Y20+ Bess & the Beast อันตรายรักร้ายเจ้าชายอสูร

7.3

เขียนโดย หัวดินสอพอง

วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.05 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  4,964 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559 23.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) B&B ONE

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

B&B ONE

เว็บขีดเขียน

                เขาว่ากันว่าถ้าหากใครพับดาวกระดาษได้ครบหนึ่งพันดวงเมื่อไหร่ เขาผู้นั้นจะขอพรอะไรก็ได้เพียงหนึ่งอย่าง และหากนำมันไปให้กับคนที่เรารักเขาเชื่อกันว่ามันจะสมหวังดังปรารถนา แต่สำหรับผม.......มันก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระที่เอาไว้หลอกและตอกย้ำคนที่ไม่ประสบผลสำเร็จยังไงล่ะ

                “เอ่อ...คือว่า....”ผมในร่างอ้วนท้วมของเด็กหนุ่มวัย 17 ปี กำลังยืนอ้ำๆอึ้งๆด้วยใบหน้าขึ้นสีพร้อมกับอาการขวยเขินอย่างทำอะไรไม่ถูก ต้นเหตุก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นไอ้คนตรงหน้าผมนี่แหละ เขาชื่อพี่ บุริม เป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปีและในอีก 1 เดือนข้างหน้าผมก็จะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเพราะเขาต้องไปเรียนต่อไกลถึงอเมริกา  แล้วทำไมผมต้องมายืนเขินอยู่ตรงหน้าเขานะหรอ......อ่อใช่ผมกำลังจะมาสารภาพรักกับเขาไง

                “มีอะไรก็รีบๆพูดสิว๊ะ กูรำคาญเว๊ย!”เสียงตะคอกดังก้องไปทั่วทั้งระเบียงทางเดินจนผมอดสะดุ้งตกใจไปไม่ได้ คนที่อยู่รอบข้างต่างก็เบนสายตามาทางพวกเราทั้งสองคนจนผมไม่กล้าสบตาใคร ได้แต่ยืนกำขวดโหลที่ถูกซ่อนเอาไว้ด้านหลังด้วยมือทั้งสองข้าง ภายในนั้นบรรจุไปด้วยดาวกระดาษหลากสีนับพันดวงที่ผมบรรจงพับอย่างตั้งใจ ใส่ใจ และใส่อะไรอีกมากมายลงไป

                ผมแอบเหลือบมองใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าอย่างกล้ากลัวๆ แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนยังไงคนตรงหน้าผมก็หล่อจนวัวตายควายล้มอยู่ดี แม้จะเป็นตอนที่เขากำลังหงุดหงิดผมอยู่ตอนนี้ก็ตาม

                “คือ...ผมแอบชอบพี่มานานแล้วครับ!”มือทั้งสองข้างของผมถูกยื่นออกไปเพื่อส่งของแทนใจให้แก่อีกฝ่ายปากก็ร้องบอกออกไปเสียงลั่นไม่แพ้กับที่พี่แกตะคอกออกมาก่อนหน้านั้นเลยซักนิด ส่วนหัวใจของผมมันเต้นแรงจนแทบจะได้ยินเสียงออกมาด้านนอกอยู่แล้วแถมร่างกายมันก็ร้อนรุ่มไปหมด ตอนนี้เองที่เสียงคนรอบข้างเริ่มหน้าหูขึ้นเรื่อยๆและดูเหมือนประชากรที่มุงดูจะพุ่งสูงขึ้นไปไม่แพ้กันนั่นทำให้ผมต้องรีบก้มหน้าหลับตาลงทันทีแอบคิดเสียใจนิดหน่อยที่มาสารภาพเอาตรงนี้...

                หมับ....ไม่ใช่ขวดแก้วที่ถูกคว้าไปจากมือผม แต่กลับเป็น...คอเสื้อนักเรียน

                “หรอว๊ะ”/พลั้ว!.....เสียงทุ้มต่ำคำรามออกมาด้วยสายตาดูหมิ่น พร้อมกับความรู้สึกด้านชาที่ใบหน้าฝั่งซ้าย รู้ตัวอีกทีผมก็ลงมานั่งกองอยู่กับพื้นซะแล้ว ใช่! ผมถูกต่อย ทั้งเจ็บทั้งอาย ขนาดจะร้องไห้ยังร้องไม่ออกได้แต่ก้มหน้ารับฟังเสียงก่นด่าและนินทาของผู้คนรอบข้าง บ้างก็สงสารบ้างก็สมน้ำหน้า แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

                หมับ....ครั้งนี้เป็นฝ่ายผมที่คว้าข้อเท้าอีกฝ่ายเอาไว้รั้งไม่ให้เขาเดินจากไป

                “....อย่างน้อยก็ช่วยรับไอ้นี่ไว้...นะครับ”ผมพยายามยื่นของในมือออกไปด้วยอาการสั่นเทา ไม่สนใจคนรอบข้างอีกต่อไป ทั้งยังใจกล้าเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายอีกด้วยจนกระทั่งขวดโหลถูกกระชากออกไปจากมือผมแต่ทว่า....

                เพล้ง!....

.................................................................

                เฮือกกก! ผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้าย และความทรงจำในอดีต ดวงตาฉ่ำวาวไปด้วยของเหลวใสจนฝ้าและเพดานห้องกลายเป็นสิ่งที่พร่ามั่ว ผมรีบปาดมันออกก่อนจะยันตัวขึ้นในท่านั่งไม่รู้ว่าทำไมความทรงจำบ้าๆในอดีตถึงได้ย้อนรอยมาทำร้ายผมอีกครั้งทั้งที่เรื่องมันก็นานมามากแล้ว และผมก็ไม่อยากจะนึกถึงมันอีกเพราะมันโคตรเจ็บ แต่จะว่าไปตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่กล้าเปิดใจและรักใครอีกเลยล่ะ จะว่าไปก็ลืมแนะนำตัวซะได้ ผมชื่อเบสอายุ 22 ปี เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนผมยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่แต่ตอนนี้กลายเป็นคนว่างงานไปซะแล้ว อ่อใช่ผมมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งชื่อเบลอายุห่างจากผมอยู่ประมาณสามปีกว่าและตอนนี้ผมก็อาศัยอยู่กับน้องแค่สองคน

                กริ๊ง!! กริ๊ง!! จู่ๆเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังสั่นอยู่บนโต๊ะหัวเตียงตอนที่ผมกำลังจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ถ้าเป็นวันปกติผมคงทำแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ แต่เพราะวันนี้ผมเพิ่งถูกไล่ออกไง

                “สวัสดีครับ ไม่ทราบ...”ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับเบอร์แปลกแต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยค

                “ไงได้ข่าวว่าตกงานแล้วนี่ คราวนี้จะมาทำงานกับผมได้รึยัง”เสียงทุ้มต่ำดังมาจากปลายสาย ซึ่งผมก็จำได้เป็นอย่างดีเพราะเขาคือทนาย อ๊ะๆ..นั่นไม่ใช่อาชีพแต่เป็นชื่อของเขา เขาแอบมาทาบทามผมหลายครั้งหลายหนที่บริษัทให้ไปทำงานด้วยแต่ผมก็ปฏิเสธกลับไปทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะงานที่เขาให้ผมทำมันห่วยแตก เลวร้าย หรือรายได้น้อย เพียงแต่พ่อผมขอเอาไว้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่พ่อดูจะจริงจังมาก มากซะจนผมต้องยอมทำตามคำขอ

                “ทำงานกับผีนะสิ ที่ผมต้องตกงานก็เพราะคุณไม่ใช่รึไง”ใช่แล้วลูกค้าที่เป็นเหตุทำให้ผมต้องออกจากงานก็คือเขาเนี่ยแหละ คิดจะบีบกันจริงๆสินะ

                “ไม่ต้องรีบหรอกครับ ผมให้เวลาคุณคิดสักอาทิตย์ เอาเป็นว่าคิดได้เมื่อไหร่ก็ช่วยโทรมาบอกด้วยล่ะ ผมจะรอ อ้อ....แล้วก็อีกเรื่อง ช่วยเมมเบอร์ผมไว้หน่อยก็ดีหลังจากนี้คงจะได้คุยกันบ่อยขึ้น...แล้วเจอกันนะครับ”เขาพูดเองเออเองแล้วก็ตัดสายฉับไปทันที แต่อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากคุยอะไรกับเขานักหรอก ตอนนี้ไม่อยากจะคิดอะไรด้วยซ้ำ ขอนอนสักตื่นก็คงจะดี...

                กริ๊ง!! กริ๊ง!! เวรจริงๆจะได้นอนไหมวันนี้ ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นเบอร์ที่ผมเมมเอาไว้และก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี

                “ครับพ่อ”ผมตอบรับอีกฝ่ายทันทีหลังจากที่กดรับโทรศัพท์

                [ตอนนี้แกอยู่ไหน!]เสียงพ่อดูร้อนรนมากจนผมแทบจะสะดุ้งตกเตียง

                “อยู่บ้านอ่ะพ่อ”

                [แล้วเบลล่ะ!]ดูเหมือนพ่อจะไม่ได้สงสัยเลยเว้ย ว่าไอ้ลูกบ้างานคนนี้ทำไมถึงอยู่ติดบ้านไม่ยอมไปทำงานทำการ แถมยังถามหาน้องสาวสุดน่ารักของผมอีกต่างหาก

                “ก็เรียนนะสิ ว่าแต่พ่อนั่นแหละถามหาแต่ลูก ตัวเองอ่ะอยู่ไหนไม่กลับบ้านกลับช่องเลยนะ”ผมอดที่จะถามย้อนพ่อกลับไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าพ่อทำงานอะไร แต่นานๆครั้งเขาถึงจะกลับบ้านซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติ ไอ้โทรหาก็มีมาเรื่อยๆอย่างตอนนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายถ้าไม่ได้จากผมก็ได้จากพ่อเนี่ยแหละ ลำพังแค่ผมกับน้องก็พอเลี้ยงไหวอยู่หรอกแต่ให้เลี้ยงหนี้สินที่แม่ทิ้งเอาไว้ให้ก็คงไม่พอจริงๆ

                [เบสถ้าเบลเลิกเรียนแล้วให้พาน้องมาที่ที่พ่อส่งไปให้นะแค่นี้แหละ]

                “ห๊ะ!...เดี๋ยวก่อนดิ.....พ่อ!”เฮ้อ....ยิ่งนานวันก็ยิ่งไม่เข้าใจพ่อตัวเองครับบอกเลยผมรีบเช็คสถานที่ที่พ่อส่งโลเคชั่นมาให้ ซึ่งก็ยิ่งทำให้แปลกใจเข้าไปใหญ่ว่าพ่อจะให้ผมพาน้องไปทำอะไรที่นั่น ในพื้นที่ๆเกือบจะออกนอกเมืองแบบนั้น

                ตอนนี้ผมได้แต่รอ นอนผลาญเวลาไปอย่างไร้ค่าจนกระทั่งสามโมงเย็นจะสี่โมง ถึงค่อยไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะต้องไปรับน้อง กว่าจะทำอะไรๆเสร็จก็ปาไปสี่โมงกว่าๆแล้ว ผมเลยรีบขับรถบึ่งไปยังมหาวิทยาลัยของน้องสาวทันที แต่ก็ไม่วายรถติดอีกจนได้ สรุปแล้วกว่าจะถึงที่หมายก็เกือบจะห้าโมง

                ผมเอารถเข้าไปจอดในมหาวิทยาลัยแล้วต่อสายหาเบลทันทีแต่ก็กลับโทรไม่ติด...หรือแบตจะหมด ผมพยายามไม่คิดอะไรมากแต่ก็ไม่รู้จะติดต่อน้องสาวยังไงทางเดียวที่ผมจะทำได้คือลงจากรถไปตามหา

                “พี่เบสๆ พี่เบสใช่ไหมคะ”ไม่ทันไรก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นมาจากที่ไกลๆตรงไหนสักแห่งทำให้ผมต้องรีบควานสายตาหาว่าเป็นใคร และมาจากไหนซึ่งไม่นานก็เจอเด็กสาวตัวเล็กๆที่จ้ำอ้าวเข้ามาหาผมอย่างร้อนรน นึกไปนึกมาก็นึกออก เพราะเธอเพื่อนสนิทของน้องสาวผมเอง

                “อ้าว....น้องไหมแล้วเจ้าเบลล่ะ”ผมถามขึ้นมาแต่หน้าของอีกฝ่ายกลับซีดเซียวเสียยิ่งกว่าเดิมจนเห็นได้ชัด

                “เบล!....เบลถูกจับตัวไปค่ะพี่! ไหมจะเข้าไปช่วยแต่ไม่ทัน....ฮึ่ก...เบลจะเป็นอะไรไหมอ่ะพี่”

                “หมายความว่าไง?”

                กริ๊ง!!!! กริ๊ง!!! ผมยังไม่ทันได้หายสงสัย จู่ๆเสียงโทรศัพท์เข้าก็ดังชึ้นมาซะอย่างนั้น แต่พอเห็นว่าเป็นพ่อผมก็รีบกดรับทันที

                [แกอยู่ไหนแล้ว!!]เสียงพ่อตะโกนดังมาตามสายจนผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหูเล็กน้อยพยายามสูดหายใจเข้าปอดแล้วตอบอีกฝ่ายกลับไป

                “พ่อ....น้องถูกจับตัวไป”

                [ห๊ะ! ว่าไงนะ]

                “ไม่ต้องมาว่าไงนะเลยพ่อ! พ่อต้องบอกผมมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น! เบลหายไปไหน!”

                [ฉันก็ไม่รู้อั่ก!....]

                “พ่อ!...”ผมร้องเรียงดังลั่นเมื่อได้ยินเสียงทึบหนักๆ กับเสียงร้องของพ่อ ก่อนที่ปลายสายจะมีเสียงของใครอีกคนดังขึ้นมา เสียงมันใหญ่และทรงพลังจนน่าเกรงขาม

                [กูให้เวลามึงอีกแค่ยี่สิบนาทีถ้ามึงยังมาไม่ถึง...ไอ้แก่นี่ตาย..]

                “คุณ....”เป็นใคร?

                ติ๊ด..... ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดต่อจนจบสายก็ถูกตัดฉับไปอีกครั้ง ให้ตายเถอะวันนี้ผมโดนตัดสายใส่สามครั้งแล้วนะโว๊ย!! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันว๊ะ แต่เดี๋ยวนะเมื่อกี้นี้มัน

                “เชี่ยเอ้ย!”ทันทีที่ผมคิดได้ว่าไอ้หมอนั่นมันพูดว่าอะไร ผมก็เลิกสนใจน้องไหมไปแล้วหันไปเปิดประตูก้าวขาขึ้นรถทันที ไม่ใช่ว่าผมลืมเรื่องเบล แต่รายนั้นผมไม่มีข้อมูลและก็ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆ เท่าที่ผมทำได้ในตอนนี้คือรักษาชีวิตของพ่อตัวเองเอาไว้ “ยี่สิบนาที...เอาว๊ะ!”

............................................................................

                ตอนนี้ผมได้แต่มองที่อยู่ในมือกับภาพคฤหาสน์ตรงหน้าสลับกันไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา พลางคิดในใจว่าพ่อมาทำอะไรที่นี่ แล้วคนที่อยู่ในสายนั้นคือใคร

                “เฮ้อ....”ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถอย่างกล้าๆกลัวๆ แม้ฟ้าจะยังไม่มืดมากและผมก็คิดว่าตัวเองมาทันเวลา แต่ ณ ตอนนี้บรรยากาศที่นี่กลับอึมครึมจนน่าขนหัวลุก คือถ้ามุดดินหนีได้ผมคงทำไปนานแล้ว เพียงแต่คนเป็นพ่อของผมอาจจะอยู่ในนั้นเนี่ยสิ

                ติ๊งต่องงงงง!!! ผมแอบใจชื้นขึ้นมาหน่อยตอนที่ได้ยินเสียงออดดังเหมือนกับกริ่งทั่วๆไป ตอนแรกคิดว่าจะเป็นเสียงผู้หญิงกรีดร้อง หรือไม่ก็คนหัวเราะอะไรทำนองนั้นซะอีกไม่นานประตูรั้วทั้งสองฝั่งก็ถูกเปิดออก ผมจึงกลับไปขึ้นรถและขับเข้าไปด้านในจนถึงหน้าประตูบ้านบานหรูที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย ผมเลยตัดสินใจลงจากรถแล้วเข้าไปด้านในทันที เพียงแต่ว่าในนี้มันค่อยข้างมืดสลัวมองอะไรไม่ค่อยชัดนัก

                “เอ่อ...มีใครอยู่ไหมครับ!”

                ตุ๊บ! ทันทีที่เสียงพูดของผมจบลง ร่างที่ไร้สติร่างหนึ่งก็เหมือนจะถูกผลักให้ลงมากองอยู่เบื้องหน้าผม จนกระทั่งเห็นใบหน้าของคนๆนั้นอย่างชัดเจน

                “พ่อ!”ผมร้องก้มลงไปสำรวจดูตามเนื้อตัวของคนตรงหน้าที่มีรอยแผลและรอยฟกช้ำมากมาย จู่ๆมือไม้ก็สั่นไปหมดอย่างทำอะไรไม่ถูก ยังดีที่หน้าอกกว้างกำลังกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะไม่งั้นผมคงคิดว่าร่างๆนี้สิ้นลมไปแล้วแน่นอน “พะ...พ่อ....ใครทำ”ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือโกรธ

                “ผู้หญิงล่ะ”

                เฮือก!!! ผมสะดุ้งสุดตัวทันทีที่ได้ยินเสียงของบุคคลที่สาม เสียงที่ทุ้มต่ำจนน่าหวาดผวาเหมือนกับในโทรศัพท์ก่อนหน้านี้และทันทีที่เงยหน้าขึ้นสบตามองผมก็ได้แต่ตาค้างอ้าปากพะงาบๆอย่างทำอะไรไม่ถูก ตัวก็เริ่มสั่นหนักขึ้นเรื่อยๆเมื่อความกลัวมากมายกำลังกัดกินเข้ามาในจิตใจ

                “กูถามว่าผู้หญิงอยู่ไหน!”จากคำถามที่ราบเรียบกลายเป็นเสียงตะคอกอันทรงพลัง ผมที่ตอนนี้ได้แต่สั่นจึงได้ต้องกลั้นใจตอบออกไปไม่ให้สิ่งมีชีวิตตรงหน้ามีอารมณ์มากไปกว่านี้ สิ่งมีชีวิตที่ผมเองก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร

                “นะ..น้องสาวผม....ถะ....ถูกจับตัวไป”

                “กูไม่เชื่อ!”

                “ผมไม่ได้โกหก น้องผมหายไปจริงๆ!”

                “มึงอยากให้พ่อมึงตายนักรึไงว๊ะ”บทสนทนาจบลงถึงตรงนี้ทุกๆอย่างก็เงียบสงัด ที่จริงก็คือผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปต่างหาก ผมไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มันเกิดจากอะไรแล้วผมควรจะยังไง

                “ผม”

                “ห๊ะ!”อีกฝ่ายดูจะงุงงงที่ผมพูดอะไรไม่ได้ความออกไป

                “ผมเอง ให้ผมตายแทน”ผมตัดสินใจพูดออกไปอย่างไม่ต้องนึกคิดอะไรอีก ยังไงชีวิตของผมมันก็ไม่ได้มีอะไรดีอยู่แล้วทั้งเรื่องความรัก การงาน หรืออะไรก็ตามแต่ จะมีก็แค่ครอบครัวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่และผมจะไม่ยอมให้พวกเขาเป็นอะไรไปเด็ดขาด ยิ่งน้องสาวของผมเธอยังมีอนาคตอีกไกล

                “มึงเบื่อชีวิตนักรึไง”ร่างสูงใหญ่ไม่ได้ได้พูดเปล่าแต่กลับใช้อุ้งเท้าด้านหน้ามาช้อนคางผมขึ้นไปหา

                “......”ผมไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่มองกลับไปอย่างแน่วแน่แม้เนื้อตัวจะยังสั่นอยู่ก็ตาม

                “สายตาใช้ได้นี่หว่า งั้นกูจะทำให้มึงหายเบื่อชีวิตเอง”

                บึ่ก! สิ้นสุดเสียงดังกล่าวสติของผมก็ดับวูบลงเหลือเอาไว้เพียงความมืดมิดและความว่างเปล่า....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา