ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) ตอนที่ 26 เผลอรักหมดใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เว็บขีดเขียน

 

ตอนที่ 26 เผลอรักหมดใจ

             บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำของครอบครัวทวีกิจไพศาลออกจะคึกคักกว่าทุกวันตรงที่มีแขกรับเชิญมาร่วมโต๊ะด้วยสองคน คนหนึ่งเป็นว่าที่เขยเล็กและหุ้นส่วนใหญ่ของทวีกิจส่วนอีกคนเป็นนายแพทย์หนุ่มผู้แสนจะสุภาพ บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆควบคู่กับอาหารมื้อเย็นที่มากชนิดกว่าทุกวัน ก็คงจะมีแต่บุรุษเพียงผู้เดียวที่ดูจะไม่ค่อยอภิรมย์ในการรับประทานเสียเท่าไหร่ ใครจะไปเข้าใจความรู้สึกของเทียมภพผู้ซึ่งต้องทนนั่งร่วมโต๊ะกับคู่อริตั้งสองคน

            “นี่หมอ...ถามจริงเถอะ ที่บ้านเอาอะไรให้กินถึงมีรอยหยักในสมองเยอะกว่าคนทั่วไป?” เทียมภพยิงคำถามแฝงความหมายให้หมอหนุ่มที่กำลังตักอาหารเข้าปาก แทนดาวหันไปมองพี่ชายที่นั่งข้างๆ ภาวนาว่าอย่าได้หาเรื่องอีกเลย

            “ก็ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ตามปรกติแหละครับ แล้วก็กินพวกวิตามินหรือน้ำมันตับปลาเสริมบ้าง งดพวกแอลกอฮอล์กับบุหรี่ ของพวกนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ...ทำให้สมองฝ่อ” อชิตะตอบเนิบๆแล้วยิ้มบางๆให้ ทั้งเทียมภพกับชลธีถือช้อนค้างหันมาจ้องมองหมอหนุ่มมาดเนิร์ดเป็นตาเดียว ก็ไอ้สิ่งที่หลุดจากปากหนุ่มแว่นนั่นกระทบทั้งคู่จังๆ

            “นี่...มึง!” เทียมภพกำช้อนแน่นส่งสายตาอาฆาตและหลุดสบถคำหยาบ แทนดาวรีบกระตุกเสื้อพี่ชายเป็นเชิงปราม

            “เอาใจใส่ดูแลสุขภาพดีอย่างนี้นี่เอง...คุณหมอถึงดูหน้าเด็ก นี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนผึ้งไม่เชื่อหรอกค่ะว่าเป็นหมอ คิดว่าเป็นนายแบบหรือดาราซะอีก...ว่ามั้ยน้องพลู?” ปลายเดือนแทรกขึ้นแล้วพยักพเยิดถามความเห็นน้องสาว

            “จะว่าไป...พี่อชิก็หน้าคล้ายดาราเกาหลีที่ชื่อจูซังวุค คนนี้เล่นเป็นหมอคิมโดฮันจากซีรีย์เรื่องกู้ด ดอกเตอร์ ติดแค่ว่าพี่อชิใส่แว่นแต่หมอคิมโดฮันไม่ใส่” ตอบตอบของสาวน้อยเรียกรอยยิ้มกว้างจากหมอหนุ่มและเสียงหัวเราะเบาๆจากทุกคนยกเว้นสองหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกัน ชลธีขัดใจกับคำจำกัดความของสาวน้อยเต็มทน

            “น้องพลูชอบดาราเกาหลีหรือครับ? เหมาะเจาะจังเลย...คุณอชิตะหน้าตาไปทางเกาหลีแบบนี้น้องพลูก็คงจะปลื้มมาก” เขาพูดประชดประชันจนคนฟังรู้สึก แทนดาวคิดผิดถนัดที่พูดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ปลายเดือนเองก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของคนพูด

            “วัยรุ่นก็งี้แหละค่ะคุณชล...ฮิตชอบดาราเกาหลีกัน คราวนี้ก็ไม่ต้องบินไปเกาหลีบ่อยๆแล้วสิน้องพลู อยากเห็นดาราคนโปรดก็ไปหาคุณหมออชิตะแทนก็ได้” ปลายเดือนได้จังหวะรีบพูดสนับสนุนแล้วหัวเราะคิกคักชอบใจ แทนดาวได้แต่ก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปาก

            “เพ้อเจ้อแล้วสีผึ้ง เกาหลงเกาหลีก็ไปเกากันไกลๆอย่ามาเกากันทีนี่” เทียมภพเหวี่ยงอย่างไม่เกรงใจ แทนดาวแทบอยากจะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้

            “น้องมันก็พูดเล่นเองน่าเจ้าหมาก โวยวายได้ตลอดเลยนะเรา” คุณลำเภาบ่นหลานชายคนโตอชิตะยิ้มนิ่งๆแล้วเหลือบไปทางสาวน้อยที่นั่งเยื้องๆอยู่ตรงข้าม

            “น้องพลูชอบกินปูเหรอครับ? รู้อย่างนี้วันหลังจะพาไปทานอาหารทะเลที่บางขุนเทียน ไม่ทราบว่าอาธรรมรู้จักร้านระเบียงทะเลมั้ยครับ? ร้านนี้เป็นของญาติผมเอง” หมอหนุ่มถามสาวน้อยที่กำลังใช้ช้อนแคะเนื้อปูผัดผงกะหรี่อย่างเอาเป็นเอาตายแล้วหันไปถามคุณเที่ยงธรรม

            “รู้จักสิ...ก่อนที่อาจะล้มป่วยก็เคยพาลูกค้าไปเลี้ยงที่ร้านนั้นบ่อย เรียกว่าเป็นลูกค้าประจำกันล่ะ พวกนี้ชอบกินของทะเลสดๆ ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าเป็นของญาติหมอ” คุณเที่ยงธรรมบอกด้วยความตื่นเต้น

            “บังเอิญจัง...ครั้งล่าสุดนี่อากับหมากก็พาลูกค้าเก่าแก่ไปที่นั่นมา พวกคนต่างชาติเค้าจะเรียกว่าร้านซี เทอเรซ ร้านนี้ดังมากในย่านนั้น ดูสิ...ญาติเจ้าของร้านมานั่งกินข้าวกับเราอยู่เอง” คุณดวงทิพย์กล่าวด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน

            “งั้นถ้าวันไหนว่างตรงกัน...ผมจะมารับไปทานอาหารด้วยกันนะครับ ฝากท้องที่นี่มาสองหนแล้ว...ถือว่าผมเลี้ยงคืนก็แล้วกัน” อชิตะบอกผู้อาวุโสทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วกวาดสายตามาที่สาวน้อยคนเดิมที่ทำท่าทางพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“ก็ดีนะ...ไม่ได้ไปมานานแล้ว ชวนคุณชัยกับแม่ของหมอไปด้วยนะ” คุณเที่ยงธรรมพยักหน้าพออกพอใจ เทียมภพได้ฟังก็อึ้งอย่างหนักถึงกับคาบชิ้นทอดมันค้างด้วยตะลึงกับชั้นเชิงของหนุ่มแว่น ส่วนชลธีไม่ว่าอะไรแต่รู้สึกว่าส้อมในมือมันสั่น!

 

อาหารเย็นผ่านไปด้วยดีตามที่ควรจะเป็น แขกรับเชิญทั้งสองคนอยู่คุยต่อมีเทียมภพที่นั่งร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยเอาแต่ทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังสาปแช่งใครบางคน สักพักแทนดาวก็วิ่งเข้ามาโอบรอบคอแล้วยื่นกล่องกระดาษแบนๆให้

“อะไรคะ?” พี่ชายถามอย่างแปลกใจขณะรับกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆสีดำจากมือน้องสาว ทุกคนหันมามองอย่างสนใจ

“เปิดดูสิคะ” น้องสาวยิ้มเป็นปริศนา เทียมภพเปิดฝากล่องออกก็เห็นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลเข้มแต่งด้วยจุดขาว

“หืม...ให้พี่เหรอคะ? ขอบคุณนะคะ...คนสวย” เทียมภพหันไปจูบแก้มน้องสาวเบาๆแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกมาดูอย่างชื่นชม ชลธีมองเห็นว่าเป็นยี่ห้อเดียวกับที่สาวน้อยซื้อให้ตนเองก็ยิ้มน้อยๆ

“วันนี้น้องพลูได้เงินค่าจ้างที่ไปทำงานมา ก็เลยซื้อของเล็กๆน้อยๆให้พี่หมากไงคะ” คนตัวเล็กปลื้มใจที่พี่ชายชอบ

“ส่วนนี่น้องพลูให้คุณย่านะคะ ถึงมันจะน้อยแต่เงินนี่น้องพลูก็หามาด้วยตัวเอง” แทนดาวเข้าไปกอดคุณย่าแล้วยื่นธนบัตรใบหนึ่งให้ คุณลำเภายิ้มอย่างอิ่มเอมกับความกตัญญูของหลานสาว

“ส่วนนี่ก็ของคุณแม่กับคุณพ่อ ถือว่าเป็นการเอาฤกษ์เอายาม...น้องพลูจะได้มีความเจริญ ก้าวหน้าในหน้าที่การงานยิ่งๆขึ้นไป” แทนดาวยื่นธนบัตรอีกสองใบให้มารดาแล้วหอมแก้มทั้งคู่ ทุกคนมองภาพนั้นอย่างเอ็นดู มูลค่าขอเงินหรือสิ่งของมันเทียบไม่ได้กับความตั้งใจของลูกสาวคนเล็ก

“อันนี้ของพี่ผึ้ง ถึงมันจะไม่หรูหราเท่าแบบใช้อยู่แต่น้องพลูก็ตั้งใจเลือกมาให้” แทนดาวล้วงถุงกระดาษหยิบที่คาดผมประดับพลอยเม็ดเล็กๆให้พี่สาว ปลายเดือนมองนิดหนึ่งแล้วรับมาถือไว้

“ขอบใจจ้ะ...ก็สวยดี” แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบแต่ทุกคนก็เห็นรอยยิ้มจางๆประดับอยู่บนใบหน้าสวยของปลายเดือน

“หาเงินเองได้แบบนี้ พี่ก็ไม่ต้องให้ค่าขนมเราแล้วล่ะสิ” เทียมภพแกล้งแซวน้องสาวที่ยืนหน้าง้ำเมื่อพี่ชายพูดแบบนั้น

“ได้ไงล่ะคะ? พี่หมากต้องเลี้ยงดูน้องพลูไปตามหน้าที่เหมือนเดิม ส่วนเงินที่ได้จากการทำงานน้องพลูจะเก็บไว้ซื้อรถแบบพี่ผึ้ง” แทนดาวบอกอย่างมุ่งมั่น เทียมภพหัวเราะแล้วส่ายหน้า

“โถ...แม่คุณทูนหัวของพี่ รถคันละยี่สิบล้านจะต้องหยอดกระปุกอีกกี่สิบปีกันล่ะ” ทุกคนหัวเราะกับคำพูดของเทียมภพ แทนดาวยิ่งหน้าง้ำเข้าไปอีกทำให้สองหนุ่มผู้มาเยือนรู้สึกเอ็นดูหล่อนมากขึ้น ส่วนเทียมภพก็กวาดตาดูแคตตาล็อกรถยนต์รุ่นต่างๆจากไอแพดในมืออย่างสนใจโดยไม่ให้น้องสาวเห็น

“น้องพลูขยันแบบนี้...พี่เชื่อว่าต้องสำเร็จสักวัน ว่าแต่...น้องพลูเรียนอักษรนี่นา ถ้ามีงานให้ช่วยแปลเอกสารบ้างจะสนใจมั้ยครับ?” อชิตะถามขึ้นทันที

“เอ่อ...ก็...” แทนดาวจะตอบว่าสนใจแต่ก็มีคนขัดเสียก่อน

“น้องพลูต้องเตรียมตัวสอบเทอมสุดท้าย คงไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอกนะหมอ ปริญญานิพนธ์ก็ยังไม่ผ่าน อ้อ...หมอก็จบเมืองนอกมาไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องใช้คนอื่นแปลเอกสารด้วยล่ะ? หรือว่ามหา’ลัยที่หมอจบมาเค้าสอนเป็นภาษาไทย?” เทียมภพถามกวนๆแต่ตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่ไอแพด ชลธีลอบยิ้มอย่างสะใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณหมาก ที่บอกว่าจะให้แปลเอกสารคือแปลจากฝรั่งเศสเป็นไทยน่ะครับ ก็น้องพลูเรียนเอกฝรั่งเศสนี่นา” หมอหนุ่มตอบนิ่งๆแล้วยิ้มให้แทนดาวที่ยิ้มตอบเจื่อนๆ ส่วนสองหนุ่มที่ต่างไม่ถูกโฉลกกับอชิตะต่างก็พร้อมใจกันทำหน้าเหวอโดยเฉพาะเทียมภพที่ถึงกับทำ ไอแพดในมือร่วงก่อนพูดกับตัวเองเบาๆว่า

“ไอ้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆว่ะ...แม่งรู้ลึก”

“เอ่อ...น้องพลูไปอุ่นรังนกให้คุณย่าก่อนนะคะ...เดี๋ยวมาค่ะ” แทนดาวไม่อาจทนอยู่ในสถานการณ์อึมครึมนี้ได้อีกต่อไปก็รีบหาเรื่องปลีกตัวออกไป สักเดี๋ยวปลายเดือนก็ลุกตามไปบ้าง

“เออนี่...ไอ้...เอ้ย! ผมขอตัวไปคุยกับคุณชลสักครู่ เชิญทางนี้...” เขาบอกบิดาแล้วพยักหน้าเรียกคู่แค้นให้ออกมาข้างนอกด้วยกัน พอสองเสือออกมาได้ต่างก็ล้วงยาสูบจากต่างประเทศขึ้นมาจุดพ่นควันไปคนละทาง ไม่สนใจคำเตือนจากอชิตะที่ว่ามันจะทำให้สมองฝ่อแม้แต่น้อย

“ไอ้แว่นพิศวง! ถ้าไม่เกรงใจพ่อ...กูจะต่อยให้แว่นหัก” เทียมภพสบถเสียงดัง ชลธีได้แต่นิ่งฟัง เขาเองก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่ทีเดียว

“ที่ฉันบอกว่าจะคุยกับแก ฉันอยากจะมาพูดเรื่อง...” เทียมภพอัดควันเฮือกสุดท้ายเข้าปอดก่อนจะเริ่มประเด็น

“รมณ์นลินใช่มั้ย?” ชลธีต่อให้ เทียมภพหันมามองอดีตเพื่อนนิดหนึ่งอย่างสงสัยเล็กๆว่ารู้ได้อย่างไร

“ก็ใช่...คือว่าฉันกับน้องแก พูดง่ายๆก็คือ...คือฉัน...แฟง...เรา...” เทียมภพติดอ่างตะกุกตะกักอยู่อย่างนั้นจนคนรอฟังรำคาญ

“ฉันไม่มีวันยอมให้แกมาเป็นน้องเขยเด็ดขาด! ตราบใดที่แกยังเคลียร์ตัวเองไม่ได้” คู่สนทนารวบรัดตัดความให้เสร็จสรรพ

“หมายความว่าไงวะ? เคลียร์อะไร? ทำไมต้องเคลียร์” เทียมภพทำหน้าปั้นยากเพราะงงกับคำบอกเล่าของเพื่อนแค้น

“นี่แกล้งโง่หรือโง่จริง? แกควงผู้หญิงโฉบไปโฉบมาอยู่อย่างนี้แล้วจะมายุ่มย่ามกับน้องสาวอีก แฟงไม่ใช่ของเล่นของแก!” ชลธีตะคอกใส่อีกฝ่ายที่ยังยืนทำหน้าใสซื่อ

            “ถ้าแกจะหมายถึงสิตา...ฉันไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเธอมาเป็นเดือนๆแล้วนะ” เทียมภพรีบแก้ตัว แต่เขาพูดความจริงที่ว่าตนเองไม่ได้ไปมาหาสู่กับชุสิตามาระยะหนึ่งแล้ว

            “ฉันไม่ได้อยากจะรู้เรื่องบนเตียงของแก แต่ที่หมายถึงก็คือ...ถ้าคิดจะคบหากับรมณ์นลินก็ต้องทำอะไรให้มันชัดเจน เจ้าชู้ยักษ์ลอยไปลอยมากับผู้หญิงสวยๆไปทั่วแบบนี้ฉันคงไม่ยอมให้น้องสาวไปคบด้วยหรอก ยัยแฟง...ถึงจะเงียบๆไม่ค่อยพูดแต่เธอจริงจังกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเจ็บช้ำน้ำใจยังไงก็ไม่มีวันปริปากบอกใคร แกอย่าทำให้เธอเสียใจเลยนะหมาก...เราต่างก็เคยลิ้มรสความเสียใจแบบนั้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ?” ชลธีมองหน้าเพื่อนเคยรักอย่างขอร้องกลายๆทำให้สีหน้าของคนฟังสลดลงทันที

            “ชล...ฉันไม่เคยเห็นน้องสาวแกเป็นของเล่นนะ ฉัน...รู้ตัวดีว่าแต่ก่อนเคยเป็นคนยังไง แต่ว่าพอได้รู้จักกับแฟง...ฉันก็อยากหยุดและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่เรียกแกมาคุยเรื่องนี้ก็เพราะว่าฉันอยากบอกว่า...แฟงเค้ารักฉันมานานมาก นานจนฉันเองยังตกใจแต่มันก็เป็นไปแล้วนะ” เทียมภพบอกเสียงเบาพลางนึกถึงเรื่องราววันนี้ ชลธีสูดหายใจลึกแล้วมองขึ้นไปบนฟ้ามืดมิด

            “เรื่องนั้นฉันก็รู้...ได้แต่ภาวนามาตลอดว่าขอให้มันเป็นรักฝ่ายเดียวที่แฟงจะมีให้แก ฉันไม่อยากให้แกรู้สึกกับแฟงแบบเดียวกัน เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะฉันไม่อยากได้แกเป็นน้องเขยทั้งที่เราต่างก็มีเรื่องในอดีตที่ยังติดค้างกัน” ชลธีมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาแข็งกร้าวปนร้าวราน

            “และฉันก็จะทำหน้าที่ของพี่ชายในการปกป้องน้องสาวคนเดียวอย่างเข้มข้นที่สุดเหมือนที่แกปกป้องแทนดาวอยู่ตอนนี้” เขาตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆแล้วเดินไป ทิ้งให้เทียมภพติดอยู่ในปลักของความอึดอัดและกดดันอย่างยากที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้น

           

            “อย่าคิดว่าแค่ของกระจอกๆที่เธอซื้อให้จะทำให้ฉันลืมเรื่องเมื่อตอนเย็นนะ” ปลายเดือนเดินตามน้องสาวเข้ามาในครัวแล้วเปิดประเด็นที่ยังติดค้างในใจ

            “พี่ผึ้งจะเอาอะไรอีกคะ? ทุกอย่างที่เห็นมันเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น น้องพลูรู้ดีค่ะว่าตัวเองกำลังทำอะไร” แทนดาวบอกย่างรำคาญขณะหยิบถ้วยรังนกออกจากไมโครเวฟ

            “เฮอะ...เห็นอยู่เต็มตาว่าเธอกำลังให้ท่าเค้า ไม่รู้สึกอายบ้างหรือไงกัน? ถึงปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยแบบนั้นกับผู้ชายสองต่อสอง” ปลายเดือนต่อว่าน้องสาวเป็นชุด คนฟังได้แต่เม้มปากแน่นอย่างข่มโทสะ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรพี่สาวก็ไม่เคยจะยอมฟัง

            “แล้วยังไงเหรอคะ? อิจฉาเหรอ?” แทนดาวย้อนถามอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป ทำให้คนฟังโกรธมากเลยพลั้งมือปัดเอาถ้วยรังนกตกแตกกระจาย น้ำซุปร้อนๆโดนมือคนที่ถือเต็มๆ

            “พี่ผึ้ง!” แทนดาวมองหน้าพี่สาวอย่างคาดไม่ถึง รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่มือข้างหนึ่งมาก เศษถ้วยกระเบื้องแตกกระจายเกลื่อน แทนดาวรีบก้มลงไปเก็บแต่ด้วยความรีบร้อนปนโกรธก็เลยถูกเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งบาดเอา

            “โอ๊ย!” แทนดาวอุทานดังลั่นพร้อมกับเลือดสดๆที่ไหลทะลักจากบาดแผลตรงข้อนิ้ว

            “ยัยพลูเป็นอะไรมากมั้ย!?” ปลายเดือนที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปรีบจับมือข้างนั้นของน้องสาวขึ้นมาดู

            “แป๋ม...มานี่ซิ เร็วเข้า!” พอเห็นเลือดสีแดงเข้มทยอยซึมออกมาจากแผลก็หน้าซีด ความรู้สึกผิดแล่นไปทั่วร่าง รีบร้องเรียกแม่บ้านเสียงดังจนคนข้างนอกได้ยิน

            “อะไรกันเนี่ยลูก! ทำไมเลือดไหลเยอะอย่างนี้” คุณดวงทิพย์เห็นเลือดที่มือลูกสาวก็ตกใจ

            “น้องพลูน่ะสิคะ รู้ว่าถ้วยนั่นร้อนก็ยังไม่ระวัง พอไปจับเข้าก็ตกแตกน่ะสิคะ” ปลายเดือนรีบแต่งเรื่องสดๆเอาตัวรอด แทนดาวมองพี่สาวด้วยความเจ็บปวด ทั้งเจ็บแผลและเจ็บใจ!

            “ขอพี่ดูหน่อยนะครับ...ต้องห้ามเลือดก่อนนะ” อชิตะรีบคว้ามือที่ถูกแก้วบาดไปดูแล้วใช้กระดาษกดซับเลือดไว้

            “ไปข้างนอกดีกว่าค่ะ แป๋ม...ไปเอาชุดปฐมพยาบาลมาแล้วก็น้ำสะอาดด้วยนะ” ปลายเดือนสั่งสาวใช้เร็วจี๋ สีหน้าท่าทางและน้ำเสียงบ่งบอกความกระวนกระวายใจชัดเจนแต่ลูกผู้น้องกลับรู้สึกโกรธมากขึ้น

            “โอ๊ย...แสบจัง!” แทนดาวร้องเบาๆเมื่ออชิตะเทน้ำเกลือล้างบาดแผล มือน้อยกระตุกกลับเบาๆแต่มือขาวสะอาดก็ยึดเอาไว้แน่น

            “ต้องล้างแผลฆ่าเชื้อก่อนนะครับ” เขาบอกเสียงนุ่ม มือยังคงทำการล้างบาดแผลอย่างคล่องแคล่วพอดีกับที่สองสิงห์เดินกลับเข้ามา

            “เฮ้ย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ นี่...ฉันออกไปข้างนอกแป๊บเดียว ถึงกับฉวยโอกาสลวนลามยัยพลูเลยเหรอวะ!” เทียมภพปราดเข้ามาทันทีแล้วรีบฉวยมือน้องสาวออกจากอุ้งมือของอชิตะ ชลธีขมวดคิ้วมองภาพตรงหน้าอย่างไม่พอใจเช่นกัน

            “ใจเย็นก่อนเจ้าหมาก...ไม่เห็นเหรอว่าน้องมันถูกแก้วบาด” คุณลำเภาเรียกสติหลานชาย

            “แล้วไปทำอีท่าไหนเนี่ย? ตลอดเลยนะเรา” เทียมภพมองหมอแว่นอย่างไม่ไว้ใจแล้วหันมาบ่นน้องสาวที่ชอบทำซุ่มซ่ามให้ตัวเองเจ็บตัวอยู่เรื่อย

            “ผมกำลังทำแผลให้น้องพลู คุณหมากรอสักครู่เถอะ” อชิตะยื่นมือออกไปเป็นทำนองให้อีกฝ่ายส่งมือน้องสาวกลับมา เทียมภพทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก ส่วนชลธีรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มร้อนผะผ่าวที่เห็นฝ่ายนั้นจับมือถือแขนสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟน ถึงจะเป็นการปฐมพยาบาลก็ขัดใจอยู่ดี

            “ใส่ยาแล้วก็ปิดแผลไว้แบบนี้ก่อน ระวังอย่าให้โดนน้ำนะครับ” อชิตะบอกเสียงนุ่มขณะใช้ผ้าก๊อตพันแผลให้อย่างเบามือ ความเจ็บปวดค่อยทุเลาลงไปมากแล้วเหลือแต่ความรู้สึกจี๊ดๆบางจังหวะ คนบาดเจ็บกล่าวขอบคุณคนทำแผลเบาๆ

            “ทีหลังทำอะไรต้องระวังนะจ๊ะ เมื่อกี้พี่ตกใจแทบแย่...โถ...” ปลายเดือนลูบผมน้องสาวอย่างต้องการแสดงความห่วงใยให้คนอื่นเห็น

            “ทีหลังพี่ผึ้งก็อย่ามายืนเกะกะขวางทาง คราวหน้าจะเอารังนกร้อนๆสาดหน้าให้บ้าง!” แทนดาวตอบกลับโกรธๆทำให้ปลายเดือนหน้าเสีย

            “ยัยพลู! จะก้าวร้าวพี่เค้ามากไปแล้วนะ!” คุณดวงทิพย์ดุลูกสาวแล้วตีเพี๊ยะให้หนึ่งที คงจะมีแต่ชลธีเท่านั้นที่ตวัดตามองปลายเดือนอย่างเคลือบแคลงใจ

            “ปล่อยมือได้แล้วหมอ” เทียมภพสะกิดเตือนอชิตะที่ยังคงกุมมือข้างเดิมของสาวไว้แม้จะทำแผลเรียบร้อยแล้ว มือขาวสะอาดจึงค่อยๆวางมือนุ่มบนตักเจ้าของอย่างเดิม เทียมภพรีบประคองน้องสาวออกไปอย่างหวงแหนที่มีสายตาสองคู่จ้องมองคนของตัวเองตลอดเวลา ชลธีมองตามไปอย่างเป็นห่วงแต่ก็ไม่มีช่องให้ถามไถ่กัน

            “ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับคุณย่า คุณอา” อชิตะไหว้ลาพวกผู้ใหญ่

            “ผมก็ต้องขอตัวเช่นกัน ขอบพระคุณสำหรับอาหารเย็น” ชลธีทำตามบ้างเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา ใจก็ยังพะว้าพะวงกับสาวน้อยที่หน้าซีดเพราะความเจ็บปวด

            “ผึ้งเดินไปส่งนะคะ” ปลายเดือนรีบเกี่ยวแขนชลธีออกไป อชิตะค่อยตามออกไปบ้าง

            “ขอโทษสำหรับเรื่องยุ่งๆวันนี้นะคะ โดยเฉพาะเมื่อตอนเย็นที่ต่อว่าคุณชลแบบนั้น ใบพลูเป็นน้องสาว....ก็อาจจะต้องมีตักเตือนกันบ้างถ้าแกทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร หวังว่าคุณชลจะเข้าใจนะคะ” ปลายเดือนบอกเขาเสียงอ่อยขณะเดินเคียงคู่มาด้วยกัน

            “ผมดีใจที่คุณสีผึ้งหวังดีกับน้องพลูจริงๆ น้องพลูรักคุณมากนะครับ...อย่าทำให้เธอต้องลำบากใจหรือเจ็บตัวอีกเลย” เขาพูดอย่างให้ความหมายกับคนที่เดินเคียงข้าง ปลายเดือนหน้าร้อนผ่าว พยายามจะไม่ค้นหาความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อกับตน

            “ขับรถดีๆนะคะ” ปลายเดือนหยุดยืนเมื่อเดินมาถึงรถ แต่พอชลธีกำลังจะกดรีโมทก็ปรากฏว่าคนที่เดินมาส่งรีบเขย่งเท้ามาจุ๊บที่แก้มเบาๆ

            “คุณผึ้ง!” เขายกมือลูบแก้มตัวเองแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างตกใจกับการกระทำของสตรีตรงหน้า ปลายเดือนยิ้มหวานให้ในความสลัวจากแสงไฟ

            “จริงๆแล้ว...ผึ้งว่าคุณชลไม่เหมาะกับเด็กอย่างน้องพลูหรอกค่ะ ลองเปิดตา...เปิดใจ ลองมองหาคนที่เหมาะสมสำหรับตัวเองดูอีกทีนะคะ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา วันนี้อาจจะยังไม่เจอ...แต่ต่อไปก็ไม่แน่หรอกค่ะ” ปลายเดือนบอกเสียงหวานแล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี ชลธีเข้าใจความหมายที่หล่อนตั้งใจจะบอกแต่ยังอึ้งกับการถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวนับเป็นครั้งที่สองแล้ว

            “ยังจำที่ผมเคยบอกว่ามันเห็นแก่ตัวที่รวบรัดเรียกน้องพลูว่าแฟนได้มั้ยครับ?” อชิตะที่ตามมาห่างๆและมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่พูดลอยๆขณะเดินผ่านชลธีที่ยังยืนเป็นรูปปั้น

            “คุณขอเธอเป็นแฟน แต่เคลียร์ตัวเองดีแล้วหรือยัง?” หมอหนุ่มถามเสียงเรียบ จะว่าเย้ยหยันก็ไม่เชิงนักแต่ก็ทำให้คนฟังตวัดตามองตามอย่างขัดเคืองขณะที่อีกฝ่ายเดินผ่านหน้าไป จำได้ว่าตนเองเพิ่งจะพูดประโยคนี้กับเพื่อนรักเพื่อนแค้นไปไม่นานนี้เอง พอถูกย้อนศรเข้าบ้างก็แทบกระโดดกัดคอคนพูด

            “อชิตะ!...แกไม่มีสิทธิ์ที่จะมายุ่มย่ามกับใบพลูเกินหน้าที่ อย่าทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วง กินก็ไม่ได้กิน ได้แต่แอบแฝงรอโอกาสตอมไต่ตอนเจ้าของเค้าเผลอ” ชลธีเดินมาดักหน้าแล้วพูดใส่หน้าด้วยความกราดเกรี้ยว

            “สุภาพหน่อยสิครับคุณชลธี อีกอย่างนะ...ผมก็ไม่ได้แอบแฝงอะไร ทำอะไรก็เปิดเผยตลอดไม่มีลับลมคมในให้ปวดหัว ผมบอกแล้วไงว่าให้หาน้ำมันตับปลามากินบ้าง เหล้ากับบุหรี่รังแต่จะทำให้สมองฝ่อ” อชิตะพูดเนิบๆเจือรอยยิ้มที่ดูแสนจะเป็นมิตรแล้วขับรถออกไปอย่างใจเย็น ชลธีทุบกำปั้นกับมือตัวเองอย่างโกรธเกี้ยวแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านี้เลยม

           

            ห้องประชุมกลางบนชั้นสิบที่ The Prestige Thara ในวันนี้ตกอยู่ภายใต้บรรยากาศเคร่งเครียดหนักมาก บอสใหญ่ดูเครียดจัดจนอีกสี่ห้าคนที่นั่งอยู่ในนั้นไม่กล้าสบตาดุๆ พนักงานระดับหัวหน้าจากแผนกบัญชี ทรัพยากรบุคคลและฝ่ายกฎหมายต่างจับจ้องไปที่สตรีผิวขาวเปลือกตาชั้นเดียวที่อายไลเนอร์สีดำละลายเปรอะเปื้อนไปทั่วดวงตาจากการร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร

            “แน่ใจนะคุณลูกปลา...ว่าล็อกกุญแจดีแล้วก่อนออกจากออฟฟิศเมื่อวาน” ผู้จัดการแผนกบัญชีที่เป็นสตรีวัยเกือบกลางคนถามอย่างเคร่งเครียด เมื่อวานเปรมยุตามาเบิกเงินจากแผนกเป็นค่าดอกไม้สดจำนวนสองแสนบาท และทุกครั้งก็จะให้ปาลิดาเป็นคนไปโอนเงินให้ร้านดอกไม้แล้วเก็บใบเสร็จมา ก่อนหน้านั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่เมื่อเช้านี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเมื่อเงินจำนวนนั้นหายไป

            “แน่ใจสิคุณเจี๊ยบ ลูกปลาใส่ลิ้นชักแล้วก็ล็อกอย่างดีเหมือนทุกครั้ง ก่อนกลับบ้านยังลองดึงอยู่เลยว่าล็อกดีหรือเปล่า? พอตอนสายจะเปิดเอาเงิน แต่...เงินทั้งซองหายไปแล้วอ่ะ” ปาลิดาสะอึกสะอื้นพร้อมกับปาดน้ำตาเลยยิ่งทำให้อายไลเนอร์เลอะมากขึ้น

            “แต่เราให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยขึ้นไปดูก็ไม่มีร่องการงัดแงะนะครับ เหมือนกับใช้กุญแจไขตามปกติ” ผู้จัดการแผนกรักษาความปลอดภัยกล่าว ชลธีทำท่าคิดหนัก

            “ลูกปลา...นึกดูให้ดีๆก่อนว่าเมื่อเช้าได้หยิบเงินแล้วเดินไปโน่นนี่แล้วอาจจะไปวางลืมไว้ที่ไหนหรือเล่า?” เปรมยุตาที่มีสีหน้าวิตกถามย้ำเป็นรอบที่สามเห็นจะได้

            “ตั้งแต่เข้ามาบริษัทก็ยังไม่ได้เดินไปไหนเลย ลูกปลาเปิดลิ้นชักตอนเก้าโมงจะไปโอนตาม ที่คุณปรางบอกนั่นแหละ แต่มันก็ไม่อยู่แล้วอ...ฮึก แต่ลูกปลาไม่ได้ขโมยจริงๆนะ เงินแค่สองแสนจะเอาไปทำไมกัน รายได้จากสะพานปลากับห้องเย็นที่ระยองวันๆนึงได้มากกว่านี้อีก...ฮึก” เสียงร้องยิ่งดังหนักขึ้น ชลธีหนักใจมาก เขารู้ว่าทุกคนคิดว่าปาลิดาต้องเป็นผู้ต้องสงสัยแน่ๆแต่ไม่มีใครกล้าพูดเพราะเกรงใจเขา

            “เอาล่ะ...ลูกปลากลับขึ้นไปรอพี่ข้างบน” เขาบอกสาวหมวยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด ปาลิดาลุก ออกไปช้าๆพร้อมกับเสียงสั่งน้ำมูกครืดคราดไล่หลังไป

            “แล้วคุณชลจะเอายังไงต่อคะ?” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลหันมาถามความเห็นจากเขา ชลธีถอนใจเฮือกใหญ่กับการตัดสินครั้งนี้

            “ก็...คงต้องว่ากันไปตามกฎระเบียบ ระหว่างที่ลูกปลาถูกพักงานก็ต้องหาข้อพิสูจน์ว่าใครเป็นคนเอาเงินไป เอาล่ะ...แยกย้ายกันไปทำงานต่อเถอะครับ ขอบคุณมาก” ทุกคนก้มหัวให้เขาแล้วออกจากห้องไปทีละคน คงเหลือแต่เปรมยุตาที่อยู่รั้งท้าย

            “ชลไม่เชื่อใช่มั้ยคะ? ว่าลูกปลาเป็นคนเอาเงินไป” แม้จะค่อนข้างมั่นใจแต่ยังอยากได้ยินจากปากของเขาเอง

            “ลูกปลาไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น ผมหาเหตุผลที่เธอจะเอาเงินไปไม่ได้เลย ลูกปลาเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เงินเดือนที่ได้ทุกวันนี้น้อยนิดกว่าที่บ้านเธอหาได้ในแต่ละวันเสียอีก ผมว่าเรื่องนี้คงต้องมีคนอยากแกล้งเธอ ปรางพอจะรู้มั้ยว่าลูกปลาเขม่นกับใครที่นี่บ้างมั้ย?” เขาถามเปรมยุตาอย่างคิดไม่ตก คนถูกถามนิ่งไป

            “ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่เท่าที่รู้คือ...ลูกปลาไม่ค่อยตั้งใจทำงานแล้วก็พูดจาไม่ค่อยน่าฟังในบางครั้ง อาจจะมีคนไม่ชอบ แต่ลองชลคิดอีกมุมนะคะ...จะมีพนักงานสักกี่คนที่ขึ้นไปถึงออฟฟิศข้างบนได้ ร่องรอยงัดแงะก็ไม่มี แล้วลูกปลาก็เป็นคนเดียวที่ถือกุญแจดอกนั้น อย่าโกรธปรางเลยนะคะที่พูดแบบนี้ แต่บางที...คนที่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยก็ใช่ว่าจะเกิดอารมณ์หน้ามืดตอนเห็นเงินไม่ได้นะคะ” เปรมยุตาพูดทิ้งท้ายให้คิดแล้วเดินออกไปเงียบๆ

            ชลธีไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับปาลิดาที่ยังคงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในห้องทำงานกับเขามาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว พยามยามหาเหตุผลมาอธิบายถึงเรื่องการถูกพักงานอย่างดีที่สุดแต่ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายสงบลงได้เลย

            “พี่ชลไม่เชื่อใจลูกปลา เสียแรงที่ยกให้เป็นไอดอล” ปาลิดาตัดพ้อ

            “พักงานไม่ได้หมายความว่าพี่เชื่อว่าเราเอาเงินไป แต่นี่คือการทำตามกฎระเบียบของบริษัท ถึงลูกปลาจะเป็นคนรู้จักแต่พี่ก็ไม่สามารถทำอะไรตามใจได้ทุกอย่าง กลับไปอยู่บ้านก่อนสักพักนึง พอเรื่องคลี่คลายหรือหาตัวคนทำผิดได้แล้วค่อยกลับมาทำงานเหมือนเดิม” เขาอธิบายนิ่มๆ

            “ไม่! ลูกปลาไม่อยู่กับคนใจร้ายอย่างพี่ชลแล้ว เอ้านี่…เงินสองแสนนี้ลูกปลาไปเบิกเงินส่วนตัวมาคืนให้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ทั้งใจและกาย โฮ...” ปาลิดาเลื่อนซองใส่เงินให้ตรงหน้า ชลธีถอนใจแล้วส่ายหน้ากับความไม่ยอมฟังเหตุผลของคนที่กำลังสะอื้นฮึกฮัก

            “เก็บเงินไปซะลูกปลา เงินนี่ไม่ใช่ของพี่ ที่สำคัญมันไม่สามารถช่วยให้ลูกปลาหลุดพ้นคำครหาได้หรอก ใจเย็นๆแล้วตั้งสติให้ดีก่อน พี่เองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆนะ...กำลังหาทางช่วยเราอยู่” เขาบอกอย่างเหนื่อยอ่อนเต็มที

            “คอยดูนะ...ถ้าจับไอ้หัวขโมยได้เมื่อไหร่ล่ะจะถีบตกทะเลให้เป็นผีเฝ้าทะเลเลย พี่ชลก็อีกคน! ถ้ากลับระยองล่ะก็อย่าเดินผ่านบ้านนะ จะปล่อยหมามากัดให้เนื้อหลุดเลย” ปาลิดาอาฆาตก่อนจะเก็บข้าวของเดินกระทืบเท้าออกไป ชลธียกมือกุมขมับอีกรอบ

            “โอ๊ย...อะไรกันนักหนาเนี่ย” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก    

           

            แทนดาวกำลังยืนสำรวจความเรียบร้อยอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ วันนี้หล่อนมาถึงก่อนเวลาเริ่มงานเป็นชั่วโมงก็เลยไม่ต้องรีบร้อนแต่งตัว แถมยังมีเวลาอีกเหลือเฟือให้นั่งอ่านหนังสือเรียนด้วย สาวน้อยมองตัวเองจนพอแล้วเดินออกจากห้องน้ำแต่ก็สวนกับปาลิดาที่กำลังจะเข้ามาก็อดทักทายตามมารยาทไม่ได้

            “สวัสดีลูกปลา อ้าว...เป็นอะไรไปล่ะ?” แทนดาวร้องถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นใบ หน้าของปาลิดาชัดเจนที่แดงก่ำไปหมดอย่างคนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มาสคาร่ากับอายไลเนอร์ละลายเลอะไปทั่วจรดหางคิ้ว ในมืออุ้มลังกระดาษใบย่อมบรรจุข้าวของจุกจิก

            “ฮือ...พี่ชล...ฮึก...สั่งพักงานลูกปลา” พอเห็นว่าใครมาทักก็ปล่อยโฮอีกระลอก

            “เรื่องอะไรกันน่ะลูกปลา?” แทนดาวตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยินและสงสัยใคร่รู้ในคราวเดียว กัน ปาลิดาทำผิดอะไรร้ายแรงถึงขั้นถูกพักงาน

แทนดาวเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาในห้องทำงานของชลธีอย่างร้อนรน เจ้าของห้องที่กำลังนั่งหลับตาเอนศีรษะกับพนักพิงและนวดขมับตัวเองไปด้วยพูดกับคนที่ก้าวเข้ามาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

            “ให้รถไปส่งลูกปลาที่บ้านนะคุณนุช แล้วก็เรียกหัวหน้าแผนกบัญชีกับฝ่ายบุคคลมาพบผมที่ห้องประชุมกลางอีกรอบนะ” เขาพูดทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาก็เลยไปไม่รู้ว่าสาวน้อยว่าที่คู่หมั้นมายืนอยู่

            “พี่ชลคะ...ขอโทษที่เข้ามารบกวน แต่น้องพลูมีเรื่องอยากคุยด้วยจริงๆ”

            “อ้าว..น้องพลู” ชลธีลืมตาขึ้นทันทีและรีบปรับสีหน้าให้เป็นปรกติเมื่อเห็นว่าเป็นใคร     “น้องพลูเจอลูกปลาข้างล่างเมื่อกี้ เธอร้องห่มร้องไห้บอกว่าถูกพี่ชลสั่งพักงาน” แทนดาวพูดรัวๆ ทั้งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ชลธีรับฟังนิ่งๆไม่พูดอะไรแล้วโอบบ่าคนตัวเล็กให้ไปนั่งลงบนโซฟายาวด้วยกัน

            “น้องพลูไม่เชื่อว่าลูกปลาจะยักยอกเงินบริษัท” แทนดาวบอกอย่างมั่นใจ

            “พี่ก็ไม่เชื่อ” เขาบอกอย่างมั่นใจเช่นกันทำให้คนฟังมองอย่างไม่เข้าใจ

            “พี่รู้ว่าลูกปลาถูกใส่ร้าย คนแกล้งน่ะ...ไม่ฉลาดเลย เงินสองแสนนั่นลูกปลาจะเอาไปทำไมกัน แค่นั้นไม่พอซื้อกระเป๋าที่ยัยนั่นใช้อยู่ด้วยซ้ำ”

            “แล้วทำไม...พี่ชลถึงสั่งพักงานเธอล่ะคะ?” แทนดาวถามต่อด้วยความแคลงใจ

            “เฮ้อ...พี่ไม่อยากทำหรอกนะ แต่ต้องเข้าใจว่าที่นี่ไม่ใช่ของพี่คนเดียว เรามีฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายบุคคล ทุกคนต้องทำตามกฎกติกา ถ้าพี่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เท่ากับว่าฝืนกฎระเบียบก็จะเสียการปกครอง หุ้นส่วนกับพนักงานคนอื่นๆก็จะมองว่าพี่เข้าข้างญาติตัวเอง” เขาอธิบายอย่างมีเหตุผล แทนดาวพยักหน้าเข้าใจ

            “แล้วจะหาตัวคนผิดจริงๆได้มั้ยคะ?”

            “ไม่น่าจะยากหรอก เปิดกล้องดูก็รู้ว่าเมื่อคืนใครแอบเข้ามาเปิดลิ้นชักของลูกปลา”

            “ดูลูกปลาเสียใจมากเลยนะคะ ทำไมต้องแกล้งกันแรงขนาดนี้ด้วย” แทนดาวนึกถึงใบหน้าโศกเศร้าน้ำตาอาบแก้มของปาลิดาก็นึกสงสาร

            “พี่ก็ไม่อยากเดานะ แต่...ลูกปลาค่อนข้างเป็นคนเอาแต่ใจแล้วก็ทำงานหยิบโหย่ง พูดจาก็...บางทีแรงไปหน่อย เพื่อนพนักงานบางคนอาจจะไม่ชอบเลยหาทางให้ถูกไล่ออก” เขาบอกข้อสันนิษฐานของตัวเอง แทนดาวครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่ง

            “น่าสงสารเธอนะคะ อุตส่าห์ตั้งใจมาทำงานกับพี่ชล ส่วนตัวแล้วน้องพลูคิดว่าจริงๆแล้วลูกปลาก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ถึงบางครั้งจะพูดจาโผงผางไม่น่าฟังแล้วก็ดูแรงๆไปบ้าง” แทนดาวออกความเห็น ชลธีเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กเบาๆ

            “น้องพลูคิดแบบนี้จริงๆเหรอ? ตอนแรกพี่คิดว่าเราจะไม่ถูกกับยัยลูกปลาซะอีก”

            “ถึงจะเคมีเราจะไม่ค่อยเข้ากันแต่ลูกปลาควรได้รับความยุติธรรม น้องพลูอยากเห็นหน้าคนทำผิดเร็วๆจัง” แทนดาวพูดคล้ายกับโกรธแค้นแทนสาวหมวย ชลธียิ้มอ่อน

            “เดี๋ยวพี่ก็ต้องตั้งทีมสืบสวนเรื่องนี้ เงินสองแสนมันน้อยนิดแต่มันทำให้เสียความรู้สึกและสร้างมลทินให้ลูกปลาได้อย่างที่น้องพลูคิดนั่นแหละ” เขาบอกพลางขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด

            “แล้วลูกปลาจะเป็นยังไงต่อคะ? พี่ชลจะพักงานเธอนานแค่ไหน?” แทนดาวยังคงยิงคำถามเกี่ยวกับสาวหมวยเรื่อยๆ

            “ตามระเบียบแล้วก็ต้องพักงานจนกว่าจะหาคนกระทำผิดได้ ลูกปลาโกรธพี่มาก...บอกว่าจะออกไปหาคอนโดอยู่เอง นี่พี่ก็เลยให้คุณนุชหาอพาร์ทเม้นต์ของพี่ที่ยังเหลือห้องว่างให้” เขาถอนหายใจลึก

            “แล้วทำไมต้องให้ลูกปลาไปอยู่ที่อื่นด้วยล่ะ พี่ชลน่าจะห้ามเธอ” คนตัวเล็กตั้งคำถามต่อ

            “ลูกปลาควรจะไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่แรกแล้ว ดีเหมือนกัน...พี่จะได้กลับบ้านกลับช่องซะที” เขาบอกคนตัวเล็กที่ส่งสายตาคาดคั้นไม่หยุด แทนดาวร้องอ๋อเบาๆอย่างเข้าใจ ชลธีระเห็จตัวเองมานอนอยู่ที่ทำงานเป็นเดือนนับแต่ปาลิดามาอาศัยอยู่ด้วย

            “เฮ้อ...เท่ากับว่าตอนนี้ลูกปลาก็เหลือตัวคนเดียว น่าสงสารจัง...เดี๋ยวจะลองถามพี่หมากว่าให้ลูกปลาไปทำงานด้วยได้หรือเปล่า?” แทนดาวถอนใจเบาๆ ชลธีมองคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกประทับใจ แทนดาวมีความคิดและรู้จักเหตุผล ไม่ซ้ำเติมคนล้มแม้ว่าจะไม่ชอบหน้ากัน

            “ห่วงแต่คนอื่นอยู่นั่นแหละ...ไม่เห็นห่วงพี่มั่ง” เขาพูดอย่างให้ความหมาย แทนดาวสบตาวิบวับนั่นแล้วก็อดถามต่อไม่ได้

            “ไม่เห็นมีอะไรจะน่าห่วงเลยนี่คะ พี่ชลก็ดูสุขสบายดี” ชลธีอมยิ้มกับคำตอบก่อนจะโอบไหล่บางเข้ามาหาตัวแล้วกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง

“เป็นแฟนกันมาหลายวันแล้ว...น้องพลูจะยอมให้พี่จูบได้หรือยังคะ?” เจ้าของนัยน์ตาสีเหล็กกระซิบถามคนในอ้อมแขนอย่างออดอ้อน

 “ไม่เอาดีกว่าค่ะ น้องพลูไม่เคย คิส คิส ใครนอกจากพี่หมาก” คนถูกขอส่ายหน้าดิก คนอะไร...ขี้ขอชะมัด

 “มันไม่ใช่ คิส คิส แบบนั้น แต่เป็นคิส...แบบ...เอ่อคนรักกัน”

“แบบในซีรีย์เกาหลีน่ะหรือคะ?”

“ไม่รู้สิ...พี่ไม่เคยดู แต่รับรองว่าน้องพลูต้องประทับใจจูบของพี่แน่นนอน นะคะ...ขอจูบสักทีให้ชื่นใจ”

“อื้อ...ไม่เอานะ น้องพลูโกรธจริงๆด้วย” คนตัวล็กทำหน้าบึ้งพอเห็นว่าเขาจะทำจริงๆ

“ใจแข็งจัง พี่ทรมานจะแย่แล้วรู้มั้ยคะ?” ชลธีพยายามอ้อนวอนอีกครั้ง

“ทรมานเพราะเรื่องแค่นี้เองหรือคะ ใจเสาะเกินไปแล้วนะ”

“ก็ได้...ถ้ายังไม่ยอมให้จูบ ก็ต้องให้พี่หอมจนกว่าจะพอใจ แน่...ห้ามต่อรองเด็ดขาด” เขาชี้นิ้วเป็นเชิงห้ามเมื่อเห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปาก มือแข็งแกร่งรีบช้อนร่างนุ่มนิ่มให้ขึ้นมานั่งเกยบนตักอย่างง่ายดายแล้วล็อกตัวไว้ไม่ไห้หนีไปไหน

“ในเมื่อน้องใบพลูคนสวยไม่ยอมให้พี่ชลจูบ...วันนี้ก็จะหอมให้แก้มเปื่อยละลายคาปากเลยแหละ” แล้วคนขู่ก็ทำตามที่พูดจริงๆ

“ครั้งที่หนึ่ง...” จมูกโด่งกดลงหนักๆตรงแก้มขวาแล้วเริ่มนับไปด้วย มือแข็งแรงก็บังคับใบหน้าให้หันซ้ายหันขวา

“ครั้งที่สอง...”

“อือ...” คนตัวเล็กเริ่มส่งเสียงประท้วงในลำคอ

“ครั้งที่สาม...ยอมยัง?” เขากระซิบถามแต่คนตัวเล็กก็ส่ายหน้าไม่ยอมอยู่ดี แต่พอจะต่อครั้งที่สี่โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นเหมือนรู้จังหวะ มือหน้าที่จับปลายคางมนอยู่ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมารับสายอย่างไม่เต็มใจนัก แต่แขนข้างที่เหลือยังคงรัดตัวเจ้าของแก้มหอมให้นั่งอยู่บนตัก แทนดาวไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเลยเอาแต่จับคลิปหนีบเนคไทของเขาเล่น

“ว่าไงครับ...มากันพร้อมแล้วใช่มั้ย? ได้เดี๋ยวผมลงไปคุยนะ...รอสักครู่” เขาพูดเสียงห้าวลึกกับคนในสายแล้วหันมาพูดกับคนบนตัก

“ว้า...อดรังแกคนใจแข็งต่อเลย เดี๋ยวพี่ลงไปคุยงานข้างล่างแป๊บนึงนะ น้องพลูจะลงไปพร้อมกันเลยมั้ยคะ?” เขาเชยคางเล็กขึ้นมาแล้วก็พบว่าทั่วทั้งใบหน้าเป็นสีแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสุก เห็นอย่างนี้แล้วก็แทบไม่อยากจะไปไหนเลย

“น้องพลูฝากขอบคุณคนที่โทรมาตามพี่ชลด้วยนะคะ” แทนดาวหันหน้าหนีซ่อนความอาย

“อย่าคิดว่าจะรอดนะ คราวนี้ยอมปล่อยเพราะมีเหตุจำเป็นหรอก” เขาหยิกจมูกเล็กๆนั่นอย่างมันเขี้ยวแล้วจับร่างบางออกจากตักอุ่น จูงมือเดินออกจากห้องแต่ก็เจอเปรมยุตาอยู่ตรงประตูพอดีกำลังทำท่ายกมือขึ้นเหมือนจะเคาะ

“ปรางจะมาตามพอดีค่ะ กรรมการคนอื่นมาครบแล้ว” เปรมยุตารายงานแล้วมองเลยมายังสตรีที่ยืนอยู่ข้างๆซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก แทนดาวยิ้มบางๆให้เป็นการทักทาย

“เมื่อกี้คุณนุชก็โทรมาตามเหมือนกัน...ไปกันเถอะ” เขาจูงมือแทนดาวออกไปยังลิฟต์ด้านนอก เปรมยุตาเดินตามมาเงียบๆ

“หายเจ็บแล้วเหรอครับ?” พออยู่ในลิฟต์ชลธีก็จับมือข้างที่ถูกแก้วบาดเมื่อวานขึ้นมาดู ยังมีปลาสเตอร์สีเนื้อแปะอยู่ เปรมยุตามองภาพนั้นอย่างเย็นชา

“ไม่เจ็บแล้วล่ะค่ะ แต่ต้องระวังอย่าให้โดนน้ำ ดีที่โดนตรงโคนนิ้วถ้าโดนปลายนิ้วคงกดคีย์ไม่ลงแน่” แทนดาวตอบ ลิฟต์จอดตรงชั้นสิบพอดี

“คุณไปรอก่อนนะปราง เดี๋ยวผมลงไปส่งน้องพลูข้างล่างแป๊บนึง” เขาหันมาบอกสตรีอีกคนที่ยืนหน้าตาไร้อารมณ์ เปรยุตาก้มหัวแล้วออกไปอย่างว่าง่าย

“น้องพลูลงไปเองก็ได้ค่ะ มาตั้งหลายครั้งแล้วไม่หลงหรอก” แทนดาวบอกเมื่ออยู่ในลิฟต์กันสองคน

“ก็พี่อยากมาส่ง เดี๋ยวระหว่างทางเจอหนุ่มๆแซวเอาจะทำยังไง?” เขาแกล้งล้อ แทนดาวหันหน้าหลบสายตาพราวระยับนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาชลธีก็พาหล่อนมาส่งที่ทำงาน

“อ้อ...น้องพลูสงสัยจัง ทำไมพี่ชลต้องทำหน้าดุ เสียงเข้มตลอดเวลาด้วยล่ะ ยิ้มบ้างก็ได้นะคะ...จะได้หล่อขึ้น” แทนดาวถามอย่างอยากรู้ด้วยสังเกตมานานว่าบุรุษตรงหน้าที่อายุอานามเท่าพี่ชายตนเองคนนี้ไม่ค่อยจะยิ้มแย้มแจ่มใสหรือพูดคุยเล่นหัวกับใครเลย ยิ่งเวลาพูดกับพนักงานก็ติดไปทางดุดันและเคร่งขรึม มิน่าล่ะ...คนที่นี่ถึงดูเกรงใจเขามากกว่าเจ้านายคนอื่น

“พี่ไม่มีเหตุผลที่จะโปรยยิ้มให้คนอื่น” เขาตอบง่ายๆ

“แล้วทำไมเวลาอยู่กับน้องพลูถึงยิ้มได้ล่ะคะ?” คนขี้สงสัยยังถามต่อ

“เวลาอยู่ใกล้ๆน้องพลูพี่มีความสุขนี่คะ...ก็เลยยิ้มบ่อย น้องพลูคือความสุขที่หวนคืนมาของพี่...My May lily” เขาตอบเสียงเบาหวิวแล้วหยิกแก้มนุ่มนิ่มที่เจือสีชมพูจางๆเบาๆ ยิ้มอบอุ่นให้หนึ่งครั้งก่อนจะเดินจากไป

 

แทนดาวเล่นเพลงด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขกว่าครั้งไหน สิ่งที่จะบ่งบอกความเปรมปรีดิ์นั้นได้ดีก็คงจะเป็นรอยยิ้มแช่มชื่นที่แทบจะไม่เลือนหายไปจากใบหน้าพริ้มเพราตลอดเวลาที่รับหน้าที่บรรเลงเพลงขับกล่อมลูกค้าที่นั่งดื่มเบาๆอยู่บริเวณนี้

“น้องพลูคือความสุขที่หวนคืนมาของพี่...My May lily” ประโยคที่เขากระซิบบอกเมื่อชั่วโมงก่อนทำให้ดวงตาทรงอัลมอนด์ที่สดใสเป็นทุนเดิมยิ่งทอประกายเจิดจรัสดุจดาวโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึก

           ยังเหลือเวลาอีกประมาณห้านาทีสำหรับบทเพลงสุดท้าย มือน้อยค่อยๆพลิกสมุดโน้ตหาเพลงที่ต้องการจะถ่ายทอดความรู้สึกของตนขณะนี้ ในเมื่อไม่อาจหาคำตอบให้กับคำถามที่วนเวียนในใจตอนนี้ได้ ก็ขอใช้เพลงในการถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจขณะนี้แทนแล้วกัน

“แทนดาว...เธอเป็นอะไรไป? เธอไม่เคยเป็นแบบนี้นะ” เจ้าของนัยน์ตาสวยพร่ำถามกับตัวเองซ้ำๆไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้เสียที ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าชลธีมิใช่แค่คนรู้จักหรือหุ้นส่วนทางธุรกิจแต่เป็นคนที่ทำให้หวั่นไหวทุกครั้งที่เข้าใกล้ อบอุ่นยามเห็นรอยยิ้มส่งทอดมา เขานั่นแหละ...ที่มาเขย่าดวงใจน้อยๆให้สั่นคลอน

นิ้วเรียวจรดลงบนคีย์ตัวแรกแล้วตามมาด้วยโน้ตตัวอื่นๆจนเรียงร้อยเป็นทำนองเพลงของนักร้องชายที่โด่งดังนามว่า บี้ เดอะสตาร์ ไม่เพียงเท่านั้น...ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนดุจปีกผีเสื้อยังขับขานเนื้อร้องคลอตามโดยไม่ทันมองว่ามีใครคนหนึ่งยืนมองอยู่ห่างๆ ใครคนนั้นกำลังส่งประกายตาอ่อนโยนมาให้ร่างเล็กที่กำลังขับขานบทเพลงรักได้อย่างสวยงาม

มันเกิดอะไรกับหัวใจ ควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง จะห้ามยังไงก็ไม่มีทาง ให้มันหยุดคิดถึงเธอ จะบอกยังไงก็ไม่ฟัง เมื่อใจมันยังเรียกร้องหาเธอ คนเดียวในใจชัดเจนคือเธอ ท่าทางมันคงจะเผลอรักเธอหมดใจ

รอยยิ้มจางๆค่อยปรากฏชัดขึ้นอีกเมื่อเพลงจบลง แทนดาวค่อยๆเก็บสมุดโน้ตและข้าวของพร้อมๆกับตรวจตราความเรียบร้อยของแกรนด์เปียโนสีดำให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสำหรับคนที่จะมารับช่วงต่อ

“เอ๊ะ!...พี่ชล น้องพลูนึกว่ากลับไปแล้วซะอีก” แทนดาวเงยหน้ามองคนที่เพิ่งเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ มือข้างหนึ่งมีเสื้อสูทสีดำพาดอยู่ เนคไทสีครีมสลับดำคลายปมออกเล็กน้อย ที่กระเป๋าเสื้อตรงอกด้านซ้ายมีชายผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินที่หล่อนซื้อให้โผล่ออกมานิดหนึ่ง

“พี่ลงมานั่งรอน้องพลูสักพักแล้วล่ะ อ้อ...วันนี้พี่ไปส่งนะครับ” เขาบอกพลางหยิบสัมภาระต่างๆของคนตัวเล็กมาถือไว้ในมือ

“เดี๋ยวน้าตาลมารับค่ะ” คนตัวเล็กรีบบอก

“พี่โทรไปบอกป้าทิพย์แล้วว่าวันนี้จะพาไปส่งเอง” เขายิ้มกว้างขึ้นอีก

“งั้นน้องพลูโทรหาพี่หมากก่อนนะคะ” คนตัวเล็กกำลังจะกดโทรศัพท์ก็พอดีกับที่เลขาของเขากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา

“นุชนึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว...คุณชลพอจะมีเวลาอีกสักนิดมั้ยคะ? เดี๋ยวอีกสิบนาทีจะลูกค้าจะโทรทางไกลเข้าเบอร์ที่ห้องประชุมกลางค่ะ” เลขาสาวรีบบอกเจ้านายเสียงตื่น เขาหันมามองแทนดาวนิดหนึ่ง

“ทำธุระให้เสร็จก่อนดีกว่าค่ะ น้องพลูไม่รีบไปไหน”

“ป่ะ...งั้นไปรอบนห้องพี่ดีกว่า” เขาแตะหลังให้คนตัวเล็กเดินเคียงคู่ไป เปรมยุตาที่กำลังเตรียมตัวกลับบ้านเช่นกันเห็นหลังไวๆของทั้งคู่เดินกลับขึ้นข้างบนก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ร่างระหงรีบสาวเท้ากลับเข้าลิฟต์อีกตัวในแทบจะทันที

“รอที่นี่ก่อนนะคะ...เดี๋ยวพี่มา” เขาบอกก่อนจะรีบเดินออกไป แทนดาวรีบโทรบอกพี่ชายว่าวันนี้ชลธีจะพาไปรับประทานอาหารเย็นแล้วจะพาไปส่ง เทียมภพบ่นเป็นหมีกินรังแตนแล้วยื่นคำขาดว่า “สองทุ่มต้องถึงบ้าน ถ้าดึกกว่านั้นมันโดนกระทืบ!”

“ขอโทษนะคะ พี่เห็นว่าชลกลับขึ้นมาบนนี้ ไปไหนเสียแล้วล่ะคะ?” เปรมยุตาเดินยิ้มเข้ามาอย่างเป็นมิตร

“เห็นคุณนุชบอกว่ามีสายจากต่างประเทศค่ะ” แทนดาวมองสตรีสวยสง่าที่ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาใกล้ๆกันด้วยกิริยานุ่มนวล

“แล้วนี่จะไปไหนกันต่อเหรอคะ?” เปรมยุตาทอดเสียงถามอย่างอ่อนหวาน มันทำให้คนฟังอดนึกถึงพี่สาวไม่ได้ สองสาวนี้มีบุคลิกที่ดูเป็นผู้ดีมีสกุลทุกกระเบียดนิ้ว

“จะไปทานข้าวเย็นค่ะ แล้วพี่ปรางยังไม่กลับหรือคะ?” แทนดาวถามกลับบ้าง มีอาการเกร็งเล็กน้อยเพราะกลัวว่ากิริยาจะไม่สุภาพเท่าสตรีสูงวัยกว่าที่นั่งสนทนาอยู่ด้วย

“กำลังจะกลับพอดี แต่พี่สิ...ดันลืมเอกสารเอาไว้ในห้องนี้ พอดีเห็นชลเค้ากลับขึ้นมาก็เลยรีบตามาเสียเลย ไม่งั้นพี่ก็เข้าห้องนี้ไม่ได้” ริมฝีปากสีกุหลาบยิ้มเยื้อนแล้วเดินช้าๆไปที่โต๊ะทำงานตรงกลางห้อง สายตาก็กวาดหาเอกสารที่ว่าแต่มือกลับหยิบตะกร้าดอกไม้ประดิษฐ์ที่วางอยู่ตรงมุมโต๊ะขึ้นมาพิจารณา

“น่ารักดีนะคะ...ชลเค้ามีจิตใจละเอียดอ่อนขัดกับท่าทางเงียบๆ ถ้าไม่สนิทชิดเชื้อด้วยจริงๆก็ยากค่ะ...ที่จะเข้าถึงตัวตนของเค้าได้” เปรมยุตาวางตะกร้าดอกไม้ลงบนโต๊ะอย่างเดิมแล้วเดินกลับมานั่งที่เก่า แทนดาวไม่ว่าอะไรเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร

“นอกจากคนในครอบครัวแล้ว ก็คงจะมีแต่พี่มั้ง...ที่รู้ใจเค้ามากที่สุด” แทนดาวชำเลืองมองใบหน้างดงามหมดจดราวภาพวาดที่ยังพูดต่อเรื่อยๆอย่างสนใจ

“ก็...พี่ปรางกับพี่ชลรู้จักกันมานานแล้วนี่คะ” แทนดาวออกความเห็นไปตามความจริง ทั้งคู่เคยคบหากันมาก่อนย่อมที่จะต้องรู้ใจกันเป็นธรรมดา

“แล้วน้องพลูล่ะคะ? รู้จักชลเค้าดีแค่ไหนแล้ว?” เปรมยุตาถามกลับบ้าง สีหน้าท่าทางยังดูสบายๆเหมือนเพื่อนผู้หญิงชวนคุยเล่นกันทั่วๆไป

“ก็...เพิ่งจะทำความรู้จักกันมากกว่าค่ะ” แทนดาวแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่อยากบอกว่าเจอกันแทบจะนับครั้งได้

“ยังมีเวลาอีกมากมายที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน สำหรับพี่น่ะหรือ...ขนาดเราสองคนขาดการติดต่อกันไปเกือบสิบปีก็ไม่นึกเลยว่าจะกลับมาเจอกันได้” เปรมยุตามองหน้าสตรีผู้อ่อนวัยกว่าด้วยสายตาบางอย่างที่คนถูกมองอ่านไม่ออก

“ชลเค้าเป็นคนที่ไม่เคยลืมอะไรง่ายๆเลย เชื่อมั้ย...ขนาดรอยสักบนแขนที่เป็นชื่อย่อของพี่ยังอยู่เลยนะนั่น นึกว่าพอเลิกรากันไปแล้วเค้าจะลบทิ้งซะอีก” คนพูดหัวเราะคิกคักเหมือนเป็นเรื่องขำขันมากกว่าจะแฝงความหมายไปในทางอื่น

“เหรอคะ? น้องพลูไม่เคยสังเกตเลย” แทนดาวเพียงยิ้มจืดๆให้เพราะกำลังพูดปด ที่จริงก็เดาออกมานานแล้วว่ารอยสักที่แอบเห็นบ่อยๆนั้นมีความหมายว่าอย่างไร

“ชลคงอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งนึงเคยยอมเจ็บตัวเพื่อผู้หญิงที่เค้ารัก” เปรมยุตาหยุดที่ประโยคนี้ชั่วอึดใจ เดาไม่ถูกว่าหล่อนพูดให้คู่สนทนาฟังหรือว่ากำลังพูดกับตัวเอง

“ว่าแต่...จะไปกินข้าวกันต่อนี่นา พี่จะบอกให้...ชลเค้าชอบกินปลามาก สมัยที่อยู่ด้วยกันเมนูปลานี่ขาดไม่ได้ทีเดียว ส่วนของหวานอย่าเผลอไปสั่งล่ะ...นั่นศัตรูตัวฉกาจของเค้าเลยแหละ” เปรมยุตายังยิ้มสดชื่นให้สาวน้อยที่นั่งฟังด้วยอาการสงบ

“ค่ะ...ขอบคุณที่บอก” แทนดาวตอบเสียงแผ่วเบา มือเย็นชื้นประสานกันแน่นบนตัก

“พี่คงมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ เอกสารที่ว่าไม่ได้อยู่ที่นี่...สงสัยจะจำผิด งั้นพี่กลับแล้วนะคะ” เปรมยุตาเดินไปที่โต๊ะทำงานตรงกลางห้องอีกครั้งแล้วหันมายิ้มให้สาวน้อยที่ยังนั่งนิ่ง

“อุ๊ย!...ขอโทษที พี่ทำมันตกซะแล้ว” จังหวะที่หันตัวกลับมือก็ไปปัดถูกตะกร้าดอกไม้ตกพื้นจนกลีบดอกที่ปั้นด้วยดินญี่ปุ่นแตกบิ่น บางชิ้นหลุดจากช่อของมันอย่างน่าเสียดาย แต่คนทำตกก็ไม่ได้สนใจที่จะเก็บมันขึ้นมาแล้วเดินลิ่วออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แทนดาวรีบไปเก็บดอกไม้ที่ตกกระจายอยู่บนพื้น รู้สึกใจหายนิดๆเมื่อมองกลีบดอกของ ลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ในมือที่หลุดจากกิ่ง เสียดายก็เสียดายที่อุตส่าห์ไปเดินหาซื้อมา ในหัวก็พยายามหาคำตอบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อดีตคนรักของคู่หมั้นตนเองทำไปทั้งหมดนี้เพื่ออะไรกัน

“อ้าว...น้องพลู! ไปนั่งทำอะไรตรงนั้นล่ะ?” ชลธีที่หายไปประมาณสิบนาทีกลับเข้ามาอีกครั้งแล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นแทนดาวนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ข้างๆโต๊ะทำงาน พอเดินเข้ามาดูใกล้ๆก็พบสาเหตุ

“น้องพลูทำมันตกค่ะ” แทนดาวเลือกที่จะไม่บอกความจริงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมาก

“ไหนดูซิ...เอากาวติดก็เหมือนเดิมแล้ว ลุกขึ้นเร็ว” เขาฉุดคนตัวเล็กขึ้นแล้ววางตะกร้าดอกไม้พร้อมกับกลีบดอกที่เสียหายไว้ที่เดิม

“ป่ะ...เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ไปกันดีกว่า วันนี้น้องพลูอยากทานอะไรคะ?” เขาถามอย่างเอาใจ แทนดาวมัวแต่ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เลยไม่ได้ยิน คนถามก็เลยหอมแก้มเร็วๆหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติ

“อุ๊ย! พี่ชลน่ะ...ตลอดเลย” คนตัวเล็กยกมือลูบแก้มเบาๆ

“ก็ใจลอยอยู่นั่นแหละ” เขาส่งสายตาล้อเลียน

“น้องพลูอยากไปเอเชียทีค นะคะ...อยากไปนั่งชิงช้ายักษ์” แทนดาวพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้งยามค่ำคืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมของคนไทยและนักท่องเที่ยว

“ได้สิ อ้อ...แล้ววันนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่ากลับบ้านเกินสองทุ่มแล้วจะถูกดุล่ะ” เขาบอกขณะจูงมือคนตัวเล็กเดินออกมา

“พี่ชลรู้ด้วยหรือคะ? ว่าพี่หมากสั่งห้ามกลับเลยสองทุ่ม” แทนดาวหยุดถาม

“รู้สิ...ก็พี่ชายเราโทรมาด่าพี่อยู่เมื่อกี้ รู้มั้ย...พี่คุยกับลูกค้าแค่ห้านาทีแต่ฟังไอ้ตัวบ้าเลือดนั่นพล่ามอยู่เกือบสิบนาทีกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง” เขาส่ายหน้าให้กับคู่อริที่โทรมาต่อว่าต่อขานเรื่องพาน้องสาวไปกินข้าว หาว่าวางแผนพาไปเที่ยวเถลไถลและคิดทำเรื่องไม่ดี

“แล้วพี่หมากยอมด้วยหรือคะ?” ตามปรกติแล้วพี่ชายพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้นเสมอ

“ไม่ยอมหรอก...แต่มีคนช่วยจัดการน่ะสิ” เขาตอบอย่างเป็นปริศนา

“ใครเหรอคะ?” คนตัวเล็กอดสงสัยไม่ได้

“ก็ยัยแฟงไงล่ะ รู้มั้ยว่าตอนนี้พี่ชายเราไปขอข้าวบ้านพี่กิน นี่ถ้ามันไม่โทรมาพี่ก็ไม่รู้เรื่องหรอก” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่กระด้างขึ้นแต่ก็ไม่ได้บ่งบอกความโกรธอะไร แทนดาวยิ้มกว้างที่ได้รู้

“ว้าว!...พี่หมากนี่เด็ดขาดไปเลย มันต้องรุกคืบแบบนี้!” คนตัวเล็กเผลออุทานออกมา

“ชอบใจอะไรกันขนาดนั้น...หืม” เขามองคนตัวเล็กอย่างตั้งคำถาม แทนดาวรีบปรับท่าทางให้เป็นปรกติ

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น้องพลูแค่ดีใจที่พี่หมากยอมให้ไปกับพี่ชลแค่นั้นเอง” คนตัวเล็กตอบเลี่ยงๆ ชลธีกำลังจะพาเดินต่อแต่แล้วก็ต้องหยุดอีกครั้ง

“เอ...เพิ่งสังเกตนะเนี่ย ช่างตัดเสื้อเค้าลืมเย็บผ้าข้างหลังมาให้หรือไงกัน? ทำไมมันแหว่งแทบจะถึงเอวอยู่แล้ว” เขาว่าพลางคลี่เสื้อนอกคลุมไหล่ให้ วันนี้แทนดาวสวมเดรสสีดำเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน ด้านหลังคว้านลึกเป็นรูปตัววีโชว์ผิวพรรณแผ่นหลังนวลเนียน มันเป็นชุดเดียวกับที่หล่อนสวมเมื่อครั้งขึ้นเวทีแข่งเปียโน

“มันเป็นแฟชั่นค่ะ พี่ชลนี่รสนิยมเชยเหมือนพี่หมากเลย...เอะอะก็โป๊” แทนดาวแอบบ่นแต่ก็ยอมสวมเสื้อของเขาไว้

“เฮ้อ...คนมันหวงนี่ นิดหน่อยก็ไม่อยากให้โชว์” เขาว่าขณะจูงมือคนตัวเล็กพาเดินออกมา พนักงานทุกคนที่เดินผ่านก้มศีรษะให้เขาอย่างนอบน้อมและส่งยิ้มให้สาวน้อยที่เดินเคียงข้างเป็นการทักทาย ตรงด้านหน้ามีรถยนต์ตรากระทิงเปลี่ยวหุ้มสติกเกอร์สีเทาด้านทั้งคันจอดรออยู่ พอชลธีก้าวออกไปพนักงานคนหนึ่งก็ยื่นกุญแจให้ เขาเปิดประตูให้สาวน้อยขึ้นไปนั่งเรียบร้อยจากนั้นก็พาเจ้ากระทิงดุไปยังจุดหมายซึ่งต้องวัดดวงกันว่าวันนี้สภาพการจราจรจะติด ขัดมากน้อยเพียงใด

            ชลธีมองอาหารสามอย่างตรงหน้าแล้วก็มองคนสั่งอย่างพินิจพิเคราะห์ ฝ่ายนั้นก็เอาแต่ตักข้าวเข้าปากไม่ได้สนใจอะไรจนเขาต้องเป็นฝ่ายถามเสียเอง

            “ทำไมสั่งแต่แต่ปลาล่ะ? อย่างอื่นไม่ชอบเหรอครับ” ใบหน้าคมมองคนที่นั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยๆแล้วมองกับข้าวตรงหน้าที่มีทั้งปลาทอดราดพริก ต้มยำเนื้อปลากะพงและยำปลาดุกฟู

            “อ้าว...พี่ชลชอบปลาไม่ใช่เหรอคะ น้องพลูเลยสั่งแต่ปลา” แทนดาวตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

            “แล้วรู้ได้ยังไง?” เขาถามกลับพลางจ้องตาคนพูดอย่างคาดคั้น

            “ก็...พี่ปรางบอก” คนตัวเล็กตอบแล้วตักกับข้าวต่อไป ชลธีวางช้อนในมือแล้วกอดอกก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

            “แล้วเค้าบอกว่ายังไงอีก?” น้ำเสียงนั้นบังคับให้แทนดาวต้องมองตอบ

            “ก็แค่นี้เองค่ะ ไม่มีอะไรมาก”

            “ก็เลยสั่งมาประชดพี่ใช่มั้ย? หึง...ว่างั้น?”

            “น้องพลูไม่ได้หึงพี่ชลนะคะ ก็แค่อยากสั่งของชอบให้แค่นั้นเอง” คนถูกไล่ต้อนรีบดื่มน้ำกลบเกลื่อนที่ถูกเขาจับได้

            “ไม่จริงหรอก...น้องพลูหึงพี่” เขาย้ำคำเดิมแล้วเริ่มตักอาหารเข้าปากบ้าง ตาก็จ้องจับผิดคนตัวเล็ก

            “น้องพลูเองก็ชอบกินปลาเหมือนกัน คิดมากไม่เข้าท่า...พี่ชลเนี่ย” แทนดาวบ่นอุบอิบ

            “ปากแข็งนัก อย่าเผลอก็แล้วกัน...จะจูบให้ปากแข็งๆอ่อนนุ่มเป็นขี้ผึ้งลนไฟเชียวล่ะ” เขาขู่แต่สุ้มเสียงกลับแฝงความหมายรัญจวนจนคนฟังต้องหลบตา ชลธีลอบสังเกตคนตรงหน้าแล้วก็แอบถอนใจ หล่อนยังเด็กกว่าที่จะเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้ง อาการงอนปั้นปึ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ตอบคำถามในใจของเขาได้เป็นอย่างดี หล่อนกำลังประชดด้วยอารมณ์แง่งอนเพราะสาเหตุที่ว่าอดีตคนรักอย่างเปรมยุตารู้ทุกอย่างว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรแต่ตนเองกลับไม่รู้

            ส่วนตัวเขาเองนั้นไม่รู้หรอกว่าเปรมยุตาได้คุยอะไรกับแทนดาวบ้าง แต่ก็พอจะเดาจุด

ประสงค์ของอดีตคนรักได้ว่าคงแค่อยากจะลองเชิงสาวน้อยตรงหน้าเล่น แทนดาวยังอ่อนประสบการณ์เกินกว่าที่จะรู้เท่าทันเกม ควรจะให้เวลาเป็นเครื่องชี้นำและเสริมประสบการณ์ให้หล่อนได้เติบโตด้วยตัวเองจะดีกว่า

            “อั้มเร็ว...” มือน้อยใช้ส้อมจิ้มชิ้นปลาจ่อให้ที่ปากของคนหน้าเข้ม ชลธีอมยิ้มแล้วก็รับปลามาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี หล่อนยังเด็กจริงๆนั่นแหละ โกรธง่าย หายเร็ว จนแทบจะตามไม่ทันแล้ว

            “พี่หมากชอบให้น้องพลูป้อนค่ะ” แทนดาวบอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังจ้องมองตนไม่วางตา

            “พี่ก็ชอบนะ” เขาตอบนิ่งๆแต่ก็ทำให้แก้มคนฟังซับสีแดงเรื่อแล้วจิ้มอาหารป้อนเขาต่ออีกสองสามชิ้น

            “ไปนั่งชิงช้ากันนะคะ...นะคะ” พอรับประทานอาหารเสร็จก็ออดอ้อนเขาทั้งน้ำเสียงและสายตาว่าอยากไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญและเป็นจุดดึงดูดสายตาของทุกคน ชลธียิ้มน้อยๆแล้วเดินตามคนตัวเล็กที่ออกอาการเริงร่าไม่หยุดกับการแวะถ่ายภาพเซลฟี่กับรูปปั้นที่ตั้งอยู่เรียงรายตลอดทางไปยังจุดขายตั๋ว

            “น้องพลูไม่อยากใส่แล้วค่ะ...มันร้อน” แทนดาวถอดเสื้อที่คลุมไหล่อยู่คืนเขาไปเมื่อรู้สึกถึงความร้อนอบอ้าวและเหงื่อที่ซึมออกมา แม้สถานที่แห่งนี้จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำและมีสายลอมเอื่อยๆพัดผ่านตลอดแต่ก็เอาชนะอุณหภูมิร้อนชื้นไม่ได้อยู่ดี

            “งั้นก็อย่าว่ากันล่ะ” ชายหนุ่มรับเสื้อคืนมาแล้วรีบใช้แขนอีกข้างโอบบ่าอย่างต้องการจะปิดป้องร่างอรชรจากสายตาหนุ่มๆที่เดินสวนกันขวักไขว่ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องหวงแหนคนข้างๆมากขนาดนี้ หวงไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวทีเดียว

            พอก้าวเข้าไปนั่งในกระเช้าของชิงช้ายักษ์ที่ล้อมด้วยกระจกรอบด้านคนตัวเล็กก็ยิ่งตื่นเต้น ถึงจะเคยขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังชอบใจที่ได้ชมทิวทัศน์ของกรุงเทพยามค่ำคืนที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟในขณะที่ชิงช้าก็หมุนเอื่อยๆไปตามกลไกของมัน

            “น้องพลู...มาถ่ายรูปกัน พี่จะตั้งเวลานะ” ชลธีหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกัน แทนดาวรีบตั้งท่ารอโดยไม่อิดออด

            “อีกรูปนึง...น้องพลูมองกล้องตรงๆสิคะ” เขาบอกสาวน้อยที่หันมุมด้านข้างให้กล้อง นัยว่าคงเป็นมุมสวย ในขณะที่เวลาบนหน้าจอนับถอยหลังถึงวินาที่สุดท้ายจมูกเย็นๆของคนที่นั่งข้างๆก็แตะลงที่แก้มอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ชัตเตอร์จับภาพได้พอดี

            “เอ๊ะ! พี่ชลแกล้งอีกแล้วนะ” แทนดาวตีแขนล่ำสันดังเพี๊ยะแต่คนถูกตีกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

            “ถ่ายได้จังหวะพอดีเลยนะเนี่ย” เขายื่นภาพนั้นให้ดู

            “ไม่เอานะ...ลบออกเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวหลุดไปจะทำยังไง...น้องพลูอายนะ” คนตัวเล็กแตะหน้าจอทำท่าจะลบภาพนั้นแต่มือใหญ่ก็รีบแย่งโทรศัพท์กลับไป

            “ไม่ลบ...พี่ไม่ได้บังคับน้องพลูให้มาถ่ายรูปด้วยนะเพราะฉะนั้นพี่มีสิทธิ์เก็บรูปนี้ไว้” เขาบอกอย่างเป็นต่อ แทนดาวทำหน้างอแล้วสะบัดหน้าไปอีกทางเหมือนจะงอนจริงๆ

            “โกรธเหรอคะ? ถ้าน้องพลูอยากให้ลบ พี่ก็จะลบ” เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้งแต่แทนดาวรีบหันกลับมาแล้วยุดมือเอาไว้

            “เก็บไว้ก็ได้ค่ะ” พอหล่อนหันหน้ามาก็ปรากฏว่าพวงแก้มทั้งสองข้างแดงปลั่งไปหมด ชลธียิ้มกว้างแล้วโอบร่างเล็กให้กระชับขึ้น จมูกโด่งกดลงบนกลุ่มผมสวยพร้อมกับสูดกลิ่นหอมอ่อนๆเอาไว้เต็มปอด ความสุขอิ่มเอิบบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ไม่อาจอธิบายได้ สิ่งที่ชลธีต้องการเพียงอย่างเดียวคือเวทมนตร์อะไรก็ตามที่สามารถหยุดเวลาเอาไว้ ณ ตรงนี้ ที่จะได้กกกอดร่างอุ่นให้ชื่นอกชื่นใจและเติมเต็มช่องว่างช่วงหนึ่งของชีวิตที่ถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแสนนาน

            แทนดาวยินยอมให้ตัวเองอิงแอบอยู่กับร่างหนานั้นจนได้ยินเสียงหัวใจที่ฝังอยู่ใต้อกแกร่งเต้นเบาๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอ พยายามเงี่ยหูฟังเพื่อนับจังหวะการเต้นของหัวใจในขณะเดียวกับความรู้สึกอุ่นซ่านวิ่งแล่นไปตามส้นเลือดทั่วร่าง ปลายนิ้วเรียวแตะสัมผัสตรงรอยสักตัวอักษร ‘P’ ที่โผล่พ้นแขนเสื้อเบาๆ เปรมยุตาบอกเอาไว้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วว่าบุรุษที่กำลังอิงซบอยู่นี้ทนเจ็บเพื่อให้ปลายเข็มสลักชื่อของสตรีอันเป็นที่รักไว้บนเนื้อหนัง แทนดาวอยากถามเขาเหลือเกินว่าลบรอยความรักจากครั้งอดีตได้หมดจดจากใจที่ดูเย็นชาหรือยัง? หรือว่ารอยสักนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นสายใยเชื่อมโยงความผูกพันที่ครั้งหนึ่งทั้งสองได้ร่วมสร้างเอาไว้อย่างมั่นคง

            ชลธีหลุบตามองปลายนิ้วเรียวที่แตะสัมผัสลูบไล้ตรงรอยสักอย่างสนใจก็ค่อยๆดึงมือข้างนั้นออกไปให้พ้นสายตาคนช่างสงสัยเสีย สิ่งนี้มิได้มีความหมายสลักสำคัญอะไรกับเขาอีกแล้วนอกจากรอยแผลอันเป็นที่ระลึกของความเจ็บปวดแห่งอดีตที่เพียงเก็บเอาไว้เตือนใจตัวเอง มือข้างหนึ่งปัดปอยผมที่ระตรงหน้าผากเพื่อที่จะได้แตะจุมพิตแผ่วเบาตรงกลางหน้าผากนวล

            “อืม...น้องพลูอยากนั่งเรือจัง นะคะ...ไปนั่งเรือกันนะคะ” แทนดาวทำเสียงกระเง้ากระงอดเมื่อชิงช้าสวรรค์วนมาถึงรอบสุดท้ายแล้ว

            “อืม...ไว้คราวหน้าดีกว่านะ ตอนนี้ก็ใกล้เวลาที่บอกพี่ชายเราไว้ว่าจะกลับแล้ว” ชลธียกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ถ้ากลับตอนนี้ก็จะถึงบ้านไม่เกินสามทุ่มหรือย่างมากก็เลยไปครึ่งชั่วโมงถ้าการจราจรยังติดขัดอยู่

            “อื้อ...ก็น้องพลูอยากนั่งเรือ นั่งจากนี่ไปขึ้นที่สะพานตากสินแล้วก็นั่งกลับแค่นี้เอง นะคะ...พี่ชล...นะคะ” คนตัวเล็กเขย่าแขนและทำเสียงออดอ้อนอย่างเอาแต่ใจ

            “ขี้อ้อนจังนะเรา แต่ถ้าน้องพลูงอแงแบบนี้แล้วกลับถึงบ้านช้ากว่าเวลาที่พี่อุตส่าห์ต่อรองกับเจ้าหมากอย่างยากเย็น คราวหน้าก็คงไม่ได้มาเที่ยวด้วยกันอีกแน่” เขาให้เหตุผล แทนดาวเม้มปากอย่างขัดใจแต่ก็ยอมรับฟังโดยดี

            “ไม่นั่งก็ได้ค่ะ” คนถูกขัดใจก้าวลงจากชิงช้าสวรรค์แล้วเดินเร็วๆไปที่ลานจอดรถปล่อยให้คนตัวสูงเดินตามมาข้างหลัง

            “ร้อนจัง...พี่ชลเปิดแอร์เร็วๆสิ” พอขึ้นรถเรียบร้อยคนแสนงอนก็บ่นอุบ

            “แล้วจะรีบเดินมาทำไมกัน ดูซิ...หน้ามีแต่เหงื่อ” เขารีบติดเครื่องยนต์แล้วเร่งเครื่องปรับอากาศให้ทันกับอารมณ์ร้อนๆของตุ๊กตาหน้ารถแสนงอนคนนี้ มือก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาซับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายตามไรผม

            “สวยจัง” เขาหยุดมือที่กำลังเช็ดเหงื่อเพื่อชื่นชมใบหน้าอมพูเรื่อชัดๆอีกครั้งก่อนจะออกรถ คนถูกชมเสมองออกไปทางหน้าต่างซ่อนความกระดาก

            “อ้อ...เมื่อตอนเย็นพี่ไปทันฟังน้องพลูเล่นเพลงสุดท้ายพอดี เพลงนี้ใช่มั้ยครับ? ชลธีอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงเปิดโทรศัพท์มือถือค้นหาเพลงที่ว่าแล้วเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธเข้าเครื่องเล่นเพลงในรถ อึดใจต่อมาเพลงของนักร้องดังที่สาวน้อยหยิบยืมทำนองมาบรรเลงเป็นโนเมื่อตอนเย็นก็ดังขึ้น ทั้งคู่ต่างตั้งใจฟังเพลงรักไปเงียบๆ ฝ่ามืออบอุ่นข้างหนึ่งละจากพวงมาลัยมากอบกุมมือนุ่มไว้ตลอดทางจนถึงบ้าน

            “วันนี้น้องพลูสนุกมากเลย...อิ่มด้วย ขอบคุณมากนะคะ” แทนดาวยกมือไหว้ตามมารยาทขณะรวบรวมข้าวของต่างๆมาถือไว้

            “ถือว่าเป็นการออกเดทของเราก็แล้วกัน” เขาบอกคนตัวเล็กด้วยแววตาอ่อนโยนปนหวานซึ้งไปในตัว “ว่าแต่...ฟังเพลงเมื่อกี้แล้วพี่ก็เลยมีคำถาม” แทนดาวทำตาโตอย่างอยากรู้ 

“ใครกันเหรอ...ที่น้องพลูเผลอรักหมดใจ?” คนถูกถามหน้าร้อนขึ้นมาทันที ได้แต่ใช้ความเงียบช่วยบรรเทาความวิบไหวในหัวใจที่จะต้องคำถามตรงประเด็นนั้น สาวน้อยสูดหายใจรวบรวมความกล้ามองกลับไปในดวงตาสีเหล็กที่ทอประกายระยับอยู่เช่นเดียวกัน

            “ไม่มีใครหรอกค่ะ แค่...เพลงมันเพราะดีก็เลยเอามาเล่นแค่นั้นเอง” คนตัวเล็กตอบไม่เต็มเสียงนัก คนรอฟังคำตอบเพ่งพิศวงหน้าที่ต้องแสงไฟส้มนวลจากถนนพอสว่างจนมองเห็นใบหน้าหวานระเรื่อสีชมพูเข้มก็อดไม่ได้ที่จะไล้นิ้วกับแก้มนุ่มเนียน

            “อืม...ถ้างั้นวันนึงน้องพลูเผลอรักใครหมดใจแล้วจริงๆ...ก็ช่วยบอกพี่ชลด้วยนะคะ” น้ำเสียงนุ่มนวลถ่ายทอดความหมายลึกซึ้งพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นจนคนมองต้องยิ้มหวานตอบ

            “งั้นขอยืมคำพูดพี่ชลมาใช้ก็แล้วกันนะคะว่า...เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องใช้เซ้นส์” แทนดาวบอกแทบจะเป็นกระซิบและก่อนจะก้าวลงจากรถไปก็ยื่นจมูกเย็นๆไปแตะแก้มสีน้ำผึ้งเนียนเพียงแผ่วเบาแต่ก็ทำให้เจ้าของใบหน้าคมใจหวิวแรงขณะมองตามร่างอรชรที่เดินลิ่วเข้าไปในบ้าน

            ชลธีแตะปลายนิ้วตรงแก้มข้างที่ปลายจมูกเล็กสัมผัสแผ่วอย่างทะนุถนอมราวกับเกรงว่าร่องรอยที่เจ้าของนัยน์ตาสวยฝากไว้นั้นจะหลุดเลือนหายไป ความวูบไหวที่เกิดขึ้นทำให้มือไม้แทบจะไร้เรี่ยวแรงด้วยความอารมณ์อ่อนละมุนที่ช่วยกัดเซาะคราบกระด้างเย็นชาในจิตใจให้ผุกร่อน จนสามารถเปิดทางให้หัวใจได้สูบฉีดเลือดเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาไปหล่อเลี้ยงวิญญาณที่เคยปล่อยให้ตายด้านมานาน เขาเพียงกระซิบบอกตัวเองอยู่ในความมืดสลัว

             “แทนดาว...พี่ไม่รู้ว่าเราทำแบบนี้ได้ยังไง? พี่ขยับตัวไปไหนไม่ได้เสียแล้วเพราะว่าหัวใจที่มีอยู่เพียงดวงเดียวมันหลอมละลายกองอยู่ตรงนี้”

             เสียงกระซิบของเขามิอาจได้ยินไปถึงสตรีเจ้าของนัยน์ตาดุจดาวประดับฟ้ายามค่ำคืน แต่ทว่าการกระทำทั้งหมดไม่รอดพ้นสายตาของสตรีอีกคนที่เฝ้ามองภาพของทั้งคู่ด้วยสายตาร้าวรานจนมิอาจบังคับหยาดน้ำตาพรั่งพรู

 

สายเลือดเดียวกันนั้นก็รัก...แต่ในสนามเสน่หานั้นย่อมไม่มีคำว่าพี่น้อง

 ปลายเดือนบอกกับตัวเองเช่นนี้...

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา