ปลูกรักในรั้วใจ
เขียนโดย อิสวารายา
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ 1 ทวีกิจไพศาล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1 ทวีกิจไพศาล
บ้านทรงไทยประยุกต์ครึ่งไม้ครึ่งปูนตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เพียงหลังเดียวในซอยนี้ อาจจะดูสะดุดตาที่ยังมีเรือนไทยหลังนี้อยู่บริเวณเกือบจะใกล้ใจกลางกรุงเทพมหานครที่มีแต่ตึกรามผุดขึ้นราวดอกเห็ด ตัวบ้านที่หลบจากถนนใหญ่อันคลาคล่ำไปด้วยรถรากับหมู่ตึกรามสูงระฟ้าเพียงแค่เข้าซอยมาไม่เท่าไหร่ แต่พอก้าวพ้นรั้วที่มีเถาพวงชมพูแซมเล็บมือนางเลื้อยปกคลุมจนมองแทบไม่เห็นแนวกำแพงไม้ระแนงกึ่งคอนกรีต ก็อาจจะทำให้ใครหลายๆคนหลงคิดว่ามาเที่ยวบ้านสวนต่างจังหวัด ด้วยบรรยากาศอันร่มรื่นจากต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลายสายพันธุ์ยืนต้นสูงชะลูดให้ร่มเงาบดบังแสงแดดเปรี้ยงยามบ่ายแก่ได้เป็นอย่างดี บรรดาไม้ดอกนานาชนิดแข่งกันส่งกลิ่นหอมจางๆบ่งบอกว่าเจ้าของบ้านหลงใหลในหมู่พฤกษาเพียงใด
ภายในบ้านเงียบสงบได้ยินเพียงเสียงลมพัดใบไม้กราวเกรียวต่อเนื่องจนอาจจะดูเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ ณ ตอนนี้ แต่ถ้ามองผ่านสนามหญ้าเขียวขจีที่ตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเลยไปยังศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ปลูกยื่นล้ำไปในสระบัวอยู่ครึ่งหลังก็จะพบว่าสมาชิกส่วนหนึ่งของบ้านรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ทั้งหมดกำลังตั้งใจฟังคำสั่งจากหญิงชราที่นั่งตัวพิงกับหมอนทรงสามเหลี่ยมอยู่บนตั่งไม้สัก มีสตรีวัยกลางคนนั่งเยื้องไปข้างๆ แม่บ้านสาวรุ่นหนึ่งคนและวัยเลยห้าสิบอีกสองคนนั่งพับเพียบอย่างสงบเสงี่ยมบนพื้นกระดาน หญิงชรากับสตรีสองคนนั้นกำลังปรึกษาหารือเรื่องงานใหญ่ที่กำลังจะมีขึ้นภายในบ้านหลังนี้ในอีกไม่กี่วัน
“ฉันว่าตอนเช้าจะเลี้ยงพระเก้ารูป ให้ญาติพี่น้องมาทำบุญตักบาตรกัน บ่ายก็มอบทุนการศึกษาให้เด็ก อ้อ...เลี้ยงข้าวพวกครูกับตัวแทนเด็กที่จะมาซะเลย ปีนี้ก็มอบให้เก้าทุนอย่างเดิมนั่นล่ะ แล้วก็บริจาคส่วนหนึ่งให้โรงพยาบาลสงฆ์ ตอนเย็นเป็นคิวพวกพนักงานกับลูกค้าของธรรมเค้า เธอว่าดีมั้ยล่ะคุณทิพย์?” หญิงชราถามความเห็นจากสตรีผู้เป็นลูกสะใภ้คนโต คุณดวงทิพย์นั่งตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบแม่สามี
“หนูก็ว่าดีแล้วค่ะ เรื่องเงินที่จะบริจาคให้โรงพยาบาลเห็นว่าสีผึ้งเตรียมเช็คเงินสดไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนทุนหนูก็จัดใส่ซองตามจำนวนเท่าปีก่อน ยังไม่รวมพวกของเล่นกับเสื้อผ้าที่รับบริจาคมาจากเพื่อนๆ ส่วนนี้จะให้คนขับรถส่งตามไปทีหลัง ปีนี้รวบรวมได้หลายลังทีเดียว” คุณดวงทิพย์รายงานแม่สามี คุณลำเภาพยักหน้าอย่างพอใจ
“คุณรินอย่าลืมบอกสีผึ้งให้เตรียมชุดสังฆภัณฑ์กับพวกหยูกยาที่จะเอาไปถวายด้วย” คุณลำเภาหันมากำชับลูกสะใภ้คนรอง คุณระรินพยักหน้า
“แล้วก็ให้นายตาลหรือใครที่ว่างไปรับคุณหญิงบุญศรี เธอจะพาเหลนชายมาอวดด้วย ไม่เจอกันจะครบปีแล้ว...มีเรื่องคุยกันแยะ” คุณลำเภาพูดถึงเพื่อนสนิทที่ยังคงติดต่อกันและเป็นส่วนน้อยที่ยังมีชีวิตอยู่
“เดี๋ยวหนูจะนัดหมายกับทางโรงเรียนอีกครั้งเรื่องการแสดงของเด็กๆ ครูทางนั้นแจ้งมาว่าอยากจัดการแสดงสักสามชุดเพื่อตอบแทนที่เราให้ทุนการศึกษาติดต่อกันมาหลายปี” คุณระรินลูกสะใภ้คนรองกล่าว หญิงชรายิ้มบางๆอย่างพอใจ แม่บ้านที่อาวุโสที่สุดคอยจดคำสั่งลงสมุดบันทึกอย่างขะมักเขม้น ดูจากรายการที่ยาวเกือบกินเนื้อที่สองหน้ากระดาษนั้นอนุมานได้ว่างานนี้มิใช่เล็กๆ
“อ้อ...แบ่งพวกของคาวของหวานแจกจ่ายบ้านในซอยด้วยล่ะ พึ่งพาอาศัยกันมานานเนเกดัก พูดถึงก็นึกขึ้นได้...บ้านคุณพร้อมท้ายซอยนั่นอย่าลืมเอาปิ่นโตที่เค้าใส่ขนมจีนน้ำยามาให้วันก่อนไปคืนด้วย ใส่แกงส้มมะรุมกับบวดฟักทองไปด้วย” หญิงชรากล่าวถึงเพื่อนบ้านที่สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดีซึ่งต่างก็เคารพนับถือคุณลำเภาผู้อาวุโส ตั้งแต่สมัยสาวๆเวลามีงานบุญงานบวชของเพื่อนบ้านละแวกนี้ท่านก็จะไปช่วยงานไม่เคยขาด มีผลหมากรากไม้หรือขนมนมเนยก็จะคอยแบ่งปันไปให้อยู่เนืองๆ เพื่อนบ้านข้างเคียงก็จะให้ของฝากมาอยู่เสมอๆเช่นกันเรียกได้ว่าถ้อยทีถ้อยอาศัย ไมตรีจิตที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กันออกจะหาดูยากแล้วในสังคมปัจจุบันที่หลังคาติดกันแท้ๆมองเห็นหน้ากันทุกวันแต่ไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม
“อีกอย่าง...อันนี้สำคัญนะ ทองหยองที่ไปสั่งคุณหลีเอาไว้เค้านัดให้ไปเอาเมื่อไหร่กันล่ะ?” หญิงชรามีสีหน้าจริงจังเมื่อถามถึงของขวัญที่จะมอบให้หลานๆ เป็นที่รู้กันว่าท่านให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวมากและความดีงามนี้ยังได้ถ่ายทอดต่อจากรุ่นสู่รุ่น พี่น้องทุกสายรักใคร่กลมเกลียวไม่เคยมีปัญหาขัดผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจหรือเรื่องทรัพย์สมบัติใดๆ ในวันเกิดทุกๆปีท่านจะสั่งทำสร้อยคอบ้าง ข้อมือบ้างหรือแหวนแจกหลานๆ โดยตามธรรมเนียมปฏิบัติถ้าหลานคนไหนอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ก็จะได้รับแหวนทองสลักชื่อสกุล แล้วถ้าคนไหนเรียนสำเร็จปริญญาตรีก็จะได้รับของขวัญพิเศษเป็นชุดเครื่องประดับเพชรบ้าง ทองบ้าง อันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของท่านเองที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มตั้งตัว ท่านเคยปรารภเอาไว้หลังคุณกอบกิจผู้เป็นสามีถึงแก่กรรมไม่นาน
“สมบัติเยอะแยะไม่รู้จะเก็บไว้ทำไมกันให้รกบ้าน ตายไปก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง สู้ให้ลูกให้หลานมันเอาไปเก็บรักษาต่อไม่ดีกว่าหรือ? จะว่าดีร้ายก็ให้มันเอาไว้ขายกินเผื่อถึงยามตกอับ”
“วันก่อนไปซื้อผ้าม่านกับพี่ทิพย์ก็ได้แวะเข้าไป เจ๊หลีก็ใจดีอย่างเคย...ไม่เอามัดจำสักบาท เดี๋ยวได้มาแล้วจะเอามาให้คุณแม่ดูก่อนแล้วค่อยเก็บเข้าเซฟ” สะใภ้คนเล็กตอบ
“ดี...ฉันว่าจะมูนข้าวเหนียวมะม่วงไปฝากคุณหลีสักหน่อย แม่เค้าแข็งแรงดีหรือยังนะ? ไอ้โรคเลือดตีบเลือดตันนี่ก็น่ากลัว เอาไว้จบงานนี้ก่อนฉันจะไปเยี่ยมแกที่บ้าน” คุณลำเภากล่าวถึงลูกสาวเจ้าของร้านทองที่อายุเท่าๆกับคุณเที่ยงธรรมบุตรชายคนโต
หากจะเท้าความย้อนกลับไป เถ้าแก่เฉลาบิดาของคุณหลีคนนี้เป็นลูกค้าคนแรกของทวีกิจไพศาลเลยก็ว่าได้ ชุดโต๊ะรับแขกไม้สักที่ซื้อไปเมื่อสี่สิบปีก่อนปัจจุบันนี้ยังทำหน้าที่รับรองลูกค้าอยู่ในร้าน เถ้าแก่เฉลาคนนี้เองที่เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ทวีกิจไพศาลเติบโตมาจนทุกวันนี้ ท่านเป็นคนแนะนำให้คุณกอบกิจรับเอาเครื่องเรือนไม้สักจากเพื่อนคนหนึ่งมาขายควบคู่กับร้านชำ เมื่อกิจการค้าขายเครื่องเรือนเติบโตขึ้นจนต้องขยายร้าน เถ้าแก่เฉลาก็เมตตาแบ่งตึกแถวข้างร้านทองของให้เช่าในราคาถูก ด้วยความถูกอัธยาศัยกันดีท่านก็เลยชักชวนให้พ่อค้าแม่ค้าด้วยกันมาอุดหนุนจนได้ขยับขยายกิจการใหญ่โตเรื่อยมา คุณกอบกิจกับคุณลำเภาจึงนับถือบ้านคุณหลีเสมือนญาติผู้ใหญ่ ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ส่วนลูกหลานบ้านนี้ก็ได้รับการปลูกฝังถึงอุปการคุณโดยสอนให้ลูกๆให้เรียกคุณหลีว่า ‘ม๊าหลี’ กันจนติดปาก ส่วนรุ่นเดียวกันกันก็เรียก ‘เจ๊หลี’ อย่างสนิทสนม
เมื่อเวลาล่วงเลยจนเกือบหกโมงเย็นสมาชิกในครอบครัวที่เหลือก็ทยอยกลับเข้าบ้าน เริ่มแรกด้วยรถยนต์สัญชาติเยอรมันสีเทาเงินรูปทรงโฉบเฉี่ยวบ่งบอกรสนิยมของเจ้าของ คนขับคือ เทียมภพ ทวีกิจไพศาล ชายหนุ่มวัยสามสิบห้า เจ้าของรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวสะอาดอย่างคนไม่เคยเจอแดด เขาก้าวลงจากพาหนะคู่ใจด้วยสีหน้าที่บอกว่าอารมณ์เสียเต็มที่ คิ้วเข้มหนาขมวดมุ่นจนแทบจะผูกเป็นปม เสื้อเชิ้ตสีฟ้าจางพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอก แขนข้างหนึ่งมีเสื้อนอกสีน้ำเงินเข้มพาดอยู่ มือที่ว่างกำลังคลายปมเนคไท ถ้าเป็นตอนที่อารมณ์ดีๆไม่ทำหน้าตาบูดบึ้ง ใบหน้าหล่อเหลานั้นคงฉายประกายเสน่ห์เหลือล้นตามประสาคนเจ้าชู้
ในขณะเดียวกันหญิงสาวร่างเล็กกว่าแต่ก็สูงเกินมาตรฐานหญิงไทยในชุดนักศึกษาเรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบก็ลงมาจากรถด้วยอาการกระแทกกระทั้นน่ากลัวว่าส้นร้องเท้าจะหัก แทนดาว ทวีกิจไพศาล เครื่องหน้าบางส่วนมีเค้าละม้ายคล้ายผู้เป็นพี่ชายโดยเฉพาะจมูกโด่งเรียวงาม วงหน้างดงามเอิบอิ่มด้วยน้ำนวลตามประสาสาวรุ่นนั้นก็ช่างดูหงุดหงิดเหลือล้นไม่แพ้อีกฝ่าย ผมยาวดำสนิทเป็นลอนอ่อนๆตามธรรมชาติส่องประกายล้อเล่นกับแสงแดดยามเย็นกำลังสะบัดพลิ้วไหวไปมาตามกิริยาอาการเคลื่อน ไหว ริมฝีปากเคลือบสีชมพูอ่อนรูปกระจับเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมใคร ดวงตาโตทรงอัลมอนด์ควักค้อนให้คนร่างสูงอีกครั้งก่อนจะเหวี่ยงประตูรถราคาแพงปิดดังปังจนสะเทือนสั่นไปทั้งคัน เจ้าของซึ่งเป็นคนรักรถมากๆมองมาด้วยสายตาตำหนิ
“คอยดูนะ...พลูจะฟ้องพ่อ!” ปากกระจับออกชมพูเรื่อเม้มขบกันสนิทหลังจากแผดเสียงแหวใส่ผู้เป็นพี่ที่ยืนทำหน้าตาถมึงทึงอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เชิญเลย...แล้วดูซิว่าคุณพ่อจะเข้าข้างใคร?” พี่ชายท้าเสียงดังลั่น ทำให้คนที่อยู่บนศาลาหันมามองแต่ก็ไม่ได้สนใจใคร่รู้ราวกับว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยจนเป็นกิจวัตร
“คนเผด็จการ! ยุคนี้มันยุคประชาธิปไตยแล้วทำไมไม่ฟังคนอื่นบ้างเลย!” คนเกิดทีหลังแผดเสียงดังกว่าเดิมก่อนจะปาดิคชันนารีเล่มหนาปึ้กใส่คนร่างสูงทว่าเฉียดไปนิดเดียวเพราะเป้าหมายไหวตัวหลบทัน โดยไม่รอช้า...คนเกิดก่อนรีบเดินจ้ำมาหาน้องสาวจอมดื้อและเงื้อฝ่ามือฟาดป้าบเข้าให้ตรงกึ่งเอวกึ่งสะโพกสามทีซ้อน
“กรี๊ด!...พี่หมากตีเค้าทำไม ฮือ...” คนตัวเล็กปล่อยโฮอยู่ตรงนั้น มือหนึ่งลูบบริเวณที่ถูกตีป้อยๆ คนกระทำไม่สนใจว่าน้องสาวจะบอบช้ำด้วยแรงมือตัวเองเพียงใดแถมยังจะซ้ำได้ทุกเมื่อถ้าอีกฝ่ายแผลงฤทธิ์อีก
“ร้องไปเลยนะ...หยุดเมื่อไหร่มีเรื่องแน่! มีที่ไหนกัน...ดื้อด้านไม่เข้าท่า แถมยังมาลงไม้ลงมือกับพี่เชื้อ” หญิงสาวกลั้นเสียงร้องทันทีเพราะกลัวคำขู่ก็เลยได้ยินแต่เสียงสะอื้นฮึกฮักเป็นช่วงๆ พี่ชายมองอยู่สักครู่ก็สงสาร แววตากระด้างดุดันอ่อนเล็กน้อยจะเกือบจะเป็นปกติ อารมณ์โมโหเป็นฟืนเป็นไฟก็สงบลงในไม่กี่นาทีต่อมา
“หยุดร้องได้แล้ว ไป...เข้าบ้านไปเลย” คนตัวโตจูงมือน้องสาวแต่อีกฝ่ายสะบัดอย่างแรงแถมยังหยิกมือที่เพิ่งฟาดสะโพกตนไปเมื่อกี้เต็มแรง
“โอ๊ย!...จะมากไปแล้วนะยัยพลู!” เทียมภพสะดุ้งโหยงขณะสะบัดมือกลับ ฝ่ามือใหญ่เกิดรอยแดงปื้นจากเล็บคมของน้องสาว
“ก็มาตีเค้าก่อน...เค้าก็เจ็บเป็นนะ ฮึก...” ดูเหมือนว่าสงครามครั้งนี้คงยังไม่จบง่ายๆเมื่อคนเกิดทีหลังเริ่มเปล่งเสียงร้องไห้ขึ้นมาอีกจนได้ยินไปถึงสตรีทั้งสามที่นั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ คุณดวงทิพย์ทนไม่ไหวต้องเดินออกมาดูแล้วก็ส่ายหน้าเมื่อเห็นภาพสองพี่น้องกำลังเถียงกันหน้าดำหน้าแดง
“น้องพลูเป็นอะไรไปอีกล่ะ? กรี๊ดจนแสบแก้วหูไปหมด” ทันทีที่เห็นมารดาเดินมาหา คนที่กำลังร้องโวยวายก็รีบวิ่งเข้าไปกอดเตรียมฟ้อง
“คุณแม่ขา...พี่หมากเค้า...” ยังไม่ทันที่จะพูดต่อ พี่ชายก็ขัดขึ้นเสียงกร้าว
“เงียบปากไปเลยนะยัยพลู แม่ครับ...ถ้าอยากฟังความจริงก็ถามผมนี่” คนเกิดทีหลังทำท่าจะเถียงอีก คุณดวงทิพย์รู้ว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็คงไม่มีวันรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น จึงบอกกึ่งบังคับให้ทั้งคู่ไปตัดสินคดีความต่อหน้าคุณย่าซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่ามี ‘งานใหญ่’ อีกงานที่ต้องจัดการ นางจึงสูดส้มโอมือเฮือกใหญ่ขณะมองหลานสาวคนเล็กทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นดังโครม สมุดดินสอในถุงเครื่องเขียนหกกระจายออกมา ใครมาเห็นภาพนี้เข้าคงไม่เชื่อว่าสาวน้อยที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่นี่อายุก็ยี่สิบสองปีแล้วและกำลังจะสำเร็จการศึกษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“อะไรกันอีกล่ะสองคนนี้ แล้วเจ้าพลูเป็นอะไรร้องไห้ฮักๆ ฮึ?” นางถามอย่างเอือมระอา
“พี่หมากตีพลู แรงด้วย...พลูเจ็บ” คนตอบตวัดตามองไปทางพี่ชายแวบหนึ่งแล้วหันมาส่งสายตาอ้อนวอนไปยังคุณย่า
“อ้าว...เจ้าหมาก แล้วเราไปตีน้องทำไม?”
“ก็หลานสาวตัวดีของคุณย่าน่ะสิครับ จะขอออกไปเที่ยวกลางคืน พอผมไม่ให้ไปก็อาละวาดมาตลอดทาง พอลงรถได้ก็เหวี่ยงหนังสือใส่ ดีนะที่หลบทัน...ไม่งั้นหน้าคงแหกไปแล้ว” สายตาคมดุจับจ้องมองน้องสาวที่นั่งหน้าหงิกงอ
“พี่หมากไม่มีเหตุผลเลยค่ะคุณย่า ก็วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย น้องพลูแค่อยากไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน อุตส่าห์นัดกันอย่างดิบดี ขออนุญาตคุณพ่อล่วงหน้าแล้วด้วย” พี่ชายได้ฟังคนเกิดทีหลังฟ้องคุณย่าก็ยิ่งโมโห เด็กอะไร...คนเป็นห่วงแล้วยังมาหาว่าไร้เหตุผล
“ก็ลองคิดดูสิครับ...ยัยพลูยังเด็กแล้วก็เป็นผู้หญิง ออกไปเที่ยวตะลอนกลางค่ำกลางคืนดึกๆดื่นๆก็มีแต่อันตราย กลางวี่กลางวันทำไมไม่ไปกันฮึ นี่อะไร...คิดจะออกนอกลู่นอกทางไปที่อโคจรแบบนั้น ทำตัวเป็นเด็กใจแตกเหมือนในคลิปที่เค้าแชร์กัน! อยากออกสื่อแบบนั้นกะเค้ามั่งรึไง?” ชายหนุ่มระเบิดออกมาอย่างเหลืออด ซึ่งประโยคท้ายทำเอาผู้อาวุโสทั้งสามคนสะดุ้งเฮือกส่วนคนโดนวิจารณ์นั้นไม่ต้องพูดถึง
“กรี๊ด!...พลูไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ มาด่าเค้าได้ยังไง...จะฟ้องพ่อๆ” หญิงสาวถลาเข้าไปหาพี่ชายพร้อมกับรัวฝ่ามือใส่คนตัวหนาหวังว่าจะให้รู้สึกเจ็บปวด พี่ชายไม่ได้ปัดป้องได้แต่ยืนนิ่งๆให้ตีจนพอใจ
“แม่พลู! พอได้แล้ว แม่กับคุณย่าหูจะแตก” พอถูกคุณแม่ดุก็ฟูมฟายเรียกร้องความเห็นใจ
“คุณแม่ขา...พี่หมากด่าพลูเหมือนไม่ใช่น้อง ทั้งๆที่พลูไม่เคยทำแบบนั้นเลย แค่อยากไปสนุกกับเพื่อนบ้างมันเสียหายตรงไหนคะแม่ ฮือ...” คุณดวงทิพย์ลูบผมลูกสาวด้วยความเห็นใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา สิทธิ์ขาดในการดูแลแทนดาวลูกสาวคนเล็กไม่ใช่นาง ไม่ใช่คุณเที่ยงธรรมผู้เป็นบิดาหรือคุณลำเภาผู้เป็นย่า แต่เป็นเทียมภพ...บุตรชายคนโต
“แป๋ม...พาน้องพลูไปอาบน้ำแล้วหาข้าวปลาให้กินด้วยนะ” นางเรียกสาวใช้วัยรุ่นที่นั่งหลบมุมอยู่ไม่ไกลให้พาตัวลูกสาวไปสงบสติอารมณ์ แทนดาวยอมไปแต่โดยดีเพราะไม่กล้าแผลงฤทธิ์ต่อหน้าคุณย่ามากนักด้วยรู้ดีว่าท่านเป็นคนเดียวในบ้านที่ไม่ตามใจ พอคล้อยหลังหลานสาวคนเล็ก คุณลำเภาก็หันมาตำหนิหลานชายคนโต
“เจ้าหมาก...เราก็ทำเกินไป น้องนุ่งมันก็อยากไปสนุกกับเพื่อนตามวัยของมันน่าจะปล่อยๆไปมั่ง พูดแบบนั้นน้องมันก็เสียใจแย่สิ”
“โธ่...ย่าครับ คนสมัยนี้น่ะมันไว้ใจกันได้ที่ไหน มีหลอกลวงกันสารพัดรูปแบบ ข่าวออกอยู่ทุกวัน มอมเหล้ามอมยามั่งล่ะ ฉุดกันไปดื้อๆก็มี แล้วยัยพลูมันจะไปทันอะไรเค้า ผมไม่ปล่อยน้องสาวไปที่แบบนั้นหรอก...เป็นห่วง” ชายหนุ่มพูดพลางถอนใจยาว “ทำใจไม่ได้หรอกครับถ้าคิดว่าวันนึงต้องมาเจอน้องสาวตัวเองขึ้นหน้าหนึ่ง” ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องรุนแรงที่ทำกับคนเกิดทีหลังเมื่อครู่ก็ทำให้ไม่สบายใจอยู่เหมือนกัน แต่มันผิดหรือที่เขาทั้งรักทั้งหวงแหนน้องสาวคนเดียวปานแก้วตาดวงใจ
ความผูกพันที่ฝั่งแน่นอยู่ในสายเลือดเดียวกันเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่มารดาบอกว่ามีของขวัญพิเศษจะมอบให้ เป็นของขวัญที่เขาจะต้องรักและดูแลไปตลอดชีวิต หลายเดือนหลังจากนั้นก่อนถึงวันเกิดของเขาไม่กี่วัน มารดาก็ให้กำเนิดน้องสาวตัวน้อยๆหน้าตาน่ารักน่ากอดอย่างกับตุ๊กตา เด็กชายเทียมภพในวัยสิบสามปีทั้งตื่นเต้นและดีใจจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร หากแต่วินาทีที่ยื่นมือไปแตะแก้มใสจนเห็นเส้นเลือดนั้น น้องสาวแรกเกิดก็กำนิ้วเขาไว้แน่น เขาเป็นคนแรกที่ได้โอบอุ้มร่างเล็กกระจิริดนั้นด้วยความรักที่ไม่สามารถวัดได้ว่ามากเพียงใด
“น้องเป็นของหมาก หมากต้องรักน้องมากๆนะลูก”
“ครับพ่อ...งั้นผมจะตั้งชื่อให้น้องเองนะครับ…น้องใบพลูของพี่หมาก น่ารักจริงๆ”
วินาทีนั้นเขาให้สัญญากับตัวเองว่าจะรักและจะปกป้องดูแลเด็กผู้หญิงคนนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่พี่ชายคนหนึ่งจะทำได้ นับตั้งแต่นั้นมาแทนดาวก็อยู่ในความดูแลของเขามาตลอด ยิ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่บิดาต้องย้ายไปทำงานต่างประเทศถึงสี่ปี ท่านจะพาสองพี่น้องไปด้วยแต่คุณลำเภาก็ท้วงไว้เพราะคิดถึงหลานประกอบกับทั้งสองคนยังเด็กจึงไม่อยากให้ไปอยู่ไกล แทนดาวจึงอยู่ในความดูแลของพี่ชายล้วนๆ
เทียมภพ ทวีกิจไพศาล เป็นบุตรชายคนโตของคุณเที่ยงธรรมกับคุณดวงทิพย์ ส่วนน้องสาวสุดรักสุดหวงก็คือแทนดาว ทวีกิจไพศาลหรือใบพลูที่แสนจะดื้อดึงและเอาแต่ใจ หากแต่ความเป็นจริงแล้ว...หล่อนเป็นคนที่มีจิตใจงดงามพอๆกับรูปร่างหน้าตาที่ไม่มีใครเลยที่จะมองแล้วผ่านเลยไป เหตุนี้เองที่ทำให้พี่ชายภูมิใจหนักหนาว่ามีน้องสาวสวยเลยทำตัวยิ่งกว่าเป็นจงอางหวงไข่ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สื่อถึงความรักความห่วงใยที่มาจากใจแท้ๆแม้จะออกมาในรูปแบบที่น้องสาวมักเรียกว่า ‘เผด็จการ’ ก็ตามที แต่หล่อนก็รับรู้ได้ว่าหากเป็นน้องสาวคนนี้แล้ว...ไม่มีอะไรที่เทียมภพจะทำให้ไม่ได้...ไม่มีเลย
“แม่รู้ว่าลูกห่วงน้องแต่น้องอยู่ในวัยรุ่นนะ ลูกควรจะปล่อยไปบ้าง ตอนที่ลูกอายุเท่าๆน้องพลู พ่อกับแม่ก็ยังปล่อยให้ลูกมีชีวิตส่วนตัวเลยนี่ อีกอย่างน้องก็โตพอที่จะแยกแยะแล้วว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แม่มั่นใจว่าไม่ทำเรื่องเสียหายหรอก” มารดาพยายามโน้มน้าวบุตรชาย
“แม่ครับ...มันไม่เหมือนกัน ไอ้ผมน่ะมันผู้ชายย่อมเอาตัวรอดได้แต่น้องเป็นผู้หญิงนะครับ ไม่เอาล่ะ...ถ้าพูดเรื่องนี้อีกผมก็ไม่คุยต่อแล้ว น้องสาวคนเดียวผมดูแลได้แม่กับย่าไม่ต้องห่วงหรอกครับ” เขาตัดจบแค่นั้นแล้วก็เดินเข้าบ้านไป สตรีทั้งสามหันมาถอนหายใจพร้อมกันอย่างเหนื่อยหน่าย ถ้าลงว่าเทียมภพเอ่ยปากแบบนี้แล้วล่ะก็...ต่อให้นิมนต์พระมาช่วยพูดก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้แน่นอน
“งั้นเดี๋ยวหนูไปจัดการเรื่องข้าวเย็นก่อนนะคะ วันนี้คุณธรรมบอกว่าจะพาลูกค้ามาด้วย” คุณดวงทิพย์บอกแม่สามีก่อนจะปลีกตัวออกไป
“เออ...แล้วแม่ผึ้งกลับมาหรือยัง? วันนี้บอกให้มากินข้าวที่บ้านใหญ่นะ ฉันจะคุยเรื่องเงินที่จะบริจาคหน่อย” คุณลำเภาบอกสะใภ้คนรองที่กำลังช่วยพยุงท่านเดิน
“คงใกล้ถึงแล้วล่ะค่ะ แกแวะซื้อหนมเบื้องร้านเดิมมาฝากคุณแม่ เห็นวันก่อนบ่นอยากทาน” คุณระรินบอกแม่สามีอย่างเอาใจ คุณลำเภายิ้มชอบใจ
“กระบวนหลานทั้งหมดนี่คงจะมีแต่สีผึ้งที่ว่านอนสอนง่ายไม่สร้างเรื่องปวดหัว” สะใภ้คนรองยิ้มด้วยความภูมิใจแม้จะรู้ว่าท่านมักจะกล่าวชมหลานทุกคนเช่นนี้อยู่แล้วมิได้มีจิตลำเอียงแต่อย่างใด
เทียมภพยังไม่ทันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถูกเรียกตัวลงไปข้างล่างอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วเพราะคิดว่าน้องสาวคงยังไม่หยุดอาละวาด แต่พอมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องนั่งเล่นก็พบว่าบิดานั่งรออยู่แล้ว บนโต๊ะเล็กมี น้ำชา กาแฟ น้ำผลไม้รวมทั้งขนมของว่างทั้งสัญชาติไทยทั้งฝรั่งวางอยู่เต็มโต๊ะ แสดงว่าวันนี้มีลูกค้าคนสำคัญหรือไม่ก็อาจจะเป็นพวกหุ้นส่วนเก่าแก่มาเยี่ยมบ้าน เขารีบปรับสีหน้าบึ้งตึงให้เป็นเป็นปกติ จัดเสื้อผ้าผมเผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าไป พอเห็นหน้าค่าตาของแขกผู้มาเยือนที่กำลังนั่งคุยกับบิดาได้ถนัดชัดเจนแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีเหมือนคนเห็นผี อารมณ์ที่ว่ากำลังจะผ่อนคลายกลับตึงเครียดขึ้นมาอีก แน่ล่ะ...ก็ไม่คิดและไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าจะได้เจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกในชาตินี้แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านตัวเองเสียด้วย
“หมากมาพอดี วันนี้พ่อมีคนสำคัญจะแนะนำให้รู้จัก” เทียมภพหยุดยืนข้างๆบิดาพลางกวาดสายตาดุดันมองสำรวจผู้มาเยือนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก ถ้าไม่ติดว่ามีคนอยู่เยอะก็คงจะไล่เตะตะเพิดไปเสียเดี๋ยวนี้
“คุณชลธี ธาราพิศุทธิ์ หมากน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างนะ พวกบ้าน คอนโด ของธาราทั้งหลายน่ะ” บิดาแนะนำ เจ้าของร่างหนากำยำผิวสีน้ำผึ้งค่อยๆยืนขึ้นจนสุดความสูง ใบหน้าคมสันนั้นเรียบเฉยเมื่อเผชิญหน้ากับบุรุษรุ่นเดียวกัน สีผิวของเขาไม่ได้ขาวละเอียดอย่างเทียมภพแต่ออกสีน้ำตาลแดง สันกรามคมชัดรับกับคิ้วเข้มแต่เรียวยาวราวกับคิ้วสตรี
“คุณชลเค้าจะร่วมงานกับเราในเร็วๆนี้ รู้จักกันไว้นะ” ชลธี ธาราพิศุทธิ์ยื่นมือออกมาจะจับทักทายตามมารยาทแต่เทียมภพแกล้งทำเป็นไม่เห็นซ้ำยังเสแหงนไปมองเพดานจนบิดาต้องสะกิดเตือน
“อืม” เขาพยักหน้าส่งๆทำเอาอีกฝ่ายหน้าตึงไปเล็กน้อยแล้วดึงมือกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกล่าวคำทักทายที่ออกจะฟังดูเย็นชา
“เจอกันจนได้สินะ” ชลธีพยายามข่มเสียงให้เป็นปรกติที่สุดแต่ก็ยังยากทั้งๆที่ทำการบ้านมาดีและเตรียมตัวเตรียมใจแล้วว่าต้องมาเจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง
“อ้าว...สองคนนี้รู้จักกันแล้วเหรอ?” คุณเที่ยงแท้ถามด้วยความแปลกใจ
“ครับ...ผมกับคุณเทียมภพเคยเจอกันครั้งล่าสุดเมื่อสักเกือบสามปีก่อนในงานแถลงข่าวเปิดตัว อพาร์ทเม้นต์ใหม่” เขาอธิบายเสียงเรียบ สายตามองอยู่แต่ผู้อาวุโสที่กำลังสนทนาด้วยมิได้เหลือบแลไปทางบุตรชายเจ้าของบ้าน
“บังเอิญน่ะอาแท้ ผมแค่ไปเป็นเพื่อนไอ้แป๊กมันทำข่าว ความจริงไม่ได้อยากไปหรอกงานน่าเบื่อบ้าบอนั่น คนก็เยอะแทบจะไม่มีที่ยืน” เทียมภพพูดไม่เกรงใจคนฟังสักนิดแต่ชลธีไม่สะทกสะท้าน นึกอยู่แล้วว่าต้องโดนเล่นงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาอดทนทำเฉยเสียกับการจงใจหาเรื่องจากฝ่ายตรงข้าม
“เหมาะเจาะจังเลยนะคะที่คุณชลกับพี่หมากรู้จักกัน” เสียงใสกังวานจากสตรีเจ้าของใบหน้าสวยหวานเทียบชั้นดาราของปลายเดือน ทวีกิจไพศาลหรือสีผึ้ง บุตรสาวคนเดียวของคุณเที่ยงแท้และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเทียมภพ ปลายเดือนเป็นคนสวยทั้งหน้าตาและกิริยา เรียกว่าถ้าอยู่บ้านก็เป็นกุลสตรีถ้าทำงานก็จะเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนที่ทั้งสวยทั้งฉลาด ใบหน้างามลออนั้นพอใจที่จะโปรยยิ้มแสนหวานให้บุรุษหนุ่มตรงหน้าตลอดเวลา มิใช่แค่เทียมภพหรอกที่จะรู้จักชลธี ธาราพิศุทธิ์ ใครๆในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ก็รู้จักชื่อเขาทั้งนั้น
“พ่อเรียกผมมาแค่นี้ใช่มั้ยครับ?” เทียมภพผู้ยังคงตีสีหน้าปั้นปึ่งถามบิดาห้วนๆเตรียมขยับจะออกไป
“อยู่ก่อนเถอะหมาก ยังไม่ได้คุยรายละเอียดเลยว่าคุณชลเค้าจะมาช่วยอะไรเรา”
“ถ้าจะคุยเรื่องงานขอเป็นวันหลังเถอะครับ ขอตัวไปดูยัยพลูหน่อย ป่านนี้กินข้าวแล้วหรือยังก็ไม่รู้” แม้คนพูดจะพูดด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากไม่รื่นหูคนฟัง แต่พอเอ่ยถึงน้องสาวคนเล็กทั้งน้ำเสียงและสีหน้าก็กลายเป็นอ่อนโยนจนเหมือนคนพูดไม่ใช่คนๆเดียวกัน อาการผิดสังเกตนี้สะกิดต่อมสงสัยของผู้มาเยือนที่ยืนฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่งที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ในใจก็สะดุดหูกับคำว่า ‘ยัยพลู’ เจ้าของชื่อพืชสมุนไพรมากสรรพคุณคนนี้คงจะมีอะไรพิเศษไม่น้อยถึงขนาดทำให้คนกักขฬะอย่างเทียมภพเปลี่ยนพฤติกรรมได้ภายในเสี้ยววินาที
“พี่หมาก...เสียมารยาท!” ปลายเดือนว่าไล่หลังญาติผู้พี่ที่เดินฉับๆออกไปดื้อๆ
“ลุงต้องขอโทษแทนลูกชายด้วยนะ เค้าก็เป็นแบบนี้ เป็นคนโผงผางตรงไปตรงมา แต่ถ้าเรื่องอะไรที่เป็นงานเป็นการล่ะก็...วางใจเค้าได้เลย เออ...ว่าแต่มีเรื่องอะไรกันมาก่อนหรือเปล่าล่ะสองคนนี้ ดูท่าว่าศรศิลป์จะไม่กินกันนะ” คุณเที่ยงธรรมถามตรงๆ สังเกตจากท่าทีที่ห้ำหั่นกันด้วยคำพูดของบุตรชายกับสายตาดุดันของผู้มาเยือนเมื่อครู่แล้ว คงมีอะไรที่ขัดเคืองกันมาก่อนกระมัง
“ผมกับคุณหมากเคยมีเรื่องเข้าใจผิดกันครับแต่ก็นานมากแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะจำได้ แต่คิดว่าคงจะดีขึ้นถ้าเราได้ร่วมงานกันนะครับ” เขาพูดเนิบๆ ทั้งน้ำเสียง สีหน้าและแววตาราบเรียบไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ
“ลูกผู้ชายถ้าตกลงกันได้ก็ดี” คุณเที่ยงธรรมปิดท้าย จากนั้นบทสนทนาทั้งหมดก็วกเข้าเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป เจ้าบ้านอย่างคุณเที่ยงธรรมดูจะพออกพอใจอยู่มากเมื่อได้สนทนาแบบส่วนตัวกับเขา ชลธี ธาราพิศุทธิ์เป็นผู้บริหารขาลุยที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย โครงการแต่ละชิ้นของเขาติดตลาดและตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกระดับ ดังนั้นไม่ว่า ธารา เรสซิเด้นท์ ดิวิล็อปเม้นต์จะผุดอะไรใหม่ๆออกมาก็มักจะได้รับความสนใจจากทั้งสื่อและลูกค้าเป็นอย่างมาก ประกอบกับทวีกิจก็เป็นบริษัทจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านรายใหญ่ การที่ได้ทำความรู้จักมักจี่กับเจ้าของโครงการบ้านพักอาศัยเอาไว้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ในทางค้าขายต่อไปในภายภาคหน้า
ชลธีอยู่คุยต่ออีกสักพักก็ขอตัวกลับโดยมีปลายเดือนอาสาเดินไปส่ง ความจริงวันนี้เขาเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าจะมาที่นี่ ถ้าไม่บังเอิญมีนัดกับคุณเที่ยงธรรมตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆท่านเลยชวนมาเที่ยวบ้านเพื่อจะได้พบและคุยงานกับบุตรชายคนโต แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่คุณเที่ยงธรรมคาดหวังเอาไว้เสียเลย ก็ดูสิ...บุตรชายของท่านดูท่าทางยินดีต้อนรับเขาเป็นอันมาก
“แหม...น่าจะอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันเสียก่อนนะคะ” ปลายเดือนชวนคุยขณะเดินมาด้วย บางครั้งก็ชวนหยุดดูดอกไม้ใบหญ้าไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกประทับใจที่มีโอกาสได้ต้อนรับบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อคมคายคนนี้ที่บ้านตัวเอง ก็เขานี่แหละที่มักจะปรากฏตัวอยู่ตามปกหนังสือจำพวกอสังหาริมทรัพย์อยู่เสมอๆ เขา...ผู้ซึ่งนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการในกลุ่มธาราทั้งหมด ตั้งแต่ตึกแถวให้เช่าไล่ไปจนถึงโรงแรมระดับไฮเอนด์ที่ชื่อว่า The Prestige Thara ที่เปิดตัวไปอย่างอลังการเมื่อสองปีก่อนจากการเทคโอเว่อร์โรงแรมแห่งหนึ่งที่ปิดตัวไปเพราะพิษเศรษฐกิจ พวกกระจอกข่าวสังคมที่ชอบขุดคุ้ยเรื่องราวส่วนตัวของบรรดาเซเลบทั้งหลายเคยบรรยายในกรอบข่าวเม้าท์เมื่อไม่นานมานี้ว่า
“เสือยิ้มยาก...ชลธี ธาราพิศุทธิ์ ผู้สร้างปรากฏการณ์ใหม่แห่งวงการที่อยู่อาศัย เสาแข็งแรงอย่างเขาไม่ว่าสาวคนไหนก็อยากได้ไปค้ำบ้าน”
ก่อนหน้านี้ปลายเดือนก็เคยได้ยินพวกเพื่อนๆพูดถึงเขาอยู่บ่อยๆแต่ก็ไม่ได้สนใจไยดีนักเพราะส่วนตัวลึกๆก็ไม่ค่อยนิยมชมชอบคบพวกพ่อค้าด้วยถือคติโบราณที่ว่า ‘สิบพ่อค้าไม่สู้หนึ่งพระยาเลี้ยง’ แปลง่ายๆว่าคนที่จะเลือกคบหาด้วยถ้าไม่ได้มาจากตระกูลเก่าแก่มีนามสกุลพระราชทานต่อท้าย ก็ต้องเป็นพวกทหารตำรวจที่มียศมีอำนาจระดับหนึ่ง แต่บางครั้งการทะนงตนว่าตัวเองเป็นหงส์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่หงส์พวกเดียวกันเข้ามาหา อย่างเมื่อไม่นานมานี้ปลายเดือนเคยคบหาเพื่อนชายที่คิดว่าดีเลิศเพียบพร้อมครบคุณสมบัติที่ต้องการ ทั้งคู่ควงกันออกงานอยู่ตลอดจนมีข่าวหลุดว่ากำลังมีแผนวิวาห์ปีหน้า แต่สุดท้ายแล้วเขาคนนั้นได้ตัดสินใจขายวิญญาณแต่งงานไปกับแม่หม้ายกระดังงาลนไฟแถมเรือพ่วงสามลำเพื่อกอบกู้ฐานะ งานนั้นทำเอาอับอายจนต้องหลบผู้คนไปอยู่ไกลถึงมิลานเกือบเดือน
“วันนี้ไม่สะดวกจริงๆครับ ผมบอกที่บ้านไว้แล้วจะกลับไป” เขาตอบเสียงสุภาพและค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ ปลายเดือนยิ้มรับแต่ก็เสียดายอยู่ในที
“คุณชลนี่ใจกล้าจังนะคะ เศรษฐกิจแบบนี้ยังกล้าเสี่ยงที่จะลงทุน ขนาดบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ยังต้องชะลอโครงการปล่อยตึกทิ้งร้างกันยังกับป่าช้า ตอนที่ผึ้งไปงานเปิดตัวคอนโดเฟสใหม่ของคุณยังคิดเลยว่าจะเอาเฟอร์นิเจอร์มาเสนอขายเสียดีมั้ย น่าเสียดายจัง...ตัดสินใจช้าไปหน่อย” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อดึงเวลาที่จะได้อยู่กับเขานานขึ้น
“ล้อเล่นนะคะ วันนั้นตั้งใจไปดูโครงการจริงๆ ไม่ได้จะไปขายของเลยแม้แต่น้อย ผึ้งเห็นว่าที่นั่นน่าจับจองเอาไว้เก็งกำไร เพื่อนๆที่ไปด้วยกันจองกันคนละห้องสองห้อง ได้ข่าวว่าตอนนี้ราคาอัพขึ้นจากวันที่เปิดตัวตั้งเกือบครึ่ง” หญิงสาวเล่าจบเขาก็ยิ้มบางๆ จะว่าเป็นยิ้มแรกตั้งแต่มาบ้านนี้เลยก็ได้
“อาศัยว่าใจสู้น่ะครับ…การแข่งขันสูง ขืนเรามัวแต่รอก็คงอด คนอื่นที่เขาคิดแบบเรามีเยอะ แต่ยังไงก็ขอบคุณคุณสีผึ้งและเพื่อนๆที่มาซื้อของร้านผม” เขาพูดติดตลกแม้จะหน้านิ่งเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากสตรีข้างๆได้อีกครั้ง
“ผึ้งเคยไปทานข้าวที่ธาราด้วยค่ะ อาหารไทยอร่อยมาก รสชาติไทยแท้ดี เอาไว้ผึ้งจะพาลูกค้าไปอีก” หญิงสาวกล่าวชมพร้อมกับยิ้มหวานหยดให้ เขาไม่ได้ยิ้มตอบแต่สีหน้านิ่งเฉยนั้นฉาบไปด้วยความพอใจและเก้อกระดากในคราวเดียวกันเพราะคู่สนทนาคอยแต่จะส่งสายตาระยับพราวให้ทุกครั้งไป
“ขอบคุณมากครับ ดีใจที่คุณผึ้งชอบ วันหลังถ้าแวะอีกไปก็โทรหาผม ถ้าไม่ติดงานจะมาทานข้าวด้วย” เขาบอกพลางยื่นนามบัตรให้ ปลายเดือนรับมาด้วยความปลื้มใจแล้วหลุบตาอ่านข้อความบนนามบัตรสีน้ำเงินเข้มตัดขาวในมือ
Chonlatee Tarapisut
President and CEO
Thara Resident Development Corp.
ปลายเดือนอ่านทวนข้อมูลบนนามบัตรซ้ำไปซ้ำมาพลางอมยิ้มกับตัวเอง
“เห็นทีคราวนี้จะต้องลองเปลี่ยนมาคบพ่อค้าดูบ้างแล้ว”
“ผึ้งเองก็เข้าไปช่วยทวีกิจแบบจริงๆจังๆได้ไม่กี่ปี นึกแล้วก็อดขำไม่ได้ค่ะ...ครึ่งปีแรกพี่หมากให้ผึ้งไปเป็นพนักงานขายเฟอร์นิเจอร์ห้องครัวกับห้องน้ำ ผึ้งน่ะโกรธแกจะตายที่ส่งไปทำงานระดับล่างแบบนั้น คิดดูสิคะ...เพิ่งจะเรียนจบโทจากลอนดอนหวังจะมาช่วยบริหารงานที่บ้านเต็มที่ แต่อาไร้...พอมีงานแสดงสินค้าทีก็ต้องช่วยแบกหามขาโต๊ะขาเตียงกับพนักคนอื่น” หล่อนหยุดหัวเราะนิดหนึ่ง
“แต่รู้มั้ยคะ...สิ่งเหล่านั้นสั่งสอนให้ผึ้งอดทนและให้ประสบการณ์ที่มีค่ามาก แล้วหลังจากนั้นพี่หมากก็ให้ย้ายไปทำงานจนครบทุกแผนก...ก็สนุกดีเหมือนกัน” หล่อนหัวเราะไปพลางเล่าประสบการณ์การทำงานในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ชลธีฟังเพลินพร้อมกับนึกชื่นชมการบ่มเพาะลูกหลานของตระกูลนี้
“คุณผึ้งก็กลายมาเป็นผู้บริหารที่เก่งรอบด้านจนทุกวันนี้” เขาชมจากใจจริงจนคนถูกชมอดยิ้มอย่างภาคภูมิไม่ได้ ทวีกิจรุ่นใหม่ทุกคนจะต้องเริ่มจากศูนย์แล้วค่อยๆแสดงความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของพนักงานด้วยกันจึงจะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามลำดับ อย่างเทียมภพนั้นก็ใช้เวลาหลายปีทั้งๆทีเป็นทายาทคนโต อาจจะเป็นเพราะนิสัยขี้ใจร้อนไม่ค่อยเอาการเอางานในตอนแรกตามประสาวัยรุ่น เคยถูกบิดาส่งไปฝึกงานหนักๆมาก่อนโดยเริ่มจากเป็นคนขับรถส่งเฟอร์นิเจอร์ด้วยซ้ำ
“แต่ยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ อย่างที่คุณชลบอกแหละค่ะ...สมัยนี้การแข่งขันสูง ถ้าเราไม่ทันเค้าหรือวางแผนการตลาดไม่ดีก็ร่วงเอาง่ายๆเหมือนกัน เห็นที...อาจจะต้องขอคำปรึกษาคุณชลบ้างนะคะ” แววตาของหล่อนวิบวับขณะทอดมองเขาอย่างเว้าวอนกึ่งชื่นชมชนิดเปิดเผย ชลธีเพียงแต่พยักหน้าให้นิดหนึ่งแต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ในสายตาของเขา...ปลายเดือนเป็นคนสวยจัดและรู้จักการวางตัวเป็นอย่างดี ความฉลาดปราดเปรียวอันเป็นคุณลักษณะโดดเด่นย่อมทำให้บุรุษทั้งหลายอยากเข้าหาทำความรู้จัก
จากประสบการณ์หนุ่มที่ผ่านมามากว่าสามสิบฤดูฝนสอนให้รู้ว่ากิริยาอาการทางสายตาและคำพูดที่ปลายเดือนแสดงออกมานั้นแปลว่าอะไร แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเกินไปกว่าคนที่จะต้องร่วมงานกันในอนาคต เพียงแต่อาจจะรู้สึกอึดอัดบ้างก็เท่านั้นเพราะหล่อนคือหลานสาวของคุณเที่ยงธรรมผู้ที่มารดาส่งเขามาเพื่อเจรจาเรื่องงานจึงไม่อยากจะผูกมิตรกันในฐานะอื่น ที่สำคัญที่สุด...เขามิได้มีความรู้สึกปฏิพัทธ์กับหญิงสาวตรงหน้ามากเกินกว่าความเป็นมิตรเท่านั้น
แทนดาวตั้งใจแน่วแน่ที่จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนและจะอดข้าวประท้วงพี่ชายที่ทำตัวไร้เหตุผล ดวงตาทรงอัลมอนด์ไล่อ่านข้อความในไลน์จากเพื่อนคนหนึ่ง มีรูปกลุ่มเพื่อนสี่ห้าคนนั่งเรียงรายอยู่ในห้องคาราโอเกะแถวๆมหาวิทยาลัย บางคนกำลังจับไมค์ร้องเพลงดูน่าสนุกไม่น้อยทีเดียว
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะแก ลองขอพี่แกดูอีกทีได้มั้ย?”
“ฉันพยายามสุดความสามารถแล้ว พวกแกสนุกให้เต็มที่แล้วกัน คงได้เจอกันอีกตอนที่แกกลับมาจากเกาหลีนะ”
นิ้วเรียวพิมพ์ข้อความตอบกลับเพื่อนคนเดิมพลางถอนหายใจอย่างเสียดาย นับครั้งไม่ถ้วนแล้วกระมังที่คนเกิดก่อนใช้สิทธิ์อันไม่ค่อยชอบธรรมเท่าไหร่บังคับไม่ให้ทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไรก็ต้องอยู่ในสายตาของพี่ชายคนนี้แต่ว่าครั้งนี้พี่ชายทำรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ แค่ขอไปสนุกผ่อนคลายหลังสอบเสร็จเท่านั้นเองก็ทำท่าว่าเป็นเรื่องใหญ่
“ฮึ! ทีตัวเองล่ะซอกซอนไปทั่ว หายหัวข้ามวันก็ยังเคย” หล่อนนึกค่อนขอดอยู่ในใจ
“คอยดูเถอะ จะอดข้าวให้ตายคาห้องไปเลย”
เทียมภพเดินหัวเสียไปตามน้องสาวคนเล็กหลังได้รับรายงานว่าจะไม่ยอมกินข้าวปลา โกรธก็โกรธห่วงก็ห่วง มองฝ่ามือที่ฟาดลงบนเนื้ออ่อนๆเมื่อชั่วโมงที่ผ่านดูก็รู้สึกผิด พอนึกว่าน้องสาวจะเจ็บระบมเพียงใดก็ยิ่งทำให้ไม่สบายใจหนักเข้าไปอีก ใจจริงไม่ได้อยากจะลงโทษให้เจ็บตัวแบบนี้หรอกแต่อาการก้าวร้าวที่แสดงออกกับพี่เชื้อเลยต้องมีการกำราบกันบ้าง
“น้องพลู...ออกมาได้แล้ว แป๋มบอกว่าเราไม่ยอมกินข้าวเหรอ?” เทียมภพตะโกนถามอยู่หน้าห้อง มือก็เคาะประตูรัวๆ คนถูกเรียกที่ตั้งแง่แต่แรกเริ่มรู้สึกว่ากำลังจะต้านทานความต้องการอาหารของร่างกายไม่ไหว แต่ไอ้ครั้นจะยอมรับก็กลัวเสียเชิงเลยแกล้งตีลูกซึมและใช้ความสามารถส่วนตัวเรียกน้ำตาออกมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องมายุ่ง น้องพลูจะกินหรือไม่กินก็ไม่เกี่ยวกับพี่หมาก” เสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่นเครือทำให้คนฝั่งใจอ่อนยวบลง
“อะไรอีกล่ะ เปิดประตูมาคุยกันซิ...เร็ว!” เทียมภพเคาะประตูอีกหลายครั้งจนในที่สุดน้องสาวก็ยอมเปิดทั้งที่อยากแกล้งให้เคาะจนมือบวมไปเลย
“ทำไมไม่ยอมกินข้าว? ไปเร็ว...เดี๋ยวคุณย่ารอนาน” เขาโอบไหล่น้องสาวด้วยความเป็นห่วง ลูบผมยาวสลวยนั้นอย่างอ่อนโยน
“ก็พี่หมากทำให้น้องพลูโกรธ” คนตัวเล็กสะบัดหน้าหนีมือที่กำลังจะจับแก้มนุ่มของตน
“แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่าเราก็ทำให้พี่โกรธเหมือนกัน”
“แต่พี่หมากตีพลูด้วยนะ” พูดจบก็ทำท่าว่าจะร้องไห้ออกมาอีก เขาจึงรีบปลอบ
“โอ๋ๆ...เอาเป็นว่าพี่ขอโทษก็แล้วกันนะ ถ้าอยากไปก็บอกพี่สิ...จะพาไปเองแล้วรอรับกลับหรืออยากได้อะไรก็บอก...พี่จะซื้อให้” บอกน้องสาวอย่างเอาใจ คนฟังนั้นหูผึ่งกับประโยคสุดท้าย ดีล่ะ...จะถลุงให้เข็ดเชียว
“ตอนนี้หิวข้าวแล้วล่ะแต่ไม่อยากกินข้าวบ้าน อยากไปกินอาหารญี่ปุ่น” คนตัวเล็กบอกพี่ชายพร้อมกับทำตาละห้อย ไหนๆก็แผลงฤทธิ์มาจนถึงขั้นนี้แล้วขอต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน
“ไปพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ เข้าบ้านมาแล้วก็ไม่อยากออก...พี่ขี้เกียจขับรถ” เทียมภพต่อรองเสียงละห้อย ถึงเส้นทางจากบ้านไปห้างสรรพสินค้าจะไม่ไกลมากนัก การจราจรไม่หนาแน่นเท่าจากบ้านไปที่ทำงานแต่วันนี้ทั้งวันที่ใช้พลังรบกับงานแถมยังกลับมารบกับน้องต่อที่บ้านก็ทำให้แทบหมดแรงยืนแล้ว
“แต่น้องพลูอยากกินวันนี้ไม่ได้อยากกินพรุ่งนี้ พี่หมากไม่รักษาสัญญา เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าอยากได้อะไรก็บอกไม่ใช่เหรอ?” คนถูกย้อนเกาหัวแกรก เสียท่าน้องสาวสุดแสบอีกแล้ว
“เอาก็เอา...ไปรอที่รถเลยงั้น พี่ไปเอากุญแจก่อน” ว่าแล้วก็เดินบ่นอุบอิบออกไป แทนดาวยิ้มอย่างมีชัยกับตัวเองก่อนจะรีบเปลี่ยนชุดแล้ววิ่งลงมาบอกคุณย่าว่าพี่ชายจะพาไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นโดยไม่ลืมฟ้องบิดาว่าถูกพี่ชายตี แต่คุณเที่ยงธรรมกลับหัวเราะและไม่ว่าอะไรเพราะรู้ดีว่าลูกสาวคนเล็กนั้นแสนงอนขนาดไหน คนถูกหัวเราะเลยทำหน้าง้ำและงอนฟอดแฟดใส่บิดาอีกคน คุณดวงทิพย์ต้องหยิกหมับเข้าให้อีกหนึ่งครั้งโทษฐานเอาแต่ใจจนเกินงาม
สาวน้อยเดินฮัมเพลงมาเรื่อยๆอย่างอารมณ์ดีที่จะได้รับประทานบรรดาข้าวปั้นสารพัดหน้าของโปรดแต่แล้วความคิดรื่นรมย์ต้องหยุดกลางคันเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากโรงรถ พยายามเพ่งมองฝ่าแสงสลัวยามเย็นจนเห็นรถยนต์ตราใบพัดฟ้าขาวคล้ายพาหนะคันหนึ่งที่พี่ชายใช้อยู่ประจำแต่เป็นสีดำมันปลาบจอดอยู่ ตรงข้างรถคันนั้นคือปลายเดือนที่กำลังคุยอย่างออกรสกับผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนหันหลังให้ อาการเกาะแขนอย่างสนิทสนมทำให้นึกสงสัย ก็พี่สาวเพิ่งจะถูกอดีตแฟนหักอกไปเมื่อไม่นานเลยไม่คิดว่าจะหาหนุ่มมาดามใจได้เร็วขนาดนี้ จนเมื่อทั้งคู่หยุดคุยและหันมาทางหล่อนที่มัวแต่ยืนชะเง้อชะแง้จนเป็นจุดสนใจ
“อ้าวน้องพลู...จะไปไหนล่ะนั่น?” ปลายเดือนทักเสียงเรียบราวกับว่าลูกผู้น้องคนนี้เป็นตัวมารผจญที่มาขัดจังหวะการสนทนาอันรื่นรมย์นี้ หากแต่คนถูกถามไม่ได้สนใจจะตอบอะไรกลับมองสำรวจชายแปลกหน้าไม่วางตา คิดในใจว่าต้องเป็นลูกครึ่งแขกแน่ๆเลย จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ผิวสีแทน ตัวสูงพอๆกับพี่หมากแต่ทำไมหน้าดุจังเลย
ชลธีมองสาวน้อยผู้มาใหม่ที่กำลังมองสำรวจไปทั่วตัวเขาอย่างกับจะตรวจหาวัตถุระเบิด ท่าทางพินิจพิเคราะห์อย่างจริงจังทำให้คนถูกมองรู้สึกพิลึก จะว่าอึดอัดก็ไม่เชิงเลยได้แต่แอบบ่นในใจว่า
“เออหนอ...บ้านนี้มีอะไรแปลกๆแฮะ ไหนจะไอ้ตัวขวางโลกที่ชื่อเทียมภพ หญิงสาวช่างฉอเลาะอย่างปลายเดือนแล้วนี่อะไรอีกล่ะ? แม่สาวช่างสงสัยที่พยายามจะมองทะลุเสื้อผ้าให้ได้”
“พาแฟนใหม่มาเปิดตัวเหรอคะพี่ผึ้ง?” พอมองสำรวจจนพอใจแล้วคนช่างสังเกตก็กล่าวคำทักทายชนิดที่ว่าทำเอาทั้งบุรุษที่สองและสามถึงกับสะดุ้งมองหน้ากันเลิกลั่ก ยิ่งปลายเดือนนั้นรู้สึกเหมือนกับถูกน้ำร้อนสาดหน้าอย่างนั้น สองคนนี้เป็นที่รู้ๆกันว่าไม่ค่อยจะลงรอยกันด้วยความที่ฝ่ายแรกเป็น ‘ลูกอิจฉา’ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีแทนดาวนั้นปลายเดือนคือที่หนึ่งเสมอแต่พอลูกผู้น้องเกิดมาทุกอย่างที่เคยได้รับก็ต้องแบ่งปันไปให้น้อง ความรัก ความเอาใจใส่ ความเป็นที่หนึ่งตกไปอยู่ที่น้องสาวจนหมดสิ้น ดังนั้นในสายตาของปลายเดือนแล้วน้องคนนี้คือเสี้ยนหนามที่บ่งเท่าไหร่ก็ไม่ออก ส่วนแทนดาวนั้นแรกๆก็เคารพและรักปลายเดือนเหมือนพี่สาวแท้ๆแต่ไม่ว่าจะทำความดีสักแค่ไหนพี่สาวก็ไม่เคยให้ความสำคัญ หนำซ้ำยังชอบรังแกเวลาไม่มีใครเห็น จนในที่สุดต้องลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองและกลายเป็นคู่ปรับไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่เด็กๆ
“นี่คุณชลธี ธาราพิศุทธิ์เป็นเพื่อนของพี่ ทีหลังถ้ายังไม่รู้เรื่องอะไรก็อย่าพูดจาเสียมารยาทอย่างนี้อีกนะจ๊ะ” ปลายเดือนข่มโทสะเต็มที่ ถ้าไม่มีคนนอกอยู่ตรงนี้ด้วยแล้วคงระงับใจไม่ให้ปรี่เข้าไปตบปากน้องสาวนอกไส้คนนี้ไม่ได้
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ปกติพี่ผึ้งจะพาผู้ชายเข้าบ้านก็ต่อเมื่อมาเปิดตัวนี่คะ” สิ้นสุดคำพูดเผ็ดร้อนนั้นชลธีก็แทบจะเข้าไปลากหญิงสาวตรงหน้ามาฟาดก้นสักสิบที เด็กอะไรปากจัดจ้าน พูดจาก็แก่แดดเกินอายุ ส่วนผู้ที่ถูกยอกย้อนอย่างปลายเดือนกำหมัดแน่น ความโกรธพุ่งทะลุเลยจุดเดือดไปแล้วแต่ก็ต้องอดทนข่มใจไว้ไม่ให้เข้าไปขย้ำลูกผู้น้องต่อหน้าคนอื่น
“น้องพลูพูดจาไม่น่ารักแบบนี้ พี่เห็นจะต้องเรียนให้ป้าทิพย์ทราบนะจ๊ะ” พี่สาวเลือกที่จะใช้วิธีโต้ตอบนิ่มๆบวกกับสีหน้าเรียบเฉยคาดเดาความรู้สึกไม่ได้ มีแต่แทนดาวเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้ในใจพี่สาวคงจะร้อนรุ่มเป็นไฟ คนกลางอย่างชลธีได้แต่ยืนมองเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
‘‘นี่น่ะหรือ...ยัยพลูที่เทียมภพพูดถึง แม่คุณเอ๋ย...ท่าทางจะแสบยิ่งกว่าทิงเจอร์’’ เขาคิดในใจ
“คุณสีผึ้งครับ...ผมคงต้องลาตรงนี้แล้ว” เขาเองก็ไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตเลยอยากปลีกตัวไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด
“น้องพลูน่ะยังเด็ก ถ้าทำผิดแล้วไม่ว่ากล่าวตักเตือนจะทำให้แกเคยตัวนะคะ ที่เห็นก้าวร้าวไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ก็เพราะถูกเลี้ยงมาแบบตามใจนี่ล่ะค่ะ” ปลายเดือนรีบใส่ไฟ
‘‘พี่ผึ้งเองก็เหอะ...ไม่ได้น้อยด้อยไปกว่ากันหรอก’’ แทนดาวนึกค่อนขอดอยู่ในใจ
“เชิญเสวนาประสาคนรักกันต่อตามสบายเถอะค่ะ ดิฉันก็จะออกไปข้างนอกแล้วเหมือนกัน แต่ยืนตรงนี้นานๆก็ไม่ดีนะคะ หัวค่ำแบบนี้ยุงเยอะจะตาย ถูกกัดเดี๋ยวจะเป็นไข้เลือดออกเอา พาแฟนมาบ้านครั้งแรกก็พามายืนตากยุง” แทนดาวลอยหน้าลอยตาพูด ชลธีกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากด้วยนึกไม่ถึงว่าซีอีโอของธาราเช่นตนเองออกจะมีหน้ามีตาในแวดวงอสังหาริมทรัพย์จะถูกเด็กวัยรุ่นย้อนเอาขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกเข้าใจผิด (เอามากๆ) อย่างนี้มาก่อนเลย แต่ก็แปลก...ทำไมไม่รู้สึกโกรธนะ กลับรู้สึกว่ามันช่างน่าขบขันมากกว่า
“ยัยพลู...มันจะก้าวร้าวมากไปแล้วนะ ขอโทษพี่กับคุณชลเดี๋ยวนี้!” ปลายเดือนลืมตัวเผลอตวาดเสียงดังเพราะความโมโห
“ขอโทษครับ แต่ดูเหมือนว่าคุณ...เอ่อ...น้องอะไรนะ พลูหรือครับ? ยังเข้าใจผิดอยู่” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก่อนจะพูดต่ออย่างเร็วเพราะกลัวจะเกิดการวางมวยระหว่างสองสาวนี้
“ผมชื่อชลธี วันนี้คุณเที่ยงธรรมเชิญผมมาที่นี่และตอนนี้ก็กำลังจะกลับแล้ว พอดีคุณปลายเดือนเธอมีน้ำใจเดินมาส่งที่รถ” เขาตอบละเอียดยิบ
‘‘ตายแล้ว...เขาเป็นแขกคุณพ่อ! ถ้าพี่ผึ้งไปฟ้องคุณพ่อล่ะก็ เราต้องแย่แน่ๆเลย’’ แทนดาวได้ฟังก็หน้าแตกใจแป้วสนิท ลมแทบใส่ แข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาดื้อๆ
“เอ่อ...คือว่าพลู...หนู...ดิฉัน” คนที่ปากเก่งเมื่อครู่เกิดอาการติดอ่างกะทันหัน ไม่รู้จะแทนตัวว่าอย่างไรดีและที่สำคัญไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เงิบรับประทานแล้วแทนดาว
“ในเมื่อรู้แล้วน้องพลูก็ควรขอโทษคุณชลเสียนะจ๊ะที่ไปก้าวร้าวเขาตอนแรก พี่เองน่ะ...ไม่ถือสาเราหรอก” ปลายเดือนที่เมื่อครู่เผลอตัวเหวี่ยงใส่น้องก็รีบปรับน้ำเสียงเป็นปรกติแต่ก็ยังส่งสายตาจิกกัดให้ตลอด
“คือ...ขอโทษจริงๆค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าคุณมาพบคุณพ่อ” แทนดาวในตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรกับนางมารร้ายจอมหาเรื่องกำลังยกมือไหว้ปลกๆแก้อาการเงิบ ชลธีเพียงก้มศีรษะนิดหนึ่งเป็นเชิงให้อภัยกับความเข้าใจผิดแสนร้ายกาจนั้น
“ยืนคุยอะไรกันจ๊ะสองสาว อ้าวนั่น!...แก...ทำไมยังไม่กลับไปอีกล่ะ?” ทั้งปลายเดือนและแทนดาวสงบศึกส่วนตัวโดยอัตโนมัติ น้ำเสียงที่ลอยมานั้นบ่งบอกว่าคนพูดไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่างและคนรอบข้างควรหนีไปไกลๆ แทนดาวไหวตัวได้เร็วที่สุดรีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งรอในรถ ส่วนปลายเดือนที่หายตกใจแล้วก็ปลดแขนที่คล้องชลธีออกและรีบถอยห่างออกมา ถึงแม้ว่าตนจะไม่ใช่น้องสาวแท้ๆแต่ก็รู้ว่าลูกผู้พี่คนนี้ไม่ใคร่ชอบนักที่จะเห็นหล่อนสุงสิงกับบุรุษคนใด แม้ว่าจะมีแฟนได้แต่แฟนทุกคนของล้วนแต่เคยผ่านด่านทดสอบหินจากลูกผู้พี่คนนี้ทั้งนั้น
“คุณชลกำลังจะกลับแล้วล่ะค่ะ พอดีเจอน้องพลูที่เข้าใจอะไรบางอย่างผิดก็เลยต้องอยู่ช่วยกันอธิบายให้แกเข้าใจน่ะค่ะ” ปลายเดือนบอกพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่ยังเจือด้วยความไม่พอใจ
“เราก็อีกคนนะสีผึ้ง เย็นค่ำป่านนี้มาเดินเตร่อะไรอยู่ คุณย่ารอกินข้าวอยู่โน่นแน่ะหรือจะไปด้วยกันก็ขึ้นรถ” แม้ในใจจะต่อต้านแต่ปลายเดือนก็ยอมทำตามคำสั่งโดยดีเพราะรู้ว่าเป็นการไม่ฉลาดที่จะไปทำให้ พี่ใหญ่อย่างโกรธ ก็ขนาดน้องสาวแท้ๆยังถูกลงโทษถ้าทำอะไรให้ผิดใจแล้วตนเองเป็นแค่ลูกผู้น้องคงจะโดนเข้าด้วยเหมือนกัน
“ไม่ล่ะค่ะ ผึ้งไปทานกับคุณย่าดีกว่า เชิญพี่หมากกับน้องพลูเถอะค่ะ” ปลายเดือนบอกพี่ชายก่อนจะหันไปบอกลาหวานๆให้กับชายหนุ่มผู้ยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไม่เห็นเทียมภพมีตัวตนในโลก
“แล้วเจอกันใหม่นะคะ”
“เช่นกันครับ เราคงได้พบกันบ่อยๆด้วย” ชลธีตอบพร้อมกับปรายตามาทางเทียมภพอย่างเจตนายั่วให้โกรธซึ่งก็ได้ผล เพราะคนถูกยั่วถึงกับของขึ้นเมื่อถูกท้าทายด้วยสายตาเช่นนี้ เขาสาวเท้าเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามช้าๆ เมื่ออยู่ในระยะประชิดก็เปล่งเสียงลอดไรฟันให้ได้ยินกันสองคน
“แก...ไม่ต้องมาเลยนะ บ้านฉันไม่ต้อนรับแก วันนี้ฉันจะปล่อยไปเพราะคุณพ่อเป็นคนเชื้อเชิญแกมา แต่ครั้งหน้าล่ะก็...แกจะต้องจดจำไปชั่วชีวิตทีเดียว” เขาข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามอย่างโหดที่สุดแล้ว (มั้ง) แต่ชลธีหาได้หวาดหวั่นหรือเกรงกลัวท่าทีดูเอาจริงเอาจังของอีกฝ่ายเลย เขาเพียงแต่ยืดตัวขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก สายตายังคงจับจ้องอีกฝ่ายเขม็งเช่นกัน ริมฝีปากหยักลึกนั้นพึมพำเบาๆแต่คนฟังยังได้ยินถนัดชัดเจน
“คิดว่ามีอะไรจะหยุดยั้งฉันได้งั้นเหรอไอ้หมาก? แล้วก็สาบานได้เลยว่าไอ้การที่จะมาหรือไม่มาที่บ้านหลังนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับแกหรอกนะ เพราะว่าแกไม่มีความสลักสำคัญมากพอที่จะสั่งให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไร” พอชลธีพูดจบความขุ่นมัวที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่แรกพบหน้าก็ปะทุระเบิด เทียมภพกำหมัดหมายจะพุ่งใส่หน้าของอีกฝ่ายแต่ก็ต้องหยุดค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีน้องสาวอีกสองคนคอยสังเกตการณ์อยู่ ไม่อยากให้พวกหล่อนเห็นอะไรที่เป็นความรุนแรง
“หึ...ถ้าแกแตะฉันให้ระคายแม้แต่นิด ฉันรับรองว่าแกอาจจะไม่ได้อยู่ดูโลกอีกต่อไป” ชลธีพูดทิ้งท้ายก่อนที่ก้าวขึ้นรถไปอย่างใจเย็น ทิ้งให้ชายหนุ่มอีกคนยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความขัดใจที่ทำอะไรไม่ได้
“พี่หมาก...ไปกันได้หรือยัง? พลูหิวจะตายอยู่แล้วนะ” แทนดาวร้องเรียกพี่ชาย
“เค้าเป็นใครกันแน่คะพี่หมาก? เห็นบอกว่ามาหาคุณพ่อแต่ทำไมทำท่าเหมือนจะทะเลาะกันด้วย” แทนดาวถามขึ้นเมื่อนั่งรถมาได้สักพัก
“ยัยพลู...ถ้าเห็นไอ้ชลมันมาที่นี่อีกให้เรารีบหลบไปไกลๆเลยนะ ห้ามไปเสวนากับมัน เข้าใจมั้ย?” พอลงกับใครไม่ได้ก็มาออกคำสั่งกับน้อง แทนดาวได้แต่พยักหน้ารับอย่างงงๆแต่ก็ไม่ซักไซ้ไล่เรียงต่อเพราะตอนนี้กระเพาะอาหารเริ่มโอดครวญแล้ว เทียมภพเร่งความเร็วของพาหนะคู่ใจขึ้นเรื่อยๆเหมือนว่าจะใช้ความเร็วเป็นที่ระบายอารมณ์ขุ่นมัว
“พี่หมาก ไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้ค่ะ” เสียงสั่นๆร้องเตือนพี่ชายทำให้คนขับเจ้าอารมณ์รู้สึกตัวแล้วค่อยๆลดความเร็วให้อยู่ในเกณฑ์กฎหมายกำหนดแล้วเอื้อมมือมาลูบผมน้องสาวเบาๆ
“พี่ขอโทษ กลัวเหรอคะ?” น้ำเสียงนั้นเจือไปด้งความอาทร สาวน้อยพยักหน้ารับก่อนจะเอนศีรษะพิงไหล่ข้างซ้ายของพี่ชาย
“พี่หมากยังไม่หายโกรธน้องพลูเหรอคะ?” แทนดาวถามเบาๆเพราะเทียมภพไม่เคยขับรถเร็วมากถ้ามีน้องนั่งไปด้วย เขาจะระมัดระวังเสมอถ้าอยู่กับน้องสาว
“เฮ้อ...ตั้งแต่เกิดมาก็มีเราคนเดียวล่ะมั้งที่ทำใจให้โกรธไม่ได้สักที” เขาตอบอย่างอ่อนโยนและอาศัยจังหวะหนึ่งเอียงหน้ามาหอมแก้มน้องสาวเบาๆ แทนดาวรับรู้ถึงความห่วงใยนั้น แม้เทียมภพจะเข้มงวดตามประสาคนหวงน้องสาวไปบ้างแต่นั่นก็คือความรักล้วนๆที่มีให้ สาวน้อยพิงไหล่พี่ชายไปตลอดทางซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่เดือดร้อนที่ต้องขับรถมือเดียว ระบบเกียร์อัตโนมัติอำนวยให้เขาสามารถใช้มือข้างที่เหลือโอบไหล่น้องสาวไว้หลวมๆ แต่เพียงแค่คิดว่าต่อไปนี้ต้องร่วมงานกับชลธีความสะอิดสะเอียนก็บังเกิดขึ้นในใจ
“คุณพ่อคิดยังไงกันนะ ถึงได้ไปผูกมิตรไอ้คนพรรค์นั้น!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ