ปลูกรักในรั้วใจ
เขียนโดย อิสวารายา
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) ตอนที่ 14 ลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ (Lily of the Val
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“น้องพลู คุณแฟง...สวัสดีครับ” เสียงเรียกคุ้นเคยร้องทักสองสาวที่กำลังจะเดินผ่านห้องนั่งเล่นไป เจ้าของเสียงคือเวทิวุฒิรุ่นพี่หน้าหล่อกับผมไถข้างเจ้าเดิมกำลังยืนยิ้มเผล่รออยู่ตรงนั้น ใบหน้าหล่อเหลาเทียบชั้นเน็ตไอดอลพาร่างสูงสมาร์ทเดินมาใกล้สองสาวที่กำลังงงอยู่ว่าเขามาที่นี่ทำไม?
“สวัสดีค่ะ” สองสาวทักกลับพร้อมกัน
“พอดีพี่เพิ่งทราบข่าวเรื่องคุณพ่อ ว่าจะแวะไปที่โรงพยาบาลแต่คุณผึ้งบอกว่าน้องพลูออกมาแล้วก็เลยตามมาหาน้องพลูที่บ้าน พอดีเจอคุณย่ากับอารินท่านเลยให้มารอในนี้” ชายหนุ่มตอบคำถามจากสายตาของทั้งคู่ แทนดาวไม่รู้ว่าควรขอบคุณพี่สาวดีหรือไม่ที่เป็นธุระจัดแจงให้เสียทุกเรื่องในเวลาอย่างนี้
“เหรอคะ...แต่วันนี้น้องพลูต้องซ้อมเปียโนค่ะ ถึงเย็นแน่ะ คงไม่สะดวกที่จะ...”
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้พี่ว่าง...จะรอจนกว่าน้องพลูจะเสร็จ” เขายิ้มเยื้อนให้เป็นอย่างดี รมณ์นลินเดินเลี่ยงไปเสียเพราะคิดว่าไม่ใช่ธุระของตน จึงมีแทนดาวเพียงคนเดียวที่อยู่รับหน้าแขกผู้มาเยือน
“แต่ตอนเย็นน้องพลูต้องไปเปลี่ยนเฝ้าไข้แทนคุณแม่ค่ะ” หล่อนพยายามบอกให้เขารู้ว่าไม่สะดวกที่จะรับแขกในเวลานี้จริงๆ
“ดีเลย...พี่ก็อยากจะไปเยี่ยมคุณพ่อ” เขายืนยันหนักแน่นในเจตนารมณ์
“ถ้างั้นเชิญตามสบายนะคะ น้องพลูขอตัวก่อน” แทนดาวจนปัญญาหาข้ออ้างที่จะปฏิเสธ ให้ตายเถอะ...ใครจะไปคิดว่าเวทิวุฒิจะกล้าบุกเดี่ยว เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องแน่ ใจก็นึกคาดโทษไปถึงพี่สาวที่ดีกันยังไม่ทันข้ามวันก็หาเรื่องมาให้
“อ้อ...พี่ซื้อดอกไม้มาให้ด้วย น้องพลูจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น” เวทิวุฒิส่งยิ้มละลายใจขณะยื่นช่อลิลลี่สีขาวช่อโตให้ แทนดาวรับมาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนพอควร เวลาแบบนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะมาปลื้มปริ่มด้วยหรอก
“ขอบคุณนะคะ”
“น้องพลูสะดวกมั้ย? ไปคุยกับเค้าก่อนไม่ดีเหรอคะ?” รมณ์นลินกระซิบถามเมื่อลูกศิษย์มานั่งประจำที่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ได้นัดมาซะหน่อย” ลูกศิษย์สาวกระซิบตอบ ถึงจะเคยยินดีที่ได้พบกับบุรุษที่ในอดีตเคยเป็นไอดอลในฝันคนนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะปลาบปลื้มกับช่อดอกไม้จากสุดหล่อเดือนมหา’ลัยอย่างพี่เว แต่เวลานี้กลับรู้สึกเฉยๆก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
แทนดาวไม่ค่อยมีสมาธิซ้อมเพลงเท่าที่ควร ด้วยเหตุที่ว่ามีคนแปลกหน้ามานั่งฟังอย่างใกล้ชิด พอเงยหน้าขึ้นมาที่ไร...ก็เป็นอันต้องปะทะกับสายตาหวานเชื่อมนั่นทุกที บางครั้งก็ร้องเพลงตามหรือเคาะให้จังหวะ (เพื่ออะไร?) รมณ์นลินเองก็เข้าใจความรู้สึกของลูกศิษย์ดีแต่จะพูดไปก็ไม่ได้เพราะเป็นคนนอก
“โอเคแล้วค่ะสำหรับวันนี้ พี่เข้าใจว่าน้องพลูมีเรื่องรบกวนใจหลายเรื่อง สมาธิเลยไม่ค่อยมั่นคงนักแต่ก็ถือว่าได้ทบทวน” รมณ์นลินเสพูดกระทบไปยังรุ่นพี่หน้าหล่อที่ยังคงส่งยิ้มเท่ๆมาให้เรื่อยๆ
“นั่นสิคะ...น้องพลูไม่มีสมาธิเลย เล่นคอร์ดไม่คล่องเลยค่ะ มือไม้แข็งไปหมด” แทนดาวบ่นประปอดกระแปดตั้งใจให้คนแจกยิ้มได้ยินแต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้สึก
“ว่าแต่ Sol Mate จะประกาศผลคนเข้ารอบสุดท้ายวันมะรืนแล้วนี่นา” รมณ์นลินเตือนเรื่อง ออดิชั่นเมื่อหลายวันก่อน
“ใช่สิ...เกือบลืมแน่ะ มัวยุ่งๆจนลืมติดตามข่าวเลยค่ะ” แทนดาวบอกแต่กลับไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าใดนัก อาจจะยังห่วงเรื่องอาการป่วยของบิดา
“เดี๋ยวอีกสักพักต้องไปหาคุณพ่อแล้ว น้องพลูไปเตรียมตัวสักครู่ เชิญพี่เวตามสบายก่อนนะคะ เอ่อ...พี่แฟงจะไปกับน้องพลูมั้ย?” แทนดาวบอกรุ่นพี่ก่อนจะหันมาถามคุณครูเป็นเชิงขอร้องว่า “ไปด้วยกันเถอะนะ”
“ค่ะ...พี่ขอล้างหน้านิดนึงก็ดีเหมือนกัน” รมณ์นลินรับคำอย่างรู้ใจ เวทิวุฒิมองพยายามคิดเข้าข้างตนเองว่าความสำเร็จคงใกล้เข้ามาทุกที แทนดาวน่าจะชอบเขาบ้างแล้ว แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่ายิ่งยากก็ยิ่งท้าทาย แต่จะรู้ไหมว่า...คนเราบางครั้งก็ไม่ได้ทุกอย่างตามที่ใจต้องการเสมอไป
วันนี้เทียมภพเหนื่อยเกินกว่าจะไปร่วมงานแต่งลูกชายของเจ้าสัวธำรงตามคำชวนของปลายเดือน เขารีบกลับบ้านทันทีหลังลงนามในสัญญาซื้อขายกับลูกค้าจากจีนเสร็จสิ้น เรื่องเครียดๆที่เจอมาวันนี้กับปัญหาภายในที่ได้รับรู้มาจากผู้เป็นอาทำให้เขาขุ่นมัวบูดบึ้ง การล้มป่วยของบิดายิ่งทำให้บรรดาผู้ร่วมหุ้นคนอื่นก็อยากรีบเอาเงินลงทุนคืนเพราะรู้สึกไม่มั่นใจในทวีกิจอีกแล้ว เขาเองก็เข้าใจ...ยุคนี้สมัยนี้ การลงทุนอะไรที่มีความเสี่ยงสูง ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงจะดีกว่า
เขาตั้งใจว่าจะมาหลับเอาแรงสักหน่อยชดเชยที่เมื่อคืนไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน แต่พอพอเห้นเห็นว่ามีรถยนต์แต่งสไตล์สปอร์ตสีแดงเพลิงไม่คุ้นตาจอดอยู่ในบ้านก็ขมวดคิ้ว หรืออาจจะเป็นรถใหม่ของหนึ่งในเฮียสี่ บ. ก็ไม่แน่ใจ พอเข้าบ้านแล้วต่อมความสงสัยก็แตกโพล๊ะ มีผู้ชายร่างสะโอดสะองนั่งเอนกายคุยโทรศัพท์อย่างสบายใจอยู่ในห้องนั่งเล่น บนโต๊ะเล็กมีขนมสองสามชนิดกับน้ำดื่มวางอยู่ มองปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นรุ่นพี่ของน้องสาวที่พยายามจะมาขายขนมจีบให้ นี่คงฉวยโอกาสช่วงที่ไม่มีใครอยู่บ้านดอดเข้ามาตีค่ายเป็นแน่ ในทันที...เหมือนมีใครจุดชนวนระเบิดปรมาณูในตัวให้ปะทุ แล้วเสืออย่างเทียมภพน่ะหรือจะปล่อยให้ผู้บุกรุกอยู่อย่างสันติ
“เฮ้ย! มึงมาทำอะไรที่นี่วะ!” สิ้นเสียงตวาดกึกก้องนั้น เวทิวุฒิแทบถลาตกโซฟา เขายิ้มแป้นยกมือไหว้เจ้าของบ้านอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับพี่หมาก พอดีผมแวะมาหาน้องพลู กะว่าจะออกไปเยี่ยมคุณพ่อด้วยกันน่ะครับ”
“อะไรนะ? มาหาน้องพลู มาเยี่ยมคุณพ่อ พ่อกูไปเป็นพ่อมึงตั้งแต่เมื่อไหร่?” คนพูดพยายามนึกทวนลำดับญาติกับคนตรงหน้าแต่ไม่เห็นว่ามีความสัมพันธ์ใดๆกันเลย
“เอ่อ...คือผม มาดูน้องพลูเล่นเปียโน...” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะแก้ตัวอะไร เจ้าของบ้านที่ความอดทนไม่ค่อยจะมีก็กระชากคอเสื้อรุ่นพี่ของน้องสาวมาตรงเฉลียงด้านนอกเพราะบริเวณนี้โล่งกว้างไม่มีสิ่งกีดขวางอันเหมาะแก่การ ‘ต้อนรับ’ แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“มึงกล้ามากนะที่เหยียบเข้ามาถึงนี่น่ะ ร่างกายมึงต้องการแร่ธาตุใช่มะ? อยากแดกขี้ดินที่ติดรองเท้ากูใช่มะ?” คนตัวใหญ่กระชากเสียงถามอย่างเหี้ยมเกรียม
“มะ...ไม่อยากครับ ผมมาดี ไม่ได้มาทำมิดีมิร้าย”
“เออ...กูยอมใจมึงเลยนะเนี่ย แต่เดี๋ยวก่อน...ไหนๆมาแล้วก็ออกกำลังกายกันหน่อยเป็นไง? กลับไปมือเปล่าจะหาว่าเจ้าของบ้านแล้งน้ำใจ เอาไปสักสองสามแผลนะมึง!” ขาโหดซัดหมัดแรกเข้าที่ชายโครงเต็มๆจนอีกฝ่ายถึงกับร้องโอย
“พอแล้วคร้าบบ...ผมบอกคุณสีผึ้งแล้ว เธอว่าให้มาได้” เขาละล่ำละลักตอบ แม้ว่าขนาดร่างกายของทั้งคู่จะสูงใหญ่พอๆกัน แต่คนอ่อนวัยกว่าก็มิกล้าที่จะต่อกรกับขาโหดที่ขยุ้มคอตนเองอยู่ตอนนี้
“ว่าไงนะ! สีผึ้งน่ะเหรอ? แล้วมึงแอบไปทำความสนิทสนมกับน้องกูอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่? ไอ้หน้าโปรตีนเกษตร...เดี๋ยวมึงจะแดกกิมจิไม่ได้อีกเป็นเดือน!” ไม่ขู่เปล่า คนตัวโตง้างหมัดอัดไปที่ท้องหนึ่งดอกมีเสียงดัง ‘อุ๊บ’ ไม่พอยังจะตั๊นหน้าหล่อๆนั่นด้วย คนถูกรังแกยกมือตั้งการ์ดรับ แต่ก็เหมือนมีใครเคาะระฆังช่วยชีวิตเมื่อรถยนต์อีกคันแล่นเข้ามาเทียบจอดหน้าบ้าน เทียมภพเพ่งมองจนเห็นคนขับที่เป็นคู่อริเก่าก็ของขึ้นจนถึงขีดสุด มือที่เตรียมปล่อยหมัดพิฆาตสังหารหนุ่มรุ่นร้องเปลี่ยนเป็นผลักอกอีกฝ่ายกระเด็น
“เฮ้ย! มาได้ไงวะ มึงเข้ามาได้ไง!” เทียมภพชี้นิ้วอันสั่นเทาไปยังชลธีที่เดินเข้ามาอย่างใจเย็น สีหน้าของเขาสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
“มีประตูก็เข้ามาได้น่ะสิ...ถามแปลก” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ยี่หระ
“มึง...ออกไปเลยนะ มึงด้วยไอ้เวรตะไล!” เทียมภพพาลดะ ทำท่าฮึ่มฮ่ำพร้อมกระโจนใส่ผู้บุกรุกเต็มที่ เวทิวุฒิที่กลัวลนลานรีบชิ่งหนีกลับไปก่อนใครด้วยคิดว่ามีผู้มาใหม่ให้คนกระหายเลือดขย้ำแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่เป็นตัวสำรองให้เจ็บตัวหากอีกฝ่ายยังยำชลธีไม่หนำใจ
“กูก็ไม่ได้อยากจะเจอหน้าย่นๆเหมือนหมาบลูด็อกอย่างมึงนักหรอก!” ชลธีไม่ทน ใช้สรรพนามแบบเดียวกันพูสวนกลับ
“นี่มึง...” เทียมภพได้แต่ยืนชี้นิ้วตัวสั่นกับคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรยพลางยกมืออีกข้างลูบหน้าตัวเองว่ามีรอยยับย่นอย่างที่อีกฝ่ายว่าหรือไม่
“ฉันมารับน้องสาวฉัน แล้วก็จะมาคุยเรื่องนั้น” เทียมภพลดมือที่ชี้หน้าฝ่ายตรงข้ามลง คิ้วขมวดหากันจนแทบเป็นปม เขาเองไม่ใช่หรือที่ครุ่นคิดหาทางพูดเรื่องนี้กับเพื่อนแค้นมาหลายวันแล้ว ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ดีเสียอีกที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายเสียฟอร์มเริ่มก่อน
“เออ...งั้นก็นั่ง แล้วก็ไม่ต้องเหล่หาน้องกูนะมึง” เมื่ออารมณ์เย็นลงบ้างแล้วเขาก็เปลี่ยนท่าทีแต่ยังไม่วายสำทับดักคออีกฝ่าย ชลธีทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อนไม่แพ้กัน หากไม่เห็นแก่มารดาและความทุกข์ใจของสตรีอีกคนมีต่อบิดาแล้วล่ะก็...เขาคงไม่มีวันมานั่งพูดจาดีๆกับคนขวางโลกแบบนี้หรอก
“แกต้องสัญญากับฉัน ว่าทวีกิจจะต้องเป็นทวีกิจต่อไป ธาราจะไม่เข้ามากลืน เราจะต้องไม่เป็นเหมือนรายอื่นๆที่แกเทคโอเว่อร์มาแล้วแปะป้ายเป็นชื่อตัวเอง!” เทียมภพเปิดประเด็นโดยไม่ต้องอารัมภบท ในโทนเสียงกระด้างนั้นชลธีรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็คงจะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานพอควรเหมือนกัน จึงไม่จำเป็นจะต้องต่อความยาวสาวความยืดต่อไป
“ฉันไม่เคยต้องการรวมทวีกิจกับธารา ฉันจะไม่เปลี่ยนอะไรกับแบรนด์ของแก” ชลธียืนยันซึ่งนั่นออกจะทำให้คนฟังแปลกใจอยู่มากเพราะผู้ถือหุ้นเกินครึ่งอย่างเขามีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ ตัวชลธีเองเข้าใจอีกฝ่ายดีว่ามันลำบากใจแค่ไหนจะต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่บรรพบุรุษใช้เวลาทั้งชีวิตสร้างมา
“อีกอย่าง...เมื่อทวีกิจกลับมายืนได้ด้วยตัวเอง ฉันจะคืนเงินให้แกทุกบาททุกสตางค์รวมปันผลบวกกำไรทุกอย่างตามเปอร์เซ็นต์ที่ตกลงกัน แต่แกต้องคืนทุกอย่างให้ฉันแล้วก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีก” เทียมภพต่อรองเสียงเฉียบขาด ชลธีคิดอยู่นาน...นานจนคนที่รอฟังคำตอบต้องร้องเตือน
“ว่าไงล่ะ?”
“ทำไมฉันต้องไป?” ชลธีรู้คำตอบอยู่เต็มอก เรื่องหนึ่งที่รู้ดีคือจะมีใครบ้างอยากให้งานของครอบครัวต้องถูกแทรกแซงจากคนภายนอก ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆทองๆนั้นให้อดีตเพื่อนพูดเองดีกว่า
“เพราะว่าฉันไม่ต้องการให้แกต้องมีอะไรที่ต้อง ‘ผูกพัน’ กับพวกเราไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม พูดง่ายๆภาษาเด็กเกรียนก็คือไม่อยากให้มานัวเนียไม่ว่าจะเรื่องเงินหรือน้องสาวฉัน!” เทียมภพย้ำคำหนักแน่น ชลธีไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแต่เอามือลูบหน้าอย่างใช้ความคิด เทียมภพออกไปรับลมที่เฉลียง มือหนึ่งล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบจนหมดมวนก่อนจะกลับเข้าไปคุยกับ ‘ว่าที่กรรมการผู้ถือหุ้น’
“แกเตรียมทนายทางฝั่งแกไว้แล้วกัน ฉันก็จะพาคนของฉันไปจัดการทำสัญญา วันจันทร์เจอกันที่ทวีกิจสิบโมง” ชลธีกล่าวเรียบๆเพียงแค่นี้ ปล่อยสายตามองออกไปข้างนอก
“นี่แกยังไม่ยอมรับข้อตกลงนี่ใช่มั้ย?” เทียมภพจ้องอีกฝ่ายตาเขียว
“หมาก...ตอนนี้แกไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรองอะไรได้แล้วนะ” ชลธีพูดเหมือนเตือนสติจะว่าเยาะเย้ยถากถางก็ไม่เชิงนัก
“แกเป็นพ่อค้า...ฉันก็เป็นพ่อค้า พ่อค้าที่ไหนบ้างวะ...ที่พอเจอแหล่งลงทุนดีๆแล้วจะเลิกกิจการไปง่ายๆ อะไรกัน...ฉันยอมเสี่ยงควักเงินเป็นร้อยล้านเพื่อซ่อมบ้านที่เอียงกะเท่เร่ คิดจะใช้ฉันเป็นเสาไม้ค้ำบ้านที่จะพังแหล่มิพังแหล่ พอมีเงินซื้อเสาปูนเสริมเหล็กแล้วจะถอนเสาไม้อย่างฉันง่ายๆหรือ” เทียมภพได้แต่นิ่งฟัง เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆด้วยความเครียด
“โอเค...ถ้าแกไม่อยากจากไปดีๆ ก็ได้...เมื่อถึงเวลานั้น ฉันก็มีวิธีทำให้แกต้องคลานออกไปอย่างยับเยินที่สุด” เทียมภพไม่ยอมแพ้ ชลธีแสยะยิ้มน้อยๆเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา
“งั้นหรือ..ฉันได้ข่าววงในมาว่าเร็วๆนี้ผู้มีรายชื่อถือหุ้นทั้งหมดรวมทั้งคนเก่าแก่ที่ร่วมก่อตั้งที่นี่มาด้วยกันกับปู่แก จะนัดประชุมลงมติปลดลุงธรรมและกรรมการที่เป็นคนในครอบครัวทวีกิจทั้งหมดรวมถึงตัวแกด้วย ถ้ายังไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องมาสามปี อ้อ...แว่วๆว่าจะขายต่อให้บริษัทสัญชาติสิงคโปร์คู่แข่งถ้าไม่ไหวจริงๆ รู้มั้ย...ฉันมองเห็นความล้มละลายอยู่บนหน้าแกแล้วตอนนี้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ...ทวีกิจจะไม่เหลือแม้แต่ชื่อ” ชลธีพูดเสียงเย็นอย่างเป็นต่อ เทียมภพยืนตัวสั่นด้วยความโกรธ
“ขู่งั้นหรือ” เขาเค้นเสียงโดยความโมโห
“ไม่นี่...พูดตามข้อเท็จจริง อ้อ...อีกเรื่องนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเงินๆทองๆค้าขายล้วนๆเพราะฉะนั้นแทนดาวไม่มีความหมายอะไรกับฉันในเรื่องนี้ เธอเป็นน้องสาวแกและยังไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไรในทวีกิจ ก็เท่ากับว่าไม่ได้มีส่วนสำคัญที่ฉันจะต้องเอามาเชื่อมโยงหรือใส่ใจกับเรื่องนี้” ชลธีอธิบายเสียงเย็น เทียมภพเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อว่าแทนดาวจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงาน หล่อนอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวงเพราะฉะนั้นอย่าดึงหล่อนลงมาเป็นเครื่องต่อรอง
“แน่นอน...จะไม่มีใครดึงแทนดาวลงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้” เทียมภพตอบห้วนๆ เขาทนอยู่ใกล้ศัตรูไม่ได้อีกแม้เพียงวินาทีเดียว เขาทนไม่ได้อีกแล้ว มันเจ็บและปวดที่สุดที่ไม่อาจหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว เขาคิดถึงปู่ พ่อ ครอบครัวที่ต้องมีทวีกิจอยู่ต่อไป
เทียมภพเดินตึงตังออกไปอย่างข่มโทสะถึงขีดสุดโดยทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่าบทสนทนาเชือดเฉือนเมื่อครู่นั้นไม่ได้รับรู้กันอยู่เพียงสองคน หากแต่มีบุคคลที่สามที่ไม่ได้ตั้งใจจะเดินผ่านมาได้ยินพอดี แทนดาวเพียงแค่หยุดอยู่หน้าห้องเพราะได้ยินพี่ชายพาดพิงถึงตนเองในตอนแรก ซึ่งทำให้เท้าของหล่อนตรึงอยู่กับที่เพื่อเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทั้งสองจนจบโดยฝังคำว่ามารยาทเสียมิด รู้สึกว่าตัวชากับประโยคที่เพิ่งได้ยิน มือน้อยๆกำแน่น หล่อนโกรธเขา โกรธทุกการกระทำ คำพูด สายตา ทุกอย่างที่เขาเคยทำดีด้วยล้วนแต่เป็นเรื่องหลอกลวง!
“แทนดาวไม่มีความหมายอะไรกับฉัน” และ “ไม่ใช่คนสำคัญที่จะต้องให้ความใส่ใจ”
ดวงตาคู่สวยมีน้ำตารื้นเพียงคลอๆหน่วย ใช่สินะ...น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะแทนดาว นี่เธออ่อนต่อโลกหรือว่าซื่อบื้อกันแน่? ในขณะเดียวกันชลธีก็ผ่อนลมหายใจออกมา การเจรจาธุรกิจที่แสนสั้นที่สุดในชีวิตจบลงอย่างไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าเป็นคนอื่น...คนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับแทนดาวจะยอมช่วยขนาดนี้หรือเปล่า เขาเพียงอยากเห็นหล่อนยิ้มได้เหมือนเดิม ยิ้มที่ทำให้เขาต้องยิ้มตอบทุกครั้ง
ช่อลิลลี่สีขาววางนิ่งอยู่บนเปียโนสีดำดึงความสนใจเร่งเร้าให้ชลธีหยิบมันขึ้นมาดู การ์ดที่แนบมาระบุชื่อพร้อมลายเซ็นคนส่งซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สนิทของแทนดาวที่ไปเจอกันตอนไปเที่ยวตรัง เขายังติดภาพที่ผู้ชายคนที่เดินจับมือถือแขนหล่อนในวันนั้น ฉับพลันก็อยากจะทิ้งหรือกระทืบดอกไม้นี้ให้แหลกละเอียด เขาไม่ปรารถนาที่จะให้หล่อนรับของกำนัลจากใครนอกจากตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้น
“พี่ชลมานานหรือยังคะ?” ชลธีหันไปหาเจ้าของเสียงใสๆนั้น เจ้าของเสียงเข้ามาใกล้พร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้ง วันนี้หล่อนปล่อยผมยาวตรงสลวยเป็นอิสระไม่ผูกหางม้าหรือถักเปียอย่างเคยเลยดูเป็นสาวขึ้นมาเต็มตัว เล่นเอาคนมองใจแกว่งไปเล็กน้อย แต่ทำไมรู้สึกว่าน้ำเสียงและกิริยาช่างดูเย็นชากว่าทุกที
“รอบที่สี่แล้วนะครับวันนี้ ไม่ต้องไหว้พี่บ่อยๆก็ได้ เดี๋ยวอายุสั้นกันพอดี” เขาแกล้งแซว
“ก็คุณย่าสอนว่าเราต้องทักทายผู้อาวุธโสกว่าด้วยการไหว้ มันคือมารยาทที่ดีและแสดงออกถึงความจริงใจ” หล่อนพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้เกรี้ยวกราด
“อ้อ...ว่าพี่แก่”
“...”
“โอเคครับ...เงียบแบบนี้แสดงว่าตั้งใจว่าพี่ตรงๆ ว่าแต่ว่าจะไปเยี่ยมคุณพ่อกี่โมง?”
“คงอีกสักพักค่ะ แล้วแต่พี่หมาก เอ่อ...พี่ชลมารับพี่แฟงใช่มั้ยคะ”
“จ้ะ ว่าแต่ว่าครูของน้องพลูไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“อยู่ในห้องน้องพลูค่ะ พอดี...จะลงมาดูพี่เว” หล่อนเสียงอ่อนลงเมื่อพูดถึงรุ่นพี่ ชลธีพยักหน้ารับรู้พลางปรายตาไปยังช่อดอกไม้ที่ยังนอนนิ่ง แทนดาวมองตามแล้วรีบไปหยิบถือด้วยความทะนุถนอม
“เจ้านั่น..ไม่ต้องห่วงนะ พี่ชายเราเชิญกลับไปแล้ว...ด้วยกิริยามารยาทเจ้าบ้านที่ดี” เขาพูดกึ่งประชดคู่อริ
“อย่างน้อยพี่เวก็จริงใจเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เหมือนบางคนที่ต่อหน้าพูดอีกอย่างแต่พูดถึงเรากับคนอื่นอีกอย่าง” สาวน้อยตั้งใจว่ากระทบเขาเต็มๆ ชลธีชักตะหงิดๆกับคำพูดนั้น
“โทษทีนะ...แต่พี่ไม่เข้าใจ พูดแบบนี้โกรธใครมาหรือเปล่า?” เขาถามจริงจัง
“เมื่อกี้น้องพลูเดินผ่านห้องนั้นแล้วได้ยินที่พี่สองคนคุยกัน...” สาวน้อยเล่าด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความไม่พอใจ “เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง มันสำคัญกว่าความเป็นคนใช่มั้ยคะ? ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้พี่ชลก็คงจะไม่คิดจะมาผูกมิตรคนทวีกิจ” ชลธีได้ฟังก็ต้องร้องอ๋อ คนตัวเล็กกำลังเข้าใจผิดอย่างแรง
“เหลวไหล...เอาอะไรมาพูด ฟังพี่นะใบพลู...” เขาหยุดเพื่อให้หล่อนเงยหน้ามาสบตา “ที่พี่พูดกับไอ้หมากเมื่อกี้หมายความว่าเรื่องงานนั่นเป็นเรื่องระหว่างพี่กับไอ้หมากเท่านั้น ส่วนน้องพลูไม่เกี่ยว น้องพลูไม่ใช่เครื่องต่อรอง พี่ไม่อยากให้ไอ้หมากมันคิดว่าที่ยอมลงเงินให้มหาศาลขนาดนั้นเพราะต้องการตัวน้องพลูมาแลก!” คำอธิบายของเขาทำให้คนตัวเล็กต้องนิ่งงัน
“แล้วที่สำคัญเลย...พอสถานการณ์ของทวีกิจกลับเป็นปกติ ไอ้หมากมันอยากให้พี่เลิกยุ่งกับน้องพลูเด็ดขาด...แต่พี่ทำไม่ได้” เขาทอดเสียงอ่อนลงเมื่อพูดประโยคสุดท้าย แทนดาวนิ่งฟังอย่างใช้ความคิด
“เพราะอะไรคะ?” คนตัวเล็กกระซิบถาม ชลธีคิดอยู่นานกว่าจะตอบ อยากจะพูดความจริงแต่เห็นว่าแทนดาวยังเด็กเกินไป เขาควรจะเว้นระยะห่างไว้ก่อน
“ก็...มีน้องสาวน่ารักแบบนี้ ทำไมพี่ต้องเลิกคุยกับเราด้วยล่ะ” คำตอบของเขาทำให้คนฟังอดผิดหวังไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันเพราะอะไรถึงต้องรู้สึกผิดหวังที่เขาเห็นตนเองเป็นเพียงน้องสาวด้วยล่ะ?
“น้องพลูคงเข้าใจผิดไปเอง” คนตัวเล็กพูดจนแทบเป็นกระซิบ ไอ้ที่บอกว่าเข้าใจผิดนั้นไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร จะหมายถึงบทสนทนาที่แอบฟังหรือคำว่าน้องสาวที่เขาพูดเมื่อกี้กันแน่ ชลธีเข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะกระจ่างแล้วจึงชวนคุยเรื่องอื่น
“สวยดีนะครับ คนซื้อคงตั้งใจเลือกให้เป็นพิเศษ” เขาตวัดเสียงนิดๆเมื่อเห็นคนตัวเล็กประคองช่อดอกไม้ด้วยความระมัดระวัง
“ลิลลี่สีขาว...แทนความงดงามบริสุทธิ์ของผู้รับ แทนความรักที่อ่อนหวานและสดใส เข้าใจเลือกจริงนะ...” ชลธีให้ความหมายของดอกไม้ช่อสวยด้วยน้ำเสียงกึ่งชื่นชมกึ่งประชดซึ่งคนฟังพอจะจับความรู้สึกได้
“แต่พี่ว่าคาแรคเตอร์อย่างน้องพลูนี่น่าจะเหมาะกับดอก ลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ มากกว่า รู้มั้ย...เจ้าดอกไม้ชนิดนี้มีความหมายดีทีเดียว ‘ความสุขที่หวนคืนมา’ หรือจะขยายความหน่อยก็คือ ความอ่อนหวานของคุณช่วยเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์” เขาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิมจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว เพราะไม่ว่าเขาจะเล่นมุขตลกหรือพูดคุยเป็นทางการก็หน้านิ่งแบบนี้
“เชอะ...เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าเราเป็นน้องสาว แล้วไอ้ที่สาธยายความงามของดอกไม้ให้ฟังอยู่นี่คืออะไร? พูด!”
“เดี๋ยวน้องพลูไปตามพี่แฟงให้ค่ะ” หล่อนตัดบทไม่ต่อความด้วย คำพูดเปรียบเปรยของเขาเมื่อครู่มันก็คงเป็นเพียงแค่ไดอะล็อกที่จำขึ้นใจเพราะคงได้นำออกมาใช้กับสตรีอื่นอยู่เสมอ
...หากเพียงแต่แทนดาวจะมีญาณรับรู้ลึกซึ้งกว่านี้อีกสักนิดก็จะรู้ว่าชลธีหาได้เล่นลิ้นปลิ้นปล้อนเช่นบุรุษเพศทั่วไปไม่...
ในขณะเดียวกัน...
“อ้าว...คุณเข้ามาทำอะไรในห้องน้องผมเนี่ย แล้วยัยพลูล่ะ?” เทียมภพที่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนของน้องสาวอุทานออกมาอย่างแปลกใจ วันนี้มันวันอะไรหนอ...ทำไมถึงมีแต่ศัตรูคู่อริเข้าบ้านกันเป็นว่าเล่น ความขุ่นมัวที่พี่ชายของคนตรงหน้าได้ก่อไว้ละลายความรู้สึกยินดีอย่างที่ควรจะเป็นไปหมดสิ้นเมื่อได้เจอสตรีที่เฝ้าคิดถึง
“น้องพลูพามาล้างหน้าล้างตาแล้วเธอให้รออยู่ในนี้ค่ะ” รมณ์นลินรีบวางนิตยสารแฟชั่นไว้ที่เดิม
“เฮอะ...ไม่ได้มาเป็นต้นทางดูลาดเลาให้ไอ้พี่คุณเรอะ?” เทียมภพเปิดฉากหาเรื่องทันที
“พี่ชลมาแล้วหรือคะ? งั้นดิฉันขอตัว...” หล่อนพยายามไม่ฟังคำเสียดสีเผ็ดร้อนนั้น หาทางเดินเลี่ยงแทรกตัวออกไปจากห้องที่มีร่างใหญ่อย่างกับยักษ์ยืนขวางประตูอยู่
“เดี๋ยว...ยังไม่ได้ตอบผมเลย นัดไอ้พี่คุณมาใช่มั้ยล่ะ ถือโอกาสตอนไม่มีคนอยู่บ้าน ดีนะที่วันนี้ผมกลับมาก่อน” ความจริงเขาเองก็รู้ดีว่าชลธีมีธุระจะหารือด้วยจริงๆ แต่ด้วยอารมณ์พาลที่ยังถูกระบายออกไปไม่หมดดังนั้นรมณ์นลินนี่แหละที่ต้องแบกรับไปเต็มๆ
“คุณหมากคะ...พี่ชลแค่มารับดิฉันเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้มาทำอะไรอุบาทว์อย่างที่คุณคิดหรอก กรุณาหลีกทาง” รมณ์นลินพยายามจะเดินออกไปแต่เทียมภพก็ยกแขนขึ้นมากั้นไว้ไม่ให้ไป
“คุณด่าผมอีกแล้วนะ สงสัยไอ้โรคปากจัดนี่จะรักษาด้วยวิธีเดิมไม่หายขาดแฮะ?” เขาใช้เท้าข้างหนึ่งเขี่ยประตูให้ปิด หญิงสาวหมดทางหนีแล้ว
“อย่านะ! หยุดความคิดทำเรื่องบ้าๆนะ” เทียมภพไม่สนใจเสียงห้าม ยังคงย่างสามขุมเข้าหาหญิงสาวตรงหน้าเหมือนแมวจ้องตะปบเหยื่อ รมณ์นลินตัดสินใจหยุดการเคลื่อนไหวนั้นด้วยการตวัดฝ่ามือหนักหน่วงไปที่ซีกแก้มคนตัวสูงจนหน้าสะบัด
“มือหนักใช้ได้ อย่างนี้ค่อยพอฟัดพอเหวี่ยงกันหน่อย” เทียมภพยกมือลูบแก้มเบาๆก่อนจะกระชากแขนอีกฝ่ายเข้ามาและกดริมฝีปากลงไปอย่างแม่นยำ รมณ์นลินพยายามดิ้นและดิ้นแต่ดูเหมือนว่าไม่อาจะหลุดจากพันธนาการที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น เทียมภพกดริมฝีกปากหนักขึ้นจนหญิงสาวรู้สึกเจ็บ มือทั้งสองข้างถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาและท้ายสุดเขาก็ใช้กำลังที่มีอยู่มากกว่าผลักหญิงสาวให้ล้มลงไปบนเตียง
“อย่านะ! ได้โปรด...หยุดเถอะค่ะ” และนั่นก็เป็นเสียงสุดท้ายที่หล่อนเปล่งออกมาเพราะเทียมภพโถมร่างหน้าลงมาทาบทับร่างเล็กกว่าที่พยายามกระถดถอยหนี คนที่ทับตัวอยู่กำลังเปลี่ยนเป้าหมายการรุกรานไปยังจุดอื่น
“หยุดนะ!...ถ้าน้องพลูเข้ามาเห็นจะว่ายังไง?”
“ไม่รู้...รอให้มาเห็นก่อนถึงตอบได้” เขาตอบกวนๆพลางซุกไซ้ปลายจมูกไปทั่วลำคอระหง พอเขาเลื่อนหน้าขึ้นมาจะจูบอีกหล่อนก็อาศัยจังหวะนั้นกัดหมับเข้าให้ตรงไหล่พอดิบพอดี
“โอ๊ย! ปล่อยนะ เจ็บนะโว้ย!” คนถูกกัดทีเผลอสะดุ้งโหยง คนกัดยิ่งเพิ่มแรงกัดเข้าไปอีก ตอนนี้ปรารถนาเพียงให้อีกฝ่ายได้รับความเจ็บปวดอย่างสาสม
“ไม่ปล่อยใช่มะ?” เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเนื้อตรงไหล่กำลังจะหลุด เขาจึงตัดสินใจใช้อุ้งมือข้างหนึ่งมากอบกุมหน้าอกของหญิงสาวไว้ ออกแรงบีบหนักหน่วงพอกัน รมณ์นลินปล่อยไหล่ที่กำลังกัดอยู่ทันที ตะลึงมองฝ่ายกระทำตาค้าง แต่เขายังไม่หยุดการกระทำจ้วงจาบนั้น มือหนาเปลี่ยนจากบีบขยำทรวงอกข้างนั้นมาเป็นเคล้าคลึงเบาๆอย่างชำนาญ!
“กัดต่อสิ...สาวน้อย” เทียมภพท้าทายเมื่อรู้ตัวว่าได้เปรียบและกำลังจะก้มลงไปจูบใหม่
“คุณหมาก...พอแล้วค่ะ ปล่อย...ได้โปรด” คนถูกรังแกสะอื้นอย่างยอมจำนน ฝ่ายนักล่าเลยยิ่งได้ใจจะจัดการเหยื่อต่อแต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งขึ้นบันไดมาทำให้เขาต้องหยุดการลวนลาม รีบผละจากร่างบางนั้นอย่างแสนเสียดาย รมณ์นลินเองก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นนั่งจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางพอดีกับที่เจ้าของห้องตัวจริงเปิดประตูเข้ามา
“อ้าวพี่หมาก...น้องพลูจะมาตามพี่แฟงพอดีเลย” แทนดาวมองทั้งคู่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม คิดอย่างคนมองโลกสวยว่าสองคนนี้คงเถียงกันตามเคย พี่หมากหน้ายุ่งเชียวส่วนพี่แฟงก็หน้าตาแดงไปหมด
“พี่ก็มาตามคุณแฟงเหมือนกัน พี่ชายคุณรออยู่ข้างล่างแน่ะ” คนตัวโตแก้ตัวน้ำขุ่นคลั่กทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ่อ...งั้นกลับก่อนนะคะ ป่านนี้พี่ชลรอแย่แล้ว” รมณ์นลินรีบผลุนผลันออกไป เทียมภพมองตามไปด้วยความสะใจ
“แล้วนี่เราไปเจอไอ้ชลมันแล้วเหรอ?” พอคู่กรณีจากไปแล้วก็หันมาถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงดุดัน เขาไม่น่ามาเสียเวลาตรงนี้ กลายเป็นเปิดโอกาสให้สองคนนี้เจอกันจนได้
“ก็...น้องพลูแค่ลงไปข้างล่างดูว่าใครมา ก็เลยเจอกันน่ะค่ะ”
“แล้วดอกไม้นี่ใครให้มา? เอามาจากไหน?” เขามองดอกไม้ในมือน้องสาวเหมือนกับว่ามันเป็นขยะน่ารังเกียจ
“พี่เวซื้อมาให้ค่ะ” น้องสาวตอบตะกุกตะกัก คิดว่าไม่น่าถือติดมือมาให้พี่ชายเห็นเลย
“อ้อ...ไอ้กเฬวรากนั่นน่ะเอง เอาไปทิ้งเดี๋ยวนี้นะ! มันกล้าดียังไงเข้ามาหาเราถึงบ้าน แล้วนี่มันมาเกาะแกะอะไรเราหรือเปล่าฮะ?” เทียมภพคาดคั้นพร้อมกับจับแขนน้องสาวให้มานั่งคุยกัน
“เปล่านะคะ พี่เวเค้าแวะมาเฉยๆ”
“งั้นมันก็แส่หาเรื่องเจ็บตัวเอง เอาไว้ก่อนค่อยหาเวลาไปจัดมันนอกรอบ แล้วเมื่อกี้ไอ้ชลมันคุยอะไรกับเรามั่ง?” พี่ชายยังคงไม่หยุดซัก
“ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ เค้าแค่ถามหาพี่แฟงเอง” แทนดาวไม่กล้าตอบทั้งหมด พยายามหลบตาพี่ชายที่ส่งสายตาแผดเผามาไม่หยุดหย่อน
“เฮ้อ...สงสัยพี่คงต้องวางมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เราใหม่เสียแล้ว ยิ่งช่วงนี้งานยุ่งไม่มีเวลาดูแลใกล้ชิด ดูสิ...ตั้งแต่คุณพ่อป่วยนี่มีคนแปลกหน้าเข้าออกบ้านเรายังกะสวนสนุก ถ้าเปิดขายบัตรเข้าเยี่ยมชมบ้านนี่คงจะรวยไปแล้ว” เทียมภพบ่นอุบ แทนดาวหน้ามุ่ย ใครก็ตามที่พี่ชายไม่ชอบหน้าแล้วล่ะก็ จะต้องถูกจัดอยู่ในประเภท ‘คนแปลกหน้า’ ทุกราย
“พี่เนี่ยชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้” แทนดาวว่าให้
“เรื่องเล็กที่ไหนกันคะ เกิดมันมาทำอะไรเราตอนพี่ไม่อยู่ล่ะ ใครจะมาช่วยทัน” พี่ชายยกเหตุผลที่ไม่น่าเป็นไปได้มาอ้าง แหม....พี่หมากขา คนอยู่ออกเต็มบ้านเนี่ยนะ
“เอาล่ะ...เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน จะได้ไปโรงพยาบาลกัน ว่าจะมานอนสักหน่อยก็ดันเจอเรื่องห่าเหวนี่ แล้วไอ้ดอกไม้เส็งเคร็งนั่น...เอามานี่เลย” คนเกิดก่อนแย่งช่อลิลลี่มาจากมือน้องสาวทันทีโดยไม่สนใจคนเกิดทีหลังที่กำลังพยายามแย่งกลับคืนมา
“อื้อ...เอาคืนมานะ! ของน้องพลูนะ!” สองมือพยายามไขว่คว้าช่อดอกไม้แต่ก็เอื้อมไม่ถึง
“ไม่ให้! กล้ารับดอกไม้จากผู้ชายได้ยังไงกันฮึ เดี๋ยวมันก็คิดว่าเราเล่นด้วยหรอก!”
“พี่หมากบ้า! แค่ดอกไม้เองนะ...น้องพลูจะเอาไปใส่แจกัน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้...คนใจร้าย!” แทนดาวเริ่มร้องไห้ ดอกไม้ที่ยื้อแย่งกันเริ่มหลุดจากช่อทีละดอก สาวน้อยมองมันด้วยความเสียดายสุดหัวใจ ได้แต่กรีดร้องเต้นเร่าๆอยู่ตรงนั้น โกรธคนเกิดก่อนขึ้นสมองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
คนตัวเล็กยังคงนอนคว่ำหน้าสะอื้นอยู่บนเตียง เสียดายดอกไม้สวยๆที่เชยชมได้ไม่ทันข้ามวัน สุดจะโกรธที่พี่ชายทำตัวไร้เหตุผลไม่เข้าท่า ถึงขั้นเรียกประชุมคนในบ้าน สั่งกำชับว่าต่อไปนี้ห้ามผู้ชายหน้าไหนเข้ามาหาน้องสาวตัวเองเป็นอันขาด หากมีธุระจะต้องลงบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จดเวลาเข้าเวลาออกและต้องโทรไปรายงานเขาก่อนทุกครั้ง ถ้าไม่อนุญาตก็ห้ามเข้า ทำยังกับหล่อนเป็นนักโทษงั้นแหละ
“ที่พี่ทำไปก็เพราะหวังดีกับเรานะ เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนที่มาจะมีเจตนาดีทุกคน พี่มีน้องสาวคนเดียวก็ห่วงมากเป็นธรรมดา เข้าใจกันมั่งสิ” เทียมภพที่เห็นสภาพน้องสาวเอาแต่ร่ำไห้ก็อ่อนใจ พยายามปลอบเท่าไหร่ก็ไม่หยุด จะว่าตนเองทำเกินไปก็ยอมรับแต่ใครจะเข้าใจหัวอกคนเป็นพี่อย่างเขาบ้าง
“พี่หมากจะอะไรกันนักกันหนา พลูเป็นน้องนะไม่ใช่นักโทษ ทำไมไม่ทำกรงแล้วจับน้องพลูขังไว้เลยล่ะ” แทนดาวป้ายน้ำตาเป็นเด็กๆ พี่ชายจึงรีบเข้าไปกอดปลอบแต่ก็ถูกคนเกิดทีหลังทุบให้พลั่กหนึ่งแถมยังสะบัดตัวออกไม่ยอมให้กอด
“อย่ามายุ่ง! ไม่ต้องมายุ่งเลย...พลูเกลียดๆๆ เกลียดคนเผด็จการอย่างพี่หมากที่สุดเลย ฮือ...เจ้าลิลลี่ผู้น่าสงสาร ต้องมาพังยับเยินเพราะเจอคนใจร้าย” ว่าแล้วก็เหวี่ยงหมอน ตุ๊กตา หนังสือที่อยู่รอบๆตัวใส่พี่ชาย เทียมภพได้แต่ปัดป้องวัตถุทั้งแข็งและไม่แข็งที่ปลิวมาโดน
“เอาเถอะ...สักวันหนึ่งเราจะรู้ซึ้งถึงความหวังดีจากพี่ ว่าแต่ว่าหยุดร้องได้แล้ว จะได้ไปหาคุณพ่อกันนะคะ ให้คุณแม่กลับมาพักบ้างเนอะ” เขาพยายามฉุดแขนน้องสาวให้ลุกขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะแม่คุณเล่นสะบัดหลุดอยู่ร่ำไป
“ไม่ไป! พลูไม่ไปกับพี่หมากหรอก เดี๋ยวจะนั่งแท็กซี่ไปกับแป๋ม”
“ไม่เอาน่า...เร็วสิคะ ไปช้าก็หมดเวลาเยี่ยมพอดี อย่าดื้อนักสิคะ...พี่เหนื่อยนะเนี่ย” เทียมภพทิ้งลงนั่งข้างๆน้องสาว เอามือลูบหน้าแสดงอาการเหนื่อยจริงๆ แทนดาวเห็นพี่ชายทำท่าแบบนั้นก็ รู้ตัวว่าควรหยุดออกฤทธิ์เสียที
“น้องพลูขอโทษค่ะ” หญิงสาวรีบโผเข้ากอดคอพี่ชายที่นั่งหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน เขากอดตอบหลวมๆก่อนจะพูดเป็นงานเป็นงานเป็นการ
“พี่รู้ว่าทำให้น้องพลูอึดอัด แต่ตอนนี้บ้านเราไม่เหมือนเดิมแล้ว คุณพ่อมาป่วยแบบนี้พี่ก็ต้องดูแลทั้งครอบครัว แล้วยิ่งกับเราพี่ก็เป็นห่วงและแคร์มากกว่าใครๆ ก็ต้องหาทางปกป้องให้ดีที่สุด เพราะพี่เองก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลเราตลอด” แทนดาวพยักหน้ากับอกกว้างแม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักก็ตามที
“น้องพลูโตแล้วนะคะ ดูแลตัวเองได้ พี่หมากไม่ปล่อยน้องพลูมั่งล่ะ”
“ยิ่งโตพี่ก็ยิ่งห่วงรู้มั้ย น้องพลูเป็นผู้หญิงนะครับ อันตรายมีอยู่รอบด้าน นี่ขนาดอยู่ในบ้านยังเกิดเรื่องแบบนี้ได้ พี่ไม่อยากให้น้องพลูเอ่อ...” เขายังพูดไม่ทันจบน้องสาวก็ต่อให้
“เป็นแบบผู้หญิงที่พี่หมากทำกับเขาไว้ใช่มั้ยล่ะ” เทียมภพเงียบ แน่ล่ะ...เขาก็กลัวกรรมตามสนองเหมือนกันนี่นะ ผู้ชายรักสนุกอย่างเขา ผ่านการมีความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับสตรีเพศมาก็มากมายจึงอ่อนไหวกับคนของตัวเองมากเป็นพิเศษ
ตั้งแต่แทนดาวเริ่มโตเป็นสาว เขาก็แทบไม่ปล่อยให้น้องสาวคนนี้ห่างกาย แม้แต่กับเพื่อนสนิทก็ยังไม่อยากให้เข้ามาวุ่นวาย ให้เรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาตลอด พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกดูคณะที่คิดว่ามีแต่ผู้หญิงเรียน! เขาเก็บแทนดาวไว้เสมือนของล้ำค่าที่มีชิ้นเดียวในโลก ให้ความดูแล คุ้มครองเต็มที่ จนฝ่ายที่เป็นห่วงกลับกลายเป็นคนในบ้านเสียเอง โดยเฉพาะคุณดวงทิพย์ที่กลัวว่าลูกสาวคนเล็กจะขึ้นคาน!
“เลิกงอแงแล้วก็ไปกันดีกว่า ป่านนี้คุณพ่อคงอยากเห็นลูกสาวจอมดื้อคนนี้จะแย่แล้ว” เทียมภพเช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายบนแก้มน้องสาวก่อนจะกดจมูกลงไปแรงๆทั้งสองข้าง แทนดาวค่อยยิ้มออกมาได้และเตรียมจะหอมกลับไป พลันสายตาก็สังเกตรอยผื่นแดงๆบนแก้มข้างหนึ่งของพี่ชายเสียก่อน
“พี่หมากไปโดนอะไรมาคะเนี่ย? เป็นผื่นแดงเลย” แทนดาวลูบแก้มข้างนั้นของพี่ชายเบาๆ เทียมภพสะดุ้งน้อยๆ รู้สึกแสบขึ้นมานิดๆ คิดทบทวนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที
“อ้อ...พี่เพิ่งโกนหนวดน่ะ สงสัยใบมีดมันจะทื่อ ป่ะ...ไปได้แล้วเจ้าหญิง” จากนั้นเขาก็ไม่ปล่อยให้น้องสาวขี้สงสัยได้ซักไซ้อะไรต่ออีก
“แฟง...เป็นไรไปจ๊ะ เงียบเลยนะ” ชลธีอดถามน้องสาวที่นั่งนิ่งมาตลอดทางไม่ได้
“แฟงแค่รู้สึกเหนื่อยๆน่ะค่ะ ว่าจะแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตซะหน่อยแต่รู้สึกไม่ค่อยจะดีเลยค่ะ เรากลับบ้านกันเลยดีกว่า เดี๋ยวจะโทรบอกส้มให้เตรียมทำกับข้าว” หล่อนบอกพี่ชาย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ยังไม่อาจทำใจให้สงบได้ ริ้วรอยแห่งความร้อนจากริมฝีปากหนาที่ใช้ลงทัณฑ์ยังผาดแผ่วอยู่บนริมฝีปาก คอ แก้ม คาง ไหนจะหน้าอกเขาจงใจสัมผัสลวนลามอย่างไร้ความเป็นลูกผู้ชาย! ถามตัวเองว่าโกรธไหมที่เขาทำแบบนั้นก็ต้องตอบว่าไม่ ไม่โกรธ...แต่เสียใจ เสียใจที่เขาเห็นหล่อนเป็นเพียงของไร้ค่าที่จะหยิบฉวยเชยชมอย่างไรก็ได้ทุกเมื่อที่ต้องการทั้งๆที่ตนเองเคยเทิดทูนเขายิ่งกว่าวีรบุรุษ
“โอเค อ้อ...แม่จะขึ้นมาวันนี้ ป่านนี้คงกำลังเดินทางละมั้ง สามทุ่มน่าจะถึง” รมณ์นลินพยักหน้ารับรู้ ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเริ่มมาเป็นระลอก
“พี่ว่าแฟงต้องไม่สบายแน่ๆเลย ตีซึมแบบนี้” เขาเอื้อมมือไปอังหน้าผากน้องสาวก็รู้สึกว่าตัวรุมๆ
“ชักมึนค่ะ เมื่อเช้ายังดีอยู่แท้ๆ” หล่อนพยายามหาสาเหตุการป่วยของตัวเองก็หน้าแดง จะมีผู้หญิงสักกี่คนในโลกใบนี้ที่ถูกจุมพิตจนไข้ขึ้น!
“เฮ้ย...พี่ว่าเราอาการชักจะไม่ค่อยดีแล้วล่ะ” เขาบอกน้องสาวเมื่อหันไปมองอีกครั้งแล้วเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงจัด รมณ์นลินเพียงแค่ยิ้มเจื่อนๆให้พี่ชาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ