ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  38.41K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) ตอนที่ 13 จุดเปลี่ยน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เปรมยุตา...ชลธีมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดแน่
“ขอโทษที่ไม่ได้โทรบอกล่วงหน้านะคะ พอดีปรางผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาทักทาย เห็นพนักงานบอกว่าคุณจะมีประชุมตอนบ่าย” หล่อนทักทายอย่างสดใส เขาสังเกตว่าอีกฝ่ายดูมีชีวิตชีวาขึ้นเป็นกองกว่าตอนพบกันที่ออสเตรเลีย เขาสัญญาว่าถ้ากลับมาแล้วจะติดต่อไป แต่พอเจองานยุ่งเหยิงก็ลืมไปเสีย
“แล้วปรางมานานหรือยัง ไปดื่มกาแฟกันก่อนมั้ย?” เปรมยุตาตกลง เขาพาหล่อนไปนั่งคุยต่อในเล้าจ์          
“วันนี้ไม่ทำงานเหรอ?” เขาถามพลางจิบกาแฟดำ
“ปรางเสร็จงานของวันนี้แล้วล่ะค่ะถึงแวะมาหาคุณได้ไง ความจริงก็เบื่อๆเหมือนกันนะ งานตลาดนี่ปวดหัวจริงๆ” ใบหน้าหวานแสดงอาการเหนื่อยหน่ายตามที่บรรยายไว้ ชลธีนิ่งคิดอยู่สักพักก่อนจะถามอย่างจริงจัง
“ปรางครับ...ถ้าไม่ติดอะไร มาทำงานกับผมมั้ย? ถ้าคุณเบื่องานเดิม” เขาชวน เปรมยุตามองสนใจขึ้นมาทันที งานที่ทำประจำอยู่ก็มั่นคงและเป็นบริษัทใหญ่โตมีชื่อเสียง แต่การที่จะมาทำงานกับคน ‘เคย’ รักนั้นน่าสนใจมากกว่า บางที...อะไรๆมันอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ง่ายดายขึ้น
“ปรางขอคิดดูก่อนนะคะชล” หล่อนตอบอย่างไว้เชิง
“ถ้าตกลง...ปรางพร้อมเมื่อไหร่บอกผมได้เลย คนมีความสามารถอย่างคุณ ใครๆก็อยากได้มาร่วมงานอยู่แล้ว” ชลธีบอกอย่างจริงใจ เปรมยุตาเป็นคนตั้งใจทำงานถ้าหล่อนอยากมาทำงานกับเขาก็ไม่มีปัญหา
 “ถ้างั้นผมไปทำงานต่อนะ ประชุมทางไกลประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ปรางจะรอมั้ยล่ะ? เสร็จแล้วจะได้ไปทานข้าวกัน” เปรมยุตายิ้มดีใจเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยชวนและตอบตกลงทันที
“ไม่ต้องรีบนะคะชล ปรางรอได้...” ชายหนุ่มสะดุดหูกับประโยคสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากฉาบสีชมพูอมส้มนั่น หล่อนเคยบอกเขาแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว
 
“ปรางจ๋า...ผมรักคุณเหลือเกิน รออีกนิดนะ...คุณรอผมได้มั้ย?”
“ค่ะ...ปรางจะรอคุณ”
 เขา รีบไล่ภาพอดีตนี้ออกไปก่อนจะไปยังห้องประชุม เปรมยุตาเอนหลังพิงโซฟานุ่มพลางหลับตาลงอย่างใช้ความคิด ไม่คิดว่าตนกับชลธีจะมีวันนี้ได้อีก วันที่ได้มาคุยกันอีกครั้งทั้งๆที่เมื่อแปดปีก่อนได้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ระหว่างทั้งคู่จนคิดว่าคงไม่อาจมีวันได้มิตรภาพดีๆกลับคืนมาเสียแล้ว  เปรมยุตาคิดทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้นที่เป็นชนวนให้ตนเองตัดสินใจไปจากเขา คนที่เคยรัก...สุดหัวใจ
“ชลคะ...เอ่อ...เค้าไม่อยู่กับเราแล้วนะ”
“ปราง...ทำไมล่ะปราง ทำไมทำแบบนี้!” ชลธีจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่เมื่อก่อนนี้เคยมองเขาด้วยแววตารักลึกซึ้งอยู่เสมอ บัดนี้ฉายชัดเพียงความร้าวรานใจ กระทั่งตัวเขาเองยังมิอาจห้ามน้ำตาได้ เป็นครั้งแรกที่เปรมยุตาได้เห็น ‘น้ำตาลูกผู้ชาย’ 
“ทำไมปรางไม่เชื่อใจผม...ว่ารับผิดชอบคุณได้ ทำไมไม่รอผม!” เขาเขย่าตัวหล่อนจนหัวสั่นหัวคลอน ความโกรธวูบหนึ่งแล่นเข้ามา  
“ปรางขอโทษนะ...แต่มันจำเป็น เราสองคนยังไม่พร้อม ปรางยังมีอนาคตอีกไกล ขอให้ชลเข้าใจปรางด้วย” หล่อนตอบด้วยเสียงอันสั่นเครือเช่นกัน ชลธีรู้สึกปวดใจไม่อาจจะบรรยายได้ ทั้งเสียใจทั้งผิดหวัง ไม่คิดว่าหญิงสาวที่แสนจะมีจิตใจอ่อนโยนและงดงามอย่างเปรมยุตาจะกล้าทำในสิ่งที่เรียกว่าเป็น ‘บาป’ มหันต์
 
วันรุ่งขึ้น...
แทนดาวอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะไปข้างนอกกับมารดา ขณะที่กำลังหยิบของส่วนตัวใส่กระเป๋าถือ พี่สาวก็เดินนวยนาดเข้ามา แทนดาวเมินหน้าหนีเสียเพราะยังเคืองพี่สาวไม่หายที่เมื่อวานทิ้งตนเองไว้กับ รุ่นพี่ตามลำพัง 
“อ้าวเจ๊...ทำไมยังไม่ไปทำงานอีกล่ะ” น้องสาวทักห้วนๆ สรรพนามที่ใช้เรียกชวนให้คนฟังไม่พอใจ
               “ยัยพลู! อย่าเพิ่งมากวนใจกันตอนนี้ ฉันมีเรื่องจะถามเธอ เมื่อวาน...ทำไมถึงกลับมาเร็วล่ะ? ฉันนึกว่าคุณเวจะพาไปดูหนังฟังเพลงต่อซะอีก” ปลายเดือนทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงแต่ตายังจับจ้องน้องสาวแบบว่าจะเอาเรื่องให้ได้
               “พี่เวก็ชวนอยู่ แต่พลูขอกลับเพราะบอกคุณแม่ว่าจะกลับประมาณบ่ายสาม” แทนดาวตอบเรื่อยๆ ปลายเดือนคว้าตุ๊กตาจิงโจ้กับหมีโคอาล่าบนเตียงมาพิจารณาดู
                “พี่ผึ้งยังมีความผิดที่ปล่อยปละละเลยหน้าที่ คุณย่าบอกให้อยู่เป็นเพื่อนก็มาทิ้งไป เกือบซวยเรื่องที่อยู่กับพี่เวอีก!” แทนดาวต่อว่าพี่สาวแต่คนเกิดก่อนเพียงแค่ยักไหล่ราวกับมันมิใช่ธุระสำคัญอะไร
                “เอ๊ะ!...ก็บอกอยู่ว่ามีงานเข้ามา แล้วจะให้ฉันทำยังไง? ถ้าเสียงานพี่หมากก็ต้องมาตำหนิฉันอีก แทนที่จะสำนึก จำใส่สมองไว้นะ...เงินเดือนหรือแม้แต่ปันผลที่เธอได้เก็บกินจนทุกวันนี้ฉันก็มีส่วนหามันมา รู้จักซะบ้างนะ...บุญคุณน่ะ” ปลายเดือนขึ้นเสียงแล้วได้โอกาสลำเลิกบุญคุณ
                “ไม่จริง! พี่หมากต่างหากที่ให้เงินเดือนพลู แล้วเงินปันผลก็เป็นส่วนที่คุณพ่อแบ่งให้อย่างถูกต้อง” น้องสาวขึ้นเสียงเถียงกลับ ปลายเดือนเงียบไม่นึกว่าน้องสาวจะรู้เรื่องอะไรแบบนี้
“น่ารักดีนี่ แหม...คุณชลนี่ช่างเป็น ‘พี่ชาย’ ที่แสนดีจริงๆ เธอว่ามั้ย?” หล่อนเสเปลี่ยนเรื่องเสีย
               “แล้วไงล่ะ? แผนการจับเค้าน่ะไปถึงไหนแล้ว?”
               “ฉันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องออกแรงจับเค้า คุณชลเค้ารู้ดีหรอกว่าผู้หญิงแบบไหนคู่ควรที่จะเดินเคียงข้าง เป็นเพื่อนคู่คิดได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว” ปลายเดือนพูดเยาะๆ ใช่สิ...ที่พูดมาทั้งหมดนี่ไม่มีในตัวน้องสาวสักอย่าง
               “นั่นสิคะ...พลูก็มั่นใจว่าผู้หญิงคุณบัติครบคนนั้นไม่ใช่พี่ผึ้งแน่ๆ” แทนดาวย้อน พี่สาวรีบปราดมายืนตรงหน้าคนพูดแล้วเงื้อมือตบหน้าน้องสาวด้วยความโมโหชั่ววูบ แทนดาวทรุดนั่งลงบนเตียง ยกมือข้างหนึ่งกุมแก้มด้วยความเจ็บชาและเสียใจ
                “ต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้เลยเหรอ! แค่ผู้ชายคนเดียว...ทั้งที่พลูเป็นน้องแท้ๆ” แทนดาวตัดพ้อต่อว่าพี่สาวด้วยความน้อยใจ ปลายเดือนรู้สึกตัวก็ตกใจและเสียใจเหมือนกันแต่ไม่รู้จะแก้สถานการณ์อย่างไร
                “ถึง ยังก็ตาม...ในฐานะที่ฉันเป็นพี่ก็จะขอบอกกันตรงนี้ คุณชลเค้าไม่มีวันจะมองเธอเกินไปกว่าน้องสาว ผู้หญิงที่เค้าเลือกจะต้องมีความพร้อมทุกๆด้าน รับผิดชอบตัวเองได้ มีความเป็นผู้ใหญ่ ทำงานเก่งทั้งในและนอกบ้าน เป็นที่ปรึกษาได้ทุกเรื่อง แต่เธอไม่มีอะไรสักอย่าง แล้วที่เค้าซื้อของพวกนี้มาให้...ก็ไม่ได้ความว่าจะมาติดอกติดใจตัว อย่าฝันเฟื่องล่ะ” ปลายเดือนพูดอย่างมั่นใจเต็มที่ว่าตนเองมีคุณสมบัติครบทุกอย่างที่ว่ามา
               “พลูกับคุณชลน่ะเพิ่งจะรู้จักกันเองนะคะ เห็นหน้ากันแทบจะนับครั้งได้ พี่ผึ้งน่ะชอบมโนเองแล้วก็มาแขวะกับพลูอยู่เรื่อย” คนตัวเล็กเดินไปส่องกระจกดูหน้าที่โดนตบหมาดๆ
               “ให้มันจริงเถอะ เพราะถ้าเกิดวันนึงมันไม่ได้เป็นแบบที่เธอพูดขึ้นมา ก็จงรับรู้ไว้แต่เนิ่นๆว่ามันไม่ง่าย” พี่สาวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว แทนดาวยังงงกับคำพูดร้อนแรงนั้นไม่จาง ซีกแก้มข้างนั้นยังคงชาจากแรงมือของพี่สาว พยายามมองหาหนทางว่าระหว่างตนกับชลธีจะมีทางเป็นอย่างที่พี่สาวคิดอย่างไร ได้ หล่อนยังเด็กเกินไปที่ชลธีจะมา ‘คิด’ อะไรๆด้วยซ้ำ
                “คุณน้องพลู! ออกมาเร้ว! เร็วๆค่า...” เสียงพี่เลี้ยงคนสนิทตะโกนเรียกดังมาจากชั้นล่าง แทนดาวกวาดข้าวของทั้งหมดกองรวมกันไว้อย่างเดิมแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้อง
               “อะไรกันแป๋ม ตะโกนลั่นบ้านเลย”
               “คุณพ่อไม่สบายตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”
               “อะไรนะ!”  แทนดาวไม่รอช้า รีบวิ่งไปหามารดาทันที
                ครอบครัวทวีกิจไพศาลนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วยความวิตก คุณดวงทิพย์ที่ร้องไห้จนเป็นลมและฟื้นขึ้นมาแล้วก็อยู่ในการปลอบโยนของลูกสาว เทียมภพเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ ไม่คิดว่าคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอย่างบิดาจะเกิดเป็นอะไรปุบปับขึ้นมาได้ นี่ถ้าเขาไปช้าอีกนิดเดียวคงจะแย่กว่านี้ ภาพบิดาที่นอนฟุบหน้ากับโต๊ะทำงานก่อนหน้านี้ยังติดตาอยู่
               “อาแท้...บอกผมได้มั้ยว่าก่อนหน้านี้คุณพ่อไปทำอะไรมา?” เขาถามผู้เป็นอาเสียงเครียด
               “เมื่อเช้า ‘พวกนั้น’ มาหาแก แต่แกไม่ยอมให้อาเข้าไปด้วย สักพักก็ได้ยินเสียงดังโวยวายเหมือนเถียงกันอยู่ คิดว่า...น่าจะมาคุยเรื่องถอนหุ้น” ผู้เป็นอาเล่าเสียงเครียดไม่แพ้กัน
               “ถอนหุ้น...อะไรกันวะ! ทำไมไอ้พวกนี้มันถึงใจเสาะกันนัก รออีกนิดเดียวทวีกิจก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว โธ่โว้ย!” เทียมภพสบถออกมาดังๆ ความเครียดขึงก่อตัวเพิ่มทวีขึ้นจนแทบระเบิด นี่เองที่เป็นสาเหตุทำให้บิดาเครียดสะสมจนถึงขั้นเส้นเลือดในสมองแตก
               “อาว่าจะคุยเรื่องนี้กับหมาก มากับอาสักครู่เถอะ” ผู้เป็นอาเดินนำหลานชายออกนอกตึก พวกที่เหลือมองตามไปด้วยความกังวล ทั้งเป็นห่วงคนที่อยู่ในห้องผ่าตัดทั้งวิตกกับปัญหาใหม่ที่เพิ่งได้รับรู้กันเป็นครั้งแรก
               “คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่หมากกับอาแท้จะต้องแก้ปัญหานี้ได้ค่ะ” แทนดาวกอดมารดาที่ยังอยู่ในอาการตกใจไว้แน่นทั้งที่ใจก็คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา อีกสามชั่วโมงต่อมาแพทย์ก็อนุญาตให้เข้าเยี่ยม แทนดาวถึงกับน้ำตาไหลพอเห็นบิดาที่นอนหลับสนิทไม่ได้สติอยู่บนเตียง มีสายยางต่างๆห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด
               “โชคที่ดีมาเร็ว ไม่งั้นอาการจะแย่กว่านี้นะครับ” คุณหมอเจ้าของไข้บอก “ช่วงนี้ต้องให้คนไข้พักผ่อนมากๆ ทางที่ดีให้หยุดงานพักผ่อนอยู่กับบ้านจะดีที่สุด อย่าให้มีเรื่องเครียดหนักๆอีกเพราะอาจทำให้อาการกำเริบได้” คุณหมอให้คำแนะนำ  คุณเที่ยงธรรมต้องอยู่ในห้องไอซียูจนกว่าจะแน่ใจว่าอาการดีขึ้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ออกไปพักฟื้นในห้องธรรมดาได้
              “ผมจะรักษาการแทนพ่อไปก่อน คงต้องรบกวนอาแท้แบ่งงานของท่านไปบางส่วน แล้วให้สีผึ้งขึ้นมาบริหารการตลาดโซนเอเชียแทนผมทั้งหมด” เทียมภพบอกกับทุกคนขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็นกันในโรงพยาบาล
                “ถ้างั้นทานข้าวเสร็จผึ้งจะกลับไปดูแลที่ออฟฟิศ มีเอกสารสำคัญสองสามรายการที่ลุงธรรมต้องพิจารณาเซ็นค้างอยู่ ผึ้งจะอ่านแล้วสรุปมาให้พี่หมากนะคะ”  ปลายเดือนอาสากลับไปจัดการงานที่ยังคั่งค้างให้ เทียมภพจับบ่าน้องสาวคนรองเป็นเชิงขอบใจ
               “แล้วเรื่องนั้นล่ะหมาก?” ผู้เป็นอาถามถึงเรื่องที่ได้คุยกับหลานชายเป็นการส่วนตัว
               “ผมขอคิดดูก่อน ถ้ามันไม่มีทางออกจริงๆ...ผมจะทำตามที่อาแท้บอก” เขาพูดเหนื่อยๆก่อนรวบช้อนทั้งที่รับประทานไปได้ไม่ถึงครึ่งจาน คนอื่นๆพากันอิ่มตามไปด้วยเพราะนานทีปีหนหรือแทบจะไม่มีเลยที่จะได้เห็นท่า ทางเคร่งเครียดของทายาทคนโต หนุ่มเจ้าสำราญที่ดูจะไม่น่ามีเรื่องให้ต้องกลัดกลุ้มกังวล แต่ตอนนี้เทียมภพกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก อาแท้แนะนำให้ขายหุ้นไปบางส่วน แต่เขาไม่ต้องการให้กิจการของครอบครัวต้องตกไปอยู่ในมือของคนนอกกว่าครึ่ง หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไปเป็นของคู่อริที่ชาตินี้ก็ไม่สามารถมีวันที่จะ ญาติดีกันได้
 
                 สมาชิกที่เหลือกลับถึงบ้านตอนสี่ทุ่ม แทนดาวไปนอนเป็นเพื่อนคุณแม่ส่วนเทียมภพยังคงนั่งใช้ความคิดอยู่นอกบ้าน บุหรี่ต่างประเทศมวนแล้วมวนเล่าถูกเผาไปเป็นกองจนแทบล้นที่เขี่ย มันช่างยากเหลือเกินที่จะตัดสินใจ ถ้าไม่ติดว่าบิดาได้ฝากอนาคตของทวีกิจไว้กับตนล่ะก็...คงไม่ต้องมากังวล ทุกข์ใจแบบนี้ ถ้าจนตรอกจริงๆคงจะขายเซ้งให้นายทุนกระเป๋าหนักสักคน ย่อมดีกว่ายอมให้ไอ้คนพรรค์นั้นให้เข้ามาเดินป้วนเปี้ยนในบ้าน!
               “พี่หมาก...ยังไม่นอนอีก” เขาขยี้มวนยาสูบกับที่เขี่ยพอเห็นน้องสาวเดินมา พยายามฝืนยิ้มให้เช่นเคยแต่คนเกิดทีหลังรับรู้ได้ว่าพี่ชายคงเครียดมาก รู้สึกสงสารคนเกิดก่อนขึ้นมาจับใจ พี่ชายเป็นคนที่รักครอบครัวมาก มากจนยินดีที่จะเก็บปัญหาต่างๆเอาไว้คนเดียว
               “เราล่ะ...ทำไมยังไม่นอน แม่ล่ะเป็นไงบ้าง?” เทียมภพโอบบ่าน้องสาวเอาไว้หลวมๆขณะที่คนตัวเล็กนั่งซบไหล่อยู่ข้างๆ แทนดาวกอดเอวหนานั้นไว้อย่างต้องการแบ่งเบาความทุกข์ใจ
                “หลับแล้วล่ะค่ะ น้องพลูเป็นห่วงคุณพ่อจัง คุณพ่อจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”
               “จ้ะ...ไม่นานคุณพ่อก็จะหาย” เขาปลอบน้องสาว
               “คุณพ่อมาป่วยแบบนี้ทำให้คิดได้ว่าน้องพลูยังไม่เคยทำตัวเป็นลูกที่ดีเลย จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมไปฝึกทำงาน ยังดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ” แทนดาวบ่นตัวเอง
               “ไม่ เอาน่า...รู้มั้ย แค่หนูเกิดมาก็เป็นลูกคุณพ่อ เป็นน้องพี่ ก็เป็นเรื่องประเสริฐแค่ไหนแล้ว ตอนนี้น้องพลูต้องช่วยดูแลคุณพ่อเพราะพี่ต้องทำงานแทนท่านทั้งหมด” แทนดาวพยักหน้ารับ คิดอยู่ว่าถ้าบ้านนี้ขาดพี่หมากไปสักคนจะเป็นอย่างไร
               “รีบไปนอน พรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาลอีก” เทียมภพบอกน้องสาว แทนดาวส่ายหน้าแล้วขืนตัวออกจากอ้อมอกอบอุ่นนั้น ใช้มือเล็กๆทั้งทั้งสองนวดขมับให้พี่ชายอย่างเอาใจ
               “น้องพลูรู้ว่าพี่หมากเหนื่อยมาก น้องพลูจะนวดให้นะคะ” เทียมภพหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย ความตึงเครียดในหัวค่อยๆบรรเทาเบาบางลงเมื่อซึมซับความรู้สึกอุ่นๆจากมือน้อยๆที่บรรจงบีบขมับให้คลายความอ่อนล้า มันทำให้ต้องคิดถึงอนาคตไกลๆ น้องสาวของเขาจะต้องมีอนาคตที่มั่นคง หากวันใดหนึ่งที่ไม่มีเขาแล้ว แทนดาวจะต้องมีหลักประกันในชีวิตมากพอ เขาจะต้องตัดทิฐิต่างๆออกให้หมด ยอมลดอคติและความไม่ไว้วางใจเพื่อทำให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไป ถึงแม้ชลธีจะไม่เคยดีในสายตาตนเอง แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าทวีกิจจะยังคงอยู่
                 วัน รุ่งขึ้นเทียมภพไปส่งมารดากับน้องสาวที่โรงพยาบาลแต่เช้า ข่าวการป่วยของบิดาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เช้านี้เลยมีดอกไม้กับของเยี่ยมไข้ส่งมาจำนวนมาก เขามองของพวกนั้นด้วยความรู้สึกที่แบ่งเป็นสองฝ่าย ด้านดีก็ขอบคุณที่ยังห่วงใยบิดา ส่วนด้านมืดก็สะอิดสะเอียนกับความหน้าไหว้หลังหลอกของคนในวงการเดียวกัน บางคนส่งข้าวของมาบังหน้าแต่ใจจริงคงจะสมน้ำหน้าหรืออาจกำลังแช่งชักหัก กระดูกให้บิดามีอาการแย่ลงกว่าเดิม มันคือสัจธรรมของวงการค้าๆขายๆ การขัดขากันนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
               “ผมต้องรีบไปก่อนนะครับ ต้องเรียกประชุมผู้จัดการทุกแผนกแต่เช้า สายๆก็ต้องไปพบรัฐมนตรีคลังแทนคุณพ่อ” เทียมภพบอกมารดากับน้องสาว
               “วันนี้เรามีเรียนเปียโนไม่ใช่เหรอ น้าตาลไปส่งพี่กับอาแท้เสร็จจะให้กลับมารับ พี่คงจะมาได้อีกทีตอนเย็นเลย” แทนดาวพยักหน้ารับ
               “ไปกันเถอะหมาก วันนี้มีเรื่องสำคัญหลายเรื่องต้องแจ้งพนักงาน” คุณเที่ยงแท้เรียกหลานชายก่อนจะพากันพากันเดินออกไป ที่เหลือมองตามและพอจะเดาได้ว่าสองอาหลานนั้นมีเรื่องเครียดๆที่ต้องปรึกษากันต่อ
                แทนดาวได้เข้าไปเยี่ยมคุณพ่อ หน้าตาท่านมีสีเลือดมากขึ้นกว่าเมื่อวานทำให้ทุกคนใจชื้นและมีหวังว่าจะฟื้น จากอาการป่วยได้เร็ว พอสายหน่อยคุณหลีกับสามีและลูกชายคนที่สามกับสี่ที่ช่วยกันหอบหิ้วตะกร้าผล ไม้และของบำรุงสารพัดมาเยี่ยม ทั้งหมดต่างก็ให้กำลังใจครอบครัวทวีกิจอย่างดี คุณธงกับคุณหลีสองสามีภรรยาผู้มากน้ำใจได้ส่งรถตู้พร้อมลูกน้องมาคอยขับรถ บริการรับส่งระหว่างที่คุณเที่ยงธรรมต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะ เห็นว่าคนอื่นๆมีงานยุ่งที่ต้องรับผิดชอบเหลือแต่เด็กกับคนแก่อยู่บ้าน
ปลายเดือนมาถึงตอนใกล้เที่ยง วันนี้หล่อนแต่งตัวทะมัดทะแมงกว่าทุกวัน สวมกางเกงยีนส์เข้ารูปกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวและสวมรองเท้าผ้าใบ หน้าตายังคงดูอิดโรยเพราะว่านอนน้อย
                “สวัสดีค่ะ ม๊าหลี ป๊าธง เฮียเบ้ง...เฮียบุ้ง” หล่อนทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
                “น้องผึ้งกินอะไรมาหรือยัง?” บุรินทร์ถามทันทีด้วยความห่วงใย
                “ขับรถไปกินไปจ้ะ....มาถึงนี่ก็อิ่มพอดี” น้ำเสียงฟังดูห่างเหินจนคนถามใจแป้ว
“เมื่อเช้าไปโรงงานที่อยุธยาแทนพี่หมาก เดี๋ยวบ่ายก็ต้องเข้าออฟฟิศเอาเชคไปให้ฝ่ายบัญชี อ้อ...ผึ้งฝากบอกแม่ด้วยนะคะป้าทิพย์...ว่าวันนี้กลับดึก ตอนค่ำต้องไปงานแต่งลูกชายเจ้าสัวธำรง  เพิ่งจะเห็นการ์ดเชิญในห้องลุงธรรมวันนี้ ไม่รู้พี่หมากแกจะว่างไปด้วยกันมั้ย?”  หญิงสาวบอกเพลียๆ แทนดาวนับถือน้ำใจพี่สาวก็ตรงนี้ เมื่อวานพอเกิดเรื่องก็ขันอาสาดูแลความเรียบร้อยและเคลียร์งานต่างๆ กว่าจะได้กลับบ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว พอตีสี่ก็ต้องรีบตื่นไปอยุธยา ถ้าจะถามว่ามีใครที่รักทวีกิจรองลงไปจากคุณเที่ยงธรรมก็ต้องบอกว่าปลายเดือนคนนี้เอง
                “ป้าทิพย์พาป๊าธงกับม๊าหลีไปทานข้าวเถอะค่ะ ผึ้งเฝ้าทางนี้เอง” หล่อนบอกป้าสะใภ้ก่อนหันมาทางน้องสาว
               “ยัยพลูก็ไปกินข้าวซะ เอ้านี่...ขนม” แทนดาวรับถุงขนมมาจากพี่สาวซึ่งล้วนเป็นของโปรดตัวเองทั้งนั้น อดที่จะซาบซึ้งใจไม่ได้แม้เพิ่งจะมีเรื่องทะเลาะกันแต่ในที่สุดแล้วความเป็น พี่น้องก็ไม่อาจบั่นทอนความเอื้ออาทรในสายเลือดเดียวกันยามที่ครอบครัวต้อง เผชิญกับความยากลำบาก
                “ป่ะ...เฮียบุ้ง เฮียเบ้ง เราไปกินข้าวกันดีกว่า” แทนดาวบอกพี่ชายต่างสายเลือด
                “เอ่อ...พี่อยู่นี่ดีกว่า ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนนะน้องผึ้ง” บุรินทร์มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเว้าวอน ปลายเดือนไม่ว่าอะไร แทนดาวจึงรีบดึงมือเฮียเบ้งไปคนเดียว
                “แล้วเฮียบุ้งไม่หิวเหรอจ๊ะ?” หล่อนถามเสียงเรียบขณะที่สายตาก็ไล่อ่านอีเมล์ในโทรศัพท์
                “ไม่หรอก...เดี๋ยวกลับไปกินที่บ้านก็ได้” เขานั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
                “งั้นกินขนมที่ผึ้งซื้อมารองท้องไปก่อนนะ” หล่อนรู้ว่าเขาหิวแต่เกรงใจที่จะบอกจึงเลื่อนถุงขนมไปใกล้ๆแล้วก้มหน้าก้มตาตอบอีเมล์ บุรินทร์เพียงแต่มองเท่านั้น
                “ช่วงนี้น้องผึ้งคงงานหนัก” เขาชวนคุยด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้สดใส
                “จ้ะ” คำตอบสั้นๆทำให้เขาต้องหยุดบทสนทนาที่เตรียมไว้ในหัว คิดว่าควรจะอยู่ในที่ที่ควรอยู่จะดีกว่า  
 ชลธีกับรมณ์นลินมาถึงในอีกครู่ต่อมา การมาของทั้งคู่ทำให้ปลายเดือนผู้อิดโรยแช่มชื่นตื่นตัวขึ้นมาทันที
               “คุณชลกับครูแฟงมาแต่วันเลย” หล่อนทักทายเสียงหวานส่งสายตาแห่งความยินดีที่ได้เจอเขาอย่างไม่บิดบัง บุรินทร์สังเกตได้ถึงปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไป
               “หวัดดีครับ แม่ฝากมาเยี่ยมด้วย นี่คุณผึ้งอยู่อยู่เดียวหรือ?” เขายื่นกระเช้าเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพให้และถามต่อเมื่อไม่เห็นคนอื่น
“ป้าทิพย์กับยัยพลูไปกินข้าว อีกสักพักคงขึ้นมา” หญิงสาวตอบเสียงหวาน
“อ้อ...นี่ เฮียบุ้ง ลูกชายม๊าหลีค่ะ พี่ชายของผึ้งอีกคน” หล่อนนึกขึ้นได้ว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นเลยแนะนำผ่านๆ สองหนุ่มเพียงก้มหัวให้กันเป็นการทักทาย บุรินทร์อดคิดไม่ได้ว่าชลธีคนนี้คงมีอะไรเป็นพิเศษจึงทำให้ปลายเดือนผู้อ่อน ล้ายิ้มแย้มสดใสได้ขนาดนี้ อีกพักใหญ่แทนดาวกลับมารดาก็กลับขึ้นมา ชลธีทำความเคารพผู้อาวุโสก่อนจะยิ้มน้อยๆให้แทนดาวที่ยืนหลบมุมอยู่ เขาสังเกตได้ถึงความอ่อนเพลียและสีหน้าที่ฉาบไปด้วยความกังวล
               “อาการคุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ?”
                “หมอบอกว่าพรุ่งนี้คงได้ออกจากไอซียู แต่ก็ต้องนอนพักฟื้นต่อรอดูอาการ ฝากขอบคุณคุณวารีด้วยนะคะ” คุณดวงทิพย์บอกชายหนุ่มอย่างเกรงใจ
               “ดีที่ว่ามาโรงพยาบาลได้เร็ว ผึ้งเป็นห่วงแทบแย่ จะสงสารก็แต่น้องพลูค่ะ...เอาแต่ร้องไห้เป็นห่วงพ่อ ผึ้งก็เลยต้องพะวงทั้งคุณลุงแล้วก็ดูแลน้องไปด้วย” แทนดาวถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินพี่สาว ‘ร่ายยาว’ เป็นตุเป็นตะ หล่อนไปร้องห่มร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
               “น้องพลูพร้อมจะเรียนมั้ยคะวันนี้? จะเว้นเสียหนึ่งวันก็ได้” คนถูกถามเงียบไปเพราะยังเคืองกับเรื่องที่พี่สาว ‘ปั้น’
               “ไปเถอะลูก แม่จะเฝ้าคุณพ่อเอง” คุณดวงทิพย์บอกลูกสาว
               “งั้นน้องพลูไปกับผมเลยก็ได้ครับ กำลังจะแวะไปส่งแฟงที่บ้านนั้นพอดี” ชลธีบอก ปลายเดือนตวัดตามองน้องสาวด้วยความไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของบุรินทร์ที่นั่งหน้าจ๋อยเก็บข้อมูลอยู่แถวนั้น
               “ดีเลย...ป้าฝากน้องด้วยนะ”
               “ฝากน้องพลูด้วยนะคะ ผึ้งเป็นห่วงแกมากค่ะช่วงนี้ น้องผึ้งคนนี้ค่อนข้างจะเปราะบางสักหน่อย ช่วงนี้ต้องช่วยดูแลแกแทนป้าทิพย์ มีน้องเล็กก็อย่างนี้ล่ะค่ะ...รับผิดชอบตัวเองยังไม่ค่อยได้” ปลายเดือนเหน็บแนมเจือความเป็นห่วงจริงจังชนิดที่ไม่มีใครสามารถจับความเสแสร้งที่อาจเจือปนอยู่ในนั้น
แทนดาวพยายามหลบมือพี่สาวที่เลื่อนมาลูบศีรษะแต่ก็ไม่พ้น ท่าทีอ่อนโยนห่วงใยที่ผู้เป็นพี่แสดงออกมานั้น ถ้าหากมันจะมีความจริงใจอยู่แม้แต่สักนิดก็คงจะซาบซึ้งและอบอุ่นในหัวใจ แต่นี่...หล่อนเท่านั้นที่รู้ว่ามันไม่ใช่! มันไม่เคยมีสิ่งนั้นอยู่ในใจพี่สาวร่วมโลกคนนี้
               “ไม่ต้องห่วงครับ แล้วเจอกันนะครับ” สองพี่น้องไหว้ลาผู้ใหญ่ก่อนที่จะพากันออกไป
                “ว่าแต่สีผึ้งจะกลับบ้านไปพักสักหน่อยมั้ยลูก? ดูหน้าตาหนูไม่ค่อยดีเลยนะ” คุณดวงทิพย์ถามหลานสาวด้วยความเป็นห่วง
                “ไม่เป็นไรค่ะป้าทิพย์ มีงานค้างต้องไปทำต่อ งั้นไปมั่งดีกว่า...ไปก่อนนะคะม๊าหลี ป๊าธง” หญิงสาวหยิบกระเป๋าสะพายเตรียมจะเดินไปแต่ก็ต้องนั่งที่เดิมเพราะเกิดหน้ามืดกะทันหัน
                “น้องผึ้ง...เป็นอะไร!” บุรินทร์ปราดเข้าไปประคองด้วยความตกใจ ปลายเดือนเอามือกุมขมับนั่งพักสายตาอยู่ชั่วครูก่อนจะผละตัวเองออกห่างจากเขา
                “นอนน้อยก็ยังงี้แหละค่ะ ผึ้งโอเคแล้วล่ะ” แต่สีหน้าซีดเซียวนั้นฟ้องอยู่ว่าอาการยังไม่ดีขึ้น
                “ม๊าว่ากลับบ้านเถอะลูก” คุณหลีส่งยาดมให้แต่หล่อนยืนกรานว่าจะกลับไปทำงานให้ได้
                “งั้นเฮียขับรถให้นะ น้องผึ้งจะได้นั่งพัก” เขาเสนอตัวช่วยเหลืออย่างมีความหวัง
                “ไม่เป็นไรหรอกเฮียบุ้ง เดี๋ยวไปล้างหน้าเสียหน่อยก็ดีขึ้น”
                “ดีเหมือนกันนะน้องผึ้ง เดี๋ยวอาเบ้งพาม๊ากับอาป๊ากลับเอง”  คุณหลีสนับสนุนแล้วรีบหันไปบอกลูกชายคนที่สาม
“ไปกันเถอะอาเบ้ง ทิ้งอาม่าไว้กับซ้อใหญ่ของลื้อนานแล้วน่ะ....เกรงใจ ไหนอีจะต้องเลี้ยงลูกอีก” แล้วก็เร่งสามีกับลูกชายคนที่สามให้รีบๆไป ปลายเดือนก็เลยปฏิเสธไม่ได้ ยอมส่งกุญแจรถให้เขาโดยดี
                “งั้นก็ต้องรบกวนเฮียบุ้งด้วยนะจ๊ะ” หล่อนบอกเสียงเหนื่อยๆขณะที่อีกฝ่ายยิ้มสดชื่น
                บุรินทร์มองถนนเบื้องหน้าสลับกับชำเลืองมองสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะด้วยความเป็นห่วงไม่บิดบัง ปลายเดือนยังคงสูดยาดมอยู่ตลอดเวลา ใบหน้างดงามดูซีดเซียวแม้ว่าเจ้าตัวจะใช้เมคอัพอย่างดีปกปิดร่องรอยความเหนื่อยล้า
                “น้องผึ้งไม่ควรหักโหมงานมากนะ เดี๋ยวจะป่วยไปอีกคน” เขาเปิดบทสนทนาขึ้นหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบมาสักพักใหญ่
                “ช่วงนี้วุ่นๆจ้ะ พี่หมากย้ายผึ้งมาทำงานแทนแก ตอนนี้เลยต้องทำหลายอย่าง งานเก่าก็ต้องทยอยสอนให้คนใหม่ หน้าที่ใหม่ก็เพิ่งจะเริ่มเรียนรู้” หญิงสาวพูดเหนื่อยๆ
                “น้องผึ้งน่าจะมีคนดูแล...” เขาพูดเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ปลายเดือนเหลือบมองเขานิดหนึ่ง
                “ก็...ตอนนี้ก็มีคนคุยอยู่จ้ะ” คำตอบนั้นทำให้คนฟังใจกระตุก เจ็บแปลบขึ้นมาทันที
                “อ้อ...’เขา’…น่ะเหรอ?” บุรินทร์แค่นเสียงถาม ปลายเดือนรู้ทันทีว่า ‘เขา’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงนั้นคือใคร ใช่...หล่อนตั้งใจแสดงความสนิทสนมเป็นพิเศษกับชลธีให้บุรินทร์ได้เห็น ด้วยหวังว่าเขาจะตัดใจจากตนเองได้เร็วขึ้น
                “อืม” อ้อมแอ้มตอบออกไปก่อนจะหันหน้าไปมองกระจกหน้าต่าง บุรินทร์กัดปากแน่น ใช่สินะ...เขาไม่มีวันที่จะได้เป็นคนๆนั้นทั้งตลอดมาและตลอดไป
                “นึกถึงตอนเด็กๆเนอะ.... เขาชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศอึมครึม
“ช่วงปิดเทอมพวกเฮียจะไปอยู่บ้านน้องผึ้ง เวลาเล่นกันทีไรน้องผึ้งชอบให้เฮียบุ้งเป็นทหารรับใช้ คอยดูแลวิ่งซื้อขนม มีวันนึงน้องผึ้งอยากกินทับทิมที่อยู่ในรั้วบ้านข้างๆเลยให้เฮียปีนรั้วไปขโมยมา แต่ดันพลัดตกลงไปนอนใต้ต้นทับทิมบ้านนั้น ถึงเจ้าของบ้านจะไม่เอาเรื่องแต่พี่โดนม๊าตีแทบตาย ฮ่าๆ” เขาเล่าเรื่องราวในอดีต ถึงจะพยายามฝืนหัวเราะแต่มันก็ยังรู้สึกขื่นๆอยู่ดี
                “คุณแม่ก็จะตีผึ้งแต่เฮียบุ้งเอาตัวมาบังไว้” ปลายเดือนเล่าต่อด้วยน้ำเสียงแห้งโหยพลางหลับตาลง บุรินทร์ปล่อยให้ความเงียบก่อตัวอยู่สักครู่จึงพูดขึ้นเบาๆ
                “หลับเถอะนะเจ้าหญิง ถึงปราสาทเมื่อไหร่ทหารรับใช้คนนี้จะปลุกเอง” มือหนาละจากพวงมาลัยมาลูบศีรษะคนข้างๆอย่างเบามือโดยปลายเดือนมิได้หลบหลีกหรือปัดป้อง แล้วเขาก็เร่งความเร็วพาหนะคันงามเพราะไม่อยากให้หล่อนทนอึดอัดอยู่กับตนนานๆ ปลายเดือนที่นั่งหลับตาอยู่มิได้นอนหลับแต่อย่างใด ทว่ารู้สึกสงสารและเห็นใจจนไม่อาจทนเห็นใบหน้าหม่นหมองของเขา ที่สำคัญไม่อยากให้เห็นว่ามีหยดน้ำตาหยดหนึ่งกำลังไหลริน ในหัวก็คิดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา
                “ปลายเดือน...ทำไมเธอถึงใจร้าย จะมีใจให้เค้าสักนิดบ้างไม่ได้เลยหรือ?”
              
 
 
               
 
 
 
 
 
 
 
 
        
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา