ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  38.38K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) ตอนที่ 17 ทั้งเล่ห์ทั้งกล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            “พี่หมาก...ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจนะคะ ฟังน้องพลูก่อน!” แทนดาวรีบถลาเข้าไปหาพี่ชายที่กำลังเตรียมกระโจนใส่คนที่มาส่งน้องสาวอยู่แล้ว

            “สีผึ้ง...พาน้องเข้าบ้านไป!” เทียมภพตะโกนสียงกร้าว ตายังคงจับนิ่งที่ศัตรู

            “แต่...ว่า...” ปลายเดือนเองก็กลัวเหมือนกันที่เห็นลูกผู้พี่เตรียมตัวลุยเต็มที่ หล่อนไม่อยากให้ชลธีต้องเจ็บตัวแค่อยากให้พี่ชายมาเห็นและลงโทษน้องสาวคนเล็กเท่านั้น ไม่ได้คิดจะให้คนนอกได้รับผลกระทบเลยสักนิด

            “พี่บอกให้พาน้องเข้าบ้านไง!” คราวนี้เขาหันมาตะคอกอย่างฉุนเฉียวเมื่อยังเห็นอีกฝ่ายอิดออด ปลายเดือนไม่รอให้พี่ชายต้องสั่งเป็นครั้งที่สาม รีบฉุดแขนน้องสาวเข้าบ้านแต่แทนดาวก็ยังพยายามขืนตัวไว้

            “ไปสิยัยพลู จะยืนอยู่ให้โดนลูกหลงหรือไง!”

            “ไม่! พี่หมากกำลังเข้าใจผิด พี่ชลเค้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ” หล่อนอ้อนวอนแต่คนเป็นพี่ก็ไม่ยอมฟัง หันมามองน้องสาวนัยน์ตากร้าว ความโกรธพุ่งทะลุจุดเดือด ร้อยวันพันปี แทนดาวไม่เคยไปไหนคนเดียวโดยไม่รายงานเขา แต่ครั้งนี้...เพราะไอ้ผู้ชายระยำคนนี้มันทำให้หล่อนเปลี่ยนไป

 

            “ใบพลู...พี่บอกให้เข้าบ้านไง!” เขาตวาดสั่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ปลายเดือนจะกึ่งลากกึ่งจูงน้องสาวกลับเข้าไปโดยที่ฝ่ายนั้นยังดีดดิ้นร้องตะโกนไม่หยุด พอน้องสาวทั้งสองคนเข้าบ้านไปแล้วเทียมภพก็กระโจนเข้าใส่ชลธีทันที ไม่มีการถาม ไม่การเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น หมัดแรกที่ตั้งใจกะให้โดนจังๆหน้าพลาดไปถูกต้นแขนล่ำสันเพราะคู่ต่อสู้หลบทันแล้วสวนกลับได้แม่นยำกว่า กำปั้นหนาหนักกระทบข้างกกหูและปลายจมูกเต็มๆ เทียมภพเซไปข้างหลังก่อนจะยกมือป้ายจมูกที่เลือดกำเดาไหลรินออกมาทั้งสองข้าง พอเห็นเลือดเท่านั้นแหละ...ความระห่ำทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยออกมา เขากระโจนเข้าบีบคอแน่นจนชลธีกำลังจะหายใจไม่ออก หนำซ้ำศีรษะยังถูกจับกระแทกกับขอบหน้าต่างรถอย่างแรง แม้จะไม่ถึงกับแตกแต่ก็ทำเอาปวดหนับจับใจ เขารีบอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายปล่อยมือข้างหนึ่งเพื่อจะประเคนหมัดมาให้พลิกกลับ ทำให้เทียมภพเสียหลักแล้วชลธีก็ซัดกำปั้นเข้าที่ท้องสองครั้งแต่ก็ถูกยันจนหงายหลังล้มลงจนได้ เทียมภพได้เปรียบขึ้นคร่อมบีบคออย่างแรง

            “กูบอกมึงแล้วใช่มั้ย...ว่าอย่ามายุ่งกับน้องกู!” ว่าแล้วก็ประเคนหมัดใส่หน้าอีก คราวนี้ชลธีปากแตกเลือดไหลทันที

            “มึงทำกับปรางคนเดียวไม่พอใช่มั้ย? มึงจะมาหลอกน้องกูอย่างที่หลอกปรางใช่มั้ย!” ชลธีหน้าสะบัดตามแรงกระแทกของหมัดขวาข้างถนัดของเทียมภพ ก่อนที่จะยันอีกฝ่ายออกไปได้ เขาทรงตัวลุกขึ้นปาดเลือดที่เลอะมุมปากออก เทียมภพเอามือกุมจมูกนึกในใจว่าดั้งคงหักแล้ว

            “กูไม่เคยหลอกปรางและที่สำคัญไม่เคยคิดอัปรีย์กับใบพลูอย่างที่มึงกล่าวหาด้วย!” ชลธีอธิบายเหนื่อยหอบ ทั้งคู่จ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างฝ่ายต่างบอบช้ำด้วยฝีมือของกันและกัน

            “ถ้ามึงจะฟังกูอธิบาย กูจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง” ชลธีต่อรองเพราะรู้ดีว่าต่างคนต่างไม่ไหวแล้ว เขาเองยังปวดตุบๆที่หัวตรงที่ถูกจับโขกกับรถเมื่อครู่ ส่วนเทียมภพก็ปวดจมูกและเลือดก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด

            “ฮึ...ถ้ากูยอมฟังคนอย่างมึงอธิบายก็บ้าไปแล้ว จำไว้นะ...กูไม่มีที่ว่างในสมองมากพอที่จะฟังมึงพล่ามเรื่องโกหกทั้งเพนั่นหรอก เสียดายผู้หญิงดีๆอย่างปราง...ทำไมเขาต้องเจอมึงด้วย ทำไมเขาไม่เจอกูก่อน! ทำไมเขาไม่เลือกกู!” เทียมภพยกมือชี้หน้า รู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อภาพเก่าๆลอยเข้ามาให้ห้วงคำนึง ภาพเปรมยุตาที่นอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจากการตกเลือด!

            “งั้นกูก็ไม่มีอะไรจะพูดต่ออีกแล้ว อยากจะอัดกูก็เชิญ...กูยังมีแรงพอที่จะสู้ไหว แต่อย่าลืม...ถึงกูจะกระอักเลือดตายก็ไม่มีวันทำตามที่มึงบอก อีกอย่างนะ...ขอยืนยันคำเดิมว่ากูไม่เคยทำร้ายปราง” สายตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนช่วยหยุดยั้งไม่ให้เทียมภพเข้าไปซ้ำอย่างที่ตั้งใจ

            “ไปซะ! ถ้ายังเห็นหน้ามึงเกินกว่าสองนาทีล่ะก็ กูอาจจะวิ่งเข้าบ้านไปเอาปืนมายิงทิ้งซะก็ได้” เทียมภพไล่ มิใช่ตั้งใจจะกลับเข้าไปเอาอาวุธจริงๆ หากแต่กลัวว่าการยังอยู่ของชลธีจะสะกิดต่อมความสงสัยบางอย่างของเขาให้ทำงาน จนต้องร้องขอให้อีกฝ่ายอธิบายเรื่องในอดีต เขาไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้อีกต่อไปแล้ว

            “ในรถกูมี มึงจะเอามั้ย?” ชลธีท้าทาย ถ้าคนตรงข้ามอยากจะฆ่าเขาจริงๆก็ยินดีที่จะหยิบยื่นอาวุธให้แต่เขารู้ว่าเทียมภพไม่กล้า ไม่ใช่ว่าเพราะขี้ขลาดแต่เขาเห็นแววไม่แน่ใจในดวงตาดุดันคู่นั้น ความไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องในอดีต ที่รบกวนทั้งตนเองและอดีตเพื่อนมานานแสนนาน

            “แต่บอกก่อนนะ...ถ้ากูตายมึงก็จะติดคุก ใบพลูก็จะไม่มีคนดูแล แล้วทีนี้ล่ะก็...ไอ้พวกหลอกเด็กตัวจริงก็จะเข้ามาเกาะแกะเธอโดยที่มึงก็ทำอะไรไม่ได้” ชลธีกล่าวเยาะๆ ปาดเลือดที่ปากเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปขึ้นรถ ปิดประตูดังปังและออกรถไปอย่างรวดเร็ว

 

            เทียมภพยืนมองรถสีดำแล่นออกไปจนลับตา คอยอยู่สักประเดี๋ยวให้แน่ใจว่ามันจะไม่ย้อนกลีบมาอีกแล้วค่อยแบกหน้าช้ำๆของตัวเองเดินเข้าบ้าน คนต่อไปที่ต้องจัดการคือน้องสาวตัวดีที่แอบหนีเที่ยวไม่บอกไม่กล่าว แต่ก่อนอื่นเขาต้องล้างหน้าชำระคราบเลือดเสียก่อน ไม่อยากให้น้องสาวเห็นสภาพสยดสยองนี้เพราะแทนดาวค่อนข้างจะบอบบาง เห็นเลือดมากๆแล้วอาจจะเป็นลมได้ ถึงจะอยู่ในอารมณ์เดือดดาลสักแค่ไหนแต่ก็ยังใส่ใจความรู้สึกของน้องสาวเสมอ

            คนที่กำลังจะโดนชำระความนั้นยืนโต้เถียงอย่างรุนแรงกับพี่สาวโดยมีคุณย่ากับอารินานั่งมองโดยที่ไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ เพราะเวลาหลานสาวคนเล็กของบ้านนี้อารมณ์เสียขึ้นมาแล้วนั้นก็ไม่ต่างพายุทอนาโดขนาดย่อมที่พร้อมจะพังทลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า

            “ปล่อยพลูนะ! พลูจะไปดูพี่ชล ป่านนี้แย่แล้วแน่ๆ” แทนดาวพยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของสาวใช้สองคนที่กอดแขนหล่อนคนละข้างตามคำสั่งของปลายเดือน

            “เธอจะไปให้สถานการณ์มันแย่ลงทำไม คิดดูสิ...ถ้าพี่หมากเห็นเธอ ก็จะยิ่งโกรธคุณชลมากขึ้น ก่อเรื่องแล้วยังไม่รู้สึกตัวอีก!” ปลายเดือนต่อว่า หากแต่ในใจก็อยากไปดูเหมือนกันว่าชลธีจะเป็นอย่างไรบ้าง

            “อยู่นี่แหละเจ้าพลู ย่าว่าคงไม่มีอะไรหนักหนาหรอก” คุณลำเภาปลอบ จากที่ฟังคำบอกเล่าของหลานสาวทั้งสองนั้นน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดเสียมากกว่า อารมณ์วู่วามของหลายชายคนโตนั้นเป็นที่รู้ๆกันว่าจัดอยู่ในประเภท ‘ต่อยก่อน ถามทีหลัง’

            “แต่พี่หมากต้องมีเรื่องกับพี่ชลแน่ๆ พี่หมากเข้าใจผิดนะคะ” คราวนี้คนตัวเล็กสะบัดตัวหลุดจากการพันธนาการจนได้

            “คอยดูนะ! จบเรื่องเมื่อไหร่พลูจะมาคิดบัญชีกับเธอทั้งคู่” แทนดาวคาดโทษสาวใช้สองคนที่มองตากันด้วยความหวาดหวั่น การไปทำให้คุณหนูคนเล็กโกรธนั้นเป็นเรื่องที่คนสิ้นคิดเท่านั้นที่ทำแต่จะทำอย่างไรได้เมื่อคุณหนูใหญ่อย่างปลายเดือนเป็นคนสั่ง

            “น้อยๆนะแม่คุณ!” เทียมภพที่จัดการชำระคราบเลือดรวมทั้งเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่เรียบร้อย แล้วก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นด้วยความโกรธขึ้ง แทนดาวหันไปมองพี่ชายหวาดๆกับหน้าตาถมึงทึงแต่ก็เบากว่าตอนที่เจอกันหน้าบ้าน มีรอยจ้ำเขียวๆตรงแถวไรคาง ที่ปลายคิ้วมีพลาสเตอร์แปะอยู่

            “พี่หมากทำอะไรพี่ชลน่ะ” แทนดาวรีบวิ่งไปดักหน้าร้องถามพี่ชายเสียงห้วน เทียมภพเม้มปากแน่นที่น้องสาวเป็นห่วงเป็นใยศัตรู

            “มันก็ไม่ได้น่วมน้อยไปกว่าพี่หรอก รับรองได้”

            “พี่หมากบ้า! ไปทำพี่ชลทำไม เขาไม่ได้ทำอะไรให้เลยนะ” คนตัวเล็กร้องลั่นพร้อมกับระดมตีแขนคนเกืดก่อนไม่นับจนปลายเดือนต้องมาฉุดตัว

            “วันนี้น้องพลูของพี่ทำผิดมากรู้มั้ย หายไปโดยไม่บอกพี่ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ ที่สำคัญ ไปกับ ‘มัน’ สองต่อสอง พี่โกรธและเสียใจมากที่น้องพลูทำตัวแบบนี้” เทียมภพหยุดนิดหนึ่งบังคับเสียงไม่ให้สั่นเพราะสิ่งที่คิดและกำลังจะบอกออกไปนั้นมันบั่นทอนความรู้สึกของตนมหาศาล

            “ถึงพี่จะรักเรามากแต่ถ้าทำผิด...ก็ต้องถูกทำโทษ” เขาเค้นเสียงลอดไรฟันพูดออกมาในที่สุดแล้วหันไปสั่งลูกผู้น้อง

             “ไปหาไม้ให้พี่หน่อย” น้ำเสียงเย็นชานั้นบาดลึกลงไปในหัวใจของของสาวแท้ๆถึงพี่ชายคนนี้จะรักและใจดีกับตนมากขนาดไหนแต่ถ้าถึงเวลาต้องดุแล้วน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร ในขณะเดียวกันความรู้สึกปิติยินดีวูบหนึ่งเกิดขึ้นกับปลายเดือน หากแต่ก็ยังไม่วายแสร้งคัดค้าน

            “พี่หมากคะ...น้องพลูแกคงไม่ได้ตั้งใจหรอกนะคะ อย่าถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกันเลยค่ะ ผึ้งสงสารน้อง...” หล่อนเดินไปเกาะแขนพี่ชาย พูดแกมขอร้องไปงั้นเอง รู้ดีว่าคราวนี้พี่ชายเอาจริงแน่ๆ

            “นั่นสิ...อย่าถึงขั้นต้องตีกันเลยนะ ย่าขอเถอะ” คุณลำเภาช่วยไกล่เกลี่ยอีกคน เทียมภพสูดหายใจลึกๆเข้าปอดอีกครั้ง แม้จะฝืนใจแต่ก็ต้องทำ นานแสนนานเท่าไหร่แล้วที่ไม่เคยลงโทษน้องสาวรุนแรงอย่างนี้ จะมีก็แต่เวลาหล่อนดื้อเอาแต่ใจจนเกินพอดีที่อาจจะต้องลงมือสั่งสอนกันบ้าง แต่อย่างมากก็แค่ใช้มือฟาดเพี๊ยะให้ไม่เคยเกินสามที ไม่เคยต้องใช้ไม้เรียวหวดเป็นเรื่องเป็นราว ดีแต่เอามาถือกวัดแกว่งขู่เท่านั้นเอง

            “ไม่ได้หรอกครับคุณย่า เราเลี้ยงยัยพลูมาแบบตามใจเกินไปถึงได้ดื้อรั้นแบบนี้” เทียมภพพยายามพูดให้ฟังดูเย็นชาที่สุดแต่ก็ยังอดสั่นไม่ได้ คุณลำเภาลอบมองหลานชายแล้วก็ถอนใจ นางรู้ตัวว่าคงไม่อาจปกป้องหลานสาวคนเล็กได้อีกต่อไป

            “ดูสิครับ...หนีออกไปเที่ยวกับผู้ชาย ไปถึงไหน ทำอะไรกันบ้างก็ไม่รู้ นี่ขนาดว่าดูแลกันไม่ให้คลาดสายตาแล้วนะ แต่เรื่องแบบนี้จะไปโทษผู้ชายฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ บางทีคนของเรามันก็คงจะอยากรู้อยากเห็น คงอยากจะมีผัวกับเค้าแล้วกระมัง!” น้ำเสียงเย็นชาที่พ่นคำบริภาษออกมาทำให้พยานในห้องต้องปิดปากอุทาน แทนดาวน้ำตาร่วงเผาะทันทีไม่คิดว่าพี่ชายจะดุด่าตนเองแรงขนาดนี้

            “หมาก...ใจเย็นๆนะลูก เดี๋ยวพี่ธรรมรู้แกจะเครียดขึ้นมาอีกนะ” คุณระรินผู้เป็นอาสะใภ้ช่วยพูดเรียกสติ

            “เค้าอยากตีก็ให้เค้าตีไปเถอะค่ะ พลูไม่ผิดซักนิดเดียวเพราะงั้นก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัว” คนตัวเล็กกลั้นน้ำตาพูดเสียงแข็ง น้อยใจพี่ชายที่ไม่ยอมฟังคำอธิบายเรื่องทั้งหมดสักนิด ทำไมคนที่รักที่สุดกลับไม่เชื่อใจหล่อนเลย

            เทียมภพมองมาหน้าน้องสาวที่รักปานดวงใจอย่างร้าวราน ปรกติแล้วถ้ารู้ว่าจะถูกลงโทษล่ะก็จะต้องวิ่งมากอดแขนกอดขา อ้อนวอนจนเขาใจอ่อนยอมลดให้หรือไม่ก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย แต่นี่...กลับทำท่าชูคอเสียงแข็ง ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยจนกระทั่งได้รู้จักกับชลธี

            “ไปเอาไม้มาสีผึ้ง!” เขาสั่งเฉียบขาดอีกครั้ง ปลายเดือนก้มหน้ารับคำทำหน้าเศร้าเดินออกไปแต่พอผ่านหน้าน้องสาวก็ส่งให้อย่างเลือดเย็น หล่อนไปหากิ่งไม้ในสวนที่คิดว่าเหนียวพอที่จะฟาดลงบนเนื้อขาวๆของน้องสาวโดยที่ไม่ด่วนหักไปเสียก่อน หล่อนเฝ้ารอเวลานี้มาตลอดเวลา รอคอยที่จะได้เห็นน้องสาวเจ็บปวด นับว่าเป็นโชคดีที่วันนี้หล่อนตัดสินใจกลับเข้าบริษัทในตอนเย็นเลยได้ทราบว่าแทนดาวออกไปกับชลธีก็เลยโทรไปบอกพี่ชาย       

            เทียมภพกระชากแขนน้องสาวมายืนกลางบ้าน ยื่นมือออกไปรับไม้ขนาดเหมาะมือที่น้องสาวคนรองส่งให้ แทนดาวหลับตาแน่นทำใจยอมรับการลงโทษแบบไม่มีเหตุผล เทียมภพเงื้อง้างไม้เรียวกลางอากาศแต่แล้วมันก็ร่วงหล่นจากมือ เขาทำไม่ได้...เขาทำร้ายหัวใจดวงนี้ไม่ได้

            “พี่หมาก...” แล้วคนที่รอดจากการถูกฟาดก็ปล่อยโฮ เทียมภพทิ้งไม้แล้วหันหลังเดินจากไป คุณลำเภาเข้ามากอดหลานสาวอย่างปลอบโยน ปลายเดือนหน้าสลด ความยินดีหายวับไปทันใด โมโหพี่ชายที่เกิดใจอ่อนขึ้นมากะทันหัน

            “นิ่งเสีย...แล้วเดี๋ยวรอให้พี่เจ้าอารมณ์ดีกว่านี้อีกหน่อยค่อยไปอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟัง” แทนดาวยังคงสะอึกสะอื้น

            “แต่พลูไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆนะคะ พี่ชลก็ไม่ได้ทำ”

            “ย่าเข้าใจ แต่พี่ชายเราคงโกรธเรื่องที่กลับว่ามาด้วยกัน ทำไมไปไหนไม่บอกพี่เขาก่อนล่ะ”

            “ตายจริง! น้องพลูลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องทำงานพี่หมาก” แทนดาวหยุดร้องไห้ ใช่สินะ...พี่หมากคงจะโทรเข้ามาหาหลายครั้งแล้วไม่มีคนรับ แท็บเล็ตที่พกติดตัวก็เกิดแบตหมด พี่ชายคงจะไลน์หาแต่ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่งั้นคงรู้เรื่องราวว่าเป็นมาอย่างไรก็คงไม่โมโหขนาดนี้

 

            แทนดาวรีบโทรหาชลธีทันทีพอพี่ชายออกจากบ้านไปแล้ว เสียงของเขายังฟังดูเป็นปกติแถมยังมีอารมณ์หยอกล้อกับหล่อนอีกด้วยเลยไม่อยากเล่าเรื่องที่ทะเลาะกับพี่ชายให้ฟัง อีกทั้งยังรู้สึกผิดมหันต์ที่เป็นสาเหตุให้เขาอดกลับบ้านที่ระยองในวันนี้ ถ้าเพียงหล่อนจะโทรหาพี่ชายบอกกล่าวเล่าเรื่องสักนิดเดียวเท่านั้น อย่างดีพี่หมากก็คงแค่บ่นและรีบมาชิงตัวกลับไปเอง

            “น้องพลูต้องขอโทษพี่ชลจริงๆค่ะ ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ น้องพลูเป็นคนที่แย่มากใช่มั้ยคะ? เป็นต้นเหตุให้พี่ชลเจ็บตัวตั้งหลายครั้งแล้ว” น้ำเสียงจากคนต้นสายสายเต็มไปด้วยความลุแก่โทษ

            “เรื่องนี้น้องพลูไม่ผิดสักนิดเดียว ถ้าจะหาคนผิดก็พี่ชายเราน่ะแหละ ถ้ามันจะเลิกใจร้อนบ้าเลือดและหัดฟังคนอื่นเสียบ้าง” เขาเน้นเสียงหนักในตอนท้าย แทนดาวยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีกว่ามีพี่ชายดุกว่าร็อตไวเลอร์เลยทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปหมด

            “พี่ชลเลยไม่ได้กลับบ้าน”

            “พี่โทรบอกทางนั้นเรียบร้อยแล้วล่ะ นี่พี่หนีมานอนโรงแรม ยังไม่อยากให้แม่กับยัยแฟงเห็นสภาพตอนนี้”

            “แย่จัง...แล้วแผลเป็นไงมั่งคะ”

            “ก็...ไม่น่าเป็นห่วงหรอก ชายอกสามศอกอย่างพี่แค่นี้ถือว่าเล็กน้อย” เขาพูดเรื่อยๆน้ำเสียงยังคงฟังดูสบายๆ

            “อ้อ...น้องพลูมีสูตรยาเด็ดสำหรับรักษาแผลฟกช้ำค่ะ สูตรนี้คุณย่าเป็นคนทำให้น้องพลูเองค่ะ ตอนเด็กๆน่ะน้องพลูชอบวิ่งเล่นหกล้มบ่อยๆ เอาไว้จะไปถามคุณย่าให้นะคะ” หญิงสาวยิ้มร่ากับไอเดียสุดเก๋ที่เพิ่งนึกขึ้นได้ อย่างน้อยๆได้ทำอะไรเพื่อชดเชยที่มีส่วนผิดในเรื่องนี้สักนิดก็ยังดี

            “อย่าลำบากน้องพลูเลย แต่ถ้าจะกรุณา...วันหลังไปทานข้าวกับพี่อีกก็ยินดีนะครับ” ถึงไม่ได้เห็นหน้าแต่ชลธีก็รู้ว่าตอนนี้คนฟังต้องกำลังหน้าแดงซึ่งก็ไม่ผิดเลยสักนิด

            “คือ...น้องพลูเกรงว่าถ้ามีคราวหน้าอีก ต้องมีใครได้นอนไอซียูแน่ๆค่ะ”

 

            เย็นวันถัดมา เทียมภพไม่รู้ตัวเลยว่าพาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าโรงเรียนสอนดนตรีแห่งนี้ได้อย่างไร แล้วทำไมจะต้องจอดรถแอบซุ่มด้อมๆมองๆเหมือนสายลับด้วยก็ไม่รู้ เขาเพียงแค่รอคอย...รอคอยที่จะได้เห็นหน้ารมณ์นลินแต่มิได้คิดจะมาหาเรื่องเพื่อแก้แค้นในสิ่งที่พี่ชายของหล่อนก่อเอาไว้ วันก่อนเขาผลุนผลันออกมาจากบ้านด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว จนวันนี้ก็ยังไม่คืนดีกับน้องสาวสุดหวง โกรธก็โกรธ น้อยใจก็น้อยใจ นี่แม่ตัวดีไม่คิดจะมาง้อพี่เชื้อบ้างเลยหรือ... จะว่าเขาหุนหันพลันแล่นเกินไปก็ต้องยอมรับ แน่ล่ะ...ใครจะทนได้ที่น้องสาวผู้เป็นที่รักดังดวงใจออกไปไหนต่อ9jไหนกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต ให้ตายเถอะ! เผลอแวบเดียวไม่ได้...ไอ้หมอนั่นก็มาลักพาตัวน้องสาวคนเล็กไป คิดแล้วมันก็ของขึ้นอีกจนได้

            เขายังคงอดทนนั่งรอในรถเกือบชั่วโมงกว่าที่รมณ์นลินจะออกมา หล่อนเดินยิ้มร่าเริงคุยกับลูกศิษย์ตัวเล็กน่าเอ็นดูจนเขาเองเผลอยิ้มตาม หลังจากรอจนหล่อนส่งเด็กๆทุกคนให้กับผู้ปกครองที่มารอรับจนครบแล้วจึงค่อยออกไปแสดงตัว

            “คุณหมาก!” รมณ์นลินร้องทักด้วยความแปลกใจที่เห็นเขา

            “คุณจะกลับหรือยัง?” คำถามที่ฟังดูห้วนแต่แฝงความนุ่มนวลแตกต่างไปจากทุกครั้ง

            “ค่ะ แล้วนั่น...” พอพิจารณาใบหน้าของบุรุษตรงหน้าจนถ้วนถี่แล้ว รมณ์นลินก็ถึงกับต้องเอามือปิดปากกลั้นเสียงอุทานเพราะรอยช้ำที่ยังระบมอยู่ออกสีม่วงเข้มชัดเจน

            “อุบัติเหตุน่ะ...อย่าสนใจเลย ไปกันเถอะ” เทียมภพตัดบท ไม่อยากอธิบายให้ยืดยาว เขาเองก็ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เอาไว้หล่อนไปเห็นสภาพพี่ชายแล้วก็คงจะหายสงสัยและถามไถ่กันเอาเองง่ายกว่าที่เขาจะเล่าให้ฟัง

            “ไปไหนคะ?” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม

            “ไปกินข้าวกะผมหน่อย...หิว” เขาตอบง่ายๆแต่คนฟังงงหนักเข้าไปอีก เออ...ผู้ชายเขาชวนผู้หญิงไปกินข้าวกันดื้อๆแบบนี้เหรอ อืม...แต่ก็ยังดีกว่าถูกลากไปแบบวันนั้นก็แล้วกัน

            “เห็นทีว่าจะไม่สะดวกค่ะ วันนี้ฉันต้องรีบกลับ เด็กที่บ้านลา พี่ชลก็อยู่แต่โรงแรม...ไม่มีคนอยู่บ้านเลย” หล่อนปฏิเสธทันควัน

            “งั้นผมไปส่งก็ได้” เขายังไม่ละความพยายาม

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเอารถมา” ตั้งท่าจะเดินหนีแต่เทียมภพดึงแขนไว้

            “ได้โปรดเถอะ...มากับผมแป๊บนึงได้มั้ย?” เทียมภพออกแรงฉุดหล่อนเข้าไปนั่งในรถจนได้ในที่สุด คนถูกบังคับตั้งท่าจะหนีแต่เทียมภพไวกว่ารีบวิ่งขึ้นมาอีกฝั่งและกดล็อกประตูทันที

            “นี่คุณ! คิดจะทำอะไรน่ะ” หล่อนจ้องหน้าอีกฝ่ายโกรธๆ เกลียดนักที่ชอบใช้กำลังบังคับให้คนอื่นทำนั่นทำนี่ คนก่อเรื่องไม่พูดอะไรนอกจากเอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างตรงเบาะหลังมายื่นให้

            “อะ...อะไรคะนี่?” สีหน้าโกรธขึ้งบึ้งตึงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นฉงนสงสัยกับท่าทีทีเปลี่ยนไปของอีกฝ่าย

            “ก็ดอกไม้น่ะสิ...ถามได้” เขาเริ่มรำคาญนิดๆที่เจ้าหล่อนไม่ยอมเข้าใจอะไรเสียที

            “ให้ฉันเหรอคะ?” หล่อนถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

            “เออ” คำตอบสั้นๆแต่ได้ใจความนั้นทำเอาคนฟังถึงกับอึ้งก่อนจะรับช่อดอกไม้ที่จัดช่อมาอย่างประณีตสวยงามอย่างงงๆ มันเป็นกุหลาบเหลืองทั้งช่อแซมด้วยดอกมัมสีชมพู เกิดความเงียบอยู่พักใหญ่จนผู้มอบให้อดรนทนไม่ไหวเดาไม่ออกว่าคนรับรู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ แปลก... กะอีแค่คิดไปว่าถ้าหล่อนไม่ชอบขึ้นมาก็เล่นเอาใจแป้วแล้ว

            “ให้...เนื่องในโอกาสอะไรคะ?” คนรับถามเสียงแผ่วเบา ความแปลกใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นปนกระหายอยากรู้ นึกถึงแจกันดอกไม้ที่เขาเป็นคนส่งมาให้ในช่วงที่นอนอยู่โรงพยาบาลก็พาลให้อดยิ้มน้อยๆออกไม้ได้

            “ยัยพลูบอกว่าคุณชอบสีเหลือง” เขาแตะกุหลาบดอกหนึ่งอย่างทะนุถนอมรวมกับจับต้องแก้มของสตรีแล้วสบตาคู่สวยที่มองเขาอย่างกำลังตั้งใจฟัง “อีกอย่างนึง...ผมเพิ่งเจอมาในเน็ต คุณรู้มั้ยว่ากุหลาบเหลืองมันมีความหมายที่พิเศษเลยอยากใช้มันบอกคุณแทนผม...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงและความรู้สึกอันอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักกันมา น้ำเสียงที่อ่อนหวานและกิริยาที่นุ่มนวลจนใครเลยจะอดใจไม่ให้เคลิบเคลิ้มได้ แววตาที่เคยเย็นชาก็ปนประกายบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน      

            “กุหลาบแดงแปลว่าความความรัก ส่วนกุหลาบเหลืองนั้นหมายถึง...ผมขอโทษในทุกสิ่งที่ผมเคยได้ล่วงเกินคุณ ถ้าให้อภัย...เงยหน้ามามองผมสักนิด...รมณ์นลิน” เสียงของเขากระซิบกระซาบแผ่วเบาอยู่ใกล้ๆหู ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆเป่าที่ขมับ รู้สึกถึงนิ้วมือแข็งแรงอบอุ่นที่ค่อยๆเชยคางมนให้แหงนเงย...

             “ค่ะ” เสียงตอบผ่านริมฝีปากดุจกลีบดอกไม้ดอกต้องลม ลมหายใจร้อนๆยังเป่ารดอยู่ที่หูข้างขวาไม่ห่าง อึดใจต่อมา...หล่อนก็ค่อยๆปิดเปลือกตาช้าๆ มือทั้งสองกอดช่อกุหลาบไว้กระชับขณะตอบรับสัมผัสอ่อนโยนและอ่อนนุ่มจากเขา เทียมภพสัมผัสกับความนุ่มหยุ่นผสมกับกลิ่นหอมของลิปสติกที่เคลือบริมฝีกปากบางที่กำลังเคล้าเคลียอยู่ พอมั่นใจแล้วว่าคนในอ้อมแขนมิได้ผลักไสจึงค่อยๆสอดแทรกปลายลิ้นอุ่นเพื่อเพิ่มความหวามหวานให้กับรสจุมพิตมากขึ้นเรื่อยๆ

 

            เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเปิดเทอม แทนดาวนั่งกินข้าวเช้าคนเดียวด้วยความหงอยเหงา พี่ชายออกจากบ้านแต่เช้ามืด ฝากข้อความผ่านมารดามาว่ามีประชุมทางไกลเลยไปส่งไม่ได้ คนเป็นน้องน้ำตาแทบร่วงเมื่อรู้ว่าจริงๆแล้วพี่ชายยังคงโกรธจนไม่อยากเห็นหน้าตนเองมากกว่า คนในบ้านก็รู้สึกถึงถึงความตึงเครียดนี้เช่นกันเพราะสองพี่น้องไม่เคยต้องโกรธกันข้ามวันข้ามคืน อย่างดีก็สักสองสามชั่วโมงจากนั้นไม่ใครก็ใครต้องเป็นฝ่ายมาง้อ คุณเที่ยงธรรมยังเอ่ยปากถามว่าสองคนนี้มีเรื่องทะเลาะอะไรกันแต่ก็ได้รับฟังเพียงแค่ว่างอนกันนิดหน่อย ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ลึกมากไปกว่านี้เพราะกลัวว่าท่านจะไม่สบายใจ ปลายเดือนมองน้องสาวกึ่งสะใจกึ่งสมเพชที่ได้เห็นอีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพหมาหัวเน่าแต่ก็ยังทำใจดีอาสาไปส่งให้ หากผลที่ได้ก็คือเสียงตวาดแว้ดตามมาด้วยเสียงกรี๊ดดังลั่นบ้าน พอตอนจะขึ้นรถ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ร่วงเผาะ คิดถึงพี่ชายจับจิต เปิดเทอมวันแรกเขาจะเป็นคนไปส่งน้องเองทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่จะยอมให้ใครอื่นไปแทนแม้แต่พ่อกับแม่ ดังนั้นแล้วจึงปล่อยโฮออกออกมาเสียดื้อๆ

            “น้องพลูเป็นอะไรไปครับ!” คนขับรถเก่าแก่ของบ้านถามด้วยความงงงวยที่อยู่ดีๆคุณหนูเล็กก็ร้องไห้ออกมาไม่มีสาเหตุ

            “พลูคิดถึงพี่หมากนี่ ฮึก” จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงม้าหินแถวนั้นสะอึกสะอื้นตัวโยน  

            “น้องพลู เป็นอะไรไปล่ะคะ?” แทนดาวโผเข้ากอดมารดาซบหน้าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร

            “พลูคิดถึงพี่หมาก ทำไมพี่หมากไม่ไปส่งน้องพลูคะ” ลูกสาวคนเล็กน้ำไหลเป็นสายและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

            “พี่เค้าต้องไปทำงานแต่เช้า ไม่เอาน่า...ให้น้าตาลไปส่งก็ได้นี่ลูก แค่วันเดียวเอง” มารดาปลอบ ลูกสาวคนเล็กส่ายหน้าดิก

            “ไม่เอา! ถ้าวันนี้พี่หมากไม่ไปส่งล่ะก็ น้องพลูจะไม่ไปมหา’ลัยจริงๆด้วย” แล้วก็ผละจากมารดาวิ่งเข้าบ้านไปทันที

            เทียมภพกวาดงานทั้งหมดกองๆรวมกันไว้บนโต๊ะและรีบบึ่งรถกลับบ้านด้วยความรีบร้อน ตอนแรกก็ว่าจะไม่ใจอ่อน แต่เขาก็ทนใจแข็งต่อไปอีกไม่ได้เหมือนกัน ไอ้ความรู้สึกโกรธเคืองที่ค้างอยู่ตั้งแต่เมื่อวานหดหายไปอย่างไร้ตะกอนเมื่อเห็นน้องสาวยังคงนั่งร้องไห้กับคุณย่า

            “น้องพลู ทำไมไม่ไปเรียน” พอเห็นพี่ชายเดินหน้ายุ่งเข้ามา คนตัวเล็กก็รีบลุกพรวดพราดเข้าไปหา ถาโถมทั้งตัวกอดอีกฝ่ายแน่น

            “ฮือๆ พี่หมากใจร้าย...ใจร้ายที่สุดเลย ทำไมถึงไม่รอไปส่งพลูล่ะ” แทนที่จะหยุดร้องกลับคร่ำครวญและร้องหนักขึ้น

            “ก็บอกแล้วนี่ว่าพี่มีงาน อุตส่าห์ทิ้งงานกลับมานะเนี่ย ไปได้หรือยัง?” เทียมภพดันตัวน้องสาวออกห่าง ดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อมาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย

            “ก็น้องพลูอยากไปกับพี่หมากนี่นา ทุกทีก็ไปด้วยกัน”

            “เอาล่ะ...นิ่งได้แล้ว เอาเป็นว่าพี่จะไปส่งแต่ไปรับไม่ได้จริงๆ พี่ต้องไปโรงงานที่อยุธยา” แทนดาวได้ฟังก็ตั้งท่าจะงอแงขึ้นมาอีก

            “ก็อยากให้ไปรับด้วยนี่” คนตัวเล็กยังไม่พอใจ

            “อย่างอแงนักสิคะ ตอนนี้พี่ต้องทำงานแทนคุณพ่อ เหนื่อยเป็นสองเท่า….เรายังจะมากวนอีก” เขาจ้องตาน้องสาวอย่างขอความเห็นใจ

            “นะจ๊ะ...แล้วพี่จะรีบกลับมากินข้าวเย็นด้วย อยากกินขนมอะไรล่ะ? ไปแถวนั้นก็ต้องโรตีสายไหมสินะ” เขาพยายามเอาใจ พอน้องสาวพยักหน้าก็คลี่ยิ้มออกมาได้

            “งั้นก็ไปขึ้นรถ แป๋ม...ไปเอานมมากล่องนึง ได้ข่าวว่ากินข้าวเช้าไปนิดเดียว ทำไมถึงได้เอาแต่ใจอย่างนี้นะ” แม้ปากจะบ่นแต่สายตาก็ส่งแววห่วงใยอย่างไม่ปิดปัง มือหนาจัดผมยาวยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทาง แทนดาวคลายอาการสะอึกลงแล้วแต่ตายังบวมแดงจมูกแดงอยู่ เทียมภพเห็นแล้วก็นึกโกรธตัวเองที่ทำให้น้องต้องเสียใจขนาดนี้

พอพี่ชายไปส่งสมใจปรารถนาคนเอาแต่ใจก็ยิ้มร่าออกมาได้อีกครั้งแม้หน้าตาจะยังดูไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่เอาเถอะ....ก็ยังดีกว่าพี่หมากที่มีรอยเขียวอมม่วงที่ข้างแก้ม

            “แล้วเมื่อคืนนั้นพี่หมากออกไปไหนมาคะ น้องพลูนั่งรอจนเที่ยงคืน ทักไลน์ไปก็ไม่อ่าน” พอนึกเรื่องที่พี่ชายหายตัวไปไร้ร่องรอยเมื่อวานก็ตัดพ้อทันที

            “พี่ก็...ไปนั่งดื่มกับเพื่อน” คนตอบพยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดไม่ให้น้องสาวจับได้ว่าคืนที่ทะเลาะกันเขาไปหาสิตาเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนดี แต่กลับพบว่าสิตามิได้ช่วยให้ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจบรรเทาเบาบางลง การไปหาหล่อนมันก็เป็นเพียงแค่การได้ปลดปล่อยความตึงเครียดทางกายอันมิได้มีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งมากไปกว่านั้น เปรียบเทียบกับการตัดสินสินใจไปหารมณ์นลิน แม้เพียงได้แค่จุมพิตไม่กี่นาทีมันกลับทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นชื่นใจจนแทบจะลืมเลือนความคลั่งแค้นที่พี่ชายหล่อนก่อไว้ทั้งหมด จนถึงตอนนี้สัมผัสที่ได้ฝากประทับไว้ยังกรุ่นกลิ่นแห่งความโหยหาล้ำลึกที่บริสุทธิ์โดยปราศจากเสน่หาความใคร่ใดๆ

            “อิ่มมั้ยนั่นน่ะ?” เขาถามเมื่อจอดรถเทียบอยู่อยู่หน้าตึกเรียนของน้องสาว

            “เดี๋ยวน้องพลูไปหาอะไรกินกับเพื่อนๆอีกได้ อีกอย่าง...วันนี้น้องพลูเรียนแค่สองวิชา...เวลาที่เหลือ...ขอไปเดินเล่นที่ Terminal 21 กับเพื่อนได้มั้ยคะ?” แทนดาวมองพี่ชายอย่างมีความหวัง ยิ้มประจบเต็มที่ เทียมภพหันมายิ้มให้น้องสาวอย่างใจดี

            “อะไรกัน...เปิดเทอมวันแรกก็ขอไปเที่ยว” แม้ปากจะบ่นแต่คนเกิดก่อนก็เปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินให้สามพัน ต่อจากนั้นก็เป็นการเตือนให้ระวังตัวพร้อมกับสาธยายถึงอันตรายรอบด้านที่ชีวิตนี้แทนดาวได้แต่ภาวนาว่าผู้โชคร้ายคนนั้นอย่าได้เป็นหล่อนเลย

            “น้องพลูขอโทษเรื่องเมื่อวาน แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะออกไปกับ ‘เค้า’ น้องพลูสัญญาว่าจะไม่ทำให้พี่หมากเป็นห่วงแบบนี้อีก” แทนดาวบอกพี่ชายเสียงอ่อยขณะกระพุ่มมือไหว้แทบไหล่หนา

            “เอาเป็นว่าเรามาลืมเรื่องนี้ไปให้หมดดีกว่า วันนี้น้องพลูตั้งใจเรียนอย่างเดียวก็พอ แล้วก็อย่ากลับบ้านให้มันเย็นนักจะกลับก็โทรบอกน้าตาลให้ไปรับนะ อย่ากลับเอง มาคิส คิสกันก่อน” แล้วก็ดึงตัวน้องสาวมากอด หอมแก้มทั้งสองข้างอย่างรักใคร่ แทนดาวทำกลับแบบเดียวกันก่อนจะลงจากรถตรงไปยังที่นั่งประจำที่มีกลุ่มเพื่อนๆโบกมือรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มมองน้องสาวที่เดินกิ่งวิ่งไปยังกลุ่มเพื่อนๆแล้วก็ถอนหายใจ ในใจก็ได้แต่ครุ่นคิดว่าจะเก็บจะซ่อนหล่อนอย่างไรให้พ้นสายตาคู่อริอย่างชลธีได้

 

            ในที่สุดวันที่เทียมภพไม่อยากให้มีก็มาถึงจนได้ งานเลี้ยงเซ็นสัญญาจัดขึ้นตอนบ่ายแก่ๆในวันเสาร์ถัดมาภายในห้องบอลรูมที่ The Prestige Thara ซึ่งเวลานี้จะดูคับแคบไปเสียหน่อยเพราะนอกจากจะมีแขกผู้มีเกียรติทั้งไทยและเทศที่ได้รับเชิญมาเป็นสักขีพยานแล้ว ภายในงานยังคลาคล่ำไปด้วยสื่อมวลชนทั้งจากหนังสือพิมพ์ นิตยสารจำพวกอสังหาริมทรัพย์และพวกเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ทั้งยังมีสื่อบันเทิงอีกหลายสำนักที่ให้ความสนใจกับงานนี้ไม่น้อย สาเหตุที่บรรดาสื่อต่างก็ให้ความสนใจมาจากหนุ่มโสดแต่ไม่สดอย่างเทียมภพที่มักจะมีข่าวกับดาราสาวๆอยู่เนืองๆ ส่วนชลธีนั้นแม้จะไม่ค่อยชอบออกสื่อเท่าอีกคนหากด้วยความที่เขาเพิ่งเข้ามามีบทบาทในแวดวงที่อยู่อาศัยได้ไม่นานแต่สามารถผลักดันให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ในเครือธาราเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในกลุ่มที่พักอาศัย เช่น บ้านและคอนโดมีเนียมที่ตอบโจทย์ลูกค้าหนุ่มสาวสมัยใหม่วัยทำงาน เรียกได้ว่าถ้าไปลองค้นหาชื่อโรงแรมที่พักยอดนิยมในโซนกรุงเทพฯและปริมณฑล ก็ต้องมีชื่อธาราขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ

            คุณเที่ยงธรรมดูจะสดชื่นและแข็งแรงกว่าเดิมมากเป็นพิเศษ ตอนนี้ท่านสามารถเดินเหินโดยใช้ไม้เท้าพยุงได้แล้วไม่ต้องนั่งรถเข็ญอีกต่อไป มีภริยาคอยเดินประกบอย่างใกล้ชิด แทนดาวอยู่เคียงข้างพี่ชายไม่ห่างตามคำสั่งแกมบังคับเพราะวันนี้หล่อนอยู่ในชุดคอกเทลยาวสีชมพูนู้ด ท่อนบนเป็นผ้าซีทรูแขนกุดปักเลื่อมระยิบระยับเผยผิวผ่องตั้งแต่ลำคอระหงจนเห็นเนินอกน้อยๆ ส่วนด้วยหลังนั้นเปิดตลอดจนเกือบถึงเอว แม้จะไม่โล่งเสียทีเดียวเพราะมีผ้าซีทรูสีเนื้อเย็บเป็นตัวเสื้อไว้ แต่ก็ยังคงเห็นเนื้อหนังมังสาทั่วแผ่นหลังผ่านผ้าสีเนื้อโปร่งบางได้อยู่ดี ไหนดีเทลแหวกหน้าสูงโชว์ท่อนขาเรียวงามยามเยื้องย่าง ซึ่งกว่าเทียมภพจะยอมให้ออกจากบ้านได้ก็ต้องหมุนตัวดูอยู่หลายรอบ บ่นเป็นหมีกินผึ้งว่าน้องสาวแต่งตัวเปิดบนแหวกล่างเกินไป

             “นี่แอบไปซื้อกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่? คุณแม่ก็ยอมซื้อให้ด้วยเหรอเนี่ย เป็นผมล่ะไม่มีทางหรอก ดูซิ! ผ่าสูงจนจะถึงสะดืออยู่แล้ว แล้วทำไมผ้าข้างบนมันน้อยนักล่ะ ? นี่อยู่ใกล้ๆพี่ไว้เลยนะ ห้ามเดินคนเดียวเด็ดขาด ถึงงานนี้จะมีแต่พวกพ่อค้านักการเมืองระดับแนวหน้า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีพวกหัวงู ไอ้พวกนี้ล่ะตัวดี”

            “น้องพลูมากับพ่อหน่อยลูก ไปสวัสดีคุณลุงบรรลือชัยสักเดี๋ยว ป้างามตาเป็นคนทำคลอดหนูไง ไปให้ท่านเห็นหน้าหน่อยว่าหลานโตเป็นสาวแล้ว” พอคุณพ่อมาเรียกให้ไปไหว้แขกผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เทียมภพจึงยอมปล่อยตัวน้องสาวไป ไม่งั้นก็จะยังจูงมือพาเดินตามต้อยๆยั่วน้ำลายหนุ่มๆที่ได้แต่มองตามคอยรอจังหวะที่เจ้าหล่อนจะปราศจากผู้คุมอย่างพี่ชายจอมโหด

            “คุณชัย...นี่ไงลูกสาวคนเล็กของผม น้องใบพลู” คุณพ่อแนะนำให้รู้จักเพื่อนรุ่นเดียวกัน ท่านยังดูแข็งแรงและกระฉับกระเฉงกว่าคุณเที่ยงธรรมมาก

            “ต๊าย...ดูสิ ไม่น่าเชื่อนะคะว่าดิฉันทำคลอดแกมา” คุณป้างามตามองสาวน้อยตรงหน้าอย่างชื่นชมก่อนที่จะแนะนำชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆกันให้รู้จัก

            “นี่ลูกชายค่ะ หมออชิ...เป็นศัยลแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลประชาเวช” คุณหมอหนุ่มนามว่า

อชิตะ รัษฎาธรไหว้ทำความเคารพคุณเที่ยงธรรมก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆเลยมาที่แทนดาว

            “สวัสดีค่ะคุณหมออชิ” แทนดาวยกมือไหว้ตามมารยาทอย่างงดงามพร้อมกับเรียกชื่อคุณหมอหนุ่มตามมารดาของเขาซึ่งเรียกความรู้สึกเอ็นดูจากอีกฝ่ายได้ทันที

            “บ้านคุณชัยมีหมอสองคนแล้วสินะ ถ้าเกิดป่วยก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาลเลย” คุณเที่ยงธรรมกล่าว คุณบรรลือชัยหัวเราะเบาๆ

            “น้องใบพลูเรียกพี่อชิก็ได้ เกิดไม่สบายก็ไปหาพี่เค้าได้ตลอดเวลา” คุณบรรลือชัยพูดต่ออย่างอารมณ์ดี หญิงสาวเพียงแต่ยิ้มอ่อนหวานให้พลางสบตากับคุณหมอหนุ่มที่สวมแว่นกรอบสีดำ เพิ่งสังเกตว่าครอบครัวพี่หมออชิสวมแว่นกันทั้งบ้าน

            “น้องใบพลูเรียนอะไร ปีไหนแล้วครับ?” หมออชิตะชวนคุยเป็นครั้งแรกเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสี่ท่านแยกตัวไปคุยกันเอง

            “เรียนศิลปศาสตร์ค่ะ เทอมสุดท้ายแล้ว พี่อชิทำงานในโรงพยาบาล...เคยเจอผีมั่งมั้ยคะ? แล้วกลัวหรือเปล่า? ที่เขาว่าต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่ด้วย ไม่กลัวหรือคะ?” หมอหนุ่มฟังคำถามแล้วก็หัวเราะพรืดกับท่าทางสงสัยใคร่รู้จริงๆ ยิ่งรู้สึกเอ็นดูสาวน้อยคนนี้มากขึ้น แม้ทีแรกดูเผินๆแล้วออกจะเป็นคนขี้อาย แต่พอได้พูดคุยด้วยก็ต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หล่อนออกจะช่างพูดและไม่กลัวคน

            “คนเป็นๆน่ากลัวกว่าผีเยอะ แต่พี่ก็ไม่เคยเห็นสักที อยู่เวรดึกคนเดียวบ่อยๆก็ไม่มีอะไร มีแต่คนด้วยกันนี่แหละที่ชอบหลอก” หมอหนุ่มเล่าพลางมองดวงหน้าเกลี้ยงเกลาที่บรรจงแต่งแต้มไว้อย่างงดงามด้วยความประทับใจ บทสนทนาสัพเพเหระดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีใครมาขัดจังหวะ เนื่องจากพี่ชายจอมหวงอย่างเทียมภพต้องให้สัมภาษณ์นักข่าวที่มารุมล้อมอย่างกับฝูงแร้ง

 

            ชลธีพามารดากับกับรมณ์นลินมาร่วมงานด้วย เขาอยู่ในสูทสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาสีเหล็กยังคงเรียบเฉยแม้ยามตอบคำถามนักข่าวที่พวกนั้นพยายามยิงคำถามแรงๆอยู่ตลอด ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยใส่ใจผู้คนรอบข้างที่ล้วนให้ความสนใจ เปรมยุตาที่รับหน้าที่ออแกไนเซอร์คอยดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดภายในงาน หล่อนดูจะสวยขึ้นมากและมีน้ำนวลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำจนทำให้ปลายเดือนต้องแอบนึกอิจฉาที่อีกฝ่ายได้ทำงานอยู่ใกล้ชิดชลธี หากไม่ติดว่าต้องอยู่ช่วยพี่ชายให้สัมภาษณ์ก็จะรีบไปฉกตัวมาให้นักข่าวถ่ายรูปเอาไปลงข่าวซุบซิบเสียเลย

            “ชลมองหาใครอยู่เหรอคะ?” เปรมยุตาสะกิดถามเมื่อวังเกตเห็นว่าคอยสอดส่ายสายตาไปทั่วงาน

            “เปล่าหรอกครับ ผมแค่จะดูบรรยากาศทั่วๆไปในงาน ขอบคุณปรางมากนะที่ช่วยจัดงานนี้ ถือว่าเป็นงานใหญ่งานแรก เป็นไง...พอรับไหวมั้ยครับ?” ชลธีรีบบ่ายเบี่ยงไม่อยากให้รู้ว่ากำลังมองหาแทนดาวอยู่ แม่คนจอมสร้างปัญหาไปแอบหลบอยู่ไหนหนอ

            “สบายมากเลยค่ะ มีแบบนี้บ่อยๆสนุกดีค่ะ...ปรางชอบ เดี๋ยวก็ได้เวลาขึ้นเวทีแล้วนี่คะ ปรางว่าคุณไปรอแถวๆนั้นดีกว่า” ชายหนุ่มทำตาม แต่พอเดินอ้อมผ่านคัตเอาท์รูปโลโก้ของธารากับทวีกิจที่ตั้งไว้ตรงกลางห้องก็ต้องหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นคนที่กำลังมองหาคุยอย่างออกรสอยู่กับหนุ่มเนิร์ดแว่นหนา กะคร่าวๆน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรืออาจจะแก่กว่าสักหน่อย ผู้ชายคนนั้นกำลังหัวเราะกับสาวน้อยที่เขากำลังมองหาจนเกิดความรู้สึกแปลบปลาบในใจ พอจะสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆก็ต้องหยุดอีกเพราะเสียงเทียมภพเรียกใครบางคนดังอยู่ข้างหลัง

            “ปราง...คุณมายังไง?” เขาก้าวเท้ายาวๆเข้าไปหาพร้อมจับมือหล่อนมากุมอย่างลืมตัวท่ามกลางสายตาสอดรู้สอดเห็นของนักข่าวสายบันเทิงที่พร้อมใจกันยกกล้องถ่ายรูปและจดบันทึกข้อมูลกันยุกยิก

            “ปรางมากับเอ่อ...”

            “ฉันเอง” ชลธีเดินมาหยุดยืนข้างๆหญิงสาว เทียมภพมองตาค้าง

            “ปราง...มา...กับมันได้ไง?” เขาทำหน้ายักษ์ใส่อีกฝ่ายทันที

            “ตอนนี้ปรางมาทำงานกับชลแล้วค่ะ งานวันนี้...ปรางก็เป็นคนจัดเอง หมากชอบมั้ยคะ?” หล่อนตอบอึกอักเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนทั้งสองจ้องมองกันราวกับจะแผดเผาให้อีกฝ่ายกลายเป็นผุยผง

            “ทำไมปรางยังไปยุ่งกับมันอีก” เทียมภพไม่สนใจจะฟังเรื่องราวความเป็นมา สิ่งเดียวที่ทำคือกัดฟันถามสาวสวยข้างๆแต่ตาจับจ้องที่บุรุษหน้าคมตรงหน้า เลือดในกายเขากำลังเดือดปุดๆ

            “ปรางไม่จำเป็นต้องตอบแก” ชลธีตอบกลับเสียงเย็นพลางดึงมือเปรมยุตาออกจากอุ้งมือของคู่ปรับ

            “ปราง...ลืมแล้วเหรอว่ามันทำอะไรคุณ ทำไมถึง...”    เทียมภพยิ่งไม่เข้าใจ

            “คือ...ปราง” ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้วางมวยกัน พิธีกรก็ประกาศเรียกขึ้นเวทีเพื่อทำการลงนาม หนุ่มโสดบวกโหดทั้งสองจึงต้องสงบศึกกันชั่วคราว เดินแยกทางกันขึ้นเวทีคนละฝั่ง เกิดเสียงปรบมือผสมผสานแสงแฟลชวูบวาบจากช่างภาพสื่อแขนงต่างๆ พิธีกรอ่านรายงานทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษจบแล้วทั้งคู่จึงลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญา พอถึงตอนแลกเอกสารและต้องจับมือกัน ช่างภาพต่างแย่งกันถ่ายรูปจนเกิดแสงแฟลชคล้ายฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วห้อง เทียมภพบีบมืออีกฝ่ายเสียแน่น ยิ้มร้ายก่อนเอียงหน้าไปกระซิบข้างหู

            “ฉันจะพูดดีๆเป็นครั้งสุดท้าย อะไรๆที่แกคิดจะทำให้ล้มเลิกซะ ไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่ๆ” ชลธียิ้มเย็นก่อนพูดลอดไรฟันออกมา

            “ฉันก็จะบอกแกเหมือนกันว่า อะไรๆที่ฉันตั้งใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องใช้เล่ห์หรือกลอะไรก็ตาม” อีกฝ่ายตอบกลับอย่างไม่หวาดหวั่น

            “นี่แก...” เสียงปรบมือดังก้องขึ้นในที่สุด เป็นอันว่าชลธี ธาราพิศุทธิ์ ได้มาเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารรวมทั้งอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของทวีกิจ ซึ่งเขาจะได้นั่งเก้าอี้ในตำแหน่งประธานกรรมการใหญ่ ขณะที่เทียมภพรู้สึกอึดอัดออกไปทางใจหาย รู้สึกเจ็บเสียดในอกและโกรธขึ้งตัวเองที่ไม่อาจประคับประคองกิจการของครอบครัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง สิ่งที่บรรพบุรุษลงทุนลงแรงสร้างมาอย่างยากลำบากแทบเกือบจะทั้งชีวิตต้องเปลี่ยนมือไปเป็นของศัตรูในเวลาไม่กี่นาที แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี

 

            หลังจากคณะผู้บริหารทั้งหมดขึ้นเวทีเพื่อถ่ายรูปหมู่เสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็ลงจากเวทีแล้วก็แยกไปคนละทิศละทางโดยไม่ไยดี ยิ่งเทียมภพนั้นเตรียมจะเดินดุ่มๆไปตามหาน้องสาวเพื่อพากลับบ้านด้วยคิดว่าตนหมดหน้าที่ตรงนี้แล้ว หากแต่เสียงบิดาบนเวทีทำให้เขาสะดุดกึกหยุดอยู่กับที่

            “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ วันนี้นอกจากจะมีข่าวดีที่ทวีกิจไพศาลกับกับธาราพิศุทธิ์ได้ผูกมิตรกันแล้ว ก่อนที่ผมจะประกาศข่าวดีเรื่องที่สอง ผมขอเรียนกับทุกท่านว่า ผม...เที่ยงธรรม ทวีกิจไพศาล ขอเกษียณตัวเองจากการเป็นประธานบริหารของทวีกิจ เนื่องจาก...อย่างที่ทุกท่านเห็น ผมเองไม่ค่อยแข็งแรงนัก อยากจะพักผ่อนใช้ชีวิตที่เหลือเที่ยวเตร่ตามประสาหนุ่มน้อยลงไปทุกที....” คุณเที่ยงธรรมหยุดนิดหนึ่งเมื่อมีเสียงหัวเราะจากผู้ฟังแทรกเข้ามา

           “อีกอย่าง...ผมสบายใจแล้วว่าตอนนี้มีคนเก่งมากไปด้วยความสามารถอย่างเทียมภพลูกชายผมกับคุณชลธีมาช่วยดูแลบ้านของเรา ผมมั่นใจว่าทวีกิจจะเจริญก้าวหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง ชื่อของเราจะเป็นที่รู้จักไม่เฉพาะแค่เพียงในเอเชีย...” มีเสียงอื้ออึงเกิดขึ้นทั่วบริเวณ ต่างแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆนานาเรื่องที่หัวเรือใหญ่อย่างคุณเที่ยงธรรมประกาศสละตำแหน่ง ตลอดเวลาเกือบสี่สิบปีที่ผ่านมานับได้ว่าท่านนั้นเป็นที่เคารพนับถือของทั้งพนักงานและเป็นต้นแบบให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ๆทุกแวดวงเนื่องจากท่านมีความสามารถเป็นเลิศทั้งในด้านการทำงานและหลักการปกครองพนักงานเสมือนพ่อกับลูกที่ถอดแบบมาจากคุณกอบกิจผู้เป็นบิดา

            “ผมเองก็ตริตรองมานานแล้วว่าควรจะหยุดพักผ่อนเสียที ยิ่งมาป่วยคราวนี้ด้วยแล้ว เลยถือโอกาสนี้แจ้งกับทุกๆท่าน อย่างไรก็แล้วแต่...ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนกันมาตลอด และขอฝากทวีกิจรุ่นที่สามด้วยครับ” เสียงปรบมือดังก้องอีกครั้ง นักข่าวรีบจดบันทึกข่าวใหม่กันมือเป็นระวิง พนักงานของทวีกิจบางคนถึงกับหลั่งน้ำตา ปลายเดือนยิ้มค้างเมื่อนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆยื่นไมค์จ่อปาก

            “คุณปลายเดือนคิดว่าที่คุณเที่ยงธรรมลาออกนี้เป็นเพราะทวีกิจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองจนทำให้ท่านล้มป่วยจริงหรือไม่?” นักข่าวยิงคำถามรัวแต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรคุณเที่ยงธรรมพูดต่อ

            “ส่วนข่าวดีเรื่องที่สองที่ขอใช้โอกาสอันดีนี้แจ้งทุกท่านคือ คุณชลธี ธาราพิศุทธิ์ กับลูกสาวผม...แทนดาว ทวีกิจไพศาล จะเข้าพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ครับ ถ้าหาฤกษ์ยามได้แล้ว...ผมจะเรียนเชิญทุกท่านมาร่วมเป็นเกียรติแสดงความยินดีอีกครั้ง” คราวนี้เสียงอื้ออึงดังขึ้นกว่าเมื่อครู่หลายเท่า หนุ่มโสดกับสาวโสดหลายคนถึงกับบ่นเสียดายไปตามๆกัน ส่วนคนที่อาการหนักกว่าใครเห็นจะเป็นสาวน้อยในชุดสีนู้ดที่ยืนหลบอยู่แถวๆซุ้มอาหาร จานที่ตุนของกินไว้จนล้นหล่นเรี่ยราดอยู่แทบเท้า ไม่รวมแก้วน้ำส้มที่ตกแตกกระจายจนเปื้อนชายกระโปรงตัวสวย แทนดาวยืนตัวแข็งทื่อเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ในหัวก้องไปด้วยคำพูดของคุณพ่อที่ว่า ‘หมั้น’

          ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก เทียมภพถือแก้วไวน์ค้างเติ่ง มือหนาสั่นระริก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับมีสายฟ้าผ่าฟาดลงมาตรงหน้า ก้าวเท้าไม่ออก พูดไม่ออกและคิดอะไรไม่ออกเลย ประโยคเสียดแทงหัวใจที่ชลธีบอกเขาตอนอยู่บนเวทีดังก้องในความอื้ออึงของเสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลง

            “อะไรๆที่ฉันตั้งใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องใช้เล่ห์หรือกลอะไรก็ตาม”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา