ซ่อนใจปรารถนา

-

เขียนโดย อัยพินธุ์

วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 00.19 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,289 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559 09.55 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอน 1 – แหม่มผู้โชคร้าย
            ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ต่างรอคอยการมาถึงของคนรู้จักที่จากไปแสนไกล ดวงตาสีผืนสมุทรคู่หนึ่งกำลังชะเง้อแง้หาใครสักคนที่อาจจะกำลังชูป้ายชื่อของเธออยู่ไม่ไกล
            หากไม่เพราะเครื่องบินที่ดีเลย์ถึง 3ชั่วโมง เจ้าหล่อนก็คงไม่ถึงที่หมายได้เลยเวลานัดมากมายขนาดนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ไม่มีใครอย่างให้มันเป็นแบบนี้เลยแม้แต่คนเดียว
            พร่างไพลินไม่เคยอยากจะมาที่นี่เลย ญาติพี่น้องที่เธอไม่รู้สึกคุ้นเคยเป็นสิ่งที่กดดันให้เธอไม่อยากเข้าเผชิญหน้า แต่ด้วยคำสั่งเสียสุดท้ายของผู้เป็นบิดาที่ต้องการนำเถ้าธุลีร่างของตนวางไว้เคียงคู่กับบรรพบุรุษแต่เก่าก่อน บีบให้เธอข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่บนผืนแผ่นดินที่ไม่เคยได้สัมผัส
            เธอเกิดที่ฟินแลนด์ เติบโตที่ฟินแลนด์ และเป็นพลเมืองของฟินแลนด์ ไม่มีใครมาเปลี่ยนความจริงในเรื่องนี้ได้ เพียงแต่เลือดครึ่งหนึ่งของเธอก็คือเลือดไทย นั่นก็เป็นความจริงที่ไม่มีใครมาเปลี่ยนได้เช่นกัน
            ดวงตาคู่กลมถอดใจ อย่าว่าแต่แผ่นกระดาษสักใบเลย ใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องที่เธอคอยติดต่อเรื่องงานศพบิดาก็ไม่มีแม้เศษเสี้ยวเงาให้แลเห็น
            ร่างอรชรลี้หลบความวุ่นวายด้วยย้ายกายมายืนพิงมุมอับ เธอตัดสินใจเปิดโทรศัพท์มือถือเครื่องเน่าๆของตนเองเพื่อส่งข้อความทวงถามคนที่เอ่ยปากจะมารับแต่กลับไร้แม้แต่ไอของดวงวิญญาณ
            ‘พี่ขอโทษนะน้องสีฟ้า พี่มีงานด่วนพอดี เลยรอน้องนานกว่านี้ไม่ได้’
            ข้อความที่ถูกส่งมาจากนิลกาฬเมื่อ 45นาทีที่แล้วเด้งขึ้นมาก่อนจะทันได้พิมพ์ข้อความใด ใบหน้างามงอนแกว่งไปมาให้กับตัวอักษรเบื้องหน้า ลมหายใจหนักหน่วงถูกผ่อนลงด้วยเสียบางเบา อย่างน้อยเขาก็น่าจะบอกกันเสียหน่อยว่าจะให้รอหรือทำเช่นไรต่อไป ‘แล้วเอาไงต่อดี?’ นิ้วผอมบางรัวแป้นพิมพ์ลายน่ารัก ก่อนจะกดส่งด้วยความเร็วเน็ตที่ไม่น่ารักสักเท่าไร
            ‘เอางี้ สีฟ้าออกไปเดินเล่นหรือไม่ก็หาอะไรทำก่อน กว่างานพี่จะเสร็จก็คงอีกนานเลย เสร็จแล้วจะโทรหา แชร์โลฯ ที่จะให้ไปรับมาด้วยแล้วกัน’ คำตอบของลูกพี่ลูกน้องหนุ่มทำเอาหญิงสาวต้องถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ 2 ต่างกันที่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าจะเอาไงก็เอาเหอะขึ้นมาแทน
            พร่างไพลินพากระเป๋าเดินทางใบเดียวด้วยหมายมั่นว่าจะอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันสะพายขึ้นบ่า จุดหมายปลายทางแรกที่เธอจะไปคงหนี้ไม่พ้นร้านแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่จะทำให้เธออยู่ได้ในประเทศนี้ไปหลายวัน
            เคาน์เตอร์เล็กๆที่ถอดทิวหางยาวสุดกู่ไม่หยุดหย่อนพัก พร่างไพลินมองดวงหน้าที่ขะมักเขม้นกับการนับทวนธนบัตรปริบๆ ก่อนที่ดวงเนตรใสจะเบือนแลไปสะดุดกับอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากกว่า
            “ขอโทษนะคะที่นั่นที่ไหน” เจ้าของดวงหน้าที่ปราศจากเค้าเอเชียเอ่ยขึ้นด้วยภาษาประจำชาติของผู้ถูกถามพร้อมทั้งชี้มือชี้ไม้ยังรูปพระพุทธไสยาสน์ทองคำองค์ตระหง่าน
            “วัดโพธิ์น่ะหรอคะ” พนักงานสาวประเภทสองยืนธนบัตรไทยพร้อมทั้งใบเสร็จแก่ลูกค้าสาวด้วยอาการงงๆ หล่อนเองคงจะไม่รู้สึกตกใจขนาดนี้หากแหม่มจ๋าผู้นี้เลือกที่จะพูดภาษาไทยตั้งแต่ต้น
            “วัดโพธิ์?” เสียงที่สูงขึ้นแสดงถึงประโยคคำถาม ใบหน้าหวานๆรูปไขเอียงกระซิกเล็กน้อยอย่างสนอกสนใจ “ค่ะ คุณลูกค้ามาไทยครั้งแรกหรอคะ”
            “ค่ะ ครั้งแรกเลย”
            “แปลกดีนะคะ พูดไทยชัดมากทั้งที่มาครั้งแรก”
            “ไม่แปลกหรอกค่ะ พ่อฉันเป็นคนไทย” เธอตอบทั้งหน้าที่ลดความสุขลง คิดถึงผู้ชายที่ดีที่สุขในโลกคนนี้ขึ้นมาจับใจ เขาไม่น่าจากไปก่อนที่จะถึงวัยอันสมควรเลย
            “เป็นลูกครึ่งนี่ดีจังนะคะ ได้หลายภาษาเลย”
            “ก็รู้แค่นิดหน่อยค่ะ พ่อฉันเขาไม่อยู่สอนฉันต่อแล้ว...”
            “ฉันเสียใจด้วยนะคะ อ้อ ถ้าคุณลูกค้าต้องการจะท่องเที่ยว ฉันยกนี่ให้ก็ได้นะคะ”
            สมุดพับเล่มยาวถูกส่งจากมือที่เนียนละมุน หน้าปกมันวาวพิมพ์ด้วยตัวภาษาอังกฤษหนาๆ ว่า ‘Bangkok'และมีตัวภาษาจีนที่เล็กรองลงมาในความหมายเดียวกัน “คู่มือท่องเที่ยวหรอคะ” พร่างไพลินถามอย่างประหลาดใจ จะว่าไปเธอก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เหมือนกัน “ค่ะ เล่มนี้รวบรวมสถานที่สวยๆในกรุงเทพไว้เยอะเลยนะคะ”
            “ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นของคุณ” ลูกครึ่งสาวปฏิเสธ เธอเกรงใจพนักงานหญิงในร่างชายคนนี้เหลือเกิน
            “รับไว้เถอะค่ะ คนที่เขาเคยใช้มันเขาเองก็ไม่อยู่แล้ว ต่างกันตรงที่เขาจากทั้งยังมีชีวิตอยู่...” ดวงตาดำสนิทลดลงต่ำด้วยนึกถึงรักที่ยังอาลัย เธอที่แม้จะเป็นชายแต่กลับมีดวงหน้าที่พริ้มเพริศเหนืออิสตรีโดยแท้ผุดแววเศร้าที่จมอยู่ก้นบึ้งของหัวใจให้ปรากฏ
            พร่างไพลินทำอะไรต่อไม่ถูก มือเรียวบางรับแผ่นพับหนาๆทั้งความรู้สึกที่เกรงใจไม่สร่าง “ขอบคุณนะคะ” เธอขอบคุณทั้งสีหน้าที่แอบห่วงใยจางๆ “ขอให้คุณเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิตนะคะ”
            “ขอบคุณค่ะ คุณลูกค้าเองก็เช่นกันนะคะ” คำอวยพรที่ได้จากพนักงานสาวทำลูกค้าอย่างเธอหุบยิ้มไปชั่วขณะ แล้วจึงยิ้มเฝื่อนๆกลับไป “ค่ะ” เธอตอบ ก่อนจะหันหลังไปมองแถวยาวๆข้างหลังที่เริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจกับการรอคอยที่ยาวนาน “I’m sorry.” แหม่มสาวพูดกับชาวเอเชียข้างหลังทั้งน้ำเสียงที่รู้สึกผิดเต็มประดา เธอไม่น่าชวนพนักงานคนนั้นพูดด้วยเลย
            ขาเรียวยาวใต้กางเกงยีนส์สีน้ำเงินสนิทสาวฉึบฉับออกจากจุดที่เคยยืนอย่างกระฉับกระเฉง อย่างไรเสียเธอควรจะออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะถูกสาวไส้ถึงบรรพบุรุษไปมากกว่านี้
 
            รถแท็กซี่หยุดลงยังที่หมาย ร่างบางพากายตนพร้อมทั้งสัมภาระขยับย่างออกจากประตูรถเตี้ยๆ เบื้องหน้าของเธอในตอนนี้คือฝูงชนมากมายหลากชาติหลายเชื้อพันธุ์ที่ต่างก็มีความต้องการอย่างเดียวกัน นั่นคือการได้มาเยี่ยมชมสถานที่ที่สวยงามชวนหลงใหลที่หนึ่งของประเทศหน้าตาเหมือนขวานนี้
            พร่างไพลินนำตัวเองเข้าไปยังกลุ่มคนที่ขจัดขจาย ก่อนจะเดินละไปตามผืนกำแพงยาวเตี้ยๆที่ล้อมรอบโบสถ์ วิหารภายในเอาไว้ให้เห็นเพียงหลังคารายสูงเตี้ยผ่อนสลับกัน
            แถวทางเข้ายังศาสนสถานถูกแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสำหรับคนไทยซึ่งเข้าชมฟรี กับฝั่งหนึ่งสำหรับชาวต่างชาติซึ่งต้องเสียค่าเข้าชมตามธรรมเนียม แน่นอนว่าผู้หญิงที่มีเค้าหน้าไทยๆไม่ถึงเศษเสี้ยวอย่างพร่างไพลินไม่มีทางเลือกมากนัก เธอยอมที่จะควักธนบัตรใบแดงในกระเป๋าสะพายข้างออกทำบุญให้วัดแต่โดยดี
            องค์ประธานในวิหารยาวเศวตสีบริสุทธิ์สะกดจ้องให้แววเนตรทะเลหลวงต้องมนตราไปในชั่วพลัน พระพุทธไสยาสน์องค์สีทองอร่ามหลังเสาทรงแปดเหลี่ยมสะท้อนภาพลึกลงในห้วงกมลมานทั้งทีที่ตาต้อง ดวงพักตร์ที่อิ่มเอิบไร้รอยซูบผอมของสองปรางค์ สองพระเนตรรียาวนัยน์ตาสอดสองยังมนุษย์ ณ เบื้องล่างไม่ขาดหนี พระเกศาดั่งอุณาโลมเพลิงเช่นครั้งอดีตกาล พระวงองค์สูงใหญ่สมมาตรทั้งซ้ายขวาไร้ข้อบกพร่องใดๆ
            ยามนี้สิ่งที่เคยเห็นแต่เพียงรูปได้มาตั้งอยู่เบื้องหน้าเธอแล้ว รูปที่เคยว่าสวยงามสักเพียงไหนก็งามเท่าของจริงที่อยู่ในสายตาตอนนี้จริงๆไม่ได้แม้แต่น้อย
            ความรู้สึกที่เรียกว่ารักแรกพบก่อตัวขึ้นมาราวมีมนตร์วิเศษเสกสรรไว้ พร่างไพลินรู้สึกรักที่นี่อย่างบอกไม่ถูก เธอเริ่มตกหลุมรักประเทศที่สวยงามมากมายประเทศนี้เสียแล้วสิ
            มือถือเครื่องที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่บันทึกภาพประทับใจอย่างรู้สึกเสียดาย รู้เช่นนี้น่าจะเอากล้องมาตั้งแต่แรกไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องมาทนให้กล้องมือถือความละเอียดต่ำแบบนี้
            สวนเขามอถัดลึกซ้อนหลังศาลารายรอบพระวิหาร ต้นไม้นานาพรรณหลากความสูงจัดเรียงเคียงกันชั้นพุ่มสลับภูเขาจำลองขนาดเล็ก เหนือโขดหินประดับด้วยรูปปั้นหินฤษีโยคีในท่าทางแปลกประหลาดแซมแทรกอยู่โดยทั่ว
            “นี่เรียกว่าฤษีดัดตน เป็นท่าบริหารร่างกายของคนสมัยก่อน”
            เสียงของพ่อที่พูดกับลูกชายวัยประถมแว่วผ่านโสตประสาทของพร่างไพลินเข้าอย่างจัง หญิงสาวหันไปมองสองพอลูกที่ชวนกันทำท่าตามรูปปั้นอย่างอดยิ้มไม่ได้ นึกถึงเมื่อครั้งเธอยังเด็ก พ่อคอยเป็นคู่ฝึกเต้นรำให้เสมอจนถึงในวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังขอลูกสาวคนนี้เต้นรำเป็นครั้งสุดท้าย
            ‘ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ...’เสียงในใจฟ้องเธออย่างแผ่วเบา ความคิดถึงปกคลุมรอบกายคล้ายดังเมฆหมอกจางขาว ยิ่งมองภาพสองคนตรงหน้านั่นเท่าไร ใจก็ยิ่งยากจะคลายจากห้วงคำนึงได้
            ร่างอรชรขยับกายหันหลังหนี คิดเพียงแต่จะต้องออกห่างจากตรงนี้ไปให้ไกล เท้าทั้งสองจ้ำอ้าวด้วยแรงที่พอตัว ใบหน้านวลหวานผลุบหลบต่ำ หญิงสาวย่ำนำไปอย่างไม่เหลียวหลัง เสียงลมหวีดหวิวแทรกซึมตามความเร็วที่ย่างเดิน ก่อนที่แรงแรงหนึ่งจะปะทะกับไหล่กลมบางทั้งยังไม่ทันได้ตั้งตัว
            “Auts!”*
            “I’m sorry!”
            ชายของผอมแห้งใต้ฮูดสีเทาอ่อนผละตัวเองหนีจากแรงปะทะเมื่อครู่ ใบหน้าที่ถูกปกปิดก้มต้มส่ายไปมาชั่วหนึ่ง ก่อนที่ตนจะรีบสาวเท้าฉึบฉับห่างออกไปอย่างรวดเร็วราวหนีจากบางสิ่ง
            “อะไรของเขา” ริมฝีปากชมพูอ่อนขยับพึมพำ สายตาคู่กลมทอดมองจนร่างของชายที่เบียดชนเมื่อครู่หายลับไปกับฝูงชนแออัดแล้วจึงหันกลับไปในทางที่ตนเลือกเดินต่อ
 
            ท่ามกลางแสงไฟสองข้างทางเดิน เท้าคู่หนึ่งย่างย่ำไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จุดหมาย บนแผ่นหลังเล็กๆบรรทุกกระเป๋าสะพายใบใหญ่ทั้งเหงื่อโซม พร่างไพลินมองนาฬิกาสายเหล็กบนข้อมือบางครั้งแล้วครั้งเล่า โทรศัพท์มือถือเองก็ไร้เงาของข้อความใดๆจะฉายส่งดังที่สัญญา
            ป่านนี้แล้วนิลกาฬยังไร้วี่แววที่จะโทรหาตามที่ได้เคยบอก ไม่รู้ว่ามีงานด่วนจนล้นมือหรือว่าหลงลืมกันไปเสียแล้ว จึงไร้วี่แววจะตามหา
            พระจันทร์ดวงผ่องตามติดเป็นเพื่อนใจคนเดินทางไกลไม่ตีห่าง ดวงเนตรสมุทรวาวสะท้อนสีเหลืองนวลบนท้องฟ้า พร่างไพลินมองแล้วก็ทำได้เพียงแต่ยิ้มจางๆส่งไป เธอเองก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากการเดินไปเรื่อยๆบนถนนสายยาวเช่นกัน
            กลิ่นฉุนแต่ชวนหอมของใบกะเพราสะกิดจมูกมนๆให้ใคร่สนใจใคร่รู้ใคร่เห็น ร้ายกว่านั้นกลิ่นที่แสนรัญจวนยังแทรกสะกิดกระเพาะหล่อนให้ต้องร้องโอดโอยฟ้องร่างกายว่าต้องการ
            ขายาวพาร่างแน่งน้อยข้ามทางม้าลายไปยังฝั่งฟากตัวการกลิ่นชวนน้ำลายสอ ร้านอาหารตามสั่งริมท้างเท้าพร่างพรายไปด้วยกลุ่มลูกค้าที่ต่างเพิ่งเลิกงานและนักท่องเที่ยวแบบประหยัด ตอนนี้เธอเองก็กำลังกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น
            ทันทีที่คนตัวบางทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ บริกรที่เป็นชาวต่างชาติไม่ต่างกันก็รี่เข้ามารับออเดอร์อย่างขยันขันแข็ง มิหนำซ้ำยังแลดูจะพูดภาษาอังกฤษได้แข็งแรงกว่าคนไทยมากเสียด้วย “คุณจะรับอะไรดีครับ” ชายต่างด้าวถามด้วยสำเนียงคล่องปรื๋อ คงด้วยเจอลูกค้าต่างชาติจนเคยชิน
            “เอาแบบเดียวกับที่กำลังทำอยู่น่ะ”
            “ผัดกะเพราหมูสับงั้นหรอครับ”
            ลูกครึ่งสาวพยักหน้า เธอไม่รู้หรอกมันเรียกว่าอะไร แต่ถ้าเรียกแบบนั้นก็คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ
            พร่างไพลินนั่งมองคนในร้านที่กำลังหัวหมุนไปมาอย่างสนอกสนใจ วิถีชีวิตช่างแตกต่างจากเธอที่ไม่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ก็หน้าโต๊ะเขียนแบบที่เหน็บกระดาษและเครื่องเขียนให้เสร็จสรรพตามประสานักออกแบบ
            ข้าวราดผัดกะเพราจานกลมถูกวางไวหน้าร่างนงพะงาหลังจากที่ได้พูดคุยกับบริกรไม่นานนัก สีเข้มๆของซีอิ๊วบนหมูสับเคล้ากลิ่นกระเทียบดึงดูดเสียงหัวใจให้โดยหา เจ้าหล่อนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม่ตัวเองถึงชอบกระเทียมมากทั้งที่คนที่เธอรู้จักต่างก็เกลียดกระเทียมกันยิ่งกว่าอะไรดี จะมีก็แต่พ่อเท่านั้นที่ดูจะพึงใจกับกระเทียมเม็ดเล็กๆ รสแรงๆ
            รสเผ็ดของพริกตำซึมซาบทั่วลิ้นแดงให้แดงแจ๋จวนระอุ อนงค์ครามเผยปรางค์สีตำลึงสุก น้ำตาหล่อนจวนจะเล็ดแล้ว ช่างเป็นรสชาติที่ไม่เกรงกลัวสัมผัสทั้งห้าจะพังพินาศกันเลยทีเดียว  
            “ยอม ยอมแพ้แล้ว”
            เสียงกระเส่าสั่นคร้ามออกมาอย่างปราชัย ริมโอษฐ์นิ่มนุ่มกระดกดื่มน้ำเย็นทั้งอึกใหญ่ ให้ตายเถอะเกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเจออะไรที่เผ็ดนรกแตกขนาดนี้ รสชาติร้านอาหารไทยในฟินแลนด์ที่เคยตะเวนชิมมาแลดูอ่อนด๋อยไปในบัดดล
            “คิดตังค์เลยค่ะ” เจ้าหล่อนเรียกบริกรทันทีที่ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติ ชายต่างชาติคนเดิมเดินเข้ามาพร้อมใบสั่งอาหารในมือ “ข้าวกะเพรา 1จาน น้ำ 2 น้ำแข็ง 1 ทั้งหมดก็ 70บาทครับ” เสียงเจื้อยแจ้วพูดพร้อมกับการที่อีกคนใช้มือล้วงลงยังกระเป๋าสะพายข้างใบเล็ก
            มือเล็กสัมผัสได้เพียงผนังผ้าชั้นใน ทว่าภายในกลับว่างเปล่า “เอ๊ะ!” คนตัวยาวอุทานลั่น ไล่กวานภายในกระเป๋าด้วยร้อนใจ ปลายนิ้วเรียวรับรู้ถึงความโล่งว่าที่หวาดหวิวอย่างประหลาด เธอตัดสินใจแทงมือลงไปภายในช่องว่างนั่น ก่อนจะพบว่า
           นิ้วมือทั้งห้าได้ออกมาจ๊ะเอ๋เธอด้านนอกกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย
          พร่างไพลินโดนกรีดกระเป๋าเข้าให้แล้ว เงินก้อนเดียวที่เธอพกมาประเทศไทยสูญสลายไปโดยไม่รู้ตัว ใจของเจ้าหล่อนกระโดดหายออกไปยังเบื้องล่างของท่อระบายน้ำ รู้สึกสับสนไปหมดกับคำถามมากมายที่พุ่งขึ้นมาในหัวราวกับพลุดอกไม้ไฟ แต่คำถามที่ชวนคิดหนักที่สุดคงจะหนีไม่พ้นว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี
            บริกรต่างด้าวที่เห็นท่าจะไม่ดีไม่รอช้าที่จะสะกิดบอกเจ้าของร้านชาวไทยที่ยืนผัดกับข้าวให้หยุดชะงัก หญิงร่างท้วมเดินอาจๆยังโต๊ะของคนที่ตัวฝ่อลงไป ใบหน้าที่เอาเรื่องพอตัวบีบอีกฝ่ายให้ย่อตัวจนไม่รู้จะย่ออย่างไรต่อดีแล้ว เครียดก็เครียด กลัวก็กลัว รู้สึกอึนไปหมด “สรุปนี่ไม่มีตังค์จ่ายใช่ไหม” เสียงที่วางอำนาจขึงขังดังสะท้อนไปทั่วคุ้ง คุณแหม่ตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักลนลาย “ฉันถูกกรีดกระเป๋า ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เธอตอบเสียงไทยอย่างหงอยๆ ในขณะที่อีกคนลุแก่โทสะไปเสียแล้ว
            “แล้วจะเอายังไง ไม่มีเงินจ่าย ได้มีเรื่องแทนแน่ยัยฝรั่งขี้นกเอ้ย”
            “ขอโทษหาคนรู้จักสักครู่นะคะ...” ว่าพลางหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเน่าใกล้บูดออกจากกระเป๋ากางเกงทั้งมือที่รัวสั่น แต่คงจะเป็นเพราะสั่นมากไปหรือไม่ก็ประการใดประการหนึ่ง เครื่องมือสื่อสารชิ้นสุดท้ายในตัวเธอก็บินหนี ดิ่งพสุธาลงไปจุมพิตกับพื้นคอนกรีตจนตัวเองต้องแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ
            “...”
            ไร้เสียงอุทานใดๆจะเล็ดลอดจากเนื้อปากงาม มันพังไปแล้ว ใจมันพังไปแล้วทั้งใจ มือถือคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่ด้วยกันมาร่วมสิบปีกลับสู่อ้อมกอดของพระเจ้าไปเสียลิบลับ ทิ้งที่ไว้ให้เผชิญโลกบ้าๆนี่อยู่คนเดียว
            ความรู้สึกนึกคิดไหวพริบปฏิภาณที่ดับอยู่ก่อนแล้วมืดลงจนไร้ซึ่งแสงยิ่งกว่าเก่า ท่ามกลางสายตานับสิบที่จ้องมองมายิ่งกดดันให้เจ็บช้ำหนักกว่าเก่า “รีบหาเงินมาจ่ายก่อนจะเจอดี 70บาท ใครมองว่าน้อยมันก็เป็นเงิน ยังไงก็ต้องจ่าย” ยิ่งเสียงดุดันที่กรอกหูด้วยแล้วยิ่งทำความคิดตันหนักเข้าไปใหญ่ ‘พ่อจ๋า ช่วยหนูด้วย’ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอคิดขึ้นได้ในยามคับขันเช่นนี้
            แต่ก็เหมือนว่าพ่อเธอจะช่วยจริงๆ ฮาร์โมนิกาอันจิ๋วที่หลับใหลภายในกระเป๋าสะพายข้างพลิกกายหย่อนตัวลงผ่านรอยกรีดพอให้เห็นความเงาวาว
            “อ๊ะ จริงสิ” พร่างไพลินอุทานแผ่วเบา ก่อนจะนึกถึงคำพูดของพ่อตอนที่ยกเครื่องดนตรีเล็กๆชิ้นนี้ให้แก่เธอ ‘ฮาร์โมนิกาตัวนี้จะช่วยเหลือลูกในอนาคตได้แน่...’
            “ฉันคิดออกแล้วล่ะค่ะว่าจะหาเงินมาใช้คุณยังไง” คนตัวบางตอบ มือคู้น้อยควานหยิบหมวกสีดำในกระเป๋าเดินทางออกมาวางหงายก่อนจะนั่งจัดท่าทางพอให้ตัวเองสบาย แล้วจึงเริ่มทำให้สิ่งที่คิดเอาไว้
            เสียงใสๆของฮาร์โมนิกาแผ่วดังเป็นทำนองไปตามสายลมแผ่ว เรียกความสนใจจากผู้คนรอบๆให้จ้องมองมายังจุดเดียว
            “If I got down on my knees and I pleaded with you. If I crossed a million oceans just to be with you. Would you ever, let me down? ...”
            เสียงที่ใสราวแก้วคริสตัลบริสุทธิ์เปล่งวาจาด้วยความสดใสราวผลัดเปลี่ยนสลับกันเป็นคนละคน รอยยิ้มที่สะพรั่งพัดเสน่ห์เปล่งประกายราวดอกไม้แรกแย้มยามบาน เสียงหวานๆของเจ้าหล่อนสะดุดหัวใจชายที่นั่งอยู่ไกลๆ ให้ต้องหยุดการกระทำและเมียงมองฟังเพลงที่เธอร้องอยู่เช่นนั้น
            “เสียงไม่ธรรมดาเลยนะเฮีย” ชายตัวเล็กที่นั่งอยู่เคียงกับกระซิบซาบกับชายที่กำลังหลงในมนตร์เสียงที่แสนพิเศษ
            “ใช่ แถมยังมีเสน่ห์ในตัวเองมากด้วย...” ใบหน้าคมเข้มตอบทั้งแววตาที่ไม่ละไปไหน “ถ้าได้มาอยู่ในค่ายของเฮียก็ดีเนอะ”
            “อืม...” หนุ่มเจ้าของค่ายเพลงตอบอย่างขอไปที เขาหวังว่าคนข้างๆเขาก็เงียบลงเสีย
            “Because I love you, love you. Love you, so don’t let me down. …”
            เสียงที่สลับกันไปมาของฮาร์โมนิกากับพร่างไพลินกลมกลืนกันอย่างบอกไม่ถูก สำหรับชายผู้นั้นแล้ว เขารู้สึกราวตัวเองตกลงบนฟูกนุ่ม หรือไม่ก็ขนมสายไหมที่หอมหวานจับใจ สายตาที่สบกันเพียงชั่วครู่ไม่อาจทำให้เขาหลงลืมสีน้ำทะเลสีนั้นไปได้เลย แม้ว่าเพลงจะจบลงเขาก็ไม่อาจหยุดที่จะมองเธออย่างประทับใจ
            เศษเหรียญและธนบัตรจำนวนไม่มากนักในหมวกถูกนำออกมานับบนโต๊ะที่แก้มที่เอิบปริ เธอก็เพิ่งเห็นว่าฮาร์โมนิกาที่พ่อรักนักรักหนาจะมีประโยชน์ก็วันนี้  “62 บาท...”
            แต่แล้วเสียงของเธอก็แป้วไปในพลัน อีกเพียงแค่ 8บาทเท่านั้นก็จะได้ครบเต็มจำนวนแล้ว “ไม่ครบงั้นหรอ... งั้น...” ยังไม่ทันที่หญิงเจ้าของร้านจะพูดจบ ธนบัตรใบแดง 3ใบก็ยื่นหยุดตรงหน้าของแม้ค้าพอดี “ของโต๊ะผม 150 บาท รวมกับของผู้หญิงคนนี้” เสียงนิ่งๆของชายวัยสี่สิบเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
            “จริงๆฉันจะบอกว่าแค่นี้ก็ได้ แต่ไหนๆมีคนจ่ายให้เต็มจำนวนก็ดี” หญิงร่างท้วมพูดพลางควักเงินทอนให้ช่ายคนดังกล่าวก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ของตน
            “ขอบคุณคุณมากนะคะ ยังไงก็ช่วยรับเงินพวกนี้ไปเถอะค่ะ” พร่างไพลินยื่นกองเศษเหรียญให้แก่ชายแปลกหน้า เธอรู้สึกเกรงใจเขามากเหลือเกิน
            “คุณเก็บไว้เถอะ ตอนนี้คุณไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาทนี่นา”
            “อย่าดีกว่าค่ะ ฉันเกรงใจคุณจะแย่” ใบหน้าแช่มช้อยปฏิเสธทั้งคิ้วที่ม้วนเป็นวง เกรงใจเสียจนไม่รู้จะเอาความเกรงใจไปไว้ที่ไหนแล้ว
            “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ จริงๆผมก็หวังผมประโยชน์บางอย่างในตัวคุณเหมือนกันถึงได้ทำแบบนี้” ชายหนุ่มพูดทั้งแววตาลึกลับชวนค้นหา สร้างปริศนาในใจเล็กให้แก่คนฟัง
            “ผลประโยชน์... อะไรหรอคะ?” พร่างไพลินถามเสียงอ้ำๆอึ้งๆ ผู้หญิงเช่นเธอจะมีประโยชน์อะไรกัน
            “ตามผมมาสิ แล้วผมจะบอก” ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบา แต่ทำเอาคนฟังขนลุกเกลียวไปทั้งกาย
            “คะ!?"
 
----------------------------------------------------------
*auts! เป็นภาษาฟินนิช ความหมายเดียวกับคำว่าโอ้ย!!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา