ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.24K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) ตอนที่ 16 งานนี้มีเลือด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
           เปรมยุตาอุ้มกระเช้าของเยี่ยมรีบเดินไปยังห้องพักผู้ป่วย ถ้าบังเอิญว่าหล่อนไม่ติดสินใจโทรหาชลธีวานนี้ก็คงไม่รู้เรื่องที่น้องเขาป่วยและคงไม่ได้กลับมาพบเพื่อนเก่าทั้งสองคนนี้อีก หญิงสาวหยุดยืนอยู่หน้าห้องเมื่อเสียงคนคุยกันดังแว่วออกมาก่อนจะยกมือเคาะประตูเป็นสัญญาณให้คนข้างในรู้ว่ากำลังจะเข้าไป ชลธีเดินมาเปิดประตูในเกือบจะทันที เขามิได้อยู่พัยงลำพังแต่มีสตรีหน้าตาสะสวยอีกคนนั่งอยู่ตรงโซฟา คะเนด้วยสายตาแล้วอายุอานามน่าจะไม่ห่างจากหล่อนมากนัก อาจจะเป็นเพื่อนของน้องสาวหรือญาติของเขาก็ไม่อาจทราบได้ หล่อนยิ้มให้ให้ทั้งสองอย่างเป็นมิตร
            “อ้าวปราง...มาเร็วดีจัง” ชลธีทักขึ้นก่อนแล้วเชื้อเชิญให้ให้นั่งบนโซฟาคู่กับปลายเดือนที่มาถึงก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
            “วันนี้ปรางลางานไว้ครึ่งวันค่ะ ตั้งใจว่านอกจากมาเยี่ยมน้องแฟงแล้วก็อยากมาคุยกับชลด้วย” สรรพนามที่ทั้งคู่ใช้นั้นแสดงถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมจนปลายเดือนอดผิดสังเกตไม่ได้ หล่อนแอบประเมินสตรีที่เพิ่งมาใหม่ด้วยความรอบคอบ
           “เกรงใจจัง ปรางไม่น่าลำบากเลย อืม...ลืมแนะนำเลย นี่คุณปลายเดือนนะ ถ้าจะบอกว่าเป็นน้องสาวอีกคนของหมาก...คุณน่าจะพอนึกได้” เปรมยุตาร้องอ๋อเบาๆ หล่อนจำได้รางๆว่าเทียมภพมีน้องสาวสองคนแต่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาว่าเป็นอย่างไร เท่านี้ก็หายสงสัยแล้วว่าทำไมถึงมาพบกันที่นี่ได้ ในเมื่อตอนนี้ทั้งชลธีกับเทียมภพก็กำลังจะร่วมงานด้วยกันแล้วดังนั้นคนสองบ้านนี้ก็ต้องรู้จักมักคุ้นกันเป็นธรรมดา
           “คุณสีผึ้งครับ...นี่ปราง เป็นเพื่อนผมเอง” สตรีทั้งสองยิ้มให้กันตามมารยาท ปลายเดือนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามนี้ต้องมีอะไรเป็นพิเศษกับชลธีแน่ๆ แล้วความรู้สึกไม่ถูกชะตาก็บังเกิดขึ้นฉับพลัน
            “นั่งคุยกันไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” เมื่อชายหนุ่มลุกออกไปแล้ว ปลายเดือนก็ไม่รั้งรอที่จะชิมลางผู้มาใหม่ในขณะที่เปรมยุตาเองก็สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติยามที่อีกฝ่ายส่งสายตามองมายที่ตน
            “คุณปรางเป็นเพื่อนสมัยเรียนหรือคะ?” ปลายเดือนตั้งโจทย์ข้อแรกอย่างวางมาด ซึ่งท่าทางเริ่ดเชิดแบบนี้สร้างความไม่ค่อยประทับใจให้อีกฝ่ายได้ไม่น้อย แต่เปรมยุตาเป็นผู้ใหญ่กว่าหล่อนมากจึงไม่คิด ‘ตอบโต้’ แบบเดียวกัน
            “ค่ะ...ดิฉันกับชลเป็นเพื่อนกัน เอ่อ...จะว่าเคยสนิทกันทำนองนั้นน่ะค่ะ” เปรมยุตาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างไว้เชิง อีกฝ่ายตวัดตามองเหยียดๆ ‘คิดจะมาเขี่ยถ่านไฟเก่าละสิ’
            “หรือคะ...ดีใจจังค่ะที่ได้เจอเพื่อน ‘เก่า’ ของคุณชล จะว่าไปเพื่อนเค้าออกจะเยอะแยะ ผึ้งจำไม่เคยหมดซะที เวลาไปออกงานด้วยกันยิ่งหัวหมุน เดี๋ยวคุณชลก็ลากไปรู้จักคนนั้นคนนี้ เค้าอยากให้ผึ้งรู้จักกับเพื่อนๆของเค้าด้วยน่ะค่ะ นัยว่าอยากเปิดตัว...ทำนองนั้นแหละค่ะ นี่ขนาดเรารู้จักกันได้ไม่นานเท่าไหร่เองนะคะ” ปลายเดือนพูดอวดๆเจือเสียงหัวเราะปนเยาะ แต่คนฟังก็ไม่ได้เดือดร้อนใจอะไร แม้ปลายเดือนจะเก่งการปั้นน้ำเป็นตัวสักแค่ไหนหากแต่ก็ยังไม่เนียนพอที่คนมากประสบการณ์อย่างเปรมยุตาจะจับไม่ได้ หล่อนจึงเพียงแต่ยิ้มเย็นๆรับฟังโดยไม่ออกความเห็นอะไร ด้วยความที่เคยคบกันมานานย่อมรู้ดีว่าอดีตคนรักของตัวเองมีไลฟ์สไตล์เป็นอย่างไร คนที่สงวนความเป็นส่วนตัวอย่างชลธีน่ะหรือ...จะนิยมควงผู้หญิงออกงาน
            “สาวๆคุยอะไรกันอยู่ครับ ดื่มน้ำผลไม้ก่อนนะ สงสัยพวกคุณคงมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ ยัยแฟงเพิ่งหลับได้ไม่นาน คงยังไม่ตื่นตอนนี้หรอก” ชลธีวางน้ำผลไม้แบบกล่องตรงหน้าของหญิงสาวทั้งสอง
            “ผึ้งกำลังเล่าเรื่องของเราให้คุณปรางฟังน่ะค่ะ” ทั้งเปรมยุตาและชลธีต่างรู้สึกขัดหูกับคำว่า ‘เรา’ หล่อนจะสื่อถึงอะไรนั้นไม่มีใครรู้
            “คุณผึ้งเธอว่ารู้จักกับเพื่อนชลอยู่หลายคน ปรางจากเมืองไทยไปเสียนานก็เลยไม่รู้ใครเป็นใครมั่ง ไม่แน่ว่าเป็นเพื่อนก๊กเดียวกันสมัยอยู่มหา’ลัยหรือเปล่า ถ้าใช่นี่คงต้องหาเวลานัดรวมรุ่นสักทีนะคะ” เปรมยุตาหันไปมองหน้าตึงๆของผู้ที่กล่าวถึงอย่างเยือกเยือน ปั้นน้ำเก่งดีนักอยากรู้จังว่าเจอจุดไต้ตำตอแบบนี้จะแก้ตัวอย่างไร ปลายเดือนตาลุกวาวพร้อมๆกับหน้าแตกกับคำตอบที่เหนือชั้นกว่า ส่งสายตาประเมินคู่สนทนานิดหนึ่งก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ ‘ไม่ง่าย’ เลย
            “โธ่ปราง... จำไม่ได้หรือ...เรียนด้วยกันมาแท้ๆ ไปอยู่เมืองนอกไม่กี่ปีความจำเสื่อมเลยหรือไงครับ” ชลธีที่เพิ่งเข้ามาและไม่รู้เรื่องอะไรแกล้งล้อ เปรมยุตาหัวเราะคิกแต่ไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของเขา หากแต่เป็นการ ‘หัวเราะเยาะ’ ผู้หญิงอีกคนที่ตอนนี้หน้าจืดสนิท
            “จะว่าไปนะ น่าจะเป็นผมเองนี่แหละที่ความจำเสื่อม ปรางน่ะเค้าจำเก่ง จำได้เกือบหมดทุกคนละมั้ง ส่วนผมถ้าไม่สนิทจริงๆก็จำไม่ได้ บางทีเดินสวนกันแล้วมันมาทัก...ยังงงอยู่เลยว่าไอ้นี่ใครกัน” พูดจบก็หัวเราะขันกับความหลังสมัยครั้งยังเป็นนักศึกษา แล้วสองคนนั้นก็ขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตมาเล่าสู่กันฟัง ยิ้ม หัวเราะ ส่วนปลายเดือนนั้นหุบปากสนิท นอกจากจะข่มขวัญคู่ต่อสู้ไม่ได้แล้วยังปล่อยไก่ออกไปตัวเบ้อเริ่ม งานนี้จึงทนอยู่ให้อีกฝ่ายหัวเราะเยาะต่อไม่ได้ รีบหาข้ออ้างกลับไปทั้งที่ยังไม่ทันถามไถ่หรือดูอาการคนป่วยเลยสักนิด
            “ที่ปรางมาวันนี้ นอกจากมาเยี่ยมน้องคุณแล้ว ก็จะมาคุยเรื่องงานด้วยค่ะ” พออยู่กันสองคน เปรมยุตาก็เปิดประเด็นเป็นการเป็นงาน
            “แล้วปรางว่าไงล่ะ?”
            “ปรางตกลง คุณจะให้ปรางทำตำแหน่งไหนคะ?”
            “โรงแรมยังขาดออแกไนเซอร์ ปรางทำได้มั้ย? พี่คนเก่าที่อยู่กันมาหลายปีขอรีไทร์ตัวเองไปทำธุรกิจส่วนตัว ผมก็ยังไม่ตัดสินใจหาคนใหม่ ทุกวันนี้จ้างข้างนอกเอา ถ้าปรางทำได้...ผมก็จะเรียกทีมเดิมมาทำงานกับคุณ”
            “ตกลงค่ะ จะให้เริ่มงานวันไหนบอกได้เลย”
            “ถ้าปรางพร้อม...จันทร์หน้าเลยก็ได้ครับ” เปรมยุตายิ้มด้วยความยินดีแต่แล้วก็ต้องหดหู่เมื่อนึกถึงเรื่องราวความหลัง
 
            “เฮ้อ...ปรางกลัวจบมาแล้วไม่มีงานทำจังค่ะชล”
            “ไม่หรอก...คนเก่งอย่างปรางต้องหางานดีๆได้อยู่แล้ว ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัทนะ จะรีบรับปรางเข้าทำงานเลย”
            “หือ...เอาไว้ชลเป็นเจ้าของบริษัทจริงๆก่อนเถอะค่ะ”
            “แล้วถ้าผมเป็นจริงๆล่ะ ปรางจะยอมมาทำงานกับผมหรือเปล่า”
            “แล้วชลจะให้ปรางทำตำแหน่งไหนล่ะ”
            “เอ...เป็นผู้จัดการหัวใจผมไง ปรางทำได้มั้ยครับ”
 
            คุณเที่ยงธรรมได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้วันถัดมามา แทนดาวรับหน้าที่ช่วยคุณแม่ดูแลคุณพ่อในช่วงเวลาปิดเทอมที่เหลือจึงไม่ได้กลับไปเยี่ยมรมณ์นลินที่ยังนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล มีเพียงแต่เทียมภพกับปลายเดือนเป็นตัวแทนไปเยี่ยมในบางวันซึ่งนับเป็นโชคดีที่เสือหนุ่มทั้งสองไม่ได้เผชิญหน้ากันเลย
            “ยัยพลู...บอกว่าคุณชอบสีเหลือง แกก็เลยไปสั่งร้านดอกไม้ข้างล่างจัดแจกันมาส่งคุณทุกวัน” เทียมภพพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าปกติพลางวางแจกันกุหลาบเหลืองผสมคาร์เนชั่นสีขาวบนโต๊ะเล็กข้างเตียง รมณ์นลินมองอย่างปลาบปลื้มใจที่ลูกศิษย์สาวให้ความสำคัญกับตัวเอง นับแจกันดอกไม้ทั้งหมดที่ตั้งอยู่ทั่วห้องรวมๆแล้วก็ห้าแจกันได้ ก็นับตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลก็มีดอกไม้มาส่งให้ทุกวันแต่วันนี้เป็นวันแรกที่เทียมภพนำมันขึ้นมาให้ด้วยตัวเอง
            “ดิฉันฝากขอบคุณน้องพลูด้วยก็แล้วกัน ว่าแต่เป็นห่วงที่ตอนนี้ต้องขาดสอนเธอไป ใกล้จะถึงวันชิงชนะเลิศแล้วด้วย” แม้ใจจะเคืองคนพี่สักแค่ไหนแต่หน้าที่ความรับผิดชอบต้องมาก่อนเรื่องอื่น
            “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมเห็นแกดูโน้ตซ้อมเองทุกวัน คุณพักผ่อนให้หายดีเสียก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่นเลย” เขาพูดพลางมองเสี้ยวหน้าที่เริ่มมีสีเลือดฝาดกระจายอยู่ทั่วแก้มปลั่งซึ่งบ่งบอกถึงอาการที่ดีขึ้น
            “แล้วนี่ไปไหนกันหมดล่ะ?” เขาถามต่อ
            “พี่ชลไปงานแต่งเพื่อนจะแวะเข้ามาตอนค่ำ ส่วนคุณแม่กับส้มกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้า เดี๋ยวมาค่ะ”
            “งั้นผมจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณอาจะกลับมาแล้วกัน” เขาว่าพลางหย่อนตัวลงนั่งตรงโซฟาข้างเตียงล้วงโทรศัพท์มือถือมาเล่น
            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าคุณหมากมีธุระก็เชิญเถอะค่ะ” หล่อนด้วยความเกรงใจเพราะรู้ว่าตั้งแต่คุณเที่ยงธรรมป่วยเขาก็มีงานมากขึ้น
            “บังเอิญว่าไม่มี ขอโทษเถอะที่ต้องรบกวนคุณ” เขาประชดนิดๆ รมณ์นลินเม้มปากไม่อยากโต้เถียงด้วยเพราะตอนนี้ถือได้ว่าหล่อนเสียเปรียบอยู่มาก
เทียมภพอยู่เป็นเพื่อนอย่างที่บอก เขานั่งอ่านอีเมล์จากเครื่องมือสื่อสารของตนไปเรื่อยๆในขณะที่รมณ์นลินก็เอาแต่กดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปมา ไม่ได้สนใจจะดูมันนักเพราะตอนนี้กำลังคิดหนักถึงคนที่นั่งอยู่ข้างๆเตียง ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาไม้ไหนกันแน่ ก่อนหน้านั้นออกจะเป็นคนโมโหร้ายพาลดะไม่เลือกหน้า แต่ตอนนี้กลับเหมือนสุภาพบุรุษในนิยายที่คอยเฝ้าดูแลนางเอกป่วยอย่างใกล้ชิด เอ...หรือเพราะสำนึกผิดเรื่องที่ทำกับตนเองไว้
            “ถ้าอยากคุยกับผมก็พูดสิ แอบมองอยู่นั่นแหละ...แล้วจะรู้ไหมล่ะว่าคุณต้องการอะไร” เทียมภพเงยหน้าขึ้นในที่สุดเพราะรำคาญเต็มทนที่หล่อนเอาแต่เปลี่ยนช่องไปมาทุกสองนาที พอเหลือบตาขึ้นมอง ก็สบกับดวงตาคู่สวยซึ่งเจ้าของรีบหลบแล้วหันไปกดรีโมทต่อ พอถูกจับได้...คนไข้เลยกดปุ่มปิดทีวีแล้วดึงผ้าห่มคลุมตัวนอนหลังให้
            “ฉันไม่ได้อยากคุยกับคุณ แต่มันอึดอัดรู้ไหมที่มีคุณอยู่ด้วยนี่ กลับไปได้แล้วฉันจะนอน” เหวี่ยงใส่คนเฝ้าไข้เสร็จก็ต้องกัดฟันหลับตาแน่น คอยเงี่ยหูฟังว่าเขาจะไปจริงๆหรือไม่ เทียมภพเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง พูดกับแผ่นหลังของหล่อนแผ่วเบา
            “ถ้าผมไปแล้วใครจะอยู่กับคุณล่ะ ผมไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว” รมณ์นลินค่อยๆหันกลับมาช้าๆ แม้เขาจะแม้น้ำเสียงจะกระด้างขึ้นกว่าเดิมแต่มันก็ทำให้อบอุ่นหัวใจได้อย่างประหลาด
            “ตามใจ...งั้นฉันนอนก่อนล่ะ” คนป่วยพลิกหันหลังให้อย่างเดิม เทียมภพแอบยิ้ม รู้หรอกว่าหล่อนไม่ได้หลับ ส่วนคนป่วยนั้นแม้ตาจะปิดสนิทแต่หูก็ยังคอยจับความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายตลอดเวลา กลัวว่าถ้าฝ่ายนั้นเกิดอารมณ์หื่นขึ้นมาอีกจะได้รับมือทัน ชายหนุ่มปล่อยให้หล่อนนอนต่อไปโดยไม่ได้รบกวนอะไรอีกจนผู้ช่วยพยาบาลเข็นรถอาหารเข้ามา
            “ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ ทานยาก่อนนะคะ” พยาบาลอีกคนที่ตามมาบอกขณะเข็นรถอาหารพร้อมยาเข้ามาให้แล้วจึงกลับออกไป
            “นี่ยาก่อนอาหาร สักเดี๋ยวค่อยกินข้าว” รมณ์นลินหันกลับมาและเห็นชายหนุ่มกำลังรินน้ำใส่แก้วจากนั้นก็ยื่นถ้วยยาจ่อให้ตรงหน้าแต่อีกฝ่ายยังนิ่งเฉย
            “นี่...รีบกินซะ” พอถูกกระตุ้นอีกครั้งรมณ์นลินจึงหยิบยากรอกใส่ปากก่อนรับน้ำมาดื่มแล้วหันหลังกลับไปนอนต่อ เทียมภพจับเวลาจนครบสิบห้านาทีก็เรียกหญิงสาวให้ลุกขึ้นมาทานข้าว
            “ฉันทานเองได้ คุณไปเถอะ” พอชายหนุ่มปรับเตียงให้เรียบร้อยและแลกโต๊ะวางข้าวมาใกล้ๆ หล่อนก็ไล่เขาทันที
            “กินไป มองหน้าผมไป เจริญอาหารดีนะคุณ” เทียมภพไม่สนใจ ยังคงยืนข้างๆแถมยังพูดจากวนประสาท
            “เห็นหน้าคุณแล้วมันกินไม่ลง”
            “กินไม่ลง...เพราะเขินหรือเปล่าครับ” เทียมภพแหย่
            “คนบ้า...ออกไปได้แล้ว ไม่งั้นจะกดกริ่งเรียกพยาบาลมาเดี๋ยวนี้ จะบอกว่าคุณมาก่อกวนฉัน” หญิงสาวยืนกรานที่ให้เขาไปเสียที อารมณ์ขัดเคืองเลยทำให้รีบจ้วงช้อนตักข้ามต้มจนเป็นเหตุให้ช้อนหลุดมือ เศษข้าวบางส่วนกระเด็นเลอะเสื้อ
            “เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วไม่เชื่อ” เทียมภพรีบคว้ากระดาษทิชชูเช็ดส่วนที่เลอะบนโต๊ะและยื่นอีกส่วนให้หญิงสาวเช็ดส่วนที่เปรอะเสื้อ
            “มานี่...ผมจะป้อนเอง” เทียมภพก็แย่งถ้วยข้าวต้มมาไว้กับตัวแล้วค่อยๆตักข้าวเตรียมจะป้อน รมณ์นลินพยายามหันน้าหนีแต่ก็ถูกตื๊ออยู่อย่างนั้น พอไม่ได้ดั่งใจก็ทุบเขาไม่นับ เทียมภพปล่อยให้ทุบจนพอใจแม้ตัวเองจะเริ่มเจ็บจนคนทุบต้องเป็นฝ่ายหยุดเสียเอง
            “เอามานี่...ฉันกินเองได้ คุณจะไปไหนก็ไปเลยนะ”
            “คุณแฟง...รู้ไหมว่าคุณนี่เหมือนน้องสาวผมเลย ตรงที่ดื้อรั้นไม่เข้าท่า รู้ตัวว่าทำเองไม่ได้แต่ก็ยังรั้นตะแบง รู้ไหมว่าเวลาใบพลูดื้อแบบนี้ผมจะจัดการเธอยังไง?” เขาจับตัวหล่อนให้หันมาเผชิญหน้า ก้มหน้าลงมาเกือบชิดหน้าผากเกลี้ยงเกลา
            “ผมจะฟาดเธอหนักๆสองสามที แต่สำหรับคุณ...ผมจะจูบให้หมดฤทธิ์หรือไม่ก็ปล้ำให้ไข้กลับเลย...ว่าไงล่ะ?” รมณ์นลินอยากจะกรี๊ด ถ้าไม่ติดว่าป่วยอยู่จะเอาสายน้ำเกลือรัดคอให้ตายไปเลย
            “แต่...เดี๋ยวคุณแม่จะมาแล้ว คุณไม่ต้องลำบากก็ได้” พอเห็นว่าเขาจะทำจริงก็พูดดีด้วย ขณะเดียวกันก็ยังลังเลว่าเจตนาที่เขามาทำดีด้วยในตอนนี้คืออะไรกันแน่
            “เอาเถอะ...แค่ป้อนข้าวมันไม่หนักหนาหรอก ผมน่ะ...หมดพลังไปกับกิจกรรม ‘อย่างอื่น’ มากกว่านี้เยอะ ยังไม่เห็นเป็นไรเลย” เขาพูดหน้าตาเฉย สื่อความหมายสองแง่สองง่ามน่าหักคอนัก
            “ทะลึ่ง ลามก” แม้ปากจะต่อว่าแต่ในใจลึกๆก็อดมีความสุขกับสิ่งเล็กๆที่เขากำลังทำให้ไม่ได้ ไหนๆก็เป็นช่วงเวลาดีๆที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้รับจากผู้ชายคนนี้ ขอใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าหน่อยเถิด      
“ตรงไหนไม่ทราบครับ?” คนพูดยังคงตีหน้าตาย
            “ก็ตรง...” หล่อนพูดไม่ออก ก็จะให้บอกออกไปได้อย่างไร เดี๋ยวเขาก็หาว่าคิดลึกน่ะซิ
            “พอเถอะ...ฉันหิวแล้วนะ” หล่อนตัดบทในที่สุดเพราะรู้ว่ายังไงๆก็ไม่ชนะเขาหรอก
            “เอ้า...หิวก็กินสิครับ จะบอกอะไรให้...นอกจากยัยหนูพลูแล้ว ก็มีคุณนี่แหละที่ผมป้อนข้าวให้ คิดดูเถอะว่าตัวเองสำคัญขนาดไหน?” เทียมภพยิ้มออกมาอย่างผู้กำชัยชนะ น้ำเสียงเจือหัวเราะนั้นฟังดูแปร่งๆ รมณ์นลินแยกไม่ออกว่าเขาแค่พูดเล่นหรือหมายความตามนั้นจริงๆ ทำไมนะ...อยากจะโกรธเกลียดเขาให้ถึงที่สุด แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ทำแบบนั้นไม่ได้เสียที ตอนนี้ที่ทำได้อย่างเดียวคืออ้าปากรับข้าวต้มอุ่นที่เขาบรรจงเป่าให้ทีละคำ
            “มีขนมด้วยนะ แต่ว่าวันนี้พายมะนาวหมดเลยเอาอย่างอื่นมาแทน ชอบเครปเค้กมั้ย? นี่เป็นหนึ่งในของโปรดใบพลูเค้าล่ะ” เขาก็ชวนกินขนมอย่างเอาใจ
            “อันนี้ฉันกินเองได้” เขามองดูหล่อนค่อยๆบรรจงตักขนมเขาปาก ใบหน้าเนียนละมุนแม้ยังคงซีดแต่พวงแก้มกับเปล่งปลั่ง เขามองเพลินก่อนอาศัยจังหวะที่คนป่วยเผลอขโมยหอมแก้มเอาดื้อๆดังฟอด
            “เฮ้ย! นี่คุณทำอะไรเนี่ย” คนโดนขโมยหอมยกมือทาบแก้มข้างนั้นด้วยความอายปนตกใจ
            “หอม” เขาตอบสั้นๆชัดเจน
            “แล้วมีสิทธิ์อะไรมาแอบหอมกันแบบนี้ ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลยนะ”
            “ก็ไม่ได้จะให้อนุญาต ผมอยากหอมแก้มคุณก็หอมเอาดื้อๆ ถ้าจะเรียกตามภาษาแบบยัยพลูก็คือคิส คิสน่ะ ผมคิส คิส กับน้องสาวทุกวัน อย่าคิดมาก” คนขี้ขโมยตอบสบายๆแต่คนถูกกระทำไม่อาจลดความเร็วของหัวใจที่เต้นระรัวได้เลย
          “นี่ฉบับย่อนะ...ถ้าป็นฉบับเต็มๆหรือเรียกว่าคิส คิสแบบฟูลเวอร์ชั่นนี่ต้องครบทั้งห้าจุด ไล่ตั้งแต่...หน้าผาก แก้มสองข้าง คางแล้วก็...ปาก” เขาเน้นพยางค์สุดท้ายจนคนป่วยหน้าแดงก่ำ เทียมภพยังคงมองหน้าหล่อนอยู่อย่างนั้น
            “คุณมีปัญหาอะไรกับหน้าตาฉันหรือ? หล่อนถามพลางหลุบเปลือกตาลงเพราะเริ่มรู้สึกทะแม่งๆเมื่อเขายังคงจ้องมองอยู่อย่างนั้น
            “มีแฟนหรือยัง?” คำถามตรงประเด็นเกินไปทำให้รมณ์จ้องอีกฝ่ายตาโต
            “ว่าไงนะคะ?” หล่อนถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด
            “ผมถามว่าคุณมีแฟนหรือยัง?” คราวนี้เขาเน้นหนักเสียงดังกว่าเดิม คนถูกถามอึ้ง
            “คุณจะอยากรู้ไปทำไม แล้วก็เห็นอยู่ว่าฉันไปไหนมาไหนคนเดียว” หล่อนตอบโดยไม่มองหน้า มือเสจิ้มเค้กชิ้นนั้นเล่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะกินเข้าไปอีก
            “นั่นสิ...เหมือนผีดิบเดินได้แบบนี้ใครจะอยากจีบ แต่งหน้าแต่งตัวเป็นเป็นกะเค้ามั้ยเนี่ย?” เขาพูดไม่ถนอมน้ำใจคนป่วยสักนิด คนฟังโกรธขึ้นมาทันที
            “นี่! ฉันสวยในโลกของฉัน! มันอาจจะไม่ตรงสเป็คคุณ แต่รู้ไว้นะว่าก็มีคนที่เค้าอยากเข้ามาคุยกับฉันเหมือนกัน แค่ฉันยังไม่ตัดสินใจเท่านั้นเอง” รมณ์นลินโพล่งออกไปแล้วก็แทบกันลิ้นตัวเอง ตายแล้ว...นี่เธอไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน
            “อ้อ...สวยเลือกได้งั้นสินะ” เทียมภพพูดยิ้มๆ สนุกนักที่ได้แกล้ง
            “ฉันไม่อยากกินแล้ว ไหนล่ะยา?” คนถูกแกล้งไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง          “โสดนานๆแบบนี้ ไม่เหงาเหรอ? เห็นมะ...พอป่วยก็ไม่มีคนดูแล อายุอานามก็ใกล้เลขสามแล้วถ้าไม่รีบนี่ขึ้นคานยาวนะ” เขาพูดลอยๆพลางยื่นถ้วยยาให้ตรงหน้า
            “ฉันอยู่ของฉันได้ ดูแลตัวเองได้” หล่อนสะบัดเสียงตอบหลังกลืนยาลงคอ สะบัดผ้าห่มคลุมตัวแล้วนอนหันหลังให้คนช่างยั่วทันที ก็เลยไม่เห็นสายตาอบอุ่นของคนช่างแกล้งมอดมองมาแม้แต่ตัวคนมองเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังใช้สายตาแสนอ่อนโยนมองคนที่นอนหันหลังให้
            “ผมรู้ว่าคุณเก่ง แต่บางเวลา...คนเราก็ต้องการใครสักคนมาดูแล คนที่อยากจะร่วมแบ่งปันชีวิตด้วย คนที่จะคอยอยู่เคียงข้างยามที่ต้องการกำลังใจ คุณเคยรู้สึกแบบนี้กับใครบ้างหรือยัง?” เขาพูดเสียงค่อยจนแทบไม่ได้ยินและไม่รู้ด้วยว่ากำลังบอกตัวเองหรือคนที่นอนอยู่บนเตียง ทั้งคู่ต่างก็เงียบงันราวกับใช้ความคิด เสียงหนึ่งลอยเข้ามาให้ห้วงคำนึงของเทียมภพ
 
            ‘ปราง...ผมรักคุณนะ รักมานานพอๆกับที่ไอ้ชลมันรักคุณ ชลมัน...เอ่อ...ไม่พร้อม แต่ว่าผมให้คุณได้ทุกอย่าง ให้ผมดูแลคุณแทนมันได้มั้ย’
            ‘ปรางขอบคุณในความหวังดีของหมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ปราง...จะไม่มีวันลืมเลย แต่ปรางไม่สามารถเปลี่ยนใจไปรักใครได้อีก หัวใจทั้งดวงมีแค่ชลคนเดียว’
 
             หลายวันต่อมาแทนดาวไม่ได้กลับไปเยี่ยมคุณครูอีกเนื่องจากต้องดูแลบิดาที่บ้านทั้งยังต้องเตรียมตัวกลับไปเรียนหนังสือ จนได้ทราบว่าคุณครูกลับมาบ้านแล้วจึงได้โทรหา
            “พี่แฟงเหรอคะ เป็นไงมั่งคะ?” เสียงใสๆที่เจื้อยแจ้วมาตามสายทำให้รมณ์นลินอมยิ้ม
            “พี่หายดีแล้วจ้ะ อาทิตย์นี้ก็ไปสอนน้องพลูได้อย่างเดิมแล้ว”
            “น้องพลูซ้อมเพลงเองทุกวัน รับรองแม่นเป๊ะ” ได้ทีก็อวดครูสาว รมณ์นลินหัวเราะเบาๆ
            “ดีมากค่ะ อืม...พี่ขอบคุณมากนะคะน้องพลู ที่ส่งดอกไม้มาทุกวันเลย”
            “พี่แฟงขอบคุณผิดคนแล้วล่ะค่ะ น้องพลูน่ะ...ไม่ได้เป็นคนสั่งดอกไม้พวกนั้นหรอก พี่หมากต่างหากละคะ” พอได้ฟังคำเฉลยก็มือไม้อ่อนเกือบทำโทรศัพท์ร่วง
            “วะ...ว่ายังไงนะคะน้องพลู ดอกไม้ทั้งหมดนั่น...”
            “น้องพลูน่ะ แค่เอาดอกไม้ไปให้วันแรกตามคำสั่งพี่หมากค่ะ นอกนั้นคุณเทียมภพท่านจัดการเองหมดแหละ” หล่อนหัวเราะคิกขณะเรียกพี่ชายเสียเต็มยศ “น้องพลูแค่ส่งใจไปเยี่ยมเท่านั้นค่ะ ไม่มีตังค์มากพอจะสั่งดอกไม้แพงๆให้พี่แฟงเป็นอาทิตย์ๆได้หรอก ต้องเสี่ยหมากโน่นแน่ะค่ะ”
            “เหรอคะ...เอ่อ...พี่ก็เข้าใจว่าเป็นน้องพลู เห็นคุณหมากบอกว่าน้องพลูเป็นคนสั่ง” แทนดาวหัวเราะอีกครั้ง ดีล่ะ...ได้มีเรื่องไว้ล้อพี่ชายทั้งปีแน่
            “พี่หมากแกคงอายน่ะค่ะ เอาน่า...ถ้าพี่แฟงอยากจะขอบคุณพี่หมากตอนนี้ล่ะก็ เดี๋ยวน้องพลูรีบวางสายเลย”
            “เอ่อ...มะ...ไม่ต้องค่ะน้องพลู เอาไว้เวลาพี่ไปสอนน้องพลูแล้วถ้าเกิด...เจอเค้า พี่จะบอกเองค่ะ” รมณ์นลินรีบปฏิเสธแล้วบทสนทนาต่อจากนั้นหล่อนก็ไม่รับรู้อะไรอีก ในสมองอื้ออึงไปด้วยคำถามากมาย เทียมภพจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรและทำไม
            “พี่แฟงคะ แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องพลูจะออกไปข้างนอกกับคุณแม่”
            “อ๋อค่ะ...แล้วเจอกันนะคะ” รมณ์นลินวางสายด้วยหัวใจเลื่อนลอย เอื้อมมือไปสัมผัสกุหลาบสีเหลืองดอกหนึ่งที่เริ่มเหี่ยวเฉาร่วงโรย แต่สำหรับหล่อนแล้ว...มันกลับสวยสดงดงามไม่มีวันจืดจาง
           
      แทนดาวไปธนาคารกับซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ากับมารดา ขากลับคุณดวงทิพย์แวะเข้าไปหาลูกชายที่ทวีกิจ เทียมภพพามารดาไปพบไปลูกค้าและเพื่อนเก่าแก่ของสามีที่เดินทางมาพักผ่อนในประเทศไทย เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมเยียน แทนดาวนั่งดูแคตตาล็อกจำหน่ายเครื่องดนตรีจากแท็บเล็ตอยู่ในห้องทำงานของพี่ชาย ครึ่งชั่วโมงผ่านไปมารดาก็ให้คนมาตามไปหาที่ห้องทำงานเก่าของคุณพ่อ พอไปถึงก็พบว่าท่านกำลังคุยอยู่กับบุรุษร่างสูงดูคุ้นตา เมื่อเจ้าของร่างสูงได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาก็หันมามองแล้วก็ยิ้มบางๆให้
      “สวัสดีค่ะพี่ชล” แทนดาวยกมือไหว้อย่างเคยแล้วเดินเข้าไปหามารดา ตอนเดินผ่านเขาก็ก้มหลังตามมารยาทอันดีจนชลธีชื่นนึกชมในมารยาทสังคมที่ผู้อ่อนวัยพึงกระทำต่อผู้อาวุโสกว่า เขาไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกันไหม...แต่สำหรับเขาสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ดูงามตาและมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด
      “เดี๋ยวแม่กับพี่หมากจะพาคุณเฉิงไปทานอาหารแถวเลียบทางด่วน นานๆแกจะมาไทยครั้งหนึ่ง คงจะกลับดึกสักหน่อยเพราะจะพาไปดูโชว์สยามนิรมิตต่อ น้องพลูคงไปด้วยไม่ได้เพราะพรุ่งนี้ต้องไปมหา’ลัยแต่เช้า พอดีคุณชลแวะเข้ามาดูงานส่วนของเค้านิดหน่อยแล้วจะกลับพอดี แม่จะฝากพี่เค้าไปส่งบ้านให้นะลูก” คุณดวงทิพย์บอกลูกสาว                         
      “น้องพลูรอกลับกับพี่ผึ้งก็ได้ค่ะ” แทนดาวบอกอย่างกรงใจ                                              “พี่สาวเราอยู่เสียที่ไหน เห็นว่าจะไปดูบูธแสดงสินค้าที่ไบเทค ไม่รู้จะกลับเข้ามาหรือเปล่ากลับไปกับพี่เค้านั่นแหละ”
            “รับรองว่าจะส่งให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยหายห่วงครับ” ชลธีแทรกขึ้นพร้อมกับยิ้มให้
            “แต่น้องพลู...”   
            “น้องพลูอย่าดื้อกับพี่เค้านะลูก” คุณแม่ตัดบทเอาแบบนี้ก็คงต้องยอมทำตามที่มารดาสั่ง
            “เอามานี่...พี่ถือให้ดีกว่า วันนี้ไปช้อปปิ้งมาหรือครับ?” แทนดาวปล่อยถุงที่มือใหญ่แย่งเอาไปถือขณะเดินออกไปยังลานจอดรถ
            “คุณแม่พาไปซื้อเสื้อผ้าค่ะ”
            “เอ...สวยเท่าชุดที่พี่ซื้อให้หรือเปล่านะ อยากเห็นจัง”
            “ชิ...สวยกว่ามากเลยล่ะ” แทนดาวลอยหน้าพูดใส่คนข้างๆ ชลธีหัวเราะเบาๆ
            “ใส่ให้พี่ดูเป็นกรณีพิเศษได้มั้ยเนี่ย ถ้าสวยไม่เข้าตากรรมการล่ะก็ จะได้ซื้อให้ใหม่”
            “ได้สิคะ ถ้าพี่หมากยอม”
            “จะว่าไปนะ ตอนนี้พี่ก็ชักอยากจะญาติดีกับพี่ชายเราแล้วล่ะ...รู้มั้ย?” แทนดาวไม่เข้าใจที่เขาพูดได้แต่เดินตามไปเงียบๆ ระหว่างทางสังเกตว่ามีพนักงานหลายคนก้มหัวให้เขา ชลธีคงจะมาที่ทวีกิจอยู่บ่อยๆ
      “มาเปิดตัวเอาไว้นานแล้วล่ะสิ”หล่อนคิดในใจ
           “น้องพลูทานอะไรมาหรือยังครับ จะแวะทานก่อนมั้ย?”                                
            “ยังไม่ค่อยหิวหรอกค่ะ อีกอย่าง...คุณย่าทำขนมจีนน้ำยากะทิไว้ น้องพลูว่าจะกลับไปกิน” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มทั้งๆที่ความเป็นจริงก็หิวเอาการอยู่
            “งั้นพี่ก็จะได้ตรงดิ่งไปส่งน้องพลูเลยนะ” ชลธีกดรีโมทเปิดประตูรถ แทนดาวเพิ่งสังเกตว่าวันนี้เขาใช้รถแบบอเนกประสงค์ห้าประตูแต่ยังเป็นตราใบพัดฟ้าขาวเช่นเดิม ห้องโดยสารด้านหลังมีกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งวางอยู่ ชลธีเห็นสายตาสงสัยนั้นจึงตอบให้
           “วันนี้พี่จะกลับระยอง แม่มาเฝ้ายัยแฟงหลายวันแล้ว พี่ต้องกลับไปดูงานที่โน่น ช่วงนี้ทัวร์ลงเยอะ” แทนดาวพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งเคียงข้างเป็นตุ๊กตาหน้ารถ
           “พี่ชลนี่เดินทางบ่อยจัง น่าจะเปิดบริษัททัวร์เพิ่มนะคะ” หล่อนชวนคุย ชลธีหันมามองหล่อนนิดหนึ่งก่อนหันกลับไปมองทางอย่างเดิม
      “ก็ว่าอยู่...ถ้าพี่ทำบริษัททัวร์ก็จะจ้างน้องพลูเป็นไกด์ เอามั้ย?” เขาแกล้งถามขณะพารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งร้อนนัก เขาไม่รีบ...หรือว่าอยากให้ถึงช้าๆก็ไม่รู้ คนถูกถามไม่ตอบอะไรมัวแต่ง่วนกับการควานหาของบางอย่างในกระเป๋า
      “น้องพลูเปิดเพลงได้มั้ยคะ?” เมื่อชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตก็กดปุ่มเปิดเครื่องเสียงตรงแผงคอนโซล
      “พี่มีแต่เพลงแก่ๆสมัยสิบกว่าปีที่แล้ว วัยรุ่นอย่างน้องพลูคงไม่ชอบ” เขาหันมาบอก
      “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้องพลูมีเพลงส่วนตัวมาด้วย รับรองว่าพี่ชลต้องเคยได้ยินเพลงพวกนี้แน่ๆ” หญิงสาวยิ้มให้น้อยๆก่อนจะล้วงหยิบเอาเครื่องเล่นเพลงอันเล็กเชื่อมต่อกับบลูทูธ อึดใจต่อมาเสียงบรรเลงเปียโนก็ดังขึ้น จากการที่มีน้องสาวเป็นนักดนตรีก็ทำรู้ว่าเพลงที่กำลังฟังอยู่นี้เป็นของนักแต่งเพลงผู้ล่วงลับชื่อเสียงดังระดับโลกคนหนึ่ง น้องสาวของเขาก็ชื่นชอบนักแต่งเพลงคนนี้มากๆด้วย
      “น้องพลูจะใช้เพลงนี้ประกวดแหละ พี่ชลรู้ไหม”
      “เหรอครับ เพลงนี้เล่นยากนี่ แฟงเคยบอกพี่ ตอนที่เขาหัดเพลงนี้ใหม่ๆ พี่จำได้ว่าไม่ยอมกินยอมนอน กว่าจะเล่นได้นี่เป็นเดือนเลย”
      “ใช่ค่ะ คอร์ดเยอะมาก พี่แฟงก็คอยเพิ่มให้ทีละนิด จำย๊าก...ยากค่ะ พี่แฟงน่ะเก่งจังเล่นได้เหมือนต้นฉบับเปี๊ยบเลย” หญิงสาวกล่าวถึงคุณครูด้วยความชื่นชม ทำให้คนที่กำลังขับรถอย่างตั้งใจพลอยอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรอกไปเสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ดังขึ้น ชลธีหยิบบลูทูธมาเสียบหู พูดสองสามคำก็วางสาย จากนั้นจึงอาศัยจังหวะรถติดไฟแดงหันมาพูดกับคนที่กำลังเคลิ้มกับบทเพลง
      “น้องพลูครับ จะว่าอะไรมั้ยถ้าพี่จะแวะไปที่โรงแรมแป๊บนึง มีเอกสารทางการเงินที่ต้องอนุมัติด่วนน่ะ”
      “ตามสบายพี่ชลแล้วกัน ไงๆวันนี้น้องพลูก็อยู่ในอุ้งมือพี่ชลแล้วนี่” ชลธียิ้มกว้างกับคำตอบ
      “พูดยังกะตัวเองเป็นลูกไก่ยังงั้น ถ้าน้องพลูอยู่ในอุ้งมือพี่จริงๆ รู้มั้ย...ว่าพี่จะทำอะไรมั่ง?” เขาเว้นช่วงนิดหนึ่งรอฟังคำตอบ หากอีกฝ่ายยังเงียบจึงพูดต่อ
      “พี่จะพกน้องพลูไปทุกหนทุกแห่ง รู้มั้ย...เวลาอยู่ด้วยแล้วสดชื่นจัง พี่ไม่สงสัยหรอกว่าทำไมไอ้หมากมันถึงหวงน้องนัก” สีหน้าคนฟังเริ่มเรื่อด้วยเลือดฝาดที่กระจายแผ่ซ่านไปตามใบหน้าและลำคออย่างรวดเร็วพยายามจะซ่อนไม่ให้อีกฝ่ายเห็นพลางเสกดเปลี่ยนเพลงไปเรื่อยทั้งๆที่ไม่ได้อยากฟังมันแล้วตอนนี้ ชลธีไม่ว่าอะไรอีก เดี๋ยวจะเข้าข่ายผู้ใหญ่รังแกเด็ก ปล่อยให้ลูกไก่แทนดาวนั่งเปลี่ยนเพลงไปเรื่อยๆจนถึงที่หมายในเวลาต่อมา
      “ไปนั่งรอพี่ในห้องก่อนไหม?” แทนดาวตาโตกับกับคำว่า ‘ห้อง’ อีกฝ่ายเข้าใจทันทีว่าคนตาโตกำลังคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็อมยิ้ม 
      “พี่หมายถึงห้องทำงานของพี่ รับรองไม่เกินสิบนาทีเสร็จ” จากนั้นเขาก็บอกพนักงานคนหนึ่งให้พาหล่อนไปยังห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่บนชั้นสูงสุดของตึก แทนดาวชมทิวทัศน์มุมสูงของกรุงเทพมหานครผ่านผนังกระจกในห้องกว้าง สักครู่ก็มีพนักงานนำมาการองกับน้ำเย็นมาเสิร์ฟ พนักงานคนนั้นสาวจ้องมองหล่อนอยู่นานหลายนาทีจนเจ้าตัวทนไม่ไหว
      “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าคะ?” พนักงานคนนั้นทำท่ากระมิดกระเมี้ยนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีพินอบพิเทาสุดฤทธิ์
      “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่าคุณชลจะมีแฟนสวยขนาดนี้ ดูยังเด็กอยู่เลยนะคะ”
      “คะ...คือว่า...” แทนดาวอ้าปากค้างที่ถูกเข้าใจผิดใหญ่โต
      “ยังไงก็นุชขอฝากตัวด้วยนะคะ นุชนั่งอยู่หน้าห้องนี่เองมีอะไรก็เรียกได้เลยนะคะ” แล้วพนักงานที่ชื่อนุชคนนั้นก็เดินยิ้มกริ่มออกไป เดาว่าคงจะไปเมาท์ต่อให้เพื่อนฟังแน่ๆ คนถูกเข้าใจผิดยังนั่งเหวอ ไม่ได้ล่ะ...ต้องบอกให้พี่ชลรีบไปแก้ข่าวโดยด่วน
      ชลธีไม่ได้เสร็จธุระภายในสิบนาทีอย่างที่บอก จนยี่สิบนาทีผ่านไปจึงกลับเข้าพร้อมกับสตรีเจ้ของใบหน้างามหยดคนหนึ่ง
      “ขอโทษทีครับน้องพลู พอดีพี่ต้องอ่านรายละเอียดให้ถี่ถ้วนหน่อยเลยใช้เวลานาน คิดว่าจะมีนิดเดียว ที่ไหนได้...” ชลธีอธิบายก่อนจะผายมือแนะนำผู้มาใหม่
      “นี่คุณปรางเพื่อนพี่แล้วก็เป็น...เพื่อนพี่ชายเราด้วย ปรางทำงานที่นี่” แทนดาวพินิจพิจารณาอยู่ในใจ หล่อนดูสวยและมาดมั่น การแต่งกายดูดีมีรสนิยมพอๆกับปลายเดือน ยิ่งยืนเคียงข้างกับชลธีแล้ว…มันดูเหมาะสมกันยังไงก็ไม่รู้
      “น้องพลู...น้องสาวหมากน่ารักจริงๆค่ะ ตอนเด็กๆจำได้หมากเห่อน้องสาวคนนี้มาก” เปรมยุตาพูอย่างเป็นมิตร แทนดาวไหว้อย่างนอบน้อม    วันนี้บังเอิญว่ามีเรื่องด่วนที่ต้องโทรเรียกชลธีมาเซ็นอนุมัติงบจัดทำบัตรสมนาคุณให้ลูกค้า จากนั้นก็ได้รับรายงานจากพนักงานคนหนึ่งว่าเขาพาใครมาด้วยไม่รู้ เป็นเด็กผู้หญิงสาวสวยเป็นคนเดียวกับที่มีข่าวลือว่าเขาเคยควงผู้หญิงคนนี้ไปเที่ยวกระบี่สองต่อสอง หล่อนรู้สึกสะดุดใจกับข่าวโคมลอยนั่น อยากจะดูให้เห็นกับตาว่าผู้หญิงที่ชลธีลงทุนควงไปเที่ยวด้วยกันนั้นจะมีรูปร่างลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร พอได้เจอกันก็ลอบถอนใจเพราะสาวน้อยคนนี้เป็นน้องสาวเทียมภพ เป็นอันว่าข่าวลือก็คือข่าวลือ
      “เอาล่ะ...ผมพาปรางมาเจอกับน้องพลูตามที่ต้องการแล้ว เห็นจะต้องพาไปส่งเสียที บ้านนั้นยิ่งเข้มงวดกับลูกสาวอยู่ ขืนพาไปส่งช้า...มีหวังผมถูกเล่นงานตายแน่ๆ” ชลธีว่าพลางมองสาวน้อยที่ยังมองสำรวจเปรมยุตาไม่หยุดหย่อน เขาอยากรู้จังว่า...เวลาผู้หญิงเขามองสำรวจกันอย่างนี้ พวกเธอกำลังคิดอะไรกันบ้าง
      “แล้วเจอกันนะคะชล งานทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ปรางจะช่วยดูแลให้” หญิงสาวบอกเจ้านายก่อนจะแยกกันตรงลิฟท์ แทนดาวสังเกตสายตาที่ทั้งสองสื่อให้กัน จะว่ามโนไปเองก็ได้ว่าชลธีพูดจาและปฏิบัติต่อเปรมยุตาคนนี้แตกต่างจากสตรีอื่น ทั้งอ่อนโยน ทั้งให้เกียรติ ดูคล้ายจะมีความ ‘พิเศษ’ บางอย่างซ่อนอยู่ระหว่างทั้งคู่
      “ขอบคุณครับ ฝากปรางด้วยนะ มีอะไรก็โทรหาผมได้ตลอด” ชลธีตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
      “แล้วเจอกันนะคะน้องพลู”
      “ค่ะ” แทนดาวยิ้มรับก่อนจะตามชายหนุ่มไป ในใจก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเปรมยุตาคือใคร ทำไมหล่อนรู้จักทั้งพี่หมากและชลธี
      “คิดอะไรอยู่ครับ?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบมาตลอดทางเขาจึงเอ่ยถามขึ้น
      “เปล่าหรอกค่ะ ไม่ได้คิดอะไร” หากแต่พอสิ้นสุดคำตอบนั้น เสียงบางอย่างก็ดังมาจากกระเพาะอาหาร ชลธีถึงกับหัวเราะลั่น แทนดาวเอามือลูบท้องพลางเงยหน้ามองเขาแหยๆ อับอายขายหน้าสิ้นดี
      “เห็นที...พี่คงต้องยอมตาย พาน้องพลูไปส่งบ้านช้า ดีกว่าปล่อยให้หิวจนกระเพาะประท้วงเสียงดังแบบนี้” แทนดาวหน้ายิ้มเก้อๆให้ ก็ตอนนี้น่ะ...หิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว
 
      ชลธีเลี้ยวพวงมาลัยเปลี่ยนเส้นทางไปยังย่านที่มีร้านอาหารเรียงราย แล้วก็เลือกร้านอาหารไทยบรรยากาศร่มรื่นร้านหนึ่ง แทนดาวเลือกที่นั่งข้างนอกร้านตรงข้างน้ำตกจำลอง พอบริกรเอารายการอาหารมาให้ หล่อนก็จิ้มนิ้วตรงนั้นตรงนี้ รวมๆแล้วสั่งกับข้าวมาสี่อย่างได้
      “แล้วทำไมตอนที่พี่ถามถึงบอกว่าไม่หิว จะได้พากันกินที่โรงแรมเสียเลย” เขาแกล้งกระเซ้า
      “ก็...น้องพลูไม่อยากกวนพี่ชลนี่คะ” หล่อนตอบอิดออด
      “คิดอะไรไม่เข้าท่า พี่น่ะ...อยากให้น้องพลูกวนจะตายไป...สนุกดี” แทนดาวนั่งก้มหน้าก้มตาตักอาหรเข้าปากจนไม่ทันสังเกตเห็นแววตาประหลาดล้ำจากคนนั่งตรงข้ามซึ่งมันเผลอแสดงออกมาโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
      “เอ่อ...พี่ชลคะ ตอนที่น้องพลูรอพี่ชลอยู่ในห้อง มีพนักงานมาทักน้องพลูว่า...” หล่อนอึกอักไม่กล้าพูดต่อก็เขานั่นแหละเอาแต่จ้องอยู่ได้ กดดันนะเนี่ยรู้ไหม
      “ว่าไงครับ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ส่งผลให้คนถูกถามหน้าแดงเรื่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
      "ก็...เอ่อ บอกว่าน้องพลูหน้าเหมือนเพื่อนเค้าน่ะค่ะ" คนพูดปดหลบตาคมวับนั้นทันทีกลัวเขาจับได้ว่าพูดไม่จริงแต่ชลธีน่ะมีหรือจะไม่รู้ แค่มองประกายตาวิบๆนั่นก็รู้แล้วว่าหล่อนต้องปิดบังอะไรอยู่แหงๆ
      "อ้อเหรอ...พี่นึกว่ามีคนมาทักว่าน้องพลูเป็นแฟนพี่เสียอีก" เขาตอบแทนความในใจให้เรียบร้อย แทนดาวจึงเกิดความรู้สึกตื้อๆขึ้นมาทันที พาลจะอิ่มอาหารเสียเดี๋ยวนั้น
      "มะ...ไม่หรอกค่ะ แหม...ใครเค้าจะคิดอย่างนั้นกันคะ" ปากก็พูดจ้อยๆแต่กล้าสบตาคู่สนทนาเสียที่ไหน
      "โอเคๆ แต่ถ้ามีใครมาทักอีกทีล่ะก็นะ บอกไปเลยว่า...ใช่ค่ะ" เขาหัวเราะเบาๆ แต่แทนดาวกลับมองไม่เห็นแววตาล้อเลียนเลยแม้แต่น้อยก็เลยไม่แน่ใจว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า ฝ่ายชลธีเมื่อเห็นคนตัวเล็กนิ่งไปก็รู้ตัวตนเองหยอดมากไปแล้ว แทนดาวยังไม่พร้อม...ตัวเขาเองก็ยังไม่พร้อมเช่นกัน
      "พลูอิ่มแล้วล่ะค่ะ " เมื่ออีกฝ่ายแจ้งเจตนารมณ์ชัดแจ้ง ชลธีก็เรียกบริกรมาคิดเงินก่อนจะเดินทางต่อ ชลธีไม่พูดเล่นหยอกล้อเหมือนเคย เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถ แทนดาวไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไร รู้แต่ว่าพอเห็นท่าขรึมๆอย่างนี้แล้วมันชวนให้ใจฝ่อยังไงก็ไม่รู้         ครึ่งชั่วโมงต่อมาพาหนะคันใหญ่ก็จอดสนิทอยู่หน้าประตูรั้วบ้านทรงไทย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษจากเบาะหลังส่งให้ แทนดาวยกมือไหว้เขาอีกครั้งก่อนจะลงจากรถ ชลธีรับไหว้แต่ไม่ยิ้มให้อย่างเคย
      "ขอบคุณนะคะพี่ชล เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ"
      "น้องพลูเองก็...เปิดเทอมแล้วตั้งใจเรียนนะครับ อย่าเพิ่ง...คิดถึงเรื่องอื่น" แทนดาวทวนคำว่า 'เรื่องอื่น' ในใจ เขาหมายถึงเรื่องอะไรกันล่ะ
      "ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ"
      หากแต่พอก้าวลงไปได้แค่ก้าวเดียว หัวใจทั้งดวงก็หล่นวูบ ร่างกายชาวาบคล้ายจะเป็นอัมพาต กว่าที่จะรวบรวมสติพาตัวเองลงมายืนบนพื้นเต็มสองเท้าได้ก็ใช้เวลาหลายนาที ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือพี่ชายที่กำลังยืนจังก้าตาเขียวปั้ด ข้างๆมีปลายเดือนที่ส่งสายตาแค้นเคืองปนเหยียดเยาะ
      ชลธีเองก็รับรู้ถึงสถานการณ์ไม่ปกตินี้ได้ขณะก้าวลงไปยืนเคียงข้างคนตัวเล็ก สองพี่น้องมองมาที่น้องสาวคนเล็กสลับกับชลธี สายตาสี่คู่ประสานกันชนิดที่เรียกว่าถ้าใครหลบก็อาจกลายเป็นเหยื่อในทันที และก่อนที่ใครจะได้อ้าปากพูดอะไร เสียงทรงพลังที่บ่งบอกความบันดาลโทสะถึงขีดสุดก็ตะโกนก้องขึ้น
      "ไอ้ชล! มึงตาย!"
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา