้ความอดกลั้นต่อทุกสิ่งพังทลายลง ความรู้สึกผิดที่เคยลืมเลือนตามกาลเวลาย้อนกลับเข้ามาหาอีกครั้ง
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.19
ช่วงตอนหลังๆ นี้ไรท์เตอร์พยายามเขียนให้กระชับขึ้นไม่ต้องแปลกใจว่ามันสั้นๆ นะจ๊ะ ฮ่าๆ
สำหรับตอนนี้นั้นมีแต่ดราม่าแฮะ
เฟลิกซ์ที่ยังไม่เชื่อเรื่องที่พระเจ้าสาปแช่งไว้เลือกที่จะพิสูจน์ด้วยตัวเอง
สุดท้ายแล้วเจอเรื่องที่ไม่คาดฝัน คนที่มาแทนที่เธอก็คือ อากิตะ สามีของเธอในชาติที่แล้วที่เสียชีวิตไปแล้ว
ทำไมเขาถึงอยู่นี่ล่ะ?
พระเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?
ทำไมต้องให้เฟลิกซ์เจ็บปวดมากขนาดนี้?
โปรดติดตามต่อตอนไปที่มีชื่อว่า
- Ch.20 Fake/Brave III - Cherry/Tommy - [ท่านพี่]
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ