Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  24.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) Fake/Brave IV - Cherry/Tommy - [ผู้ร่วมชะตากรรม]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปล. แนะนำควรอ่าน Ch.17 Side Story – [จอมมารที่เปลี่ยนไป] มาก่อน

◊◊◊

“พระเจ้า!?”

เรย์ลี่อ้าปากค้างกับคำตอบที่ใช้ได้ทุกอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก่อนที่จะเพิ่งนึกอะไรออกแล้วใจหายวาบ

เวรล่ะ เรื่องนี้มันพูดกับคนอื่นได้ไหมเนี่ย!?

ตามพล็อตหนังการ์ตูนมันจะพูดกับคนอื่นไม่ได้เลยนี่หว่า ถ้าพูดแล้วมันจะ...

และฉันก็เงียบเกือบๆ สิบวินาทีก็โล่งใจที่ไม่เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เราออกมาจากร้านออริน่าเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงแล้วเพราะเรย์ลี่ขอร้องให้ตามเธอไปพบกับคนที่ช่วยเหลือเรื่องที่พักได้และเธอก็พามายังทางลับที่เข้าผ่านท่อน้ำที่มียามเฝ้าปากทาง พอเข้ามาแล้วเป็นท่อน้ำระบายขนาดใหญ่ที่มีที่แคบๆ ให้เดินเรียบทางระบายน้ำ เทียนไขที่จุดด้วยไฟเวทมนต์ให้ความสว่างไม่มากนักติดอยู่ริมผนังอิฐตลอดทาง

เรย์ลี่ที่ยังไม่หายอึ้งกับสิ่งที่ฉันพูดไปถามอีกครั้ง

“ท่านพี่แน่ใจนะ?”

“ได้พูดได้คุยกันก่อนมาโลกนี้กับก่อนที่จะเกิดเรื่องบ้าๆ นี้แหละ”

“งั้นท่านพี่จะบอกว่าพระเจ้าเป็นคนลบความจำเกือบทุกๆ คน?”

“ใช่...” ฉันว่างั้น “หือ? เกือบทุกคน?”

“ยังมีอีกคน...ยูกะ แฟนสัสดีนั่นแหละที่ยังไม่ลืม”

“เอ๋!?”

ฉันร้องเหวอหนักมากจนก้องไปทั่วอุโมงค์น้ำทิ้ง

ยูกะก็ด้วย!?

“ตอนนี้เจ้าตัวกำลังเดินทางกลับอาณาจักรตัวเองเพื่อไปค้นหาต้นตอเรื่องนี้ที่หอศักดิ์สิทธิทางนั้นล่ะค่ะ แต่คงคว้าน้ำเหลวแล้วล่ะมั้งเมื่อท่านพี่บอกแบบนั้น”

“งั้นหรอ...”

ไหงถึงมีคนจำได้ขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย พระเจ้าสะเพร่า?

คนที่จะพอรู้เรื่องนี้ก็...

ฉันหรี่ตาดูเอลด้าที่เมาจนหลับที่ประคองตัวมาด้วย ตอนแรกฉันที่ลืมเธอลุกจะออกไปพร้อมกับเรย์ลี่แล้วแต่เอลด้าคว้าเอวฉันไว้แล้วพูดว่า “จะทำกันได้หรือยัง” แน่นอนว่าเธอหมายถึงเควสแต่เรย์ลี่กลับจ้องส่งสายตาพิฆาตใส่เอลด้าซึ่งฉันไม่รู้ว่าทำไมเรย์ลี่ถึงเป็นแบบนั้น พอถูกถามเลยบอกว่าเธอเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้ด้วย ระหว่างทางที่มาก็จ้องเอลด้าไม่เลิกละจนถึงจุดหนึ่งที่คนเมาไม่ได้สติแล้วเลยเลิกระแวงแต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าเรย์ลี่ระแวงเรื่องอะไรหว่า?

แต่ก็ช่างมันเถอะ...

“ท่านพี่...เดี๋ยวคนที่จะไปพบเป็น ผอ. ของสถาบันนิวส์ไลฟ์...ระวังตัวไว้หน่อยนะคะ”

“อ่าอืม”

ฉันพยักหน้าทำเป็นเข้าใจไว้ก่อน ที่จริงไม่เข้าใจเลยสักนิดแต่เห็นสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อยของเรย์ลี่เลยคิดว่าคงไม่น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร เดินตามเรย์ลี่ไปเรื่อยๆ จนถึงประตูไม้ข้างทางที่หนึ่งเธอหยิบคทาไม้อันเล็กที่ยาวพอๆ กับตะเกียบที่ปลายมีคริสตัลขนาดเล็กติดอยู่เอามาแตะที่ประตูนั้นแล้วพึมพำบางอย่างที่ฉันไม่ได้ยิน ออร่าสีฟ้าที่ซ่อนอยู่ตรงประตูปรากฏออกมาแล้วสลายหายไป เธอเปิดประตูและให้ฉันพาเอลด้าเข้าไปก่อนแล้วปิดประตูใช้คทาทำแบบเดิมอีกครั้ง

ล็อคประตูด้วยเวทมนต์? คล้ายๆ ห้องลับที่บ้านมาเรียเลย

“เดี๋ยวเดินขึ้นบันไดวนอีกสามชั้นก็จะถึงลิฟต์แล้วค่ะท่านพี่”

ลิฟต์?

ได้ยินสิ่งที่ไม่น่าจะมีในโลกนี้เข้าให้แต่คิดเลยดูให้เห็นกับตาเองดีกว่าเลยไม่ได้ถามอะไร พอแบกตัวเอลด้าเดินขึ้นบันไดวนจนสุดทาง เรย์ลี่เปิดประตูออกไปแล้วเดินนำ พอฉันเดินตามก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น รอบตัวมีแต่ชั้นหนังสือและที่ให้นั่งอ่านเต็มไปหมด มองไกลออกไปเห็นชั้นหนังสือสูงๆ เรียงกันจำนวนมากภายใต้อาคารทรงหอคอยที่น่าจะกว้างเกือบๆ ห้าสิบเมตรที่ตรงกลางเป็นโถงโล่งจนเห็นหลังคาที่สูงกว่าห้าสิบชั้น กระจกแก้วสีบานใหญ่มีประดับให้เห็นมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปผู้หญิงมีปีกคล้ายนางฟ้า

ที่นี่คงจะเป็นหอสมุดแน่ๆ

“ท่านพี่คะ! ทางนี้ค่ะ”

เรย์ลี่ตะโกนเรียกฉันที่อึ้งกับสถานที่นี่อยู่ ไม่ใช่ว่ามันแปลกใหม่แต่ไม่คิดว่าจะมาสถาปัตยกรรมในโลกแบบนี้ต่างหาก เดินตามทางพรมแดงทอดยาวไปยังประตูเหล็กที่เพิ่งเปิดออกพอดีให้เห็นลิฟต์แก้ว เมื่อเดินเข้าไปมันมีแป้นเลขทุกชั้นให้กดเหมือนกับโลกที่แล้วและมันโชว์อยู่ว่าตอนนี้อยู่ชั้นสาม เรย์ลี่กดชั้นที่ห้าสิบหรือชั้นสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ ลิฟต์เริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ อย่างนิ่มนวลก่อนที่จะเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ที่นี่ทำเอาภาพพจน์โลกแฟนตาซีแตกพังหมดเลยแฮะ

แต่เดี๋ยวสิ...มันก็มีออกจะบ่อยที่ว่าโลกแฟนตาซีมีทุกอย่างคล้ายโลกที่เราอยู่เพียงแต่ใช้เวทมนต์เท่านั้น

“เรย์ลี่...ลิฟต์นี้ใช้เวทมนต์งั้นหรอ?”

“ก็ไม่เชิง...ถึงจะใช้คริสตัลเป็นแหล่งมานาแต่กลไกต่างๆ ได้ชมรมจักรกลไซบอร์กทำขึ้นมาให้ทั้งหมด...ชมรมที่ช่างแจ๊ะเคยอยู่ไงละ”

“หือ!?”

เรื่องที่คาดไว้พังอีกรอบ

งั้นมันก็...เหมือนกับโลกเก่าเลยดิ? จะว่าไปเรือบินนั่นเห็นว่ามีกลไกที่เป็นเหล็กเหมือนกันไม่คิดว่ามันจะเป็น—

“ท่านพี่ค่ะ...ถ้าผอ. ถามอะไรไปขอให้พูดความจริงนะคะ เขาเป็นคนเดียวที่เรย์ลี่คิดว่าน่าจะช่วยเรื่องนี้ได้”

“ไว้ใจเขาได้?”

“ไม่มีเขาก็ไม่มีเรย์ลี่ค่ะ”

“ก็ได้...” ฉันรับปาก “แล้วเรื่องที่จำโลกเก่าได้ที่เธอเคยบอกว่าห้ามบอกใคร—”

“เรื่องนั้นบอกผอ. ไปแล้วค่ะและเขาจะเป็นอีกคนที่ยังจำเรื่องได้ว่าผู้กล้าตามคำทำนายเป็นผู้หญิงอีกด้วย”

ยังจะมีอีกคน!?

พอคิดแบบนั้นลิฟต์มาถึงชั้นบนสุดพอดี ประตูเหล็กเปิดออกให้เห็นประตูไม้บานคู่แกะสลักลายหกเหลี่ยมอันเล็กเรียงกันที่อยู่ข้างหน้าห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าวและมีผู้หญิงในชุดเมดคนหนึ่งที่มีหูแมวกระดิกอยู่ นัยน์ตาสีม่วงผมยาวปิดตาข้างขวาก้มหัวทำความเคารพ

“ช่างเป็นการนัดพบกะทันหันเสียจริงนะคะ ท่านเรย์ลี่”

“ก็เรื่องด่วนน่ะ...เรย์ลี่พาแขกมาล่ะ” เรย์ลี่พูดคุยเป็นกันเอง “แล้ว...คนตัวเล็กๆ นั่นล่ะ?”

“ท่านเลขามาเวลเลิกงานตั้งแต่ช่วงค่ำแล้วค่ะ” เมดหูแมวว่าแล้วก้มหัวเล็กน้อยมาทางฉัน “ยินดีต้อนรับค่ะ ว่าที่ภรรยา—”

“เดี๋ยวๆๆๆๆๆ” เรย์ลี่ขัดขึ้นมาทันที “นี่มันเรื่องความลับราชการ...ไม่ใช่เรื่องนั่นสักหน่อย”

“เอ๊ะ!?” เมดหูแมวเอามือขวาปิดปาก “ต้องขออภัยด้วยค่ะ ถ้างั้นรอสักพักนะคะ”

ได้กลิ่นไม่ค่อยดี

เพราะเรื่องที่คุณเมดหูแมวหลุดปากออกมาเลยคิดแบบนั้น หล่อนเคาะประตูสองครั้งแล้วเปิดประตูแง๊บเข้าไป

“นายท่านเจ้าค่ะ ท่านเรย์ลี่กับแขกมาแล้วค่ะ”

“เข้ามาได้”

เสียงผู้ชายที่เกือบจะหล่อดังออกมา เมดหูแมวเปิดประตูบานฝั่งซ้ายมือกว้างให้เห็นภายในห้องที่ทั้งพื้นผนังกับเพดานเป็นหินอ่อนมันวาว ทางซ้ายมีประตูอีกบานหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไรและข้างหน้ามีโต๊ะทำงานนั่นมีผู้ชายสูงกว่าฉันนั่งอยู่ริมขอบโต๊ะ เขาน่าจะเป็นดาร์คเอลฟ์เพราะสีผิวคล้ำและมีหูหางยาวออกมา ผมประบ่าสีเงินเข้มนัยน์ตาเล็กสีส้มที่เหมือนกับคนที่มีความฉลาดในตัวสูง ใส่เสื้อคอวีสีดำกางเกงยาวและสวมเสื้อคลุมสีส้มแถบขาว

“ได้พบกันสักที ท่านผู้กล้า”

“อ่า...ค่ะ”

“เมริซ่า ยืนรออะไรอยู่ รีบช่วยแขกประคองตัวผมม่วงนั่นสิ”

“ได้ค่ะนายท่าน”

คุณเมดหูแมวเข้ามาช่วงพยุงเอลด้าที่ยังไม่ได้สตินั่งลงบนเก้าอี้โซฟาข้างหน้าตัวขวา คนที่ชื่อว่าเป็น ผอ. แบมือชี้เก้าอี้โซฟาอีกตัวตรงหน้าเขา

“เชิญนั่ง”

ฉันก็ทำตามที่เขาบอก...

ดูอึมครึมสมกับเป็นผอ. อยู่แฮะ…เก้าอี้นี้นุ่มดีจริงๆ

“ท่านผอ. ต้องขออภัยด้วยที่รบกวนตอนดึก”

เรย์ลี่เดินไปยืนอยู่ข้างๆ ผอ. แล้วทำตัวสุภาพขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่ว่าหรอก...เพิ่งจะกลับมาถึงห้องด้วยว”

“ไปไหนมาหรอท่าน?”

“ไม่ใช่เวลาถาม”

“ฮ่าๆๆ โทษที”

เรย์ลี่ที่กำลังมีภาพลักษณ์ที่ดีก่อนหน้านี้ได้ไม่ถึงห้าวินาทีก็พังลง

แล้วไอ้ท่าทีตะกี้มันอะไร?

ผอ. เดินกลับไปยังที่นั่งประจำตำแหน่งแล้วเอาศอกยันโต๊ะกุมมือมองฉันด้วยความสนใจ

“ชื่อของเราคือ อาเธอร์ เทย์เลอร์ ผอ. คนปัจจุบันของสถาบันนิวส์ไลฟ์...ต้องขออภัยทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้น ณ ที่นี่ด้วย”

“เอ่อ...มันไม่ใช่ความผิดคุณนิ?” ฉันคิดอย่างงั้น

“แต่การปล่อยให้เกิดปรากฏการณ์ [ความทรงจำถูกดัดแปลง] ภายใต้การดูแลของเราถือว่าเป็นการละเลยต่อความปลอดภัยทุกคนอย่างยิ่ง”

“อืม...ค่ะ”

ทางการจังแฮะ คนๆ นี้ แต่ว่า...

“แล้วคุณผอ. ทำไมถึงยังจำฉันได้?”

คำถามนั้นผอ. ทำหน้าเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“ไม่ใช่ว่าจำได้ แต่ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนักและไม่เคยเจอหน้าท่านผู้กล้าด้วย ตลอดเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์นี้ ทั้งสองคนลงมือสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พบว่าถ้าเคยคนเห็นท่านหรือเคยเห็นใบประกาศ...ความทรงจำพวกเขาจะถูกเปลี่ยนว่าผู้กล้าเป็นผู้ชาย ทั้งๆ ที่รูปนั่นเป็นผู้หญิง”

สืบกันขนาดนี้เชียวเลยหรอเนี่ย!?

เราอึ้งนิดหน่อยกับความพยายามของเขาและฉันก็ถามต่อ

“แล้ว...คนที่นอกเหนือจากนั่น?”

“ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างใด สิ่งที่เขาจำได้ตั้งแต่แรกก็เหมือนเดิม ยกเว้น...เรย์ลี่กับยูกะ”

“เออนั่นสิ ถ้างั้นทำไม—”

“เท่าที่ตั้งข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับเรย์ลี่และยัยแฟนสัสดีนั่น” เรย์ลี่พอพูดถึงยูกะก็ทำหน้านิ่ว “เป็นไปได้ว่าคนที่มีพลังเวทย์และมานาสูงจะไม่ได้รับผลกระทบนี้ เรย์ลี่กับยูกะนั้นต่างก็เป็นนักเวทย์อัจฉริยะแห่งยุคค่ะท่านพี่”

สิ่งที่เรย์ลี่อธิบายมานั้นยังเป็นแค่ข้อสันนิฐานแต่สิ่งที่ทำให้อึ้งจริงๆ คือทำไมยังมีคนจำได้ตั้งสองคน?

ทำไมเป็นอย่างงั้นล่ะ? พระเจ้าไม่ได้แข็งแกร่งหรือไง?

“ทางเราเล่าเรื่องที่พอทราบมาหมดแล้ว แล้วท่านผู้กล้าพอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี่ไหม? อย่าหาว่ากดดันท่าน...เรามั่นใจแน่ๆ ว่าท่านต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน”

คำพูดของผอ. ที่ดูเหมือนฝากความหวังในตัวฉัน ทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันครั้งแรกทำให้รู้สึกอึดอัดแปลกๆ...เรย์ลี่พยักหน้าเหมือนขอร้องเลยยอมพูด

“หวังว่าจะเชื่อเรื่องบ้าๆ นี่”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมีวิธีที่รู้ว่าอันไหนพูดจริงอันไหนโกหก”

อุ้ย...เขาคงมีเวทย์ที่ใช้จับโกหกแน่ๆ

ฉันถอนหายใจยาวๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง

“ไม่รู้ว่าเรย์ลี่ได้บอกคุณหรือยังว่าฉันยังจำตัวตนเก่าชาติที่แล้วได้”

พอพูดแบบนั้นไป ผอ. หันหน้ามองเรย์ลี่ที่หัวเราะแห้งๆ อยู่

“ฮ่าๆ ก็ยังไม่แน่ใจนิ”

“หา!? ตอนนั้นเธอเองไม่ใช่หรือที่บอกว่ารู้เรื่อง—”

ฉันกำลังจะเถียงกลับไปแต่พอเห็นเรย์ลี่กระพริบตาถี่ๆ เลยรู้ตัว

อ๋อ...กำลังแถอยู่นี่เอง

“เฮ้อ ช่างเถอะ...จะเล่าต่อแล้วนะคะ ฉันมีชื่อว่า เฟลิกซ์ นามสกุล ดิฟเฟอร์...และได้จบชีวิตลงในชาติที่แล้วอายุสามสิบกว่าๆ แล้วได้เจอคนๆ หนึ่งที่บอกว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่ชอบแกล้ง...เขาส่งตัวฉันไปโผล่กลางสงครามนั่น...หลังจากนี้น่าจะเดาได้นะคะ”

“พระเจ้า!?” ผอ. ขมวดคิ้ว “โอ้...ช่างเป็นเหตุผลที่บ้ามากแต่ก็ฟังขึ้นที่สุดแล้วตอนนี้”

“หา!?” ฉันแปลกใจยิ่งกว่าเหมือนผอ. ยอมเชื่อ “เชื่อจริงดิ?”

“มันไม่มีร่องรอยเวทมนต์ใดๆ เลยกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับความทรงจำทุกคน...และยังเข้าเค้ากับบันทึกลับหลายร้อยปีของนักเดินทางรุ่นสู่รุ่น ในนั้นเขียนไว้ว่าผู้ที่สร้างโลกนี้ขึ้นมาก็คือพระเจ้าที่มีนิสัยชอบขี้แกล้ง...และเคยเกิดเรื่องทำนองนี้มาแล้วด้วย”

“เรื่องทำนองนี้!? หมายถึงเรื่องที่ความทรงจำถูกลบ?”

“ใช่...”

ผอ. ยืนยันคำถามของฉัน แต่เรย์ลี่มีอาการไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันในบางเรื่อง

“เรย์ลี่ไม่เห็นรู้เรื่องบันทึกที่ว่านั้นเลย?”

“มันไม่มีในชั้นเรียน...และไม่ใช่ของที่ใครๆ ก็ดูได้”

คำตอบของ ผอ. ทำให้เรย์ลี่ไม่พอใจสักเท่าไหร่แต่มันทำให้ฉันมั่นใจหลายๆ อย่าง

ไม่ได้มีแค่เราที่โดนแบบนี้สินะ...และตอนนี้ยังมีคนเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราด้วย

พอคิดแบบนั้นแล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แล้วผอ. ว่าต่อ

“แต่ทว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นคราวนี้มันต่างออกไป ไม่ใช่แค่ความทรงจำถูกลบเท่านั้น ยังถูกเพิ่มและแทนที่ด้วยผู้ชายคนนั้น...”

สิ่งที่ผอ. พูดมาทำให้อดที่จะถามไม่ได้

“เขา...ชื่อว่าอะไร”

“อากิตะ”

ว่าล่ะ...

พอได้ยินชื่อนั้นแล้วตาตกลงมองดูนิ้วมือขวาบี้กันไปมา ผอ. สังเกตเห็น

“ท่านผู้กล้ารู้จักกับเขางั้นหรือ!?”

“อ่ะเอ่อ...ไม่ค่ะ”

เดาเก่งชะมัด

“แล้วคนข้างๆ ท่านผู้กล้านี้...รู้จักกันใช่ไหม”

ผอ. หมายถึงเอลด้าที่ยังคงสลบ...แต่จู่ๆ เธอลืมตาขึ้นเต็มตื่นตอบคำถามซะงั้น

“แน่นอน...เราอยู่ข้างๆ เฟลิกซ์เสมอ”

“เฮ้ย!”

“ว๊าก!”

ทั้งฉันและเรย์ลี่ร้องสะดุ้งตกใจพร้อมกัน

“ฟื้นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย!?”               

“ที่จริงไม่ได้เมาหรอก” เอลด้าเกาหัว “แค่แสดงละครทำเป็นกลบเกลื่อนบรรยากาศแถวนั้นไง แต่พอเจ้าตัวเปี๊ยกผมทองเข้ามาก็เลยเนียนเล่นยาวๆ เลย”

“ละละละหลอกเรย์ลี่คนนี้ได้ไง!?”

เรย์ลี่ที่โกรธจัดทำท่าจะหาเรื่องเอลด้าแต่ถูกผอ. ยกมือห้ามไว้ก่อน

“เรย์ลี่...คนๆ นี้ไม่ได้อยู่ในรายงานใช่ไหม”

“เอ่อค่ะ...ท่านพี่เป็นคนพามาค่ะ เห็นว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้”

“หือ?”

ผอ. ทำเสียงแปลกใจ เอลด้าสะกิดไหล่ฉัน

“เฟลิกซ์ แนะนำให้หน่อย ขืนพูดเองสองคนนั้นไม่เชื่อแน่ๆ”

“หาเรื่องจริงๆ” ถึงปากฉันจะว่าอย่างงั้นก็ยอมทำตาม “เธอบอกชื่อว่าเอลด้า เป็นนางฟ้ารับใช้พระเจ้าแต่ตอนนี้ตกกระป๋องโดนเด็ดปีกกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาพร้อมกับตอนที่ฉันหายตัวไปนั่นแหละ”

“พูดไม่ไว้หน้ากันเลย”

เอลด้าว่าแบบนั้น ส่วนเรย์ลี่ทำตาค้างไปแต่ผอ. กลับมีท่าทีที่สนใจในตัวเอลด้าด้วยการแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วหรี่ตามอง

“อดีตนางฟ้า...น่าสนใจจริงๆ”

“ดะๆ เดี๋ยว!? ท่านพี่โดนมันหลอกหรือเปล่า!?”

เรย์ลี่ระแวงเอลด้าอย่างหนัก ซึ่งเอลด้าตอกย้ำด้วยเหตุการณ์หนึ่ง

“เราคุยกันออกจะบ่อย...อย่างเช่นที่ป่าเอลฟ์ตอนหลังจากที่เจ้าไป”

“หา!?”

นั่นมันครั้งแรกที่เราได้เจอกันไม่ใช่หรือไง...แบบมาแต่เสียงด้วย

ฉันพยายามส่งข้อความในใจผ่านลูกตาที่จ้องมองเอลด้า ซึ่งเธอเหมือนจะรับรู้ดีเลยทีเดียว ก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรไปมากกว่านี้ ผอ. ตบมือสองครั้ง

“เอาล่ะ เหมือนจะมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกเยอะ แต่นี่มันดึกมากแล้วและคิดว่าทั้งสองคนน่าจะอยากพักผ่อน ไว้ค่อยมาต่อกันพรุ่งนี้...เห็นด้วยไหม?”

“เห็นด้วยข๊า” เอลด้ารีบตอบ

“ถ้างั้นทางนี้จะให้เธออยู่พักที่นี่เลยละกัน ทั้งสองคนเลยนะ...เมริซ่า! ช่วยไปจัดเตรียมห้องนอนสำหรับแขกที่ชั้นสี่สิบเก้าให้ที ถ้าเสร็จแล้วก็ขึ้นมาพาแขกไปที่ห้อง”

“รับทราบค่ะนายท่าน”

ผอ. สั่งเมดส่วนตัวที่ยืนอยู่ใกล้ประตูบานใหญ่ข้างหลังฉันเดินออกจากห้องไป ซึ่งที่จริงฉันลืมไปเลยว่ามีเมดหูแมวคนนี้ยืนฟังอยู่ในห้องนี้ด้วย พอหันกลับไปก็เห็นเรย์ลี่กำลังขู่ฟ่อใส่เอลด้าอยู่ห่างๆ

รู้สึกถึงชีวิตอันไม่ปกติสุขซะแล้ว

และมันก็เป็นจริงในวินาทีถัดมา ประตูซ้ายมือภายในห้องดังโครมครามทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง คนที่เหวี่ยงประตูเปิดนั้นเป็นสาวผมแดงอ่อนยาวถึงบ่ากับนัยน์ตาสีฟ้าที่แข็งกร้าวจ้องหาศัตรู หล่อนใส่ชุดราตรีสีฟ้าลายลูกไม้ที่แหวกเปิดกลางอกที่ไม่ค่อยจะมีเล็กน้อย เปิดปากขึ้นเสียงคล้ายทอมบอยใส่

“ใครคิดจะแย่งท่านอาเธอร์จากฉันหรอห๊ะ!?”

แย่ง?

ฉันไม่ค่อยจะชอบน้ำเสียงแบบนั้นเลย...ยิ่งเวลาหล่อนจ้องใส่ยิ่งชวนโมโหยังไงก็ไม่รู้เหมือนกับนางร้ายไร้สมองตามละครซี่รีย์ต้นทุนต่ำบทไม่ได้เรื่องอะไรประมาณนั้น...เลยหันไปถามเรย์ลี่ดังๆ แบบซึ่งๆ หน้า

“เรย์ลี่...ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”

และคนตอบก็เป็นเจ้าตัวที่ถูกพาดพิง หล่อนเอนหน้าอกเล็กน้อยแล้วเชิดหน้า

“ฉันคือภรรยาของท่านอาเธอร์! พวกแกทั้งสามตัวไสหัวออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้นะ!”

“อ๋อ...”

ทั้งฉันกับเอลด้าต่างเข้าใจพร้อมกันแล้วมองผอ. ที่กำลังหน้าเสีย ภายในห้องซ้ายมือนั้นยังมีอีกคนเดินออกมาอย่างทุลักทุเลเป็นเมดอีกคนแต่มีหูเป็นสุนัขหรือหมาป่าก็ไม่แน่ใจ มีนัยน์ตาสีม่วงเช่นเดียวกับเมดหูแมวเพียงแต่ตาข้างซ้ายมีผ้าคาดตาสีดำปิดไว้อยู่แล้วเธอก้มหัวขอโทษ

“ต้องขออภัยอย่างสูงค่ะนายท่าน! ดิฉันพยายามห้ามไว้แล้วแต่—”

“ช่างเถอะ เมริน่า”

“ค่ะ นายท่าน”

ชื่อคล้ายกับอีกคนเลยแฮะ

ฉันคิดแบบนั้น เมริซ่าคือเมดหูแมว ส่วนเมริน่าคือเมดหูหมา ทั้งสองคนมีหลายๆ อย่างคล้ายกันด้วย ผอ. ส่งสายตาดุใส่คนที่บอกว่าเป็นภรรยา

“เชอรี่...ตอนนี้งานยุ่งอยู่ กลับเข้าห้องก่อนไป”

“ไม่! มีฉันอยู่ทั้งคนแล้วทำไมต้องเอาอีนางชั้นต่ำสวะข้างทางพวกนี้มาด้วย!”

“มันจะมากไปแล้ว!”

ร่างกายฉันมาตอบสนองกลับคำด่าท้อนั้นด้วยการลุกขึ้นประจันหน้ากับเชอรี่ซึ่งหล่อนง้างมือขวาเตรียมตบ

“กล้าหืองั้นหรอ!”

นั่งลง!”

คำสั่งดังลั่นราวกับมีฟ้าผ่ามาลงจากผอ. จู่ๆ ร่างกายของเชอรี่มีออร่าสีฟ้าปกคลุมแล้วทรุดลงไปนั่งกับพื้น เวลาในห้องราวกับหยุดนิ่ง...เรย์ลี่ที่เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างพูดอย่างไม่พอใจ

“ทาสของท่านผอ. สินะคะ...ยังไม่เลิกทำแบบนี้อีกเหรอ? คราวนี้เป็นใครอีกละนิ...ตัวตนเดิมของผู้หญิงคนนี้”

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ เรย์ลี่”

“ตั้งแต่เมื่อไร...”

“ไม่ต้องขุดให้มากความ เอาเป็นว่าคนๆ นี้สมควรแล้วที่ต้องโทษเป็นทาสของเรา”

“ทาส!? ฉันเป็นได้แค่ทาส...สินะ”

เชอรี่ที่นั่งกลบหน้าเริ่มปล่อยน้ำตา ผอ. กรอกตาขึ้น

“น่ารำคาญซะจริง”

แล้วเขาก็ยื่นมือขวาออกมาเล็งไปทางเชอรี่ แล้วจู่ๆ ร่างของเธอก็กระตุกหนึ่งที

“เราทำให้ตัวตนของเชอรี่หลับใหลไปก่อน ไม่อย่างงั้นจะเกิดเรื่องวุ่นมากกว่านี้...”

ผอ. อธิบายสิ่งที่ทำเมื่อครู่ ซึ่งฉันยังไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายถึงอะไร แต่ทว่าเชอรี่ยังคงสะอื้นร้องไห้

“ไม่ต้องทำเป็นเศร้า อดีตจอมมาร...”

ผอ. กล่าวถึงบางสิ่งที่ผู้หญิงนั่งเสียใจกับพื้นเคยเป็น ยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องไม่ดีเข้าไปอีก

“จอมมาร!?” เรย์ลี่ออกอาการเหวอมากสุด “คนๆ นี้เนี่ยนะเป็นจอมมาร!?”

“ใช่...จอมมารเมื่อสองร้อยปีก่อน”

ดูเหมือนมาเจอเรื่องยุ่งยากเข้าให้แล้ว

ที่ฉันคิดแบบนั้นเพราะตอนนี้ไม่รู้จะวางตัวเองอยู่ตำแหน่งไหนจริงๆ เชอรี่ผู้ถูกกล่าวว่าเป็นจอมมารปาดน้ำตาแล้วตะคอกกลับ

“ตัวตนจริงของผมไม่ใช่จอมมารสักหน่อย!”

เชอรี่ที่เปลี่ยนสรรพนามใหม่ลุกขึ้นแล้วเถียงเหวี่ยงแขน เรย์ลี่ทำท่าเอากำปั้นทุบผ่ามือ

“เพิ่งนึกออก...จอมมารสองร้อยปีที่ว่านั่น...เป็นผู้ชายนี่!?”

“อาเธอร์เปลี่ยนเพศผม” เชอรี่ว่า

“หือ? เรื่องก่อนหน้านี้หมายความว่ายังไง...จิตใจเธอตัวตนของเธอก็พิจารณามาอย่างดีแล้วว่าเป็นจอมมารถึงได้ถูกคุมขังมาสองร้อยปี”

ดูเหมือนว่าผอ. จะสนใจเรื่องที่เชอรี่บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นจอมมาร

“พูดไปก็ไม่เข้าใจหรอก! ถ้าเพื่อนผมยังอยู่ด้วย...คงโดดเข้ามาใช้พลังจิตเจเนซิสไลท์ช่วยแล้ว! เชอะ...เดี๋ยวพอตัวตนเชอรี่กลับเข้ามาคงเลียแข็งเลียขานายเหมือนเดิมแน่ๆ นายไม่น่าปลุกตัวตนแท้จริงอย่างผมตื่นขึ้นมาเลย...รู้สึกขยะแขยงชะมัด”

“ปากดีเหมือนวันแรกเลยนะจอมมาร...มาย้อนวันวานสักหน่อยไหม”

ผอ. ที่ส่งสายตาหื่นกามเดินกู่ตรงจะเข้าหาเชอรี่ทันทีแต่ฉันเอาแขนซ้ายจักรกลยื่นขวางไว้เพราะรู้สึกแม่งๆ กับสิ่งที่เชอรี่พูด เมื่อ ผอ. ถูกขวางแบบนั้นเลยบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงที่แลดูใจเย็นแต่แฝงไปด้วยความโหดร้าย

“ท่านผู้กล้า นี่มันเรื่องส่วนตัว”

“ก็รู้...แต่ขอคุยกับผู้หญิงคนนี้แปบหนึ่งได้ไหม...ขอร้องล่ะ คุยตรงนี้เลย”

ฉันพยายามทำหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะแอบพนันในใจว่าเกมมันกำลังจะพลิกแน่ๆ ถ้าฉันได้คุยกับเชอรี่…ผอ. แบมือเป็นสัญญาณว่าได้ ฉันรีบหันหลังจับไหล่ทั้งสองของเชอรี่ไว้ซึ่งหล่อนทำหน้างง

“นี่...ฉันจะเช็คบางอย่างจากเธอ เพราะฉะนั้นหลังจากที่ฉันพูด [บางสิ่ง] ออกมาแล้วเธอก็ต้องพูดกลับมาด้วย [อีกสิ่ง]…เข้าใจนะ?”

“อ่า...ไม่” เชอรี่ส่ายหัว

“เดี๋ยวพอเริ่มจะเข้าใจเอง”

ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่คนอื่นๆ ต่างงุนงงกับสิ่งที่ฉันพูดและแล้วฉันก็เริ่มต้นด้วยคำที่ทำให้ฉันข้องใจกับเชอรี่ที่เจ้าตัวพูดออกมา

“เจเนซิสไลท์ เฟียน่า ดิฟเฟอร์ No.2”

มันเป็นชื่อฉายาพลังจิตและชื่อจริงนามสกุลตามด้วยลำดับของลูกสาวฉันเอง สิ่งที่ทำให้ฉันพูดขึ้นมาเพราะก่อนหน้านี้เชอรี่พูดคำว่า [เจเนซิสไลท์] ซึ่งเธอน่าจะรู้ความลับของลูกสาวฉันเพราะเฟียน่าไม่เคยเปิดเรื่องว่าตัวเองเป็นผู้ใช้พลังจิตต่อหน้าสาธารณชน

และใบหน้าตะลึงของเชอรี่เป็นคำตอบที่ชัดเจน...ก่อนที่เธอจะค่อยๆ พูดคำแรกกลับมาที่ทำให้ฉันตะลึงเหมือนกัน

“MLA”

และเราก็เริ่มเล่นคำต่อกันไปมาด้วยสิ่งที่มีในอีกโลกที่ฉันเคยอยู่

“ป้อมปราการลอยฟ้าชินโคเซ็น”

“Area TH-7”

“สงครามโลกครั้งสาม”

“เวิร์ดเจเนอรัล”

“รัสเซีย”

“ญี่ปุ่น”

“สนามบินนานาชาติ”

“รถเมล์”

“ห้างสรรพสินค้า”

“น้ำส้มซันซายด์”

“ยานขนส่งของ”

“หือ? เอ่อ...เฟลิกซ์...ดิฟเฟอร์ หัวหน้าอะไรสักอย่าง”

เชอรี่พูดถึงชื่อฉันออกมา...มันทำให้ฉันตื่นตันใจอย่างมาก

“นั่นแหละ คือฉันเอง...แล้วเธอล่ะ?”

เหมือนชื่อฉันทำให้เขายิ้มออกมาอย่างจริงใจ

“ทอมมี่ เปเรซ...เป็นเด็กมอปลายไม่เจียมตัวไปกวนเวลาที่คุณหลับไง”

ทั้งชื่อและสิ่งที่เขาเคยทำกับฉัน มันทำให้นึกออกช่วงก่อนที่จะมาโลกคริสตัลฟอร์แห่งนี้

ทอมมี่...เด็กหัวแดงบนเครื่องบินนี่หว่า!!

แล้วฉันก็กอดตัวเธอแน่นๆ อย่างดีใจเขย่าตัวไปมา ส่วนคนอื่นนั้นงงเข้าขั้นประสาทกันแล้วเพราะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่ในที่สุดผอ. เอ่ยถาม

“นี่มันเรื่องอะไร!?”

ฉันเอาแขนขวากอดคอเชอรี่ไว้

“ขอแนะนำรู้จัก...คนๆ นี้ไม่ใช่เชอรี่ไม่ใช่จอมมารอะไรทั้งนั้น เขาคือทอมมี่ เปเรซ...มาจากต่างโลกเหมือนฉัน...เป็นผู้ร่วมชะตากรรมด้วยกันยังไงล่ะ!”

◊◊◊

หลังจากนั้นก็เวลากว่าสิบนาทีอธิบายและยืนยันตัวตนของทอมมี่กว่าทุกคนจะเข้าใจ

ยกเว้นเอลด้าที่หลับน็อคของจริงไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

เรย์ลี่ทำหน้าลุกวาวราวกับได้ดูหนังที่ชื่นชอบตลอดเวลา

ส่วนผอ. ดูเหมือนจะเคร่งเครียดกว่าเดิมและมองหน้าเชอรี่...เฮ้ย ทอมมี่ไม่ติดอยู่ตอนนี้ ทอมมี่ตอนนี้กำลังยืนยันตัวตนของตัวเองอีกครั้ง

“อย่างที่เฟลิกซ์บอก ผมคือทอมมี่”

“งั้นเธอก็ไม่ใช่จอมมาร!?” ผอ. ถามย้ำ

“ตัวตนจอมมาร...เหมือนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของผมไปแล้ว มีความทรงจำจากเขาและหลายๆ อย่าง ถึงอย่างงั้นก็ไม่ถึงกับเรียกว่าวิญญาณหลอมหลวมกัน...ราวกับว่าวิญญาณเขาสลายไปแล้ววิญญาณผมเข้ามาแทนที่...อันนี้ลองเอาความทรงจำเขามาปรับพูด พอจะเข้าใจไหม?”

“เข้าใจ” ผอ. ว่า “งั้นสิ่งที่เราทำมาตลอดนั้นมัน...”

“ฉันไม่โทษคุณหรอก คุณอาเธอร์” ทอมมี่เริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป “เอ๊ะ!? ดูเหมือนตัวตนเชอรี่กลับเข้ามาแล้วสิ”

“เดี๋ยวจะเอาออกให้ชั่วคราวได้—”

“ไม่ๆๆๆๆ ไม่ต้องก็ได้ ถึงตอนนี้ฉันก็รู้ว่าตัวเองเป็นใครอยู่ค่ะ ท่านอาเธอร์”

ทอมมี่ว่าเช่นนั้น แต่ฉันกำลังงงอยู่

“คือ...ขอขัดหน่อย ไม่ค่อยเข้าใจ...ตัวตน? บุคลิกอะไรยังไง? คือคุณ ผอ. ทำอะไรไว้กับทอมมี่หรอ?”

“เขาใช้เวทมนต์สร้างบุคลิกแล้วยัดเยียดในตัวเขาค่ะ”

เรย์ลี่ตอบแทนให้ซึ่งเธอทำหน้านิ่วไม่พอใจเอามากๆ ตอนนี้แต่ก็ยังอธิบายต่อไป

“ผอ. ค่อนข้างซาดิสชอบรังแกชีวิตคนที่เขาเห็นว่าสมควรถูกลงโทษ อย่างคุณทอมมี่นี่...คงจะเป็นบุคลิกที่ชื่นชอบเรื่องใต้สะดื้อแน่ๆ ใช่ไหมคะท่านผอ.”

“...ใช่”

ผอ. เอาหน้าแนบโต๊ะตอบทั้งอย่างงั้น เรย์ลี่เกาหัวแล้วว่าต่อ

“แต่นั้นยังไม่เป็นที่พอใจของเขาหรอก เขาจะค่อยๆ ทำให้บุคลิกใหม่ที่สร้างขึ้นมาคอยกัดแซะตัวตนเก่าด้วย หรือก็คือ...ตอนนี้คุณทอมมี่ไม่ได้มีบุคลิกที่สองหรอกค่ะ น่าจะถูกหลอมรวมไปแล้วแบบไม่รู้ตัว”

“หา!!!”

ทอมมี่หรือเชอรี่ซึ่งฉันเองก็ไม่แน่ใจเป็นคนไหนแต่เธอร้องลั่นห้องราวกับว่าเข้าใจผิดมาตลอดแล้วเรย์ลี่อธิบายต่อ

“แต่เป็นมุมมองของนักเวทย์นะคะ ซึ่งมันหมายความว่ามันไม่สามารถถอดบุคลิกนั้นออกมาได้แล้ว”

“แล้วมุมมองทั่วไป?” ฉันถามแทนทอมมี่ให้

“ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าตัวจะมองเป็นแบบไหน...ตอนนี้ยังไม่รู้ตัวเองหรอกค่ะเพราะเพิ่งพ้นพันธนาการจากท่านผอ. แต่ถ้าเดาไม่ผิดเธอไม่ตกใจเรื่องที่ไม่สามารถกลับไปเป็นเพศชายได้เลยใช่ไหม?”

สิ่งที่เรย์ลี่พูดมานั้นหมายถึงช่วงแรกที่รู้ว่าทอมมี่กับจอมมารเป็นคนละคนกัน เรย์ลี่เลยบังคับให้ผอ. ถอนคำสาปและเวทมนต์ทั้งหมดออกจากตัวทอมมี่

แต่ทว่ามีอยู่สองอย่างที่ไม่สามารถถอดออกได้คือร่างกายผู้หญิงกับอีกหนึ่งบุคลิกในตัวของทอมมี่ ซึ่งตอนนี้เขาทำหน้าคิดหนักกับคำถามของเรย์ลี่

“เอ่อ...ตอนที่จะยินว่ากลับผู้ชายไม่ได้...รู้สึกโล่งใจแปลกๆ”

“นั่นไง...ว่าล่ะ เรย์ลี่อัจฉริยะดูออกได้ทุกเรื่องจริงๆ ฮ่าๆ”

เรย์ลี่ตบหัวเข่าตัวเอง ส่วนฉันเห็นทอมมี่แอบมีมุมยิ้ม

เวทมนต์สร้างบุคลิกใหม่น่ากลัวแฮะ...

“แล้วเราควรทำยังไงดี...ถึงจะชดใช้ความผิดทั้งหมดที่มีต่อเธอได้ เชอรี่”

จู่ๆ ผอ. เข้าอีกโหมดหนึ่งที่ฉันเองยังตกใจ เรย์ลี่เข้าไปตบบ่าอย่างสนิทสนม

“แหม่ๆ  ผอ. นี่เวลาจะง้อใครเป็นแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่า”

“เกินไปแล้วเรย์ลี่”

“โอเคโอเค...ไม่เล่นด้วยล่ะ”

เรย์ลี่กลับไปยืนที่เดิม ส่วนทอมมี่มองตาผอ.

“ขอเวลาคิดอีกหน่อยนะ...แต่ตอนนี้ขอให้ฉันย้ายไปอยู่กับเฟลิกซ์ก่อนได้ไหม”

ทอมมี่ก้มหัวขอร้องซึ่ง...

“ได้...”

ผอ. ยอมตกลงแล้วประตูบานข้างหลังมีคนเคาะสามครั้งแล้วเดินเข้ามาเป็นเมริซ่าหรือเมดหูแมวที่ไปจัดการห้องนอนแขกตามคำสั่งผอ. ก่อนหน้านี้

“จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ นายท่าน”

“ช่วยไปเพิ่มที่นอนอีกที่หน่อยเมริซ่า เชอรี่จะย้ายไปห้องนั้นด้วย”

“ค่ะนาย—เห๊ะ!?”

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.21 นะจ๊ะ

สั้นๆ เลย...ในที่สุดเฟลิกซ์ก็ได้เจอทอมมี่ที่มาต่างโลกด้วยกันแล้วเย้!

แล้วหลังจากนี้พวกเขาจะทำอะไรกันต่อ ในเมื่อมีทอมมี่เข้าร่วมวงอีกหนึ่ง

โปรดติดตามต่อตอนไปที่จะเกี่ยวข้องกับชื่อตอนหลักแล้วที่มีชื่อว่า

  1. อยากให้แน่ใจ]

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา