Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  24.31K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) หนีกลางสมรภูมิรบ 2 - [ไล่ล่าผู้กล้าจอมปลอม]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Crystalfall: Fake/Brave

คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

  1. หนีกลางสมรภูมิรบ 2 - [ไล่ล่าผู้กล้าจอมปลอม]

◊◊◊

“กำแพงศักดิ์สิทธิ! โฮลี่วอลล์!”

เรย์ลี่ยกคทาร่ายเวทย์เสร็จ ทันใดนั้นแสงสีฟ้าที่ไหลพุ่งออกมาจากแท่งหินใสกลางคทารวมตัวกันสร้างกำแพงใสสีฟ้ารูปหกเหลี่ยมเรียงต่อกันเป็นกำแพงขึ้นมากันลูกธนูกว่าสิบดอก

นั่นหรอเวทมนต์!?

“เชสเซอร์! อย่ามัวแต่ยืนเซ่อสิ! พาผู้กล้าหนีไป!”

นักเวทย์ตะคอกให้อัศวินสาวรู้สึกตัว เธอวิ่งเข้ามาจับมือขวาฉันแล้วลากตัวพาหนีไปทางตรงข้าม ด้วยความเป็นห่วงเลยถามระหว่างวิ่ง

“เฮ! แล้วเด็กคนนั้นล่ะ!?”

“เดี๋ยวก็ตามมาเองไม่ต้องห่วง! เธอเป็นนักเวทย์ขั้นสูง” เชสเซอร์ควักดาบขึ้นมาฟันกิ่งไม้ที่ขวางทางระหว่างพาหนีไปด้วยก่อนที่จะคุยกับตัวเอง “ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้นะ!? พวกเขาต้องไม่...ชิ”

“คุณว่าอะไรนะ!?”

“พวกเอลฟ์ไม่น่าจะตามมาไวขนาดนี้! เธอพอทำอะไรได้บ้างไหม!?”

“เหอะ! ไม่เลย!”

พอตอบแบบนั้นไปเชสเซอร์มองฉันด้วยลูกตาโตเท่าไข่ห่าน

“เธอเป็นผู้กล้าจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย!?”

“อย่าเรียกฉันว่าผู้กล้าได้ไหม? มันเป็นเรื่องที่เออออกันเองไม่ใช่หรือไง!? โอ้ย!”

เพราะเผลอหลุดสมาธิไปหน่อยถึงเกือบวิ่งล้มแล้วพาลถึงต้นเหตุ

ร่างนี้แทบไม่มีเรี่ยวแรงเลย!

“ชิ...มีคนแยกกลุ่ม”

แยกกลุ่ม!?

ฉันคิดตามที่เชสเซอร์บ่นแล้วได้ยินเสียงต้นไม้สั่นไหวผิดปกติจากด้านหลัง พอหันไปมองก็ร่างของใครบางคนกำลังวิ่งกระโดดบนต้นไม้อย่างเชี่ยวชาญและเพิ่งจะเห็นว่าเขามีหูแหลมที่ยาวสวมผ้าคลุมสีเขียวเข้ม

เอลฟ์ที่ล่าตัวฉันจริงๆ หรอนั่น!?

“หยุดนะโว้ยเชสเซอร์! แกคิดจะผิดสัญญาหรือไง!?”

เอลฟ์ที่มีเสียงเป็นผู้ชายตะโกนแบบนั้นมาทำให้ฉันหันไปมองหน้าเชสเซอร์เพื่อหาคำตอบซึ่งเธอบอกสั้นๆ ว่า

“อย่าไปใส่ใจ! หนีต่อไป!”

เหอะๆ ก็คงงั้นแหละ...ตอนนี้ฉันวิ่งได้อย่างเดียวนี่หว่าแต่แขนซ้ายนี่เกะกะชะมัดโว้ย!

เราเริ่มรำคาญแขนจักรกลตัวเองที่ลอยข้างหลังตามแรงลมกลายเป็นตัวถ่วงน้ำหนักวิ่งช้าลงและเป็นเพราะแบบนั้นอีกไม่กี่นาทีต่อมามีมีดสั้นเล่มหนึ่งลอยปักดักข้างหน้าทำให้การหนีจบลง เอลฟ์ผ้าคลุมเขียวกระโดดลงมาทางด้านหลังห่างไม่กี่ก้าวซึ่งมือทั้งสองชักดาบพร้อมสู้ เชสเซอร์ถือดาบตั้งท่ารอรับและเธอก็ดันตัวฉันให้หลบอยู่ข้างหลัง ครั้งนี้มองเห็นเอลฟ์ตรงได้อย่างชัดเจนเป็นผู้ชายที่มีตาสีฟ้าเล็กตี่ที่สวยมากและผิวสว่างเนียนทำให้เกิดความคิดที่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน

หล่อ...

“เชสเซอร์...ทำไมเจ้าต้องวิ่งหนีให้เสียเวลาด้วย” เอลฟ์ชายว่า

“เราต่างหากที่ต้องถามว่าทำไมถึงยิงธนูใส่เรา!” เชสเซอร์ถามหาคำตอบ

“เอ่อ...ที่ยิงเป็นธนูอาบยาชา ไม่ถึงตายหรอก”

“อย่าคิดว่าเราโง่ถึงขนาดดูไม่ออก” เชสเซอร์กัดเสียงพูด “ตั้งใจจะเก็บฉันไปด้วยใช่ไหม?”

“ฟังหน่อยสิเชสเซอร์ ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นแค่ธนูอาบยาชาจริงๆ แค่ส่งตัวผู้กล้าจอมปลอมมาให้ข้าแล้วชีวิตสองคนนั้นจะปลอดภัย”

เอลฟ์ชายกล่าวถึงข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง

เดี๋ยวนะ...

“พอดีฉันเพิ่งฉลาดขึ้นมา” เชสเซอร์ไม่ลดการ์ดลงแม้แต่น้อย “เอลฟ์เลวทรามอย่างพวกแกคงไม่กล้าสังหารคนสำคัญของ [สถาบันนิวส์ไลฟ์] หรอกเพราะไม่อยากหาเห่าใส่ตัวเพิ่ม”

“แต่เจ้าก็ยังยอมนำทางมาหาผู้กล้าจอมปลอมเพราะเจ้าเป็นห่วงสองคนนั้นสินะ”

เอลฟ์ชายเอ่ยอย่างมั่นใจทำให้อัศวินหงุดหงิดจนต้องถ่มน้ำลายลงพื้น ส่วนฉันตามเรื่องที่พวกเขาคุยไม่ทันแต่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลและมั่นใจได้อย่างหนึ่ง

มีพวกตามล่าตัวผู้ผงผู้กล้าจอมปลอมจริงๆ ด้วย!?

“แต่เจ้ากลับเลือกความภักดีต่อสถาบันนิวส์ไลฟ์แทน” เอลฟ์ชายเม้มปาก “งืม...ซื่อสัตย์ ถึงโง่แต่ก็ซื่อสัตย์”

“ชิ! ไม่น่าเล่นตามเกมพวกแกแต่แรกเลย! ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”

เชสเซอร์เป็นฝ่ายรุกเข้าหาก่อนยกดาบขึ้นแล้วฟาดลงตรงๆ อีกฝ่ายเบี่ยงตัวไปทางขวาเล็กน้อยหลบคมดาบได้อย่างหวุดหวิดทำให้ได้จังหวะโต้กลับคืน ทว่ามัวตะลึงกับแรงกระแทกของดาบเชสเซอร์ที่ลงพื้นแล้วเป็นหลุมขนาดหนึ่งเมตรเลยเสียโอกาสนั้นไป ดาบที่มีพลังทำลายพื้นดินเหวี่ยงเข้าหาเอลฟ์ชายทันทีแต่ดาบนั้นกลับเปลี่ยนทิศทางเอียงขึ้นหัวเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ใช้ดาบรับโดยตรงแต่เล็งจุดใต้ดาบแล้วผลักมันขึ้นไปทำให้การโจมตีฉับพลันต่อเนื่องสองครั้งของเชสเซอร์สูญเปล่า อัศวินสาวบ่นอย่างหงุดหงิด

“วิชาดาบพวกแกนี่น่ารำคาญซะจริง!”

“ตวัดดาบโง่ๆ นั่นเป็นความภาคภูมิใจของเธอแล้วใช่ไหม”

สุดยอด...

ฉันแปลกใจกับเพลงดาบของฝ่ายเอลฟ์ การต่อสู้ดำเนินต่อไปโดยที่เชสเตอร์กระโดดถีบคู่ใส่ในจังหวะทีเผลอทำให้เอลฟ์เสียหลักล้มลงไปแต่ก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับขวางมีดสั้นสองเล่มที่ซ่อนอยู่ในเสื้อเล็งไปที่ขาและหัว เชสเซอร์ใช้ดาบตวัดมีดสั้นที่เล็งหัวแล้วปล่อยให้มีดสั้นอีกอันปะทะกับเกราะขาที่ใส่อยู่ซึ่งเอาอยู่ เอลฟ์ชายทำเสียงแปลกใจ

“โอ้ว...สมกับเป็นเกราะที่ถูกสร้างจากที่ๆ รวมเศษเดนจริงๆ”

“คิดว่าฉันจะยัวะเพราะเรื่องแค่นั้นหรือ!?” ถึงเชสเซอร์จะพูดแบบนั้นแต่น้ำเสียงขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ๆ...เพียงแต่รู้สึกว่ามันเสียเวลาโดยไม่จำเป็น” เอลฟ์ชายพูดแล้วเดินมาทางขวาเล็กน้อย “เสียดายที่ริสไม่มาด้วย”

“ใครนะ?”

“ช่างเถอะ เธอไม่รู้จักหรอก” เหมือนเอลฟ์ชายเพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรพูดถึงคนนอกวง “เหมือนกับที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของผู้กล้าจอมปลอมนั่นยังไง”

“แกจะพูดอะไรกันแน่!?”

ใช่...ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน

ฉันกำลังอ้าปากถามแต่เชสเซอร์ชิงตัดหน้าไปก่อน เอลฟ์ชายบอกถึงเรื่องที่ทำให้ทุกอย่างสับสนยิ่งกว่าเดิม

“ที่จริงแล้ว...เจ้านั่นมันเป็นจอมมารคนใหม่ที่ถูกพวกมนุษย์อัญเชิญมาให้โลกนี้พินาศ!”

“หา!? แกชักจะเพ้อ---”

อัศวินสาวเกิดชะงัก จู่ๆ ดาบของเอลฟ์ถูกขวางใส่ซึ่งอัศวินสาวปัดมันทิ้งไปก่อนที่จะตะลึงเพราะอีกฝ่ายควักหน้าไม้อันเล็กสองอันสองมือเล็งใส่ตัวเธอกับผู้กล้าและตำแหน่งที่ยืนอยู่นั้น เชสเซอร์ไม่สามารถปกป้องเฟลิกซ์ได้เลย

แย่แล้ว...

“เชสเซอร์...ยอมได้แล้ว!”

“ชิ!”

อัศวินสาวยอมทิ้งดาบลง หน้าไม้ในมือซ้ายของเอลฟ์ลงระดับลงแต่มือขวาที่มีหน้าไม้อีกอันกลับยกเล็งเพิ่มความแม่นยำโดยเป้าหมายอยู่ที่หัวของฉันเอง รอยยิ้มชั่วร้ายของเอลฟ์ชายทำให้ฉันรู้สึกตัวแต่มันสายเกินไป ลูกศรหน้าไม้ที่อาบยาพิษบางอย่างพุ่งเข้ามาที่หัวแต่กลับเฉียวแก้มไปเพราะเชสเซอร์พุ่งชาร์จตัวฉันลงพื้นได้ทันเวลา เอลฟ์ชายกรอกตาขึ้นฟ้าบ่นไม่พอใจ

“อะไรนักหนาพวกเธอ...จะยื้อเวลาตายไปถึงไหนกัน”

และแล้วเอลฟ์ก็เดินมาใช้เท้าทั้งสองข้างเหยียบหน้าท้องทั้งฉันและเชสเซอร์ไว้แล้วเล็งหน้าไม้จ่อหัว

“หึ...จบสักที เพียงเท่านี้เผ่าเอลฟ์ของเราจะไม่ตกอยู่ในอันตรายเป็นครั้งที่สอง!”

หวี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!

เสียงคล้ายนกหวีดดังลั่นป่าแล้วต้นไม้ต่างสั่นไหวเพราะแรงลมที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติและสิ่งนั้นมันซัดเอลฟ์ชายปลิวกระเด็นหายไปจากสายตาของฉันก่อนที่จะมีใครบางคนขี่ไม้คทาลอยกลางอากาศเข้ามา

“ทั้งสองคน! เป็นอะไรไหม!?”

เรย์ลี่ที่รอดจากการรับมือของเหล่าพลธนูเอลฟ์ทำหน้าเป็นห่วง เชสเซอร์อุ้มตัวฉันขึ้นมา

“ผู้กล้าโดนเข้าให้แล้วท่านนักเวทย์! มันเป็น---”

โดน!? ฉันโดนอะไร...

ทำไม...รู้สึกมึนๆ หัวไม่มีแรงตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว...

หูอื้อไปหมดเลย...ไม่ไหวล่ะ เหมือนกับครั้งแรกที่มาโลกนี่...เลย

Zzzzzzzzzzzzzzzzzz

◊◊◊

โดนพิษอะไรสักอย่างของเอลฟ์นั่น

ผลสรุปหลังจากที่ฉันตื่นขึ้นมาฟังคำอธิบายจากเรย์ลี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนนี้เป็นเวลามืดและที่ๆ อยู่ตอนนี้คือใต้เชิงหินผาริมแม่น้ำคริสตัล ไม่มีการจุดกองไฟเพื่อไม่ให้เกิดควันให้พวกเอลฟ์ตามหาเจอเลยทำให้ร่างกายรับลมกลางคืนเต็มที่แต่โชคยังดีที่อากาศไม่ค่อยหนาวเท่าไร

“พวกนั้นเข้าใจใช้พิษแปลกๆ แฮะ ไม่จำเป็นต้องใช้พิษที่ดีที่สุดแต่ใช้อันที่หาง่ายและได้ผลมากสุดเท่าที่จะให้ได้ งืมๆ ต้องจำไว้ขึ้นใจหน่อยแล้วนะเรย์ลี่”

เรย์ลี่คุยกับตัวเองราวกับกำลังจัดลำดับความคิดตัวเองอยู่ ส่วนเชสเซอร์ก้มหน้าไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้น ฉันที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เผชิญอยู่เลยเอ่ยถาม

“ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจจริงๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่ คนๆ นั้นบอกว่าฉันเป็นจอมมาร!?”

“จอมมาร!? ฮ่าๆๆ” เรย์ลี่หลุดขำ “อย่าไปเชื่อเรื่องพวกนั้นเลยค่ะ มันก็แค่สร้างเรื่องหาความชอบธรรม...เรย์ลี่ล่ะเกลียดเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด พูดมาได้...จอมมารถูกโค่นไปนานเป็นร้อยๆ ปีแล้ว จะถูกคืนชีพขึ้นมางั้นหรอ? เวทมนต์แบบนั้นไม่มีสักหน่อย!”

“เป็นคำตอบที่ช่วยได้เยอะเลยค่ะ...ท่านนักเวทย์” เชสเซอร์ที่ทำหน้ามุ่ยพูดด้วยเสียงเบา “ไม่สิ...หนึ่งในสิบสองนักเวทย์อัจฉริยะแห่งยุค เรียกแบบนี้สมเกียรติท่านมากกว่า”

“โอ้ว ไม่ปฏิบัติกับฉันเป็นเด็กแล้วหรอ?” เรย์ลี่บอกสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกปฏิบัติอยู่

“ไม่ล่ะค่ะ เรื่องเมื่อตอนกลางวันมันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านรับมือกับพวกเอลฟ์เป็นกลุ่มด้วยตัวคนเดียว”

“พวกนั้นมันอ่อนต่างหากล่ะ! ว่าแต่เฟลิกซ์...เหมือนมีเรื่องจะพูดนะ”

เรย์ลี่พูดอย่างภาคภูมิใจแล้วปูทางมาให้เพราะเห็นฉันอ่ำอึ้งจะแทรกถามหลายหนแต่ไม่มีโอกาส

“คือ...เชสเซอร์ คุณแอบไปตกลงอะไรบางอย่างกับพวกเอลฟ์ใช่ไหม เห็นตอนนั้นคุยกันแปลกๆ”

หน้าอัศวินสาวที่ถูกพาดพิงถอดสี เรย์ลี่ร้องอ้อแล้วหันไปมองคนต้นเรื่อง

“เรื่องนั้นหรอ...เรย์ลี่เพิ่งรู้ไม่นานนี่เอง”

เธอลุกขึ้นถือคทาแล้วเดินไปอยู่ตรงหน้าเชสเซอร์ที่ไม่กล้าสบตา เรย์ลี่เอาคทาดันคางเธอเงยขึ้นมาแล้วเปลี่ยนน้ำเสียงที่ร่าเริงเป็นเย็นชาแทน

“ทำไมเธอถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้”

“กะกะก็เพื่อปกป้องชีวิตท่านสัสดี!” เชสเซอร์ตัวสั่น

“แล้วทางนี้จะเป็นยังไงก็ช่างงั้นหรอ...มาหลอกตายใจว่าพวกเอลฟ์นั่นยังอยู่อีกไกล”

เรย์ลี่ย้อนกลับไปก่อนที่เพิ่งเจอกัน เชสเซอร์รีบแก้ตัวแล้วชี้นิ้วมาหาฉัน

“มันไม่ใช่ความผิดฉันนะ! ฉันถูกส่งมาเพื่อคุ้มกันท่านสัสดี! ไม่ใช่ปกป้องผู้กล้าอ่อนแอนี่!”

“คำสั่งใคร” คนสอบสวนถามเข้าประเด็น

“ผอ.”

“หา!?”

คำตอบนั้นทำให้เรย์ลี่ขมวดคิ้วแล้วอ้าปากค้างแป๊บหนึ่งก่อนที่จะสั่งสอน

“เหอะ อย่างแรกที่ควรรู้นะท่านอัศวิน...หัดจัดอันดับความสำคัญของภารกิจกับหน้าที่ซะบ้าง”

“ก็คิดหลายตลบแล้ว! ชีวิตของท่านสัสดีต้องมาก่อน!” เชสเซอร์ยืนยันจุดยืนตัวเอง

“แล้วทำไมถึงปล่อยให้สัสดีตกไปอยู่มือพวกเอลฟ์!?”

คำถามต่อมาจากเรย์ลี่ทำให้คนถูกสอบหลบหน้าหนีแต่ก็ยอมพูดนิดหน่อย

“เรื่องมันยากที่จะอธิบายค่ะ! กว่าพวกเราจะรู้ตัวว่าตกหลุมพรางก็โดนล้อมแล้วเลยยื่นข้อเสนอนำทางมาหาผู้กล้าเพื่อความปลอดภัยของท่านสัสดีไว้”

“งั้นก็บอกให้เร็วๆ กว่านี้หน่อย เฮ้อ...ตอนนี้ท่านสัสดีกับอาเซียปลอดภัยแล้ว”

“หา!? ท่านรู้ได้ไง”

เชสเซอร์หน้าเหวอ เรย์ลี่เอานิ้วชี้ข้างซ้ายเคาะหัวตัวเอง

“เรย์ลี่กับสัสดีทำสัญญาพันธะกันและกันแล้ว พวกเขาหาทางแหกคุกออกมาได้ตอนบ่ายที่ผ่านมานีเอง”

“หา!?”

เชสเซอร์ร้องแปลกใจแต่คนที่แปลกใจยิ่งกว่าคือตัวฉันที่พยายามฟังให้ออกว่าพวกเขาคุยอะไรกันพบว่า...

ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

แต่ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว เรื่องจอมมารอะไรนั่นก็คือการดิสเครดิตฉันสินะ

“เฮ้อ...”

ถอนหายใจมองตามทางแม่น้ำที่ไหลไปยามค่ำคืนแล้วคิดถึงคนที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายเป็นแบบนี้

พระเจ้ากำลังเล่นอะไรกับเรากันแน่...ให้เราเล่นบทเป็นผู้กล้า!? ผู้กล้าที่ถูกเรียกว่าจอมมาร?

แต่ถ้าเป็นผู้กล้า ก็เป็นผู้กล้าที่ไม่เห็นจะมีความสามารถพิเศษอะไรเลยนี่ มีแค่ไอ้แขนซ้ายใช้การไม่ได้

หรือจะเป็นผู้กล้าจอมปลอมจากที่เอลฟ์คนนั้นว่าจริงๆ?

“จะไม่มีการพิจารณาความผิดเธอ...เฉพาะตอนนี้นะเชสเซอร์”

“เป็นความกรุณาอย่างยิ่งค่ะ!”

เรย์ลี่ยอมปล่อยชั่วคราว เชสเซอร์ก้มหัวรับความตัดสินนั้น และคนสอบขุดคุ้ยต่อ

“งั้นคลายมาให้หมด เส้นทางลาดตระเวนพวกเอลฟ์...เธอน่าจะรู้แล้วตอนที่ร่วมมือกับพวกนั้น”

“ค่ะ...เรื่องนั้นทำให้หนักใจอยู่”

“หือ? จะบอกว่าไม่มีทางรอดสายตาพวกนั้นได้เลย?”

“เปล่า ยังพอมีอีกทาง” เชสเซอร์พูดแล้วมองไปยังแม่น้ำ “ข้ามอีกฝั่งไม่ก็แล่นเรือตามน้ำไป”

“ข้ามฝั่ง...ดูท่าจะข้ามไม่ได้ แม่น้ำมันกว้างไป...ช่วงนี้น้ำไหลเชียวด้วย”

“ใช้เวทมนต์ไม่ได้หรือ?” เชสเซอร์ถามเรื่องที่น่าจะช่วยได้

“ไม่ๆ ขืนใช้ขึ้นมาพวกเอลฟ์ที่เป็นพวกจมูกไวกับร่องรอยเวทมนต์จะตามกลิ่นมาหาเราง่ายกว่าเดิมสิ นี่แหละเป็นเหตุผลที่เรย์ลี่ไม่ใช้เวทมนต์พร่ำเพื่อสักเท่าไหร่ เว้นแต่ต้องคอยร่ายเวทย์เบากับเจ้านี่”

เรย์ลี่พูดเสร็จหยิบก้อนหินหกเหลี่ยมสีรุ้งจากกระเป๋าในเสื้อโดยที่หินนั้นมีขนาดเท่าช่องว่างต้นแขนฉันพอดี แน่นอนว่าทำให้ฉันที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ ตั้งนานตาโต...เรย์ลี่เห็นการตอบสนองนั้นเลยบอกความจริง

“ใช่แล้วค่ะคุณเฟลิกซ์ นี่คือหินที่ติดอยู่ที่แขนคุณ...แต่ที่ฉันเอาออกมาเพราะตอนที่หลบหนีเจ้านี่มันคอยทิ้งร่องรอยเวทย์เลยต้องใช้เวทย์กลบเกลื่อนอีกที คงไม่ว่าอะไรนะคะ”

เจ้านั่นทำให้แขนฉันขยับได้แน่ๆ!

พอคิดแบบนั้นแล้วแขนขวามันยื่นไปหาหินหกเหลี่ยมสีรุ้งนั้นเอง เรย์ลี่ยกหนีห่าง

“ช่วยเข้าใจที่เรย์ลี่พูดด้วยเถอะค่ะ ไว้เข้าพ้นเขตอาณาจักรเอลฟ์ก่อน”

“อ่า...อืม”

ต้องเอามันมาให้ได้...

ในใจคิดแบบนั้นถึงภายนอกจะแสดงท่าทางยอมตามน้ำไปก่อนก็ตาม

“ท่านนักเวทย์!?” เชสเซอร์ว่า “เล็งจะผ่านทางอาณาจักรมนุษย์ไปหรือคะ?”

“ใช่ มันปลอดภัยกว่าที่นี่เยอะละกัน เราจะแล่นเรือตามแม่น้ำไปถึงขอบโลกตรงที่ชายแดนพอดี”

“แล้ว...เอาอะไรแล่นน้ำไป?”

เชสเซอร์ถาม เรย์ลี่เอาคทาชี้ไปทางป่า

“เธอก็ไปตัดไม้ทำเรือสิถือว่าเป็นการชดเชยเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยากขนาดนี้”

“คือ...เอ่อ...รับทราบแล้วค่ะ”

เชสเซอร์ยอมจำนนลุกขึ้นเดินเข้าป่าไป ได้ยินเสียงดาบฟาดฟันกับต้นไม้อยู่เรื่อยๆ เรย์ลี่เดินเข้ามานั่งข้างฉันทำตาลุกวาว

“นี่ๆ เฟลิกซ์ ช่วยเล่าเรื่องโลกของเธอมาหน่อยสิ”

“หา!?”

“ก็โลกที่เธอมายังไงล่ะ ตามสัญญาไง”

เรย์ลี่พูดถึงเรื่องเมื่อกลางวันที่ช่วยปกปิดความลับฉันไว้เรื่องมีความทรงจำโลกก่อน

จะเล่าเรื่องโกหกดีไหมเนี่ย

“ถ้าถูกใจเดี๋ยวให้คืนหินคริสตัลของเธอให้เลย”

เมื่อเรย์ลี่พูดแบบนั้นทำให้ฉันไม่ลังเลอีกเลย ถึงแม้จะรู้ว่าโดนหลอกก็ตามที

เล่าเรื่องอะไรดีนะ...

“งืม...งืม...”

มีแต่เรื่องไม่เหมาะกับเด็กทั้งนั้น

พอฉันคิดหนักอย่างมาก เรย์ลี่เลยหาคำจำกัดความให้ง่ายขึ้น

“อ่า...ลองเริ่มบอกความต่างง่ายๆ โลกนี้กับโลกอีกฝั่งก่อนก็ได้ค่ะ”

“แต่ฉันยังไม่ค่อยรู้ว่าโลกนี้เป็นยังไง?”

ฉันบอกเรื่องที่ฉันยังไม่รู้เกี่ยวกับโลกนี้มากนักถึงแม้เชสเซอร์จะบอกบ้างแล้วแต่มันไม่ค่อยเข้าหัวเท่าไร

“นั่นสิ” เรย์ลี่คอตก “โลกนี้หรอ...โดยรวมแล้วเป็นโลกที่เวทมนต์มีผลต่อการดำเนินชีวิตมากที่สุด”

“แล้ววัสดุที่ใช้ทำบ้านทำเมือง มักจะใช้อะไร?” ฉันถามสิ่งที่ยืนยันเรื่องวิวัฒนาการปลูกสร้าง

“พวกหินกับไม้”

“เหมือนยุโรปสมัยก่อนสินะ”

“ยุโรป?”

“อือ เข้าใจล่ะว่าโลกที่นี่เป็นยังไง คงใช้คำว่าแฟนตาซีดั้งเดิมน่าจะใกล้เคียงที่สุด”

“แฟนตาซี!? น่าสนใจแฮะ! กะแล้วเชียว...เห็นเฟลิกซ์ครั้งแรกที่กลางสนามรบนั่นเธอต้องมีอะไรให้เรย์ลี่ตื่นเต้นแน่ๆ!”

คนฟังออกอาการดีใจมือไม้ออกท่าตาม

รู้สึกลำบากใจยังไงไม่รู้

งั้นเอาเรื่องทั่วๆ ไปก่อนล่ะกัน

หลังจากนั้นฉันเริ่มเล่าคร่าวๆ ถึงโลกเก่าที่ถูกองค์กรทหารเผด็จการปกครองนามว่า [เวิลด์เจเนอรัล] ที่อาศัยจังหวะที่ทั่วโลกกำลังย่ำแย่เพราะสงครามโลกครั้งที่สามเข้ายึดปกครองทั้งหมด ละทิ้งอำนาจทุกประเทศให้รวมเป็นหนึ่งแล้วแบ่งออกเป็น Area แทน...พอเรย์ลี่ได้ยินแบบนั้นแล้วขมวดคิ้วคิดหนัก

“เวิลด์เจเนอรัล...ที่แท้เป็นอย่างนี่เอง”

“หา!? ตะกี้ว่าอะไรนะ”

“เอ่อ...ชื่อเวิลด์เจเนอรัล เรย์ลี่เคยเห็นผ่านตาที่สลักหินโบราณกลางเมืองค่ะ มันมีแค่ชื่อเท่านั้น พวกนักโบราณคดีพลิกแผ่นดินหาความหมายเป็นสิบปีก็ยังไม่เจอแต่ถ้าเป็นไปตามที่คุณบอกจริงๆ ล่ะก็...เป็นการค้นพบที่สำคัญเลยนะ!”

เธอพูดเสร็จแล้วส่ายบานท้ายไปมาอย่างดีใจ

ยิ่งพูดยิ่งจะมีแต่เรื่องยุ่งยาก

“ท่านนักเวทย์”

เสียงเรียกจากเชสเซอร์ที่เดินแบกดาบกลับมาดังขึ้นทำให้เรย์ลี่สะดุ้งโหยง คนเรียกเอียงคอสงสัยกับพฤติกรรมนั้น ส่วนคนตกใจรีบตวาดกลับ

“อ๊าก! เข้ามาให้สุ่มให้เสียงบ้างสิ!”

“ถึงเรียกยังไงละคะ” เชสเซอร์เหนื่อยใจ “อยากให้ท่านช่วยเดินลาดตระเวนแถวนี้แทนดิฉันหน่อยค่ะ”

“หน้าที่เธอไม่ใช่หรอ!?” เรย์ลี่เกี่ยง

“ก็ท่านให้เราตัดไม้ทำเรืออยู่ไม่ใช่หรือ”

เชสเซอร์ว่าแบบนั้นทำให้เรย์ลี่อมแก้มป่องแต่ก็ยอมทำตามโดยดี เธอมาคุยกับฉันก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในป่า

“คุณเฟลิกซ์! ไว้คุยกันต่อทีหลังนะ อิอิ”

พอเธอหายไป สายตาเย็นชาจากเชสเซอร์มองมาที่ฉันแทน

“ท่านผู้กล้า...ขืนท่านยังทำตัวอ่อนปวกเปียกอยู่แบบนี้ เกรงว่าจะพาท่านนักเวทย์ลำบากไปด้วย หวังว่าท่านคงเข้าใจ”

“อืม...”

แล้วหล่อนก็เดินแบกดาบเข้าป่าหายไปอีกคน ฉันที่ทำหน้านิ่งเก็บซ่อนความไม่พอใจไว้ถอนหายใจโล่งยาว

“ไม่ต้องบอกก็รู้น่า...เฮ้อ”

ฉันเอนตัวนอนบนดินมองเห็นท้องฟ้าที่เห็นดวงดาวมากมายกับพระจันทร์หกเหลี่ยมที่แสนจะขัดตา

นี่มัน...ความฝันหรือเปล่านะ

พอคิดแบบนั้นก็ทำให้นึกถึงที่เครื่องบินที่ตัวเองบัญชาการอยู่ระเบิด

ไม่แน่ฉันอาจจะนอนเป็นผักปลาบนเตียงก็ได้

“เลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่อยู่ตรงเจ้า ช่างเป็นคนที่ดื้อไม่ยอมความจริงซะเหลือเกิน โฮะๆ”

จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงอ่อนหวานที่ไม่คุ้นหูดังลั่น รีบมองหาต้นเสียงก็ไม่เจอ

“ใครน่ะ!?”

“ไม่ต้องหาให้ยากเพราะเจ้ายังไม่คู่ควรที่จะเห็นเรือนร่างนางฟ้าอันงดงามหรอก โฮะๆ”

“นางฟ้า!?”

ฉันทวนอย่างไม่น่าเชื่อ อีกฝ่ายที่โผล่มาแค่เสียงแนะนำตัวเอง

“ใช่ เราเป็นนางฟ้านามว่า [เอลด้า] ได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้มาติดตามดูแลชะตากรรมอันน่าสังเวชอย่างเจ้า”

นางฟ้าจากพระเจ้า!?

ได้ยินแบบนั้นแล้วร่างกายมันโกรธจนตัวสั่น...แต่แล้วเลือกที่จะปล่อยมันไป นางฟ้าที่ผิดหวังกับท่าทางแบบนั้นเลยถาม

“ไหงไม่โกรธซะงั้น”

“เพิ่งคิดได้...คนธรรมดาๆ ที่เป็นหมากเบี้ยอย่าฉันจะโกรธแล้วได้อะไร เว้นแต่ได้ต่อยพระเจ้าสักหมัดจะโกรธเป็นร้อยปีเลย”

“ฮ่าๆๆๆ เจ้านี่มันขวานผ่าซากตามเด---เฮ้ย...ตามที่รู้มาเลย”

“แล้วไง มีธุระอะไร”

ฉันถามไปอย่างงั้น นางฟ้ายังคงเอ่ยด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจต่อไป

“อย่างที่บอก...มาดูชีวิตอันน่าสังเวชอย่างเจ้าและอาจจะช่วยบ้างครั้งตามอารมณ์”

“ช่วย? งั้นช่วยให้แขนฉันขยับหน่อยได้ไหม” ฉันกระตุกต้นแขนซ้ายให้ดู

“นั่นเจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่หรอว่าสิ่งใดที่ทำให้แขนเจ้าขยับได้”

“หินเรนโบว์นั่น”

“เขาเรียกว่าหินคริสตัลหรือหินเวทมนต์” นางฟ้าว่า “แต่สำหรับหินสีรุ้งที่เป็นเจ้าแต่แรกมีเพียงแต่ชิ้นเดียวในโลกนี้นะเพราะมันมีอยู่เพื่อเจ้า”

จำไม่ผิดเด็กนั่นบอกว่าหินนั่นมันอยู่ในตัวฉันตั้งแต่แรก...งั้นต้องเอา---

พอคิดแบบนั้นแล้วรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจูงจมูกอยู่เลยหรี่ตาไม่พอใจ เสียงนางฟ้าที่เต็มไปด้วยความแปลกใจดังขึ้น

“เอ่เอ๋...หลอกคนที่มีประสบการณ์จากโลกเดิมไม่ได้จริงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าต้องเว้นเธอไว้ด้วย”

“ใครจะไปรู้---” ฉันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “เฮ้ย ตะกี้พูดเหมือนว่ามีคนอื่นเหมือนกับฉันอีก?”

“ตายละตายละ เราจะพูดมากเกินไปแล้วสิ...ไว้เจอกันคราวหน้านะ”

จู่ๆ คนที่ปรากฏแค่เสียงแต่กำความลับไว้หลายๆ อย่างจะทิ้งหนีไปดื้อๆ

“อย่าเพิ่งหายไปสิ! เฮ!”

และแล้วไม่มีการตอบรับกลับของนางฟ้าอีกเลย ฉันได้แค่คิดทบทวนเรื่องที่เจ้าตัวเผลอหลุดปาก

คนอื่น...จะใช่คนที่มาจากโลกเดียวกับเราหรือเปล่านะ

◊◊◊

“เป็นเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เห็นมาเลยนะ! เชสเซอร์”

“ประชดสินะคะท่านนักเวทย์”

“เปล่าเลย! เรย์ลี่กำลังทึ่งอยู่ต่างหากล่ะ! ไม่ค่อยมีของทำมือให้เห็นอยู่บ่อยๆ หรอก! ดูสิดูสิ...รอยต่อที่ไม่ลงรอยกันเล็กน้อยหลายๆ จุด! ลายไม้ที่เสียดสีต่างกันแต่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนใคร ถึงความแข็งแกร่งจะไม่เท่าใช้เวทมนต์ประกอบขึ้นมาก็เถอะ!”

“นั่นเรียกว่าคำชมเหรอค่ะท่าน!”

“ชมสิ! จากปากนักเวทย์อัจฉริยะของยุคเลยนะ ใช่ม่ะใช่ม่ะคุณเฟลิกซ์”

“คงจะอย่างงั้น...มั้งค่ะ”

ไหงจู่ๆ มาถามซะงั้น ยังไม่รู้เลยว่านักเวทย์แห่งยุคอะไรนั่นเป็นยังไงเลย

พอคิดแบบนั้นแล้วมองดูเรือ...มันออกจะเป็นแพไม้โง่ๆ ลำหนึ่งมากกว่า ถูกประกอบขึ้นมาอย่างลวกๆ กว้างประมาณสี่ตารางเมตรอยู่ริมตลิ่งและที่น่าแปลกใจที่สุดคงหนีไม่พ้นรูปร่างของแพที่เป็นหกเหลี่ยม

ทำไมต้องหกเหลี่ยมด้วยฟ่ะ มันจะแล่นบนน้ำได้แน่ๆ ใช่ไหม?

“แล้วเราจะล่องแพไปที่ไหนคะท่าน”

“บ้านของคนที่เรย์ลี่ไว้ใจ” นักเวทย์ว่า “พอไปถึงน้ำตกตรงขอบโลกก็ลงจากฝั่งใช้เวลาเดินอีกชั่วโมงหนึ่งก็ถึง...อยู่ใกล้ๆ อาณาจักรมนุษย์แถวนั้นพอดี”

“แต่ยังอยู่พื้นที่ไร้ขุนนางปกครองสินะคะ” เชสเซอร์สรุปเอาเอง

“ไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นยังอยู่บ้านนั้นไหมนะ” เรย์ลี่ว่าไปนั่น

“สรุปว่าเป็นเซฟเฮ้าท์ใช่ไหมคะ” เชสเซอร์ขอความชัดเจน

“อืม”

“ถ้างั้นรีบไปกันเถอะค่ะ”

พอทั้งสามคนกำลังจะก้าวขึ้นแพแต่ถูกเรย์ลี่กางมือขวางไว้พร้อมส่งซิกให้เงียบแล้วเธอหลับตาฟังบางสิ่งก่อนที่จะเบิกตาโตขึ้นแล้วพลิกตัวหันหลังยกคทาขึ้น

“โล่ศักดิ์สิทธิ! โฮลี่ชิลด์!”

มีสิ่งที่คล้ายหมวกใสสีฟ้าครอบทั้งสามคนเหมือนเป็นโล่คุ้มกัน ที่ทางป่าบนเนินใกล้ๆ ทางขวามีลูกไฟพุ่งมาทางนี้...แต่มันไม่ได้มาหาคนกลับพุ่งไปที่แพไม้เกิดระเบิดขึ้น คนที่สร้างมันมาทั้งคืนโวยหนัก

“แพฉัน!!!”

“มันจบแล้วเชสเซอร์!”

เสียงเอลฟ์ชายที่ฉันจำได้ว่าเป็นคนเดียวกันกับเมื่อวานที่จะฆ่าฉันปรากฏเดินจากป่าตรงหน้าพร้อมลูกน้องอีกสิบกว่าคน ยังไม่รวมพลซุ่มอีกหกคนฝั่งซ้ายและขวา เชสเซอร์ชักดาบเตรียมสู่ในเขตโล่เวทมนต์ เอลฟ์ชายคนเดิมจ้องมองไปยังเรย์ลี่

“สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสิบสองผู้ใช้เวทย์อัจฉริยะแห่งยุค แต่เราก็รู้ว่าเธอไม่ถนัดเวทย์ต่อสู้มากนัก...ไม่งั้นพวกเราคงตายกันบ้างแล้ว”

“แหม่ รู้ได้ไงว่าเรย์ลี่ไม่ถนัดล่ะ ไม่แน่อาจจะทำเป็นไม่เก่งก็ได้” เรย์ลี่ทำเป็นปากดี

“เอาเป็นว่าชาวเอลฟ์อย่างพวกเราเชี่ยวชาญเรื่องสังเกตพลังเวทย์จากตัวผู้ใช้ถึงได้รู้ขีดจำกัดของเธอก็แล้วกัน ยิ่งเธอใช้แต่เวทย์ลมปัดแค่นั้น...ไม่เห็นจะมีหอกลมแม้แต่น้อย”

“เหอะๆ เรย์ลี่เกลียดทักษะเฉพาะด้านของเอลฟ์ชะมัด”

“จริงเหรอคะท่าน!?” เชสเซอร์หันหลังไปถามด้วยสีหน้ากังวลสุดขีด

“ก็ประมาณนั้นล่ะ...เวทมนต์ที่ถนัดมันไม่ใช่สายต่อสู้นี่น่า สร้างโล่นี่ได้ก็ดีขนาดไหนแล้ว”

“แต่โล่นี่เป็นเวทมนต์ขั้นพื้นฐานสุดๆ ไม่ใช่หรือไงคะ!?”

“เอาน่าเอาน่า เอาเป็นว่าฉันเป็นผู้ใช้เวทย์เฉพาะด้านล่ะกัน เวทย์ลมที่ใช้ได้...คงใช้จัดการกับพวกนี้ไม่ได้แน่เพราะมันเคยโดนมาแล้ว”

เชสเซอร์ได้ยินเช่นนั้นแล้วกัดฟันตัวสั่น แต่แล้วเรย์ลี่กระซิบบางอย่างที่ทำให้แปลกใจ

“ทั้งสองคน...ช่วยอยู่ใกล้ๆ เรย์ลี่ไว้นะ พอให้สัญญาณก็หลับตาค้างไว้อย่าขยับจนกว่าจะบอก”

“หือ? ท่านนักเวทย์จะทำอะไร?” เชสเซอร์กระซิบถาม

“เถอะน่า เรย์ลี่กำลังใช้เวทย์ที่ถนัดที่สุดยังไงเล่า”

“กระซิบคุยอะไรกัน สาวๆ ทั้งสาม?”

เอลฟ์ชายกางแขนถามราวกับว่าตัวเองได้คุมสถานการณ์ไว้หมดแล้วเหลือแต่แค่ยืนรอให้โล่เวทมนต์หยุดทำงานเอง เรย์ลี่เห็นแบบนั้นแล้วหัวเราะลั่น

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!”

ฝ่ายเอลฟ์พากันแปลกใจโดยเฉพาะเอลฟ์ชายคนเดิมที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้

“หัวเราะอะไร! รีบๆ ส่งตัวจอมมารกลับชาติมาเกิดได้แล้ว!”

“ฮ่าๆๆๆ โทษทีโทษทีมันอดไม่ได้จริงๆ” เรย์ลี่ทุบเบาๆ ที่ท้องตัวเอง “ถ้ารู้จักนักเวทย์อัจฉริยะแห่งยุคอย่างเรย์ลี่คนนี้จริงๆ...ก็ต้องรู้ว่าเรย์ลี่ถนัดเวทมนต์ไหนมากที่สุด! ทั้งสองคน เรย์ลี่จะเริ่มแล้วนะ!”

พอได้ยินแบบนั้นฉันก้าวเท้าเข้าหาตัวเรลี่เล็กน้อยและก่อนที่จะหลับตาลงเห็นปฏิกิริยาตื่นตูมของเอลฟ์ชายแล้วได้ยินเสียงสั่งการของเขา

“เฮ้ย! รีบทำลายโล่เวทมนต์นั่นเร็ว!”

แต่ทว่ามันสายไป เรย์ลี่เริ่มร่ายคาถา

“ในนามผู้ใช้เวทย์สากล...จิตและกายจงรวมเป็นหนึ่ง เคลื่อนที่ผ่านทั้งสามโลก! เทเลพอร์ต!”

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.2 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ

ขอสารภาพเลยว่าไรท์เตอร์ติดเกมStardew Valley หายไปเกือบครึ่งเดือนเลยทีเดียว ฮ่าๆ

และไปๆ มาๆ จะไม่ใส่ภาพประกอบแล้วเพราะทำยากหาออฟชั่นหูเอลฟ์ไม่เจอ วาดเองก็ไม่ได้เรื่อง

กลับเข้ามาสู่เนื้อเรื่องนิยายดีกว่า ฮ่าๆ (นานเพราะฉากแอคชั่นล้วนๆ)

เฟลิกซ์ยังคงถูก [อาณาจักรเอลฟ์] ไล่ล่าอย่างไม่หยุดหย่อน

แต่ก็ได้ความช่วยเหลือจากอัศวินสาว [เชสเซอร์] ที่เกิดเปลี่ยนใจไม่ทรยศทำให้เฟลิกซ์ไม่ถูกจับไป

และยังถูกกล่าวหาว่าตัวเองเป็นจอมมารกลับชาติมาเกิดอีก!?

แล้วยังมีนางฟ้าที่เป็นลิ่วล้อของพระเจ้ามาบอกเรื่องให้เฟลิกซ์คาใจทั้งๆ ที่มีเรื่องไม่เข้าใจอยู่มากมายเกี่ยวกับโลก [คริสตัลฟอร์] ที่เธออยู่อีก

และเช้าวันถัดมาเรือที่พวกเขาจะใช้แล่นหนีไปกลับถูกทำลายและอยู่ในวงร่วมของพวกเอลฟ์

เรย์ลี่จึงงั้นไม้ตายใช้คาถาเวทมนต์ที่มีชื่อว่า [เทเลพอร์ต]

แล้วจะวาปไปที่ไหนล่ะ? จะปลอดภัยรอดพ้นจากพวกเอลฟ์ได้หรือไม่

โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปที่มีชื่อว่า

  1. หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 3 - [สุดขอบโลก]

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

By Spy442299

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา