ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) ตอนที่ 30 ตัดใจหรือไม่ถอย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 30 ตัดใจหรือไม่ถอย

 

                รมย์นลินเห็นพี่ชายตัวดีประคองตัวลูกศิษย์สาวกลับมาที่เรือก็แทบจะเต้นผาง ชลธีมีแผนร้ายลึกเกินหยั่งถึงจริงๆ ถ้าแทนดาวจะตบเอาสักฉาดล่ะก็เห็นจะสมควร ไอ้ที่ยืนกรานไม่ยอมมาด้วยทีแรกทั้งๆที่คะยั้นคะยอแทบจะลงไปกราบที่แท้ก็แอบไปแปลงร่างเป็นฉลามหนุ่มแอบไปฉกตัวลูกปลาใบพลู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่ชายพาลูกปลาน้อยตัวนี้ไปทำอะไรมาหน้าตาแดงก่ำขนาดนั้น แถมเจ้าฉลามเฒ่านี่ก็ตาเยิ้มเชียว

                “รับน้องพลูขึ้นไปทีสิแฟง พี่เห็นเธอว่ายออกไปไกลเลยไปตามมาน่ะ” ฉลามเฒ่าบอกน้องสาวเสียงขรึมก่อนจะบอกเจ้าลูกปลาน้อยที่ยังหน้าแดงฉ่ำอย่างกับถูกแดดเผามา

                “ทีหลังอย่าทำอย่างนี้นะครับ…มันอันตรายรู้ไหม?” แทนดาวทั้งอายทั้งแค้นแต่ก็ทำได้เพียงส่งสายตาคาดโทษ คนอะไร...ร้ายหน้าตายที่สุดเลย

                เทียมภพที่เพิ่งมาเห็นเหตุการณ์รู้ว่าน้องสาวว่ายแตกกลุ่มออกไปก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยิ่งรู้ว่าใครเป็นคนพากลับมาก็ยิ่งพื้นเสีย จะกระโดดตามไปไอ้เจ้าฉลามเฒ่ากดน้ำตามแผนที่วางไว้ก็ทำไม่ได้เพราะถูกสองสาวยึดตัวไว้แน่นหนา

                “หาเรื่องไม่เว้นแต่ละวันเลยนะยัยพลู! พี่ย้ำนักย้ำหนาแล้วใช่ไหมว่าอย่าว่ายไปไกลจากพี่ ถ้าถูกน้ำพัดหายไปจะว่ายังไงฮึ? ตามใจพามาด้วยแล้วทำให้เป็นห่วงแบบนี้คราวหลังจะไม่ยอมอีกแล้ว” เขาเอ็ดน้องสาวเสียงดังจนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆหันมามอง พอคนเกิดทีหลังหน้าจ๋อยสนิทก็หันมาขวางเอากับรมย์นลินต่อไม่ต้องเว้นวรรค

“นี่คุณคิดว่าคุณกำลังทำอะไร? ถ้าน้องผมเป็นอะไรไปใครจะผิดชอบ นี่เป็นแผนของไอ้พี่คุณใช่ไหม!?”

“พี่หมาก...ใจเย็นๆสิคะ น้องพลูไม่ได้รับอันตรายตรงไหนเลย พี่ชลเขาก็แค่...แค่เห็นว่าน้องพลูแยกตัวไปจากกลุ่มก็เลยพามาส่งเองค่ะ” แทนดาวรีบแก้ตัวแทน

                “แล้วเราจำไม่ได้เหรอว่าเคยจมน้ำเกือบตายไปแล้วครั้งนึง...ไม่เข็ดหรือไงฮึ?” แทนดาวหุบปากสนิท ก้มหน้าก้มตารับฟังคำเทศนา แต่แปลก...ที่รู้สึกว่าทุกคำบ่นของพี่ชายเพียงแค่กระทบหูซ้ายแล้วลอดผ่านหูขวาไปโดยไม่ได้กลั่นกรองอะไรเอาไว้เลย มือน้อยลูบแหวนเพชรสีน้ำเงินเข้มที่ยังคงส่งประกายวาววามด้วยความรู้สึกหวานซ่านจนอารมณ์เกรี้ยวกราดของคนเกิดก่อนไม่สามารถพาให้ขุ่นข้องใจตามไปด้วยได้เลย

                เทียมภพไม่ยอมให้น้องสาวลงไปดำน้ำเล่นอีกแล้วยังเร่งให้รมย์นลินเรียกเรือสปีดโบ๊ทมารับกลับฝั่ง เขาไม่อาจทนกังวลว่าน้องสาวคนเดียวจะเล่นซนอะไรไม่เข้าท่าอีก บวกกับอยากจะเอาเรื่องศัตรูที่บังอาจอาศัยทีเผลอมาว่ายเวียนใกล้ๆตัวน้องสาวสุดหวง

                “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วไปเจอพี่ที่ล็อบบี้ ห้ามแอบหนีไปเดินเตร่ที่ไหนนะ” เขาสั่งเสียงแข็ง รมย์นลินครุ่นคิดอย่างเป็นกังวลเพราะคนขี้โมโหประกาศกร้าวว่าจะตามมา ‘คิดค่าเสียหาย’ กับพี่ชาย

                “ส่วนคุณ...มานี่เลย” เทียมภพรอจนน้องสาวกลับเข้าบ้านพักเรียบร้อยแล้วก็ลากคนที่คิดว่ามีส่วนรู้เห็นให้ตามมาอีกทาง คนถูกลากกึ่งเดินกึ่งวิ่งตัวแทบปลิวตามแรงฉุดโดยไม่รู้ว่าคนบ้าคนนี้จะพาไปไหน

                “นี่ปล่อยได้แล้ว...ฉันเจ็บนะ!”

                “เดี๋ยวคุณจะเจ็บยิ่งกว่านี้ หลายครั้งแล้วนะที่คุณพาใบพลูไปเป็นเหยื่อให้ไอ้พี่ชายคุณ เห็นน้องผมเป็นอะไรฮึ?”

                “แล้วคุณล่ะคะ...เห็นฉันเป็นอะไร? ถึงได้คิดจะทำอะไรก็ได้ ถ้าพี่ชลทำกับน้องคุณอย่างนี้มั่งล่ะ...คุณจะรู้สึกยังไง?” รมย์นลินสะบัดตัวจนหลุดจากพันธนาการแต่ช้ากว่าชายหนุ่มที่คว้าจับตัวไว้ใหม่แล้วดันหลังให้พิงกับต้นไม้ใหญ่

                “มันต้องฆ่าผมให้ตายก่อนถึงจะทำยังงั้นกับยัยพลูได้ แต่ตอนนี้...ผมพอใจจะทำอย่างนี้กับคุณ” เทียมภพ

ก้มลงบดขยี้ริมฝีปากซีดอย่างแรง จุมพิตที่คงไม่มีใครปรารถนาเพราะเต็มไปด้วยความรุนแรงและหยาบคาย เนิ่นนานจนรมย์นลินต้องประท้วงอู้อี้อยู่ในลำคอ พอรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ

                เขาบอกแค่ว่า “พอใจที่จะทำแบบนี้” ความน้อยเนื้อต่ำใจก็วิ่งแล่นไปทั่ว เทียมภพยังไงก็คือเทียมภพ...ผู้ที่ไม่เคยจะใจดีกับหล่อนได้เกินชั่วโมง!

                “แฟง...คุณร้องไห้ทำไม?” คนใจร้ายผละริมฝีปากออกเมื่อรู้สึกถึงรสชาติเค็มๆของน้ำตา

                “ในสายของคุณ ฉันก็เป็นสิ่งของที่จะหยิบฉวยเอาง่ายๆเมื่อไหร่ก็ได้ใช่ไหม? งั้นก็เชิญเลยสิ...อยากจะทำอะไรก็ทำ ฉันเบื่อที่จะรบกับคุณ...ฉันเกลียดคุณ!”

                “ผม...ขอโทษ” เทียมภพอึ้งไปชั่วครู่ รู้สึกผิดเหลือเกินที่ทำให้หล่อนต้องร้องไห้ แขนแข็งแรงที่จับยึดมือทั้งสองข้างค่อยๆคลายออกหวังจะดึงรางสั่นสะท้านเข้ามากอดแนบอกแต่รมย์นลินรีบดันตัวเองออกมาแล้วตบหน้าหล่อเหลาฉาดใหญ่

              “แฟง!”

                “ถูกตบ...คุณเจ็บหรือเปล่าล่ะ? แต่นี่มันก็แค่เจ็บทางกาย ไอ้สิ่งที่คุณทำนั่นมันได้ฝังความชังลึกลงไปข้างในจนทำให้ฉันเจ็บอยู่ตลอดเวลา จะสงสารก็แต่น้องพลูที่มีพี่ชายใจแคบอย่างคุณ!”

                “นี่...” เทียมภพเถียงไม่ออกและไม่ทันที่จะคว้าหล่อนเอาไว้อีกครั้ง รมย์นลินก็วิ่งหนีจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคำผรุสวาทแสบสันที่ทำให้ต้องเก็บเอามาคิด

                เขาน่ะหรือ...เป็นคนใจแคบ?

 

                ชลธีเดินผิวปากกลับมาบ้านอย่างอารมณ์ดี ความหนักอกหนักใจรวมถึงความกังวลต่างๆนานามลายหายไปกับมวลน้ำทะเลหมดสิ้น จนบางครั้งก็แอบเข้าข้างตัวเองว่าการที่แทนดาวตอบรับสัมพันธ์เป็นอย่างดีแสดงว่าหล่อนเองก็ต้องมีใจให้บ้าง ที่สำคัญ...มิได้มีใจเอนเอียงให้อชิตะอย่างแน่นอน

                “อ้าวชล…ทำไมกลับมาเร็วจัง เสร็จเรื่องแล้วเหรอ?” คุณวารีร้องถามบุตรชายที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมา เมื่อเช้าเขาบอกก่อนออกจากบ้านว่าจะไป ‘ดูงาน’

                “ครับ...โทรสั่งงานทางนี้ไว้หลายวันแล้วก็เลยไม่มีอะไรให้จัดแจงมาก รู้สึกแปลกๆแฮะที่ต้องมาจัดงานวันเกิดให้ตัวเองเนี่ย อันที่จริง...แม่ต่างหากที่ต้องทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ผม” ชลธีกอดเอวมารดาอย่างประจบพลางจิ้มขนมปังหน้าหมูเข้าปากเคี้ยวหยับๆ

                “นั่นน่ะสิ...แม่ยังงงอยู่เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะจัดงานวันเกิด ทุกปีก็พากันไปกินข้าวกันสามคนแม่ลูก ปีนี้นึกอะไรกันล่ะ?” คุณวารีถามต่อด้วยความแปลกใจขณะสังเกตสีหน้าที่ดูจะเบิกบานเป็นพิเศษ

                “เอ๊ะ...จะเอาขนมไปให้ใครเหรอครับ วันนี้มีญาติมหาแม่เหรอ?”ชลธีไม่อยากตอบคำถามเลยเสมองดูแม่บ้านลำเลียงบรรดาขนมของว่างและเครื่องดื่มไปยังระเบียงด้านนอก

                “ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกจ้ะ...คุณหมออชิตะนั่นไง” คำเฉลยทำให้ชลธีขมวดคิ้วมุ่น ความสบายอกสบายใจที่แผ่กำจายอยู่แทบจะวับหายไปแล้วแทนที่ด้วยความร้อนรุ่ม

                “เขามาทำไม?” โดยที่ไม่รอคำตอบชายหนุ่มก็เดินตามแม่บ้านออกไปยังระเบียงด้านนอก อชิตะกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างในโทรศัพท์มือถือแต่ก็รู้ว่ามีใครอื่นที่ไม่ใช่แม่บ้านเดินมาด้วย เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยมารยาทอันพึงควร ชลธีเพียงแค่พยักหน้าให้เล็กน้อยขณะมองผู้มาเยือนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม จำได้เลาๆว่าเมื่อเช้าเห็นหมอหนุ่มทำท่าจะลงเรือไป

                “แปลกนะครับ...ผมคิดว่าคุณหมอไปดูปะการังกับคนอื่นๆเสียอีก”

                “ตอนแรกก็คิดว่าจะไปด้วย แต่บังเอิญจำได้ว่าเมื่อวานคุณน้าวารีชวนมาดื่มกาแฟที่บ้านท่าน ก็เลยเปลี่ยนใจมานี่แทน บ้านคุณชลน่าอยู่จังนะครับ...อากาศดี” หมอหนุ่มตอบสบายๆด้วยมาดเนิร์ดแบบที่เห็นจนชินตาแต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนฟังหายจากความแคลงใจ

                “งั้นหรือ? ไอ้ผมก็นึกว่าคุณหมอจะอยากไปดูกุ้งดูปลาหาแพลงตอน ไม่น่าจะพลาดนะครับ...งานแฝงแบบนี้” คำพูดกระทบกระเทียบที่ออกจากปากเจ้าของบ้านมิได้ทำให้หมอหนุ่มหลุดจากอาการนิ่งขรึมแต่อย่างใด

                “บางทีคนเราก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ตาม ‘อะไรๆ’ ไปเสียทุกอย่างหรอกครับ ผมว่ามันเหนื่อย...สู้รอเวลาและโอกาสให้มันตามเราบ้างจะดีกว่า” คำพูดแกมขันแฝงความหมายเป็นนัยบางอย่างยิ่งเพิ่มความเคลือบแคลงใจให้ชลธีอยู่ไม่น้อย

                “แต่บางครั้งการอยู่เฉยๆนั่งรอโอกาสอย่างเดียว...ก็อาจจะเป็นการรอเงิบได้เหมือนกันนะครับ ยิ่งของ ‘อะไร’ ที่เราหมายปองและอยากได้มากๆด้วยแล้ว ถ้าไม่รีบ...จะเสียทีให้คนที่...มันเฝ้า...มันแอบ ฉกไปง่ายๆ”

                “นั่นไม่ใช่วิธีของผม คุณชลธีอาจจะเคยชินกับการใช้กลยุทธ์แบบพ่อค้าที่ฟาดฟันดะกับทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ แต่ผมไม่...” อชิตะขยับแว่นตากรอบดำขณะที่ตอบโต้ด้วยเสียงเยือกเย็น ชลธีมองอีกฝ่ายอย่างสังเกตปฏิกิริยา

                “ถ้าผมหมายปองผู้หญิงคนหนึ่ง....ผมจะปฏิบัติและรอคอยจนกว่าเธอจะรักผมอย่างซึมลึกโดยไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมรวบรัดให้เธอหันมาสนใจ” สายตาของอชิตะจ้องมองคู่สนทนาด้วยแววแข็งกร้าวขัดกับบุคลิกสุภาพอ่อนโยน

                “ดอกไม้แห่งพฤษภาจะเบ่งบานอยู่ในสวนใต้ท้องฟ้าอย่างอิสระ ไม่ใช่ถูกตีรั้วล้อมตั้งแต่เพิ่งแตกยอดอ่อนเพราะความเห็นแก่ตัวของคนบางคนที่รอคอยเวลาเพียงแค่จะเด็ดกิ่งมาปักแจกันพอดอกเริ่มแย้มกลีบ!”

                ‘เพล้ง!’

                ถ้วยกาแฟตกแตกกระจายบนพื้นปูกระเบื้องจนของเหลวสีน้ำตาลแก่ไหลนองไปตามพื้น ชลธีกำมือที่เพิ่งปัดมันตกแน่นจนเล็บจิกลงในเนื้อ พายุความโกรธที่ตั้งเค้าโหมกระหน่ำพัดพาความสำราญใจจนปลิดปลิว บุรุษสวมแว่นที่ยืนประจันหน้าอยู่มิใช่เพียงหมอรักษาคนหรือศัตรูหัวใจเท่านั้นแต่ยังเป็นดังเงามืดมฤตยูที่ตามติดตัวแทบจะทุกฝีก้าว

                ดอกไม้แห่งพฤษภาเป็นคำจำกัดความที่เขาใช้นิยามสตรีเจ้าของนัยน์ตาสวยดุจท้องฟ้ายามค่ำคืน เป็นเรื่องที่รู้เพียงแค่สองคนระหว่างตนกับแทนดาว หากจะคิดไปอีกทาง....การมาที่นี่ของอชิตะมิใคร่ชอบมาพากลเสียแล้ว

                “เสียดายจริง...ผมอุตส่าห์ตั้งใจมาดื่มกาแฟที่นี่ แต่ดูเหมือน...คุณชลจะหวงไปเสียทุกอย่าง กระทั่งกาแฟแค่แก้วเดียว” หมอหนุ่มพูดต่ออย่างไม่สนใจกับอาการกราดเกรี้ยวของอีกฝ่ายนัก

                “ใช่! อะไรที่เป็น‘ของผม’…หวงทุกอย่าง”

                “ครับ...ผมเข้าใจ งั้นคงต้องไปหาที่ดื่มกาแฟใหม่เสียแล้ว อ้อ...วันนี้ผมคงไม่อยู่ร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำด้วยนะ พอพวกนั้นกลับมาก็จะกลับกรุงเทพกันเลย พรุ่งนี้ต้องออกตรวจแต่เช้า” อชิตะก้มหัวให้เป็นเชิงกล่าวลาแต่พอจะเดินก้าวพ้นประตูออกไปก็หยุดกระซิบกับชลธีที่กัดปากตัวเองจนห้อเลือดเพื่อระงับความเดือดดาล

                “สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

                “รู้ได้ไงว่าวันนี้เป็นวันเกิดผม?” ชลธีกัดฟันกรอดที่ฝ่ายตรงข้ามรู้ความเคลื่อนไหวของตนแทบจะทุกอย่าง

                “จะยากอะไร? ผมเป็นคนช่วยกรอกประวัติคนไข้ตอนพาคุณไปเย็บแผล พนักงานก็พูดกันว่าวันนี้มีงานเลี้ยง ก็เลี้ยงอะไรได้ล่ะครับ...ถ้าวันนี้ไม่ตรงวันเกิดคุณ” อชิตะพูดเรื่อยๆขณะที่คนฟังพยายามสูดหายใจลึกๆเพื่อข่มอารมณ์

                “เป็นไงครับ? ทีนี้เซอร์ไพรส์หรือยัง?”

                “ครับ...ขอบคุณที่ช่วยทำให้วันเกิดปีนี้ของผมมีสีสัน น่าเสียดายที่หมอรีบกลับก่อน ไม่อย่างนั้นจะได้ร่วมฉลองความสมหวังของผมและความพ่ายแพ้ของคุณหมอไปพร้อมๆกัน” ประกายกร้าวจากดวงตาสีเหล็กจับจ้องดวงตาราบเรียบราวทะเลนิ่งหลังกรอบแว่น แวบหนึ่งชลธีเห็นความสงสัยอยู่ในดวงตาเยือกเย็นมันทำให้มั่นใจว่าคราวนี้อชิตะไม่รู้แน่ๆว่าเขากำลังจะทำอะไร

 

                “น้องพลู...เสร็จหรือยังคะ? จะไปพร้อมพี่หรือจะตามไปทีหลังกับสีผึ้ง” เทียมภพเดินมาเคาะประตูเรียกน้องสาว ไปรับประทานอาหารเย็น

                “หายโกรธน้องพลูแล้วเหรอคะ?” แทนดาวร้องถามทันทีที่เห็นหน้า คนเกิดก่อนยิ้มบางๆทำให้คนตัวเล็กใจชื้นขึ้นลองยิ้มได้แบบนี้แสดงว่าหายโกรธแล้วแน่

“ยัง...แต่ยอมให้ก่อน” พี่ชายตอบเสียงเข้มแต่หน้าตาไม่ได้ดูบูดบึ้งสักนิด วันนี้น้องสาวของเขาอยู่ในชุดสีฟ้าจางๆตัวสวย บนตัวไม่มีเครื่องประดับใดๆนอกจาก ‘แหวน’ เพียงวงเดียว ซึ่งเจ้าตัวพยายามซ่อนไม่ให้ใครเห็น ไม่กล้าทำนายอนาคตว่าถ้าพี่ชายเห็นแล้วจะว่าอย่างไร

                “วันนี้น้องสาวพี่สวยอีกแล้ว” แทนดาวยิ้มแก้มปริกับคำชมและดูจะยิ้มนานกว่าทุกครั้ง คงเป็นเพราะวันนี้พบเรื่องที่ทำให้ประทับใจมากจนกดเก็บไว้ไม่มิด

                “พี่หมากก็ล้อ...หล่อค่ะ”

                “ไม่ต้องมาปากหวานเลยนะ วันนี้ทำให้พี่เป็นห่วงแทบแย่”

                “แต่น้องพลูก็ไม่เป็นไรนี่คะ น่านะ...อย่าโกรธน้องพลูอีกเลยนะคะ” คนตัวเล็กโผเข้ากอดคอออดอ้อนจนคนที่อาละวาดแทบเป็นแทบตายอยู่ครึ่งค่อนวันอดใจอ่อนไม่ได้

                “ดื้อแบบนี้ ซนแบบนี้...ใครเขาจะอยากปล่อยเรา เฮ้อ...ห้ามมีเรื่องแบบวันนี้อีกนะ”

                “ค่า....เข้าใจแล้วค่ะ ว่าแต่ไปกันได้หรือยังคะ? น้องพลูหิวจนตาลายแล้ว”

                “หืม...มานี่ก่อนสิ” เทียมภพโอบเอวน้องสาวเข้ามาจนชิดแล้วหอมแก้มทั้งสองข้างดังฟอด

                “พี่หมากเนี่ย...มาหอมเอาง่ายๆแบบนี้ได้ไง หนูเป็นสาวเป็นแส้นะ”

                “ชิ...หมั่นไส้ สาวเสิวอะไรกัน เห็นยังร้องไห้ขี้มูกโป่ง พอไม่ได้ดั่งใจก็เอาแต่กรี๊ดๆ สาวๆเขาไม่ทำแบบนั้นกันหรอก” เขาว่าน้องสาวอย่างเอ็นดูแล้วสองพี่น้องก็พากันเดินไปสมทบกับปลายเดือนที่ยืนรออยู่ไม่ไกล

                ตอนแรกที่พนักงานบอกให้สามศรีพี่น้องมารับประทานอาหารเย็นตรงหน้าหาดก็นึกว่าจะมาผิดงานเสียอีก เพราะบริเวณที่จัดโต๊ะไว้ประดับด้วยหลอดไฟราวสีขาวนวลตาขึงโยงเป็นรูปโดมขนาดใหญ่ โต๊ะกลมประมาณสิบตัวปูด้วยผ้าสีน้ำเงินส่วนเก้าอี้ทุกตัวสวมปลอกสีขาว ตรงกลางโต๊ะมีแก้วปากกว้างบรรจุเทียนหอมวางอยู่ข้างใน รอบๆจุดโคมที่ใช้ไต้แทนหลอดไฟนีออน ส่วนจุดที่เน้นให้สวยงามเป็นพิเศษคงจะเป็นเวทีที่ทำยกพื้นไม่สูงนัก มีเปียโนหลังเล็กสีดำตั้งอยู่

                “หนอย...ไอ้พวกนี้” เทียมภพสังเกตว่ามีหนุ่มทั้งไทยทั้งฝรั่งหันมามองน้องสาวทั้งสองคนกันเหลียวหลังคอแทบหัก ไม่ได้เกรงใจเขาซึ่งเดินโอบบ่าประกาศสิทธิ์ว่าพวกเธอเป็นน้องข้าใครอย่าแตะ

                “น่าจะจับมาควักลูกกะตา มองห่าไรกันอยู่ได้...รู้แล้วเว้ยว่าน้องกูสวย” เขาบ่นพึมพำพลางเลื่อนเข้าอี้ให้สองสาวนั่งลงตรงโต๊ะที่เกือบจะติดขอบเวที แทนดาวมองไปที่เปียโนไม่วางตา อยากรู้ว่าคืนนี้จะมีนักดนตรีที่ไหนมาเล่น

                “เมื่อสักพักใหญ่ผึ้งไปส่งพวกคุณหมอมาค่ะ น่าเสียดายนะคะ...น่าจะอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน น้องพลูเลยเหงาแย่เลย” ปลายเดือนเกริ่นเรื่องที่เพิ่งบังเอิญไปพบอชิตะที่กำลังจะกลับพอดี อยากรู้ว่าน้องสาวจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

                “พูดะไรน่ะสีผึ้ง? หมอนั่นกลับไปน่ะดีแล้ว…พี่จะได้เปิบข้าวลื่นคอหน่อย อยู่ด้วยแล้วเหมือนมีอะไรมาขวางคอกลืนข้าวไม่ค่อยจะลง อ้อ...ยังมีอีกตัว วันนี้หายหัวไปเลยหาไม่เจอ สงสัยไอ้ชลมันคงกลัวจะโดนพี่กระทืบจนไส้หดเลยไม่กล้าโผล่มาให้เห็นหน้า” เทียมภพกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วสะกิดสั่งเบียร์กับบริกรที่กำลังจุดเทียนหอมในโคมแก้ว ตอนนี้เองที่แทนดาวได้สังเกตดีๆว่าในเทียนหอมในแก้วทุกใบที่จัดวางอยู่กลางโต๊ะเป็นรูปหัวใจสีน้ำเงิน!

                นัยน์ตาคู่สวยหลุบตาลงมองดูแหวนเพชรที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายที่พยายามแอบซ่อนให้พ้นจากสายตาทุกคนโดยเฉพาะพี่ชาย ในใจก็ลุ้นอย่างแรงว่าชลธีจะหาวิธีอธิบายที่มาของแหวนวงนี้กับพี่ชายอย่างไรโดยที่บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ ให้ขุ่น

                “พี่หมากก็มองคนแง่ลบอยู่เรื่อย นี่ตกลงว่าทำบุญคราวนี้ได้บุญหรือบาปกันแน่? คุณชลอีก...ไม่ใช่เขาหรือที่ทำให้ทีมเราชนะ ได้ทั้งถ้วยรางวัลได้ทั้งลงสัมภาษณ์กับโฆษณานิตยสารของกระทรวงฟรีอีก” ปลายเดือนเถียงพี่ชายอย่างอิดหนาระอาใจเต็มกำลัง ส่วนแทนดาวรีบก้มหน้าเพราะกลัวว่าจะทำปฏิกิริยากับความขัดเขินจนแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็มิใช่ชลธีคนนี้หรือ...ที่หล่อนต้องเสียจูบแรกให้กับชัยชนะครั้งนี้

                “โธ่! ฟลุ๊คต่างหากล่ะ เอาจริงๆนะ...หลุมพาร์สามง่ายขนาดนั้นถ้าพี่ตั้งสมาธิให้ดีอีกนิดเดียวก็โฮลอินวันได้เหมือนกันล่ะ”

                “เหรอคะ? ผึ้งจำได้ว่าหลุมนั้นพี่หมากเกือบจะลากโบกี้แล้วนะ” คำยอกย้อนของน้องสาวคนรองทำเอาพูดไม่ออก

                “แหม...เล่นเอาบุญเอากุศล พี่ก็เลยไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่” เทียมภพเกทับอย่างกลัวเสียหน้าแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าตั้งแต่เล่นกีฬาชนิดนี้มาเกือบสิบปียังไม่เคยตีโฮลอินวันได้สักครั้ง ผิดกับคู่อาฆาตที่พอลองเทียบสถิติแล้วทำได้ตั้งหกครั้งรวมเมื่อวานนี้ด้วย

                “น้อง...มีเรด เลเบิ้ลไหม? ไม่มีเอารีก็ได้ โซดาโค้กด้วย” คนเสียหน้ารีบสั่งเครื่องดื่มดีกรีแรงมาเพิ่ม ปลายเดือนค้อนคว่ำที่พี่ชายไม่ยอมรับความจริงเสียที

                แขกของรีสอร์ทคนอื่นๆเริ่มทยอยมานั่งประจำโต๊ะ แทนดาวมองไปรอบๆก็อดจะแปลกใจไม่ได้ว่าคนที่มาร่วมรับประทานอาหารด้วยไม่ใช่กรุ๊ปทัวร์พวกเดียวกับที่ไปดำน้ำด้วยกัน ถ้าไม่นับรวมกลุ่มของอชิตะที่กลับไปแล้วก็ไม่คุ้นหน้าใครเลย ส่วนชาวต่างชาติที่ลงเรือลำเดียวกันก็รับประทานอาหารที่ระเบียงด้านข้างล็อบบี้ตามปกติไม่ได้ลงมาที่นี่ด้วย

                “เป็นไงบ้างคะน้องพลู ไปดำน้ำมาสนุกไหม?” คุณวารีนั่งลงข้างๆหญิงสาว สามพี่น้องทำความเคารพอย่างนอบน้อม ปลายเดือนรีบจัดแจงรินน้ำท่า

                “สนุกค่ะมากคุณอา น้ำทะเลสวยและใสแจ๋วทีเดียว ไม่แพ้ที่ตรังเลยค่ะ”

                “ห้องพักก็สวยค่ะ บริการก็ดี นอนหลับฟังเสียงคลื่นเพลินเลยทีเดียว” ปลายเดือนเลื่อนแก้วน้ำให้อย่างนุ่มนวล

                “แล้วนี่คุณอามาคนเดียวเหรอครับ? เออ...ยัยพลู ครูเราไม่มากินข้าวด้วยเหรอ?” เทียมภพไม่กล้าถามตรงๆเลยปัดไปให้น้องสาวซึ่งเจ้าตัวก็รู้ทันความคิดคนเกิดก่อน

                “เอ..น้องพลูก็นึกว่าพี่หมากชวนพี่แฟงแล้วเสียอีก เห็นวันนี้หนุงหนิงกันอยู่นี่” คำตอบของน้องสาวทำเอาคนเกิดก่อนแทบสำลักน้ำสีเหลืองแก่

                “แฟงจะมาพร้อมพี่เขาน่ะ พรุ่งนี้ก่อนกลับอาอยากชวนคุณหมากกับน้องๆแวะเข้าบ้านก่อน ตอนแรกอาจะจัดให้พักที่บ้านแล้วแต่เห็นว่าคุณอชิตะมาด้วย จะเชิญอยู่ฝั่งเดียวก็เกรงว่าจะน่าเกลียด”

                “ครับ...พวกเราเชคเอ้าท์แล้วจะเข้าไป” เทียมภพไม่กล้าปฏิเสธเพราะเกรงใจจึงตกปากรับคำ แทนดาวกับปลายเดือนหันมายิ้มให้กันโดยไม่ได้นัดนัดหมายแต่พอรู้สึกตัวก็เมินไปคนละทาง

                “แม่มาอยู่นี่เอง...สวัสดีครับ” เสียงชายคนหนึ่งทักทายคุณวารีอย่างสนิทสนมเรียกความสนใจจากสามพี่น้องให้หันไปมองพร้อมกัน นางรีบรับไหว้ชายคนนั้นกับเพื่อนๆอีกสี่ห้าคน ทั้งกลุ่มต่างเรียกนางว่า ‘แม่’ เหมือนกัน ทีแรกก็นึกว่าชลธีมีญาติเยอะแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคุณวารีจะแนะนำให้รู้จักแต่อย่างใดนอกจากพากลุ่มหนุ่มสาวไปหาที่นั่ง แทนดาวเพิ่งจะรู้สึกแปลกๆว่ามีหลายคนมองหล่อนด้วยอาการบางอย่าง บางคนซุบซิบกันแล้วชี้นิ้วอย่างเปิดเผย ไม่นานนักรมย์นลินก็ตามมานั่งด้วยทำให้เริ่มมีประกายความหวังว่าครูสาวน่าจะตอบข้อสงสัยของตนได้

                “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” เสียงทักทายเย็นชาทำให้คนถูกทักนั่งคอแข็ง พยายามกดเก็บความโกรธเอาไว้ขณะมองคนหน้าหล่อใจร้ายที่เพียรกระดกแก้วบรรจุน้ำสีอำพันอยู่ต่อเนื่อง

                “ต้องมาสิคะ...ถึงจะเบื่อหน้าคนบางคนเต็มทีแต่ก็ต้องมา” คำยอกย้อนทำให้มือหนากระแทกแก้วกับโต๊ะจนเกิดเสียง แทนดาวมองหน้าพี่ชายตาปริบๆ งุนงงอย่างมากที่คู่นี้เพิ่งจะผ่านช่วงเวลาหวานชื่นเมื่อตอนกลางวันแต่พอตกเย็นก็ตั้งแง่ใส่กันเสียแล้ว

                “คุณแฟงกินข้าวด้วยกันนะคะ” ปลายเดือนผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรรีบเชื้อเชิญแต่สายตาก็กวาดหาพี่ชายของผู้ร่วมโต๊ะไปเรื่อย

                “แล้วคุณชลไปไหนล่ะคะ? ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?”

                “มาแล้วค่ะ...แต่ตอนนี้น่าจะไปคุยกับเพื่อนๆค่ะ”                 “อย่าไปสนใจเลยสีผึ้ง กินข้าวของเราไป” เทียมภพปรามน้องสาวสายตาดุๆยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่มีแววบึ้งตึงไม่จาง

                “อ้อ...น้องพลูว่าจะถามพี่แฟง พวกนี้เป็นกรุ๊ปทัวร์มาจากไหนเหรอคะ? ดูเหมือนจะรู้จักคุณอากับพี่แฟงกันหมด” แทนดาวแอบถามถามครูสาวเบาๆในสิ่งที่ยังคงติดใจ

                “อ๋อ...เพื่อนๆพี่ชลจากกรุงเทพแล้วก็เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงแถวๆนี้ค่ะ ที่นั่งไกลๆโน่นเป็นพนักงานจากธารา พี่ชลยืมตัวมาช่วยจัดงานค่ะ” รมย์นลินตอบให้ได้ยินกันสองคนแล้วก็รับประทานอาหารต่อ แทนดาวยังคงไม่กระจ่างเท่าใดนักแต่ก็เลือกที่จะไม่ซักไซ้ต่อประกอบกับคุณวารีที่เดินกลับมานั่งสนทนาด้วยก็เลยเลิกสนใจอย่างอื่น เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนของหวานถูกยกเก็บไป เสียงเพลงจากเครื่องสเตอริโอชั้นดีเงียบสนิท

                “น้องพลูคะ...พร้อมหรือยัง?”

“พร้อมอะไรหรือคะ?” แทนดาววางแก้วเครื่องดื่มลงพลางเลิกคิ้วถามครูสาวด้วยความสงสัย

                “เห็นเปียโนตัวนั้นมั้ย? ยกมาจากบ้านพี่เองแหละ แต่ว่าขาดคนเล่น...น้องพลูอยากเล่นไหมคะ?”

                “เอาสิคะน้องพลู...อาไม่เคยฟังเพลงของน้องพลูเลย แฟงคุยว่าน้องพลูเก่งมาก อาขออนุญาตนะคะคุณหมาก” คุณวารีรีบสนับสนุน แทนดาวมองพี่ชายอย่างไม่แน่ใจแต่พอคนเกิดก่อนพยักหน้าแล้วยิ้มให้เป็นการอนุญาตก็รีบลิงโลดก้าวขึ้นเวที

                ร่างบางนั่งลงบนม้าไม้สีดำจากนั้นก็สูดหายใจลึกสามครั้งทำสมาธิ พอเลือกเพลงที่คิดว่าเข้ากับบรรยากาศได้แล้วก็วางนิ้วเรียวดังลำเทียนจรดลงบนคีย์อย่างชำนาญ รอยยิ้มงดงามบริสุทธิ์ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หันมามอง จังหวะหนึ่งเหลือบไปเห็นชลธีนั่งยิ้มอยู่ที่โต๊ะแถวสุดท้าย นาทีนั้นหัวใจก็เต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้

                บทเพลงจากปลายนิ้วบรรเลงไปเรื่อยๆในขณะที่แสงไฟทั้งหมดดับมืดลงเหลือเพียงจุดเล็กๆสาดสว่างไปยังร่างบางในชุดผ้าชีฟองพลิ้วสีฟ้าจาง หลายคนในที่นั้นคงจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนหวานและร่าเริงที่เปล่งประกายออกมาทางสีหน้าและรอยยิ้มสดใสดุจพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ความมีชีวิตชีวานั้นยังถ่ายทอดออกมาเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะ

                แทนดาวย่อตัวรับเสียงปรบมือเมื่อจบเพลง ทันใดนั้นเองไฟฟ้าทั่วบริเวณก็ดับมืดสนิทไม่เหลือจุดสว่างใดๆ เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงลมหวีดหวิวและคลื่นกระทบหาดทรายซ่าๆ นานเกือบห้านาทีไฟราวกีบคบไต้ก็สว่างขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนดาวรู้สึกถึงความอบอุ่นที่กอบกุมมือข้างหนึ่งอยู่ ชลธีบีบมือบางที่เริ่มชิ้นเหงื่อกระชับแน่นขึ้นขณะที่อีกมือโอบอุ้มกุหลาบสีแดงสดช่อโต

                “ขอบคุณครับ สำหรับบทเพลงพิเศษจากคนพิเศษที่มอบเป็นของขวัญให้ผมในคืนนี้” ชลธีกรอกเสียงนุ่มขรึมกับไมโครโฟน เสียงของเขาจึงดังก้องไปทั่วหาด แทนดาวเริ่มงงกับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไป

                “ขอบคุณครอบครัวกับเพื่อนๆ ที่ทำให้วันเกิดในปีนี้ของผมพิเศษมากๆ” เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่งเพื่อหันมาสบตาโตที่เต็มไปด้วยความกังขา

                “นอกจากทุกคนที่มาอวยพรวันเกิดให้ ผมยังได้รับของขวัญชิ้นพิเศษจากคู่หมั้น...แทนดาว ผมซาบซึ้งและประทับใจมากๆครับ” เสียงปรบมือดังขึ้นอีกแถมเสียงเป่าปากวี้ดวิ้วแซวมาจากบรรดาเพื่อนๆของเขา

                “ปล่อยนะคะ! พี่ชลพูดอะไรเนี่ย” แทนดาวพยายามแกะมือออกจากอุ้งมือหนาแต่กลับถูกบีบไว้แน่นกว่าเดิมโดยไม่ใส่ใจกับเสียงประท้วง

                “วันนี้เธอได้อวยพรวันเกิดให้ผมด้วยบทเพลงอันไพเราะ ผมก็เลยมีของขวัญให้เธอด้วยเหมือนกัน นอกจากแหวนวงนี้...” เขาจับมือข้างที่สวมแหวนเพชรรูปหัวใจสีน้ำเงินซึ่งเรียกเสียงฮือฮาดังขรม

                “โปรดรับไว้ด้วยนะครับ กุหลาบสามสิบสี่ดอกเท่าอายุของพี่ แทนความหมายว่า...ตราบชั่วอาขัยที่มี พี่จะ“รัก”น้องพลูคนเดียว” เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงโห่ร้องดังโหวกเหวกมาจากกองเชียร์ที่แต่คราวนี้ดังกว่าและเนิ่นนานกว่านัก แทนดาวอายม้วนจนแทบวิ่งลุยคลื่นจมหายไปในทะเลแต่สมองแค่สั่งการให้ยื่นมือไปรับรับช่อกุหลาบมากอดไว้ จมูกเย็นๆก็แตะแผ่วเบาที่ตรงนิ้วที่สวมแหวน เจ้าของมือบางรู้สึกว่าหน้าร้อนผะผ่าวขัดเขินจนอยากจะมุดทรายหนีที่เขาเล่นบอกรักท่ามกลางสักขีพยานหลายสิบคน

                “น้องพลูสวยจัง อยากจูบจังเลย” เสียงกระซิบกึ่งออดอ้อนดังแผ่วอยู่ข้างหูขณะที่เสียงปรบมือและโห่ร้องยังคงดังอยู่อย่างนั้น แทนดาวชักมือกลับช้าๆ ก้มลงมองดอกกุหลาบในมือซ่อนใบหน้าแดงจัด หัวใจเต้นอย่างกับรัวกลองเจียนจะทะลุออกมาดิ้นข้างนอกอยู่แล้ว

                “ถ้าโตกว่านี้อีกหน่อยล่ะก็...จะไม่เกรงใจหรอก” ปลายนิ้วอุ่นเขี่ยแก้มแดงปลั่งเล่น

                “ประหลาด...มีที่ไหนที่เจ้าของวันเกิดจัดงานให้ตัวเอง” แทนดาวพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้างุดอีก เสียงเปียโนดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นฝีมือของรมย์นลิน ชลธีจูงคนตัวเล็กเดินลงมาข้างล่างแล้วพาไปแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักอย่างเป็นทางการ

                “พี่ชลร้ายจริง…วันเกิดตัวเองก็ไม่บอก”

                “อ้าว...บอกแล้วจะสนุกเหรอ?”

                “ชิ...แล้วพูดอะไรก็ไม่รู้ บอกน้องพลูคนเดียวก็ได้ทำไมต้องประกาศลั่นขนาดนั้นด้วยล่ะ…อายจะแย่อยู่แล้ว” คนตัวเล็กกระเง้ากระงอด

               “อายทำไมกัน น้องพลูอายเหรอที่หมั้นกับคนอย่างพี่?”

                “ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย...ก็พี่ชลเล่นพูดต่อหน้าคนเยอะๆนี่นา”

                “อ้าว...ก็พี่ไม่ชอบหลบๆซ่อนๆนี่นา ทำแบบนี้น่ะดีแล้ว…ไอ้พวกหนุ่มๆที่มันคิดว่ายังพอมีหวังจะได้เลิกคิดซะที” น้ำเสียงที่เน้นคำว่า ‘ไอ้พวกหนุ่มๆ’ ฟังดูห้วนแต่ก็เดาไม่ยากว่าคนพูดตั้งใจพาดพิงถึงใคร

                “ยี๋...กันท่าคนอื่นหรือไง?”

                “ใช่...ก็พี่หวงนี่นา สวยๆแบบนี้หาได้ง่ายๆที่ไหนกัน” ชลธีหัวเราะเบาๆอย่างพอใจที่เห็นแก้มปลั่งยิ่งแดงเข้าไปอีก แขนแข็งแรงโอบเอวบางแนบแน่น

               “ปล่อยน้องกูได้แล้ว!” แทนดาวสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกกระชากออกจากอ้อมกอดอบอุ่น เทียมภพมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ทว่าแดงจัดจนเกือบม่วงซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าโกรธถึงขีดสุดแล้ว

                “แกนั่นแหละ...ปล่อยกานพลูได้แล้ว!” ชลธีตอบกลับเสียงเข้ม คำว่า ‘ปล่อย’ ของเขาอาจตีความได้สองอย่าง ทั้ง ‘ปล่อยมือ’ ตรงตัวกับ ‘ปล่อยจากกรง’ ที่กักขังหัวใจบริสุทธิ์ดวงนี้มาเนิ่นนาน

                “มึง!” เทียมภพชี้หน้ามือสั่นปากสั่น

                “กล้าทำแบบนี้ใช่มั้ย? กูบอกไว้เลยว่าคืนนี้ต้องมีคนตาย วันนี้จะเป็นวันเกิดปีสุดท้ายของมึง!” เทียมภพตะโกนก้องแล้วลากแขนน้องสาวออกไปจากตรงนั้นจนออกมาไกลสถานที่จัดเลี้ยงพอสมควร โกรธจนไม่รู้จะวัดกับอะไร รู้แต่ว่ายังไงวันนี้จะต้องฆ่าชลธีให้ได้

                “บอกพี่มาซิว่านี่มันอะไรกัน? ไปแอบยอมให้มันสวมแหวนตอนไหนฮึ?” เทียมภพตะคอกถาม นอกจากจะถูกหักหน้าอย่างไม่มีชิ้นดีแล้วยังรู้สึกผิดที่ให้การปกป้องดูแลน้องสาวไม่ดีจนถูกดึงตัวไปเป็นของเล่นทำเซอร์ไพรส์วันเกิดอัปยศนี่!

                “ก็...” ยังไม่ทันอธิบายพี่ชายก็ใส่ต่อ

                “ถอดออกเดี๋ยวนี้นะ!” น้ำเสียงวางอำนาจตวาดดังลั่นพร้อมกับชี้ไปที่แหวน

                “ไม่ค่ะ...นี่มันแหวนหมั้นของพลู” แทนดาวกลัวจนน้ำตาร่วงแล้วกุมนิ้วไว้ให้พ้นจากสายตาพี่ชาย

            “แทนดาว...พี่บอกให้เธอถอดแหวนออกเดี๋ยวนี้!”เขาย้ำอีกครั้งแต่แทนดาวยังคงส่ายหน้าและกำมือที่สวมแหวนไว้แน่นกว่าเดิม เทียมภพเม้มปากก่อนจะตัดสินใจกระชากมือข้างขวาของน้องสาวแล้วถอดแหวนออกจากนิ้ว แทนดาวร้องลั่นขณะที่พยายามดิ้นรนขัดขืนไม่ให้พี่ชายเอาแหวนไปได้

                “อย่าเอาแหวนไป ฮือ...” มือน้อยๆพยายามยื้อแย่งแต่ในที่สุดแหวนเพชรวงนั้นก็หลุดไปอยู่ในมือพี่ชายที่เดินเร็วๆไปยังชายหาดเบื้องหน้าแล้วปาแหวนออกไปสุดแรง เสียงคลื่นซัดซ่ากลืนกินหัวใจสีน้ำเงินจมไปในทะเลมืดมิด

                “กรี๊ด....ไม่!...” แทนดาวถลาไปขางหน้า เทียมภพรีบรั้งตัวน้องสาวไว้เมื่อเห็นทำท่าจะพุ่งลงทะเล

                “น้องพลู! หยุดเถอะ เชื่อพี่...ไอ้ชลมันไม่จริงใจกับเราหรอก”

                “พี่หมากใจร้าย! พลูเกลียดพี่หมากแล้ว...พี่หมากทำอย่างนี้ได้ยังไง” แทนดาวดิ้นไปมาให้หลุดจากพันธนาการของพี่ชาย เมื่อไม่อาจหลุดพ้นก็ทุบตีคนใจร้ายไม่ยั้ง ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย

                “ใบพลูจ๋า...พี่รักหนูนะถึงได้ทำแบบนี้ หนูอย่าไปหลงเชื่อแค่วัตถุกับคำพูดพล่อยๆเลย หนูยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ อย่าลงเอยกับผู้ชายคนนี้เลยนะ” เทียมภพพยายามปลอบแต่น้องสาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง

                “น้องพลู เป็นอะไรไหม?” ชลธีที่เพิ่งตามมาทันถามอย่างเหนื่อยหอบ

                “แหวน...แหวนของพลู” ร่างบางสะท้านจากแรงสะอึกสะอื้น เทียมภพคลายวงแขนที่รัดตัวน้องสาวไว้ปล่อยให้ร่างบางทรุดลงนั่งกับพื้น ชลธีหุบปากสนิทพอจะเดาอะไรออก

                “ถ้ามึงจะหมายถึงแหวนหมั้น...ก็ต้องลงไปงมหาในทะเลแล้วล่ะ” เทียมภพบอกอย่างท้าทาย ชลธีไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว สันกรามได้รูปขบกันแน่นขณะมองแทนดาวที่นั่งสะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ

                “ป่ะน้องพลู...พี่จะเรากลับกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้เลย” เทียมภพจะพยุงตัวน้องขึ้นแต่ก่อนที่จะถึงตัวร่างทั้งร่างก็ต้องปลิวไปข้างหลังเพราะชลธีถีบให้อย่างแรงจากนั้นทั้งหมัดทั้งเข่าก็ประเคนมอบให้อย่างต่อเนื่อง

                “กรี๊ด...พี่ชลอย่า!” แทนดาวเข้าห้ามชลธีที่กำลังขึ้นคร่อมพี่ชายที่เสียหลักล้ม ตอนนี้ไม่สนใจแหวนอีกต่อไปแล้ว สงครามของคนสองคนนี้ร้ายแรงกว่านัก

                “มึง! มันผิดตรงไหนที่กูจะรักน้องพลู มึงทำแบบนี้ทำไมไอ้เลว!” ชลธีแค่นเสียงถามขณะที่ซัดหมัดใส่ยั้งมือ

                “ผิดอยู่แล้ว! มึงทำปรางท้องแต่ไม่รับผิดชอบ ทำให้เธอต้องคิดสั้นทำแท้ง แล้วคราวนี้มึงคิดจะมาหลอกฟันน้องพลู ไอ้ชล! มึงคิดจะทำลายคนที่กูรักทั้งสองคนเลยรึไง!?” แทนดาวอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกับหูสดๆที่ว่าชลธีกับเปรมยุตาเคยคบกันขนาดมีลูกด้วยกัน

                “มึงต้องตายไอ้ชล! วันนี้มึงต้องตาย!” เทียมภพบีบคออีกฝ่ายแน่นกะจะฆ่าให้ตายจริงๆให้สมแค้นที่พรากดวงใจไปจากตนถึงสองครั้งสองครา แล้วสองคนก็ซัดกันนัวเนีย แทนดาวได้แต่ยืนร้องไห้เสียใจทั้งเรื่องแหวนและเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้หมาดๆ วันนี้คำตอบทุกอย่างกระจ่างแก่ใจว่าทำไมพี่ชายถึงเกลียดคนๆนี้นัก ชลธีกับเปรมยุตาไม่ได้เลิกรากันเพียงเพราะเหตุผลที่ไม่สามารถปลูกต้นรักให้งอกงาม แต่...เป็นเพราะโศกนาฏกรรมน่าอันสังเวชใจ

                “หยุดนะ...หยุด!” เสียงคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล กลุ่มเพื่อนๆของชลธีกำลังวิ่งมาทางทั้งคู่ที่กำลังตะลุมบอนกันอย่างเมามันตามติดมาด้วยรมย์นลินที่วิ่งหน้าตื่นมาไม่แพ้กัน

                “น้องพลูเป็นไงมั่ง? พี่นึกแล้วเชียวว่าต้องมีเรื่องแน่ๆ” รมย์นลินดึงลูกศิษย์สาวมากอด สางสาวต่างมองสองสิงห์ที่ถูกดึงแยกออกจากกันได้ในที่สุด

                “ไอ้หมาก! ถ้ามึงไม่หยุดกล่าวหากูล่ะก็...วันนี้อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่ มึงต้องนอนเป็นผีเฝ้าชายหาดแน่ๆ” ชลธีปาดเลือดที่จมูกออกมองคู่กรณีอย่างเคียดแค้น

                “มึงต่างหาก...มึงจะต้องตายเป็นผีบาปหนาไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ไอ้ชล! ไอ้สวะ!” สองคนทำท่าจะกระโจนใส่กันอีกแต่ก็ติดกรรมการห้ามมวยห้าหกคนที่ยืนเป็นกำแพงแบ่งเขตเอาไว้

                “เออ...มึงสองคนได้ตายห่าแน่ถ้ายังมัวแต่พล่ามกันอยู่อย่างนี้ เลือดคงไหลหมดตัวจนตายทั้งคู่น่ะแหละ รับรองว่าได้เป็นผีทะเลสมใจแน่มึง!” หนึ่งในนั้นโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด ทั้งคู่เงียบกริบไม่เถียงกันอีกต่อไป

                “คุณแฟงพาคุณพลูกลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้พวกผมจัดการกันได้” ชายคนเดิมหันมาบอก รมย์นลินพยักหน้ารับแล้วพาลูกศิษย์สาวที่เสียขวัญสุดๆเดินเลี่ยงไปจากที่เกิดเหตุ

                “ไม่ต้อง! น้องพลูต้องไปกับฉันเท่านั้น” เทียมภพตะโกนเสียงดังแล้วสะบัดตัวให้หลุดจากเพื่อนคู่อริที่รั้งแขนเอาไว้

                “เฮ้ย! อย่าวุ่นวายไปเลย คุณน่ะ...ไปกับพวกผมดีกว่า” เทียมภพถูกลากตัวออกไปพร้อมกับที่ชลธีเดินแยกตัวไปอีกทาง วันเกิดของเขาพังครืนไม่เป็นท่า แหวนหมั้นที่เพิ่งสวมใส่ให้วันนี้แท้ๆกลับอันตรธานจมหายไปในทะเล เขาไม่ได้เสียดายในราคาค่างวดของมันเลยแต่เสียใจที่ไม่อาจปกป้องความรักที่มอบให้แทนดาวได้

                ไม่มีใครพบเห็นสองหนุ่มเลือดร้อนอีก หลายคนถามหาเจ้าของวันเกิดกับคู่หมั้นที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คุณวารีที่ได้รับรู้เหตุการณ์คร่าวๆจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งของลูกชายต้องคอยบอกปัดว่าทั้งคู่ไปฉลองกับพวกญาติๆเป็นการส่วนตัวที่บ้าน ไม่มีใครอื่นรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนอกจากเพื่อนๆของชลธีที่รับประกันได้ว่าจะไม่มีใครปากโป้ง รมย์นลินไปส่งแทนดาวกลับบ้านพักแล้วก็ถือโอกาสถามสิ่งที่ค้างคาใจเมื่อเห็นสีหน้าอมทุกข์ของลูกศิษย์สาว

                “บอกพี่ได้ไหมว่า...นอกจากเรื่องแหวนแล้วยังมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจอีก?” แทนดาวมองหน้าครูสาว เรื่องที่ได้ยินพี่ชายพูดคอยแต่จะวนเวียนทำให้ต้องสะดุดหลายหน

                “พี่แฟงคงรู้แล้วว่าพี่ชลกับคุณเปรมยุตาเคยเป็นแฟนกันมาก่อนใช่ไหมคะ?” รมย์นลินพยักหน้าแทนคำตอบ

                “แล้วเขาเคยมีลูกด้วยกันใช่ไหมคะ?”

                “น้องพลูจ๊ะ...ไม่ว่าน้องพลูจะได้ยินเรื่องนี้จากใครมา พี่ก็อยากให้น้องพลูหนักแน่นเอาไว้มากๆและเชื่อใจพี่ชล พี่ชลเป็นคนดีมากจริงๆพี่รับรองได้ น้องพลูอาจจะไม่ใช่รักแรกของเขา...แต่เชื่อเถอะว่าน้องพลูคือรักครั้งสุดท้าย แล้วถ้าพลาดจากน้องพลูไปพี่ชลจะไม่มีวันไปรักใครอีก เชื่อไหม...ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ยังไม่เคยเห็นพี่ชลซื้อดอกไม้ให้ใครเลยนะ แล้วนี่น้องพลูได้ทั้งแหวน ทั้งดอกไม้ อย่าสงสัยอีกเลยจ้ะ...พี่ชลรักน้องพลูมากจริงๆ”

                รมย์นลินบีบมือลูกศิษย์สาวแน่นเพื่อยืนยันคำพูดทั้งหมดและอยากให้คนรับฟังเชื่อตาม แทนดาวกล้ำกลืนความรู้สึกอย่างยากลำบาก จะเชื่อใครดี? พี่หมาก พี่ชล พี่แฟงหรือตัวเอง

               

                เทียมภพที่ถูกกลุ่มเพื่อนของชลธีลากตัวไปทำแผลและสงบสติอารมณ์ด้วยการกรอกเหล้าเข้าปากจนกึ่มได้ที่ก็เดินโ.นเงนกลับบ้านพัก เนื้อตัวขาวสะอาดกลับมอมแมมไปด้วยฝุ่นทรายและรอยมือรอยเท้า ร่างสูงที่ทรงตัวไม่ค่อยจะได้เดินระไปตามแนวรั้วต้นไม้จนมาถึง อารามมึนและเมาเลยหยุดยืนคว้างอยู่หน้าบ้านเพราะกลัวจะเหยียบบันไดพลาดตกลงมา

                “คุณหมาก!” เสียงทักคุ้นเคยมาพร้อมกับร่างระหงของสตรีผู้เป็นน้องบุญธรรมของคู่กรณีที่วางมวยกันไปหยกๆทำให้อารมณ์เดือดดาลเริ่มปุดขึ้นมาอีก

                “นางนกต่อนี่เอง ทำไมยังไม่กลับบ้านไปหลับไปนอน? หรือว่า...มาเปิดห้องกับใครที่นี่” รมย์นลินหน้าตึงกับคำปรามาส โทษตัวเองว่าไม่ควรไปทักให้เกิดเรื่อง

                “ดิฉันพาน้องพลูมาส่ง กำลังจะกลับแล้วล่ะ” หญิงสาวเบือนหน้าหนีเมื่อได้กลิ่นเหล้าผสมบุหรี่ฉุนจัดออกมาจากคู่สนทนา

                “เสียใจด้วยนะที่แผนการของไอ้พี่คุณไม้สำเร็จ คุณเองก็เลยต้องหยุดรับจ๊อบเป็นแม่เล้าแต่เพียงเท่านี้”

                “นั่นปากหรือกระโถนคะ? สมควรแล้วที่พี่ชลชกเสียเลือดกบ”

                “อ้าว...ไหงพูดงี้ล่ะ?” เทียมภพมองอีกฝ่ายเหยียดๆตั้งแต่หัวจรดเท้า รมย์นลินพยายามไม่ต่อปากต่อคำแล้วจะเดินเลี่ยงไปแต่ก็ไม่ทันที่คนชอบหาเรื่องคว้าตัวไว้แล้วกระหน่ำจูบปากที่เพิ่งยอกย้อนอยู่หยกๆแบบไม่ทันได้หายใจหายคอ

                “ไอ้คนบ้า! ป่าเถื่อนที่สุด! รู้งี้ยุให้เพื่อนๆพี่ชลรุมตื้บซะให้เละดีกว่า”

                “ว่าไงนะแม่ตัวดี! พอตกเขียวไม่สำเร็จก็พาลหาเรื่องรึไง?””

                “คนอุบาทว์ทั้งใจทั้งการกระทำอย่างคุณพูดจาดีด้วยก็คงไม่ซึมซาบเข้ากมลสันดานหรอก” คำย้อนแสบสันเข้าเส้นเลือดเร่งจุดชนวนระเบิดของคนถูกด่าทันที

                “เก่งแต่ปากแบบนี้...อย่างอื่นคงจะช่ำชองไม่แพ้กัน” เทียมภพฉุดกระชากร่างบางอย่างแรงจนปลิวตามแรงดึงอย่างกับตุ๊กตา

                “ปล่อยนะ! ฉันจะกลับแล้ว คุณก็ควรไปหลับไปนอนได้แล้วนะ...เมามากแล้วนี่” รมย์นลินขัดขืนเต็มแรงเมื่อถูกลากถูลู่ถูกังขึ้นมาบนบ้านพักของเขาจนได้

                “จะปล่อยให้ไปนอนคิดแผนซื้อขนมหลอกเด็กอีกน่ะเหรอ?...ไม่มีทางหรอก วันนี้คุณกับไอ้ชลเล่นสนุกมามากพอแล้ว” มือหนาผลักร่างบอบบางเข้าห้องไปก่อนแล้วรีบใช้เท้าเตะประตูปิดปังทั้งยังกดล๊อกคล้องโซ่เรียบร้อย หญิงสาวกลัวจนตัวสั่นพยายามหาทางหนีแต่ก็ไม่สำเร็จเมื่อถูกกักตัวไว้ในอ้อมแขนแข็งราวปลอกเหล็ก ไม่ว่าจะทุบหยิกตีเท่าไหร่แต่ดูเหมือนร่างสูงนั้นจะไม่ขยับเขยื้อนเลย

                “พูดบ้าอะไรของคุณ ปล่อยนะ!”

                “คุณเป็นคนช่วยไอ้ชลมันวางแผนล่อน้องพลูมาที่นี่ใช่ไหม? อุปโลกน์งานวันเกิดสถุลๆนี่ขึ้นมาแล้วป่าวประกาศหมั้นหมายหลอกๆตบตาให้ตายใจ ทีนี้มันจะได้เข้าหาน้องผมได้ง่ายขึ้นใช่ไหมล่ะ?”

                “คุณจะบ้าหรือไง! พี่ชายของฉันไม่ได้คิดจะหลอกลวงน้องสาวคุณเลยนะ”

                “ตอแหล! คุณมันก็เลวพอๆกันนั่นแหละรมย์นลิน ทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้มันปีนขึ้นห้องน้องผม คอยหาจังหวะสบโอกาสส่งเหยื่อเข้าปากไอ้เข้แก่อย่างพี่คุณน่ะสิ!”

                “ฉาด!” มือเล็กทว่าหนักหน่วงสะบัดตบใบหน้าสำอางจนหันขวับ

                “เฮ้ย!...เจ็บนะโว้ย” เทียมภพหันหน้ากลับมาพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งลูบแก้ม

                “แม่ง! โดนแผลซะด้วย หัดเล็งให้มันโดนที่อื่นได้ไหมวะ!”

                “เพี๊ยะ!” คราวนี้เขาได้ดั่งใจปรารถนา รมย์นลินตบให้อีกข้างที่ไม่เป็นแผล คนถูกตบสองครั้งซ้อนโกรธจนหน้าเขียวหน้าชา

                “สำหรับคำพูดพล่อยๆและนิสัยแย่ๆของคุณ”

                “คุณทำผมเจ็บมากนะรมย์นลิน จะชดใช้ยังไงไหนว่ามาซิ? ทั้งเรื่องเมื่อกี้ทั้งเรื่องน้องสาวผม”

                “ไม่ชดใช้อะไรทั้งนั้น เรื่องวุ่นวายทั้งหมดมันก็มาจากความบ้าของคุณไม่ใช่เหรอ? หลีกไปเดี๋ยวนี้นะ! ถ้าฉันตะโกนร้องขึ้นมาคุณอาจจะกลายเป็นผีเฝ้าทะเลเพราะกระอักเลือดตายด้วยเท้ามากกว่าห้าสิบคู่!” รมย์นลินขู่ฟ่อแต่คนถูกขู่กลับหัวเราะชอบใจ

                “คุณจะไม่มีวันได้เปล่งเสียงร้องแม้แต่แอะเดียวถ้าผมอยู่ที่นี่” มือหน้าบีบแก้มซีดๆอย่างแรง รมย์นลินกลัวจับใจเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เทียมภพกำลังเมาและหล่อนก็อยู่กับเขาสองต่อสองในที่รโหฐาน ในใจภาวนาว่าขอให้เขาได้สติเลิกทำบ้าๆหรือไม่ก็มีใครสักคนเดินมาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

                “อือ...” เสียงอุกอิกอู้อี้ดังลอดริมฝีปากเพียงแผ่วเพราะถูกมือหนาบีบแก้มไว้แน่น

                “อย่าร้องน่า...ผมว่าเราควรจะมาแลกกันนะ ลองทำให้ไอ้ชลมันเจ็บปวดบ้างจะได้เลิกตอแยน้องพลู รมย์นลิน...คุณเองก็คอยช่วยมันมาตลอดเพราะงั้นกรรมกำลังจะตามสนองคุณแล้ว” เขาพูดชิดริมฝีบางบางที่สั่นระริกก่อนจะก้มลงลงบดขยี้อย่างไม่ปราณี รมย์นลินพยายามดิ้นรนแต่ร่างกายทุกส่วนถูกรัดเอาไว้เสียแน่น หล่อนเริ่มอึดอัดและรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้น ไม่นานก็ถูกโยนลงบนเตียงนุ่ม พอกระถดหนีเทียมภพก็ฉุดขาเอาไว้แล้วลากเข้ามาหาตัวใหม่

                “กรี๊ด...อย่านะ!” เสียงร้องห้ามหายไปพร้อมกับริมฝีปากร้อนที่กลืนกินทุกคำพูดและลมหายใจ รมย์นลินทั้งเจ็บทั้งกลัว อยากให้มีปาฏิหาริย์อะไรก็ได้หยุดการกระทำอันป่าเถื่อนนี้แต่ดูเหมือนคำอธิษฐานของหล่อนจะไม่สัมฤทธิ์ผล

                “คุณหมาก...ได้โปรดเถอะค่ะ อย่าทำแฟงเลย” สายตาเศร้าอย่างคนอับจนหนทางจ้องมองพลางวิงวอนทั้งน้ำตา เทียมภพปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างรีบร้อนแล้วเหวี่ยงมันออกไปทางไหนก็ไม่ได้สนใจ รมย์นลินรีบพลิกตัวหนีแต่ก็ถูกเขาตามไปทาบทับเอาไว้ได้ มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็เริ่มจัดการเปลื้องเสื้อผ้าตัวสวยออกจากร่างสั่นสะท้านที่ถูกกังขังอยู่ใต้ร่างหนาหนั่น

                “แฟงจ๋า...คุณสวยเหลือเกิน...สวยจริงๆ” เมื่อซับในตัวสุดท้ายถูกดึงออกจากร่างพร้อมกับลมหายใจร้อนๆระรานไปทั่วลำคอระหงลามเลียมาตามลาดไหล่เนียน รมย์นลินพยายามส่ายหน้าหนีแต่ก็ยังถูกตรึงไว้ด้วยริมฝีปากเร่าร้อนและเรียกร้องขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอย่างยอมรับชะตากรรม หล่อนไม่มีเสียงจะตะโกนร้องอีกแล้ว ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนขัดขืน

                เทียมภพกอดกระชับร่างบางที่สั่นระริกแล้วประกบจูบลงไปใหม่แต่คราวนี้ช่างอ่อนหวานนุ่มนวลและเรียกร้อง ความจัดเจนช่ำชองทำให้ร่างในอ้อมแขนยอมเปิดรับการรุกรานควานหาความหวานได้ถ้วนทั่ว

                “รมย์นลิน...มองผมหน่อยสิ คุณไม่รู้เลยเหรอ...ว่าผมคิดยังไงกับคุณ?” เสียงกระเส่ากระซิบชิดหู รมย์นลินเปิดเปลือกตามองอย่างที่บอกซึ่งหล่อนก็ได้เห็น...แววตาหวานฉ่ำล้ำลึกที่ทอดมองกลับมา มันชวนอบอุ่นและวับหวาม ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไป...เขาคงกำลังถ่ายทอดความรู้สึกแบบเดียวกับที่หล่อนรู้สึกกับเขามาเนิ่นนาน

                “คุณหมาก...พอเถอะค่ะ แฟงกลัว” มือทั้งสองปิดป้องส่วนของร่างกายที่คิดว่าเขากำลังมอง เนื้อตัวแดงซ่านอาบไล้ด้วยแสงจันทร์เทียมภพจ้องมองอย่างหลงใหลและยิ่งเร่งเร้าความปรารถนาซ่านซึมไปทั่วสรรพางค์กายแกร่ง รมย์นลินเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมาและเขารู้ตัวทันทีว่าจะต้องปฏิบัติกับหล่อนอย่างทะนุถนอมที่สุด

                “แฟง...เป็นของผม...นะครับ” เทียมภพดึงมือที่ปิดบังร่างงามดุจรูปปั้นออกเพื่อที่จะได้ชื่นชมให้ชัดเจนก่อนจะค่อยๆอ้อยอิ่งโอ้โลมร่างบาง รมย์นลินหลับตาแน่นพยายามคิดเสียว่าความหวิวไหวที่กำลังดำเนินอยู่นี้คือความฝัน...ฝันที่จะได้อยู่ในอ้อมกอดของเทียมภพบุรุษเพียงผู้เดียวที่ปักใจรักตั้งแต่ครั้งแรก แล้วในที่สุดฝันนั้นก็เป็นจริงจึงยอมวางใจและปล่อยอารมณ์ไปกับสัมผัสอ่อนโยนปนรัญจวนที่เขาฝากประทับไว้ทุกอณู

 

                แสงจันทร์สลัวสาดส่องลอดหน้าต่างผ่านม่านบางที่เผยอออกเป็นช่องจนพอมองเห็นสองร่างอิงแอบแนบชิดในห้องนอนสีฟ้าอ่อน เสียงคลื่นยังคงซัดสาดหาดทรายเป็นจังหวะดนตรีธรรมชาติผสานกับสายลมโชยเอื่อยยามดึกสงัด ช่างเป็นคืนที่เงียบสงบและอบอุ่นอ่อนหวานสำหรับใครบางคนที่กำลังฝันดี แต่สำหรับรมย์นลินที่ตื่นจากความฝันแสนสวยงามคงเหลือเพียงการทำใจยอมรับความจริงอันเลวร้าย จริงอยู่ว่าหล่อนแอบรักเทียมภพหมดหัวใจมานานและอยากจะลงเอยกับเขาในฐานะคนรัก มิใช่เป็นเครื่องรองรับอารมณ์เถื่อนแบบนี้

                ร่างเปลือยผินหันหลังให้ร่างหนาที่นอนหลับสนิทดูไร้พิษสง หญิงสาวค่อยๆเลื่อนผ้าห่อหุ้มร่างกายที่ถูกริมฝีปกอ่อนนุ่มแต่ร้อนเร่าประทับอยู่ทั่วทุกตารางนิ้ว แม้เขายังปราณีอ่อนโยนในการกระทำแต่ตอนแรกที่ถูกฉุดกระชากก็ทำให้ร่างกายบอบช้ำไปบ้างเหมือนกัน เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ แต่สิ่งที่เสียไปก็ไม่อาจจะเรียกคืนกลับมาได้ถาวร

              รมย์นลินพยายามเก็บกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดรอดออกไปจนทำให้เขาตื่นเพราะเกรงว่าอารมณ์ดิบเถื่อนอาจจะก่อตัวขึ้นมาได้อีกซึ่งหล่อนก็ทนไม่ได้อีกต่อไปแล้วที่จะถูกกระทำย่ำยี ถ้าหากเทียมภพจะมีใจให้สักนิดก็คงจะอิ่มเอมเปรมปรีดิ์เพราะร่างกายและหัวใจดวงนี้...เก็บไว้รอเขามานานแล้ว

                “แฟงจ๋า...” คนร่างสูงพลิกตัวควานหาร่างอุ่นที่มอบความเอิบอิ่มให้ หากแต่เจ้าของร่างกลับสะดุ้งสุดตัวและกระเถิบถอยหนีไปชิดเตียงอีกฟาก จะลงไปจากเตียงเสียทีเดียวก็ไม่ได้เพราะผ้าห่มผืนโตนี้คลุมร่างเอาไว้ทั้งคู่ ขืนดึงกันไปมามีหวังไม่ใครก็ใครได้เป็นชีเปลือยท้าทายแสงจันทร์แน่ๆ

                “จะไปไหนน่ะ...มานอนนี่” คนก่อเรื่องลืมตาอย่างอ่อนเพลียมองดูอีกฝ่ายนั่งกอดเข่า มีผ้าห่มปิดอยู่หมิ่นเหม่ น่าแปลก...เพียงแค่นี้หญิงสาวที่เรียบๆธรรมดาๆอย่างรมย์นลินก็ดูเย้ายวนผิดตา

                “ฉันจะต้องกลับแล้ว” เสียงสูดหายใจแรงๆเพื่อไล่น้ำตาที่กำลังก่อตัวเอ่อล้นขึ้นมาอีก

                “อะไรกัน? พอเห็นหน้าผัวก็ไล่ มานี่เถอะ...มานอนกัน ให้ผมกอดหน่อยนะ...อากาศมันเย็น” ไม่พูดเปล่ายังเลื้อยเข้าไปหาแต่ยังไม่ทันถึงตัวก็ถูกหมอนใบโตเหวี่ยงใส่หน้า

                “ออกไปนะ! ฉันเกลียดคุณ! ฉันขยะแขยงคุณ! คนป่าเถื่อน!” พอตะโกนใส่หน้าเขาแล้วทำนบน้ำตาก็แตก เทียมภพใจหายที่ได้ทำลายชีวิตบริสุทธิ์ของผู้หญิงคนหนึ่ง ตามวิสัยแล้วไม่เคยเลยที่จะกระทำการขืนใจเพศตรงข้ามหากไม่ยินยอม เขาเองยังตราหน้าไอ้พวกที่บังคับข่มขืนผู้หญิงว่าเป็นเปรตนรก แล้วสิ่งที่ตนทำลงไปหมาดๆมันจะต่างอะไรกันเล่า...แต่มันก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป

                “อย่าร้องไห้เลยนะ มานี่เถอะ...มาหาผม” เทียมภพขยับเข้าไปใกล้อีกแต่อีกฝ่ายก็ยังถอยหนี แล้วความคิดใสๆก็เกิดขึ้น เขาตะครุบชายผ้าห่มที่คลุมตัวหล่อนอยู่ แค่กระตุกเบาๆผ้าก็ปลิวติดมือมาทำให้หญิงสาวรีบถลาตามผ้าห่มจนร่างทั้งร่างหลุดเขาไปอยู่ในอ้อมกอดอย่างง่ายดาย

                “ปล่อยนะ!” รมย์นลินดิ้นปัดๆแต่ก็ถูกกดลงไปอยู่ใต้ร่างหนาหนัก

                “แฟง...ฟังผมสักนิดเถอะนะ ผมขอโทษที่...รังแกคุณ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะ...ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง” เสียงปลุกปลอบอ่อนโยนพลางจูบซับน้ำตาให้จนมันเหือดแห้งไป

                “คุณไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้จะถือว่าเป็นคราวซวย”

                “ได้ยังไงกัน? คุณเป็นเมียผมแล้วนะ ผมเองก็เต็มใจที่จะรับผิดชอบ รมย์นลิน...ไม่ใช่ว่าผมทำไปเพราะตกกระไดพลอยโจนหรือเพราะอยากแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ แต่ผม...” คำพูดติดขัดขึ้นมากลางคันมื่อคิดว่าสมควรจะพูดต่อหรือไม่ เทียมภพยอมรับว่าเกิดความรู้สึก ‘พิเศษ’ กับสตรีในอ้อมแขนมานานแล้วเพียงแต่ยังไม่มั่นใจว่า ‘แน่นอน’ หรือยัง เขาไม่อยากจะพูดพล่อยๆออกไปทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจ ถึงจะเป็นหนุ่มรักสนุกแต่ก็จริงจังในเรื่องความรัก

                “ฉันเกิดมาโชคร้ายที่กำพร้าพ่อแม่แต่ก็ยังโชคดีเหลือล้นที่คุณแม่กับพี่ชลรักและให้ความเมตตาเสมอมา ฉันคิดว่าความกำพร้าเป็นเรื่องโชคร้ายเพียงเรื่องเดียวในชีวิต แต่มาวันนี้...ฉันได้พบกับสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า...นั่นคือการได้พบกับคนอย่างคุณ! คุณย่ำยีและดูถูกทั้งๆที่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลวๆอย่างที่คุณกล่าวหาสักอย่าง” หญิงสาวตัดพ้อทั้งน้ำตาทำให้คนก่อเรื่องถึงกับเศร้าสลด ทั้งละอายใจและสะเทือนใจไปพร้อมๆกัน

                “ผมเสียใจจริงๆ แต่อยากให้รู้ไว้อย่างนึงว่าถึงผมจะเลวระยำในสายคุณ...แต่ผมก็จริงใจนะ” เขาโอบกระชับร่างบางมากอดไว้แนบอก

                “ไม่เชื่อมองผมสิ...” ปลายนิ้วอุ่นเชยคางมนให้สบตากันแล้วก็กดหน้าหวานให้ซบลงตรงอกอย่างเดิมเพราะว่าตอนนี้ดวงตาเศร้านั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นจนมิอาจทนดูได้เลย

                “ผมรู้สึกผิดมากแต่ทุกอย่างมันต้องดำเนินต่อไป เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วและมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” เขาปาดน้ำตาบนแก้มเนียนละเอียดอย่างอ่อนโยน ก้มลงจุมพิตหน้าผากมนและกอดตระกองร่างสั่นสะท้านเอาไว้ วูบหนึ่ง...รมย์นลินคิดว่ามันช่างอบอุ่นและกลัวใจตัวเองเหลือเกินว่าจะอดเคลิบเคลิ้มตามไม่ได้

                “ปล่อยเถอะค่ะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว

                “ฮื้อ...กลับได้ยังไงกัน นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมว่าเรานอนต่อเถอะนะ อีกตั้งนานกว่าจะเช้า เมื่อกี้ใช้แรงมากไปหน่อย...เพลียจะแย่” ไม่พูดเปล่ายังบังคับคนในอ้อมกอดให้นอนลงแล้วรีบพลิกตัวกอดกระชับกันไม่ให้ฝ่ายนั้นดิ้นหนี รมย์นลินหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดสองแง่สองง่าม พอเงยหน้ามองก็ปะทะกับสายตาซุกซน

                “ปล่อยสิ! คุณยังทำกับฉันไม่สะใจพอหรือไง? ยังต้องการอะไรอีก?” มือเล็กทุบไปที่ร่างหนาหวังจะให้อีกฝ่ายได้เจ็บปวดบ้างแต่ไม่สะเทือนเลยสักนิด เทียมภพปล่อยให้ทุบจนพอใจก่อนจะรวบมือทั้งสองข้างมาวางบนหน้าอกข้างซ้าย

                “คุณนี่ดื้อจังเลย...ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรคุณอีกโอเคมั้ย? เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาต” คนพูดทำหน้าทะเล้นเป็นเหตุให้ได้รับกรงเล็บงามๆเป็นรางวัล

                “อูย...เจ็บนะเนี่ย” คนโดนหยิกลูบต้นแขนป้อยๆแสร้งทำหน้าตาเจ็บปวด (ที่ไม่แนบเนียนอย่างยิ่ง)

                “ฝันไปเถอะ ชาตินี้ทั้งชาติฉันจะไม่มีวันให้คุณได้แตะต้องตัวฉันอีกแน่!”

                “โธ่...อะไรจะใจร้ายอย่างนี้ ถ้าอยู่ห่างกันน่ะพอจะทำใจได้อยู่ แต่ถ้าอยู่ใกล้กันอย่างนี้ล่ะก็...ผมอดใจไม่แตะคุณไม่ได้หรอกนะ” เขาชันตัวขึ้นนอนมองร่างบางที่ดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ใต้อก

                “รมย์นลิน...ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะ คุณกับผม...เราสองคนมาไกลกันถึงขั้นนี้แล้ว และมันก็เป็นความผิดของผมคนเดียว” ฝ่ามืออุ่นลูบเส้นผมที่ปกคลุมศีรษะเล็กประหนึ่งว่าหล่อนคือน้องสาวตัวเล็กที่เขากำลังปลอบโยนให้คลายความโศกเศร้า

                “แฟง...ผมไม่หวังให้คุณให้อภัยตอนนี้หรอกเพราะสิ่งที่ทำกับคุณไว้นั้นมันหนักหนาเหลือเกิน แต่ผมขอโอกาสพูด...” ร่างบางหยุดการดิ้นรนชั่วขณะเมื่อประสานสายตากับแววตาล้ำลึก ถึงจะโกรธแค่ไหนแต่ก็อยากรับรู้ว่าเขาจะพูดอะไรบ้าง

                “ผมเองก็เป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาคนนึง นอกจากเรื่องงานก็มีชีวิตรักสนุกไปวันๆ ดื่ม เที่ยว คบผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ไม่ได้ดีเด่เป็นเทพบุตรมาจากไหน แต่สิ่งที่ผมรู้สึกกับคุณต่างไปจากคนอื่นก็คือ...ผมเต็มใจและยินดีที่จะรับผิดชอบ รู้ว่าจะต้องทำให้มันถูกต้องเพราะผม...” เขาหยุดอยู่แค่นั้นไม่กล้าพูดต่อเพราะอายหรือไม่แน่ใจก็อาจล่วงรู้ได้

                เทียมภพปล่อยผ่านชีวิตหนุ่มให้ไหลเรื่อยไปตามกระแสความสำราญโดยไม่คิดจะหยุดลงหลักปักฐานมั่นคงนับจากพลาดหวังจากรักครั้งแรกกับสตรีที่ไม่อาจได้ครอบครองหัวใจ ความความพรั่งพร้อมด้วยรูปและสมบัติมิอาจเหนี่ยวน้าวคนที่หมายปองให้มีใจด้วยแต่กลับเลือกรักคนที่ด้อยกว่าทุกประการ ในความเหว่หว้าจากการตามหาความรักที่เป็นแก่นแท้ทำให้ไม่คิดจะผูกพันกับสตรีคนใดถาวรจนกว่าจะพบผู้ที่จะรัก ‘ตัวตน’ ของเขามิใช่องค์ประกอบอื่น ตอนนี้เขาพบมันแล้วและเป็นครั้งแรกในชีวิตหนุ่มที่สัมผัสได้ถึงความสุขประหลาดล้ำ

                “รักคุณ” หยาดน้ำตาใสคลอหน่วยนัยน์ตาสีนิลแล้วก็เหือดแห้งไปเมื่อปลายนิ้วแข็งแกร่งบรรจงกรีดเช็ดออกตามด้วยรอยจูบซับประทับตรึงไปทั่วใบหน้า รมย์นลินนึกว่าตัวเองฝันไปแต่สัมผัสเล้าโลมอ่อนหวานที่เขาปรนเปรอให้อีกครั้ง ยืนยันว่าไม่ใช่แค่มโนภาพ ความฝันของหล่อนเป็นจริงแล้วเมื่อคำๆนั้นออกมาจากปากที่กำลังจูบพรมไปทั่วร่างกายร้อนผ่าว หล่อนได้ยินกับหูและรับรู้ทุกสัมผัส อะไรจะมีค่าและน่าประทับใจไปกว่านี้อีกเล่า มือน้อยค่อยๆเลื่อนขึ้นโอบรอบคอด้วยความรู้สึก ‘ปรารถนา’ เป็นครั้งแรก หล่อนรักเขาและพร้อมยอมตามใจตัวเองแบบไม่ตะขิดตะขวง

                “แฟงครับ...อย่าถามเลยว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผมรู้เพียงแต่ว่าอยากมีคุณเคียงข้างอยู่แบบนี้ตลอดไป มันอาจฟังดูฉาบฉวยไปสักหน่อย แต่มั่นใจได้เลยว่าทุกคำพูด...ไม่ใช่แค่ออกมาจากปากผมแต่มันออกมาจากใจ”

                “ค่ะ...พี่หมาก” สายธารความสุขเล็กๆก่อตัวขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆที่กำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง รมย์นลินไม่อยากคิดอะไรต่ออีกแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นแค่หนึ่งคืนแห่งความปิติสมหวัง พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นหรือเขาจะกลับคำพูดก็จะไม่เสียใจและจะยอมรับโดยดุษณี

 

                เทียมภพรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อแสงแดดยามสายแยงตา มือหนาขยี้ตาไล่ความง่วงงุนออกไปพร้อมกับรู้สึกถึงความว่างเปล่าข้างตัวไร้วี่แววร่างบางที่นอนกกกอดมาทั้งคืน มีเพียงรอยยับย่นของที่นอนและ ‘ร่องรอย’ ที่ทำให้อมยิ้มด้วยความอิ่มเอิบอยู่ลึกๆ

                “หนีกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ชายหนุ่มบ่นถึงเจ้าของร่องรอยแล้วสลัดผ้าห่มออกเตรียมไปเข้าห้องน้ำ พอเปิดประตูเข้าไปรมย์นลินที่อยู่ในชุดเดิมเรียบร้อยก็ออกมาพอดิบพอดี

                “กรี๊ด...คนทุเรศ! ไม่รู้จักใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เดินโทงๆออกมาแบบนี้ไม่อายฟ้าดินหรือไง?” หญิงสาวหลับตาปี๋เมื่อยืนประจันหน้ากับชีเปลือยที่ยังงงว่าร้องกรี๊ดเรื่องอะไร พอก้มลงมองตัวเองแล้วก็หัวเราะร่าแต่ก็ไม่สนใจที่จะหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ใกล้ๆมาพันตัว

                “งี้แหละครับ...มีของดีก็อยากโชว์เป็นธรรมดา” เขาตอบหน้าตาเฉย

                “ยี๋...น่าเกลียดต่างหาก เก็บไว้ชื่นชมคนเดียวเถอะ”

                “ทำไมล่ะ…คุณยังไม่ชินอีกเหรอ? สงสัยว่าเราคงต้องทำความคุ้นเคยกันให้บ่อยๆแล้วล่ะ” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าจะตะครุบเหยื่อสาวตรงหน้าจริงๆ รมย์นลินรีบเบี่ยงตัวหลบออกมา

                “คนทะลึ่ง ไปอาบน้ำได้แล้ว แฟงจะกลับบ้านก่อนล่ะ ป่านนี้คุณแม่กับพี่ชลคงจะหาตัวอยู่”

                “ให้ผมไปส่งนะ...เดี๋ยวกินข้าวแล้วจะเชคเอ้าท์เลย คุณอาชวนผมให้แวะไปที่บ้านก่อนกลับจะได้ไปส่งคุณด้วยไง”

                “แฟงจะกลับบ้านก่อน คุณตามไปก็ได้นี่ ไปพร้อมกันแบบนี้...จะตอบแม่ว่ายังไง?”

                “ไม่ต้องห่วง...เดี๋ยวตอบให้ เอาล่ะ...ยังไงก็ต้องไปด้วยกัน ถ้าออกมาไม่เจอคุณนะ...จะตามไปปล้ำมาราธอนถึงบ้านเลยคอยดู” เขาขู่ก่อนจะเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัว รมย์นลินหน้าร้อนผ่าวเพราะรู้ว่าคนอย่างเทียมภพพูดอะไรแล้วทำจริงเสมอ ทางที่ดีอย่าไปขัดใจจะดีกว่า หญิงสาวจึงฆ่าเวลาด้วยการจัดเก็บเครื่องนอนแต่พอเหลือบไปเห็น ‘ร่องรอย’ บนผ้าปูแล้วก็พาลให้หน้าแดงตัดสินใจม้วนเก็บใส่ถุงเอาไปซักเองที่บ้าน

                “แฟง...หยิบเสื้อกับกางเกงให้หน่อยสิครับ” เสียงตะโกนเรียกใช้ให้หยิบของดังมาจากห้องน้ำ รมย์นลินค้อนขวับตามเสียงแต่ก็ยอมตามเก็บรวบรวม ‘ซาก’ ที่ถูกเหวี่ยงไปคนละทิศละทาง

                “ได้แล้วค่ะ” หญิงสาวยื่นเสื้อให้ตรงรอยประตูที่เขาแย้มเปิดออกมานิดหน่อยแต่แล้วก็ต้องร้องกรี๊ดอีกรอบเพราะคนเจ้าเล่ห์ฉวยโอกาสดึงตัวเข้าห้องน้ำไปด้วย

                “อาบคนเดียวไม่สะอาดแฮะ อาบด้วยกันดีกว่านะ...จะได้ผลัดกันถูตัว” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าจะปอกเปลือกคนในอ้อมกอดอีก

                “ไม่เอานะ! แฟงอาบน้ำแล้ว เลิกทำบ้าๆเดี๋ยวนี้นะ!” หล่อนพยายามดิ้นแต่ก็ไม่กล้ารุนแรงนักเพราะว่าตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของชีเปลือย ขืนดิ้นมากๆอาจได้เป็นตากุ้งยิงกันบ้าง

                “น่า...อาบน้ำอีกรอบจะเป็นไรไปเล่า” คนชวนตาระยิบระยับแล้วกัดหูอย่างหยอกเย้า รมย์นลินหน้าแดงจัดเมื่อรู้ว่าร่างกายกำลังจะต้านไม่ไหว

                “ไหนคุณว่าจะไม่ทำถ้าไม่อนุญาตไง” หญิงสาวอ้างถึงสัญญาเมื่อคืนที่เพิ่งนึกขึ้นได้เลยทำให้คนให้สัญญาหน้าจ๋อย

                “ว้า...เล่นดักคอกันอย่างนี้เลยเหรอ นึกว่าจะลืมไปแล้วนะเนี่ย ผมยังลืมไปแล้วเลย”

                “อย่ามาแกล้งลืมนะ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำไม่ใช่เหรอ?”

                “โหย...ไม่น่าเกิดเป็นคนดีเลยเรา นะครับแฟง…เดี๋ยววันนี้ก็จะกลับแล้ว ไม่รู้ว่าจะเจอคุณวันไหนอีก” เขาออดอ้อนแต่รมย์นลินไม่ใจอ่อน

                “จะพูดเป็นครั้งสุดท้าย แต่งตัวให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะถ่ายรูปเอาไปโพสต์โชว์ในอินเตอร์เน็ต สมใจคุณยังไงล่ะ ชอบโชว์ไม่ใช่เหรอ?” คนพูดทำท่าจะถ่ายรูปจริงๆ เทียมภพรีบตะครุบมือที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วก็เกิดการยื้อแย่งกันไปมาสนุกสนาน            

                “ไม่เอานะแฟง...ถึงผมจะมี ‘ของดี’ ติดตัวมาแต่ก็อยากให้คุณดูคนเดียวนะ”

                “ลามกที่สุด!”

                “ลามกอะไรเล่า ก็นี่ไงสิ่งที่ผมจะให้ดูน่ะ...ตรงนี้ต่างหาก” เขาทาบมือบางบนหน้าอกด้านซ้ายแล้วก็ค่อยๆกดศีรษะให้ซบอิงตรงจุดเดียวกัน

                “ฟังสิ” ลมหายใจอุ่นรินรดชิดขมับ รมย์นลินรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงนัก

                “ไม่เห็นจะมีอะไรนี่คะ” แม้ปากจะบอกว่าไม่มีอะไรแต่หัวใจกลับสูบฉีดรุนแรง เจ้าประคุณเอ๋ย...อย่าให้เขาจับได้เชียวนะ

                “หืม...ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ? ผมจะบอกให้ก็ได้ ตอนนี้หัวใจผมเต้นเร็วประมาณเจ็ดสิบเก้าครั้งต่อนาที ก็หมายความว่าผมรักคุณเจ็ดสิบเก้าครั้งทุกๆหนึ่งนาทีไงล่ะ”

                “ยี๋...เน่าที่สุดเลย นี่น่ะเหรอประโยคเด็ดที่คุณเอามาใช้จีบสาวๆ” เทียมภพกอดกระชับร่างบางให้แน่นขึ้นอีก ขณะที่รมย์นลินก็เอาแต่ซุกหน้ากับอกเปลือยนับจังหวะการเต้นของหัวใจที่แนบเนาอยู่ นาทีต่อมาก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ทำให้ทั้งคู่ผละจากกัน เทียมภพลุกลี้ลุกลนออกไปรับสาย

                “จ้า...ว่าไงคะ? พี่ตื่นแล้วค่ะ...กำลังจะกลับไป น้องพลูกินข้าวได้เลยนะ” คนเจ้าเล่ห์กลายร่างเป็นพี่ชายที่แสนดีในพริบตาเวลาคุยกับน้องสาว รมย์นลินอดยิ้มไม่ได้ที่จอมหาเรื่องผู้ไม่ค่อยจะลงรอยกับใครแต่อย่างน้อยก็รักและยอมให้น้องคนนี้เสมอ

                “จ้ะๆ เดี๋ยวเจอกันนะ คิดถึงเหมือนกันค่ะ” เขาทำเสียงจุ๊บเบาๆก่อนจะวางสายแล้วหันมามอง ‘ภรรยา’ ที่ยืนยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว

                “ชื่นชมผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ? รู้แล้วครับว่าหล่อ” เทียมภพเหนี่ยวเอาบางเข้ามากอดแล้วฝังจมูกลงไปที่แก้มนวลแรงๆ

                “ชิ...หลงตัวเองที่สุดเลย” รมย์นลินสะดุ้งเปลี่ยนจากยิ้มอ่อนหวานเมื่อครู่เป็นค้อนคมแก้เก้อ

                “ไม่ได้หลงตัวเอง...หลงเมียต่างหาก” คนฟังทำตาโตกับสรรพนามที่ถูกเรียก แก้มขาวปลั่งสีเข้มขึ้นมาทันที เทียมภพมองด้วยความพอใจ

                “แม่นางฟ้าของผมโทรตามแล้ว ยัยคนนี้ยิ่งซักเก่งอยู่ด้วย เดี๋ยวเราออกไปพร้อมกันนะครับ” เขาว่าแล้วรีบจัดแจงแต่งตัวเรียบร้อย

                “แล้วแผลคุณเป็นไงบ้างคะ?” หล่อนอดถามถึงรอยแผลที่ปลายคิ้วไม่ได้ ไหนจะรอยฟกช้ำตามตัวอีก

                “เด็กๆ...อย่าห่วงเลย สามีคุณน่ะถึกจะตาย” คำตอบของเขาทำให้หล่อนหมั่นไส้ระคนกระดากในคราวเดียวกัน

                “รมย์นลิน...ผมขอให้คุณเชื่อใจผม เรื่องที่พูดกับคุณเมื่อคืน...ผมจำได้ทุกอย่าง เราจะแต่งงานกันอย่างถูกต้อง ผมจะไปคุยกับอาวาทันทีที่พร้อม...วันนี้เลยก็ได้” เทียมภพโอบประคองร่างบางออกมาข้างนอกแล้วก็แยกจากกันพอใกล้จะถึงห้องอาหาร เขาใจชื้นที่รมย์นลินไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจอย่างที่เป็นกังวล ถ้าหล่อนมีใจตรงกัน...เรื่องที่จะทำต่อไปก็จะง่ายขึ้น ส่วนเขาก็ต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยให้เร็วที่สุด

                “อย่าเพิ่งเลยค่ะ แฟงอยากให้รอดูอีกซักพัก เรื่องน้องพลูกับพี่ชล...ยังไม่เรียบร้อยเลย”

                “อย่าพูดถึงมันได้ไหม? เรื่องนั้นผมว่าเคลียร์ไปแล้วนะ น้องพลูเป็นไทแล้ว ไม่มีการหมั้นอะไรทั้งนั้น” เทียมภพหน้าตึงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น รมย์นลินหน้าสลดลงเมื่อจนหนทางที่จะช่วยให้เรื่องนี้ผ่านไปได้

                “ตอนนี้มาว่าเรื่องของเรากันก่อน ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่บอกได้เลย ผมพร้อมเสมอนะแฟงแต่อย่าให้นานนักล่ะ เกิดผมรอไม่ไหวขึ้นมาล่ะก็...จะเก็บข้าวของไปอยู่กับคุณให้รู้แล้วรู้รอด” เขาย้ำคำเป็นมั่นเหมาะพร้อมกับฝากรอยจูบบนแก้มบางอย่างหนักหน่วง

                “แค่คุณมีที่ว่างในใจให้แฟงบ้าง แค่นี้แฟงก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวรำพึงกับตัวเองแล้วแยกตัวเดินออกไปอีกทางแต่ก็รู้สึกถึงความโล่งๆแปลกแถวต้นคอ พอลองคลำดูก็แทบเต้นเร่าเพราะกระดุมหลุดออกมาตั้งสามเม็ดเผยให้เห็นร่องอกอยู่รำไร

                “อึ๋ย...อีตาบ้า! แอบแกะกระดุมเราตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

 

                แทนดาววางสายจากพี่ชายแล้วก็ไปยืนส่องกระจกดูสภาพหน้าตาตัวเองที่ไม่ต่างจากหมีแพนด้าแล้วก็ทอดถอนใจแรงๆ เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้นอนไม่หลับ ไหนจะเรื่องแหวน เรื่องที่ได้ยินมา คิดว่าเช้านี้คนแรกที่จะไปชำระความคือพี่ชายตัวแสบที่คงจะเมาเละเทะนอนสลบเหมือดเกยตื้นอยู่แถวชายหาด รายต่อไปก็คู่หมั้นตัวดีที่ปิดซ่อนความลับได้เก่งกาจนัก

                “ต๊าย...ดูเธอสิ ยังกะผ่านสงครามโลกมาหยั่งงั้นแหละ เป็นไงล่ะแม่นกน้อยในกรงทอง ท้ายที่สุดก็ต้องกลับเข้ากรงในสภาพปีกหัก” ปลายเดือนมองสภาพน้องสาวแล้วก็เหยียดปากยิ้ม เดาเอาว่าอีกฝ่ายคงนอนร้องไห้ฟูมฟายเรื่องที่งานหมั้นถูกล้มคว่ำไม่เป็นท่า

                “ถ้าพี่ผึ้งหาอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้มาพูดไม่ได้ก็ใช้ปากเคี้ยวข้าวอย่างเดียวดีกว่า”

                “ปากดีนักนะ! เธอรู้อะไรไหม? ว่าฉันสมเพทสภาพเธอแค่ไหน พอจะมีคู่หมั้นก็ต้องมีอันเป็นไป นี่แหละ...ที่เขาว่าไม่ใช่เนื้อคู่กันก็ต้องแคล้วคลาดกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งล่ะ”

                “ทำไมล่ะ...อย่างน้อยก็ดีกว่าไปเจอพี่ผึ้ง คนหน้าไหว้หลังหลอก ยังถือว่าเขาสติดีอยู่ที่เลือกพลูตั้งแต่แรก!” แทนดาวมองพี่สาวตาเขียวปั้ดด้วยความโกรธแล่นไปทั่วร่าง ปลายเดือนหันขวับเงื้อง้างฝ่ามือเตรียมลงโทษน้องสาวที่พูดจาจี้ใจได้เจ็บแสบแต่ก็ต้องลดมือลงเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าพร้อมเตรียมสู้

                “เอาสิ...คราวนี้จะสวนให้เดี้ยงเลย”

                “จะบอกไว้เลยนะว่าตราบใดที่ฉันยังอยู่ เธอจะไม่มีวันได้สมหวัง เธอจะต้องผิดหวังเหมือนที่ฉันเป็นมาตลอดชีวิต!” ปลายเดือนชี้หน้าว่าแรงๆแล้วก็เดินจากไป แทนดาวทิ้งตัวลงนั่งอีกหนพลางนวดศีรษะคลายอาการปวดจี๊ดๆ นี่มันอะไรกันนักกันหนา จะต้องรบทั้งศึกภายนอกภายในเลยหรือ?

                สามพี่น้องเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเดินทางไปบ้านคุณวารีที่อยู่ห่างจากรีสอร์ทออกไปพอประมาณ บ้านทาสีขาวหลังใหญ่ทรงคล้ายกับบ้านพักบนเกาะที่ตรังตามที่ชลธีเคยบอกว่าจำลองแบบมา คุณวารีดูเหมือนจะเข้าอกเข้าใจทั้งบุตรชายและเทียมภพเลยไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอีก แต่แทนดาวก็ยังรู้สึกอัดอั้นด้วยข้อกังขาในใจที่จะต้องการความกระจ่างและคนที่จะช่วยไขข้อข้องใจนี้ได้ดีที่สุดก็คือชลธี

                “อาไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมคุณธรรมกับคุณย่าลำเภาด้วยตัวเองเสียที ฝากของไปแทนก็แล้วกันนะคะ” คุณวารีบอกแม่เทียมภพแล้วชี้นิ้วบอกแม้บานให้ลำเลียงของฝากสารพัดไปเก็บที่รถ

                “เกรงใจคุณอามากกว่าครับ ว่าแต่..จะขึ้นไปเมื่อไหร่บอกด้วยนะครับ ผมจะได้จัดแจงบอกพ่อกับแม่เรื่อง...” เทียมภพไม่ทันได้พูดต่อเพราะรมย์นลินแอบหยอกต้นแขนให้หยุด

                “คุณสีผึ้งกับน้องพลูไปนั่งรับลมตรงโนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวแฟงให้เด็กชงกาแฟให้” รมย์นลินรีบนำทั้งสามคนไปยังมุมรับแขกตรงระเบียงโล่ง

                “น้องพลูขึ้นไปดูวิวข้างบนได้ไหมคะ?” แทนดาวชี้มือไปที่เทอเรซชั้นบนที่ล้อมด้วยผนังกระจก พอได้รับอนุญาตร่างเล็กก็ขึ้นบันไดวนข้างตัวบ้านขึ้นไปยังมุมชมวิวด้านบน ร่างเล็กทิ้งตัวลงนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ผ้าใบพลางทอดสายตาออกไปยังทะเลครามเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด

                “ชอบไหมครับ?” เจ้าของเสียงทักทายอย่างพยายามทำตัวให้ดูสดชื่นแต่ก็กลบเกลื่อนอาการอิดโรยไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ผ้าใบข้างๆกัน แทนดาวหน้าสลดลงเมื่อเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่ปรากฏชัดเจนบนใบหน้าและลำตัว

                “พี่เคยเจ็บหนักกว่านี้อีก รับรองได้...แค่นี้ไม่มีผลเท่าไหร่ อาจจะมีบ้างตรงที่สาวๆไม่ค่อยอยากจะมอง” เขาตอบสายตาค้นคว้าของคนตรงหน้าอย่างต้องการให้ขบขันแต่คนฟังสลดใจเกินกว่าจะยิ้มออกมา

                “เป็นเพราะน้องพลู...” มือน้อยเอื้อมไปแตะรอยช้ำตรงมุมปาก น้ำใสเอ่อคลอจะหยดแหล่มิหยดแหล่ด้วยความเห็นใจเหมือนจะเจ็บปวดตามไปด้วย

                “ไม่ใช่เลย...พี่ต่างหากที่ทำอะไรไม่เด็ดขาดจนทำให้น้องพลูเสียใจ โดนแบบนี้ก็สาสมแล้ว” ชลธีจับมือข้างขวาขึ้น มาพิจารณา นิ้วนางที่เคยมีแหวนเพชรแทนใจสวมอยู่ไม่ทันข้ามคืน บัดนี้มันว่างเปล่าทำเอาหัวใจของเขาเบาโหวง

                “น้องพลูได้ยินพี่หมากพูดเมื่อคืน...ก็เลยอยากจะถามค่ะ” ชลธีเตรียมใจไว้แล้วว่าคนตัวเล็กจะถามอะไร ในเมื่อเรื่องราวมันกลับตาลปัตรแบบนี้ก็ไม่ควรมีอะไรต้องปิดบังอำพราง

                ชลธีโทษตัวเองที่พลาด...เพราะความสงสารเห็นใจแต่คนอื่นจนความอาธรที่ว่ากลับมาทำร้ายตัวเองจนสาหัส สมน้ำหน้าตัวเองที่มัวแต่คิดว่าแทนดาวยังเด็กจึงไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องราวในอดีตให้ปวดหัว ปรารถนาให้หล่อนเป็นเพียงเด็กสาวหัวใจว่างที่รอคอยให้ถึงเวลาอันเหมาะสม ไม่เคยระแคะระคายเลยว่าการนิ่งนอนใจจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายในชีวิตได้มากมายถึงเพียงนี้

                “พี่จะตอบทุกอย่างครับ”

                “ก่อนอื่น...น้องพลูต้องบอกว่าเสียใจมากเรื่องแหวน พี่ชลอย่าโกรธพี่หมากเลยนะคะ น้องพลูเองก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย” แทนดาววางมืออีกข้างลงบนมืออุ่นแล้วบีบเบาๆอย่างต้องการจะปลอบโยนซึ่งกันและกัน

                “พี่เชื่อว่าน้องพลูพยายามปกป้องมันถึงที่สุดแล้ว พี่ต่างหากที่ไม่สามารถช่วยน้องพลูรักษามันไว้ได้ ไม่เป็นไรหรอกนะ พี่หาให้ใหม่ได้ แต่...น้องพลูยังจะยอมให้พี่สวมหรือเปล่า เรายัง ‘เหมือนเดิม’ ไหม?”

                “น้องพลูก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อ แต่ตอนนี้...น้องพลูชักไม่แน่ใจ คิดว่าตัวเองยังไม่รู้จักพี่ชลดีพอ มีอีกหลายอย่างที่ยังไม่รู้” ชลธีขมวดคิ้ว รู้สึกกลัวในสิ่งที่กำลังจะได้ฟัง

                “น้องพลูทราบว่าคุณปรางเป็นแฟนเก่าพี่ชลก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นน้องพลูชักจะไม่แน่ใจแล้วตอนนี้” แทนดาวเม้มปากแน่น ข่มกลั้นอารมณ์อย่างที่สุด

                “น้องพลูอย่าคิดมากนะครับ พี่กับปรางจบกันไปหลายปีแล้ว ตอนนี้พี่กับเขาก็เป็นเพียงแค่คนเคยรู้จัก พี่ให้เขาออกจากงานไปตั้งแต่กลับจากอเมริกาคราวนั้น”

                “แต่...เมื่อคืนน้องพลูนอนคิดเกือบทั้งคืน ตั้งแต่เรารู้จักกันก็เกิดเรื่องขึ้นหลายเรื่อง แทบจะทุกครั้งมักมีคุณปรางเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่เรื่องที่...น้องพลูเห็นพี่ชลยืนจูบกับเธอ” แทนดาวพยายามบังคับน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาแต่ก็ยากเหลือเกิน

                “น้องพลู...ฟังพี่นะครับ” เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาทรงอัลมอนด์

                “พี่กับปรางเราจบกันเด็ดขาดแล้วจริงๆ พี่ไม่ได้รักเขาอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างที่น้องพลูได้รู้เห็นพี่ก็มีคำอธิบายชัดเจน” แทนดาวปาดน้ำตารวกๆ รู้ซึ้งแล้วว่าอะไรเป็นอะไร

                “พี่ชลจะหมดเยื่อใยกับคนที่เคยเป็นแม่ของลูกได้เหรอคะ? พี่ปรางเคยท้องกับพี่ชลใช่ไหม? ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่พี่หมากพูดว่าพี่ชลให้เธอไปทำแท้ง...” ชลธีถึงกับหน้าถอดสีที่แทนดาวสะกิดใจกับเรื่องนี้ เรื่องเลวร้ายได้ประทับรอยแผลเป็นไว้ในหัวใจของเขาตราบทุกวันนี้

                “พี่ไม่เคยบอกให้ปรางทำแบบนั้น เธอฆ่าลูกพร้อมๆกับฆ่าพี่ไปในคราวเดียวกัน” ปากหยักเม้มหากันจนเป็นเส้นตรง ดวงตาและสีหน้าเปลี่ยนเป็นประกายกร้าว

                “น้องพลูขอเวลาสักหน่อยได้ไหมคะ? กับการทำความเชื่อใจในตัวพี่ชล” เสียงสะอื้นเบาๆของคนตัวเล็กค่อยๆชัดเจนขึ้น คำขอร้องเพียงแผ่วเบาแต่ทำให้หัวใจแกร่งดุจก้อนหินแทบจะแหลกเป็นละอองทราย

                “แทนดาว...” เขาเรียกชื่อหญิงสาวด้วยเสียงอันแหบแห้ง

                “นะคะ...เว้นระยะสักหน่อยให้น้องพลูได้คิดทบทวนให้มากกว่านี้ น้องพลูขอเชื่อใจตัวเองบ้าง ให้หัวใจสีน้ำเงินพิสูจน์ว่าดาวจะควรคู่กับทะเลแห่งนี้หรือไม่”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา