ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

32) ตอนที่ 31 ไม่เป็นอย่างที่หวัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

 
ตอนที่ 31 ไม่เป็นอย่างที่หวัง
 
                เทียมภพสังเกตว่าตั้งแต่กลับมาจากระยองแทนดาวก็ดูซึมๆไป คาดว่าน้องสาวคงยังเสียใจและเสียดายเรื่องแหวนวงนั้น เห็นหลายวันมานี้คนเกิดทีหลังเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ถามเข้าก็บอกว่าอ่านหนังสือเตรียมสอบ ข้าวปลาไม่ค่อยอยากจะแตะ เล่นเอาใจหายใจคว่ำไปเหมือนกันกลัวว่าจะช้ำใจจนล้มหมอนนอนเสื่อ แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อว่าสิ่งที่ทำลงไปมันถูกต้องที่สุดแล้วในการปกป้องน้องสาวคนเดียวไม่ให้ต้องมีอันลงเอยกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูคู่แค้น
                แม้ในบางครั้ง...เทียมภพเองก็เกิดความรู้สึก ‘ละอาย’ อยู่ลึกๆกับการกระทำที่ดูจะเห็นแก่ตัวที่คอยตั้งท่ากีดกันคู่อริทุกทางๆไม่ให้เข้าใกล้น้องสาว พังงานหมั้นล้มครืนไม่เป็นท่าเพราะความโกรธเกลียดเข้ากระดูก แต่ตนเองกลับใช้กำลังข่มเหงฝากรอยมลทินให้กับรมย์นลิน ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วก็ไม่รู้ว่าใครจะเลวร้ายไปกว่ากัน
                “เป็นอะไรน่ะน้องพลู? ถอนใจอยู่นั่นแหละ เครียดเรื่องเรียนเหรอจ๊ะ?”
                “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ...แค่เบื่อๆ” แทนดาวตอบหงอยๆแล้วเดินไปนั่งบนเท้าแขนเก้าอี้พนักสูงที่พี่ชายนั่งทำงานอยู่ สองแขนเรียวสอดกอดเอวหนาเอาไว้หลวมๆแล้วซบหน้ากับอกอุ่นอย่างต้องการระบายความอัดอั้นในใจบางอย่าง
                “พี่หมากจ๋า...”       
                “หืม...วันนี้อ้อนจังเลยนะ ถ้าหนูเบื่อจะกลับก่อนไหม? หรือว่าอยากไปบ้านม๊าหลี...เดี๋ยวให้น้าตาลไปส่ง” เทียมภพกอดน้องสาวกระชับแล้วจรดจมูกกับกระหม่อมที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสลวยดุจไหม ระยะนี้เขาอยากให้น้องอยู่ใกล้ๆตัวมากที่สุดเลยให้มารอที่ทวีกิจทุกวันหลังเลิกเรียน ไม่อยากให้กลับไปอยู่บ้านคนเดียวเพราะกลัวว่าจะคิดมาก
                “พี่หมากขา...วันนี้พาน้องพลูไปดูหนังหน่อยได้ไหมคะ?”
                “ได้สิคะ...อยากดูเรื่องอะไรล่ะ?” แทนดาวยื่นโทรศัพท์มือถือเปิดตัวอย่างภาพยนตร์ที่ว่าให้ดู เทียมภพพยักหน้าเมื่อพิจารณาแล้วว่าอยู่ในเกณฑ์ ‘ผ่าน’ ของเขา
                “แล้วพี่หมากจะเสร็จงานกี่โมงคะ?”
                “ก็อย่างที่เห็นอยู่...งานพี่เยอะ” เทียมภพกรอกตามองกองเอกสารตั้งเบ้อเริ่มแล้วเริ่มปรารภเป็นงานเป็นการ
                “นี่แน่ะ...ถ้าหนูเรียนจบแล้วมาช่วยพี่บ้างก็คงจะเบาไปโข พี่น่ะ...อยากให้น้องพลูมานั่งตรงนี้” มือหนาตบลงบนโต๊ะทำงานเบาๆ
                “พี่หมากก็รีบๆแต่งงานหาคนมาช่วยสิคะ น้องพลูไม่ถนัดงานพวกนี้จริงๆ” แทนดาวเบ้ปากให้กองเอกสารที่วางสุมอยู่อยู่เบื้องหน้า แค่ดูอย่างเดียวก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว นี่ถ้าให้อ่านทุกบรรทัดแถมยังต้องพิจารณาก่อนเซ็นชื่อด้วย...หัวสมองตันๆอย่างตนคงไปไม่ไหวแน่
                “ถ้าพี่แต่งงานจริงๆ น้องพลูจะยอมเหรอที่ต้องแบ่งพี่ให้พี่สะใภ้น่ะ?” พอน้องพูดถึงเรื่องแต่งงานก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองกับรมย์นลิน ถ้าหากแทนดาวรู้ว่าจะมีพี่สะใภ้เป็นคุณครูคนนี้จะว่าอย่างไร
                “ไม่เอานะ...ไม่เอาอ่ะ” น้องสาวคิดนึกไปถึงชุสิตาแฟนคนปัจจุบันของพี่ชายที่ดูจะหายหน้าไประยะหนึ่งแล้ว ความไม่ชอบใจบังเกิดขึ้นจนต้องรีบร้องประท้วง
                “ทำไมล่ะ? พี่ว่าเขาก็เป็นคนดีนี่นา”
                “อี๋...ไม่เอานะ พี่หมากห้ามแต่งงานตอนนี้ ไม่งั้นน้องพลูไม่ยอมด้วย พี่หมากต้องรักน้องพลูคนเดียว...ห้ามรักใครมากกว่าด้วย” คนตัวเล็กกระเง้ากระงอดซบไหล่หนา เทียมภพอยากจะจับพาดตักแล้วฟาดก้นให้หลายๆทีในความขี้อิจฉาและขี้หวงกลัวว่าจะถูกแย่งความรัก
                “จ้าๆ...ไม่รักใครมากกว่าว่าเราหรอกน่า แล้วถ้าอยากดูหนังเร็วๆก็อย่ามากวนพี่ ไปนั่งเล่นตรงโน้นไป หรืออยาก จะไปกินขนมที่ร้านข้างล่างก็ตามใจ เดี๋ยวพี่ให้ตังค์...จะไปหรือเปล่าคะ?”
                “ยังงี้ก็ไปน่ะสิ” เทียมภพหยิกแก้มน้องสาวแรงๆหนึ่งทีก่อนจะดึงธนบัตรที่กะว่าพอดีกับค่าขนมให้
                “ไม่พอ...เอาสีม่วงมาด้วยอีกใบ”
                “มากไปแล้วนังหนู เรากินจุขนาดนั้นเลยเหรอ?” เทียมภพมองหน้าน้องสาวก่อนจะเขกมะเหงกให้เบาๆ
                “ก็เผื่อน้องพลูอยากจะซื้อกลับบ้านล่ะ” คนตัวเล็กยังแบมือค้างอยู่อย่างนั้น คนจ่ายเงินส่ายหน้าไปมาแต่ก็ยอมหยิบให้โดยดี
                “พี่หมากน่ารักที่สุดเลย เดี๋ยวจะซื้อมาเผื่อนะคะ” หญิงสาวเอียงหน้าหอมแก้มพี่ชายฟอดใหญ่
                “ยัยงกเอ๊ย...” เทียมภพบ่นเบาๆแต่ก็โล่งอกที่เห็นน้องกลับมาร่าเริงอีกครั้ง แสดงว่าหายว้าวุ่นจากเรื่องราวยุ่งๆทั้งหลายแล้ว
                “ว่าแต่...น้องพลูมีเรื่องอยากถามค่ะ” แทนดาวเงยหน้ามองพี่ชายด้วยสายตาเปี่ยมข้อขังกา ความข้องใจเรื่องที่ว่าเกิดอะไรเกิดขึ้นกับรักสามเศร้าระหว่างพี่ชายกับเพื่อนทั้งสอง ตะกอนอยากรู้รายละเอียดในสิ่งที่ได้ยินเมื่อไม่กี่วันก่อนยังคอยรบเร้าเหมือนกับว่าทำโจทย์การบ้านที่เป็นปริศนายากเย็นแล้วยังไม่ได้คำเฉลยที่ถูกต้องเสียที
                “ว่าไงจ๊ะ?”
                “พี่หมากกับ...”
                “แป๊บนึงนะ” ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดจังหวะเสียก่อนเลยต้องปล่อยพี่ชายไปรับสาย
                “พี่ต้องไปประชุมข้างล่างสักพัก...เดี๋ยวมา” เทียมภพกดจมูกกับแก้มใสเบาๆแล้วเดินออกไป แทนดาวมองตามอย่างชั่งใจว่าควรจะปล่อย ‘อดีต’ ของคนทั้งสามให้ผ่านเลยไปหรืออยากจะขุดคุ้ยต่อจนกว่าจะกระจ่างแจ้งแก่ใจ แต่ความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดลงชั่วคราวเมื่อมีสายเข้าจากเบอร์ที่คุ้นเคย
                “วันนี้ว่างไหมครับ? แม่ชวนไปกินข้าวที่บ้าน” เสียงทุ้มนุ่มหูที่ไม่ได้ยินมาหลายวันทำให้คนฟังหัวใจพองฟู
                “คงไม่ได้หรอกค่ะ นัดกับพี่หมากว่าจะไปดูหนังกัน”
                “โอเค...เข้าใจล่ะ”
                แทนดาวมองโทรศัพท์อีกครั้งราวกับจะรอให้มีสายเข้าจากเบอร์เดิมอีก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองจะเอาอย่างไรกันแน่ หลังจากเกิดเรื่องคืนนั้นก็เป็นคนบอกเขาเองไม่ใช่หรือว่าขอเว้นระยะห่าง แต่พอเขา ‘ห่าง’ ไปยังไม่ครบเจ็ดวันกลับอดคิดถึงไม่ได้ ทำไมปากกับใจถึงไม่สามัคคีกันเลย
                 หญิงสาวนั่งปล่อยความคิดไปเรื่อยๆรอจนพี่ชายกลับเข้ามาอีกครั้ง สีหน้าเรียบเฉยผิดปรกติทำให้แทนดาวตัดสินใจไม่ซักถามเรื่องที่อยากรู้ต่อเพราะเข้าใจว่าพี่ชายคงไปประชุมเรื่องเครียดๆ ดังนั้นก็ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาเพิ่มความกังวลอีก
                “พอดีว่า...คุณอาวารีท่านมาที่นี่ก็เลยชวนพวกเราไปกินข้าวที่บ้าน แต่ว่าวันนี้พี่กับสีผึ้งติดงานนะน้องพลู ลืมไปว่าเย็นนี้ต้องไปงานแต่งลูกสาวคุณนาฏผู้จัดการฝ่ายบุคคล...คงกลับดึกหน่อย น้องพลูอยากไปหรือเปล่าคะ?”
                “คุณอามาหรือคะ?”
                “อืม...ก็มากะลูกน่ะแหละ” เทียมภพอ้อมแอ้มตอบน้องสาวด้วยไม่อยากจะเอ่ยชื่อนั้นให้ระคายปาก
                “แล้วตอนนี้คุณอาอยู่ที่ไหนเหรอคะ?”
                “อยู่ที่โชว์รูมน่ะ พี่ไปไหว้ท่านมาแล้วก่อนขึ้นมานี่ ไปเถอะ...ไปสวัสดีคุณอาเสียก่อน” เทียมภพจูงมือน้องสาวลงไปข้างล่างด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่กินเส้นกับบุตรชายคนโตของคุณวารีนักแต่ชายหนุ่มก็มีวุฒิภาวะพอที่จะแยกแยะและให้ความสำคัญเรื่องมารยาทที่พึงปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่ ดังนั้นพอได้รับรายงานจากเลขานุการว่าคุณวารีมาเยี่ยมถึงทวีกิจก็รีบลงไปต้อนรับขับสู้ขมีขมัน
                ปลายเดือนนั่งคุยกับคุณวารีอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นว่าพี่ชายพาน้องสาวคนเล็กมาก็แอบชักสีหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่แต่ยังยิ้มแย้มตีสีหน้าปรกติ
                “สวัสดีค่ะอาวารี” แทนดาวย่อตัวไหว้อย่างอ่อนช้อยสวยงามจนคนรับไหว้รู้สึกประทับใจในกิริยาอันสะท้อนถึงความเป็น ‘ลูกผู้ดี’ ของสามพี่น้อง
                “สวัสดีค่ะ วันนี้ชลไปรับอามาจากบ้านคุณย่า  ขากลับบอกว่ามีประชุมที่นี่เลยแวะเข้ามาก่อน ไม่อยากให้เสียเวลาย้อนไปย้อนมา ก็พอดีเห็นว่าอยู่กันครบ...อาเลยอยากชวนไปกินข้าวเย็นด้วย” สตรีวัยกลางคนหน้าตาผ่องใสใจดียิ้มเยื้อนขณะลูบศีรษะเล็กได้รูปของ ‘ว่าที่ลูกสะใภ้’ อย่างเอ็นดู  ในขณะที่คนตัวเล็กนึกขวางไปถึงคนที่เพิ่งจะคุยโทรศัพท์กันไม่นาน เกลียดนักกับท่ามากฟอร์มจัดที่จะบอกอะไรกันตรงๆเสียทีเดียวก็ไม่ได้ ต้องสร้างเรื่องให้ประหลาดใจเล่นอยู่ร่ำไป
                “อย่างที่เรียนคุณอาไปเมื่อสักครู่นี้ วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ...ผมกับปลายเดือนต้องไปงานแต่งลูกสาวผู้จัดการอาวุโส” เทียมภพบอกอย่างเกรงใจ
                “แล้วน้องพลูล่ะคะ…ไปไหม?”
                “หนูเกรงว่าคุณลุงจะตำหนิแทนดาวเอาได้ ตามปรกติแล้วน้องจะต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าถ้าหากจะออกไปไหน” ปลายเดือนรีบดักไว้ก่อน ไม่ต้องการให้น้องสาวทำคะแนนความใกล้ชิดกับครอบครัวนี้
                “ไม่เป็นไรหรอก...พี่จะบอกท่านเอง ว่าไงคะ...หนูอยากไปไหม?” เทียมภพถามน้องสาวอีกครั้ง ปลายเดือนมองค้อนพี่ชายด้วยความขัดเคืองว่าทำไมคราวนี้ถึงไม่ห้าม
                “ถ้าพี่...เอ้ย...คุณเทียมภพอนุญาตน้องพลูก็ไปค่ะ”  คำตอบของคนตัวเล็กทำให้คุณวารียิ้มใหญ่ส่วนปลายเดือนหน้าหงิกสนิท
                “ตกลงกันได้หรือยังครับ?” เสียงคุ้นหูดังแทรกบทสนทนาจนทั้งหมดมองตามเว้นเสียแต่เทียมภพที่เสมองไปทางอื่น แทนดาวเมินหน้าไปเสียจากนัยน์ตาคมกริบที่จ้องกลับมา
                “สวัสดีค่ะพี่...เอ่อ...คุณชล” แทนดาวรีบยกมือไหว้เมื่อร่างหนามาหยุดยืนใกล้ๆและยั้งปากที่กำลังจะเรียกชื่ออย่างสนิทสนมเมื่อนึกขึ้นได้ว่าห้ามเรียกสรรพนามชื่อเล่นถ้าอยู่ในบริษัท
                “เสียดายจังที่ผึ้งไปไม่ได้ ยังไงก็ส่งแทนดาวไปเป็นตัวแทนก็แล้วกันนะคะ คุณอายังอยู่อีกหลายวัน...เราค่อยไปกันวันอื่นนะคะ” ปลายเดือนหันมาถามความเห็นพี่ชายแล้วปรายตาไปทางน้องสาวอย่างไม่หวังดีเปิดเผยแต่ก็ไม่มีใครจับอาการได้
                “แล้วพี่จะไปรับนะ” เทียมภพบอกน้องสาวเบาๆ อาการปั้นปึ่งบึ้งตึงของสองหนุ่มเป็นที่ลำบากใจของสตรีทั้งสามคนที่รับรู้เรื่องบาดหมาง แต่ก็ยังดีที่ทั้งคู่แยกแยะว่าเรื่องใดเป็นเรื่องส่วนตัวและเรื่องใดเป็นการเป็นงานจึงไม่มีปัญหาเวลาต้องร่วมงานกัน
                “งั้นก็ไปกันเถอะ...ว่าจะแวะซื้อของที่ซุปเปอร์สักสองสามอย่าง อ้อ...แฟงบ่นอยากกินมะม่วงน้ำปลาหวาน คงต้องแวะตลาดสดด้วย” คุณวารีบอกลูกชาย เทียมภพสะดุ้งกับสิ่งที่ได้ยินว่ามันคลับคล้ายคลับคลาอยู่ในความจำเพราะมักรำคาญใจเวลาที่มารดากับน้องสาวแย่งดูละครน้ำเน่าตอนกำลังดูรายการกอล์ฟเพลินๆ ก็เลยซึมซับพลอตเรื่องละครต่างๆได้โดยปริยาย อย่างเวลานางเอกแพ้ท้องจะมีอาการอาเจียนโอ้กอ้ากกับอยากกินของเปรี้ยวของดอง พอนึกมโนได้ดังนั้นก็แอบยิ้มมุมปากเล็กๆอยู่คนเดียวขณะนึกถึงรมย์นลิน
                “เรานี่...น้ำยาแรงใช้ได้เหมือนกัน!”
               
                ทั้งสามแม่ลูกมาถึงซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งในเวลาไม่นาน ผู้คนยังค่อนข้างบางตาเพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงานแต่ก็มีบรรดาแม่บ้านมาเดินจับจ่ายกันพอพอสมควร ชลธีปลดเนคไทออกและคลายกระดุมเสื้อสองเม็ดพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมพร้อมตะลุยช้อปปิ้งกับสตรีสองวัย ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยเช่นนี้ทำให้สีหน้าเรียบเฉยและเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น
                “ชลอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยลูก?” คุณวารีหันมาถามบุตรชายที่เดินเข็นรถตามมา
                “อืม...อยากกินปอเปี๊ยะเห็ดหอมฝีมือแม่จัง” เขาตอบด้วยสายตาและน้ำเสียงออดอ้อนเป็นเด็กๆ แทนดาวหันมาสบเข้ากับใบหน้าเข้มพอดีแต่ฝ่ายนั้นรีบเบนสายตาไปทางอื่น วินาทีนั้นทำให้คนมองเจ็บเสียดเล็กๆอยู่ในอก
                “พี่ชลไม่พูดกับเราสักคำ โกรธ...หรือว่า...กำลังตีตัวออกห่าง”
                “น้องพลูล่ะลูก? อาถนัดแต่ทำอาหารทางใต้เพราะพื้นเพอยู่ที่โน่น”
                “อาหารใต้หรือคะ? น้องพลูรู้จักหมูโคกับผัดสะตอใส่กุ้ง” คำตอบของสาวน้อยทำให้คุณวารียิ้มบางๆแล้วจูงมือให้เดินไปด้วยกัน ชลธีมองตามด้วยรอยยิ้มกึ่งเอ็นดูแกมหมั่นไส้ผู้ให้กำเนิดอยู่ในใจ
                “พอมีลูกสาวคนใหม่ก็ลืมเราเสียแล้ว แม่คนตัวเล็กช่างอ้อนยังงั้น ประเดี๋ยวก็จะได้หลงหัวปักหัวปำ”
            นัยน์ตาดุคมเปล่งประกายอบอุ่นยามมองพวงแก้มอมชมพูที่แสนจะคิดถึงจับใจ หล่อนขอให้เว้นระยะห่างก็พยายามอย่างมากที่สุดแล้วที่จะไม่เข้าไปยุ่มยามให้รำคาญใจ แต่ความใจแข็งที่จะ ‘ห่าง’ กำลังทำร้ายตัวเองอย่างแสน
สาหัสจนไม่อาจหักห้ามความ ‘โหยหา’ ที่ถาโถมกระหน่ำดังพายุฤดูร้อน
                “ชลชอบกินปอเปี๊ยะใส่เห็ดหอม” คุณวารีบอกขณะเลือกหยิบวัตถุดิบต่างๆใส่รถเข็น
                “งั้นน้องพลูจะแสดงฝีมือเองนะคะ พี่หมากก็ชอบกินเลยได้เข้าครัวทำกับคุณแม่บ่อยๆจนจำสูตรได้ขึ้นใจ แต่ว่าถ้าเป็นสูตรของคุณย่าต้องใส่น้ำมันงานิดหน่อยด้วยค่ะ” แทนดาวรีบขันอาสาอย่างมั่นใจว่าคนชิมจะต้องติดใจในฝีมือแน่นอน
                “ก็ดีสิจ๊ะ ลองใส่น้ำมันงาตามคุณย่าดูบ้างดีกว่า”
                “งั้นน้องพลูไปหยิบมาให้นะคะ” ร่างเล็กเดินซอยเท้าเร็วๆไปที่โซนขายน้ำมันพืช น้ำมันงาที่ต้องการอยู่ชั้นบนเกือบสุด สองมือยื่นไปในอากาศสุดแขนพร้อมกับเขย่งเท้าเหยียดจนสุดแต่ก็ยังเกินเอื้อม จนร่างสูงของใครคนหนึ่งมายืนซ้อนด้านหลังแล้วหยิบขวดบรรจุน้ำมันงาสีเหลืองขุ่นให้ แทนดาวมองท่อนแขนกำยำที่หยิบขวดวางลงในรถเข็นด้วยความรู้สึกติดจะประหม่า
                “เดี๋ยวต้องแวะซื้อเกลือแร่กับยาธาตุด้วย...เผื่อท้องเสีย” ใบหน้านิ่งขรึมพูดลอยๆไม่รู้ไม่ชี้แต่ทำเอาคนฟังต้องเม้มปากอย่างไม่พอใจ
                “ยังไม่ทันลองชิมก็ดูถูกกันแล้วเหรอคะ...คุณชลธี?”
                “ผมยังไม่ได้พูดจาดูถูกอะไรใครเลยนะครับ แค่หมายความว่าจะซื้อยาแก้ท้องเสียเผื่อไว้ยามฉุกเฉิน เกิดวันดีคืนดีไปกินอะไรผิดสำแดงเข้า ขี้ระแวงจังนะครับ...คุณแทนดาว” ชลธีลากเสียงยาวเรียกชื่ออย่างจงใจล้อ คนถูกล้อค้อนคมให้แล้วจะสะบัดตัวออกไปแต่แขนแข็งแรงข้างหนึ่งกลับโอบบ่าคนตัวเล็กให้เดินต่อ อีกมือที่ว่างก็เข็นรถไปพร้อมๆกัน
                “ปล่อยค่ะ...น้องพลูเดินเองได้”
                “ไม่ได้หรอก...เดี๋ยวหลงกัน” คำตอบหน้าตายสะกิดมือให้คันยิบๆอยากหยิกเสียให้เนื้อช้ำ พูดราวกับว่าหล่อนเป็นเด็กเล็กๆที่ปล่อยให้เดินเองแล้วจะพลัดกับผู้ปกครอง สุดจะคาดเดาความคิดบนใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของคนที่เดินโอบบ่าอยู่ตอนนี้ว่าทำไมการกระทำที่ดูเอาใจใส่ของเขามันย้อนแย้งกับอาการที่แสดงออกทั้งน้ำเสียงและสายตาที่เฉยชา
                ชั่วโมงต่อมาทั้งหมดก็กลับถึงบ้าน สองมือของชลธีเต็มไปด้วยวัตถุดิบประกอบอาหารเย็นวันนี้ แทนดาวช่วยคุณวารีถือกระเป๋ากับของเล็กๆน้อยๆ พอก้าวเท้าเข้าบ้านก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กร้องเรียกมาแต่ไกล เป็นเสียงของปาลิดาผู้ซึ่งกลับไปพักตั้งหลักที่บ้านหลังจากถูกพักงานและยื่นคำขาดว่าจะไม่กลับมาอีก แต่ท้ายสุดก็ไปคะยั้นคะยอคุณวารีว่าจะขอมากรุงเทพฯด้วยโดยอ้างว่ามีนัดสัมภาษณ์งานใหม่
                “พี่ชลกลับมาแล้ว” ปาลิดาถลาเข้าไปเกาะแขนชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าลำบาก
                “ถอยไปก่อนลูกปลา อย่าเพิ่งมาเกะกะตรงนี้...มันหนัก” เขาเอ็ดสาวหมวยที่ยืนขวางอยู่
                “สวัสดีลูกปลา” แทนดาวทักขึ้นก่อนอย่างเป็นมิตรแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจอะไรเพียงแต่พยักหน้าให้แล้วเดินตามไอดอลในดวงใจต้อยๆเข้าไปข้างใน
                “อย่าถือสาเลยนะ...ลูกปลาก็เป็นของเขายังงี้” คุณวารีบอกสาวน้อยแล้วจูงมือเดินตามเข้าไป พอถึงครัวสตรีต่างวัยก็จัดแจงเตรียมประกอบอาหารที่คิดเมนูกันไว้ตอนอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต แทนดาวลงมือล้างผักล้างหมูอย่างคล่องแคล่วอย่างกับเชฟสาวผู้ชำนาญการจนคุณวารียังต้องเอ่ยปากชม
                “เข้าครัวบ่อยเหรอคะ?...ดูคล่องเชียว”
                “เรียกว่า...โดนใช้ประจำจะดีกว่าค่ะ”
                “ดีแล้วล่ะลูก ของพวกนี้ทำเป็นไว้บ้างมันจะเป็นประโยชน์ในอนาคต ยิ่งเวลามีครอบครัวแล้วยิ่งได้ใช้ ผู้ชายน่ะ...กินข้าวนอกบ้านทุกวันไม่ได้หรอก...มันก็ต้องมีเบื่อกันบ้าง แต่สมัยนี้ก็พูดยาก...ต่างคนต่างทำงาน ส่วนใหญ่เลยพึ่งกับข้าวสำเร็จรูปกัน แต่ถึงยังไงก็รู้ติดตัวไว้บ้างเผื่อวันไหนต้องทำกินเอง” สาวน้อยฟังแล้วยิ้มกับตัวเองที่เพิ่งจะสำนึกเอาวันนี้ว่าไอ้ที่เคยรำคาญบ่นหงุมหงิมเวลาคุณย่ากับคุณแม่คอยเรียกใช้ให้เป็นลูกมือทำอาหารหรือขนมต่างๆ กิจกรรมที่เห็นว่าน่าเบื่อและเสียเวลาเหล่านั้นกลับซึมซับอยู่ในหน่วยความจำโดยไม่รู้ตัวและวันนี้ก็ได้นำมาใช้ประโยชน์จริงๆ
                “แล้ว...นอกจากปอเปี๊ยะนี่ พี่ชลชอบกินอะไรอีกคะ?” แทนดาวถามขณะที่มือก็ผัดไส้ในกระทะที่เริ่มจะส่งกลิ่นหอมฉุย พอยิ่งเติมน้ำมันงาก็ยิ่งหอมยั่วน้ำลายมากขึ้น แต่พอรู้ตัวว่าถามอะไรออกไปก็อยากจะเอาตะหลิวเคาะกะโหลกตัวเองนัก 
                “รายนั้นต้องคั่วกลิ้งหมูใส่สะตอแล้วก็พวกปลา จะทอด จะต้ม จะนึ่งก็ไม่เกี่ยง ส่วนกับข้าวอย่างอื่นก็ได้หมดทุกภาคแต่ต้องรสจัดหน่อย ไม่เหมือนยัยแฟง...รายนั้นกินเผ็ดนิดเผ็ดน้อยก็น้ำตาเล็ด ที่บ้านก็เลยต้องทำกับข้าวสองสำรับทุกทีไป” คุณวารีเล่าเรื่องรสนิยมการรับประทานของบุตรทั้งสองพลางมองพวงแก้มซับสีชมพูจางของสาวน้อยที่กำลังตักไส้ที่ปรุงเสร็จแล้วใส่จาน นางรู้สึกยินดีที่เด็กสาวใส่ใจเรื่องเล็กๆ เพียงเท่านี้ก็ใจชื้นว่าว่าบุตรชายไม่ได้ ‘มีใจ’ อยู่เพียงฝ่ายเดียว
                “เดี๋ยวน้องพลูห่อไส้เสร็จแล้วจะมาช่วยแกะสะตอนะคะ” คนตั้งคำถามรีบแก้เก้อด้วยการกระวีกระวาดแกะแผ่นแป้งจากถุงแล้วห่อม้วนไส้หอมกรุ่นอย่างคล่องมือ
                “อ้อ...ส้มมาพอดี ไปเรียกลูกปลามาที บอกว่าป้าให้มาช่วยทำกับข้าว”
                “ค่ะนายแม่...แต่เดี๋ยวส้มเอาเบียร์ไปเสิร์ฟคุณชลก่อนนะคะ” แม่บ้านหยิบเบียร์กระป๋องเย็นเฉียบจนไอเกาะขาวโพลนออกมาจากตู้เย็นจัดวางใส่ถาดสเตนเลสคู่กับเม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วเกลือโรยต้นหอมและพริกขี้หนูซอย แทนดาวมองตามแล้วก็นึกค่อนคนชอบวางท่าที่ทีแรกทำเป็นไม่พูดไม่จาแถมยังตีหน้าเย็นชาจนบางทีมองแล้วก็ใจแป้ว พอถึงบ้านก็หายตัวไปไม่เห็นอีก
                “ลูกคนนี้...ต้องอุ่นกระเพาะก่อนถึงจะกินข้าวได้”
                ในขณะเดียวกัน คนที่ถูกแอบนินทานั่งเอนหลังบนเก้าอี้ผ้าใบอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้านที่มองผ่านหน้าต่างครัวบานกว้างเข้าไปได้ สายตากระด้างดุเป็นเอกลักษณ์อ่อนแสงลงจนเกิดประกายวิบวับขณะที่จิตใจก็สัมผัสถึงความสุขแผ่ซ่านกำจายยามเหม่อมองสาวน้อยที่เดินวุ่นหน้ามันอยู่ในครัว ชายหนุ่มนึกถึงวันวานตอนเป็นเด็กที่แม่ของเขาสาละวนกับการทำอาหารอร่อยๆให้ลูกๆและสามี ช่วงเวลาแห่งความสุขยามอยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวยังจำได้ไม่มีวันลืม และเวลานี้ภาพของเด็กสาวที่เคยออกตัวว่าไม่ค่อยจะ ‘ได้เรื่อง’ งานบ้านงานครัวกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจทำให้ใบหน้าคมสันประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ
                “ลูกปลาห่อไปนะ เดี๋ยวพลูจะทอดเอง” แทนดาวบอกสาวหมวยที่เพิ่งถ่ายทอดวิชาการห่อแป้งอยู่เดี๋ยวนี้แล้วไปเปิดเตาตั้งกระทะ ปาลิดารอจนคุณวารีเดินออกไปข้างนอกแล้วเริ่มบทสนทนาเรื่องส่วนตัว
                “เออ...ถามอะไรหน่อยสิ เธอยังไปทำงานที่โรงแรมอยู่หรือเปล่า?”
                “ไม่แล้วล่ะ พอดีใกล้จะสอบเทอมสุดท้ายก็เลยหยุดพักไป” คนถูกถามพยายามไม่นึกถึงเหตุการณ์น่าอายอันเป็นเหตุให้ถูกสั่งห้ามไปทำงานอีก
                “คือ...ลูกปลาอยากกลับไปที่นั่น เรื่องที่เราถูกใส่ร้ายว่าขโมยเงินยังไม่จบ ไอ้หัวขโมยตัวจริงยังจับไม่ได้เลย”
                “อ้าว...ไหนพี่ชลบอกว่าเปิดกล้องดูก็รู้ว่าใครไม่ใช่เหรอ?”
                “ก็นั่นแหละที่น่าสงสัย วันเกิดเหตุกล้องบนชั้นนั้นเสีย จะว่าเสียหรือถูกสั่งปิดก็ไม่แน่ใจ ฟังดูชอบมาพากลที่ไหนล่ะ? มีอย่างรึที่กล้องบนชั้นทำงานของซีอีโอจะเสียโดยที่ไม่มีใครรู้” คำบอกเล่าทำให้คนฟังต้องคิดตาม หญิงสาวเชื่อเต็มร้อยตั้งแต่แรกว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันแน่ๆและที่ปาลิดากลับมาอีกก็คงอยากจะมาตามหาความจริงด้วยตัวเอง
                “อืม...ก็บอกพี่ชลไปตรงๆสิว่าขอขึ้นไปที่ห้องทำงาน ไปเอาเอกสารอะไรก็ได้”
                “เราก็อยากจะทำยังงั้นแหละ...แต่ก็เกรงใจพี่ชลนี่ ถ้าเดินไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปทั้งๆที่ยังมีคดีติดตัวอย่างนี้ พี่ชลจะวางตัวลำบาก คนอื่นๆก็จะนินทาเอาได้”
                “แล้วนี่จะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
                “ลูกปลาสงสัยใครบางคนอยู่นะแต่ไม่กล้าพูด เรื่องนี้มีเงื่อนงำแน่นอน...” ปาลิดาพูดไปถอนใจไป มือก็หย่อนตัวปอเปี๊ยะที่ห่อเรียบร้อยลงในกระทะน้ำมันเดือด
                “แล้วพลูจะช่วยอะไรได้บ้างล่ะ?” แทนดาวเต็มใจจะช่วยจริงๆ อย่างน้อยถ้าจะนับกันแล้วปาลิดาก็มีความสัมพันธ์เสมือนญาติของชลธีคนหนึ่ง
                “จริงๆแล้วลูกปลาจัดการเรื่องนี้เองได้หรอกนะ แต่ปัญหาติดที่บอกพี่ชลกับป้าว่าจะมาสัมภาษณ์งาน แต่จริงๆแล้วไม่ได้สมัครงานที่ไหนอีกเลย แค่หาข้ออ้างมาอยู่ที่นี่เท่านั้น ถ้าพี่ชลรู้ว่าลูกปลาไม่ได้มาทำงานก็ต้องถูกส่งกลับ เพราะงั้น...”
                “ได้สิ...พลูจะไปบอกพี่หมากให้รับลูกปลาเข้าทำงานที่ทวีกิจ” คำตอบของแทนดาวทำให้อีกฝ่ายคลี่ยิ้มออกมาได้ ความ ‘ไม่ถูกชะตา’ ที่เคยรู้สึกกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับไอดอลของตนเริ่มลดลงเมื่อฝ่ายนั้นแสดงความมีน้ำใจอย่างไม่เกี่ยงงอน
                “เดี๋ยวลูกปลายกไปให้พี่ชลเอง” แทนดาววางมือที่บรรจงเรียงปอเปี๊ยะทอดใส่จานแอบชักสีหน้าใส่คนพูด อยู่ที่บ้านก็เจอปลายเดือนที่ชอบแย่งซีน มาถึงนี่ยังจะเจอปาลิดาอีกคำรบ
                “ให้น้องพลูยกไปดีกว่า ลูกปลาแกะสะตอให้ป้าที” คุณวารีรีบขัดความประสงค์ของเด็กสาวข้างบ้าน ถึงจะเอ็นดูปาลิดาอยู่มากแต่ก็คงไม่ปล่อยให้ทำอะไรได้ตามใจชอบ
                “ใบพลูไปแกะสิ ลูกปลาจะยกไอ้นี่ไปเอง”
                “นี่ลูกปลา...ใบพลูเป็นเจ้าของผลงานก็ควรจะเป็นคนเอาไปเสิร์ฟนะ ส่วนเรา...เอาสะตอไปแกะเร็วๆเข้า ป้าจะเตรียมเครื่องทำน้ำปลาหวานให้พี่แฟง” คุณวารีย้ำเสียงเข้มจนปาลิดาไม่กล้าดึงดันได้อีก
                “อ้อ...บอกพ่อคนนั้นด้วยว่าอย่าดื่มเข้าไปมากนัก เดี๋ยวลิ้นชาแล้วจะรับรสอาหารได้ไม่เต็มร้อย” คุณวารีสำทับไล่หลังแทนดาวที่ยิ้มแล้วรีบยกจานออกไปโดยเร็ว รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของคุณวารีเมื่อเห็นบุตรชายที่ค้างเติ่งอยู่บนคานมานานกำลังจะมีคนดูแลเสียที
                 อาหารว่างจากฝีมือแม่ครัวสมัครเล่นถูกยกมาตั้งตรงหน้าบุรุษหน้าเข้มที่ดื่มเบียร์เป็นกระป๋องที่สองต่อเนื่อง ร่างหนายันกายนั่งหลังตรงเมื่อได้กลิ่นหอมยั่วยวนของปอเปี๊ยะทอดเสร็จใหม่ๆสีเหลืองทองน่ากินเสิร์ฟพร้อมผักกาดหอมและน้ำจิ้มโรยผักชี แม่บ้านสาววางเครื่องดื่มเรียบร้อยก็รีบเดินเลี่ยงออกไปอย่างรู้กาลเมื่อคนปรุงของว่างจานนี้นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว
                “คุณอาฝากมาบอกว่าอย่าดื่มเบียร์เข้าไปเยอะ น้องพลูเลยชงน้ำแดงโซดามาให้ค่ะ” แทนดาวเลื่อนแก้วใสทรงสูงบรรจุน้ำหวานสีแดงให้แล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นจิบแก้กระหาย
                “เห็นพี่เป็นเด็กเล็กชอบดื่มน้ำหวานไปได้” ใบหน้าคมสันยิ้มมุมปากน้อยๆแต่ก็ยอมจิบน้ำหวานที่สาวน้อยบอกว่าชงมาให้
                “ลองชิมสิคะ ปอเปี๊ยะสูตรคุณย่าแต่ฝีมือน้องพลู” แทนดาวจิ้มชิ้นหนึ่งลองกัดชิมรสก่อนจะร้องในลำคออย่างพอใจที่รสชาติออกมาเหมือนตอนทำกับคุณย่าที่บ้าน
                “ไหนว่าทำให้พี่? เห็นกินอยู่คนเดียว” คนพูดจ้องมองสาวน้อยที่นั่งเคี้ยวตุ้ยๆ ดูหล่อนจะพออกพอใจผลงานการทำอาหารครั้งนี้เสียนัก
                “ก็นี่ไงล่ะคะ รีบกินตอนนี้สิ…ร้อนๆอยู่อร่อยนะคะ พอเย็นแล้วมันจะชืด แป้งก็จะไม่กรอบ”
                “ป้อนหน่อยสิครับ” เจ้าของนัยน์ตาคมจับจ้องใบหน้าหวานละมุนด้วยประกายหวานซึ้งไม่ปิดบังจนคนถูกมองต้องรีบวางส้อมแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เพื่อหลบใบหน้าเข้มที่โน้มเข้ามาใกล้
                “อะไรกันคะ? แค่ไปช่วยถือของแค่นี้ทำให้แขนล้าจนยกไม่ขึ้นเลยหรือไง”
                “อืม...ปวดแขนจะแย่” คำตอบรับแสนจะกวนประสาทเรียกความหมั่นไส้ได้ไม่น้อย คนถูกกวนจิ้มปอเปี๊ยะชิ้นหนึ่งแตะน้ำจิ้มพอประมาณแล้วจ่อตรงปากหยักที่อ้ารับไปเคี้ยวช้าๆ
                “อื้ม...อร่อยจริงด้วย ไอ้ที่เคยได้ยินมาว่าฝีมือการทำอาหารเข้าขั้นวิกฤติของน้องพลูเห็นทีจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เสียแล้ว” ชลธีเคี้ยวหยับๆและทำสัญญาณให้คนตัวเล็กป้อนของว่างจานโปรดมาเรื่อยๆ สักพักก็สลับด้วยการดื่มน้ำหวานจากฝีมือคนๆเดียวกัน
                “ไม่ได้คุยกันหลายวัน พี่คิดถึงน้องพลูมากเลย...รู้ไหมคะ?” เขาเปรยขึ้นหลังจากจัดการปอเปี๊ยะไปสามชิ้นรวดพลางใช้กระดาษซับใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มันย่องและมีเหงื่อซึม เจ้าของใบหน้าก้มงุดไม่กล้าสบตาด้วย
                “ก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรนี่คะ” หญิงสาวกัดปากแน่นเพราะคำตอบไม่ตรงกับที่ใจคิด ตั้งแต่กลับมาและเขาห่างๆไปมันชวนให้รู้สึกโหวงๆแปลกๆเหมือนกิจกรรมบางอย่างในชีวิตขาดช่วงไป การที่ได้ยินเสียงนุ่มๆ การได้ประสานกับสายตาดุๆและสัมผัสอบอุ่นที่เคยได้รับกลายเป็นความเคยชินบางอย่างในชีวิตเสียแล้ว
                “ไม่เชื่อหรอก...คนโกหก” คนตัวโตดึงแขนเรียวให้เอนเข้ามาหาตัวพร้อมกับยื่นหน้าออกไปหวังจะสูดดมความหอมกรุ่นของพวงแก้มชมพูที่แสนถวิลหา
                “พี่ชล...มะม่วงน้ำปลาหวานมาแล้ว” เสียงแหลมเล็กของปาลิดาทำให้แทนดาวสะดุ้งจนปัดเอาแก้วน้ำแดงหกใส่ตัวเปื้อนเสื้อสีขาวเป็นวงกว้างและเปียกชุ่มบนหน้าตัก
                “อุ๊ย!...เลอะหมดเลย”
                “ซุ่มซ่ามจริง...แม่คู๊ณ” ปาลิดาว่าเสียงดังแต่ก็ต้องก็หุบปากสนิทเมื่อถูกคุณวารีที่ตามออกมาเห็นเหตุการณ์พอดีมองด้วยสายตาตำหนิ
                “อาว่าไปเปลี่ยนชุดเถอะ ลูกปลาไปเลือกเสื้อพี่แฟงมาให้ใบพลู แล้วก็เรียกส้มมาเช็ดตรงนี้ด้วย”
                “แม่จ๋า...วันนี้ไปคุยกับลุงธรรมมา ท่านว่ายังไงบ้าง?” พอสองสาวเดินออกไปชายหนุ่มก็หันมาถามมารดาเป็นงานเป็นการ
                “ท่านก็โมโหลูกชายไปตามระเบียบแล้วก็ขอโทษขอโพยกับแม่ แต่เอาจริงๆแล้วชลไม่ควรทำอะไรปุบปับแบบนั้นนะ รู้อยู่ว่าคุณหมากเธอหวงน้องอย่างกับอะไร”
                “ผมไม่ได้ทำอะไรตามใจนะครับ ก่อนไประยองก็ได้เข้าไปหาลุงธรรมแล้วก็เรียนท่านแล้วว่าจะหมั้นน้องพลูอย่างไม่เป็นทางการที่โน่น กะว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะเข้าไปกราบท่านกับคุณย่า แต่...ไอ้บ้านั่นมันทำเสียเรื่องจนได้ ที่ผมไม่ฆ่ามันแล้วโยนศพลงทะเลก็นับว่าใจดีแค่ไหนแล้ว” ชลธีพูดถึงเรื่องนั้นด้วยความขุ่นมัว ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้...ป่านนี้เขาก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘ว่าที่เขย’ ของทวีกิจไพศาลอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะมีผู้หวังดีอย่างมนุษย์หมากที่คอยตามรังควาญไม่ลดละอย่างนี้ ทุกอย่างก็เลยผิดเพี้ยนไปหมด
                “ชล...ในเมื่อเขาร้อนเราก็อย่าร้อนตามสิลูก ส่วนเรื่องที่แม่ไปคุยมาวันนี้ก็เรียบร้อยดี เรื่องสินสอดทองหมั้นท่านกับคุณย่าไม่ได้เรียกร้องอะไร ท่านว่าให้เราจัดหาไปแต่พอเหมาะสมเท่านั้นก็พอ”
                “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่นายแม่จะเห็นสมควรว่าจะให้อะไรลูกสะใภ้บ้าง”
                “ดีเหมือนกัน...แม่จะได้จัดสรรปันส่วนพวกมรดกพกสกลให้เรียบร้อย เครื่องเงินเครื่องทองแม่แบ่งไว้แล้วว่าอันไหนของชล อันไหนของแฟง ของยัยแฟงอาจจะมีมากกว่าสักหน่อยเพราะพ่อแม่ของเขาเก็บสะสมเอาไว้เยอะพอสมควร หมดกังวลเรื่องสมบัติก็จะได้ตายตาหลับ”
                “โธ่...แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิ แม่ต้องอยู่รอเลี้ยงหลานสักสี่ห้าคนก่อน แต่ไหนๆก็พูดถึงเรื่องนี้ ในส่วนของผม...ผมขอที่ดินบนเขาค้อที่พ่อซื้อไว้ ส่วนเคียงธาราที่ระยอง...ผมตั้งใจจะยกให้ยัยแฟง ถึงน้องจะไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของเราแต่ก็เป็นเด็กดีมาตลอด ผมคิดดีแล้วว่าน้องต้องดูแลเคียงธาราต่อไปได้” คุณวารียิ้มอย่างภูมิใจกับบุตรชายคนโตที่มิได้มีใจละโมบในทรัพย์สมบัติ ทั้งบุตรชายและบุตรสาวบุญธรรมต่างก็รักใคร่กันดีไม่มีช่องว่างเรื่องเลือดคนละสาย
                “ได้สิลูก...วันไหนว่างๆเรานัดกันไปดูที่แล้วก็โอนชื่อกันให้เรียบร้อย”
 
                แทนดาวหันรีหันขวางอยู่บนชั้นสองของบ้านอย่างคนหาทิศทางไปไม่ถูก ปาลิดาทำตามคำสั่งของคุณวารีเป๊ะจริงๆ โดยการหาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้แล้วก็บอกแค่ว่าให้เข้าไปเปลี่ยนในห้องรมย์นลินแต่ไม่ยอมบอกว่าห้องไหน บ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้มีห้องหับมากมายแล้วแต่ละห้องก็ไม่ได้ติดป้ายชื่อด้วยว่าห้องใครเป็นห้องใคร ไอ้ครั้นจะให้สุ่มไปเปิดเอาเองก็ใช่เรื่อง คนตัวเล็กหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นประตูบานหนึ่งมีป้าย ‘ห้ามรบกวน’ รูปเครื่องดนตรีอูคูเลเล่แขวนอยู่ตรงลูกบิดเลยเดาเอาว่าห้องนี้น่าจะเป็นของคุณครูแน่ๆ พอเปิดเข้าไปก็นึกแปลกใจที่ห้องของครูสาวไม่ได้ตกแต่งในธีม หวานแหววสไตล์ผู้หญิงอย่างที่คิดไว้ซ้ำยังออกจะดู ‘รกตา’ กับข้าวของที่วางไม่เป็นระเบียบ เช่น แผ่นซีดี หนังสือ หรือเศษเหรียญที่วางกองรวมกันบนโต๊ะเล็กปลายเตียง
                ปลายเท้าเล็กจรดลงบนพื้นกระเบื้องเย็นๆในห้องน้ำไปหยุดยืนหน้ากระจกเพื่อสำรวจรอยเปื้อน สีแดงของน้ำ หวานเลอะเป็นดวงกว้างแถมมีรอยกระเซ็นประปรายบนเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาด งานนี้คงไม่พ้นโดนคุณแม่ดุ สายตาช่างสงสัยเหลือบไปเห็นของใช้ส่วนตัวที่คาดไม่ถึงว่าครูสาวจะมีรสนิยมแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นโฟมล้างหน้า ยาสระผม ที่ล้วนแต่เป็นสูตรสำหรับผู้ชายทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ตัวชาวาบใจตกไปที่ตาตุ่มก็คือครีมโกนหนวดกับที่โกนหนวดไฟฟ้า แล้วความจริงบางอย่างกระจ่างในใจว่าเข้าห้องผิด!
                แทนดาวไม่คิดอะไรต่อนอกจากรีบๆผลัดเสื้อผ้าให้เสร็จจะได้ลงไปเร็วๆ คิดว่าชลธีคงกำลังเพลินกับการจิบเบียร์แกล้มของว่างอยู่ไม่น่าจะขึ้นห้องมาตอนนี้แน่ มือเล็กรีบเปลื้องเสื้อกับกระโปรงพลีทวางไว้ใกล้อ่างล้างหน้าแล้วรีบหยิบกางเกงตัวใหม่มาสวมก่อน
                “เอ๊ะ...สิวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่” สาวน้อยเพ่งมองหน้าตัวเองในกระจกแล้วเห็นสิวเม็ดเล็กๆตรงคางเลยอดใจไม่ได้ที่จะบีบมันออกด้วยความมันมือ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆประตูห้องน้ำก็เปิดผลั๊วะ!
                “ว๊าย!” แทนดาวอุทานดังลั่นขณะมองคนเปิดประตูด้วยสายตาตระหนก มือทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอกโดยอัตโนมัติเพื่อปิดบังสัดส่วนภายใต้เสื้อกล้ามสีขาวบางเบา เจ้าของห้องตัวจริงก็ตกใจมากเช่นกันที่เห็นภาพตรงหน้าโดยไม่คาดฝันขณะที่สายตาคมกริบกวาดไปทั่วร่างเล็กที่พยายามซ่อนตัวให้พ้นสายตา
                “ขอโทษค่ะ น้องพลูขอเปลี่ยนเสื้อแป๊บเดียว” พอตั้งสติได้ก็จะดึงประตูปิดแต่คนตัวสูงพาร่างหนาเข้ามายืนในห้องน้ำด้วยกัน
                “ก็เปลี่ยนสิจ๊ะ” สายตากรุ้มกริ่มที่จ้องมองมาทำให้คนถูกมองร้อนวูบตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเล็บ แววตาตระหนกหลุบมองร่างแกร่งในเสื้อเชิ้ตตัวเดิมแต่ปลดกระดุมออกจนหมดเผยเนื้อหนังตึงแน่นสีทองแดง บนบ่ามีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไว้
                “ออกไปก่อนสิคะ” มือเล็กพยายามผลักร่างหนาให้ออกไปแต่ดูเหมือนจะไม่เขยื้อนแม้แต่น้อยก็เลยเบียดตัวเองกับร่างสูงใหญ่เพื่อหาทางออกมาข้างนอกโดยไม่ลืมหยิบเสื้อไปด้วย จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ประตูแต่ก็ไม่ทันกับที่เจ้าของห้องตามมาจับตัวเอาไว้มั่นพร้อมๆกับต้อนให้ไปพิงผนังด้านหนึ่ง แขนแกร่งทั้งสองข้างเท้าคร่อมร่างเล็กเอาไว้ ใบหน้าตะหนกแทบจะแนบชิดกับอกแกร่งหนานั่นด้วยมัดกล้าม กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆโชยเข้าจมูกผสมผสานกับกลิ่นเหงื่อจางๆ
                “ไหนบอกว่าขออยู่ห่างๆกันสักพัก แล้วเข้าห้องพี่แบบนี้...หมายความว่ายังไง?” คำถามนั้นล้อเลียนมากกว่าจะเป็นจริงเป็นจังแต่ก็ทำให้คนฟังหน้าแดง พยายามเบือนหน้าหนี้จากใบหน้าคร้ามคมที่ก้มต่ำลงมา
                “น้องพลูนึกว่าเป็นห้องพี่แฟงนี่นา เห็นมีรูปอูคูเลเล่แขวนอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าห้องพี่ชลนะ”
                “อ๋อ...ไอ้ป้ายนั่นยัยแฟงซื้อมาฝากพี่นานแล้ว แต่...การเข้าใจผิดของน้องพลูคราวนี้ก็เข้าท่าดี” แทนดาวเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจพลันนึกขึ้นได้ว่าอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยเลยรีบสวมเสื้อที่หยิบติดมือมา แต่ก็ไม่วายที่จะถูกมือหนาแย่งแล้วก็เหวี่ยงไปไปทางไหนไม่รู้ แทนดาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อฝ่ามืออบอุ่นวางบนลาดไหล่เปลือย
                “พี่ชล!” แทนดาวตกใจและกลัวกับการกระทำของเขาแต่ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงไปทางไหนได้ในเมื่อถูกกักตัวไว้แบบนี้
                “คิดถึงจัง...คิดถึงแก้มหอมๆจะแย่อยู่แล้ว” สายตาหยาดเยิ้มจ้องมองดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยความระแวงระไวแล้วประทับจมูกโด่งเรียวลงบนแก้มชมพูเรื่อ แขนข้างหนึ่งสอดรอบเอวเล็กดึงตัวให้มาแนบชิดยิ่งขึ้นส่วนมืออุ่นก็เริ่มไล่ลูบจากไหล่เนียนไปตามลำแขนกลมกลึง
                “พอแล้วค่ะ ถ้าพี่ชลยังไม่หยุดน้องพลูจะโกรธจริงๆด้วย”
                “โกรธก็จะง้อ...ง้อแบบนี้จนกว่าจะหายโกรธ” จมูกโด่งผละจากแก้มนุ่มเนียนไปจรดตรงปลายคางเล็ก นิ้วหนาสอดพันอยู่ในกลุ่มผมสวยที่แสนโหยหาและดึงรั้งเบาๆให้แหงนเงยทำองศาพอดี
                “อย่า...” เสียงร้องห้ามหายไปในลำคอเมื่อริมฝีปากอุ่นแตะลงมาแผ่วเบาแล้วลงน้ำหนักมากขึ้นในนาทีต่อมา แทนดาวจิกเล็บลงบนเนื้อตรงไหล่หนาแรงๆจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องร้องให้หยุดด้วยความเจ็บแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆนอกจากดึงรั้งท้ายทอยไม่ให้หันหน้าหนี จนเนิ่นนานกว่าที่คนกระทำพอใจนั่นแหละ...ริมฝีปากบางถึงจะได้รับอิสระ
                “หวานจัง...หวานกว่าน้ำหวานที่ชงให้พี่กินเป็นไหนๆ” นัยน์ตาคมจ้องมองใบหน้าแดงซ่านเรื่อยลงมายังผิวพรรณเนียนละเอียดลอออย่างหลงใหล ใจก็นึกบริภาษตัวเองที่ไม่เคยจะหักห้ามใจไม่ให้ทำรุ่มร่ามกับเจ้าของริมฝีปากหอมนุ่มนี่ได้สักที
                “พี่ชลใจร้าย รังแกน้องพลูแบบนี้ได้ยังไง จะฟ้องอาวารีด้วย” คนตัวเล็กหอบหายใจ เม้มปากแน่น
                “ฟ้องแม่...อย่างมากพี่ก็โดนบิดเนื้อเขียว จากนั้นก็เร่งรีบจัดแจงเรื่องของเราให้จบ” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นต่อแล้วกดจมูกลงบนแก้มอีกข้าง
                “คนขี้โกง เจ้าเล่ห์ รางวัลนั่นน้องพลูก็ให้ไปแล้วนี่ แล้วจะมา...จูบอีกทำไม?” คนตัวเล็กพูดตะกุกตะกัก
                “คราวที่แล้วพี่ขอรางวัลน้องพลูถ้าตีโฮลอินวันได้ ส่วนคราวนี้พี่ให้รางวัลคืนที่น้องพลูทำอาหารให้พี่กินไง จะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบ” เขาตอบหน้าตาเฉยเลยถูกมือเล็กๆแต่หนักหน่วงทุบผลั่กให้ที่ไหล่ ซึ่งตรงนี้ที่แทนดาวเพิ่งจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างตรงเหนือหัวไหล่ด้านซ้าย มือเล็กค่อยๆแหวกเสื้อเชิ้ตให้เผยอมากขึ้นจนเห็นรอยสักรูปเกลียวคลื่นอ่อนช้อยกับดวงอาทิตย์แผ่รัศมีประณีตสวยงามซึ่งเคยเห็นผ่านตามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ที่เพิ่มมาคือดาวดวงเล็กลงสีน้ำเงินเข้มตรงตำแหน่งเหนือหัวใจ
                “เวลาเปลี่ยนแฟนคนใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนรูปใหม่ตลอดเลยเหรอคะ?” คำถามนั้นจะคล้ายประชดก็ไม่เชิง ชลธีจับมือบางที่แปะอยู่บนหน้าอกมาจุมพิตแผ่วเบา
                “รูปนี้มีมานานแล้ว ส่วนดาวนี่...พี่เพิ่งไปเพิ่มมา” เขาอธิบายพร้อมกับจับนิ้วเรียวจิ้มตรงตำแหน่งที่กำลังพูดถึง
                “ส่วนไอ้ที่เปลี่ยนแฟนแล้วต้องเปลี่ยนรูปทุกครั้งนี่ไม่จริงเลย มันคือความชอบส่วนตัวหรือจะเรียกว่าศิลปะก็ได้”
                “อ้าว....แล้วถ้าวันนึงเราเลิกคบกัน พี่ชลจะไม่เปลี่ยนลายใหม่หรอกหรือคะ?” แทนดาวลูบดวงดาวสีน้ำเงินแผ่วเบา
                “ไม่เปลี่ยน...เพราะพี่มั่นใจว่าเราจะไม่มีวันเลิกกัน” น้ำเสียงหนักแน่นที่ตอบกลับมาพร้อมกับสายตาหวานเชื่อมทำให้แทนดาวอายม้วนแล้วอาศัยจังหวะนั้นผละหนีออกมา
                “อยู่ใกล้แล้วเสียเปรียบทุกที” คนถูกรังแกบ่นอุบพลางสวมเสื้อเร็วๆ ชลธีประคองคนตัวเล็กให้นั่งลงบนเตียงนุ่ม
                “แล้วเป็นยังไง? อยู่ห่างกันแล้วน้องพลูสบายใจมากขึ้นหรือเปล่า? คิดอะไรได้มากขึ้นไหม?”
                “ก็...มันยิ่งทำให้กลุ้มมากกว่าเดิมอีกค่ะ สู้เจอกันแบบเดิมไม่ได้ อย่างน้อย...มีอะไรก็จะได้ถามไถ่กันให้เคลียร์” ชลธียิ้มกับคำตอบแล้วลูบเส้นผมสวยเล่น หล่อนคงเข้าใจแล้วสินะ...การห่างกันบางครั้งก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น
                “พี่สิจะแย่เอา...คิดถึงคนสวย ขี้งอนแล้วก็เอาแต่ใจคนนี้แทบจะคลั่ง” คำพูดหวานหูไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกเคลิ้มตามมากนักเพราะยังติดใจกับเรื่องเดิมๆ
                “แต่เรื่องนั้นน้องพลูยังไม่สบายใจเลยค่ะ พี่ปรางเธอ...”
                “ทุกอย่างที่พี่บอกวันนั้นเป็นความจริงทุกประการ น้องพลูจ๋า...พี่ไม่อาจลบหรือลืมเรื่องราวในอดีตได้หมด แต่เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปนานแล้ว สิ่งเดียวที่พี่ต้องการคือขอให้น้องพลูคบกับพี่ชลในปัจจุบัน วันนี้น้องพลูอาจจะยังไม่วางใจ แต่ขอให้เชื่อมั่นเถอะนะว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้พี่ไม่ต้องการอะไรมากกว่าการที่มีน้องพลูอยู่แนบกายแนบใจ”
               
                “นี่ลูกปลา...แล้วพรุ่งนี้นัดกี่โมงล่ะ สัมภาษณ์งานที่ไหนไม่เห็นบอกกันเลย” คุณวารีถามสาวหมวยที่เคี้ยวข้าวหยับๆพลางเล่นโทรศัพท์มือถือไป นางไม่ใคร่ปลื้มกับกิริยานี้นัก คิดตำหนิไปถึงผู้ปกครองที่เลี้ยงดูแบบตามใจจนเกินไปจึงทำให้ปาลิดาไม่ค่อยจะคำนึงถึงมารยาทอันพึงกระทำเวลาอยู่ในสังคมภายนอก
                “อ้อ...แปดโมงมั้งคะ? ที่บริษัทอะไรนะใบพลู?” ปาลิดาละสายตาจากโทรศัพท์มาถามคนข้างๆ
                “น้องพลูลืมบอกไปค่ะว่าลูกปลาจะไปทำงานที่ทวีกิจ คือ...ลูกปลาเคยเกริ่นไว้นานแล้วเรื่องอยากไปทำงานที่นั่น” หญิงสาวรีบหลบตาคมวูบจากคนตรงข้ามที่มองมาอย่างจับผิด
                “เอ๊ะ...ที่ทวีกิจเองน่ะหรือ? ลูกปลาต้องทำตัวดีๆนะไปอยู่ที่นั่นน่ะ จะมาเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเหมือนตอนอยู่ธาราไม่ได้” คุณวารีถามทั้งแปลกใจและกังวลในคราวเดียวกัน จากที่ได้รับรายงานความประพฤติของหลานนอกไส้คนนี้ก็ไม่อยากวางใจนักเพราะถ้าเกิดไปทำอะไรที่ไม่เข้าท่าก็จะเสียมาถึงนางได้
                “ลูกปลาปรับปรุงตัวแล้วล่ะค่ะ จะตั้งใจทำงานจนกว่าจะจับ...เอ่อ...จนกว่าทุกคนจะยอมรับ”
                “แล้วจะพักที่อพาร์ทเม้นต์เดิมหรือเปล่าล่ะ? พี่จะได้จัดแจงหาห้องว่าง” ชลธีถามอย่างชั่งใจ ความตะขิดตะขวงเกิดขึ้นตั้งแต่รู้ว่าหล่อนจะไปทำงานที่ทวีกิจโดยการช่วยเหลือของแทนดาว
                “พี่ชลจะให้อยู่ที่ไหนลูกปลาก็อยู่ที่นั่นแหละ” เสียงตอบแง่งอนทำให้คนถามต้องถอนใจอย่างเอือมระอา แทนดาวมองหน้าเขานิดหนึ่งอย่างต้องการแสดงความเห็นใจ แต่อีกฝั่งหนึ่งก็อดสงสารปาลิดาไม่ได้
                “เอ๊ะ...เสียงรถใครมาจอดหน้าบ้าน สงสัยพี่ชายน้องพลูจะมาแล้วมั้งคะ ส้ม...ไปดูหน่อย” รมย์นลินบอกสาวใช้แล้วรีบรวบช้อนลุกตามออกไป ชลธีมองตามไปอย่างขัดใจกับอาการกระวีกระวาดของน้องสาว
                “มาเร็วจัง...เพิ่งจะทุ่มเอง ไหนว่าไปงานแต่ง” แทนดาวพูดเบาๆแล้วรวบช้อนเตรียมรับประทานขนมหวานต่อ ไม่นานนักรมย์นลินที่หน้าตาดูออกจะผิดหวังเล็กๆเดินนำแขกซึ่งไม่ใช่เทียมภพแต่เป็นนายแพทย์อชิตะเข้ามา
                “อ้าว...คุณหมอน่ะเอง เชิญก่อนสิคะ กินข้าวมาหรือยัง?” คุณวารีรับไหว้แล้วรีบเชื้อเชิญ
                “ขอบคุณครับ แต่ผมรับประทานมาแล้วจากโรงพยาบาล นี่แวะมารับน้องพลูครับ” คำบอกเล่าของหนุ่มแว่นทำให้ชลธีลุกขึ้นยืนทันที
                “คุณหมอรู้ได้ไงว่าน้องพลูมาที่นี่?”
                “อ๋อ...คุณสีผึ้งโทรหาผมเมื่อตอนเย็นว่าให้เข้าไปวัดความดันคุณย่า เมื่อเช้าท่านบ่นว่ามึนๆ ก็เลยรู้ว่าน้องพลูมาที่นี่ เลยอาสามารับกลับไปด้วยกันเสียเลย” คำตอบละเอียดยิบสร้างความปั่นป่วนในหัวคนฟังได้ไม่น้อย ชลธีมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าปลายเดือน ‘จงใจ’ ให้เรื่องดำเนินไปแบบนี้แน่
                “ที่จริงคุณหมอไม่ต้องลำบากแวะมาหรอก ผมไปส่งเองก็ได้” นัยน์ตาดุกร้าวมองผู้มาเยือนอย่างเอาเรื่อง
                “อย่าเกรงใจเลยครับ ผมบอกคุณอาธรรมแล้วว่าจะแวะรับน้องพลูที่นี่ เป็นทางผ่านพอดีนี่ครับ...ไม่เสียเวลาอะไรมาก” อชิตะตอบอย่างสุภาพเช่นเคยและแววตายียวนนั่นก็ทำให้ชลธีแทบอยากกระโจนใส่
                “งั้นกลับเลยก็ได้ค่ะ น้องพลูเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” แทนดาวรีบเดินไปรวบรวมข้าวของส่วนตัวเตรียมพร้อมจะออกเดินทาง หญิงสาวไหว้ลาคุณวารีแล้วมองคนหน้าดุหวาดๆ
                “พี่เดินไปส่ง” เขาจูงมือคนตัวเล็กออกไปโดยเร็วจนวิ่งตามแทบไม่ทัน
                “เรื่องมาถึงขนาดนี้ยังจะมีความหวังอยู่อีกรึ..ไอ้แว่น!”
                “พี่อชิคงมารับเพราะเห็นว่าต้องผ่านทางนี้อยู่แล้ว ก็ดีเหมือนกัน...พี่หมากไม่รู้ว่าจะมากี่โมง กลับเร็ว...น้องพลูจะได้มีเวลาทำการบ้านอีกนิดหน่อย” คนตัวเล็กพยายามพูดให้เขาใจเย็นลง
                “ก็ต้องดีสิ...ต้องดีกับไอ้คนที่ชอบเซาะเล็กเซาะน้อยแฟนชาวบ้าน!”
                “พี่ชล!” แทนดาวร้องอุทานกับคำบริภาษอันน่าตกใจ
                “ถึงบ้านแล้วโทรหาพี่ด้วยนะคะ” มือหนาปัดผมยาวให้พ้นกรอบหน้าหวานก่อนจะจรดปลายจมูกลงบนหน้าผากลาดนูนอย่างจงใจให้คนที่เดินตามมาได้เห็น ตาคมดุตวัดมองหนุ่มแว่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างเย้ยหยันนิดๆแต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากความสุขุมนิ่งลึกเช่นเคย
                “ยินดีด้วยนะครับกับการหมั้นหมายที่ออกจะ...ไม่ค่อยเป็นไปตามแผนเท่าไหร่” อชิตะเปิดประตูรถให้แทนดาวขึ้นไปนั่งก่อนจากนั้นก็หันมาเจรจากับเจ้าของบ้านที่ตีหน้ายักษ์ใส่ ในน้ำเสียงไม่ได้ถากถางอะไรแต่เจือรอยขบขันเล็กน้อย
                “อ้อ...ก็ไม่มีอะไรผิดแผนนี่ครับ ทุกอย่างราบรื่นเป็นปกติ ส่วนเรื่องข่าวดีที่หมอรอคอย...อดใจรอหน่อยนะครับ ไม่นานนี้หรอก” ชลธีตอบกลับสบายๆขัดกับจิตใจที่คุกรุ่นด้วยความโมโห ที่อชิตะรู้เรื่องนี้ได้คงไม่ใช่เพราะใครอื่นนอกจากปลายเดือน
                “ครับ...ผมรอฟังข่าวนั้นอยู่ทุกลมหายใจเชียวล่ะ ลาล่ะครับ” หมอหนุ่มโค้งให้แล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถ ชลธีมองตามอย่างขุ่นเคืองกับคำพูดที่ฝ่ายนั้นทิ้งไว้ จะเหน็บแนม จะประชด หรือเยาะเย้ยอย่างไรก็ไม่อาจคาดเดา
               
                ปลายเดือนออกจะแปลกใจที่ผู้ช่วยส่วนตัวเข้ามารายงานว่าเปรมยุตามาขอพบแต่เช้า ถึงจะไม่ค่อยได้พบปะพูดคุยกันก็พอรู้มาว่าหล่อนลาออกจากธาราได้เกือบเดือนแล้ว แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม...ที่แน่ๆข่าวนี้ให้ปลายเดือน
โล่งอกโล่งใจมากโขที่ศัตรูเบอร์สองอัปเปหิตัวเองออกไปจากวังวนชีวิตของชายที่หมายปอง
                “ขอโทษนะคะที่มารบกวนเวลางาน พอดีมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือ” เปรมยุตาเปิดประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม ปลายเดือนยกกาแฟขึ้นจิบด้วยอาการกรีดกรายพลางมองอีกฝ่ายอย่างไว้ท่าจนคู่สนทนาอดที่จะนึกค่อนอยู่ในใจไม่ได้
                “ดิฉันไม่มีงานสำคัญอะไรตอนเช้านี้หรอกค่ะ ว่าแต่เรื่องที่มาขอให้ช่วยคงสำคัญจริงๆ ไม่งั้นคุณเปรมยุตาคงไม่บากหน้ามาถึงนี่”  ปลายเดือนว่าตรงๆเล่นเอาอีกฝ่ายหน้าตึง
                “ก่อนอื่นต้องขอแสดงความดีใจด้วยนะคะ ที่แผนกันท่าของคุณสำเร็จไปด้วยดี” คำแสดงความยินดีของคู่สนทนาทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน
                “แผนกันท่า...คุณปรางพูดถึงเรื่องอะไรกันคะ?” เปรมยุตายิ้มเย็นแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้ดู เป็นคลิปวิดิโอที่ปลายเดือนกำลังพูดคุยและจ่ายเงินให้กับชายที่ว่าจ้างมาลวนลามแทนดาว แม้จะไม่ได้ยินเสียงแต่ก็เห็นหน้าทั้งคู่ชัดเจน จนปลายเดือนมั่นใจว่าถ้าชลธีได้ดูคลิปนี้ก็จะต้องจำผู้ชายคนนี้ได้แน่นนอน
                “แก! ต้องการอะไร ต้องการเงินเท่าไหร่บอกมา” ปลายเดือนตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโกรธพร้อมกับผุดลุกขึ้นเดินตึงๆไปที่ตู้เซฟทิ้งมาดสตรีสูงศักดิ์หมดสิ้น
                “ดิฉันไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน” เปรมยุตาหัวเราะเบาๆกับท่าทีร้อนร้อนกระวนกระวายใจของอีกฝ่าย
                “แล้วคิดจะแบล็คเมล์ฉันด้วยอะไรล่ะ? บอกก่อนนะว่าอย่าเล่นแรง เพราะคนที่จะเสียเปรียบคือเธอ ปลายเดือน ทวีกิจไพศาล...ไม่เคยยอมให้ใครต่อรองอะไรได้ง่ายๆ อย่าคิดว่าไอ้คลิปโง่ๆนี่จะทำอะไรฉันได้”
                “แหม...ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้ฟังก็รู้ค่ะว่าคุณปลายเดือนไม่ยอมอะไรง่ายๆ ดูขนาดน้องในไส้ยังทำกันได้ขนาดนี้ แล้วดิฉันเป็นใครล่ะคะ? ถึงจะกล้าไปต่อรองกับคุณ” เปรมยุตาตอบเสียงเย็นเยียบ ความที่ฝ่ายหนึ่งก็ถือตัวว่าเป็นนางพญา ส่วนอีกคนก็คิดว่าตัวถือไพ่เหนือกว่าจึงแสดงอาการข่มกันเต็มที่
                “นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉัน บอกมาตรงๆดีกว่าว่าต้องการอะไรกันแน่” ปลายเดือนเจ็บกับคำว่า ‘น้องในไส้’ ด้วยไม่เคยคิดที่จะทำเรื่องเลวขนาดนั้นเลยในชีวิต แต่จิตใจฝ่ายร้ายคอยย้ำตลอดว่า...เส้นทางความรักไม่มีคำว่าพี่น้อง
                “ฉันอยากพบคุณชลธี...วันนี้”
 
                ชลธีรู้สึกอึดอัดทั้งยังวางตัวลำบากอยู่ไม่น้อยเมื่อต้องนั่งร่วมโต๊ะกับสองสาวที่ไม่ค่อยอยากจะเสวนาด้วยนัก ความขุ่นเคืองที่ปลายเดือนพยายามทำตัวเป็นแม่สื่อพาน้องสาวเดินเลี้ยวไปหาอชิตะทำให้บางครั้งก็อยากจะฝังความเป็นสุภาพบุรุษเสียให้มิดแล้วพูดจาต่อว่าแรงๆ ไหนจะยังมีเปรมยุตาที่สลัดออกไปไม่หลุดเสียที เขาเชื่อแล้วว่าอาวุธใดๆในโลกนี้ก็มีอาณุภาพรุนแรงได้ไม่เท่าสตรี
                “ผึ้งถือเอกสารมาให้คุณชลเซ็นอนุมัติเงินห้าล้านเป็นค่าใช้จ่ายที่จะไปเปิดบู๊ทงานเฟอร์นิเจอร์ เอ็กซ์โปที่สิงคโปร์ค่ะ พี่หมากเซ็นไว้ให้แล้วเมื่อเช้า” ปลายเดือนยื่นแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งให้ ชลธีได้อ่านรายละเอียดมาก่อนหน้านี้แล้วจึงเซ็นชื่อลงไปทันทีโดยไม่ถามอะไร
                “ทำไมไม่ให้ฝ่ายการเงินมาล่ะครับ? คุณผึ้งจะได้ไม่ต้องลำบาก”
                “แหม...ก็ผึ้งจะออกมาแถวนี้พอดีนี่นา บังเอิ๊ญ...บังเอิญเจอคุณปรางกำลังเดินช้อปปิ้งอยู่คนเดียวก็เลยชวนมาด้วยกัน แหม...คนกันเองนี่คะ” ปลายเดือนจีบปากจีบคอเล่าความเท็จต่อเรื่อยๆโดยไม่มีพิรุธจนเปรมยุตาเองยังทึ่งในความสามารถ
                “นี่ก็เย็นมากแล้ว...ผึ้งต้องรีบไปก่อน นัดพี่หมากกับใบพลูไปกินข้าวที่ภัตตาคารของเฮียเบิ้มแถวเยาวราช...เลี้ยงวันเกิดลูกชายคนโตของแกน่ะค่ะ” ปลายเดือนยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วรีบขอตัวออกไปเมื่อหมดหน้าที่ ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดเปรมยุตาถึงอยากพบกับชลธีขนาดขอให้ช่วยนัด อาจจะมาอ้อนวอนขอกลับมาทำงานอย่างเดิมก็ได้ แต่ใจหนึ่งก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องที่นึกมโนว่าสองคนนี้ต้องมีเรื่องผิดใจกันถึงขั้นผู้ชายไม่อยากเจอตัว
                “คุณอิ่มแล้วใช่ไหม? ผมเรียกเด็กมาเก็บเงินเลยนะ” ความรู้สึกของเขาที่มีต่อสตรีหน้าเศร้าที่นั่งตรงข้ามกันนี้มันหมดสิ้นไม่เหลืออะไรนอกจากความว่างเปล่าดุจสุญญากาศ ความเย็นชาในน้ำเสียงสะกิดหัวใจคนฟังให้เจ็บลึกทุกครั้ง ความน้อยใจเลี้ยวแล่นไปทั่วเส้นเลือดที่คนเคยรักไม่แม้แต่จะถามสารทุกข์สุขดิบอย่างที่ควรจะเป็น
                “ชลคะ...ปรางมีเรื่องอยากปรึกษา แต่ตรงนี้คงไม่สะดวก”
                “ผมคงไม่มีเวลาแล้วล่ะ ต้องรีบไปเหมือนกัน” ชลธีรีบลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินจากไป เปรมยุตามองตามด้วยดวงตาแววโรจน์ มุมปากสวยแย้มน้อยๆแฝงปริศนา
                ชายหนุ่มกลับเข้ามาในห้องทำงานอย่างใช้ความคิด เรื่องวันนี้ถ้ามันจะบังเอิญจริงๆอย่างที่ปลายเดือนว่าก็ออกจะฟังดูชอบกลแต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ มือหนาล้วงโทรศัพท์มือถือมาดูข้อความ หนึ่งในนั้นมีรูปภาพส่งมาจากสาวน้อยคนเดิมพร้อมคำบรรยายว่ากำลังเลือกซื้อของเล่นเป็นของขวัญวันเกิดให้หลานชาย หน้าเครียดขึงค่อยๆผ่อนคลายลงหลังจากได้มองดูรอยยิ้มสดใส
                “ขออนุญาตค่ะ...ชาร้อนค่ะคุณชล” ชลธีมองผู้ช่วยส่วนตัวที่วางถ้วยชาร้อนหอมกรุ่นตรงหน้าอย่างงๆ
                “ผมไม่ได้สั่งนะ”
                “คือ...เพื่อนนุชซื้อชามาฝากจากศรีลังกาค่ะ ยี่ห้อนี้ดังมากเลยนะคะ นุชเลยชงมาให้ชิมค่ะ” เลขาฯสาวตอบแล้วรอดูท่าทีของเจ้านายหนุ่มอยู่สักครู่
                “อ้อ...งั้นก็ขอบคุณมากนะครับ ช่วงนี้ผมต้องนอนที่นี่ซักระยะ คุณนุชไม่ต้องล็อกประตูใหญ่นะ ผมขี้เกียจพกกุญแจหลายดอก” เขาบอกผู้ช่วยแล้วจิบชาร้อนหอมกรุ่น รสชาติละมุนลิ้นทำให้ดื่มเพลินจนหมดแก้วในเวลาไม่นาน
                ชลธีวางรีโมททีวีลงเมื่อรู้สึกถึงความง่วงงุนรุมเร้า ร่างสูงพาตัวเองกลับห้องพักที่อยู่บนชั้นเดียวกัน เหลือบดูเวลาที่เพิ่งจะทุ่มเลยแปลกใจกับร่างกายของตัวเองที่เกิดสะลึมสะลือขึ้นมาเฉยๆ โดยปรกติเป็นคนนอนดึกอยู่แล้วเลยไม่น่าจะมาง่วงเอาตอนนี้ พอจะนอนพักให้หายเพลียเสียหน่อยประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างระหงคุ้นตาที่ก้าวเข้ามา
                “ปราง...เข้ามาได้ไง?” เขาเปล่งเสียงถามอย่างแปลกใจและตกใจไปพร้อมๆกัน ตามที่เข้าใจคือต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปตั้งนานแล้ว ยิ่งห้องนี้เป็นเขตหวงห้ามที่ไม่ว่าใครก็เข้ามาไม่ได้นอกจากแม่บ้านที่จะมาทำความสะอาดตามตารางเวลา
                “ปรางมีกุญแจค่ะ กุญแจทุกดอก คีย์การ์ดทุกใบที่คุณมี...ปรางก็มีเหมือนกัน” คำตอบนั้นทำให้ชลธีขมวดคิ้วมุ่น
                “ปราง!...ออกไป ถ้าไม่ไปดีๆคงต้องเรียกคนมาเชิญคุณลงไป” เขาชี้นิ้วพร้อมกับสั่งเด็ดขาดแต่อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาหาโดยไม่สนใจคำสั่งนั้น ในทางกลับกัน...เปรมยุตาค่อยๆปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่ายวนตาไร้สิ่งปกคลุม
                “เฮ้ย! จะทำอะไร?” ชลธีกำลังจะก้าวขาออกไปจากตรงนั้นแต่ก็ดูเหมือนร่างกายจะตอบสนองช้าเสียเหลือเกินจนไม่ทันหลบร่างอรชรที่ถลาเข้ามากอดไว้แน่น
                “ไม่ไป! ไม่ว่าคุณจะรังเกียจหรือโกรธแค้นปรางสักแค่ไหน แต่ปรางจะไม่มีวันไปจากคุณ” ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาอีกเมื่อริมฝีปากร้อนรุมจัดการปิดเสียงประท้วงของชายหนุ่มเจ้าของเรืองร่างกำยำ ความจัดเจนและคุ้นเคยกันทำให้เปรมยุตารู้ว่าควรจะ ‘รุก’ และ ‘เร้า’ อย่างไรให้อีกคนเกิดอารมณ์ปรารถนา
 
                ชลธีค่อยๆลืมตาแล้วกรอกไปมาในความมืดสลัว สักครู่ก็รู้สึกว่าว่ามีอะไรหนักๆทาบทับอยู่บนตัว แสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียงทำให้เห็นอะไรๆแค่เพียงเลือนราง นาฬิกาดิจิตอลเรืองแสงบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง เขาสลัดศีรษะไล่ความมึนงงออกไปแล้วพยายามเพ่งมองไอ้หนักๆที่ทับตัวอยู่ก็เห็นศีรษะคนปกคุลมด้วยผมยาว ชายหนุ่มตกใจสุดขีดทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่งจนเป็นเหตุให้ร่างเปลือยที่หลับใหลอย่างสุขสมต้องร้องลั่นขณะตะเกียกตะกายขึ้นเตียง
                “อะไรกันคะชล!” คนถามทำสีหน้าตื่นตระหนกแต่ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมสมหวัง
                “ผมต่างหากที่ต้องถามคุณ มันเกิดอะไรขึ้น? แล้วนี่...?” มือหนากดสวิตช์เปิดไปกลางห้องแล้วเริ่มสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวพร้อมๆกับทบทวนความจำถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
                “ไม่นะ...มันจะต้องไม่เกิดขึ้น” เขาถึงกับเพ้อเมื่อตระหนักถึงความจริงเมื่อก้มลงสำรวจสภาพตนเองจนแน่ใจว่าได้นอนกับเปรมยุตาจริงๆ ชายหนุ่มกุมขมับที่ปวดตุบๆจนไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไปแล้วรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันกายรวกๆ                “ปรางมีความสุขมากที่เราได้อยู่ด้วยกันอีก” เปรมยุตาใช้ผ้าห่มพันกายแล้วเดินไปกอดแผ่นหลังหนาอุ่น ชลธีรีบปลดแขนเรียวออกจากเอวแล้วหันมามองด้วยสายตาเย็นชา
                “คุณไปแต่งตัวซะ…แล้วออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” เขาพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำจะชำระล้างร่างกายแต่แล้วก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นจึงแค่หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาสวมใส่อย่างรีบร้อน
                “ชลจะทิ้งปรางไม่ได้นะคะ ปรางเป็นเมียคุณนะ!” เปรมยุตาตวาดลั่นขณะยื้อยุดเขาไว้ไม่ยอมให้ไปไหน
                “ผมจะบอกเป็นครั้งสุดท้ายว่าเราแค่ ‘เคย’ เท่านั้น ถ้าจะเหมารวมนับครั้งนี้ด้วย...ผมก็ต้องบอกว่าเสียใจ” ชลธีมองคนที่เกาะแขนตนด้วยสายตากึ่งเหยียดหยามกึ่งโกรธ
                “กรี๊ด!...คุณจะไม่รับผิดชอบปรางใช่ไหม? คนใจร้าย!” เปรมยุตาแผดเสียงลั่นเพราะรับไม่ได้กับคำพูดไร้เยื่อใย
                “คิดให้ดีนะปราง...คิด ถ้าผมใจร้าย ถ้าผมไม่รับผิดชอบ…คุณจะไม่มีวันมานั่งคร่ำครวญอยู่แบบนี้หรอก บอกหน่อยได้ไหมว่า...ไปเอายานั่นมาจากไหน?” เขาเค้นเสียงถามและพยายามอย่างยิ่งยวดในการข่มโทสะ
                “ยะ...ยาอะไรคะ? ชลหมายถึงอะไร?” เปรมยุตาใจหายวาบ มือเย็นชื้นกำผ้าห่มที่ใช้ห่อตัวเอาไว้แน่นหนาขณะถามตะกุกตะกักออกไป
                “คุณเอาอะไรใส่ในชานั่น? ผมรู้นะปราง...แผนจับผู้ชายง่อยๆนี่ใช้กับผมไม่ได้หรอกนะ มันมีอยู่แต่ในในละครเท่านั้นแหละ หรือถึงจะไม่วางยาก็น่าจะรู้ว่าผมไม่เกิดอารมณ์ใคร่กับใครมั่วๆหรอกนะ...ถึงจะแก้ผ้าอ้าให้อยู่ตรงหน้าก็เถอะ!” เขากวาดตามองอย่างดูถูก คนถูกมองทนไม่ไหวปราดเข้าตบหน้าบึ้งตึงที่กำลังพ่นคำบริภาษฉาดใหญ่
                “คุณจะทิ้งปรางแบบนี้ไม่ได้นะชล!” เสียงโอดครวญแผ่วเบามาพร้อมกับน้ำตานองเป็นสายเรียกร่างสูงให้สะบัดหน้ากลับมามองคนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างนึกรังเกียจและขยะแขยงเป็นครั้งแรก เปรมยุตาที่เคยงดงามตรึงตราตรึงใจจนทำให้ผู้ชายสองคนห้ำหั่นกันได้ตายไปแล้วจริงๆ ตายไปพร้อมกับก้อนเลือดอันเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของเขาที่หล่อนไม่ต้องการ
                นัยน์ตาสีเหล็กทอดมองร่างระหงที่นั่งห่อไหล่สะอื้นตัวโยน ความเวทนาบังเกิดขึ้นมาวูบหนึ่งด้วยไม่นึกว่าหล่อนจะมีสภาพไม่ต่างไปจากเด็กสาวไร้วุฒิภาวะทั้งปวงที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการแม้ยอมแลกกระทั่งศักดิ์ศรีความเป็นคน
                “ผมไม่เคยทิ้งคุณ อย่าใช้คำว่าทิ้ง...เพราะคำนี้มันใช้สำหรับคนที่มีความผูกพันกันลึกซึ้ง แต่ว่าเราไม่มีอะไร ’ผูก’ กันไว้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ” น้ำเสียงเยือกเย็นที่ตวาดกลับมาเต็มไปด้วยโทสะและความผิดหวังรุนแรง มือหนากำหมัดแน่นจนปวดข้อหนึบเพื่อข่มกลั้นไม่ให้มันตวัดไปทำร้ายคนตรงหน้าจนได้ชื่อว่า ‘หน้าตัวเมีย ทำร้ายผู้หญิง!’
                “แล้วไอ้ที่เรานอนด้วยกันเมื่อมันคืออะไร!?”
                “แล้วยังไง? ผมต้องยอมรับผู้หญิงที่นอนด้วยเป็นเมียทุกคนงั้นเหรอ? วัน ไนท์ สแตนด์ คือคำจำกัดความที่เหมาะที่สุดสำหรับเรื่องที่คุณ ‘ตั้งใจ’ ให้เกิดขึ้น”
                “เลว!”
                เปรมยุตามองตามร่างสูงที่เดินไปล้วงอะไรบางอย่างในกระเป๋า อึดใจต่อมาธนบัตรจำนวนหนึ่งถูกวางลงบนเตียงข้างๆตัว หญิงสาวที่มองมันอึ้งๆและเสียใจที่เขาตีราคาค่าตัวหล่อนเสมือนหญิงบริการ
                “จะบอกให้ว่า...ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยจะหยาบคายกับผู้หญิงได้เท่านี้มาก่อน คุณเป็นคนแรกนะ...ที่รับได้เกียรตินี้” น้ำเสียงเยือกเย็นบาดลึกลงไปในโสตประสาทและผ่าเปรี้ยงลงกลางหัวใจของคนฟัง มือสั่นระริกค่อยๆหยิบธนบัตรปึกนั้นเหวี่ยงกระจายขึ้นไปในอากาศราวกับสิ่งของไร้ค่า ชลธีไม่ว่าอะไรนอกจากรีบออกไปจากห้องนั้น ถ้าคิดไม่ผิด...เปรมยุตาจะต้องทำให้เรื่องนี้รู้ถึงหูแทนดาวแน่นอนซึ่งเขาจะไม่มีวันให้แผนการของหล่อนสำเร็จได้โดยง่าย
                คนเรา...หากไม่ยอมทำใจยอมรับความจริงก็ต้องจมปลักอยู่ในห้วงกิเลสที่รังแต่จะฉุดจิตใจให้ใฝ่ต่ำได้แต่คิดแค้นและหาทางช่วงชิงสิ่งที่ตนไม่มีวันได้ครอบครองโดยไม่ไตร่ตรองถึงผลลัพธ์ว่ามันอาจจะไม่เป็นอย่างที่หวังก็ได้
               
                อชิตะถึงกับต้องขยับแว่นตาสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้นอกเวลาที่มาเยี่ยมเยียนยามดึกนี้คือผู้ที่ไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่ เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมาชลธีโทรมาขอให้รอด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนจนเขาเองก็ตกใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับใครสักคน ยิ่งชายหนุ่มตรงหน้าทำทางกระมิดกระเมี้ยนตะกุกตะกักก็ยิ่งทำให้แปลกใจหนักมาก
                “ขอบคุณที่อยู่รอนะหมอ แต่ผมมีเรื่องขอความช่วยเหลือด่วนจริงๆ....สำคัญมากด้วย” น้ำเสียงกระวนกระวายใจทำให้หมอหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างเป็นคำถามเร่งให้อยากรู้ว่าเป็นอะไรมาถึงมีอาการพิลึกขนาดนี้
                “ป่วยหรือครับ?” อชิตะถามกลับสั้นๆ ซึ่งถ้าหากเป็นเวลาปรกติคนฟังก็คงจะพาลว่าถูกพูดจากวนประสาทหรือหาเรื่องทำนองนั้น
                “เปล่าหรอก...แต่อยากมาขอคำปรึกษาแล้วก็ตรวจร่างกาย” ชลธีซับเหงื่อออกจากใบหน้าก่อนจะละล่ำละลักพูดต่อ
                “คือ...ผม เอ่อ...คุณหมอคงเคยมีแฟน แล้วเวลาที่คุณอยู่กับแฟนสองคนมันก็ต้องมีการจับมือกัน...มองตากัน” คำบอกเล่ายิ่งก่อกวนความสงสัยหนักให้คนที่กำลังพยายามจับใจความและแปลความหมายในเรื่องที่กำลังฟัง
                “เอาตรงๆเลยได้ไหมครับ? ผมเป็นหมอ...พูดกันตรงๆจะดีกว่า จะได้รักษาให้ถูกโรค”  พอหมอหนุ่มเปิดทางสะดวก ชลธีก็ไม่กระดากที่จะพูดต่อไป
                “คุณเคยนอนกับผู้หญิงไหม?” คำถามตรงๆที่ว่าทำเอาอชิตะสำลักน้ำที่กำลังดื่มจนเลอะใบหน้า ต้องถอดแว่นตาออกมาเช็ดกับเสื้อ
                “อ้อ...คิดว่าผมเป็นเกย์หรือไง? ถึงได้ถามแบบนี้”
                “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คือ...ที่ผมจะปรึกษาก็คือ ในกรณีที่เราไปมีความสัมพันธ์กับใครโดยที่ไม่รู้ตัวหรือไม่แน่ใจว่าได้ทำ ‘อะไร’ หรือเปล่า ทางการแพทย์นี่...สามารถตรวจสอบได้ไหม?” หมอหนุ่มได้ฟังก็ยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
                “อ้อ…ประสบ ‘อุบัติเหตุ’ มาหรือครับ?” อชิตะถามยิ้มๆอย่างเข้าใจเรื่องราว ชลธีพยักหน้าแทนคำตอบ
                “แล้วคุณเก็บหลักฐานมาหรือเปล่า?”
                “อืม...พอรู้ตัวก็รีบมานี่เลย แต่ขอร้องล่ะ...หมอตรวจคนเดียวได้ไหม? อย่าเรียกพยาบาลมาเลย...ผมอาย” ชลธีพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมายของคำว่า ‘หลักฐาน’ แล้วกระซิบกระซาบสารภาพความในใจ อชิตะไม่พูดอะไรแต่หยิบถุงมือยางมาสวม
                “ผิดคาดนะ...ผมคิดว่าคุณชลธีรอบคอบกับทุกเรื่องเสมอ แต่ทำไมถึงพลาดกับเรื่องแบบนี้ได้”
                “ที่ผ่านมาผมเองก็คิดอย่างหมอนี่แหละ...ถึงได้พลาดแล้วพลาดเล่าไง”
 
                รมย์นลินวางมือจากอาหารเย็นที่กำลังปรุงอยู่เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ดังแว่วมาจากหน้าบ้าน ไม่นานเสียงนั้นก็เงียบสนิท พอเห็นทียมภพยืนยิ้มโบกไม้โบกมืออยู่ตรงประตูรั้วก็รีบบอกให้แม่บ้านไปเปิดรับ ไม่ช้าเจ้าของรอยยิ้มรวยเสน่ห์ก็เดินหน้าบานเข้ามา ในมือมีช่อกุหลาบสีเหลืองช่อโต
                “ผมขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อมาหลายวัน มัวแต่ยุ่งเรื่องงานแสดงสินค้าที่สิงคโปร์” รมย์นลินรับช่อกุหลาบมากอดเอา ไว้ด้วยความดีใจ
                “วันก่อนน้องพลูมากินข้าวที่นี่ ดูเธอสดใสเหมือนเดิมแล้วนะคะ”   
                “ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ไม่งอแงเหมือนสองสามวันแรกตอนกลับจากระยองใหม่ๆ ผมเป็นห่วงน้องมากเลยรู้ไหม? ไหนจะคิดถึงคุณด้วย” เทียมภพกดจมูกโล่งสูดความหอมจากแก้มเนียนละไมเล่นเอาคนถูกกระทำเขินจัดจนแก้มเริ่มเปลี่ยนสี
                “ไปนั่งพักก่อนเถอะค่ะ วันนี้แฟงทำกับข้าวหลายอย่าง...กินด้วยกันนะคะ” รมย์นลินเอ่ยชวนแต่เทียมภพไม่ตอบกลับรวบเอวบางเข้ามากอดเสียแน่น
                “คิดถึงผมไหม? ผมน่ะ...คิดถึงเมียจะแย่” ชายหนุ่มชิดริมหูเล็ก สรรพนามที่เขาใช้เรียกทำให้ต้องสะดุ้งน้อยๆ
                “นี่...หยุดทำรุ่มร่ามนะคะ เดี๋ยวใครก็เห็นเข้าหรอก”
                “ไม่เห็นจะสน ใครอยากดูก็ออกมาเลย เดี๋ยวจะจูบโชว์กลางบ้าน” เขาแกล้งทำท่าว่าจะทำอย่างที่ว่าจริงๆเลยถูกหยิกหมับ
                “ถ้าไม่ยอมเข้าข้างในก็ยืนตรงนี้ก็แล้วกัน”
                “ถ้าอยากให้ปล่อยต้องบอกมาก่อนว่าคิดถึงผม”
                “ไม่เอา...จะมาบอกอะไรตรงนี้ แฟงไม่ได้อยู่คนเดียวนะ ส้มก็อยู่ เดี๋ยวพี่ชลก็กลับมาแล้ว”
                “ดีล่ะ...ไม่งั้นจะจูบตรงนี้จริงๆนะ” รมย์นลินรีบเบี่ยงตัวหลบริมฝีปากร้อนๆที่พยายามประกบเข้ามาให้ได้
                “ไม่เอานะ...คุณหมากอย่าดื้อสิคะ”
                “นับหนึ่งถึงสาม ไม่พูด...จูบจริงนะ จะจูบจนกว่าจะยอมพูด” เขาแกล้งตีหน้าขรึมทำท่าจริงจังเสียจนปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป
                “คิดถึงก็คิดถึง” พูดออกไปแล้วก็ต้องรู้ว่าเสียเปรียบเมื่อใบหน้าสำอางโน้มลงมาจุมพิตเบาๆที่หน้าผากและหอมแก้มแรงๆ
                “ขอบคุณครับ” เทียมภพยิ้มอย่างสมหวังและก่อนที่จะได้ก้าวเข้าบ้านชลธีก็โผล่มาพอดี ฝ่ายนั้นผิดสังเกตตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาแล้วเห็นรถคุ้นตาจอดขวางอยู่หน้าบ้าน พอเห็นว่าเจ้าของรถยืนคุยกับน้องสาวก็เดือดดาล คงจะมาหาเรื่องคนในบ้านตอนเขาไม่อยู่แน่ๆ
                “แกมาทำไม!?” เสียงตะคอกถามดังลั่น รมย์นลินตกใจจนทำช่อดอกไม้ตกพื้น
                “พี่ชลคะ คือ...คุณหมากแค่แวะมาหาน่ะค่ะ”
                “กลับไปได้แล้ว” ชลธีเดินไปบังน้องสาวไว้แล้วเอ่ยปากไล่แขกผู้มาเยือน
                “แกมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉัน?” เทียมภพถามกลับอย่างท้าทาย
                “ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ออกไปซะดีๆนะไอ้หมาก แกจะมาหาเรื่องอะไรน้องฉันอีก เรื่องทุกอย่างมันพังหมดเพราะแกไม่ใช่เหรอ?” คนพูดเมินหน้าไปจากคนที่ชังน้ำหน้าเป็นที่สุดจนสัญญากันไว้ว่าจะอาฆาตกันจนวันตาย เรื่องที่เพื่อนเคยรักคนนี้ก่อไว้มันรุนแรงเกินว่าจะทำใจให้รู้สึกยินดีและอยากต้อนรับขับสู้การมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้
                “พูดดีๆนะ…ใครหาเรื่องใคร? ฉันมาดีๆแกก็มาไล่ แล้วไอ้เรื่องที่ว่าพังน่ะ...มันก็เพราะแกทำตัวแกเองต่างหาก วัวสันหลังหวะ...ไม่ต้องพูดไปใครเขาก็รู้” เทียมภพไม่ยอมแพ้ ชลธีตรงเข้ากระชากคอเสื้อลากอีกฝ่ายออกไปจนเกือบถึงประตูรั้ว
                “พี่ชล! อย่าเพิ่งมีเรื่องกันเลยนะคะ คุยกันดีๆไม่ได้เหรอ” รมย์นลินพยายามขอร้องแต่ตอนนี้เลือดของสองหนุ่มกำลังเดือดปุดๆแล้ว
                “ป่วยการที่จะมานั่งสีซอ กูบอกให้มึงกลับไปไง!” ชลธีพยายามผลักอีกฝ่ายให้ออกไปจากบ้านแต่เทียมภพก็ฝืนตัวไว้โดยการดึงทึ้งกิ่งไม้ต้นเตี้ยที่อยู่ใกล้มือเป็นที่ยึดเหนี่ยว ทั้งคู่ก็เลยอยู่ในสภาพยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น
                “เอ๊ะ!...ไอ้นี่ กูจะมาหาเมียกูมันผิดตรงไหนวะ!?” ด้วยความโมโหทำให้หลุดปากออกไป ผลก็คือทั้งหมดยืนอึ้งไปตามๆกัน คนที่อึ้งที่สุดเห็นจะไม่พ้นชลธีที่เหงื่อกาฬแตกพลั่ก มือเท้าเย็นเฉียบ
                “มึงว่าไงนะ?” เขาแค่นเสียงถามอีกครั้งราวกับต้องการจะย้ำให้แน่ใจว่าสิ่งได้ยินเมื่อกี้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น
                “กูบอกว่า…กูมาหา ‘เมีย’ เพราะงั้นมึงอย่าเสือก!” เทียมภพเดินเข้าไปหารมย์นลินพลางบีบมือเย็นชื้นเอาไว้แน่น
                “แฟง! บอกพี่สิว่า…ไอ้หมากมันปากหมาไปเอง” เขาถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบเฉย แต่รมย์นลินรู้ดี
ว่านี่คือโทสะขั้นสูงสุด
                “แฟงขอโทษค่ะพี่ชล แฟงไม่ได้คิดจะปิดบังเลยนะคะ แต่ยังไม่พร้อมที่จะบอกทั้งคุณแม่และพี่ชล” เสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาร่วงเผาะขณะประนมมือไหว้พี่ชาย ชลธีขบกรามจนเป็นสันนูน ตกใจที่สุดเมื่อได้รับรู้ความเป็นจริงที่ว่ารมย์นลิน...น้องสาวของเขาเป็นของเทียมภพไปแล้วจริงๆ จะมีอะไรอื่นไม่ได้นอกจากฝ่ายนั้นต้องการแก้แค้นที่ตนไปยุ่มย่ามกับแทนดาวก็เลยแก้แค้นโดยการรวบรัดรมย์นลินด้วยวิธีชั่วช้า
                “ไอ้ระยำหมา! ไอ้เลวจนนรกปฏิเสธ!” เสียงด่าตวาดก้องจนเทียมภพเองยังตกใจ
                “แต่ฉันยินดีที่จะรับผิดชอบแฟง...แกไม่ต้องห่วงหรอก”
                “แกจะไม่มีวันได้ทำแบบนั้น ไอ้หมากเน่า!” ชลธีเดินอาดๆกลับเข้าไปในบ้าน
                “คุณหมากกลับไปก่อนเถอะค่ะ เชื่อแฟงนะคะ...กลับไปก่อน” รมย์นลินรีบหันมาบอกเทียมภพด้วยอาการร้อนรน
                “ไม่! ผมจะยืนยันให้ไอ้พี่คุณมันรู้ว่าผมจริงใจกับคุณ ผมกะมันน่าจะคุยกันได้นะ” เทียมภพบีบมือหญิงสาวอย่างให้กำลังใจ
                “คุยไม่ได้หรอกค่ะ...ตอนนี้น่ะ พี่ชลกำลังโกรธมาก คุณหมากกลับเถอะ...นะคะ แล้วแฟงจะโทรไปหาค่ะ” รมย์นลินขอร้องทั้งน้ำตาแต่เทียมภพยังไม่ขยับเขยื้อนและไม่กี่นาทีต่อมาชลธีก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้มาคนเดียวแต่มีวัตถุสีดำมะเมื่อมติดมือมาด้วย
                “กรี๊ด!...ไม่นะพี่ชล! อย่าทำเลยค่ะ...แฟงขอร้อง” รมย์นลินปราดเข้าไปหาพี่ชายแต่ชลธีกลับยึดมือน้องสาวเอาไว้แน่น
                “แฟง...พี่กับแม่เลี้ยงเรามา ทะนุถนอมไม่ให้ใครมาทำหยามหยาบ มันทำกับพี่...พี่ไม่ว่า แต่นี่มันทำกับแฟง...ให้อภัยไม่ได้!” สายตาเลือดเย็นจ้องเขม็งไปที่เหยื่ออย่างอาฆาตแค้น
                “ได้!...ถ้ามึงคิดจะเล่นกูถึงตายก็เชิญ แล้วกูก็จะเป็นผีมาหลอกมึง” เทียมภพยืดอกท้าทายอย่างไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
                “มาเลย...กูไม่กลัวผี” ชลธีเล็งปืนในมือไปยังบุรุษตรงหน้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนรัก แต่สิ่งที่เขาได้รับจากอดีตเพื่อนคนนี้เลวร้ายเกินว่าที่จะยอมได้อีก เทียมภพทำลายตัวแทนความรักที่มอบให้แทนดาวไม่พอ...แต่ยังทำลายน้องสาวคนเดียวที่เขารักที่สุดอีกคนหนึ่งด้วย
                “พี่ชลอย่า!” รมย์นลินกรีดร้อง พยายามสะบัดให้หลุดจากการจับกุมของพี่ชายแต่ก็ไม่เป็นผล เทียมภพมองสตรีอันเป็นที่รักอย่างอาลัยด้วยรู้ตัวว่าไม่รอดแล้วคราวนี้ ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆพร้อมกับเปล่งเสียงตะโกนประโยคสุดท้ายอันหนักแน่นมั่นคง
                “กูรักน้องมึง!”
                เปรี้ยง!!!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา