Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
8.8
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
25 chapter
4 วิจารณ์
23.73K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) หนีกลางสมรภูมิรบ 1-[คำทำนายการมาของผู้กล้าคนใหม่]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCrystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
หนีกลางสมรภูมิรบ 1 - [คำทำนายการมาของผู้กล้าคนใหม่]
◊◊◊
อะไรเนี่ย...นี่ฉันอยู่ที่ไหนกัน...คนพวกนั้นเป็นใครกัน!?
เพราะสติมันค่อนข้างจะเลือนรางเกินไปเลยมองเห็นไม่ชัดว่านักรบหลงยุคที่กำลังเดินเข้ามาหานั้นมีหน้าตายังไง เขาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันแล้วใช้เท้าเขี่ยแขนซ้ายอย่างกับเขี่ยแมลงสาปก่อนที่จะใช้มือมาจิกผมฉันลากตามพื้นไป
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!”
เราร้องลั่นกลางสนามรบที่หวาดล้อมไปด้วยทหารทั้งสองฝ่ายเพราะเจ็บบริเวณหนังหัวมาก พอโดนลากเข้าไปใกล้นักรบอีกคนที่เริ่มเห็นลางๆ แล้วว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายเอลฟ์เพราะมีส่วนหูที่แหลมยาว ฉันโดนเหวี่ยงกลิ้งไปข้างหน้าเล็กน้อย
“แกทำอะไรกับผู้กล้าตามทำนายของพวกเรา! ไซบอร์กเนี่ยนะ!? พวกแกใช้ศาสตร์มืดสาปแช่งใช่ไหม!!”
“พวกเราต่างหากที่ต้องหาคำตอบจากพวกแก! ทำไมถึงกลายเป็นมนุษย์ไปได้!”
“นี่มันไม่ใช่มนุษย์! กึ่งมนุษย์กึ่งปีศาจต่างหาก!”
หลังจากนั้นผู้ชายทั้งสองคนโต้เถียงอย่างดุเดือด ทหารทั้งสองฝ่ายตั้งท่ารอปะทะกันเต็มร้อยแต่ฉันสนใจคำพูดบางอย่างที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกัน
ผู้กล้า!? ฉันหรอ?
“อ๊าก!”
เราร้องเจ็บอีกครั้งเพราะโดนจิกหัวให้คอลอยสูงขึ้นอยู่ในระดับหัวเข่าของใครบางคนแล้วมีดาบเล่มหนึ่งมาจ่อที่คอพร้อมคำเกรี้ยวกราด
“ในเมื่อพวกเอลฟ์ต่ำช้าบังอาจใช้พลังแทรกแซงเกทเปลี่ยนผู้กล้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน พวกเราจะไม่ทนอีกต่อไป! ในนามอาณาจักรมนุษย์ข้าขอประกาศว่าดินแดนตรงประตูเกทแห่งนี้เป็นของพวกเรา!! และของสกปรกใดๆ ก็ตามที่เอลฟ์ใช้ศาสตร์มืดอย่างเจ้านี่ต้องถูกชำระล้างหายไปจากโลกนี้ทั้งหมด!”
อ้าวเฮ้ย! จากผู้กล้าไหงกลายเป็นสวะซะงั้นละ!?
หัวใจเต้นโครมครามเป็นอย่างมาก อยากจะหนีก็หนีไม่ได้เพราะไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย เอลฟ์ผู้ชายเดินถอยหลังเล็กน้อย เริ่มส่งซิกให้พรรคพวกที่อยู่ข้างหลังและแล้วฉันก็โดนลากพลิกตัวกลับไปทางกองกำลังทหารของอาณาจักรมนุษย์กะโชว์พิธีสังหารเรียกขวัญกำลังใจ
“เหล่าทหารทุกคน! นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามที่แท้จริง! ปีศาจในคมดาบข้าจะหลั่งเลือดให้พินาศเพื่ออาณาจักรมนุษย์!”
“เฮ!!!”
เหล่าทหารตอบรับอย่างพร้อมเพียงกัน คมดาบตรงคอเตรียมปลิดชีวิตฉัน ถ้าไม่ใช่ว่ามีใครบางคนกระโดดสูงออกมาจากในกลุ่มทหารอาณาจักรมนุษย์แล้วใช้เท้าคู่ถีบคนที่ใช้ดาบจี้คออยู่กระเด็นลงไปนอนกลับพื้นฉันหงายหน้าลงไป สร้างความตกตะลึงทั้งสองฝ่ายอย่างมาก
ใครน่ะ!? ใครมาช่วยฉัน...
พยายามเพ่งตามองเท่าไหร่ยิ่งแสบตาขึ้นมาเท่านั้นเพราะมีแสงพระอาทิตย์อยู่ตรงหน้าพอดี รูปร่างของคนที่มาช่วยนั้นฉันไม่แน่ใจนักเพราะมันย้อนแสงแต่น่าจะเป็นผู้หญิงผมเปียถักยาวคู่สีเหลืองเด่นชัด รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจของคนที่มาช่วยนั้นฉันเดาเจตนาไม่ออกจริงๆ ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างยิ่งคำพูดที่เธอบอกกับฉันยิ่งแล้วใหญ่ หล่อนพูดว่า
“เธอน่าสนใจดีนะ”
ในที่สุดสติฉันหลุดลอยหายไป
◊◊◊
ปวดๆๆๆๆๆๆๆ
ความรู้สึกแรกที่ตอบสนองหลังจากที่ฉันได้สติ
ทำไมปวดหัวอย่างงี้นะ
ตาค่อยๆ ลืมขึ้น...พบกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างค่อนข้างมาก มันแปลกสำหรับฉันเพราะปกติแล้วอยู่แต่ในตัวเมืองมักถูกแสงไฟในเมืองบดบังแสงจันทร์หมด ไม่ค่อยมีโอกาสเห็นดวงจันทร์ส่องแสงมากขนาดนี้มาก่อน...แต่รูปลักษณ์ของดวงจันทร์นั้นทำให้ฉันงุนงง
พระจันทร์หกเหลี่ยม!? นี่ฉันเพี้ยนไปแล้วแน่...ทำไมรู้สึกเท้าฉันมันอุ่นๆ
เรายกคอขึ้นมาดูสิ่งที่อยู่ปลายเท้า มันเป็นกองไฟกองเล็กที่ไม่ค่อยมีควัน รอบตัวมีแต่ต้นไม้น่าจะอยู่กลางป่าและเป็นป่าที่ดูประหลาดเพราะใบไม้ทุกคนมีลักษณะเป็นหกเหลี่ยมหมด เสื้อคลุมหนังสัตว์สภาพไม่ค่อยดีห่มตัวอยู่ซึ่งชุดจริงๆ ที่ฉันใส่อยู่นั้นดูคล้ายชุดนักเรียนมอต้นกะลาสีมีโบว์สีแดง...ฉันพยายามใช้มือขวายันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเลเพราะแขนซ้ายไม่มีแรง พอลุกขึ้นมานั่งได้เลยเงยหน้าขึ้นเพิ่งเห็นใครบางคนนั่งหลับพิงต้นไม้อยู่เป็นผู้หญิงอายุน่าจะราวๆ สิบขวบ ผมเปียถักยาวคู่สีเหลือง ชุดที่ในคงบอกได้ว่าเหมือนพวกนักผจญภัยยุคโบราณที่ช่องกระเป๋าซ่อนรอบตัว ข้างตัวเธอมีไม้เท้าหัวขดคล้ายคทาที่อยู่ในภาพยนตร์และเกมโดยที่กลางหัวขดนั้นมีก้อนหินสีฟ้าใสหกเหลี่ยมฝังแน่นอยู่
เด็กคนนี้เป็นใคร?
นัยน์ตาสีดำของเด็กน้อยลืมตาขึ้นมาบรรจบมองตรงที่ฉันอย่างงวงเงียก่อนที่จะเยียดแขนเยียดขาบิดขี้เกียจก่อนที่จะส่งรอยยิ้มที่ปราศจากการแสแสร้ง
“ตื่นแล้วหรอคะ ท่านว่าที่ผู้กล้า”
“ว่าที่!? เอ๊ะ!?”
อย่างแรกฉันตกใจกับสรรพนามที่ถูกเรียก อย่างที่สองน้ำเสียงฉันเปลี่ยนไป...เสียงมันแหลมเล็กเหมือนเด็กและเป็นโทนเสียงที่คุ้นหูเป็นอย่างมาก ส่วนอย่างที่สาม...เสียงของเด็กตรงหน้าที่เรียกฉันว่า [ผู้กล้า] เป็นคนๆ เดียวที่ช่วยฉันไว้เลยทำให้นึกเหตุการณ์ก่อนที่จะหมดสติออกจนหมด
พระเจ้าที่แช่งฉัน...พวกคนที่จะปาดคอฉัน...
ฉันกลืนน้ำลายหนึ่งทีแล้วค่อยๆ กระเถิบถอยห่างออกมาเล็กน้อย เด็กสาวตรงหน้าเห็นปฏิกิริยาของฉันแล้วหัวเราะแห้งๆ
“ท่าทางนั่นนึกว่าหนูเป็นพวกคนไม่ดีใช่ม่ะ...เรย์ลี่หลงคิดว่าจะจำหนูได้ซะอีก” เด็กสาวที่เรียกตัวเองว่าเรย์ลี่ เงยหน้ามองดูพระจันทร์ราวกับว่ากำลังย้อนนึกความหลังบางเรื่อง “แต่มันก็ทำให้นึกถึงช่วงมาโลกนี้ใหม่ๆ เลย หนูก็เป็นแบบคุณ จำอะไรไม่ได้เลย...และไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”
“ธะเธอเป็นใครกัน...ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่”
ฉันถามอย่างหวั่นๆ แล้วมองหาสิ่งของรอบตัวที่น่าจะเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวได้ ซึ่งมีแต่ท่อนไม้ที่เป็นฟืนในแค้มป์ไฟแน่นอนว่าจะไม่หยิบมันให้ลวกมือแน่ๆ
“หนูชื่อเรย์ลี่ค่ะ เป็นคนช่วยคุณจากกลางดงพวกนักรบไง...จำไม่ได้จริงๆ สินะคะ เฮ้อ”
เรย์ลี่ทำหน้าหมุ่ยถอนหายใจแล้วอธิบายต่อ
“ตอนนี้เราสองคนอยู่กลางป่าเรียบแม่น้ำคริสตัลทางใต้ค่ะ...นี่เป็นวันที่สามแล้วที่แบกคุณมาตลอดทาง”
“สะสามวัน!?”
ทำไมฉันหลับยาวขนาดนั้นล่ะ...แล้วทำไมเด็กนี่ถึงต้องพาฉันมาด้วย...มีแต่เรื่องไม่เข้าใจเลย
แต่จะให้ไว้ใจเลยมันก็ออกจะ...
ฉันสบตามองเรย์ลี่อีกครั้ง เธอเอียงคอสงสัยว่าฉันจ้องเธอทำไม
เล่นตามน้ำไปก่อนนะจะดีกว่า เล่นบทเป็นคนความจำเสื่อม
“คือ...ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงดี”
“ไม่ยากค่ะ!” เรย์ลี่ยกนิ้วชี้ตัวเอง “ทำตามคำแนะนำรุ่นพี่อย่างหนูก็พอ!”
“รุ่นพี่!?”
“อ่า...เรื่องนั้นจะให้บอกตอนนี้กลัวจะสับสนเปล่าๆ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะคะ อยากกินอะไรสักหน่อยไหมคะ น้ำไหม?”
เรย์ลี่พูดเสร็จหยิบชามดินเผาที่มีน้ำใสสะอาดยื่นมาวางพื้นกึ่งกลางระหว่างเราสองคนเหมือนรู้ว่าฉันยังไม่ไว้ใจเธอ พอเด็กคนนั้นถอยหลังนั่งที่เดิมเสร็จฉันถ่อยๆ กระเถิบตัวเข้าไปหยิบชามยกซดน้ำสามอึกอย่างหิวกระหาย
ทำไมน้ำนี่ถึงสดชื่นมากแฮะ
ฉันละชามออกจากปากแล้วก้มดูน้ำที่อยู่ในนั้น...มันทำให้ร่างกายชาไปทั้งตัวทันที ไม่ใช่เพราะน้ำมันมีสิ่งผิดปกติแต่สิ่งที่ผิวน้ำสะท้อนให้เห็นภาพนั้นคือใบหน้าของใครคนหนึ่งที่ฉันเป็นอยู่ เป็นเด็กผู้หญิงมอต้นผมยาวถึงคางสีขาวตาสีแดงเป็นคนๆ เดียวกันกับที่ฉันฝังใจปวดร้าวยิ่งกว่าเรื่องลูกสาวตัวเอง ประโยคสุดท้ายของเจ้าของหน้าใบนี้กลับมาวนเวียนในหัวอีกครั้ง
(“เฟลิกซ์...ทำไมถึงหลอกฉัน เฟลิกซ์...ทำไมถึงหลอกฉัน เฟลิกซ์...ทำไมถึงหลอกฉัน”)
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
เปล้ง!
ชามดินเผาแตกกระจายเพราะเขวี้ยงมันออกไปแล้วก้มหน้าก้มตามกรี๊ดร้องแล้วร้องไห้ฟูมฟาย เรย์ลี่สะดุ้งตกใจรีบลุกขึ้นมาดูอาการใกล้ๆ แต่ฉันไม่สนใจเพราะตอนนี้ในหัวกำลังดิ่งห้วงลึกกับความคิดของตัวเอง
ฉันไม่ได้ตั้งใจ! ฉันขอโทษ...ขอโทษ...มันกลายเป็นแบบนี้เพราะไอ้พระเจ้าเฮงซวยนั่นแน่ๆ!
ใช่...เป็นเพราะพระเจ้ามันแกล้งฉัน!
“ฮะฮะฮะฮ่าๆๆๆๆ เรื่องนั่นเป็นเพราะพระเจ้านะ อันนา ช่ายใช่...มันต้องแบบนั้นแน่ๆ”
บัดนี้เฟลิกซ์กำลังกอดเข่าหัวเราะพูดกับตัวเองราวกับคนบ้า ที่เป็นแบบนี้เพราะอดกลั้นกับความรู้สึกผิดไว้มานานแสนนานกับเรื่องในอดีต เรย์ลี่เห็นท่าไม่ดีเดินกลับไปหยิบไม้คทาแล้วเอามาจ่อใกล้หัวฉัน เธอพึมพำถึงคำร่ายบางอย่างที่ไม่ได้สนใจจะฟังมัน แสงสีฟ้าอ่อนที่อบอุ่นไปทั่วร่างชวนให้เปลือกตาอ่อนล้าจนหลับลงไปไม่รู้ตัว เจ้าของคทายืนมองดูร่างเฟลิกซ์ที่หลับใหลด้วยสีหน้ากังวลแล้วพูดออกมาตามความคิดในหัวตัวเอง
“แปลกเกินไปแล้ว ทำไมเด็กใหม่อย่างเธอถึงได้---หรือว่า”
◊◊◊
เมื่อคืนฉันเป็นบ้าอะไรขึ้นมาวะ?
เพราะคิดมากเรื่องอันนา...แค่นั้นจริงๆ หรอ
ไม่มั้ง...เพราะโดนพระเจ้าร้ายนั่นปั่นหัวมาด้วย
ช่างหัวมัน! อ๊าก!
น้ำเย็นในแม่น้ำกระเด็นใส่หน้าเพราะเอามือขวาทุบลงไปก่อนที่จะควักน้ำขึ้นมาลูบหน้าอีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ฉันถูกปลุกขึ้นมาโดยถูกเรย์ลี่บอกว่าจะออกเดินทางกันต่อเพื่อหนีพวกที่ไล่ล่าตัวฉัน ซึ่งด้วยความที่ฉันเพิ่งตื่นเลยพยักหน้ารับรู้เลยไม่ได้ถามว่าพวกเขาตามล่าฉันด้วยเรื่องอะไรกันแน่เลยขอตัวมาล้างหน้า เรย์ลี่บอกทางมายังแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลนักซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว เลือกที่จะหนีไปเลยก็ได้แต่ไม่ทำแบบนั้นเพราะคิดว่าไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
ต้องขอบใจนานามิที่เคยลากฉันไปฝึกภาคสนามเกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเลยมีความรู้ติดตัวมาบ้าง ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงสติแตกไปแล้ว...
แต่ว่าเรื่องที่เจอมานีมีแต่เรื่องไม่เข้าใจ สรุปแล้วไอ้พระเจ้านั่นส่งฉันมาโลกอะไรกันแน่เนี่ย...แปลกหูแปลกตาไปหมด ทรงเลขาคณิตรอบตัวไหงมีแต่ทรงหกเหลี่ยม ถึงจะไม่เหมือนกันทั้งหมดก็เหอะแต่ดูรวมๆ แล้วก็หกเหลี่ยมทั้งนั้น เฮ้อ...
ถอนหายใจแล้วมองผิวน้ำตรงหน้าอีกครั้ง ระลอกคลื่นที่เกิดจากใช้มือทุบลงไปเริ่มนิ่งทำให้เห็นใบหน้าตัวเองที่ไม่ใช่เฟลิกซ์อีกต่อไป มันเป็นใบหน้าของคนที่ทำให้เธอทุกข์ทรมานใจไม่แพ้เรื่องลูกสาว
มันต้องใช่แน่ๆ ไอ้พระเจ้าเฮงซวยมันแกล้งเอาหน้าอันนามาแปะหน้าฉัน...กะให้ทรมานไปตลอดชีวิตใช่ไหม!
ตะโกนร้องในใจที่หวังว่าคนที่เป็นพระเจ้าที่ส่งเธอมาได้ยินซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะฟังอยู่หรือไม่แต่เหตุผลที่ทำลงไปจริงๆ ก็คือการระบายอารมณ์
เชอะ...แล้วยังจะแขนซ้ายนี่อีก มันเป็นเหล็กบางอย่างแน่ๆ แต่ทำไมขยับมันไม่ได้เลยวะ?
พยายามส่งความรู้สึกไปยังแขนซ้ายที่เป็นเหล็กเงินวาววับตั้งแต่ช่วงไหล่ยันมือที่ใหญ่กว่าปกติเหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนในโลกเก่า พอสำรวจแขนซ้ายตัวเองไปเรื่อยๆ ก็พบกับช่องว่างรูโหว่ทรงหกเหลี่ยมตรงหน้าต้นแขนเป็นหลุมหน้ากว้างสิบเซ็น
เป็นช่องให้ใส่หรือเปล่า? แล้วยังจะมีชื่อตัวเองแปะอยู่ที่แขนอีก พระเจ้านั่นกะจะไม่ให้ฉันลบตัวตนเดิมเลยใช่ไหมเนี่ย
ฉันหมายถึงตรงลำแขนซ้ายที่เป็นเหล็กมันมีตัวอักษรสลักชื่อเธอว่า [เฟลิกซ์] สีขาวตัวใหญ่ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด
แบบนี้เลยโกหกเรื่องชื่อกับเด็กคนนั้นไม่ได้...มีแต่เรื่องเฮงซวย
และนั่นก็บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ฉันเดินกลับไปยังแค้มป์ไฟที่ดับมอดไปแล้วพบกับใครอีกคนเป็นผู้หญิงที่ดูมีอายุมากกว่าเรย์ลี่หน่อยกำลังยืนคุยกับเธออยู่ พอเห็นฉันเดินเข้ามาทำท่าตกใจและทีนี่ฉันก็เห็นคนแปลกหน้าชัดๆ เธอใส่ชุดเกราะอัศวินสีเทาเหมือนหลุดมาจากโลกแฟนตาซีผมเขียวสว่างตาสีเหลืองทองที่หรี่ตาพิจารณามองมามันทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบใจเวลาที่ถูกมองแบบนั้นก่อนที่จะเปลี่ยนท่าทียิ้มน้อยแล้วเดินเข้ามายื่นมือจะเช็คแฮนด์ ดาบเล่มยักษ์ที่สะพายหลังยิ่งทำให้ฉันระแวงนาง
“เป็นเธอเองสินะ ผู้กล้าตามทำคำนาย...ฉันเชสเซอร์ อัศวินแห่งอาณาจักรนิวส์ไลฟ์...อ่าชุดแปลกดีนะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมเพราะฉันยังไม่กล้าที่จะจับมือตอบ เรย์ลี่กระแอมเสียงเดินเข้ามาอยู่ข้างๆ ฉัน
“เชสเซอร์...ผู้กล้ายังเป็นเด็กใหม่อยู่นะ เธอกำลังทำให้เขากลัว”
“นั่นสิ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้กลัวด้วยท่านผู้กล้า”
ที่ฉันกลัวไม่ใช่แค่นั้น แต่ดาบที่หล่อนสะพายหลังอยู่เล่มใหญ่ชะมัด ใหญ่กว่าแขนอีกนะเนี่ย
ที่กลัวแบบนั้นเพราะยังฝังใจเรื่องเมื่อวานที่เกือบถูกตัดหัว…
ว่าแต่อะไรเด็กใหม่นะ!?
ความสงสัยนั้นเก็บลงลิ้นชักไปเพราะมีอีกเรื่องที่อยากถามมากกว่า ฉันที่ถูกเรียกสรรพนามว่า [ผู้กล้า] เลยปริปากถาม
“เอ่อ...ช่วยบอกเรื่องนั้นได้ไหม คำทำนายผู้กล้าอะไรนั่น...”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวจะเล่าระหว่างเดินทางล่ะกันนะ” เรย์ลี่บอก “ถ้าเราไม่เดินทางตอนนี้อีกชั่วโมงพวกนั้นจะไล่ตามทันแล้วตามสายข่าวที่เชสเซอร์บอก”
“อือ ใช่แล้วค่ะ...เดี๋ยวฉันจะคุ้มกันข้างหลังให้เอง”
เชสเซอร์เอาแขนขวาทาบหน้าอกคัพดีอย่างเต็มภาคภูมิเหมือนว่าการแสดงท่าทางแบบนั้นเป็นการเคารพต่อผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่า...ซึ่งผู้ที่ถูกเคารพก็คือเรย์ลี่ที่มีบุคลิกและการแสดงออกเหมือนเด็ก เธอตะโกนแล้วชูคทาชี้ขึ้นฟ้า
“ออกเดินทางกันเถอะ!”
◊◊◊
[ครึ่งชั่วโมงต่อมา]
“ป่าเอลฟ์แถวนี้มันอุดมสมบูรณ์เกินไปนะเนี่ย”
เรย์ลี่ที่เดินนำทางห่างไม่กี่ก้าวพูดบรรยายทัศนีย์ภาพโดยรอบ
“เฉพาะที่อยู่ใกล้แม่น้ำเท่านั้นละคะ ท่านนักเวทย์”
เชสเซอร์บอกกับเรย์ลี่ ซึ่งทำให้เธอทำหน้าไม่พอใจ
“เรียกฉันว่าเรย์ลี่ก็พอย่ะ”
“ไม่ค่ะ ท่านนักเวทย์”
“เฮ้อ เชสเซอร์ก็เป็นงี้แหละเนอะเฟลิกซ์”
เรย์ลี่เอี่ยวตัวเข้ามาใกล้ พยายามทำเป็นตีสนิทกับฉัน
เด็กคนนี้ยังไงกันนะ ไม่กลัวคนแปลกน่าอย่างฉันบ้างหรือไง
แต่เห็นคนข้างหลังเรียกเด็กนี่ว่านักเวทย์...เจ้าพระเจ้านั่นส่งฉันมายังโลกแฟนตาซีเวทมนต์สินะ
ปึ่ก!
แขนซ้ายเหล็กเกี่ยวไปโดนกิ่งไม้ระหว่างเดินซึ่งมันก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะมันเกี่ยวจนหักไปเองแต่มันทำให้ฉันหงุดหงิดกับการที่ขยับแขนเหล็กนี่ไม่ได้เลย
แขนง่อยเหล็กนี่เกะกะชะมัด
“นี่ๆ ไงว่าอยากรู้เรื่องคำทำนายไง”
เรย์ลี่เอาศอกสะกิดข้างเอวถาม
“รอให้พูดอยู่”
“อ้าว!? งั้นหรอ โทษทีๆ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
จู่ๆ เชสเซอร์ที่เดินคุ้มกันข้างหลังถามแทรกขึ้นมา เรย์ลี่ยิ้มชอบใจ
“ก็เรื่องคำทำนายผู้กล้านั้นไง เฟลิกซ์เขาอยากรู้อ่ะ...ดีเลย! เธอรู้ดีกว่าฉันแน่ๆ ช่วยเล่าแทนหน่อยนะ”
สีหน้ายุ่งยากของเชสเซอร์ปั้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแต่เรย์ลี่ไม่สนใจออกเดินหน้านำต่อไป แล้วฉันกับอัศวินเดินคู่ท้ายต่อไปซึ่งหล่อนถอนหายใจ
“เฮ้อ เรื่องที่อาเซียบอกไว้ท่าจะจริง” เชสเซอร์บ่นบางเรื่องที่เกี่ยวกับเรย์ลี่ “ท่านผู้กล้าอยากจะรู้เรื่องนั้นแน่ใช่ไหมคะ”
“อ่า...แน่นอน”
“แล้ว...พอรู้เรื่องพื้นฐานของโลกนี้หรือยังคะ”
ฉันส่ายหน้า อัศวินสาวทำท่าไม่อยากเชื่อ
“ท่านนักเวทย์ไม่ได้บอกอะไรเลย!?”
“คือยังไงดีล่ะ...ฉันเองเพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อคืนนี้เอง”
“อ๋อเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะเล่าแบบเข้าใจง่ายที่สุดละกันคะ” เชสเซอร์ว่า “เป็นเวลากว่าแปดร้อยปีแล้วโลกที่เราอาศัยอยู่เรียกกันว่า [คริสตัลฟอร์] ผู้คนที่มายังโลกนี้ล้วนผ่านประตูที่เรียกว่า [เกท] โดยปราศจากความทรงจำใดๆ พวกเราไม่ทราบประสงค์ของพระเจ้าว่าทำไมถึงทำเช่นนี้ แต่เมื่อดินแดนคริสตัลฟอร์เกิดปัญหาเมื่อใด ท่านมักจะส่งผู้กล้าผ่านเกทมาช่วยขจัดปัญหานั้นให้หมดไป อย่างเช่นสงครามปีศาจเมื่อสองร้อยปีก่อน...และคราวนี้ก็เช่นกัน สงครามระหว่างมนุษย์และเอลฟ์ที่ยืดเยื้อมานานก็มีคำทำนายการมาของผู้กล้าอย่างท่าน”
“เดี๋ยวนะ...คือ...ฉันไม่ค่อยเข้าใจ” ฉันคิดตามไม่ทัน
“ไม่แปลกหรอกค่ะเพราะเราเล่าย่อเกินไป ถ้าจะให้เล่าทั้งหมดอาจจะกินเวลาคืนหนึ่งเลย ไม่เหมาะกับการเดินไปเล่าไปหรอกค่ะ มันทำให้การระวังตัวจากสิ่งรอบข้างลดลง”
เชสเซอร์ตอบแล้วมองระวังรอบตัวเช่นเดิม
ฮ่าๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจสินะ
ถึงจะคิดแบบนั้นก็เลือกที่จะถามต่อ
“แต่ว่า...ถ้าเป็นงั้นจริง คำทำนายที่ว่า...มาจากไหน”
“จากการทำพิธีกรรมหน้าเกทค่ะ” เชสเซอร์ว่า
“นั่นแหละปัญหา!” เรย์ลี่หันบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ”คนทำพิธีฝั่งมนุษย์พูดอีกอย่างหนึ่ง ฝั่งเอลฟ์ก็พูดอีกอย่างหนึ่ง ต่างฝ่ายเข้าข้างกันเองว่าคนที่จะปรากฏตัวจากเกทตรงต้นแม่น้ำคริสตัลจะเป็นผู้กล้าฝั่งของตัวเอง พอถึงเวลาจริงๆ แล้วเฟลิกซ์กลับไม่ได้มีรูปลักษณ์ตรงกับคำทำนายเลยสักฝั่ง”
“รูปลักษณ์!?”
“พอเป็นแบบนั้นแล้ว...เจ้าพวกบ้าสงครามนั่นเลยจะใช้เธอเป็นแพะรับบาปจุดชนวนสงครามแทน เฮ้อ”
เรย์ลี่เล่าจบแล้วถอนหายใจ ส่วนฉันยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยถามรายละเอียดบางอย่าง
“แล้วรูปลักษณ์ที่ว่านี่ มันเป็นยังไง”
“ก็...ฝั่งอาณาจักรมนุษย์ทำนายว่าจะเป็นผู้ชายถือดาบศักดิ์สิทธิปัดเป่าพวกเอลฟ์ที่แอบอ้างเป็นผู้นำแสงสว่าง...ฝั่งเอลฟ์ก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่เป็นเอลฟ์แท้ผู้ชายเจ้าแห่งเวทย์ศักดิ์สิทธิ ซึ่งตอนนี้...”
เรย์ลี่หยุดเดินแล้วจ้องที่แขนซ้ายฉัน
“คุณกลายเป็น [Fake] หรือ [ผู้กล้าจอมปลอม] สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีใครชอบกึ่งมนุษย์อย่างคุณกับเรย์ลี่หรอก”
กึ่งมนุษย์...
พอคิดทวนตามนั้นแล้วก้มมองดูแขนซ้ายจักรกลที่อยู่ในสภาพแบตหมด
เจ้านี่เป็นตัวชี้วัดหรอ? เดี๋ยวสิ ตะกี้เด็กนี่บอกว่าตัวเธอเองก็เป็น...
ฉันเงยหน้าสบตาเรย์ลี่ที่กำลังหัวเราะคุกคิก
“ดูไม่ออกใช่ไหมล่ะว่าฉันเป็นกึ่งมนุษย์”
“ท่านนักเวทย์คะ” เชสเซอร์เข้ามาเสริม “ไม่มีใครดูท่านออกหรอกถ้าเสกคาถาพรางส่วนนั้นไว้”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แบร่!” คนที่ถูกบอกนั้นแลบลิ้นใส่
“ไม่ทราบว่าท่านได้ทำตามกฎระเบียบกับเด็กใหม่หรือยังคะ”
จู่ๆ เชสเซอร์เข้าโหมดจริงจัง เรย์ลี่เงนหน้าขึ้นเล็กน้อยมองอัศวินสาว
“เอ๋...มันหน้าที่เธอหรอที่ต้องเตือนฉัน”
“เป็นหน้าที่พลเมืองของอาณาจักรอย่างเราๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงคะ ถึงได้ต้องเตือนท่าน”
“เฮ้อ...เคร่งกฎระเบียบจัง” เรย์ลี่แบมือส่ายหัว
“งั้นดิฉันจะทำเองค่ะ” เชสเซอร์ก้มหัวเล็กน้อยแล้วหันมาคุยกับฉัน “ท่านผู้กล้าไม่ทราบว่าท่านพอมีความจำจากโลกปลายทางเกทบ้างหรือไม่”
“ความจำ!? หมาย---”
ฉันกำลังจะถามย้ำให้แน่ใจว่าเรื่องที่ได้ยินมันถูกหรือไม่ แต่เรย์ลี่กลับแทรกตัวเข้ามาโอบไหล่
“อ๋อ! บัดโธ่! เรื่องนี้เองล่ะเชสเซอร์ ฮ่าๆ ฉันถามเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ ผู้กล้าก็เหมือนกับเราๆ นี่แหละ จำอะไรไม่ได้เลย”
“อ้าว? เมื่อครู่นี้ท่านยังบอกว่ายังไม่ได้ถาม” เชสเซอร์ว่า
“เอ...ฉันนึกว่าอีกเรื่องหนึ่งไง เออ...ไอ้ที่เล่านิทานนั่น”
“งั้นเหรอค่ะ...ขออภัยด้วยที่ดิฉันเข้าใจผิดไปเอง”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ”
เรย์ลี่ดันตัวฉันเดินคู่นำขึ้นมาให้ห่างจากเชสเซอร์แล้วกระซิบบอก
“อย่าไปบอกเรื่องความจำชาติที่แล้วกับคนอื่นเด็ดขาดนะ”
“หือ? ทำไมล่ะ...ในเมื่อฉันก็จำ...”
ฉันถามกลับอย่างเผลอตัว...รอยยิ้มเรย์ลี่ที่พึงพอใจกับคำถามนั้น อีกไม่กี่วินาทีต่อมาฉันเริ่มรู้สึกตัวเลยเบิกตาโต
เวรล่ะ เด็กนี่หลอกให้เราเผยไต๋นี่หว่า
“ทำไมเธอถึงรู้เรื่องนั่น” ฉันถามด้วยน้ำเสียงเบาที่สุด
“ก็เมื่อคืนคุณพล่ามอะไรไปไม่รู้ตัวเลยหรอ เรย์ลี่แค่อยากให้แน่ใจเท่านั้นเอง”
เมื่อคืน...เรื่องอันนาแน่ๆ
พอนึกได้ฉันแทบจะอยากเอาหัวโขกกับต้นไม้แถวนั้น
กะไว้ว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้แต่โดนเด็กนี่รู้จนได้
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เรย์ลี่ไม่บอกคนอื่นหรอก...แค่ค่อยๆ เล่าเรื่องของโลกที่เธอมาเมื่อเรย์ลี่ต้องการก็พอ อิอิ”
หล่อนพูดเสร็จแล้วเดินนำชิวสบายตัว ปล่อยให้ฉันที่ภายในใจหนักอึ้งอยู่คนเดียว...ก่อนที่จะค่อยๆ ยกมันออก
แต่ถ้าเป็นเด็กคนนี้คงไว้ใจได้ระดับหนึ่งอ่ะมั้ง ดูไม่มีพิษไม่มีภัยถ้าไม่ได้อยู่กับฝ่าย...
เดี๋ยวๆ ตามที่พวกเขาสองคนเหล่าว่าฝ่ายมนุษย์กับเอลฟ์ทำสงครามกัน...งั้นแสดงว่าทั้งสองคนก็...
“พวกคุณสองคนอยู่ฝ่ายไหนกัน”
คำถามนั้นทำให้ทั้งสองคนหยุดเดินแล้วมองมาที่ฉันทั้งคู่ ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
แย่ล่ะ ไม่น่าถามเลยเรา
“ฝ่ายที่สาม...ละมั้ง ไม่ต้องห่วงหรอก...พวกเราจะดูแลคุณเป็นอย่างดี ว่าที่ผู้กล้า”
เรย์ลี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นครั้งแรกที่เห็นท่าทางแบบนั้น บรรยากาศเริ่มตึงเครียดหนักกว่าเก่าแต่ทว่า...
เปล้ง!?
ด้ามมีดที่ถูกขว้างมาจากข้างหลังปะทะกับต้นแขนซ้ายของฉันแต่กลับไม่มีบาดแผลเพราะมันเป็นเหล็ก มันทำลายบรรยากาศที่เป็นอยู่ให้หายไปทันที เชสเซอร์ต่างตั้งการ์ดอาวุธตัวเองไปยังทางด้านหลังที่เดินผ่านมา ลูกธนูเกินสิบลูกกำลังพุ่งเป้ามาทางนี้!
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.1 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
และแล้วเฟลิกซ์ต้องจำใจเดินทางร่วมกับเรย์ลี่และเชสเซอร์ไปเพราะเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกนี้
ระหว่างที่คุยกันนั้นเกิดมีมีดปริศนาโผล่มาแล้วยังมีลูกธนูอีก!? พวกเขาถูกพวกไหนไล่ตามมาล่ะ?
แล้วหลังจากนี้เฟลิกซ์จะเอาตัวรอดได้หรือไม่
โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปที่มีชื่อว่า
หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 2 - [ไล่ล่าผู้กล้า(จอมปลอม)]
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
By Spy442299
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
หนีกลางสมรภูมิรบ 1 - [คำทำนายการมาของผู้กล้าคนใหม่]
◊◊◊
อะไรเนี่ย...นี่ฉันอยู่ที่ไหนกัน...คนพวกนั้นเป็นใครกัน!?
เพราะสติมันค่อนข้างจะเลือนรางเกินไปเลยมองเห็นไม่ชัดว่านักรบหลงยุคที่กำลังเดินเข้ามาหานั้นมีหน้าตายังไง เขาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันแล้วใช้เท้าเขี่ยแขนซ้ายอย่างกับเขี่ยแมลงสาปก่อนที่จะใช้มือมาจิกผมฉันลากตามพื้นไป
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!”
เราร้องลั่นกลางสนามรบที่หวาดล้อมไปด้วยทหารทั้งสองฝ่ายเพราะเจ็บบริเวณหนังหัวมาก พอโดนลากเข้าไปใกล้นักรบอีกคนที่เริ่มเห็นลางๆ แล้วว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายเอลฟ์เพราะมีส่วนหูที่แหลมยาว ฉันโดนเหวี่ยงกลิ้งไปข้างหน้าเล็กน้อย
“แกทำอะไรกับผู้กล้าตามทำนายของพวกเรา! ไซบอร์กเนี่ยนะ!? พวกแกใช้ศาสตร์มืดสาปแช่งใช่ไหม!!”
“พวกเราต่างหากที่ต้องหาคำตอบจากพวกแก! ทำไมถึงกลายเป็นมนุษย์ไปได้!”
“นี่มันไม่ใช่มนุษย์! กึ่งมนุษย์กึ่งปีศาจต่างหาก!”
หลังจากนั้นผู้ชายทั้งสองคนโต้เถียงอย่างดุเดือด ทหารทั้งสองฝ่ายตั้งท่ารอปะทะกันเต็มร้อยแต่ฉันสนใจคำพูดบางอย่างที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกัน
ผู้กล้า!? ฉันหรอ?
“อ๊าก!”
เราร้องเจ็บอีกครั้งเพราะโดนจิกหัวให้คอลอยสูงขึ้นอยู่ในระดับหัวเข่าของใครบางคนแล้วมีดาบเล่มหนึ่งมาจ่อที่คอพร้อมคำเกรี้ยวกราด
“ในเมื่อพวกเอลฟ์ต่ำช้าบังอาจใช้พลังแทรกแซงเกทเปลี่ยนผู้กล้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน พวกเราจะไม่ทนอีกต่อไป! ในนามอาณาจักรมนุษย์ข้าขอประกาศว่าดินแดนตรงประตูเกทแห่งนี้เป็นของพวกเรา!! และของสกปรกใดๆ ก็ตามที่เอลฟ์ใช้ศาสตร์มืดอย่างเจ้านี่ต้องถูกชำระล้างหายไปจากโลกนี้ทั้งหมด!”
อ้าวเฮ้ย! จากผู้กล้าไหงกลายเป็นสวะซะงั้นละ!?
หัวใจเต้นโครมครามเป็นอย่างมาก อยากจะหนีก็หนีไม่ได้เพราะไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย เอลฟ์ผู้ชายเดินถอยหลังเล็กน้อย เริ่มส่งซิกให้พรรคพวกที่อยู่ข้างหลังและแล้วฉันก็โดนลากพลิกตัวกลับไปทางกองกำลังทหารของอาณาจักรมนุษย์กะโชว์พิธีสังหารเรียกขวัญกำลังใจ
“เหล่าทหารทุกคน! นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามที่แท้จริง! ปีศาจในคมดาบข้าจะหลั่งเลือดให้พินาศเพื่ออาณาจักรมนุษย์!”
“เฮ!!!”
เหล่าทหารตอบรับอย่างพร้อมเพียงกัน คมดาบตรงคอเตรียมปลิดชีวิตฉัน ถ้าไม่ใช่ว่ามีใครบางคนกระโดดสูงออกมาจากในกลุ่มทหารอาณาจักรมนุษย์แล้วใช้เท้าคู่ถีบคนที่ใช้ดาบจี้คออยู่กระเด็นลงไปนอนกลับพื้นฉันหงายหน้าลงไป สร้างความตกตะลึงทั้งสองฝ่ายอย่างมาก
ใครน่ะ!? ใครมาช่วยฉัน...
พยายามเพ่งตามองเท่าไหร่ยิ่งแสบตาขึ้นมาเท่านั้นเพราะมีแสงพระอาทิตย์อยู่ตรงหน้าพอดี รูปร่างของคนที่มาช่วยนั้นฉันไม่แน่ใจนักเพราะมันย้อนแสงแต่น่าจะเป็นผู้หญิงผมเปียถักยาวคู่สีเหลืองเด่นชัด รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจของคนที่มาช่วยนั้นฉันเดาเจตนาไม่ออกจริงๆ ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างยิ่งคำพูดที่เธอบอกกับฉันยิ่งแล้วใหญ่ หล่อนพูดว่า
“เธอน่าสนใจดีนะ”
ในที่สุดสติฉันหลุดลอยหายไป
◊◊◊
ปวดๆๆๆๆๆๆๆ
ความรู้สึกแรกที่ตอบสนองหลังจากที่ฉันได้สติ
ทำไมปวดหัวอย่างงี้นะ
ตาค่อยๆ ลืมขึ้น...พบกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างค่อนข้างมาก มันแปลกสำหรับฉันเพราะปกติแล้วอยู่แต่ในตัวเมืองมักถูกแสงไฟในเมืองบดบังแสงจันทร์หมด ไม่ค่อยมีโอกาสเห็นดวงจันทร์ส่องแสงมากขนาดนี้มาก่อน...แต่รูปลักษณ์ของดวงจันทร์นั้นทำให้ฉันงุนงง
พระจันทร์หกเหลี่ยม!? นี่ฉันเพี้ยนไปแล้วแน่...ทำไมรู้สึกเท้าฉันมันอุ่นๆ
เรายกคอขึ้นมาดูสิ่งที่อยู่ปลายเท้า มันเป็นกองไฟกองเล็กที่ไม่ค่อยมีควัน รอบตัวมีแต่ต้นไม้น่าจะอยู่กลางป่าและเป็นป่าที่ดูประหลาดเพราะใบไม้ทุกคนมีลักษณะเป็นหกเหลี่ยมหมด เสื้อคลุมหนังสัตว์สภาพไม่ค่อยดีห่มตัวอยู่ซึ่งชุดจริงๆ ที่ฉันใส่อยู่นั้นดูคล้ายชุดนักเรียนมอต้นกะลาสีมีโบว์สีแดง...ฉันพยายามใช้มือขวายันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเลเพราะแขนซ้ายไม่มีแรง พอลุกขึ้นมานั่งได้เลยเงยหน้าขึ้นเพิ่งเห็นใครบางคนนั่งหลับพิงต้นไม้อยู่เป็นผู้หญิงอายุน่าจะราวๆ สิบขวบ ผมเปียถักยาวคู่สีเหลือง ชุดที่ในคงบอกได้ว่าเหมือนพวกนักผจญภัยยุคโบราณที่ช่องกระเป๋าซ่อนรอบตัว ข้างตัวเธอมีไม้เท้าหัวขดคล้ายคทาที่อยู่ในภาพยนตร์และเกมโดยที่กลางหัวขดนั้นมีก้อนหินสีฟ้าใสหกเหลี่ยมฝังแน่นอยู่
เด็กคนนี้เป็นใคร?
นัยน์ตาสีดำของเด็กน้อยลืมตาขึ้นมาบรรจบมองตรงที่ฉันอย่างงวงเงียก่อนที่จะเยียดแขนเยียดขาบิดขี้เกียจก่อนที่จะส่งรอยยิ้มที่ปราศจากการแสแสร้ง
“ตื่นแล้วหรอคะ ท่านว่าที่ผู้กล้า”
“ว่าที่!? เอ๊ะ!?”
อย่างแรกฉันตกใจกับสรรพนามที่ถูกเรียก อย่างที่สองน้ำเสียงฉันเปลี่ยนไป...เสียงมันแหลมเล็กเหมือนเด็กและเป็นโทนเสียงที่คุ้นหูเป็นอย่างมาก ส่วนอย่างที่สาม...เสียงของเด็กตรงหน้าที่เรียกฉันว่า [ผู้กล้า] เป็นคนๆ เดียวที่ช่วยฉันไว้เลยทำให้นึกเหตุการณ์ก่อนที่จะหมดสติออกจนหมด
พระเจ้าที่แช่งฉัน...พวกคนที่จะปาดคอฉัน...
ฉันกลืนน้ำลายหนึ่งทีแล้วค่อยๆ กระเถิบถอยห่างออกมาเล็กน้อย เด็กสาวตรงหน้าเห็นปฏิกิริยาของฉันแล้วหัวเราะแห้งๆ
“ท่าทางนั่นนึกว่าหนูเป็นพวกคนไม่ดีใช่ม่ะ...เรย์ลี่หลงคิดว่าจะจำหนูได้ซะอีก” เด็กสาวที่เรียกตัวเองว่าเรย์ลี่ เงยหน้ามองดูพระจันทร์ราวกับว่ากำลังย้อนนึกความหลังบางเรื่อง “แต่มันก็ทำให้นึกถึงช่วงมาโลกนี้ใหม่ๆ เลย หนูก็เป็นแบบคุณ จำอะไรไม่ได้เลย...และไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”
“ธะเธอเป็นใครกัน...ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่”
ฉันถามอย่างหวั่นๆ แล้วมองหาสิ่งของรอบตัวที่น่าจะเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวได้ ซึ่งมีแต่ท่อนไม้ที่เป็นฟืนในแค้มป์ไฟแน่นอนว่าจะไม่หยิบมันให้ลวกมือแน่ๆ
“หนูชื่อเรย์ลี่ค่ะ เป็นคนช่วยคุณจากกลางดงพวกนักรบไง...จำไม่ได้จริงๆ สินะคะ เฮ้อ”
เรย์ลี่ทำหน้าหมุ่ยถอนหายใจแล้วอธิบายต่อ
“ตอนนี้เราสองคนอยู่กลางป่าเรียบแม่น้ำคริสตัลทางใต้ค่ะ...นี่เป็นวันที่สามแล้วที่แบกคุณมาตลอดทาง”
“สะสามวัน!?”
ทำไมฉันหลับยาวขนาดนั้นล่ะ...แล้วทำไมเด็กนี่ถึงต้องพาฉันมาด้วย...มีแต่เรื่องไม่เข้าใจเลย
แต่จะให้ไว้ใจเลยมันก็ออกจะ...
ฉันสบตามองเรย์ลี่อีกครั้ง เธอเอียงคอสงสัยว่าฉันจ้องเธอทำไม
เล่นตามน้ำไปก่อนนะจะดีกว่า เล่นบทเป็นคนความจำเสื่อม
“คือ...ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงดี”
“ไม่ยากค่ะ!” เรย์ลี่ยกนิ้วชี้ตัวเอง “ทำตามคำแนะนำรุ่นพี่อย่างหนูก็พอ!”
“รุ่นพี่!?”
“อ่า...เรื่องนั้นจะให้บอกตอนนี้กลัวจะสับสนเปล่าๆ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะคะ อยากกินอะไรสักหน่อยไหมคะ น้ำไหม?”
เรย์ลี่พูดเสร็จหยิบชามดินเผาที่มีน้ำใสสะอาดยื่นมาวางพื้นกึ่งกลางระหว่างเราสองคนเหมือนรู้ว่าฉันยังไม่ไว้ใจเธอ พอเด็กคนนั้นถอยหลังนั่งที่เดิมเสร็จฉันถ่อยๆ กระเถิบตัวเข้าไปหยิบชามยกซดน้ำสามอึกอย่างหิวกระหาย
ทำไมน้ำนี่ถึงสดชื่นมากแฮะ
ฉันละชามออกจากปากแล้วก้มดูน้ำที่อยู่ในนั้น...มันทำให้ร่างกายชาไปทั้งตัวทันที ไม่ใช่เพราะน้ำมันมีสิ่งผิดปกติแต่สิ่งที่ผิวน้ำสะท้อนให้เห็นภาพนั้นคือใบหน้าของใครคนหนึ่งที่ฉันเป็นอยู่ เป็นเด็กผู้หญิงมอต้นผมยาวถึงคางสีขาวตาสีแดงเป็นคนๆ เดียวกันกับที่ฉันฝังใจปวดร้าวยิ่งกว่าเรื่องลูกสาวตัวเอง ประโยคสุดท้ายของเจ้าของหน้าใบนี้กลับมาวนเวียนในหัวอีกครั้ง
(“เฟลิกซ์...ทำไมถึงหลอกฉัน เฟลิกซ์...ทำไมถึงหลอกฉัน เฟลิกซ์...ทำไมถึงหลอกฉัน”)
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
เปล้ง!
ชามดินเผาแตกกระจายเพราะเขวี้ยงมันออกไปแล้วก้มหน้าก้มตามกรี๊ดร้องแล้วร้องไห้ฟูมฟาย เรย์ลี่สะดุ้งตกใจรีบลุกขึ้นมาดูอาการใกล้ๆ แต่ฉันไม่สนใจเพราะตอนนี้ในหัวกำลังดิ่งห้วงลึกกับความคิดของตัวเอง
ฉันไม่ได้ตั้งใจ! ฉันขอโทษ...ขอโทษ...มันกลายเป็นแบบนี้เพราะไอ้พระเจ้าเฮงซวยนั่นแน่ๆ!
ใช่...เป็นเพราะพระเจ้ามันแกล้งฉัน!
“ฮะฮะฮะฮ่าๆๆๆๆ เรื่องนั่นเป็นเพราะพระเจ้านะ อันนา ช่ายใช่...มันต้องแบบนั้นแน่ๆ”
บัดนี้เฟลิกซ์กำลังกอดเข่าหัวเราะพูดกับตัวเองราวกับคนบ้า ที่เป็นแบบนี้เพราะอดกลั้นกับความรู้สึกผิดไว้มานานแสนนานกับเรื่องในอดีต เรย์ลี่เห็นท่าไม่ดีเดินกลับไปหยิบไม้คทาแล้วเอามาจ่อใกล้หัวฉัน เธอพึมพำถึงคำร่ายบางอย่างที่ไม่ได้สนใจจะฟังมัน แสงสีฟ้าอ่อนที่อบอุ่นไปทั่วร่างชวนให้เปลือกตาอ่อนล้าจนหลับลงไปไม่รู้ตัว เจ้าของคทายืนมองดูร่างเฟลิกซ์ที่หลับใหลด้วยสีหน้ากังวลแล้วพูดออกมาตามความคิดในหัวตัวเอง
“แปลกเกินไปแล้ว ทำไมเด็กใหม่อย่างเธอถึงได้---หรือว่า”
◊◊◊
เมื่อคืนฉันเป็นบ้าอะไรขึ้นมาวะ?
เพราะคิดมากเรื่องอันนา...แค่นั้นจริงๆ หรอ
ไม่มั้ง...เพราะโดนพระเจ้าร้ายนั่นปั่นหัวมาด้วย
ช่างหัวมัน! อ๊าก!
น้ำเย็นในแม่น้ำกระเด็นใส่หน้าเพราะเอามือขวาทุบลงไปก่อนที่จะควักน้ำขึ้นมาลูบหน้าอีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ฉันถูกปลุกขึ้นมาโดยถูกเรย์ลี่บอกว่าจะออกเดินทางกันต่อเพื่อหนีพวกที่ไล่ล่าตัวฉัน ซึ่งด้วยความที่ฉันเพิ่งตื่นเลยพยักหน้ารับรู้เลยไม่ได้ถามว่าพวกเขาตามล่าฉันด้วยเรื่องอะไรกันแน่เลยขอตัวมาล้างหน้า เรย์ลี่บอกทางมายังแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลนักซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว เลือกที่จะหนีไปเลยก็ได้แต่ไม่ทำแบบนั้นเพราะคิดว่าไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
ต้องขอบใจนานามิที่เคยลากฉันไปฝึกภาคสนามเกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเลยมีความรู้ติดตัวมาบ้าง ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงสติแตกไปแล้ว...
แต่ว่าเรื่องที่เจอมานีมีแต่เรื่องไม่เข้าใจ สรุปแล้วไอ้พระเจ้านั่นส่งฉันมาโลกอะไรกันแน่เนี่ย...แปลกหูแปลกตาไปหมด ทรงเลขาคณิตรอบตัวไหงมีแต่ทรงหกเหลี่ยม ถึงจะไม่เหมือนกันทั้งหมดก็เหอะแต่ดูรวมๆ แล้วก็หกเหลี่ยมทั้งนั้น เฮ้อ...
ถอนหายใจแล้วมองผิวน้ำตรงหน้าอีกครั้ง ระลอกคลื่นที่เกิดจากใช้มือทุบลงไปเริ่มนิ่งทำให้เห็นใบหน้าตัวเองที่ไม่ใช่เฟลิกซ์อีกต่อไป มันเป็นใบหน้าของคนที่ทำให้เธอทุกข์ทรมานใจไม่แพ้เรื่องลูกสาว
มันต้องใช่แน่ๆ ไอ้พระเจ้าเฮงซวยมันแกล้งเอาหน้าอันนามาแปะหน้าฉัน...กะให้ทรมานไปตลอดชีวิตใช่ไหม!
ตะโกนร้องในใจที่หวังว่าคนที่เป็นพระเจ้าที่ส่งเธอมาได้ยินซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะฟังอยู่หรือไม่แต่เหตุผลที่ทำลงไปจริงๆ ก็คือการระบายอารมณ์
เชอะ...แล้วยังจะแขนซ้ายนี่อีก มันเป็นเหล็กบางอย่างแน่ๆ แต่ทำไมขยับมันไม่ได้เลยวะ?
พยายามส่งความรู้สึกไปยังแขนซ้ายที่เป็นเหล็กเงินวาววับตั้งแต่ช่วงไหล่ยันมือที่ใหญ่กว่าปกติเหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนในโลกเก่า พอสำรวจแขนซ้ายตัวเองไปเรื่อยๆ ก็พบกับช่องว่างรูโหว่ทรงหกเหลี่ยมตรงหน้าต้นแขนเป็นหลุมหน้ากว้างสิบเซ็น
เป็นช่องให้ใส่หรือเปล่า? แล้วยังจะมีชื่อตัวเองแปะอยู่ที่แขนอีก พระเจ้านั่นกะจะไม่ให้ฉันลบตัวตนเดิมเลยใช่ไหมเนี่ย
ฉันหมายถึงตรงลำแขนซ้ายที่เป็นเหล็กมันมีตัวอักษรสลักชื่อเธอว่า [เฟลิกซ์] สีขาวตัวใหญ่ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด
แบบนี้เลยโกหกเรื่องชื่อกับเด็กคนนั้นไม่ได้...มีแต่เรื่องเฮงซวย
และนั่นก็บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ฉันเดินกลับไปยังแค้มป์ไฟที่ดับมอดไปแล้วพบกับใครอีกคนเป็นผู้หญิงที่ดูมีอายุมากกว่าเรย์ลี่หน่อยกำลังยืนคุยกับเธออยู่ พอเห็นฉันเดินเข้ามาทำท่าตกใจและทีนี่ฉันก็เห็นคนแปลกหน้าชัดๆ เธอใส่ชุดเกราะอัศวินสีเทาเหมือนหลุดมาจากโลกแฟนตาซีผมเขียวสว่างตาสีเหลืองทองที่หรี่ตาพิจารณามองมามันทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบใจเวลาที่ถูกมองแบบนั้นก่อนที่จะเปลี่ยนท่าทียิ้มน้อยแล้วเดินเข้ามายื่นมือจะเช็คแฮนด์ ดาบเล่มยักษ์ที่สะพายหลังยิ่งทำให้ฉันระแวงนาง
“เป็นเธอเองสินะ ผู้กล้าตามทำคำนาย...ฉันเชสเซอร์ อัศวินแห่งอาณาจักรนิวส์ไลฟ์...อ่าชุดแปลกดีนะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมเพราะฉันยังไม่กล้าที่จะจับมือตอบ เรย์ลี่กระแอมเสียงเดินเข้ามาอยู่ข้างๆ ฉัน
“เชสเซอร์...ผู้กล้ายังเป็นเด็กใหม่อยู่นะ เธอกำลังทำให้เขากลัว”
“นั่นสิ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้กลัวด้วยท่านผู้กล้า”
ที่ฉันกลัวไม่ใช่แค่นั้น แต่ดาบที่หล่อนสะพายหลังอยู่เล่มใหญ่ชะมัด ใหญ่กว่าแขนอีกนะเนี่ย
ที่กลัวแบบนั้นเพราะยังฝังใจเรื่องเมื่อวานที่เกือบถูกตัดหัว…
ว่าแต่อะไรเด็กใหม่นะ!?
ความสงสัยนั้นเก็บลงลิ้นชักไปเพราะมีอีกเรื่องที่อยากถามมากกว่า ฉันที่ถูกเรียกสรรพนามว่า [ผู้กล้า] เลยปริปากถาม
“เอ่อ...ช่วยบอกเรื่องนั้นได้ไหม คำทำนายผู้กล้าอะไรนั่น...”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวจะเล่าระหว่างเดินทางล่ะกันนะ” เรย์ลี่บอก “ถ้าเราไม่เดินทางตอนนี้อีกชั่วโมงพวกนั้นจะไล่ตามทันแล้วตามสายข่าวที่เชสเซอร์บอก”
“อือ ใช่แล้วค่ะ...เดี๋ยวฉันจะคุ้มกันข้างหลังให้เอง”
เชสเซอร์เอาแขนขวาทาบหน้าอกคัพดีอย่างเต็มภาคภูมิเหมือนว่าการแสดงท่าทางแบบนั้นเป็นการเคารพต่อผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่า...ซึ่งผู้ที่ถูกเคารพก็คือเรย์ลี่ที่มีบุคลิกและการแสดงออกเหมือนเด็ก เธอตะโกนแล้วชูคทาชี้ขึ้นฟ้า
“ออกเดินทางกันเถอะ!”
◊◊◊
[ครึ่งชั่วโมงต่อมา]
“ป่าเอลฟ์แถวนี้มันอุดมสมบูรณ์เกินไปนะเนี่ย”
เรย์ลี่ที่เดินนำทางห่างไม่กี่ก้าวพูดบรรยายทัศนีย์ภาพโดยรอบ
“เฉพาะที่อยู่ใกล้แม่น้ำเท่านั้นละคะ ท่านนักเวทย์”
เชสเซอร์บอกกับเรย์ลี่ ซึ่งทำให้เธอทำหน้าไม่พอใจ
“เรียกฉันว่าเรย์ลี่ก็พอย่ะ”
“ไม่ค่ะ ท่านนักเวทย์”
“เฮ้อ เชสเซอร์ก็เป็นงี้แหละเนอะเฟลิกซ์”
เรย์ลี่เอี่ยวตัวเข้ามาใกล้ พยายามทำเป็นตีสนิทกับฉัน
เด็กคนนี้ยังไงกันนะ ไม่กลัวคนแปลกน่าอย่างฉันบ้างหรือไง
แต่เห็นคนข้างหลังเรียกเด็กนี่ว่านักเวทย์...เจ้าพระเจ้านั่นส่งฉันมายังโลกแฟนตาซีเวทมนต์สินะ
ปึ่ก!
แขนซ้ายเหล็กเกี่ยวไปโดนกิ่งไม้ระหว่างเดินซึ่งมันก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะมันเกี่ยวจนหักไปเองแต่มันทำให้ฉันหงุดหงิดกับการที่ขยับแขนเหล็กนี่ไม่ได้เลย
แขนง่อยเหล็กนี่เกะกะชะมัด
“นี่ๆ ไงว่าอยากรู้เรื่องคำทำนายไง”
เรย์ลี่เอาศอกสะกิดข้างเอวถาม
“รอให้พูดอยู่”
“อ้าว!? งั้นหรอ โทษทีๆ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
จู่ๆ เชสเซอร์ที่เดินคุ้มกันข้างหลังถามแทรกขึ้นมา เรย์ลี่ยิ้มชอบใจ
“ก็เรื่องคำทำนายผู้กล้านั้นไง เฟลิกซ์เขาอยากรู้อ่ะ...ดีเลย! เธอรู้ดีกว่าฉันแน่ๆ ช่วยเล่าแทนหน่อยนะ”
สีหน้ายุ่งยากของเชสเซอร์ปั้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแต่เรย์ลี่ไม่สนใจออกเดินหน้านำต่อไป แล้วฉันกับอัศวินเดินคู่ท้ายต่อไปซึ่งหล่อนถอนหายใจ
“เฮ้อ เรื่องที่อาเซียบอกไว้ท่าจะจริง” เชสเซอร์บ่นบางเรื่องที่เกี่ยวกับเรย์ลี่ “ท่านผู้กล้าอยากจะรู้เรื่องนั้นแน่ใช่ไหมคะ”
“อ่า...แน่นอน”
“แล้ว...พอรู้เรื่องพื้นฐานของโลกนี้หรือยังคะ”
ฉันส่ายหน้า อัศวินสาวทำท่าไม่อยากเชื่อ
“ท่านนักเวทย์ไม่ได้บอกอะไรเลย!?”
“คือยังไงดีล่ะ...ฉันเองเพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อคืนนี้เอง”
“อ๋อเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะเล่าแบบเข้าใจง่ายที่สุดละกันคะ” เชสเซอร์ว่า “เป็นเวลากว่าแปดร้อยปีแล้วโลกที่เราอาศัยอยู่เรียกกันว่า [คริสตัลฟอร์] ผู้คนที่มายังโลกนี้ล้วนผ่านประตูที่เรียกว่า [เกท] โดยปราศจากความทรงจำใดๆ พวกเราไม่ทราบประสงค์ของพระเจ้าว่าทำไมถึงทำเช่นนี้ แต่เมื่อดินแดนคริสตัลฟอร์เกิดปัญหาเมื่อใด ท่านมักจะส่งผู้กล้าผ่านเกทมาช่วยขจัดปัญหานั้นให้หมดไป อย่างเช่นสงครามปีศาจเมื่อสองร้อยปีก่อน...และคราวนี้ก็เช่นกัน สงครามระหว่างมนุษย์และเอลฟ์ที่ยืดเยื้อมานานก็มีคำทำนายการมาของผู้กล้าอย่างท่าน”
“เดี๋ยวนะ...คือ...ฉันไม่ค่อยเข้าใจ” ฉันคิดตามไม่ทัน
“ไม่แปลกหรอกค่ะเพราะเราเล่าย่อเกินไป ถ้าจะให้เล่าทั้งหมดอาจจะกินเวลาคืนหนึ่งเลย ไม่เหมาะกับการเดินไปเล่าไปหรอกค่ะ มันทำให้การระวังตัวจากสิ่งรอบข้างลดลง”
เชสเซอร์ตอบแล้วมองระวังรอบตัวเช่นเดิม
ฮ่าๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจสินะ
ถึงจะคิดแบบนั้นก็เลือกที่จะถามต่อ
“แต่ว่า...ถ้าเป็นงั้นจริง คำทำนายที่ว่า...มาจากไหน”
“จากการทำพิธีกรรมหน้าเกทค่ะ” เชสเซอร์ว่า
“นั่นแหละปัญหา!” เรย์ลี่หันบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ”คนทำพิธีฝั่งมนุษย์พูดอีกอย่างหนึ่ง ฝั่งเอลฟ์ก็พูดอีกอย่างหนึ่ง ต่างฝ่ายเข้าข้างกันเองว่าคนที่จะปรากฏตัวจากเกทตรงต้นแม่น้ำคริสตัลจะเป็นผู้กล้าฝั่งของตัวเอง พอถึงเวลาจริงๆ แล้วเฟลิกซ์กลับไม่ได้มีรูปลักษณ์ตรงกับคำทำนายเลยสักฝั่ง”
“รูปลักษณ์!?”
“พอเป็นแบบนั้นแล้ว...เจ้าพวกบ้าสงครามนั่นเลยจะใช้เธอเป็นแพะรับบาปจุดชนวนสงครามแทน เฮ้อ”
เรย์ลี่เล่าจบแล้วถอนหายใจ ส่วนฉันยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยถามรายละเอียดบางอย่าง
“แล้วรูปลักษณ์ที่ว่านี่ มันเป็นยังไง”
“ก็...ฝั่งอาณาจักรมนุษย์ทำนายว่าจะเป็นผู้ชายถือดาบศักดิ์สิทธิปัดเป่าพวกเอลฟ์ที่แอบอ้างเป็นผู้นำแสงสว่าง...ฝั่งเอลฟ์ก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่เป็นเอลฟ์แท้ผู้ชายเจ้าแห่งเวทย์ศักดิ์สิทธิ ซึ่งตอนนี้...”
เรย์ลี่หยุดเดินแล้วจ้องที่แขนซ้ายฉัน
“คุณกลายเป็น [Fake] หรือ [ผู้กล้าจอมปลอม] สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีใครชอบกึ่งมนุษย์อย่างคุณกับเรย์ลี่หรอก”
กึ่งมนุษย์...
พอคิดทวนตามนั้นแล้วก้มมองดูแขนซ้ายจักรกลที่อยู่ในสภาพแบตหมด
เจ้านี่เป็นตัวชี้วัดหรอ? เดี๋ยวสิ ตะกี้เด็กนี่บอกว่าตัวเธอเองก็เป็น...
ฉันเงยหน้าสบตาเรย์ลี่ที่กำลังหัวเราะคุกคิก
“ดูไม่ออกใช่ไหมล่ะว่าฉันเป็นกึ่งมนุษย์”
“ท่านนักเวทย์คะ” เชสเซอร์เข้ามาเสริม “ไม่มีใครดูท่านออกหรอกถ้าเสกคาถาพรางส่วนนั้นไว้”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แบร่!” คนที่ถูกบอกนั้นแลบลิ้นใส่
“ไม่ทราบว่าท่านได้ทำตามกฎระเบียบกับเด็กใหม่หรือยังคะ”
จู่ๆ เชสเซอร์เข้าโหมดจริงจัง เรย์ลี่เงนหน้าขึ้นเล็กน้อยมองอัศวินสาว
“เอ๋...มันหน้าที่เธอหรอที่ต้องเตือนฉัน”
“เป็นหน้าที่พลเมืองของอาณาจักรอย่างเราๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงคะ ถึงได้ต้องเตือนท่าน”
“เฮ้อ...เคร่งกฎระเบียบจัง” เรย์ลี่แบมือส่ายหัว
“งั้นดิฉันจะทำเองค่ะ” เชสเซอร์ก้มหัวเล็กน้อยแล้วหันมาคุยกับฉัน “ท่านผู้กล้าไม่ทราบว่าท่านพอมีความจำจากโลกปลายทางเกทบ้างหรือไม่”
“ความจำ!? หมาย---”
ฉันกำลังจะถามย้ำให้แน่ใจว่าเรื่องที่ได้ยินมันถูกหรือไม่ แต่เรย์ลี่กลับแทรกตัวเข้ามาโอบไหล่
“อ๋อ! บัดโธ่! เรื่องนี้เองล่ะเชสเซอร์ ฮ่าๆ ฉันถามเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ ผู้กล้าก็เหมือนกับเราๆ นี่แหละ จำอะไรไม่ได้เลย”
“อ้าว? เมื่อครู่นี้ท่านยังบอกว่ายังไม่ได้ถาม” เชสเซอร์ว่า
“เอ...ฉันนึกว่าอีกเรื่องหนึ่งไง เออ...ไอ้ที่เล่านิทานนั่น”
“งั้นเหรอค่ะ...ขออภัยด้วยที่ดิฉันเข้าใจผิดไปเอง”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ”
เรย์ลี่ดันตัวฉันเดินคู่นำขึ้นมาให้ห่างจากเชสเซอร์แล้วกระซิบบอก
“อย่าไปบอกเรื่องความจำชาติที่แล้วกับคนอื่นเด็ดขาดนะ”
“หือ? ทำไมล่ะ...ในเมื่อฉันก็จำ...”
ฉันถามกลับอย่างเผลอตัว...รอยยิ้มเรย์ลี่ที่พึงพอใจกับคำถามนั้น อีกไม่กี่วินาทีต่อมาฉันเริ่มรู้สึกตัวเลยเบิกตาโต
เวรล่ะ เด็กนี่หลอกให้เราเผยไต๋นี่หว่า
“ทำไมเธอถึงรู้เรื่องนั่น” ฉันถามด้วยน้ำเสียงเบาที่สุด
“ก็เมื่อคืนคุณพล่ามอะไรไปไม่รู้ตัวเลยหรอ เรย์ลี่แค่อยากให้แน่ใจเท่านั้นเอง”
เมื่อคืน...เรื่องอันนาแน่ๆ
พอนึกได้ฉันแทบจะอยากเอาหัวโขกกับต้นไม้แถวนั้น
กะไว้ว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้แต่โดนเด็กนี่รู้จนได้
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เรย์ลี่ไม่บอกคนอื่นหรอก...แค่ค่อยๆ เล่าเรื่องของโลกที่เธอมาเมื่อเรย์ลี่ต้องการก็พอ อิอิ”
หล่อนพูดเสร็จแล้วเดินนำชิวสบายตัว ปล่อยให้ฉันที่ภายในใจหนักอึ้งอยู่คนเดียว...ก่อนที่จะค่อยๆ ยกมันออก
แต่ถ้าเป็นเด็กคนนี้คงไว้ใจได้ระดับหนึ่งอ่ะมั้ง ดูไม่มีพิษไม่มีภัยถ้าไม่ได้อยู่กับฝ่าย...
เดี๋ยวๆ ตามที่พวกเขาสองคนเหล่าว่าฝ่ายมนุษย์กับเอลฟ์ทำสงครามกัน...งั้นแสดงว่าทั้งสองคนก็...
“พวกคุณสองคนอยู่ฝ่ายไหนกัน”
คำถามนั้นทำให้ทั้งสองคนหยุดเดินแล้วมองมาที่ฉันทั้งคู่ ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
แย่ล่ะ ไม่น่าถามเลยเรา
“ฝ่ายที่สาม...ละมั้ง ไม่ต้องห่วงหรอก...พวกเราจะดูแลคุณเป็นอย่างดี ว่าที่ผู้กล้า”
เรย์ลี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นครั้งแรกที่เห็นท่าทางแบบนั้น บรรยากาศเริ่มตึงเครียดหนักกว่าเก่าแต่ทว่า...
เปล้ง!?
ด้ามมีดที่ถูกขว้างมาจากข้างหลังปะทะกับต้นแขนซ้ายของฉันแต่กลับไม่มีบาดแผลเพราะมันเป็นเหล็ก มันทำลายบรรยากาศที่เป็นอยู่ให้หายไปทันที เชสเซอร์ต่างตั้งการ์ดอาวุธตัวเองไปยังทางด้านหลังที่เดินผ่านมา ลูกธนูเกินสิบลูกกำลังพุ่งเป้ามาทางนี้!
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.1 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
และแล้วเฟลิกซ์ต้องจำใจเดินทางร่วมกับเรย์ลี่และเชสเซอร์ไปเพราะเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกนี้
ระหว่างที่คุยกันนั้นเกิดมีมีดปริศนาโผล่มาแล้วยังมีลูกธนูอีก!? พวกเขาถูกพวกไหนไล่ตามมาล่ะ?
แล้วหลังจากนี้เฟลิกซ์จะเอาตัวรอดได้หรือไม่
โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปที่มีชื่อว่า
หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 2 - [ไล่ล่าผู้กล้า(จอมปลอม)]
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
By Spy442299
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ