เมื่อสายลมหวน...(yaoi,harem)
เขียนโดย lidear
วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.11 น.
แก้ไขเมื่อ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 17.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ใคร?
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเรือนไผ่ที่ผมอาศัยอยู่นี้เดิมทีเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของท่านพ่อเท่านั้น ในกาลก่อนตัวของหมินซื่อได้อาศัยอยู่ในจวนหลังใหญ่พร้อมกับพระมารดา ท่านประมุขผู้เป็นบิดาแต่งงานถึงสามหน หนแรกเป็นฮูหยินใหญ่ที่แต่งเข้าจวนเพราะสถานะทางการเมือง หนสองเป็นท่านแม่ที่แต่งเข้าจวนมาเพราะความรักที่มีต่อท่านพ่อ หนที่สามคือฮูหยินสามที่เป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทฝากฝังช่วยดูแล หลายคนคงเดาออก คำว่าสมานฉันท์ไม่เคยมีในหมู่ภรรยาหลวงและน้อย ลับหลังสามีทีไรก็สามารถตอบโต้กันได้ด้วยสารพัดวิธีที่สรรหา ท่านแม่ของซื่อหมินนั้นเป็นคนอ่อนโยน สุดท้ายจึงได้ตายลงเพราะยาพิษที่ไม่ทราบที่มา... เมื่อหมดสิ้นท่านแม่ไปก็ไร้คนปกป้อง ซื่อหมินถูกส่งให้มาใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนไผ่ท้ายจวน เด็กอายุสามขวบกลับต้องเติบโตมาโดยไร้ซึ่งพระมารดาคอยดูแล คิดไปแล้วก็น่าสงสารเกินกว่าที่อนาวินจะปล่อยวางได้ เด็กน้อยวัยห้าขวบในสายตาของใครๆกำลังถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เรื่องราวที่เขาได้รับรู้โดยบังเอิญจากสมุดบันทึกลับๆของพระมารดาในหลังตู้นั้น สร้างความเศร้าใจให้กับอนาวินนัก ไม่ว่าจะภพไหนๆ สตรีก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเข้าถึงได้โดยง่าย จิตใจช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งนัก ยิ่งสตรีในยุคประวัติศาสตร์ที่ถูกลดอำนาจจากสิทธิยิ่งแล้วใหญ่ เพราะความกดดันทางสิทธินั่นเองที่หล่อหลอมให้พวกนางมีจิตใจเข้มแข็งอำมหิตเกินชาย หลินๆเห็นเขาตั้งใจอ่านหนังสือก็ขนตำรากองใหญ่จากห้องพระมารดามาให้ เหตุเพราะตำราในห้องเขาที่มีเพียงน้อยนิดนั้นได้หมดไป หลินๆจึงไปเสาะหาตำราใหม่ๆมาให้อยู่เสมอ ผมอ่านตำราที่เขียนขึ้นโดยท่านแม่ในแต่ละเล่มนั้นก็รู้สึกอึ้งไปกับความสามารถของนาง ทั้งงานบ้านงานเรือน และวิชาความรู้ล้วนมีครบถ้วน ท่านแม่เขียนสูตรการทำน้ำอบ น้ำชา และอีกหลายๆอย่างจากดอกไม้เอาไว้เพียบ ในบางคราอนาวินก็มือสั่นดิ๊กๆอยากลองทำไปเสียหลายอย่าง แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้เพราะในเวลานี้เขาควรมุ่งไปที่ข้อมูลของคนในบ้านมากกว่า เท่าที่รู้คร่าวๆก็คือ ผมมีพ่อเป็นแม่ทัพใหญ่แห้งแคว้นซิ่ว พี่ชายคนโตเป็นรองแม่ทัพ ทั้งสองคนขณะนี้กำลังเดินทางกลับจวนเมื่อสิ้นสุดการศึกในชายแดน การรบรากันนั้นร่วงเลยยาวนานจวบจนย่างปีที่สามก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว และอีกไม่นานทั้งสองก็คงจะเดินทางมาถึง ถัดจากท่านพ่อและพี่ชายก็คือพี่ชายรอง ท่านพี่คนนี้เขาไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก แต่เหมือนว่าจะเดินทางท่องยุทธภพไปเมื่อสองปีก่อน เวลานี้ไม่ทราบว่าอยู่แห่งหนใด อีกคนก็คือพี่สาวของผม บุตรีเพียงหนึ่งเดียวในตระกูล นางเป็นบุตรีที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ ทว่าจากการแอบฟังสาวใช้นินทากันก็พอจะรับรู้ได้บ้างว่าเธอเองก็เป็นสตรีที่สุดยอดคนหนึ่ง มาว่ากันต่อที่ฮูหยินใหญ่แล้วกัน ฮูหยินใหญ่ปัจจุบันกลายสภาพเป็นหญิงพิการ เดินไปไหนมาไหนไม่ได้เพราะอุบัติเหตุจากการตกม้า ในกาลก่อนนางเป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จภายในจวนเอาไว้ ทว่าหลังจากที่พิการสูญเสียความสามารถทางการเดินไป จึงยกอำนาจการดูแลจวนให้แก่บุตรสาวไป คนต่อไปก็ฮูหยินสาม นางเป็นน้องสาวของสหายคนสนิทบิดาเขา และยังเป็นแม่ของพี่ชายรองที่ออกท่องยุทธภพด้วย ลักษณะนิสัยใจคอไม่ใคร่เด่นชัดนัก จึงไม่ทราบว่านางเคยมีเรื่องบาดหมางกับพระมารดาเขารึเปล่า อนาวินถอนหายใจยาว ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขาถอนหายใจไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองแก่ก็คราวนี้แหล่ะ! เด็กชายปิดหนังสือลง การมาอยู่ในที่แห่งนี้เขาไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย หากจะว่ากันตามตรงก็คงต้องบอกว่าโชคร้ายล่ะนะ เพราะดูจากที่อยู่อาศัยที่เขาได้รับแล้ว เขาคงจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีเท่าไหร่นัก ถ้าเป็นในโลกก่อนเขายังมีคุณพ่อสุดจ๊าบ คุณแม่สุดเฮ้ว และก็คุณยายสุดเฮี้ยบรอเขากลับไปเยี่ยมในวันตรุษจีนอยู่ แถมฐานะทางบ้านก็พอเชิดหน้าชูตากับใครเขาได้ไม่อาย หนำซ้ำยังเป็นลูกคนเดียวไม่ต้องแบ่งสมบัติกับใครอีก เกิดเป็นอนาวินช่างสบาย... ไม่รู้เทพยดาองค์ไหนกันที่ส่งเขามาอยู่ที่นี่ ไหนๆก็ได้มาอยู่ในร่างใหม่ทั้งที ขอให้มีครอบครัวอบอุ่นๆหน่อยก็ไม่ได้!
“นายน้อยคะ หลินๆไปเจอพิณเครื่องนี้ในห้องของฮูหยินรองหลินซี นายน้อยจะรองเอาไปหัดเล่นดูบ้างดีไหมเจ้าคะ” หลินๆกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ตามมารยาทแล้วสาวใช้ควรวางตัวให้สำรวมไม่ควรกระโดดโลดเต้นเป็นม้าดีดกระโหลกเช่นนี้ ทว่าเหมือนหลินๆจะเป็นข้อยกเว้นเสียกระมังนางถึงได้ยิ้มร่าตะโกนเรียกเขาแต่ไกล จะว่าไปในตอนที่ผมยังเป็นอนาวินผมก็ศึกษาศิลปะหลายอย่าง ทั้งดนตรี วาดภาพ หมากล้อม แต่งกาพย์ แต่งกลอน ล้วนเคยทำมาหมดแล้ว คงต้องขอบคุณที่ผมเป็นคนเบื่อง่าย เมื่อทำสิ่งใดได้จนชำนาญแล้วก็ละเลิกไปในทันที ครั้นพอมีสิ่งใหม่ที่น่าสนใจก็พุ่งเข้าหาอยู่เรื่อย จะมีก็แต่อาชีพหมอและการทำอาหารเนี่ยแหละที่มักจะมีอะไรท้าทายมาให้ผมฝึกฝนเป็นประจำ ผมไล้นิ้วมือไปยังเส้นสายที่ค่อนข้างเก่า และยังหย่อนจนเสียงเพี้ยน มือเล็กๆที่ทำอะไรไม่ค่อยถนัดนี้จัดการปรับเส้นสายด้วยความชำนาญจนหลินๆยังมองตาค้าง ปลายนิ้วของผมไล่ไปตามเส้นสายแต่ละเส้น ท่วงทำนองงดงามทว่าแฝงไปด้วยความเย้ายวนอ่อนหวานนี้ ดึงดูดได้แม้กระทั่งเหล่าภมรสีสวย ดอกไม้เบ่งบานงดงามสายลมพัดพาความอ่อนโยนจนไม้ดอกสั่นไหว ราวกับมันกำลังเต้นรำ เส้นผมสีดำสนิทนี้ปลิวไสวไปตามสายลม ความงดงามนี้อยู่ในสายตาของสาวน้อยวัยสิบเก้า หลินๆมองตาค้างในท่วงท่าสง่างามดุจเทพเซียนองค์น้อย ทว่าภาพนั้นไม่ได้มีแค่หลินๆเพียงคนเดียวที่ได้ชม! นัยน์ตางดงามราวตาหงส์ทอดมองภาพเด็กน้อยกำลังบรรเลงเพลงด้วยความสนใจ รอยยิ้มหวานประดุจน้ำผึ้งแย้มออกมาเล็กน้อย นิ้วเรียวยาวแตะขอบประตูโดยไม่รู้สึกตัว “นั่นใช่น้องชายของข้ารึไม่ ช่างน่าสนใจนัก!”
“เรียนท่านประมุข เวลานี้พรรคจันทราโลหิตได้ส่งคนไปขัดขวางการส่งของของศิษย์ในพรรค พวกมันกำเริบนัก ข้าขอไปล้างบางพวกมันให้สิ้นเสีย ท่านประมุขโปรดอนุญาติด้วย” คำกล่าวนั้นราวกับสายลมพัดผ่านหู เจ้าจินไป่หลง หรือประมุขพรรคหมื่นพิษกำลังทอดกายจิบน้ำชาด้วยความรื่นเริง ใบหน้าหล่อเหลาติดออกหวานไปทางสตรีนั้นดูมีเสน่ห์จนยากจะละถอน นิ้วเรียวประคองถ้วยชาจิบแผ่วเบา ทว่านัยน์ตานั้นหาได้จดจ้องที่น้ำชาในถ้วยไม่ ประมุขหนุ่มรูปงามมองไปยังบุคคลที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ริมฝีปากกระตุกยิ้มเย็น แววตาทอประกายอันตรายดั่งอสรพิษ คมเขี้ยวของงูนามเจ้าจินไป่หลงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็คงอยากลองลิ้มมันสักคราก่อนตายเป็นแน่ “ปล่อยมันไป” “แต่ท่านประมุข หากปล่อยไว้ชื่อเสียงของพรรคเราคงถูกย่ำยีด้วยคำถากถางของพวกมันเป้นแน่ ดปรดตรองดุอีกครั้งเถิด” “...ข้าบอกว่าปล่อยมันไป ฟังไม่เข้าใจหรือ? จิ่งเหวิน” “...ขอรับท่านประมุข” ไป่หลงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ร่างสมส่วนมีมัดกล้ามแบบพอประมาณนี้ล้มตัวลงบนเก้าอี้ตัวยาวด้วยท่าทางดั่งแมวขี้เกียจ ใบหน้างดงามทอประกายหยอกล้อแสงอาทิตย์ยามเย็นอย่างยั่วเย้า ในห้วงความคิดแม้จะมีเรื่องอื่นมาปะปนบ้างทว่าในใจกับนึกหวนวันเวลาที่เขาเข้ามาเป็นประมุขของพรรคหมื่นพิษนี้ เวลาสองปีช่างผ่านพ้นไปไวนัก ท่านพ่อและพี่ใหญ่ก็กำลังเดินทางกลับจวน หรือเขาควรจะกลับไปที่จวนบ้างดี? คิดได้ดังนั้นประมุขหนุ่มก็หลับตาลงราวกับเทพยดากำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ใบหน้าอ่อนเยาว์นี้ดูน่าหลงใหลไปเสียทุกส่วน หากไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นประมุขของพรรคหมื่นพิษอันล้ำเลิศ และยังเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งเหนือบุรุษด้วยกันแล้ว คนงามตรงหน้านี้คงไม่มีวันได้แต่งหญิงใดเข้าจวนเป็นแน่!!!
“นายน้อยเจ้าคะ ตื่นเถิดเจ้าค่ะ” เสียงปลุกดังเข้ามารบกวนโสตประสาท ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาท่ามกลางแสงจากตระเกียง หลินๆปลุกผมมาทำไมแต่เช้ามืดกันนะ? “มีอะไรเหรอหลินๆ ฟ้ายังไม่ทันสางเลย?” “ท่านแม่ทัพกับท่านฉีหยางเดินทางมาถึงแล้วเจ้าค่ะ นายน้อยควรออกไปแสดงความยินดีกับพวกท่านทั้งสอง” หลินๆว่า แม้นางจะอายุเพียงสิบเก้าแต่ก็รู้จักกาลเทศะดีไม่น้อย ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะดูแลปกป้องเขาได้ตั้งแต่เด็กเช่นนี้ “เช่นนั้นก็แต่งตัวเถิด ไปช้าคงไม่งาม” ว่าได้เพียงแค่นั้นตัวผมก็ลากตัวเองลงจากที่นอนกวักน้ำล้างหน้า สีฟันจนเรียบร้อยก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยชุดที่หลินๆเตรียมไว้ให้ เส้นผมสีดำขลับนี้ก็มัดไว้ในใส่ที่ครอบเอาไว้พองาม ใส่กำไลหยกอีกอันที่เป้นของดูต่างหน้าท่านแม่เสร็จจึงได้ฤกษ์ออกจากเรือนไผ่
คงเพราะยังเป็นเวลาเข้าอยู่มากอากาศจึงค่อนข้างเย็น ผมไม่เคยได้ออกมาในเวลานี้บ่อยนักทั้งเจ้าของร่างคนก่อนก็เป็นเด็กขี้ขลาดไม่กล้าออกจากเรือนไผ่ไกลเกินกว่าสิบก้าวด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกอะไรที่ผมจะไม่รู้จักทางไปเรือนใหญ่ สาวใช้หลายคนทำท่าทางแปลกใจเมื่อเห็นผม ก็พวกเขารู้แต่ว่ายังมีนายน้อยบุตรชายคนเล็กของท่านแม่ทัพอยู่หนึ่งคน ทว่าก็ไม่เคยได้เห็นหน้าตั้งแต่สองปีที่แล้ว บัดนี้เติบโตเป็นเด็กน้อยซุกซนที่มีใบหน้างดงามแสนน่าเอ็นดู “ข้ามาพบท่านพ่อ” สาวใช้เฝ้าหน้าประตูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย นางเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงครึ่งปีดี เลยไม่ค่อยรับรู้เรื่องบุตรชายคนเล็กชองท่านแม่ทัพสักเท่าใดนัก จะมีก็เพียงแต่หลินๆสาวใช้ที่มาด้วยกันเท่านั้นที่พอจะยืนยันได้บ้างว่าเขาเป็นสมาชิกในจวน “รอสักครู่นะเจ้าคะนายน้อย” นางว่าขณะที่ถอนกายไปสอบถามหัวหน้าสาวใช้ที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องราวกว่า หลินๆชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าใดนักเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น ต่อให้นายน้อยของนางจะไม่เคยก้าวออกจากเรือนแล้วอย่างไร ถึงแบบนั้นควรแล้วหรือที่จะทำราวกับนายน้อยเป็นคนต่ำศักดิ์เช่นนั้น!!! พอได้ยินเสียงฮึดฮัดขัดใจของพี่เลี้ยงส่วนตัวก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาอยากจะลูบหัวหลินๆปลอบเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งทว่าส่วนสูงของเขามันก็ไม่อำนวย อากาศด้านนอกเรือนนั้นหนาวมากและสาวใช้คนเดิมก็ยังไม่ยอมกลับมา ไม่รู้ว่าไปสอบถามเอาหนไหน อนาวินนึกเบื่อและรำคาญใจ หากจะมาหาพ่อแต่ละทีลำบากเช่นนี้เขายอมกลับไปนอนสบายๆบนเตียงไม้ของเขาดีกว่า ทว่ายังไม่ทันจะก้าวขาออกไปก็มีมือมาแตะไหล่เขาพร้อมกลิ่นหอมรัญจวน และกลิ่นนี้เองที่ทำให้ขนแขนของอนาวินลุกชันขึ้น นี่มันกลิ่นอันตรายชัดๆ!!!
“เจ้ายืนบริจาคเลือดยุงอยู่หรือไง?...น้องข้า!!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ