ปลูกรักในรั้วใจ
เขียนโดย อิสวารายา
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ตอนที่ 2 ประทับใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 2 ประทับใจ
เทียมภพขับวนหาที่จอดรถในห้างสรรพสินค้าอยู่นานกว่าจะเจอช่องว่างก็เล่นเอาหายหิวไปเลยเพราะว่าวันนี้เป็นวันศุกร์แถมยังเป็นวันเงินเดือนออกด้วย มองไปทางคนที่นั่งหลับคอพับอยู่ข้างๆแล้วก็ส่ายหน้าเซ็งๆที่ตัวเองต้องทำหน้าที่ทั้งคนขับและคนจ่ายเงิน น่าจะแกล้งทิ้งให้หลับอยู่ตรงนี้แล้วแอบหนีเข้าไปกินคนเดียวแต่จิตสำนึกฝ่ายดีก็สั่งให้เอื้อมมือไปขยี้ผมน้องสาวเบาๆเพื่อปลุกให้ตื่น
“ตื่นได้แล้วยัยขี้เซา ไม่กินแล้วใช่มั้ยซูชิน่ะ?” มือหนาจับศีรษะน้องสาวโคลงไปมา
“งืม...ถึงแล้วเหรอ เพิ่งหลับได้แป๊บเดียวเอง” คนตัวเล็กค่อยๆงัวเงียเปิดเปลือกตาทำให้พี่ชายหมั่นไส้เหลือกำลังเลยหยิกแก้มขาวๆเร่งให้ตื่นเต็มตา
“นอนหลับตั้งแต่ออกจากบ้านยังไม่ถึงครึ่งทางยังจะมาง่วงอีก” ว่าแล้วก็หยิกแก้มอีกข้าง
“โอ๊ย!...น้องพลูเจ็บนะ ถึงแล้วก็ลงสิ...หิวจะแย่” คนเพิ่งตื่นลงไปยืนบิดขี้เกียจอยู่ข้างรถ เทียมภพมองกิริยานั้นแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“เฮ้อ...มีน้องสาวกะเค้าอยู่คนแต่หาความเป็นกุลสตรีไม่ได้เล้ย” คนเป็นพี่แกล้งบ่นให้ได้ยิน แทนดาวหันมาค้อนก่อนเดินไปคล้องแขนพี่ชายแล้วยิ้มกริ่มอยู่ในใจ
“เอาน่า...ไงๆวันนี้พี่หมากเป็นเจ้ามือ ต้องทำดีไว้ก่อนอย่าเพิ่งมีปากเสียง”
“ก็น้องพลูเมื่อยนี่นา ไปเถอะค่ะ...หิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว” แล้วสองพี่น้องก็เดินคล้องแขนกันไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นที่น้องชอบมารับประทานอยู่ประจำและยังโชคดีที่ไม่ต้องรอต่อคิวเหมือนร้านอื่นๆ แทนดาวรีบคว้าจานไปที่มุมซูชิส่วนเทียมภพขอนั่งจิบเบียร์เย็นๆไปก่อน สักพักน้องสาวจอมตะกละก็ถือของกินมาเต็มสองมือ ทั้งข้าวปั้น เทมปุระและอาหารหน้าตาแปลกๆอีกสองสามอย่าง
“พี่หมากชิมกุ้งนี่สิ มามะ...น้องพลูจะป้อนนะคะ” เทียมภพอ้าปากรับกุ้งเทมปุระชิ้นโตที่น้องสาวจ่อให้ตรงปาก เบียร์เย็นๆ อาหารอร่อยๆ น้องสาวช่างเอาใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจเกี่ยวกับบุรุษนามว่า ‘ชลธี’ เสียสนิท
ความสบายใจที่มีอยู่มากโขทำให้เขาไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าตั้งแต่ออกจากบ้านมาก็มีรถอีกคันขับตามมาตลอดทาง แล้วตอนนี้คนสะกดรอยตามก็มานั่งหลบมุมอยู่ในร้านเดียวกันเสียด้วย ชลธี ธาราพิศุทธิ์สั่งเบียร์มาดื่มเช่นเดียวกัน ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้านแต่ไม่รู้นึกอย่างไรถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหันติดตามแม่สาวน้อยแก่แดดที่บังอาจกล้ามาตีฝีปากกับตนที่อายุห่างเป็นรอบได้กระมัง อาการปากเชิดบวกกับแววตาหาเรื่องของเจ้าหล่อนแสดงถึงนิสัยดื้อรั้นไม่เบาเลยทีเดียว แต่พอวิเคราะห์ให้ลึกลงไปแล้วสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจตามพี่น้องคู่นี้มาก็คือความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ชลธีไม่อยากฟันธงว่าเคยเห็นดวงตาทรงอัลมอนด์คู่นี้มาก่อนเพราะมันออกจะเลือนรางอยู่ในความทรงจำจนไม่ใคร่แน่ใจนัก
เทียมภพเป็นคนน่ารักก็ตรงนี้ เขามีหน่วยความจำพิเศษที่ออกแบบมาเอาใจสาวๆโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะกับคนในครอบครัวหรือสาวๆรอบกาย นักรักอย่างเขาจะจำได้หมดว่าใครชอบหรือไม่ชอบอะไรและจะคอยบริการเอาอกเอาใจจึงไม่แปลกที่ผู้ชายมีเสน่ห์ล้นเหลือแบบนี้จะมีสตรีเข้าหาอยู่ตลอด แน่ล่ะ...สุภาพบุรุษอย่างเขาก็คงไม่ใจร้ายปฏิเสธให้เสียน้ำใจ ความเป็นเพลย์บอยที่ว่าส่งผลถึงน้องสาวที่ต้องรู้สึกเบื่อหน่ายทุกครั้งเวลาจะต้องไปไหนมาไหนด้วย ก็แม่สาวๆพวกนั้นชอบมาตอแยเสนอตัวเป็นพี่สะใภ้ ไม่รู้พี่ชายทนให้แม่พวกนี้ทึ้งอยู่ได้อย่างไร โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกน่ารำคาญมากกว่า
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง แทนดาวนั่งเอนหลังเอามือลูบท้องบอกอาการอิ่มเต็มที่ส่วนเทียมภพซดเบียร์ขวดเล็กไปสองขวด เขาเองก็ไม่ได้พิศวาสอะไรหนักหนาหรอกกับอาหารญี่ปุ่นสุกๆดิบๆพวกนี้แต่แม่น้องสาวสุดสวาทชอบก็เลยต้องพามาบ่อยๆ
“พี่หมากขา...น้องพลูอยากดูหนัง” พออิ่มก็อยากหาความบันเทิงเริงใจเลยลองชวนพี่ชายดูภาพยนตร์รอบค่ำต่อ แต่ว่าคนถูกชวนไม่ไหวแล้วเลยจะขอผัดไปก่อน เหมือนเคย...คนน้องงอนหน้าคว่ำอีกพี่ชายที่แสนดีก็เลยต้องตามใจ
“เรานี่จริงๆเลยนะ ไม่เห็นใจพี่มั่งว่าทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแถมยังต้องพาเราเที่ยวอีก” คนพี่บ่นกระปอดกระแปด
“แต่วันนี้น้องพลูโทรไปถามพี่เกดแล้ว พี่เกดบอกว่าพี่หมากเสร็จงานตั้งแต่ตอนเที่ยง พาลูกค้าสาวๆไปกินข้าวแล้วก็ไปไหนต่อไม่รู้เพราะไม่อยู่ในตารางนัด อีกอย่างพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด” เทียมภพได้ฟังก็ถึงกับสะอึกที่ลืมเตี๊ยมกับผู้ช่วยส่วนตัวเอาไว้ก่อนก็นึกคาดโทษคนรายงานข่าวอยู่ในใจ
‘‘คุณเกดนะคุณเกด...นี่มีเรื่องอะไรคงจะรายงานยัยหนูนี่หมดสินะ’’
“เออ...พี่ก็มีงานต่อนั่นแหละน่า เราไม่ต้องยุ่งเรื่องของพี่หรอก ว่าแต่อิ่มแล้วแน่นะจะได้จ่ายเงิน” เทียมภพรีบควานหากระเป๋าสตางค์เป็นพัลวันเพื่อกลบพิรุธว่าจริงๆแล้ววันนี้พาชุสิตาแฟนสาวอดีตพริตตี้ขายรถที่ไต่เต้าจนได้มาเป็นนางแบบโฆษณาผลิตภัณฑ์ความงามที่เห็นในทีวีทุกวันนี้ไปหาความสุขสำราญตาประสาคนรัก
“แย่จัง...ดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถ รออยู่นี่ก่อนนะจ๊ะ” แทนดาวพยักหน้าแล้วเดินไปที่มุมของหวานซึ่งมีทั้งถั่วแดงร้อน พุดดิ้งนมสดและไอศกรีมหลากรสหลายสีสันยั่วตายั่วใจก่อนจะเลือกได้ไอศกรีมรสราสเบอรีสีสวยแต่ไอศกรีมที่เย็นจัดจนแข็งมากทำให้ตักลำบาก ออกแรงกดสกู้ปจนเมื่อยข้อมือแล้วก็ยังไม่ยอมตักเป็นก้อนดีๆเสียที
“ผมช่วยครับ” หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทุ้มที่เสนอความช่วยเหลือให้แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“เอ๊ะ...คุณอาธารามาทานข้าวที่นี่เหมือนกันเหรอคะ?” แทนดาวถามด้วยน้ำเสียงและกิริยานุ่มนวลกว่าตอนที่เจอกันที่บ้าน มาดสาวจอมแก่นเมื่อตอนเย็นถูกบดบังด้วยความพินอบพิเทาซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้จงใจดัดแต่อย่างใด ไม่มีทีท่าของความดื้อดึงหรืออวดดี ใบหน้าหวานแสดงความขอลุแก่โทษที่ไปก้าวร้าวแขกคนสำคัญของบิดาเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บุรุษหน้าดุผู้นี้อาจเป็นลูกค้ารายใหญ่หรือพวกข้าราชการรุ่นน้องหรือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมหุ้นของทวีกิจก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แทนดาวเริ่มใจคอไม่ดี
“เอ๊ะ...จะตามมาเอาเรื่องเราหรือเปล่านะ” หญิงสาวได้แต่คิดอย่างเป็นกังวล
“ผมชื่อชลธีนะ เรียกว่าพี่ชลก็ได้ง่ายดี” เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมติดออกจากเย็นชารู้สึกขัดหูกับชื่อสกุลที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเป็นชื่อจริง ส่วนสรรพนามที่เรียกตนว่า ‘อา’ ก็ฟังพิลึกชอบกล
“คุณอาธาราจะมาดุหนูใช่มั้ยคะ? เรื่องที่บ้านน่ะค่ะ ดิฉัน...เอ่อ...หนู...น้องพลู ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะคะ เป็นความเข้าใจผิดของหนูเอง หนูเข้าใจผิดว่าคุณอาธาราเป็นเพื่อนชายของพี่ผึ้ง” คนตัวเล็กสารภาพผิดเสียงอ่อยจนน่าสงสารแต่คนฟังยังคงขัดหูกับสรรพนามที่พยายามยัดเยียดให้เขาเป็น ‘คุณอา’ แถมชื่อก็ยังเรียกผิดอยู่ดี
“ผมไม่ติดใจเรื่องนั้นแล้วล่ะ ยื่นมาสิ...จะตักให้” เขาแบมือขอสกู้ปตักไอศกรีม แทนดาววางที่ตักอันนั้นลงบนฝ่ามือหนาอย่างว่าง่าย ดูเหมือนเขาจะออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ตักไอศกรีมเป็นลูกกลมๆขึ้นมาได้อย่างสวยงาม ขณะนั้นสายตาไวแอบสังเกตเห็นท่อนแขนด้านในโผล่พ้นแขนเสื้อที่พับขึ้นมาเกือบถึงศอกมีรอยสักเป็นตัวอักษร “P” แบบเล่นหางอยู่ด้วย
“ขอบคุณค่ะ คุณอาธาราไม่ทานของหวานบ้างเหรอคะ?” หล่อนกล่าวขอบคุณเสียงอุบอิบพร้อมกับประนมมือไหว้อย่างชดช้อยตามที่ได้รับการอบรมมาจากคุณย่าก่อนจะรับถ้วยไอศกรีมมา ชลธีมองใบหน้าหงอยๆนั้นด้วยความรู้สึกกึ่งสงสารกึ่งเอ็นดู สาวน้อยตรงหน้าต่างกับแม่สาวปากจัดที่เจอเมื่อตอนเย็นราวกับไม่ใช่คนๆเดียวกัน แต่ในใจก็อดนึกชื่นชมไม่ได้ว่าบ้านนี้อบรมลูกหลานมาดี ทั้งปลายเดือนและแทนดาวมีมารยาทที่ออกจะหาดูได้ยากมากในสมัยนี้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรให้แม้เพียงเล็กน้อยก็ตามพวกหล่อนก็จะไหว้อย่างนอบน้อมแบบรู้กาลเทศะเป็นอย่างดี
“ผมไม่ค่อยเป็นมิตรกับพวกขนมสักเท่าไหร่ เราชอบอาหารญี่ปุ่นเหรอ?” เขาชวนคุยบ้างเพื่อให้คู่สนทนารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเพราะตอนนี้สีหน้าท่าทางของคนที่กำลังคุยด้วยจ๋อยสนิทอย่างกับเด็กที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนตี
“ค่ะ…บางทีก็มากับพี่หมาก พี่ผึ้งหรือไม่ก็เพื่อนๆค่ะ แล้วคุณอาธารามาคนเดียวเหรอคะ?” แทนดาวทำใจดีสู้เสือถามกลับบ้าง ส่วนคนถูกถามคิดว่าคงจะต้องมีเวลามากกว่านี้ในการอธิบายว่าเขาชื่อชลธีและไม่อยากแก่ขนาดจะเป็นอาหล่อนได้
“พี่หมากกลับมาแล้ว หนูกลับไปที่โต๊ะก่อนนะคะ” หนุ่มหน้าเข้มยังไม่ทันจะตอบคำถาม สาวน้อยช่างพูดก็จะรีบเดินกลับที่นั่ง อารามรีบเร่งเลยก้าวพลาดเซไปชนคนตัวสูงอย่างไม่ตั้งใจแถมไอศกรีมลูกหนึ่งก็กระฉอกจากถ้วยกระเด็นไปถูกเสื้อเชิ้ตสีขาวก่อนจะหล่นแหมะลงพื้น คนซุ่มซ่ามไม่มีเวลาจะได้ขอโทษขอโพยเพราะต้องรีบผละไปก่อนที่พี่ชายจะมาเห็น ชลธีนิ่วหน้านิดหนึ่งที่ถูกข้อศอกเล็กกระทุ้งให้ตรงชายโครงพอดีแต่ก็ต้องรีบกลับไปหลบที่มุมเดิมเหมือนกัน
คนก่อวีรกรรมโดยไม่ตั้งใจครั้งที่สองเอาแต่จ้องไอศกรีมสีม่วงจนมันค่อยๆละลายไปโดยที่ไม่ได้ตักเข้าปากสักคำ ใจก็คิดถึงแต่เหตุการณ์เมื่อครู่แล้วคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานาว่าพลาดไปทำเขาโกรธอีกจนได้สินะ แล้วเขาจะไปฟ้องบิดาหรือไม่? เรื่องนี้จะมีผลกระทบต่องานของพี่ชายหรือเปล่า?
“น้องพลู...ตักมาแล้วทำไมไม่กินให้หมดล่ะคะ? ละลายหมดแล้วนั่น” เทียมภพถามพลางจิบเบียร์แก้วสุดท้ายเป็นการปิดท้ายอาหารมื้อนี้
“ตอนแรกคิดว่าจะไม่อิ่มนี่คะ ที่ไหนได้...อิ่มจนจุกจะออกทางปากอยู่แล้ว” คนน้องตอบเสียงค่อย ใครจะไปกลืนลงก็เพิ่งจะก่อเรื่องเอาไว้เมื่อกี้เอง
“อิ่มแล้วยังจะโลภมากอีก ถ้างั้นก็ไปจองตั๋วหนัง” น้องสาวพยักหน้า ก่อนจะออกจากร้านยังไม่ลืมที่จะมองหาคู่กรณีซึ่งหายตัวไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย
ภาพยนตร์ไตรภาคเพิ่งเข้าใหม่ที่สองพี่น้องจะดูนั้นที่นั่งดีๆถูกจำหน่ายไปหมดเหลือแต่ที่นั่งติดหน้าจอก็เลยติดสินใจไม่ดู พอเห็นน้องสาวออกอาการเบื่อโลกเลยยื่นข้อเสนอให้ช้อปปิ้งตามใจชอบไม่จำกัดวงเงินเพื่อเป็นของขวัญปลอบใจที่ไม่ได้ไปฉลองสอบเสร็จกับเพื่อนและอดดูภาพยนตร์เรื่องโปรด คนแสนงอนก็เลยค่อยยิ้มออกมาได้
แทนดาวเดินควงแขนพี่ชายเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างสำราญใจที่วันนี้มีเสี่ยใหญ่อย่างเทียมภพเป็นสปอนเซอร์ก็เลยช้อปเพลินเกินห้ามใจ ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงก็หอบหิ้วถุงต่างๆพะรุงพะรัง ทั้งรองเท้า เสื้อผ้า ของกระจุกกระจิกอีกสารพัด ฝ่ายเจ้าภาพนั้นไม่ได้สนใจว่าน้องสาวจะจับจ่ายไปเท่าไหร่แต่ว่ากำลังจะหมดแรงเดินแถมยังต้องหอบหิ้วสารพัดถุงที่แม่คุณคอยแต่จะส่งมาให้ พอเจ้าตัวบอกว่าอยากกลับบ้าน เทียมภพก็แทบกระโดด รีบเดินจ้ำอ้าวไปยังลานจอดรถแต่ก็ต้องเบรกกึกเมื่อน้องสาวร้องเรียกไว้
“พี่หมากรอก่อน น้องพลูขอแวะร้านนี้แป๊บนึงนะคะ” เทียมภพหันไปตามเสียงแล้วเดินกลับไปยืนข้างๆน้องสาวที่เบียดเสียดกับสตรีคนอื่นๆเพื่อเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านหนึ่ง กระจกหน้าร้านติดป้ายไว้ว่าลด ราคาล้างสต็อกสูงสุดเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แทนดาวถูกใจชุดไหล่เฉียงสีโอลด์โรสพิมพ์ลายดอกไม้ปักเลื่อมระยิบระยับทั่วตัวเสื้อ ตรงชายกระโปรงต่อด้วยลูกไม้สีขาว มันสวยน่ารักจนอดใจไม่ไหว
“สวยมั้ยคะ? น้องพลูชอบ” เอามาทาบตัวดูหน้าหลังจนพอใจแล้วอ้อนพี่ชายทันที
“เก็บไปเลยนะ...ไม่ผ่าน” เขามองชุดนั้นแล้วส่ายหน้าทันทีซ้ำยังคว้าชุดสวยไปแขวนเก็บไว้ที่ราวอย่างเดิม แทนดาวมองตามแล้วทำหน้ายุ่ง
“โป๊ขนาดนั้นใส่เข้าไปได้ยังไงกัน เดี๋ยวก็ไปทำหกๆหล่นๆให้ไอ้พวกหัวงูน้ำลายไหลหรอก” แทนดาวไม่เห็นว่าชุดจะโป๊ตรงไหนแค่ตัวเสื้อออกแบบมาให้เปิดไหล่ข้างหนึ่ง เนื้อผ้าก็ไม่ได้บางเบา คอเสื้อก็ไม่ได้คว้านลึกเกินงาม เด็กสาวๆรุ่นราวคราวเดียวกันก็ใส่แบบนี้กันทั้งนั้น แต่ก็นั่นล่ะ...ในสายตาของเทียมภพนั้น แค่สวมเสื้อแขนกุดก็หาว่าโป๊ กระโปรงสั้นเสมอเข่าก็ว่าสั้นเกินไปแต่ถ้าเป็นพวกสาวๆในฮาเร็มล่ะก็ตรงข้ามหมด ยิ่งสั้นยิ่งว่าสวย ยิ่งคว้านลึกยิ่งว่าเซ็กซี่
“ไม่เห็นจะโป๊เลยค่ะ ตอนนี้เค้ากำลังฮิตใส่แบบนี้กันทั้งนั้นแหละ พี่หมากนี่เชยเป็นบ้า ดูสิ...น่ารัก
ฟรุ้งฟริ้งเชียวค่ะ” หญิงสาวเอาชุดทาบตัวซ้ำไปซ้ำมา
“พูดอะไร....ไอ้ฟุ๊งเฟิ๊งมันแปลว่าอะไรกันล่ะ?” เขางงกับศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยินจากปากน้องสาว
“ศัพท์วัยรุ่นน่ะค่ะ แปลว่าสวยมุ้งมิ้ง” เทียมภพยิ่งงงหนัก
“ภาษาวิบัติล่ะไม่ว่า ถึงยังไงพี่ก็ไม่ซื้อให้หรอกนะ ใครอยากใส่ก็ใส่ไปแต่พี่ไม่ซื้อให้แน่ๆ อยากได้ก็ซื้อเองแล้วกันนะชุดนี้” เทียมภพยื่นคำขาด เขาไม่ยอมให้แทนดาวแต่งตัวเปิดเผยหรอก สาวๆคนอื่นน่ะไม่ปฏิเสธอยู่แล้วแต่ถ้าเป็นคนของตัวเองโดยเฉพาะน้องสาวสุดที่รักแล้วล่ะก็ไม่มีทาง ส่วนแทนดาวหน้ามุ่ย เหลือบดูป้ายราคาแล้วก็ต้องถอนใจ ขนาดลดเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วก็ยังเกือบครึ่งหมื่น ถึงจะมีเงินใช้ไม่ขาดมือแต่จะไม่ยอมทุบกระปุกซื้อเด็ดขาดแต่ก็เสียดายชุดสวยจนต้องไปลูบคลำเล่นอีกครั้ง
“เอาชุดนี้ไปแทนแล้วกัน” พอเห็นน้องสาวทำท่าเสียดายเหลือเกินก็เลือกเดรสสีคล้ายๆกันแต่เป็นแบบแขนตุ๊กตาปิดถึงต้นคอมาให้แทน ถึงจะสวยถูกใจสู้ชุดนั้นไม่ได้แต่ก็น่ารักเหมาะกับสาวหวานๆอย่างหล่อน แทนดาวไม่ว่าอะไรได้แต่มองตามพี่ชายที่เซ็นชื่อลงบนสลิปบัตรเครดิตพร้อมกับรับถุงเสื้อมาจากพนักงานก่อนจะจูงกึ่งลากน้องสาวออกจากห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
‘‘ถูกใจเค้าล่ะ’’ แทนดาวคิด
กว่าสองพี่น้องจะกลับถึงบ้านก็สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ทั้งถุงทั้งกล่องห้าหกใบกองรวมกันต่อหน้าคุณดวงทิพย์โดยมีลูกสาวคนสวยคอยแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร พอครบหมดทุกชิ้นก็หอบหิ้วของทั้งหมดกลับห้องด้วยความสบายใจที่ได้ถลุงคนเกิดก่อนอย่างที่ตั้งปณิธานไว้ พอคล้อยหลังบุตรสาวคนเล็กคุณเที่ยงธรรมก็หันมาพูดคุยจริงจังกับบุตรชายที่นั่งนวดขมับอยู่บนโซฟา
“หมาก...พ่อไม่รู้ว่าเรากับคุณชลธีมีอะไรกันมาก่อนหน้านี้ แต่พ่ออยากให้ลูกทำดีกับให้เค้ามากกว่านี้ เพราะอีกไม่นานเราอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากเค้านะ” บิดาบอกกับลูกชายตรงๆทำเอาคนฟังปวดหัวขึ้นมาอีก
“พ่อครับ ผมไม่รู้นะว่าพ่อไปตกลงคุยอะไรกับมัน...เอ่อ...เค้า แต่จะบอกว่าต่อให้เราต้องพบกับเรื่องลำบากขนาดไหน ผมสัญญากับพ่อได้เลยว่าจะไม่มีวันรับความช่วยเหลือจากคนพรรค์นั้นเด็ดขาด” พูดจบก็หนีกลับห้องทันทีเพราะไม่อยากแม้แต่ได้ยินชื่อนั้นอีก เขาคิดไม่ตกเลยว่าการพบกันอีกคราวนี้จะนำมาซึ่งเรื่องร้ายๆอะไรอีก
อีกด้านหนึ่งของกรุงเทพมหานคร...
ชลธีไล่อ่านข้อความในไลน์จากโทรศัพท์มือถือและอีเมล์ที่เมื่อคืนปล่อยทิ้งเอาไว้เนื่องจากมีธุระสำคัญให้จัดการ ไม่มีอะไรเป็นเรื่องด่วนนอกจากกลุ่มเพื่อนๆที่ชวนไปกิน ดื่ม เที่ยว ตามประสาชายโสดแต่ไม่สดหรือบางคนก็โสดนอกบ้าน ชลธีดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่มีอิสระในการใช้ชีวิตมากที่สุดเพราะยังไม่ทีทั้งแฟนและภรรยา นัยน์ตาสีเหล็กอ่านข้อความจากเพื่อนจนหมดก่อนจะเปลี่ยนไปอ่านข้อความจากสตรีคนหนึ่งที่ทำให้เขาต้องคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆแล้วรีบโทรกลับไปทันที
“แม่ครับ...คิดถึงแม่จัง” ใบหน้าเข้มกรอกเสียงออดอ้อนผ่านเครื่องมือสื่อสารขัดกับสีหน้าเย็นชาและสายตาดุดันอยู่เป็นนิจ รอยยิ้มจางๆที่ไม่เคยได้แย้มเยื้อนให้ใครบัดนี้ปรากฏเด่นชัดขึ้น
“อย่ามาพูดดีเลยนะ เมื่อวานแม่โทรหาตั้งหลายครั้งมีแต่ให้ฝากข้อความ” มารดาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเจือความโกรธแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก
“คุณแม่คนสวยงอนอะไรผมอีกล่ะเนี่ย?” ชลธีแกล้งถามทั้งๆที่รู้ว่ามารดาคงจะโมโหอยู่ไม่น้อยที่ติดต่อลูกชายไม่ได้
“ไปนอนให้สาวที่ไหนกกมาฮึ? ถึงต้องปิดเครื่องหนีแม่ด้วย” น้ำเสียงของมารดาฟังดูหงุดหงิดน้อยๆและดุอยู่ในที
“โธ่แม่ครับ...งานยุ่งขนาดนี้จะเอาเวลาไปกกสาวที่ไหนล่ะ ก็แม่น่ะ...ไม่หาให้สักที ผมรอจนผมหงอกขึ้นแล้วนะครับ”
“อย่ามาพูดดีหน่อยเลย พอหาให้จริงๆก็ไม่เอา กี่คนแล้วล่ะที่ปฏิเสธไปน่ะ? ทำให้แม่ต้องเสียหน้าแล้วผู้หญิงเค้าก็อายด้วย” มารดายังต่อว่าไม่หยุด
“โธ่...ก็ดูแม่หามาแต่ล่ะคน ยังกับตุ๊กตาชาววัง...แค่ผมจะจูงมือข้ามถนนก็เอะอะโวยวายหาว่าจะทำมิดีมิร้าย แบบนั้นต้องเอาตั้งโชว์ไว้ในตู้อย่างเดียวไม่เหมาะจะมาเป็นเมียหรอกครับ บ้างก็ไม่รู้ว่าหลุดมาจากทวิภพหรือเปล่า? แค่ถามว่ามีเฟสบุ๊คมั้ย? แม่คุณดันตอบว่า “ไม่มีค่ะ...ไม่รู้เหมือนกันว่ามีขายที่ไหน” บุตรชายเล่าไปหัวเราะไปกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ด้วยความรื่นเริง
“อย่ามาทำชวนหัวหน่อยเลย เราก็เหมือนกัน...อย่าดีแต่ล้อแม่ จำไม่ได้เหรอไง...ที่นัดมากินข้าววันเกิดแม่แต่พอโทรไปตามแล้วยังเมาไม่ฟื้นน่ะ เอาเป็นว่าหาเองแล้วกัน แต่ขอบอกนะว่าประเภทที่ลูกคั่วๆอยู่น่ะ...แม่ไม่เอาเด็ดขาด” มารดานึกถึงบรรดาสาวๆเหล่านั้นแล้วก็นึกขยาด แม้นางจะรู้ดีว่าบุตรชายไม่ได้คิดคบหาจริงจังกับสตรีพวกนั้นถึงขั้นแต่งงาน ด้วยความเป็นแม่...นางตระหนักดีว่าลูกชายจะไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงที่ตนหาให้แน่นอน ชลธีจะต้องเลือกคนที่จะมาเป็นภรรยาด้วยตัวเองซึ่งผู้หญิงตามสเป็กของบุตรชายนั้นในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมาคงจะมีเพียงแค่คนเดียวที่คบกันสมัยเรียน สตรีที่นางไม่เคยเห็นหน้าค่าตาแต่พอจะรู้ว่าบุตรชายรักผู้หญิงคนนี้มาก มากเสียจนทำใจไม่ได้เมื่อต้องเลิกรากัน ทนไม่ได้ขนาดที่ว่าต้องหลบไปรักษาแผลใจด้วยการไปศึกษาต่อต่างประเทศตั้งหลายปี
“คร้าบผม...ถ้าเจอแบบถูกใจแล้วจะพามาให้คุณนายสแกนก่อนเลย ว่าแต่ว่าโทรจิกลูกชายขนาดนี้มีธุระอะไรสำคัญมากหรือเปล่าครับ?” เขาเข้าเรื่องเพราะขี้เกียจต่อความเรื่อง ‘ผู้หญิง’ กับมารดา
“แม่จะถามลูกว่าคุณเที่ยงธรรมตกลงขายหุ้นให้เราหรือเปล่า?” น้ำเสียงของคุณวารีฟังดูจริงจังเมื่อกล่าวถึงบุคคลที่บุตรชายไปพบมา
“ตอนแรกก็ลังเลนะครับ แต่พอผมเสนอผลประโยชน์ที่ทางฝ่ายนั้นจะได้รับเค้าก็ตกลง อีกอย่าง...เอ่อ...อันนี้ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะครับ คนวงในเค้าว่ากันว่า...ทวีกิจกำลังจะ...ล้มละลาย” ชลธีรู้สึกเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องลับที่ได้รับรู้มาสดๆร้อนๆ
“อย่าพูดไปนะลูก...แม่ขอร้อง คุณเที่ยงธรรมตกลงให้เราเข้าไปช่วยเหลือแม่ก็ดีใจ ส่วนเราก็ต้องช่วยเหลือทางนั้นทุกอย่าง ลูกสัญญากับแม่ได้มั้ย?” คุณว่ารีพูดคล้ายขอร้อง ต่อมสงสัยของชลธีทำงานอย่างหนักเพราะช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มารดามักจะพูดถึงตระกูลทวีกิจไพศาลบ่อยครั้ง ชื่อของคุณเที่ยงธรรมก็ลอยเข้าหูบ่อยๆแต่ว่าตอนนั้นตนเองยังเรียนอยู่ต่างประเทศจึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรมากนัก
“ว่าไงลูก...สัญญากับแม่ได้มั้ย?” นางถามย้ำเมื่อบุตรชายยังคงเงียบเฉย ชลธีไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรมารดาของเขาก็มีเหตุผลเสมอดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะรับปากแม้ยังไม่รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงนั้นคืออะไร
“ครับแม่...ผมสัญญา” เมื่อรับปากแล้วสองแม่ลูกก็ไม่พูดคุยถึงเรื่องนี้อีก ชลธีคุยต่ออีกสักพักก็วางสายแล้วหลับตาลงอย่างใช้ความคิด ไอ้เรื่องที่จะให้เข้าไปทำงานกับบ้านนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้วแต่ทำไมตระกูลนั้นต้องมีคนชื่อ ‘เทียมภพ’ ร่วมวงศาอยู่ด้วยเล่า
สองวันถัดมา...
หลังจากชวนเพื่อนสนิทให้มางานเลี้ยงจนครบทุกคนแล้วแทนดาวก็ไปลองเสื้อผ้าที่ซื้อมาเมื่อสองวันก่อนแต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไรพี่เลี้ยงคนสนิทก็ถือกล่องพัสดุมาให้ แทนดาวพยายามมองหาชื่อคนส่งบนกล่องใบนั้นแต่ก็ไม่มีมุมใดของกล่องระบุชื่อผู้ฝากไว้เลย วิเคราะห์ดูจากลายมือที่เขียนชื่อตนไว้แสดงว่าผู้ส่งตั้งใจส่งมาให้แน่เพราะว่าเขียนชื่อ-นามสกุลด้วยลายมือบรรจงไม่ผิดเพี้ยน วงเล็บชื่อเล่นไว้อีกต่างหาก
“ใครเป็นคนมาส่งน่ะแป๋ม?” แทนดาวถามพี่เลี้ยงขณะใช้คัตเตอร์ค่อยๆกรีดเปิดกล่อง
“แมสเซนเจอร์ค่ะ เห็นบอกว่ามาจากเวบขายของออนไลน์” แป๋มตอบซื่อๆ
“เอ...ช่วงนี้น้องพลูไม่ได้สั่งซื้ออะไรนี่นา หรือว่าซื้อไว้แล้วลืมนะ?” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง
“จะเป็นระเบิดหรือเปล่าคะ? ช่วงนี้ผู้ก่อการร้ายชุกชุมอยู่ด้วยนะคะคุณน้องพลู” พี่เลี้ยงคนเดิมแสดงความเห็นเมื่อเห็นท่าทางลังเลของเจ้านายสาว
“จะบ้าเหรอแป๋ม! ถ้าเป็นระเบิดล่ะก็...เธอนั่นแหละตายก่อน” แทนดาวดุแล้วค่อยๆเปิดกล่องอย่างระมัดระวัง “เอ...หรือว่าจะเป็นระเบิดอย่างที่แป๋มบอกนะ”
“โอ๊ย...ทำไมลึกลับซับซ้อนอย่างนี้นะ” คนตัวเล็กบ่นเมื่อเปิดกล่องไปก็เจอกับถุงพลาสติกสีขาวขุ่น พอเปิดถุงก็เจอกับซองกระดาษสีน้ำตาลอีกชั้นหนึ่ง จนในที่สุดก็เผยให้เห็นสิ่งของด้านใน แทนดาวถึงกับพูดไม่ออก จ้องมองสิ่งนั้นอยู่นานอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง พยายามคิดว่านี่คือความฝันไม่ใช่ความจริง
“สวยจังเลยค่ะคุณน้องพลู” พี่เลี้ยงคนสนิทพูดแทนเจ้านายที่ตอนนี้ได้แต่ตะลึงงัน มือน้อยค่อยๆหยิบเดรสสีโอลด์โรสขึ้นมาพิจารณาอย่างช้าๆ ใช่ชุดที่ไปเลือกเมื่อวันก่อนจริงๆด้วย แล้ว...มันมาได้อย่างไร
“แป๋ม...ตอนไปรับของน่ะ เห็นหน้าคนส่งมั้ย? ใครมาส่ง?”
“เอ่อ...ก็แมสเซนเจอร์น่ะค่ะ ใส่หมวกกันน็อคไม่เห็นหน้าหรอกค่ะ” แป๋มตอบงงๆ แทนดาวไม่ว่าอะไรต่อเพียงแต่เก็บความสงสัยไว้แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกว่าใครจะเป็นคนส่งมา บางที...อาจจะเป็นพี่ชายทำเซอร์ไพร้ส์ก็ได้ สาวน้อยหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปชุดราตรีทั้งสองชุดเปรียบเทียบกันแล้วโพสต์ในไลน์กลุ่ม ชักชวนให้เพื่อนๆร่วมโหวตว่าระหว่างชุดคุณหนูที่พี่ชายซื้อให้กับชุดสีส้มพาสเทลที่เพิ่งได้มา (จากใครไม่รู้) ควรจะหยิบชุดไหนมาสวมในงานวันเกิดของคุณย่า
“ถ้าเธอไม่ใส่ชุดนี้ ฉันจะผิดหวังมากเลยนะ” แทนดาวยิ้มให้กับหนึ่งในความเห็นที่เพื่อนๆมาตอบไว้ แน่นอน...ชุดเปิดไหล่สีโอลด์โรสได้คะแนนนำลิ่ว
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ...ขอบใจมาก” ชลธียิ้มมุมปากน้อยๆหลังวางสายจากผู้ช่วยคนสนิทแล้วเหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนังที่บอกเวลาสิบเอ็ดโมงพอดี วันว่างๆแบบนี้เขามักเลือกที่กลับมาหามารดาและพักผ่อนริมชายทะเลเงียบๆ แม้งานทางนี้จะไม่มากเท่าที่กรุงเทพแต่ก็ไม่อยากให้มารดาต้องเหนื่อยมากนัก
“วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอลูก? ลูกปลามาถามหาตั้งแต่เมื่อวานว่าอาทิตย์นี้พี่ชลจะกลับมาหรือเปล่า” คุณวารีถามบุตรชายที่นั่งเอนหลังเหยียดแขนขาบนเก้าอี้ตัวยาว สายตาของเขาทอดเหม่อผ่านผนังกระจกไปยังทะเลสีเขียวเบื้องหน้า
“เหรอครับ...คิดว่าลูกปลาจะลืมไปแล้วนะเนี่ย ผมหลวมตัวรับปากกับเธอไว้น่ะสิว่าถ้ากลับมาบ้านรอบนี้จะไปดำน้ำด้วย” เขาตอบด้วยท่าทีสบายๆพลางจิ้มสาคูไส้หมูที่มารดาเพิ่งยกมาให้เข้าปาก ลูกปลาหรือปาลิดาที่กำลังพูดถึงคือหญิงสาวรุ่นน้องที่อยู่บ้านใกล้ๆกัน เป็นทั้งเพื่อนบ้านและพี่น้องที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ สำหรับปาลิดาหรือลูกปลาบุตรีคนที่สามของเจ้าของสะพานปลาคนนี้...ชลธีคือไอดอลชายหนึ่งเดียวในดวงใจเท่านั้น เคยมีครั้งหนึ่งที่เตี่ยกับแม่ของหล่อนพยายามเจรจาขอหมั้นหมายชลธีให้ลูกสาว คราวนั้นคุณวารีเกือบจะตกปากรับคำเพราะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆอีกทั้งตัวปาลิดาเองก็เป็นคนดีประกอบกับบุตรชายก็ครองตัวเป็นโสดมานานแล้ว แต่ชลธีค้านหัวชนฝาโดยให้เหตุผลว่าไม่เคยคิดจะเอาเด็กข้างบ้านมาทำเมีย!
“อ้อ...อีกเรื่องนะ วันนั้นแม่ยัยลูกปลามาบอกว่าอยากให้ลูกสาวไปทำงานกับชลที่กรุงเทพน่ะ เค้าเบื่องานที่บ้าน ที่สะพานปลากับห้องเย็นมีพี่ๆช่วยทำอยู่แล้วเลยอยากไปทำงานที่มันตรงกับที่เรียนมา” คุณวารีกึ่งเล่ากึ่งถามความเห็นของลูกชาย
“อะไรกัน...ยัยตาตี่นั่นเรียนจบมาตั้งนานเพิ่งรู้ตัวเหรอว่าอยากทำงานตรงสาย คิดช้าไปหน่อยมั้งเนี่ย อีกอย่าง...ผมว่าจุดประสงค์จริงๆของยัยลูกปลาคืออยากหาทางอยู่ใกล้ชิดผมมากกว่า โอ๊ย...ผมล่ะกลัวใจนางจริงๆ เกิดวันดีคืนดีนึกครึ้มใจไล่ปล้ำผมขึ้นมาอีกจะว่ายังไง?” เขาว่าพลางหัวเราะร่วน ตามปรกติวิสัยแล้วชลธีจะไม่นิยมนินทาว่าร้ายอิสตรีลับหลังด้วยยึดถือความเป็นสุภาพบุรุษที่ได้รับการสั่งสอนมา แต่ความที่สนิทชิดเชื้อกับครอบครัวของปาลิดาจึงกล้าที่จะหยอกเย้าเล่นหัวกัน
“เดี๋ยวพ่อแม่เค้ามาได้ยินเข้าหรอกนั่น” นางดุไม่จริงจังนักเพราะไอ้ที่บุตรชายว่ามามันก็มีเค้าความจริง เขาเคยเกือบจะโดนจับคลุมถุงชนเพราะแผนการของลูกปลาตัวแสบมาแล้ว ยังจำได้ไม่มีวันลืมที่เสียรู้เด็ก ปาลิดาวางแผนหลอกว่าเรือสปีดโบ้ทน้ำมันหมดอยู่ที่เกาะกลับบ้านไม่ได้ ด้วยความเป็นห่วงและเป็นเพื่อนบ้านที่ดีเลยขับเรือออกไปรับ แต่ที่ไหนได้...หล่อนแอบให้ลูกน้องสองคนขับเรือทั้งของตัวเองและของชลธีกลับฝั่ง แน่ล่ะ...บรรยากาศเป็นใจเหมือนในละครเพราะเย็นวันนั้นฝนตกหนักฟ้าแลบแปลบปลาบ แต่อนิจจา...สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือที่นั่นไม่มีกระท่อมให้หลบฝน ผลคือทั้งคู่เปียกมะล่อกมะแล่กหนาวสั่นจนฝ่ายหญิงต้องยอมโทรบอกที่บ้านให้มารับกลับ แน่นอนล่ะว่า...ครอบครัวปาลิดาต้องเข้าใจว่าทั้งคู่ผิดผีกันแล้วแน่ๆ (อาจจะลุ้นให้ผิดผีกันอยู่แล้วก็ได้) ฝ่ายเตี่ยของลูกปลาถึงขั้นไปดูฤกษ์ดูยามจัดงานแต่งกันเลยทีเดียว
“ก็ผมกลัวจริงๆนี่ โอย...นึกถึงเรื่องนั้นแล้วยังสยองไม่หาย” ชลธีทำท่าขนพองสยองเกล้าจนคุณวารีอดขำไม่ได้ เหตุการณ์วันนั้นกว่าจะเคลียร์กันเข้าใจก็ต้องเรียกลูกน้องที่สมรู้ร่วมคิดมาเป็นพยาน ไหนจะทั้งคู่ที่จับไข้ไปอีกหลายวันหลังจากนั้น ชลธีเองก็ไม่กล้ากลับระยองอยู่เป็นเดือน
“เอาเถอะ...แล้วแม่จะพยายามหาทางเลี่ยงให้นะ เมื่อเช้ายัยแฟงก็โทรมาเล่าให้ฟังว่าเด็กที่พาไปแข่งได้รางวัลที่สาม ถือว่าไม่เลวนะ...เด็กคนนั้นต้องมีอนาคตไกลแน่นอน” คุณวารีเอ่ยถึงลูกสาวอีกคนที่พาลูกศิษย์ไปแข่งไวโอลินระดับเยาวชนชิงแชมป์เอเชียที่สิงคโปร์
“กลับพรุ่งนี้แล้วสินะ ถ้างั้นผมคงกลับกรุงเทพเร็วหน่อยจะได้แวะรับยัยแฟงที่สนามบิน” เขาว่าพลางพิมพ์ข้อความส่งไลน์นัดหมายกับน้องสาว
“งั้นเดี๋ยวแม่จะไปตลาดซื้ออาหารทะเลแห้งไปฝากบ้านคุณเที่ยงธรรมหน่อยนะ ลูกจะไปบ้านนั้นอีกเมื่อไหร่ล่ะ?”
“เสาร์หน้าที่บ้านนั้นจะจัดงานวันเกิดคุณย่าลำเภา ท่านเชิญผมแล้วก็แม่ด้วย งั้นพรุ่งนี้แม่กลับกรุงเทพพร้อมกันเลยดีมั้ยครับ?”
“แหม...น่าเสียดายจริง แม่รับปากเสี่ยอ้วนไว้แล้วว่าจะไปบวชลูกชาย แกมาบอกไว้เป็นเดือนแล้ว ยกเลิกเสียจะน่าเกลียด ลูกไปแทนนะแล้วเอาของฝากไปด้วย” พูดจบคุณวารีก็ลุกไปเตรียมของฝากที่ว่า ขณะที่บุตรชายยังนอนทอดสายตามองเหม่อออกไปยังชายทะเลสีครามพลางยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง ป่านนี้คนบางคนที่บ้านโน้นคงจะยังตื่นเต้นยินดีกับของขวัญสุดที่เขาจัดให้เป็นแน่แท้
เมื่อวันที่ตนได้ไปบ้านทวีกิจไพศาลแล้วได้อยู่ในเหตุการณ์ปะทะคารมระหว่างพี่น้องสาวสวย คนหนึ่งเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้งามสง่าสมเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล ส่วนอีกคนแก่นแก้วก๋ากั่นพูดจาแต่ล่ะทีทำเอาคนฟังหน้าหงาย ทั้งยังเป็นน้องสาวแท้ๆของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูเสียด้วยก็เลยเกิดนึกสนุกแอบตามพี่น้องคู่นี้มาจนถึงห้างสรรพสินค้า แต่ที่สนุกสุดเห็นจะเป็นฉากเด็ดในตอนท้ายที่แม่คนปากช่างจำนรรจาโต้เถียงกับพี่ชายเรื่องชุดสวยนั่น เดาจากอากัปกิริยาได้ไม่ยากว่าพี่ชายคงไม่ยอมตามใจถึงได้ทำหน้างอ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรทำให้ต้องซื้อชุดนั้นส่งไปให้
สัปดาห์ถัดมา...
แทนดาวถูกคุณย่าเกณฑ์ไปช่วยเตรียมของใช้ในงานเลี้ยงวันเกิด เบื่อเหลือเกินกับการที่ต้องมานั่งแกะสลักผักผลไม้ให้เป็นลวดลายวิจิตรพิสดาร ฝีมือก็พอใช้ได้อยู่หรอกแต่ถ้าเทียบกับพี่สาวอย่างสีผึ้งแล้วก็นับว่าแย่ที่สุด หล่อนแกะมะม่วงดิบให้เป็นรูปใบไม้ได้แค่สองชิ้นก็บิดไปบิดมาด้วยความเมื่อย ไม่รู้ว่าปลายเดือนนั่งทำไปได้ยังไงตั้งนานสองนาน แทนดาวเหลือบมองพี่สาวที่มีความเป็นกุลสตรีเต็มร้อย งานบ้านงานเรือนรวมทั้งกิริยามารยาทนั้นเปรียบประดุจนางสาวไทย แต่นั่นก็เป็นเพียงด้านเดียวที่คนอื่นๆเห็น ต่างกับเวลาอยู่กับน้องสาวที่จะกลับกลายเป็นคนละคน ใครจะเชื่อว่าสตรีผู้แสนเรียบร้อยราวกับแกะออกมาจากพิมพ์อย่างปลายเดือนจะชอบรังแกสาวเฮี้ยวอย่างแทนดาวอยู่ประจำ ทุกครั้งที่มีเรื่องกันทุกคนก็จะเล็งความผิดทั้งหมดมาที่แทนดาวก่อน แต่ไม่มีใครล่วงรู้เลยสักนิดว่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ปลายเดือนเป็นคนริเริ่มก่อนทั้งสิ้น
“น้องพลูไม่ทำแล้วค่ะคุณย่า เมื่อยจะตายอยู่แล้ว” ว่าแล้วก็จุ่มมือลงในอ่างเคลือบใบใหญ่เตรียมลุกหนีไป
“อะไรกันเจ้าพลู ทำได้แค่สองชิ้นนี่เมื่อยแล้วเหรอ? ดูเจ้าผึ้งมันสิ...ทำไปหลายสิบยังไม่เห็นมันบ่น แถมยังอุตส่าห์หยุดงานหยุดการมาช่วยเต็มที่” แทนดาวชินเสียแล้วกับการถูกคุณลำเภาหยิบยกไปเปรียบกับพี่สาว
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ใบพลูคงไม่ถนัดงานพวกนี้ เดี๋ยวผึ้งทำทั้งหมดนี่เองก็ได้ค่ะ” ปลายเดือนเงยหน้ายิ้มให้คุณย่า คำเปรียบเปรยเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้ภูมิใจขึ้นมาสักนิด หล่อนรู้ตัวดีมาตลอดว่าถึงจะประพฤติตนเป็นกุลสตรีอยู่ในโอวาทเพียงใดก็สู้หลานสาวคนเล็กที่ดื้อดึงเอาแต่ใจไม่ได้ แม้คนน้องจะถูกดุอยู่เสมอ ถูกทำโทษบ่อยที่สุดแต่ก็เป็นหลาน ‘คนโปรด’ อยู่ดีนั่นเอง
“ยัยพลูจะไปไหน? มาช่วยคุณย่าให้เสร็จก่อน เดี๋ยวเถอะ!” คุณดวงทิพย์ร้องห้ามบุตรสาว
“ปล่อยมันไปเถอะ ทำไปก็เสียของ ดูสิ...บิดๆเบี้ยวๆ ไปไหนก็ไปเถอะย่ะ...ย่าล่ะเบื่อเจ้าจริงๆ” คุณลำเภาบ่นหงุมหงิมแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมากไปกว่านี้ แทนดาวได้ใจรีบคลานเข้าไปหาแล้วกับกอดหญิงชราไว้แน่นก่อนจะหอมแก้มย่นๆทั้งสองข้างดังฟอดแล้ววิ่งแผลวออกไปทำเอาคุณลำเภาแทบตกจากตั่ง
“แหม...นังคนนี้ มันเซี้ยวนัก!” คุณย่าว่าไล่หลังตามหลานสาวคนเล็กไป ปลายเดือนปรายตามองนิดหนึ่ง นั่นปะไร...แม้ปากจะบ่นว่า แต่ก็มีรอยยิ้มจางๆปรากฏบนหน้าของหญิงชรา นึกน้อยใจนิดๆที่ทุกคนยอมให้แทนดาวเสมอแต่ถ้าเป็นตัวเองลุกไปแบบนั้นบ้าง ไม่ต้องเดาเลยว่าต้องถูกทั้งคุณแม่ คุณย่า เทศนาอบรมกันเป็นชั่วโมง ไม่ยุติธรรมเลย
ใครๆก็ว่าหล่อนได้ความเป็นกุลสตรีมาจากแม่รินและคุณย่าที่คอยอบรมมาตั้งแต่เด็กๆ คุณสมบัติดังกล่าวทำให้ต้องพยายามทำทุกอย่างในสิ่งที่ผู้เป็นย่าและมารดาอยากให้เป็น แต่พอแทนดาวเกิดมา ความสงสัยต่างๆก็บังเกิดขึ้น เด็กที่แสนซนอย่างนั้นทำไมใครๆถึงได้พากันเอาใจ พอลองดื้ออย่างนั้นบ้างกลับถูกดุหรือบางครั้งก็ถูกตี การที่มีน้องเล็กเกิดมาทำให้ตนเองหมดความหมาย ไม่ว่าอะไรก็ต้องเป็นใบพลู ส่วนตนเองก็เป็นพี่ผึ้ง...พี่สาวที่แสนดี แต่ถ้าแลกได้ก็อยากเป็นอย่างน้องสาวที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบหนำซ้ำยังมีแต่คนรุมรัก ไม่มีใครเลยจะล่วงรู้ว่ามันร้าวรานเพียงใด
“ฮือ...น้องพลูเจ็บจังค่ะ...คุณย่า” แทนดาวร้องไห้โฮ ที่หัวเข่ามีเลือดออกไหลยาวเป็นทาง จักรยานคันเล็กล้มอยู่ข้างๆ
“โอ๋ๆ...ไม่ร้องนะลูก เจ็บตรงไหนเดี๋ยวย่าพาไปทำแผล” คุณลำเภาอุ้มหลานสาวคนเล็กอย่างปลอบโยนก่อนจะส่งให้คุณดวงทิพย์พาไปใส่ยา
“ดูแลยังไงปล่อยให้น้องรถล้ม ดูสิ...เป็นแผลถลอกปอกเปิกหมด” คุณลำเภาหันมาต่อว่าปลายเดือนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ เด็กหญิงเห็นแล้วว่าน้องสาวแอบพี่ชายกับแม่มาหัดขี่จักรยาน ตอนที่เสียหลักจะล้มตนเองก็เป็นคนคว้าตัวน้องไว้แล้วล้มไปด้วยกัน
“ผึ้งห้ามแล้วนะคะคุณย่า” แม้จะไม่ถูกดุมากไปกว่านี้แต่ส่งผลให้เด็กวัยแปดขวบเสียความรู้สึกพอสมควร จากนั้นทุกคนในบ้านต่างพากันไปดูแลแทนดาว ซักถามอาการอย่างเป็นห่วงเป็นใย ไม่มีใครรู้เลยว่าหลานสาวอีกคนกำลังร้องไห้ เลือดจากแผลที่ข้อศอกไหลเป็นทาง เจ็บปวดไม่แพ้กัน อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะว่าบวกความเจ็บใจเข้าไปด้วย!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ