ปลูกรักในรั้วใจ
10.0
เขียนโดย อิสวารายา
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.
39 ตอน
0 วิจารณ์
38.40K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) ตอนที่ 11 หวนคืนมา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 11 หวนคืนมา
ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดแต่เทียมภพพร้อมทั้งบิดาและอาก็ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปรับลูกค้าชาวจีนที่ตั้งใจบินมาดูโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่อยุธยา แทนดาวอ่านข้อความในไลน์ที่พี่ชายส่งมาว่ากลางวันจะมารับไปรับประทานข้าว พอสายหน่อยก็มีเบอร์ไม่คุ้นโทรเข้ามา
“หวัดดีจ้ะน้องพลู พี่เวเองนะ”
“ค่ะพี่เว สวัสดีค่ะ” แทนดาวแปลกใจที่รุ่นพี่มีเบอร์ตนเอง คงจะเป็นพี่สาวแสนดีนั่นแหละที่ให้ไป
“วันนี้น้องพลูไปไหนหรือเปล่า? พี่อยากพาน้องพลูไปกินข้าวกลางวัน” เขาชวน
“คือ...วันนี้พี่หมากจะมารับไปกินข้าวเที่ยงพอดีค่ะ น้องพลูต้องรอ”
“งั้นหรือครับ งั้นเอาไว้ว่างๆพี่จะนัดใหม่นะ” เขาตอบเสียงอ่อยด้วยความผิดหวัง
“ก็ได้ค่ะ แต่...น้องพลูไม่รับปากนะคะว่าจะไปกับพี่เวได้มั้ย” แทนดาวเห็นใจเขาอยู่เหมือนกันแต่ความหวังดีที่อยากให้เขามีชีวิตรอดนั้นมีมากกว่า
“โอเค...พี่เข้าใจ แล้วเจอกันนะน้องพลู” แทนดาวไม่เคยมีเพื่อนชายจึงไม่รู้ว่าการตอบรับแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายมีความหวังแค่ไหน แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากเดินฮัมเพลงไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อรอครูสาวที่วันนี้จะมาสอนเพลงใหม่ให้ที่บ้าน
รมณ์นลินลุ้นว่าจะเจอมนุษย์ตกมันคนนั้นอีกหรือไม่แล้วก็โล่งใจที่วันนี้ไม่เจอ ‘ระเบิดชีวภาพ’ ร่องรอยที่อีกฝ่ายฝากฝังไว้บนกลีบปากยังรงความร้อนรุมประทับอยู่ไม่หาย
“เอ่อ...แล้วพี่ชลไม่อยู่หลายวันอย่างนี้ พี่แฟงอยู่กับใครล่ะคะ?” แทนดาวก็ไม่ไม่กล้าเอ่ยปากถามถึงพี่ชายของครูสาวตรงๆ เลยได้แต่เลียบๆเคียงๆเอา
“แม่มาอยู่เป็นเพื่อนค่ะ เมื่อวานก็เฟสไทม์คุยกัน พี่ชลส่งรูปงานแข่งขันเชฟทำขนมมาให้ดูด้วย...ดูน่าสนุกมาก นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องสอนเด็กๆ พี่คงขอตามไปดูด้วย”
“แล้วพี่ชล...เค้าไปคนเดียวเลยเหรอคะ?” แทนดาวก้มหน้างุดรู้ตัวว่าพลาดแล้ว
“คือ..หมายถึงพนักงานคนอื่นๆน่ะค่ะ ประมาณว่าไปดูงานไรงี้” คนถามขยายความเพิ่มพร้อมกับยิ้มอายๆ
“ถ้าเรื่องงานแบบนี้จะฉายเดี่ยวตลอด ก็พี่ชลยังโสดอยู่นี่คะ” รมณ์นลินตอบพร้อมกับยิ้มบางๆให้
“งั้นเรามาเริ่มเรียนกันเลยดีมั้ย ขอทบทวนเพลงเก่าก่อนนะคะ” ครูสาวเบี่ยงเบนประเด็นการพูดคุยออกไปเพราะไม่อยากให้ลูกศิษย์สาวรู้สึกขัดเขิน รู้อยู่เต็มอกหรอกว่าพี่ชายตนเองคงไป ‘หยอด’ อะไรเอาไว้แน่ๆ
“อืม...แล้ววันนี้พี่แฟงมีธุระต่อที่ไหนหรือเปล่าคะ?”
“ไม่หรอกค่ะ เสร็จจากน้องพลูพี่ก็ต้องไปสอนที่โรงเรียนตอนบ่ายสาม”
“ดีเลยค่ะ...งั้นวันนี้เราไปทานกลางวันข้างนอกกัน”
“ได้สิคะ แล้วบอกคุณแม่หรือยัง?”
“คุณแม่รู้ก่อนน้องพลูอีกค่ะเพราะว่าวันนี้พี่หมากเป็นเจ้ามือ” รมณ์นลินชะงักมือที่กำลังพลิกสมุดโน้ต ตอนแรกคิดว่าลูกศิษย์สาวจะชวนไปกันแค่สองคนเลยตกปากรับคำ เจ็บใจตัวเองที่ใจร้อนไม่ยอมสอบถามให้เรียบร้อยก่อนว่ามีใครไปบ้าง
“พี่แฟงเป็นอะไรคะ? ใจลอยเชียว” ลูกศิษย์ถามเมื่อเห็นครูสาวยังคงค้างมือที่กำลังจะพลิกโน้ตเพลง รมณ์นลินรีบส่ายหน้า
“งั้นน้องพลูเริ่มเลยนะ” แทนดาวนั่งประจำที่แล้วเล่นทบทวนเพลงเก่าอย่างที่คุณครูบอก รมณ์นลินมัวแต่คิดถึงเรื่องที่ต้องไปรับประทานอาหารกลางวันจึงไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงเพลงที่ลูกศิษย์สาวกำลังบรรเลง ไม่รู้เลยสักนิดว่าคนที่จะเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวได้มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องสักพักแล้ว พอน้องสาวเล่นเพลงคลาสสิกจบอย่างถูกต้องไพเราะเขาก็ปรบมือให้สองสามครั้งแล้วก้าวเข้ามาด้วยมาดนิ่งขรึม
“เก่งมากจ้ะใบพลู ไม่รู้ว่าครูของเราจะได้ฟังหรือเปล่าว่าเพลงเพราะขนาดไหน?” เทียมภพเดินมายืนข้างน้องสาวแต่ตายังจับจ้องอยู่ที่สตรีอีกคนไม่วางตา คำพูดนั้นจะว่าชมน้องสาวจริงๆก็ไม่เชิงนักดูคล้อยไปทางประชดประชันเสียมากกว่า รมณ์นลินตัวแข็งทื่อด้วยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะเจอเขาเร็วขนาดนี้ ความรู้สึกร้อนวูบแล่นตั้งแต่ปลายผมสู่ปลายเท้า ยิ่งสบตากระด้างดุดันนั่นด้วยแล้วยิ่งทำให้ตัวสั่นและเผลอเม้มริมฝีปากแน่น
“คุณหมาก...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” หล่อนละล่ำละลักถาม
“ก็มาทันได้ฟังเพลงเมื่อกี้แล้วก็เห็นคุณยืนเหม่อ เป็นครูประสาอะไรฮะ? ถึงไม่สนใจนักเรียนอย่างนี้” เทียมภพใส่เป็นชุด ก็เห็นยืนใจลอยอยู่เป็นนาน ขนาดน้องสาวเล่นเพลงจบแล้วยังยืนเฉยจนเขาต้องปรบมือเรียกสติ
“พี่หมากเนี่ย...พี่แฟงเค้าก็ฟังอยู่แล้ว อย่ามาหาเรื่องนะ แล้วไหนว่าจะมาเที่ยง...นี่ยังไม่ทันเที่ยงเลย” แทนดาวรีบห้ามทัพเพราะรู้ว่าพี่ชายกำลังอยู่ในอารมณ์พาล
“ก็งานพี่เสร็จก่อนเวลาเลยกลับมาบ้านเร็ว แล้วหนูคิดหรือยังล่ะคะ...ว่าอยากกินอะไร?” เทียมภพก้มหน้าลงไปถามน้องสาวอย่างเอาใจแล้วเลยหอมแก้มใสๆนั้นหนึ่งฟอด รมณ์นลินมองแล้วก็หมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ
‘‘ทีกับน้องล่ะเปลี่ยนเป็นคนละคน น้องพลูจะรู้บ้างมั้ยว่าพี่ตัวเองน่ะจอมหาเรื่องชัดๆ’’
“ไม่น่าถาม...ต้องอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว” แทนดาวตอบทันควัน เทียมภพขยี้หัวน้องสาวเบาๆพลางคิดในใจว่าคงต้องกินอะไรรองท้องไปก่อนเพราะไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นเอามากๆ
“อ้อ...น้องพลูชวนพี่แฟงไปด้วยค่ะ พี่แฟงตกลงแล้วด้วย” รมณ์นลินมองหน้าลูกศิษย์เลิกลั่ก คงหมดโอกาสปฏิเสธหรือเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม โธ่!...ถ้ารู้ว่าจะได้ไปกับคนอารมณ์แปรปรวนอย่างนี้ล่ะก็ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกแล้ว
“เหรอ...งั้นก็เตรียมตัวไว้ เดี๋ยวเที่ยงก็ออกไปกันเลย” เขาตอบสั้นๆแล้วก็เดินผิวปากจากไปอย่างสบายอารมณ์ รมณ์นลินมองตามแผ่นหลังเขาไปอย่างไม่รู้ตัว
“พี่แฟง...พี่แฟงขา...” แทนดาวต้องร้องเรียกคุณครูถึงสองครั้งกว่าที่อีกฝ่ายจะหันมา
“คะ...อะไรเหรอ?” คนถูกเรียกหันมายิ้มเก้อๆให้ลูกศิษย์
“มาต่อกันเถอะค่ะ ไม่ต้องใจลอยนักหรอก เดี๋ยวกลางวันนี้ก็ได้ทานข้าวด้วยกันแล้ว” แทนดาวพูดจบก็อมยิ้มแล้วหันไปสนใจเปียโนต่อ รมณ์นลินอายจนหน้าแดง
ร้านอาหารยามเที่ยงนั้นแน่นเกือบทุกร้าน คนที่ปรารถนาจะได้ฟาดอาหารญี่ปุ่นให้ฉ่ำใจเป็นอันต้องเดินงุ่นง่านระหว่างรอเรียกคิวด้วยความหิว นี่ก็ปาเข้าเที่ยงครึ่งแล้วยังไม่ได้กินเลย แม้พี่ชายจะเสนอให้ไปร้านอื่นก็ไม่ยอม ยืนยันว่าตั้งใจมาแล้วก็ต้องรอได้ไม่อย่างนั้นจะเสียความตั้งใจอย่างแรง เทียมภพเกาหัวแกรก เขาน่ะไม่เป็นไรเพราะว่ากินรองท้องมาจากบ้านส่วนไอ้น้องสาวนั้นออกอาการโมโหหิวเต็มที่ ผิดกับครูสาวที่นั่งนิ่งไม่ปริปากใดๆ ความจริงหล่อนก็ไม่พูดอะไรมาตั้งแต่อยู่ในรถแล้ว ถึงน้องสาวจะชวนคุยด้วยก็เอาแต่ถามคำตอบคำ จนเขานึกหมั่นไส้ขึ้นมานิดๆว่า
‘‘กลัวดอกพิกุลจะร่วงหรือไงกันแม่คุณ’’
“ถ้าอีกห้านาทียังไม่ได้เข้าไปล่ะก็...พลูจะถล่มร้านให้เละเชียว” แทนดาวเดินไปเดินมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ บ่นกระปอดกระแปดจนพี่ชายชักหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“หยุดเดินได้แล้ว...ก็พี่บอกให้ไปร้านอื่นก็ไม่เอา ป่ะ...เดี๋ยวพี่พาไปอีกร้านนึง”
“ไม่เอา! น้องพลูจะกินซูชิ ถ้าวันนี้ไม่ได้กินก็จะไม่ยอมกินอะไรเลยทั้งวัน” พอน้องหนูเริ่มออกอาการดื้อแพ่ง พี่ใหญ่อย่างเขาก็ต้องเกาหัวเป็นรอบที่สิบ
“เอางี้มั้ยคะน้องพลู...พี่รู้จักร้านอาหารไทยอีกร้านที่นี่ มีอาหารญี่ปุ่นขายด้วย อาจจะน้อยกว่าร้านนี้แต่ก็อร่อยดีเหมือนกันนะคะ” รมณ์นลินเสนอ แทนดาวลังเลนิดหนึ่งก็ยอมไปแต่โดยดี นั่นทำให้พี่ชายอย่างเทียมภพทั้งงงทั้งแปลกใจและเสียความมั่นใจไปอย่างมาก ก็น้องสาวคนนี้น่ะ...เวลาดื้อขึ้นมาแล้วจะเชื่อฟังใครง่ายๆเสียที่ไหน ถ้าลองอยากจะได้ก็ต้องได้แต่กลับยอมเชื่อครูสาวที่กำลังเดินนำไปยังร้านอาหารที่ว่า
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีทั้งหมดก็มายืนอยู่ร้านอาหารไทยที่ค่อนข้างกว้างขวางโอ่โถง ภายนอกและภายในตกแต่งด้วยผ้าไหมและภาพลายไทย คนแน่นร้านพอสมควรแต่ก็ยังพอมีที่นั่งเหลือ รมณ์นลินเดินนำเข้าไปก่อน เทียมภพเลื่อนเก้าอี้ให้ทั้งสองสาวนั่งจนเรียบร้อยก่อนจะนั่งลงข้างๆน้องสาว จากนั้นรอให้ทั้งคู่สั่งอาหารที่ชอบก่อนแล้วตัวเองจึงสั่งทีหลัง รมณ์นลินนึกชื่นชมในมารยาทที่สุภาพบุรุษพึงกระทำของเขา แม้ว่าในบางครั้งบางคราจะทำตัวไม่น่ารักแต่ยามที่อยู่ในสถานการณ์ปกติแบบนี้เขาก็ปฏิบัติตัวดีตามลักษณะนิสัยส่วนตัวอย่างแท้จริง
“น้องพลูไม่เคยเข้าร้านนี้มาก่อนเลยค่ะ ได้แต่ผ่านๆ” เมื่อแทนดาวสั่งของโปรดเสร็จก็เริ่มพูดคุยอย่างอารมณ์ดี
“ความจริงพี่ก็ไม่ค่อยได้มาหรอกค่ะ แต่คุณแม่ชอบมาเวลาขึ้นมากรุงเทพฯ” รมณ์นลินตอบแล้วก็หันไปรับโทรศัพท์
“พี่ชลเหรอคะ...เป็นไงมั่ง?” ชื่อจากปลายสายที่หญิงสาวเรียกดึงให้สองคนพี่น้องเงี่ยหูฟังบทสนทนาโดยฝังกลบคำว่ามารยาทเสียมิด เทียมภพทำเป็นอ่านเมนูไม่สนใจแต่หูน่ะไม่กระดิกเชียว ส่วนน้องสาวนั้นไม่ยอมเก็บอาการ ทำตาโตจ้องหน้ารมณ์นลินราวกับจะบันทึกทุกคำพูดเอาไว้ในหน่วยความจำ
“คุณแม่มาแล้ว ตอนนี้มาทานข้าวกับน้องพลู ละ...และคุณหมากค่ะ” แล้วบทสนทนาต่อจากนั้นก็จับความอะไรไม่ได้เลยเพราะคนพูดเอาแต่ ‘ค่ะ’ อย่างเดียวจนจบ แทนดาวลอบผ่อนลมหายใจด้วยความเสียดาย
“เอ้า...จะเอาอะไรเพิ่มอีกมั้ย? เห็นสั่งไปแค่อย่างเดียวเอง” เทียมภพกระตุ้นเมื่อเห็นหญิงสาวยังนิ่งเฉย
“พอแล้วค่ะ...แฟงยังไม่ค่อยหิว” หล่อนตอบอย่างเกรงใจ ก็จะว่าอย่างไรได้ล่ะ...พอพี่ชายรู้ว่าออกมากับเทียมภพก็บ่นเป็นชุด จะเล่ารายละเอียดมากกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะคู่กรณีนั่งอยู่ใกล้ๆ
“อย่าเรื่องเยอะ ให้กินก็กินเข้าไปเถอะ!” เขาสั่งเสียงเข้ม
“ดิฉันไม่ได้เยอะ แต่ไม่หิวจริงๆนี่คะ” หล่อนเถียง
“เอางี้ค่ะ...พี่แฟงกินกับน้องพลูก็แล้วกัน สั่งมาหลายอย่าง...มาช่วยกันสวาปามให้เตียนดีกว่าค่ะ” แทนดาวสรุปให้
“พูดอะไรน่ะฮึ? ไปจำคำพูดไม่น่ารักแบบนั้นมาจากไหน?” เทียมภพดุน้องสาวที่ใช้ศัพท์แสงฟังดูไม่ค่อยสุภาพนัก
“น้องพลูเคยได้ยินพี่หมากพูดนี่นา” น้องสาวตอบอุบอิบ รมณ์นลินที่นิ่งอยู่นานเผลอหลุดขำจนเทียมภพเสียฟอร์ม
“นี่...ห้ามพูดอีกนะคะ เราเป็นผู้หญิงต้องพูดจาเพราะๆ ใครมาได้ยินเข้าจะหาว่าพี่ไม่สั่งสอน” เขาสอนน้องแต่ตามองคนที่นั่งตรงข้ามอย่างเคืองที่บังอาจหัวเราะเยาะเขา
“พี่หมากแกะปลาให้พี่ผึ้งด้วยสิ น้องพลูได้แล้ว” น้องสาวสั่งเสียงใสขณะที่พี่ชายพยายามเลาะก้างออกจากเนื้อปลาทอดให้น้องสาว เทียมภพทำหน้าตาเหรอหราจนคนนั่งตรงข้ามอดแอบยิ้มไม่ได้
“ฮึ่ม...” เขาส่งเสียงงึมงำในลำคอแต่ก็ยอมทำตาม วางชิ้นปลาลงในจานของรมณ์นลินอย่างเสียมิได้
“อ้ำเร็ว...” ทีนี้น้องสาวส่งเนื้อแซลมอนจ่อที่ปากพี่ชายบ้าง
“ไม่เอา...พี่ไม่กินปลาดิบค่ะ” เขาส่ายหน้าดิก แทนดาวจึงคีบเข้าปากตัวเองเคี้ยวตุ้ยๆ
“คุณหมากลองไก่ห่อใบเตยสิคะ คุณแม่มาทีไรต้องสั่งเมนูนี้ทุกที” รมณ์นลินตักไก่ห่อใบเตยชิ้นพอดีคำให้เขา
“เอ้า...แกะให้ผมด้วยสิ ทีผมยังแกะปลาให้คุณเลย” เขาท้วง รมณ์นลินถอนหายใจเบาๆแล้วจึงทำตามที่เขาบอก
“อืม...อร่อยจริงด้วย แกะเองมันกินไม่อร่อยแบบนี้” เขาเคี้ยวไปชมไป ไม่รู้ว่าชม ‘อะไร’ หรือ ‘ใคร’ รมณ์นลินก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปาก แทนดาวลอบสังเกตปฏิกิริยาของทั้งคู่แล้วก็ต้องแอบหยิกขาตัวเองพิสูจน์ว่าไม่ได้ตาฝาดหรือหูฝาดไป
“กรี๊ด...พี่หมากกำลังจีบพี่แฟงอยู่ใช่มั้ย?”
“พี่หมากขา...เสร็จแล้วพาน้องพลูไปส่งบ้านม๊าหลีหน่อยสิคะ อยากไปเล่นกับน้องหยิน บอกแกไว้คราวที่แล้วว่าจะไปปั้นตุ๊กตาขนมปังกัน” คนตัวเล็กบอกพี่ชายขณะตักขนมเข้าปาก
“จะไปช่วยซ้อสามเลี้ยงน้องเหรอ...หืม?”
“อืม...ไม่เจอเป็นอาทิตย์แล้ว...คิดถึง” แทนดาวตอบขณะปากก็ยังเคี้ยวตุ้ยๆ พี่ชายต้องใช้นิ้วเช็ดเศษขนมที่ติดตรงมุมปากออกให้ รมณ์นลินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอบอุ่น
“ก็ได้....ตอนเย็นให้เฮียเค้ามาส่งนะ พี่คงไปข้างนอก...เอ้อ...ไปรับสิตาที่กองถ่าย” เขาบอกน้องสาวเสียงเบาเมื่อเอ่ยถึงแฟนสาว แทนดาวเคืองพี่ชายอยู่นิดๆ
“ฮึ่ย....จะพูดถึงแม่หน้าโบท็อกซ์ขึ้นมาทำไมตอนนี้นะ อุตส่าห์ปูทางให้อย่างดีแล้วเชียว”
“ชิ...แล้วพาพี่แฟงไปส่งที่โรงเรียนด้วย เมื่อเช้าพี่แฟงมาแท็กซี่ เห็นบอกว่าเอารถไปเข้าศูนย์” คนตัวเล็กยังออกคำสั่งพี่ชายอย่างต่อเนื่อง
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี่ยวพี่นั่งแท็กซี่จะดีกว่า” หล่อนรีบปฏิเสธ ถ้าเขามี ‘ธุระ’ กับแฟนก็ไม่ควรไปทำให้เสียเวลา
“ไปด้วยกันเถอะ...ยังไงก็ต้องผ่านแถวนั้น” เขาตอบสบายๆก่อนจะดื่มกาแฟดำอึกสุดท้ายรวดเดียวหมด แทนดาวยิ้มกับตัวเองอย่างสมหวัง ลองพี่ชายแสดงออกแนวนี้รับรองไม่พลาดแน่
“เชอะ!...ชุสิตาหน้าซิลิโคนคนงามเตรียมหักหลบลงข้างทางได้เลย”
ชั่วโมงต่อมาเทียมภพก็เลี้ยวรถเข้าเทียบจอดหน้าโรงเรียนดนตรี ‘บ้านตัวโน้ต’ ของรมณ์นลิน หล่อนขอบคุณเขาอีกครั้งแต่ก่อนจะลงรถไปเขาก็พูดขึ้น
“ไอ้พี่คุณมันก็พอมีสะตุ้งสตางค์นี่นา ทำไมมันงกนักล่ะ อะไรกัน...ตัวเองขับรถคันละหลายล้าน แค่ซื้อรถคันเล็กๆให้น้องสาวใหม่มันจะกี่ตังค์กันเชียว ไอ้คันนั้นของคุณมันก็เก่าเต็มที ไม่สงสัยหรอกว่าทำไมต้องเข้าศูนย์บ่อยๆ” เขากระแทกเสียงเมื่อเอ่ยถึงพี่ชายคนนั่งข้างๆ รมณ์นลินนั่งนิ่งไม่อยากต่อล้อต่อเถียง แล้วไอ้ที่เขาว่าอยู่นั่นมันก็ไม่จริงเสียหน่อย พี่ชายอย่างชลธีไม่ได้งก ซ้ำยังเคยพยายามจะเปลี่ยนรถให้ใหม่อยู่ก็หลายครั้งแต่ตนเองต่างหากที่ยอมท่าเดียวจนพี่ชายขู่ว่าจะแอบลากเอาไปทิ้งสักวัน เรื่องของเรื่องคือไม่อยากรบกวนพี่ชายมากไปกว่านี้ แค่เลี้ยงดูมากับเปิดโรงเรียนดนตรีให้ก็นับว่ามากพอแล้วสำหรับลูกกำพร้าเช่นตนเอง
“แล้วนี่มีสอนถึงกี่โมงเนี่ย?” เมื่อคนข้างๆไม่ออกความเห็นใดๆเขาก็ถามต่อ
“.......”
“เฮ้ย! ผมถามว่าสอนถึงกี่โมง?” รมณ์นลินสะดุ้งเมื่อถูกตะคอก ตอนนี้พยายามนั่งนับหนึ่งถึงร้อยข่มความโกรธ
“หะ...หกโมงค่ะ”
“อืม...รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวมารับ” รมณ์นลินมองเขาตาค้างด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ไข้ขึ้นหรือไงนะถึงได้พูดอะไรเพี้ยนๆ
“คะ...เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันกลับเองได้...ว่าจะไปดูรถด้วย ถ้ายังไม่เสร็จก็จะแวะไปเอารถพี่ชลที่โรงแรมมาใช้ค่ะ” หล่อนบ่ายเบี่ยง
“อย่าเล่นตัวนักเลยน่า...” เขาว่าให้ด้วยความรำคาญ
“ดิฉันไม่ได้เล่นตัว!” หล่อนเถียง
“ไม่ได้เล่นตัวก็ทำอย่างที่ผมบอก ถ้าหนีกลับก่อนไม่ยอมรอกันล่ะก็จะถามไปเอาเรื่องถึงบ้านเชียวนะ...เอามั้ย?” เทียมภพขู่ รมณ์นลินไม่รับปากแล้วรีบลงมาอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้คนขู่หัวเสียรุนแรงที่อีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นศูนย์เรียนดนตรีของเยาวชนซึ่งส่วนมากอายุไม่ถึงสิบห้าคงได้มีการเข้าไปลงโทษในชั้นเรียนแน่นอน ไม่เป็นไร...เดี๋ยวคอยดูว่าเย็นนี้จะกล้าขัดคำสั่งหรือเปล่า
ตกเย็น...
รมณ์นลินรีบเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน ป่านนี้เทียมภพคงกำลังขับรถมาหรือไม่ก็อาจลืมเรื่องนั้นไปแล้ว เอาเถอะ...รีบไปก่อนที่จะเขาจะมาจริงๆดีกว่า แต่พอออกมาจะเรียกแท็กซี่ก็เห็นเขายืนยิ้มเผล่อยู่ข้างหน้าโรงเรียน
“ตรงเวลาดีนี่คุณ” เขาทัก
“คุณหมาก!” รมณ์นลินอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะเอาจริง
“ไม่ต้องเรียกนักหรอก กลัวผมจำชื่อตัวเองไม่ได้หรือไง มาเร็ว...ขึ้นรถ” เทียมภพขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ รมณ์นลินสังเกตว่าเขาไม่ได้เอารถคันเดิมมาแต่เป็นรถรุ่นเดียวสีเดียวกับของพี่ชายที่ใช้ประจำ กระจกทุกบานติดฟิล์มดำสนิทมองไม่เห็นข้างใน ชายหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมขึ้นมาก็กดแตรสองครั้งติด
“นี่คุณจะทำเสียงดังทำไมน่ะ! เด็กๆตกใจหมด” รมณ์นลินต่อว่าที่เขาทำเสียงดังจนเด็กและผู้ปกครองหันมามอง
“อยากเล่นแง่นัก มาเร็วๆถ้ายังเยื้องย่างอยู่อย่างนั้นจะลงไปจูบโชว์กลางถนนนี่แหละ” ได้ผล...คำขู่พิฆาตนั้นทำให้คนถูกขู่กลัวขึ้นสมองจนต้องรีบทำตาม
“จะไปไหนคะ?” พอออกรถมาได้สักพักก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีถามออกไป
“ถึงแล้วก็รู้เอง อย่าขัดใจผมเป็นพอ” เทียมภพลอบมองเสี้ยวหน้าหวาดหวั่นนั้นนิดหนึ่งก่อนจะแอบยิ้มออกมา ดีล่ะ...จะแกล้งให้ขวัญกระเจิงเชียว
“เอ๊ะ! นี่มันโรงแรม” รมณ์นลินร้อง เริ่มหันรีหันขวางเมื่อเทียมภพเลี้ยวรถเข้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ความกลัวที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นขณะที่คนพามายังขับรถด้วยท่าทางสบายๆ
“ก็โรงแรมน่ะสิ รับรองว่าวันนี้คุณจะสนุกจนต้องร้องขอชีวิต!” เทียมภพยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายกระวนกระวายเป็นหนูติดจั่นแล้วยิ่งสนุก
“ไม่นะ คนบ้า! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ กรี๊ด...” รมณ์นลินดีดดิ้น ทั้งตบทั้งตีและกวาดทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวปาใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง เทียมภพโดนไปหลายดอกกว่าจะหยุดหล่อนได้
“โว้ย! หยุดซะที ไม่ได้พามาปล้ำซะหน่อย แค่จะพามากินข้าว กินข้าวน่ะ...เข้าใจมั้ย!” รมณ์นลินชะงักกล่องทิชชูที่เตรียมประเคนใส่หน้าหล่อๆนั้น
“แล้วทำไมคุณไม่บอกดีๆแต่แรก”
“อุวะ! แล้วผมพูดไม่ดีตรงไหนฮะ คุณต่างหากตีโพยตีพายใหญ่โต ถึงผมจะเป็นประเภทกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแต่ก็เลือกนะครับคุณผู้หญิง ไอ้แห้งๆซีดๆเหมือนปลาทูอาบฟอร์มาลินแบบคุณเนี่ย...ผมไม่รับประทานนะครับ” ไม่พูดเปล่ายังกวาดตามองไปทั่วร่างคนนั่งข้างๆ หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกเปรียบเทียบแบบนั้น
“ไปเร็ว...ผมจองที่ไว้แล้ว” รมณ์นลินทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามเขาต้อยๆ พยายามรักษาระยะห่างให้มากที่สุด
“สิตาหรือจ๊ะ วันนี้ผมอาจจะไปรับที่กองไม่ได้นะครับ เราเจอที่คอนโดเลยแล้วกัน” หล่อนได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับแฟนสาวขณะที่นั่งอยู่ด้วยกันในร้านอาหารอิตาเลี่ยนแบบโอเพิ่นแอร์ แต่แหม...จะคุยกับแฟนเรื่องส่วนตัวแบบนี้ไม่คิดจะหลบไปคุยที่ลับตาคนเลยหรืออย่างไร
“อ๋อ...ผมมาทานข้าวกับลูกค้า กลับไม่เกินสี่ทุ่มนะ...แล้วเจอกันครับ” คนฟังเบ้ปากกับการพูดปดของคนเจ้าชู้ตรงหน้า
“แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์มันเสียมารยาทนะคุณ” เทียมภพแกล้งว่าหลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว คนถูกว่าหน้าร้อนผ่าว
“ไม่ได้แอบซะหน่อย อ้อ...ดูคุณจะเป็นเปิดเผยดีนะคะ คุยเรื่องส่วนตัวกับแฟนให้คนอื่นได้ยินเนี่ย” หล่อนเหน็บให้
“ทำไม? โลกสวยหรือไง? วันๆวิ่งเล่นอยู่แต่ในทุ่งลาเวนเดอร์คอยให้อาหารยูนิคอนเหรอ? หรือว่าอยากให้ผมพูดแบบนี้กับคุณบ้างล่ะสิ” เขาย้อนถาม
“ฮึ...ไม่มีทาง เก็บไว้พูดกับคู่ขาของคุณเถอะ” รมณ์นลินโต้อย่างเหลืออด
“ผมน่ะ...อมเปรี้ยวอมหวานนะคุณ อยากลองอีกมั้ย?” รมณ์นลินจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผู้ชายอะไร...ทั้งป่าเถื่อนหยาบคายและกักขฬะเป็นที่สุด เทียมภพชอบใจที่ได้แกล้งแต่อีกใจก็มีความสุขบอกไม่ถูก เคยพาสาวๆไปออกเดทด้วยจนนับไม่ถ้วนแต่ทำไมไม่เหมือนคนนี้ ทำไมมันรู้สึก ‘พิเศษ’ แบบที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน
ชลธีไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอหล่อนอีกครั้งที่นี่ มันเป็นความรู้สึกทั้งประหลาดใจและยินดีผสมปนเปกันไปหมด เปรมยุตายังดูเหมือนเดิมทุกอย่าง หล่อนสวยและอ่อนหวานดังเช่นแต่ก่อน อาจจะมีบ้างนิดๆที่เปลี่ยนไป ที่เห็นได้ชัดเจนก็คงจะเป็นดวงตาสดใสที่คุ้นชินเมื่อหลายปีก่อนมันดูหมองๆลงไป นอกนั้นเปรมยุตาก็ดูเหมือนดอกกุหลาบที่งดงามไม่ว่าจะผลิบานฤดูไหน
ในขณะเดียวกันเปรมยุตาเองก็แทบจะไม่คิดว่ามันจะมีวันเป็นไปได้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้รับมอบหมายให้มาร่วมงานครั้งนี้แทนเจ้านาย ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีนักธุรกิจจากเมืองไทยอย่างชลธีมาร่วมงานด้วย เขาเงียบหายไปหลายปีแล้ว จำได้ว่าเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่องานรับปริญญาแล้วจากนั้นก็เงียบไป จนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ได้เห็นเขาปรากฏอยู่ตามนิตยสารและข่าวสังคมต่างๆ ตอนนั้นยังตกใจอยู่เลยที่เห็นเขาเมื่อครั้งให้สัมภาษณ์ในหนังสือประเภทการท่องเที่ยว ไม่อยากเชื่อเลยว่าชลธีในวันนี้จะเป็นคนๆเดียวกันคนรักของตนเมื่อเกือบสิบปีก่อน
ดังนั้นหลังจากจบการแข่งขันในวันแรก ชลธีก็ชวน ‘อดีต’ คนรักมานั่งดื่มกาแฟกันแถวๆโรงแรมที่พัก สังเกตได้อีกอย่างหนึ่งว่าไม่ใช่เฉพาะแววตาคู่นั้นที่เปลี่ยนไป หากแต่อากัปกิริยาการพูดจาที่เปลี่ยนจากผู้หญิงแสนเรียบร้อยอ่อนโยนและติดไปทางขี้อายกลายเป็นสตรีเจนสังคม ดูมีความมั่นใจ ไม่ว่าจะย่างก้าวไปทางไหน ก็ต้องมีสายตาชื่นชมกึ่งโลมเลียจากหนุ่มๆแถมมาด้วย
“ในที่สุดปรางก็ได้เจอคุณ ปรางภาวนาทุกวันว่าขอให้ได้พบคุณอีกสักครั้ง” เสียงหวานเจือความอาทรชัดเจน มันทำให้ชลธีต้องมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยเพื่อค้นหาว่าเป็นความจริงหรือเปล่าและพบว่ามันเป็นเรื่องจริง
“ปรางอยากขอโทษคุณค่ะชล ปรางไม่เคยมีโอกาสพูดคำนี้กับคุณเลยนับตั้งแต่...” หยาดน้ำใสๆไหลรินลงมาตามแก้มปลั่ง เขารู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆจุกอยู่ที่คอ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานนักแล้วแต่ก็ยังทนไม่ได้เลยสักครั้งที่จะเห็นน้ำตาของคนรักเก่า เมื่อก่อนทนไม่ได้อย่างไร...วันนี้ก็ยังคงทนไม่ได้เท่านั้น ชลธีกุมมือคู่นั้นไว้อย่างให้กำลังใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเช่นในอดีต
“ผมไม่โกรธคุณแล้วนะปราง เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว ลืมมันซะ...แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราต่างมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว ถึงเราจะไม่ได้เดินไปด้วยกันแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ”
“ปรางเริ่มใหม่ไม่ได้อีกแล้วล่ะค่ะ ปรางหย่ากับสามีมาเกือบปีแล้ว” พูดจบน้ำตาก็พากันไหลไม่หยุด ชลธีใช้กระดาษซับให้อย่างอ่อนโยน รู้สึกปวดร้าวและสงสารตามไปด้วย ผู้ชายคนนั้นกล้าทิ้งคนที่แสนดีอย่างเปรมยุตาได้อย่างไร
“เสียใจด้วยนะปราง แต่ผมเชื่อว่าต้องมีสักวันที่ปรางจะเข้มแข็งพอ พร้อมที่จะมีชีวิตใหม่ได้อีก” เขาปลอบ
“ปรางก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ชลเชื่อมั้ย? ตั้งแต่เรา...ห่างกันไปปรางก็คิดถึงแต่คุณ ไม่มีวันไหนเลยที่จะลืมคุณได้ แม้จะแต่งงานไปแล้วแต่ก็ยังลืมคุณไม่ได้”
คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากอีกฝ่ายทำให้ชลธีเกิดอาการตื้ออื้ออึงอยู่ในสมองคล้ายกับว่าหล่อนคือของรักที่หายไปแล้วในวันนี้ก็ได้มันกลับคืน แต่ทว่า...เขาอยากจะเก็บมันไว้ในในกรุแล้วปิดกุญแจไว้ไม่อยากเอาออกมาเชยชมอีก
“ปราง...ผมดีใจที่ได้พบคุณอีกนะ และก็ยินดีเสมอที่จะช่วยเหลือคุณไม่ว่าเรื่องอะไร ถึงวันนี้ความสัมพันธ์ของเราจะไม่เหมือนเดิมแต่เราก็ยังเป็นเพื่อนได้นี่ครับ” เขายิ้มบางๆ เปรมยุตายิ้มบ้าง ชลธีเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
“ขอบคุณนะคะ ตอนนี้ปรางก็เรื่อยๆ ทำงานอย่างเดียว ว่าแต่ว่าชล...มีครอบครัวหรือยัง?”
“งานยุ่งขนาดนี้ผมคงจะมีเวลาไปมองใครได้หรอกนะ ผมมันมนุษย์บ้างาน” เขาหัวเราะกับตัวเองเบาๆ แต่แวบหนึ่งก็มีสาวหน้าใสจอมรั้นลอยเข้ามาในห้วงความคิด
“อย่าลืมเผื่อเวลาให้ตัวเองบ้างล่ะ” หญิงสาวยิ้มให้อย่างสบายใจ ความรู้สึกเก่าๆเริ่มกลับมาก่อกวนใจ ถ้าวันนั้นไม่เกิดเรื่อง...วันนี้คงมาอยู่ที่นี่กับเขาในฐานะคู่รัก อาจจะมาพักผ่อนหรือฮันนีมูนไม่ใช่ต่างคนต่างมาทำงานแล้วบังเอิญเจอกันเท่านั้น
“เอาล่ะ...เนื่องในโอกาสที่เจอเพื่อนเก่า เย็นนี้ผมเลี้ยงข้าวคุณเอง” ชลธีเสนอ เปรมยุตาพยักหน้าตกลงทันที ความหมองหม่นที่สะสมมานานหลายเดือนดูเหมือนจะบรรเทาเบาบางลงแทบจะไม่หลงเหลือตกตะกอน แม้จะมีอดีตอันเจ็บช้ำแต่หล่อนก็รู้สึกว่าตนเองยังคงเป็นคนสำคัญสำหรับเขาอยู่ จะเป็นไรไหมนะ...ถ้าจะก่อความรู้สึกดีๆขึ้นมาอีกครั้ง ชลธีจะร่วมมือด้วยหรือไม่
บุรินทร์อาสามาส่งแทนดาวตอนหัวค่ำ คุณหลีมีของฝากมาให้มากมายเช่นเคย หลังจากแม่บ้านช่วยกันหอบหิ้วสารพัดถุงของฝากเข้าบ้านแล้วสาวน้อยก็หันมาบอกพี่ชายต่างสายเลือด
“ไปหาคุณย่ากันก่อนนะเฮียบุ้ง พี่หมากยังไม่กลับเลย” คนตัวเล็กจูงมือบุรินทร์เข้าบ้านด้วยอาการร่าเริงจนไม่ได้สังเกตสีหน้าของคนที่ตนจับจูงมาเลยว่ามันช่างดูเหงาหงอยเสียจริง
“หอบของมาเยอะเยอะเลยนะเจ้าบุ้ง ดีเลย...ย่าฝากมะม่วงกับชมพู่ไปด้วยนะ ให้เด็กไปเก็บอยู่...รอสักเดี๋ยวเถอะ กินข้าวมาหรือยังล่ะ?” คุณลำเภาทักหลานชายอีกคนอย่างเป็นกันเอง บุรินทร์พยายามปรับสีหน้าให้ดูสดใสขณะทำความเคารพหญิงชรา
“ม๊าหลีทำกระเพาะปลาน้ำแดงให้กิน อิ่มแปล้เลย...แบ่งใส่ปิ่นโตมาให้ที่นี่แล้วก็บ้านโน้นด้วยค่ะ เอ...พี่ผึ้งไม่เดินมาเหรอคะ? จะได้หิ้วปิ่นโตกลับไป” หลานสาวคนเล็กตอบแทนพร้อมกับถามหาพี่สาว
“เพิ่งจะเดินกลับไปซักพัก มาถามหาเราอยู่เหมือนกัน เห็นว่าจะชวนไปเดินจตุจักรพรุ่งนี้แน่ะ” คุณย่าตอบพลางคัดมะม่วงสวยๆใส่ถุง
“เหรอคะ...แปลกคนจริง คุณหนูไฮโซอย่างพี่ผึ้งเนี่ยนะจะไปเดินเที่ยวตลาด นางจะกล้าเหยียบเท้าลงพื้นหรือเปล่าหรอก” หล่อนแอบนินทาพี่สาว
“ถ้างั้นเราเดินไปบ้านโน้นกัน เฮียบุ้งหิ้วปิ่นโตไปให้เองเลย” โดยไม่รอให้อีกฝ่ายออกความเห็น คนตัวเล็กก็จูงมือพาพี่ชายต่างสายเลือดเดินลิ่วไปไปยังบ้านของพี่สาวที่อยู่ในรั้วเดียวกันแต่ไม่ไกลกันนัก บุรินทร์ทำหน้าลำบากก่อนจะตัดสินใจหยุดการกระทำของคนตัวเล็ก
“เฮียว่าอย่าดีกว่า...” เขาพูดออกมาในที่สุด
“ทำไมล่ะ..แล้วกระเพาะปลานี่ล่ะคะ?” แทนดาวถามอย่างไม่เข้าใจเพราะปรกติแทบไม่ต้องชวนด้วยซ้ำ เฮียบุ้งเองจะเป็นฝ่ายเดินไปหาพี่สาวเอง ชายหนุ่มยังไม่ตอบในทันทีแต่เดินย้อนกลับมานั่งพักที่ศาลา แทนดาวเดินตามมาเงียบๆ
“ฝากน้องพลูจัดการด้วยก็แล้วกัน” เขาพูดเสียงหงอยๆ แทนดาวนั่งลงข้างๆ
“เฮียบุ้งเป็นอะไร?”
“อย่าพยายามอีกเลยนะน้องพลู เฮียยอมแพ้แล้ว” บุรินทร์ตอบเสียงเศร้า แทนดาวเข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึงเรื่องอะไร
“ทำไมล่ะ? น้องพลูอยากให้พี่ผึ้งกับเฮียบุ้งเป็น....” พูดไม่ทันจบก็ถูกพี่ชายเอามือปิดปาก
“เรา...เฮียกับเค้า คุยกันไปหมดแล้ว เราสองคนจะไม่มีวันเป็นอย่างอื่นได้นอกจาก...พี่น้อง” เขาพูดได้เท่านั้นก็หยุดเพราะรู้สึกถึงก้อนแข็งๆมาจุกอยู่ที่คอ แทนดาวมองหน้าพี่ชายด้วยความรู้สึกทั้งสงสารและเห็นใจแต่ก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“เฮียบุ้งขา...น้องพลูรักเฮียบุ้งนะคะ น้องพลูไม่อยากเห็นพี่ชายต้องเป็นแบบนี้เลย” คนตัวเล็กโผเข้ากอดเขาแน่นเป็นการปลอบใจ พี่สาวคงจะบอกตัดสัมพันธ์ขั้นเด็ดขาดไปแล้วไม่งั้นคงไม่เศร้าหมองขนาดนี้
“ขอบใจน้องพลูที่เอาใจช่วยเฮียมาตลอด แต่เฮียก็ต้องพยายามก้าวผ่านความผิดหวังนี้ไปให้ได้ ไม่ต้องห่วงนะ...เฮียบุ้งไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ” เขากอดคนตัวเล็กแน่นขึ้น กดคางลงกับศีรษะเล็กเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเอง
“กลับกันดีกว่า ป่านนี้คุณย่าคงเตรียมของเรียบร้อย ว่าแต่เรา...ใกล้เรียนจบแล้วนี่ เห็นบ่นกับหมากว่าไม่อยากไปทำงานที่ทวีกิจเหรอ มาช่วยเฮียขายทองเอามั้ย? หรือจะไปช่วยเฮียเบิ้มเสิร์ฟอาหารที่ภัตตาคาร?” บุรินทร์พยายามทำตัวให้ร่าเริงแต่คนฟังก็ยังรู้สึกได้ถึงความเศร้าหมอง แทนดาวผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะยุติเรื่องการทำหน้าที่แม่สื่อเพียงเท่านี้ ตอนนี้ควรจะหาวิธีช่วยเฮียบุ้งให้ผ่านพ้นความเสียใจเร็วๆดีกว่า
“น้องพลูขายของไม่เก่งหรอกค่ะ แต่รับจ้างเลี้ยงเด็กยังพอได้ ตอนนี้บ้านม๊าหลีลูกหลานเต็มไปหมด... เปิดเป็นเนอสเซอรี่น่าจะเข้าท่า เดี๋ยวน้องพลูไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กเอง” แทนดาวทำเสียงร่าเริงและยิ้มให้พี่ชายอย่างสดใส บุรินทร์ค่อยยิ้มออกมาได้บ้างแล้วสองพี่น้องจะเดินโอบเอวกันกลับไปที่บ้านใหญ่
พาหนะคันงามของบุรินทร์ขับเคลื่อนผ่านประตูบานใหญ่ไปนานแล้วแต่ปลายเดือนยังคงยืนมองมาจากระเบียงบ้านชั้นบนอีกสักพักจึงค่อยผ่อนคลายอิริยาบถ หล่อนเห็นตั้งแต่ตอนที่รถของบุรินทร์เข้ามาจอดที่บ้านใหญ่แล้วเลยรีบเดินกลับบ้านโดยไม่รอทักทายเหมือนแต่ก่อนเพราะไม่อยากให้เขาต้องคิดมากอีกถ้าเห็นหน้ากัน เข้าใจดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในช่วงเวลาทำใจ
“ผึ้งขอให้เฮียบุ้งได้เจอกับคนดีๆที่รักเฮียบุ้งมากๆเหมือนกับที่เฮียบุ้งรักผึ้งนะจ๊ะ” ปลายเดือนรำพึงกับตัวเอง
ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดแต่เทียมภพพร้อมทั้งบิดาและอาก็ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปรับลูกค้าชาวจีนที่ตั้งใจบินมาดูโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่อยุธยา แทนดาวอ่านข้อความในไลน์ที่พี่ชายส่งมาว่ากลางวันจะมารับไปรับประทานข้าว พอสายหน่อยก็มีเบอร์ไม่คุ้นโทรเข้ามา
“หวัดดีจ้ะน้องพลู พี่เวเองนะ”
“ค่ะพี่เว สวัสดีค่ะ” แทนดาวแปลกใจที่รุ่นพี่มีเบอร์ตนเอง คงจะเป็นพี่สาวแสนดีนั่นแหละที่ให้ไป
“วันนี้น้องพลูไปไหนหรือเปล่า? พี่อยากพาน้องพลูไปกินข้าวกลางวัน” เขาชวน
“คือ...วันนี้พี่หมากจะมารับไปกินข้าวเที่ยงพอดีค่ะ น้องพลูต้องรอ”
“งั้นหรือครับ งั้นเอาไว้ว่างๆพี่จะนัดใหม่นะ” เขาตอบเสียงอ่อยด้วยความผิดหวัง
“ก็ได้ค่ะ แต่...น้องพลูไม่รับปากนะคะว่าจะไปกับพี่เวได้มั้ย” แทนดาวเห็นใจเขาอยู่เหมือนกันแต่ความหวังดีที่อยากให้เขามีชีวิตรอดนั้นมีมากกว่า
“โอเค...พี่เข้าใจ แล้วเจอกันนะน้องพลู” แทนดาวไม่เคยมีเพื่อนชายจึงไม่รู้ว่าการตอบรับแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายมีความหวังแค่ไหน แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากเดินฮัมเพลงไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อรอครูสาวที่วันนี้จะมาสอนเพลงใหม่ให้ที่บ้าน
รมณ์นลินลุ้นว่าจะเจอมนุษย์ตกมันคนนั้นอีกหรือไม่แล้วก็โล่งใจที่วันนี้ไม่เจอ ‘ระเบิดชีวภาพ’ ร่องรอยที่อีกฝ่ายฝากฝังไว้บนกลีบปากยังรงความร้อนรุมประทับอยู่ไม่หาย
“เอ่อ...แล้วพี่ชลไม่อยู่หลายวันอย่างนี้ พี่แฟงอยู่กับใครล่ะคะ?” แทนดาวก็ไม่ไม่กล้าเอ่ยปากถามถึงพี่ชายของครูสาวตรงๆ เลยได้แต่เลียบๆเคียงๆเอา
“แม่มาอยู่เป็นเพื่อนค่ะ เมื่อวานก็เฟสไทม์คุยกัน พี่ชลส่งรูปงานแข่งขันเชฟทำขนมมาให้ดูด้วย...ดูน่าสนุกมาก นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องสอนเด็กๆ พี่คงขอตามไปดูด้วย”
“แล้วพี่ชล...เค้าไปคนเดียวเลยเหรอคะ?” แทนดาวก้มหน้างุดรู้ตัวว่าพลาดแล้ว
“คือ..หมายถึงพนักงานคนอื่นๆน่ะค่ะ ประมาณว่าไปดูงานไรงี้” คนถามขยายความเพิ่มพร้อมกับยิ้มอายๆ
“ถ้าเรื่องงานแบบนี้จะฉายเดี่ยวตลอด ก็พี่ชลยังโสดอยู่นี่คะ” รมณ์นลินตอบพร้อมกับยิ้มบางๆให้
“งั้นเรามาเริ่มเรียนกันเลยดีมั้ย ขอทบทวนเพลงเก่าก่อนนะคะ” ครูสาวเบี่ยงเบนประเด็นการพูดคุยออกไปเพราะไม่อยากให้ลูกศิษย์สาวรู้สึกขัดเขิน รู้อยู่เต็มอกหรอกว่าพี่ชายตนเองคงไป ‘หยอด’ อะไรเอาไว้แน่ๆ
“อืม...แล้ววันนี้พี่แฟงมีธุระต่อที่ไหนหรือเปล่าคะ?”
“ไม่หรอกค่ะ เสร็จจากน้องพลูพี่ก็ต้องไปสอนที่โรงเรียนตอนบ่ายสาม”
“ดีเลยค่ะ...งั้นวันนี้เราไปทานกลางวันข้างนอกกัน”
“ได้สิคะ แล้วบอกคุณแม่หรือยัง?”
“คุณแม่รู้ก่อนน้องพลูอีกค่ะเพราะว่าวันนี้พี่หมากเป็นเจ้ามือ” รมณ์นลินชะงักมือที่กำลังพลิกสมุดโน้ต ตอนแรกคิดว่าลูกศิษย์สาวจะชวนไปกันแค่สองคนเลยตกปากรับคำ เจ็บใจตัวเองที่ใจร้อนไม่ยอมสอบถามให้เรียบร้อยก่อนว่ามีใครไปบ้าง
“พี่แฟงเป็นอะไรคะ? ใจลอยเชียว” ลูกศิษย์ถามเมื่อเห็นครูสาวยังคงค้างมือที่กำลังจะพลิกโน้ตเพลง รมณ์นลินรีบส่ายหน้า
“งั้นน้องพลูเริ่มเลยนะ” แทนดาวนั่งประจำที่แล้วเล่นทบทวนเพลงเก่าอย่างที่คุณครูบอก รมณ์นลินมัวแต่คิดถึงเรื่องที่ต้องไปรับประทานอาหารกลางวันจึงไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงเพลงที่ลูกศิษย์สาวกำลังบรรเลง ไม่รู้เลยสักนิดว่าคนที่จะเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวได้มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องสักพักแล้ว พอน้องสาวเล่นเพลงคลาสสิกจบอย่างถูกต้องไพเราะเขาก็ปรบมือให้สองสามครั้งแล้วก้าวเข้ามาด้วยมาดนิ่งขรึม
“เก่งมากจ้ะใบพลู ไม่รู้ว่าครูของเราจะได้ฟังหรือเปล่าว่าเพลงเพราะขนาดไหน?” เทียมภพเดินมายืนข้างน้องสาวแต่ตายังจับจ้องอยู่ที่สตรีอีกคนไม่วางตา คำพูดนั้นจะว่าชมน้องสาวจริงๆก็ไม่เชิงนักดูคล้อยไปทางประชดประชันเสียมากกว่า รมณ์นลินตัวแข็งทื่อด้วยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะเจอเขาเร็วขนาดนี้ ความรู้สึกร้อนวูบแล่นตั้งแต่ปลายผมสู่ปลายเท้า ยิ่งสบตากระด้างดุดันนั่นด้วยแล้วยิ่งทำให้ตัวสั่นและเผลอเม้มริมฝีปากแน่น
“คุณหมาก...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” หล่อนละล่ำละลักถาม
“ก็มาทันได้ฟังเพลงเมื่อกี้แล้วก็เห็นคุณยืนเหม่อ เป็นครูประสาอะไรฮะ? ถึงไม่สนใจนักเรียนอย่างนี้” เทียมภพใส่เป็นชุด ก็เห็นยืนใจลอยอยู่เป็นนาน ขนาดน้องสาวเล่นเพลงจบแล้วยังยืนเฉยจนเขาต้องปรบมือเรียกสติ
“พี่หมากเนี่ย...พี่แฟงเค้าก็ฟังอยู่แล้ว อย่ามาหาเรื่องนะ แล้วไหนว่าจะมาเที่ยง...นี่ยังไม่ทันเที่ยงเลย” แทนดาวรีบห้ามทัพเพราะรู้ว่าพี่ชายกำลังอยู่ในอารมณ์พาล
“ก็งานพี่เสร็จก่อนเวลาเลยกลับมาบ้านเร็ว แล้วหนูคิดหรือยังล่ะคะ...ว่าอยากกินอะไร?” เทียมภพก้มหน้าลงไปถามน้องสาวอย่างเอาใจแล้วเลยหอมแก้มใสๆนั้นหนึ่งฟอด รมณ์นลินมองแล้วก็หมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ
‘‘ทีกับน้องล่ะเปลี่ยนเป็นคนละคน น้องพลูจะรู้บ้างมั้ยว่าพี่ตัวเองน่ะจอมหาเรื่องชัดๆ’’
“ไม่น่าถาม...ต้องอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว” แทนดาวตอบทันควัน เทียมภพขยี้หัวน้องสาวเบาๆพลางคิดในใจว่าคงต้องกินอะไรรองท้องไปก่อนเพราะไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นเอามากๆ
“อ้อ...น้องพลูชวนพี่แฟงไปด้วยค่ะ พี่แฟงตกลงแล้วด้วย” รมณ์นลินมองหน้าลูกศิษย์เลิกลั่ก คงหมดโอกาสปฏิเสธหรือเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม โธ่!...ถ้ารู้ว่าจะได้ไปกับคนอารมณ์แปรปรวนอย่างนี้ล่ะก็ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกแล้ว
“เหรอ...งั้นก็เตรียมตัวไว้ เดี๋ยวเที่ยงก็ออกไปกันเลย” เขาตอบสั้นๆแล้วก็เดินผิวปากจากไปอย่างสบายอารมณ์ รมณ์นลินมองตามแผ่นหลังเขาไปอย่างไม่รู้ตัว
“พี่แฟง...พี่แฟงขา...” แทนดาวต้องร้องเรียกคุณครูถึงสองครั้งกว่าที่อีกฝ่ายจะหันมา
“คะ...อะไรเหรอ?” คนถูกเรียกหันมายิ้มเก้อๆให้ลูกศิษย์
“มาต่อกันเถอะค่ะ ไม่ต้องใจลอยนักหรอก เดี๋ยวกลางวันนี้ก็ได้ทานข้าวด้วยกันแล้ว” แทนดาวพูดจบก็อมยิ้มแล้วหันไปสนใจเปียโนต่อ รมณ์นลินอายจนหน้าแดง
ร้านอาหารยามเที่ยงนั้นแน่นเกือบทุกร้าน คนที่ปรารถนาจะได้ฟาดอาหารญี่ปุ่นให้ฉ่ำใจเป็นอันต้องเดินงุ่นง่านระหว่างรอเรียกคิวด้วยความหิว นี่ก็ปาเข้าเที่ยงครึ่งแล้วยังไม่ได้กินเลย แม้พี่ชายจะเสนอให้ไปร้านอื่นก็ไม่ยอม ยืนยันว่าตั้งใจมาแล้วก็ต้องรอได้ไม่อย่างนั้นจะเสียความตั้งใจอย่างแรง เทียมภพเกาหัวแกรก เขาน่ะไม่เป็นไรเพราะว่ากินรองท้องมาจากบ้านส่วนไอ้น้องสาวนั้นออกอาการโมโหหิวเต็มที่ ผิดกับครูสาวที่นั่งนิ่งไม่ปริปากใดๆ ความจริงหล่อนก็ไม่พูดอะไรมาตั้งแต่อยู่ในรถแล้ว ถึงน้องสาวจะชวนคุยด้วยก็เอาแต่ถามคำตอบคำ จนเขานึกหมั่นไส้ขึ้นมานิดๆว่า
‘‘กลัวดอกพิกุลจะร่วงหรือไงกันแม่คุณ’’
“ถ้าอีกห้านาทียังไม่ได้เข้าไปล่ะก็...พลูจะถล่มร้านให้เละเชียว” แทนดาวเดินไปเดินมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ บ่นกระปอดกระแปดจนพี่ชายชักหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“หยุดเดินได้แล้ว...ก็พี่บอกให้ไปร้านอื่นก็ไม่เอา ป่ะ...เดี๋ยวพี่พาไปอีกร้านนึง”
“ไม่เอา! น้องพลูจะกินซูชิ ถ้าวันนี้ไม่ได้กินก็จะไม่ยอมกินอะไรเลยทั้งวัน” พอน้องหนูเริ่มออกอาการดื้อแพ่ง พี่ใหญ่อย่างเขาก็ต้องเกาหัวเป็นรอบที่สิบ
“เอางี้มั้ยคะน้องพลู...พี่รู้จักร้านอาหารไทยอีกร้านที่นี่ มีอาหารญี่ปุ่นขายด้วย อาจจะน้อยกว่าร้านนี้แต่ก็อร่อยดีเหมือนกันนะคะ” รมณ์นลินเสนอ แทนดาวลังเลนิดหนึ่งก็ยอมไปแต่โดยดี นั่นทำให้พี่ชายอย่างเทียมภพทั้งงงทั้งแปลกใจและเสียความมั่นใจไปอย่างมาก ก็น้องสาวคนนี้น่ะ...เวลาดื้อขึ้นมาแล้วจะเชื่อฟังใครง่ายๆเสียที่ไหน ถ้าลองอยากจะได้ก็ต้องได้แต่กลับยอมเชื่อครูสาวที่กำลังเดินนำไปยังร้านอาหารที่ว่า
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีทั้งหมดก็มายืนอยู่ร้านอาหารไทยที่ค่อนข้างกว้างขวางโอ่โถง ภายนอกและภายในตกแต่งด้วยผ้าไหมและภาพลายไทย คนแน่นร้านพอสมควรแต่ก็ยังพอมีที่นั่งเหลือ รมณ์นลินเดินนำเข้าไปก่อน เทียมภพเลื่อนเก้าอี้ให้ทั้งสองสาวนั่งจนเรียบร้อยก่อนจะนั่งลงข้างๆน้องสาว จากนั้นรอให้ทั้งคู่สั่งอาหารที่ชอบก่อนแล้วตัวเองจึงสั่งทีหลัง รมณ์นลินนึกชื่นชมในมารยาทที่สุภาพบุรุษพึงกระทำของเขา แม้ว่าในบางครั้งบางคราจะทำตัวไม่น่ารักแต่ยามที่อยู่ในสถานการณ์ปกติแบบนี้เขาก็ปฏิบัติตัวดีตามลักษณะนิสัยส่วนตัวอย่างแท้จริง
“น้องพลูไม่เคยเข้าร้านนี้มาก่อนเลยค่ะ ได้แต่ผ่านๆ” เมื่อแทนดาวสั่งของโปรดเสร็จก็เริ่มพูดคุยอย่างอารมณ์ดี
“ความจริงพี่ก็ไม่ค่อยได้มาหรอกค่ะ แต่คุณแม่ชอบมาเวลาขึ้นมากรุงเทพฯ” รมณ์นลินตอบแล้วก็หันไปรับโทรศัพท์
“พี่ชลเหรอคะ...เป็นไงมั่ง?” ชื่อจากปลายสายที่หญิงสาวเรียกดึงให้สองคนพี่น้องเงี่ยหูฟังบทสนทนาโดยฝังกลบคำว่ามารยาทเสียมิด เทียมภพทำเป็นอ่านเมนูไม่สนใจแต่หูน่ะไม่กระดิกเชียว ส่วนน้องสาวนั้นไม่ยอมเก็บอาการ ทำตาโตจ้องหน้ารมณ์นลินราวกับจะบันทึกทุกคำพูดเอาไว้ในหน่วยความจำ
“คุณแม่มาแล้ว ตอนนี้มาทานข้าวกับน้องพลู ละ...และคุณหมากค่ะ” แล้วบทสนทนาต่อจากนั้นก็จับความอะไรไม่ได้เลยเพราะคนพูดเอาแต่ ‘ค่ะ’ อย่างเดียวจนจบ แทนดาวลอบผ่อนลมหายใจด้วยความเสียดาย
“เอ้า...จะเอาอะไรเพิ่มอีกมั้ย? เห็นสั่งไปแค่อย่างเดียวเอง” เทียมภพกระตุ้นเมื่อเห็นหญิงสาวยังนิ่งเฉย
“พอแล้วค่ะ...แฟงยังไม่ค่อยหิว” หล่อนตอบอย่างเกรงใจ ก็จะว่าอย่างไรได้ล่ะ...พอพี่ชายรู้ว่าออกมากับเทียมภพก็บ่นเป็นชุด จะเล่ารายละเอียดมากกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะคู่กรณีนั่งอยู่ใกล้ๆ
“อย่าเรื่องเยอะ ให้กินก็กินเข้าไปเถอะ!” เขาสั่งเสียงเข้ม
“ดิฉันไม่ได้เยอะ แต่ไม่หิวจริงๆนี่คะ” หล่อนเถียง
“เอางี้ค่ะ...พี่แฟงกินกับน้องพลูก็แล้วกัน สั่งมาหลายอย่าง...มาช่วยกันสวาปามให้เตียนดีกว่าค่ะ” แทนดาวสรุปให้
“พูดอะไรน่ะฮึ? ไปจำคำพูดไม่น่ารักแบบนั้นมาจากไหน?” เทียมภพดุน้องสาวที่ใช้ศัพท์แสงฟังดูไม่ค่อยสุภาพนัก
“น้องพลูเคยได้ยินพี่หมากพูดนี่นา” น้องสาวตอบอุบอิบ รมณ์นลินที่นิ่งอยู่นานเผลอหลุดขำจนเทียมภพเสียฟอร์ม
“นี่...ห้ามพูดอีกนะคะ เราเป็นผู้หญิงต้องพูดจาเพราะๆ ใครมาได้ยินเข้าจะหาว่าพี่ไม่สั่งสอน” เขาสอนน้องแต่ตามองคนที่นั่งตรงข้ามอย่างเคืองที่บังอาจหัวเราะเยาะเขา
“พี่หมากแกะปลาให้พี่ผึ้งด้วยสิ น้องพลูได้แล้ว” น้องสาวสั่งเสียงใสขณะที่พี่ชายพยายามเลาะก้างออกจากเนื้อปลาทอดให้น้องสาว เทียมภพทำหน้าตาเหรอหราจนคนนั่งตรงข้ามอดแอบยิ้มไม่ได้
“ฮึ่ม...” เขาส่งเสียงงึมงำในลำคอแต่ก็ยอมทำตาม วางชิ้นปลาลงในจานของรมณ์นลินอย่างเสียมิได้
“อ้ำเร็ว...” ทีนี้น้องสาวส่งเนื้อแซลมอนจ่อที่ปากพี่ชายบ้าง
“ไม่เอา...พี่ไม่กินปลาดิบค่ะ” เขาส่ายหน้าดิก แทนดาวจึงคีบเข้าปากตัวเองเคี้ยวตุ้ยๆ
“คุณหมากลองไก่ห่อใบเตยสิคะ คุณแม่มาทีไรต้องสั่งเมนูนี้ทุกที” รมณ์นลินตักไก่ห่อใบเตยชิ้นพอดีคำให้เขา
“เอ้า...แกะให้ผมด้วยสิ ทีผมยังแกะปลาให้คุณเลย” เขาท้วง รมณ์นลินถอนหายใจเบาๆแล้วจึงทำตามที่เขาบอก
“อืม...อร่อยจริงด้วย แกะเองมันกินไม่อร่อยแบบนี้” เขาเคี้ยวไปชมไป ไม่รู้ว่าชม ‘อะไร’ หรือ ‘ใคร’ รมณ์นลินก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปาก แทนดาวลอบสังเกตปฏิกิริยาของทั้งคู่แล้วก็ต้องแอบหยิกขาตัวเองพิสูจน์ว่าไม่ได้ตาฝาดหรือหูฝาดไป
“กรี๊ด...พี่หมากกำลังจีบพี่แฟงอยู่ใช่มั้ย?”
“พี่หมากขา...เสร็จแล้วพาน้องพลูไปส่งบ้านม๊าหลีหน่อยสิคะ อยากไปเล่นกับน้องหยิน บอกแกไว้คราวที่แล้วว่าจะไปปั้นตุ๊กตาขนมปังกัน” คนตัวเล็กบอกพี่ชายขณะตักขนมเข้าปาก
“จะไปช่วยซ้อสามเลี้ยงน้องเหรอ...หืม?”
“อืม...ไม่เจอเป็นอาทิตย์แล้ว...คิดถึง” แทนดาวตอบขณะปากก็ยังเคี้ยวตุ้ยๆ พี่ชายต้องใช้นิ้วเช็ดเศษขนมที่ติดตรงมุมปากออกให้ รมณ์นลินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอบอุ่น
“ก็ได้....ตอนเย็นให้เฮียเค้ามาส่งนะ พี่คงไปข้างนอก...เอ้อ...ไปรับสิตาที่กองถ่าย” เขาบอกน้องสาวเสียงเบาเมื่อเอ่ยถึงแฟนสาว แทนดาวเคืองพี่ชายอยู่นิดๆ
“ฮึ่ย....จะพูดถึงแม่หน้าโบท็อกซ์ขึ้นมาทำไมตอนนี้นะ อุตส่าห์ปูทางให้อย่างดีแล้วเชียว”
“ชิ...แล้วพาพี่แฟงไปส่งที่โรงเรียนด้วย เมื่อเช้าพี่แฟงมาแท็กซี่ เห็นบอกว่าเอารถไปเข้าศูนย์” คนตัวเล็กยังออกคำสั่งพี่ชายอย่างต่อเนื่อง
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี่ยวพี่นั่งแท็กซี่จะดีกว่า” หล่อนรีบปฏิเสธ ถ้าเขามี ‘ธุระ’ กับแฟนก็ไม่ควรไปทำให้เสียเวลา
“ไปด้วยกันเถอะ...ยังไงก็ต้องผ่านแถวนั้น” เขาตอบสบายๆก่อนจะดื่มกาแฟดำอึกสุดท้ายรวดเดียวหมด แทนดาวยิ้มกับตัวเองอย่างสมหวัง ลองพี่ชายแสดงออกแนวนี้รับรองไม่พลาดแน่
“เชอะ!...ชุสิตาหน้าซิลิโคนคนงามเตรียมหักหลบลงข้างทางได้เลย”
ชั่วโมงต่อมาเทียมภพก็เลี้ยวรถเข้าเทียบจอดหน้าโรงเรียนดนตรี ‘บ้านตัวโน้ต’ ของรมณ์นลิน หล่อนขอบคุณเขาอีกครั้งแต่ก่อนจะลงรถไปเขาก็พูดขึ้น
“ไอ้พี่คุณมันก็พอมีสะตุ้งสตางค์นี่นา ทำไมมันงกนักล่ะ อะไรกัน...ตัวเองขับรถคันละหลายล้าน แค่ซื้อรถคันเล็กๆให้น้องสาวใหม่มันจะกี่ตังค์กันเชียว ไอ้คันนั้นของคุณมันก็เก่าเต็มที ไม่สงสัยหรอกว่าทำไมต้องเข้าศูนย์บ่อยๆ” เขากระแทกเสียงเมื่อเอ่ยถึงพี่ชายคนนั่งข้างๆ รมณ์นลินนั่งนิ่งไม่อยากต่อล้อต่อเถียง แล้วไอ้ที่เขาว่าอยู่นั่นมันก็ไม่จริงเสียหน่อย พี่ชายอย่างชลธีไม่ได้งก ซ้ำยังเคยพยายามจะเปลี่ยนรถให้ใหม่อยู่ก็หลายครั้งแต่ตนเองต่างหากที่ยอมท่าเดียวจนพี่ชายขู่ว่าจะแอบลากเอาไปทิ้งสักวัน เรื่องของเรื่องคือไม่อยากรบกวนพี่ชายมากไปกว่านี้ แค่เลี้ยงดูมากับเปิดโรงเรียนดนตรีให้ก็นับว่ามากพอแล้วสำหรับลูกกำพร้าเช่นตนเอง
“แล้วนี่มีสอนถึงกี่โมงเนี่ย?” เมื่อคนข้างๆไม่ออกความเห็นใดๆเขาก็ถามต่อ
“.......”
“เฮ้ย! ผมถามว่าสอนถึงกี่โมง?” รมณ์นลินสะดุ้งเมื่อถูกตะคอก ตอนนี้พยายามนั่งนับหนึ่งถึงร้อยข่มความโกรธ
“หะ...หกโมงค่ะ”
“อืม...รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวมารับ” รมณ์นลินมองเขาตาค้างด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ไข้ขึ้นหรือไงนะถึงได้พูดอะไรเพี้ยนๆ
“คะ...เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันกลับเองได้...ว่าจะไปดูรถด้วย ถ้ายังไม่เสร็จก็จะแวะไปเอารถพี่ชลที่โรงแรมมาใช้ค่ะ” หล่อนบ่ายเบี่ยง
“อย่าเล่นตัวนักเลยน่า...” เขาว่าให้ด้วยความรำคาญ
“ดิฉันไม่ได้เล่นตัว!” หล่อนเถียง
“ไม่ได้เล่นตัวก็ทำอย่างที่ผมบอก ถ้าหนีกลับก่อนไม่ยอมรอกันล่ะก็จะถามไปเอาเรื่องถึงบ้านเชียวนะ...เอามั้ย?” เทียมภพขู่ รมณ์นลินไม่รับปากแล้วรีบลงมาอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้คนขู่หัวเสียรุนแรงที่อีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นศูนย์เรียนดนตรีของเยาวชนซึ่งส่วนมากอายุไม่ถึงสิบห้าคงได้มีการเข้าไปลงโทษในชั้นเรียนแน่นอน ไม่เป็นไร...เดี๋ยวคอยดูว่าเย็นนี้จะกล้าขัดคำสั่งหรือเปล่า
ตกเย็น...
รมณ์นลินรีบเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน ป่านนี้เทียมภพคงกำลังขับรถมาหรือไม่ก็อาจลืมเรื่องนั้นไปแล้ว เอาเถอะ...รีบไปก่อนที่จะเขาจะมาจริงๆดีกว่า แต่พอออกมาจะเรียกแท็กซี่ก็เห็นเขายืนยิ้มเผล่อยู่ข้างหน้าโรงเรียน
“ตรงเวลาดีนี่คุณ” เขาทัก
“คุณหมาก!” รมณ์นลินอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะเอาจริง
“ไม่ต้องเรียกนักหรอก กลัวผมจำชื่อตัวเองไม่ได้หรือไง มาเร็ว...ขึ้นรถ” เทียมภพขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ รมณ์นลินสังเกตว่าเขาไม่ได้เอารถคันเดิมมาแต่เป็นรถรุ่นเดียวสีเดียวกับของพี่ชายที่ใช้ประจำ กระจกทุกบานติดฟิล์มดำสนิทมองไม่เห็นข้างใน ชายหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมขึ้นมาก็กดแตรสองครั้งติด
“นี่คุณจะทำเสียงดังทำไมน่ะ! เด็กๆตกใจหมด” รมณ์นลินต่อว่าที่เขาทำเสียงดังจนเด็กและผู้ปกครองหันมามอง
“อยากเล่นแง่นัก มาเร็วๆถ้ายังเยื้องย่างอยู่อย่างนั้นจะลงไปจูบโชว์กลางถนนนี่แหละ” ได้ผล...คำขู่พิฆาตนั้นทำให้คนถูกขู่กลัวขึ้นสมองจนต้องรีบทำตาม
“จะไปไหนคะ?” พอออกรถมาได้สักพักก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีถามออกไป
“ถึงแล้วก็รู้เอง อย่าขัดใจผมเป็นพอ” เทียมภพลอบมองเสี้ยวหน้าหวาดหวั่นนั้นนิดหนึ่งก่อนจะแอบยิ้มออกมา ดีล่ะ...จะแกล้งให้ขวัญกระเจิงเชียว
“เอ๊ะ! นี่มันโรงแรม” รมณ์นลินร้อง เริ่มหันรีหันขวางเมื่อเทียมภพเลี้ยวรถเข้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ความกลัวที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นขณะที่คนพามายังขับรถด้วยท่าทางสบายๆ
“ก็โรงแรมน่ะสิ รับรองว่าวันนี้คุณจะสนุกจนต้องร้องขอชีวิต!” เทียมภพยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายกระวนกระวายเป็นหนูติดจั่นแล้วยิ่งสนุก
“ไม่นะ คนบ้า! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ กรี๊ด...” รมณ์นลินดีดดิ้น ทั้งตบทั้งตีและกวาดทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวปาใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง เทียมภพโดนไปหลายดอกกว่าจะหยุดหล่อนได้
“โว้ย! หยุดซะที ไม่ได้พามาปล้ำซะหน่อย แค่จะพามากินข้าว กินข้าวน่ะ...เข้าใจมั้ย!” รมณ์นลินชะงักกล่องทิชชูที่เตรียมประเคนใส่หน้าหล่อๆนั้น
“แล้วทำไมคุณไม่บอกดีๆแต่แรก”
“อุวะ! แล้วผมพูดไม่ดีตรงไหนฮะ คุณต่างหากตีโพยตีพายใหญ่โต ถึงผมจะเป็นประเภทกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแต่ก็เลือกนะครับคุณผู้หญิง ไอ้แห้งๆซีดๆเหมือนปลาทูอาบฟอร์มาลินแบบคุณเนี่ย...ผมไม่รับประทานนะครับ” ไม่พูดเปล่ายังกวาดตามองไปทั่วร่างคนนั่งข้างๆ หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกเปรียบเทียบแบบนั้น
“ไปเร็ว...ผมจองที่ไว้แล้ว” รมณ์นลินทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามเขาต้อยๆ พยายามรักษาระยะห่างให้มากที่สุด
“สิตาหรือจ๊ะ วันนี้ผมอาจจะไปรับที่กองไม่ได้นะครับ เราเจอที่คอนโดเลยแล้วกัน” หล่อนได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับแฟนสาวขณะที่นั่งอยู่ด้วยกันในร้านอาหารอิตาเลี่ยนแบบโอเพิ่นแอร์ แต่แหม...จะคุยกับแฟนเรื่องส่วนตัวแบบนี้ไม่คิดจะหลบไปคุยที่ลับตาคนเลยหรืออย่างไร
“อ๋อ...ผมมาทานข้าวกับลูกค้า กลับไม่เกินสี่ทุ่มนะ...แล้วเจอกันครับ” คนฟังเบ้ปากกับการพูดปดของคนเจ้าชู้ตรงหน้า
“แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์มันเสียมารยาทนะคุณ” เทียมภพแกล้งว่าหลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว คนถูกว่าหน้าร้อนผ่าว
“ไม่ได้แอบซะหน่อย อ้อ...ดูคุณจะเป็นเปิดเผยดีนะคะ คุยเรื่องส่วนตัวกับแฟนให้คนอื่นได้ยินเนี่ย” หล่อนเหน็บให้
“ทำไม? โลกสวยหรือไง? วันๆวิ่งเล่นอยู่แต่ในทุ่งลาเวนเดอร์คอยให้อาหารยูนิคอนเหรอ? หรือว่าอยากให้ผมพูดแบบนี้กับคุณบ้างล่ะสิ” เขาย้อนถาม
“ฮึ...ไม่มีทาง เก็บไว้พูดกับคู่ขาของคุณเถอะ” รมณ์นลินโต้อย่างเหลืออด
“ผมน่ะ...อมเปรี้ยวอมหวานนะคุณ อยากลองอีกมั้ย?” รมณ์นลินจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผู้ชายอะไร...ทั้งป่าเถื่อนหยาบคายและกักขฬะเป็นที่สุด เทียมภพชอบใจที่ได้แกล้งแต่อีกใจก็มีความสุขบอกไม่ถูก เคยพาสาวๆไปออกเดทด้วยจนนับไม่ถ้วนแต่ทำไมไม่เหมือนคนนี้ ทำไมมันรู้สึก ‘พิเศษ’ แบบที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน
ชลธีไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอหล่อนอีกครั้งที่นี่ มันเป็นความรู้สึกทั้งประหลาดใจและยินดีผสมปนเปกันไปหมด เปรมยุตายังดูเหมือนเดิมทุกอย่าง หล่อนสวยและอ่อนหวานดังเช่นแต่ก่อน อาจจะมีบ้างนิดๆที่เปลี่ยนไป ที่เห็นได้ชัดเจนก็คงจะเป็นดวงตาสดใสที่คุ้นชินเมื่อหลายปีก่อนมันดูหมองๆลงไป นอกนั้นเปรมยุตาก็ดูเหมือนดอกกุหลาบที่งดงามไม่ว่าจะผลิบานฤดูไหน
ในขณะเดียวกันเปรมยุตาเองก็แทบจะไม่คิดว่ามันจะมีวันเป็นไปได้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้รับมอบหมายให้มาร่วมงานครั้งนี้แทนเจ้านาย ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีนักธุรกิจจากเมืองไทยอย่างชลธีมาร่วมงานด้วย เขาเงียบหายไปหลายปีแล้ว จำได้ว่าเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่องานรับปริญญาแล้วจากนั้นก็เงียบไป จนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ได้เห็นเขาปรากฏอยู่ตามนิตยสารและข่าวสังคมต่างๆ ตอนนั้นยังตกใจอยู่เลยที่เห็นเขาเมื่อครั้งให้สัมภาษณ์ในหนังสือประเภทการท่องเที่ยว ไม่อยากเชื่อเลยว่าชลธีในวันนี้จะเป็นคนๆเดียวกันคนรักของตนเมื่อเกือบสิบปีก่อน
ดังนั้นหลังจากจบการแข่งขันในวันแรก ชลธีก็ชวน ‘อดีต’ คนรักมานั่งดื่มกาแฟกันแถวๆโรงแรมที่พัก สังเกตได้อีกอย่างหนึ่งว่าไม่ใช่เฉพาะแววตาคู่นั้นที่เปลี่ยนไป หากแต่อากัปกิริยาการพูดจาที่เปลี่ยนจากผู้หญิงแสนเรียบร้อยอ่อนโยนและติดไปทางขี้อายกลายเป็นสตรีเจนสังคม ดูมีความมั่นใจ ไม่ว่าจะย่างก้าวไปทางไหน ก็ต้องมีสายตาชื่นชมกึ่งโลมเลียจากหนุ่มๆแถมมาด้วย
“ในที่สุดปรางก็ได้เจอคุณ ปรางภาวนาทุกวันว่าขอให้ได้พบคุณอีกสักครั้ง” เสียงหวานเจือความอาทรชัดเจน มันทำให้ชลธีต้องมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยเพื่อค้นหาว่าเป็นความจริงหรือเปล่าและพบว่ามันเป็นเรื่องจริง
“ปรางอยากขอโทษคุณค่ะชล ปรางไม่เคยมีโอกาสพูดคำนี้กับคุณเลยนับตั้งแต่...” หยาดน้ำใสๆไหลรินลงมาตามแก้มปลั่ง เขารู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆจุกอยู่ที่คอ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานนักแล้วแต่ก็ยังทนไม่ได้เลยสักครั้งที่จะเห็นน้ำตาของคนรักเก่า เมื่อก่อนทนไม่ได้อย่างไร...วันนี้ก็ยังคงทนไม่ได้เท่านั้น ชลธีกุมมือคู่นั้นไว้อย่างให้กำลังใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเช่นในอดีต
“ผมไม่โกรธคุณแล้วนะปราง เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว ลืมมันซะ...แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราต่างมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว ถึงเราจะไม่ได้เดินไปด้วยกันแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ”
“ปรางเริ่มใหม่ไม่ได้อีกแล้วล่ะค่ะ ปรางหย่ากับสามีมาเกือบปีแล้ว” พูดจบน้ำตาก็พากันไหลไม่หยุด ชลธีใช้กระดาษซับให้อย่างอ่อนโยน รู้สึกปวดร้าวและสงสารตามไปด้วย ผู้ชายคนนั้นกล้าทิ้งคนที่แสนดีอย่างเปรมยุตาได้อย่างไร
“เสียใจด้วยนะปราง แต่ผมเชื่อว่าต้องมีสักวันที่ปรางจะเข้มแข็งพอ พร้อมที่จะมีชีวิตใหม่ได้อีก” เขาปลอบ
“ปรางก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ชลเชื่อมั้ย? ตั้งแต่เรา...ห่างกันไปปรางก็คิดถึงแต่คุณ ไม่มีวันไหนเลยที่จะลืมคุณได้ แม้จะแต่งงานไปแล้วแต่ก็ยังลืมคุณไม่ได้”
คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากอีกฝ่ายทำให้ชลธีเกิดอาการตื้ออื้ออึงอยู่ในสมองคล้ายกับว่าหล่อนคือของรักที่หายไปแล้วในวันนี้ก็ได้มันกลับคืน แต่ทว่า...เขาอยากจะเก็บมันไว้ในในกรุแล้วปิดกุญแจไว้ไม่อยากเอาออกมาเชยชมอีก
“ปราง...ผมดีใจที่ได้พบคุณอีกนะ และก็ยินดีเสมอที่จะช่วยเหลือคุณไม่ว่าเรื่องอะไร ถึงวันนี้ความสัมพันธ์ของเราจะไม่เหมือนเดิมแต่เราก็ยังเป็นเพื่อนได้นี่ครับ” เขายิ้มบางๆ เปรมยุตายิ้มบ้าง ชลธีเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
“ขอบคุณนะคะ ตอนนี้ปรางก็เรื่อยๆ ทำงานอย่างเดียว ว่าแต่ว่าชล...มีครอบครัวหรือยัง?”
“งานยุ่งขนาดนี้ผมคงจะมีเวลาไปมองใครได้หรอกนะ ผมมันมนุษย์บ้างาน” เขาหัวเราะกับตัวเองเบาๆ แต่แวบหนึ่งก็มีสาวหน้าใสจอมรั้นลอยเข้ามาในห้วงความคิด
“อย่าลืมเผื่อเวลาให้ตัวเองบ้างล่ะ” หญิงสาวยิ้มให้อย่างสบายใจ ความรู้สึกเก่าๆเริ่มกลับมาก่อกวนใจ ถ้าวันนั้นไม่เกิดเรื่อง...วันนี้คงมาอยู่ที่นี่กับเขาในฐานะคู่รัก อาจจะมาพักผ่อนหรือฮันนีมูนไม่ใช่ต่างคนต่างมาทำงานแล้วบังเอิญเจอกันเท่านั้น
“เอาล่ะ...เนื่องในโอกาสที่เจอเพื่อนเก่า เย็นนี้ผมเลี้ยงข้าวคุณเอง” ชลธีเสนอ เปรมยุตาพยักหน้าตกลงทันที ความหมองหม่นที่สะสมมานานหลายเดือนดูเหมือนจะบรรเทาเบาบางลงแทบจะไม่หลงเหลือตกตะกอน แม้จะมีอดีตอันเจ็บช้ำแต่หล่อนก็รู้สึกว่าตนเองยังคงเป็นคนสำคัญสำหรับเขาอยู่ จะเป็นไรไหมนะ...ถ้าจะก่อความรู้สึกดีๆขึ้นมาอีกครั้ง ชลธีจะร่วมมือด้วยหรือไม่
บุรินทร์อาสามาส่งแทนดาวตอนหัวค่ำ คุณหลีมีของฝากมาให้มากมายเช่นเคย หลังจากแม่บ้านช่วยกันหอบหิ้วสารพัดถุงของฝากเข้าบ้านแล้วสาวน้อยก็หันมาบอกพี่ชายต่างสายเลือด
“ไปหาคุณย่ากันก่อนนะเฮียบุ้ง พี่หมากยังไม่กลับเลย” คนตัวเล็กจูงมือบุรินทร์เข้าบ้านด้วยอาการร่าเริงจนไม่ได้สังเกตสีหน้าของคนที่ตนจับจูงมาเลยว่ามันช่างดูเหงาหงอยเสียจริง
“หอบของมาเยอะเยอะเลยนะเจ้าบุ้ง ดีเลย...ย่าฝากมะม่วงกับชมพู่ไปด้วยนะ ให้เด็กไปเก็บอยู่...รอสักเดี๋ยวเถอะ กินข้าวมาหรือยังล่ะ?” คุณลำเภาทักหลานชายอีกคนอย่างเป็นกันเอง บุรินทร์พยายามปรับสีหน้าให้ดูสดใสขณะทำความเคารพหญิงชรา
“ม๊าหลีทำกระเพาะปลาน้ำแดงให้กิน อิ่มแปล้เลย...แบ่งใส่ปิ่นโตมาให้ที่นี่แล้วก็บ้านโน้นด้วยค่ะ เอ...พี่ผึ้งไม่เดินมาเหรอคะ? จะได้หิ้วปิ่นโตกลับไป” หลานสาวคนเล็กตอบแทนพร้อมกับถามหาพี่สาว
“เพิ่งจะเดินกลับไปซักพัก มาถามหาเราอยู่เหมือนกัน เห็นว่าจะชวนไปเดินจตุจักรพรุ่งนี้แน่ะ” คุณย่าตอบพลางคัดมะม่วงสวยๆใส่ถุง
“เหรอคะ...แปลกคนจริง คุณหนูไฮโซอย่างพี่ผึ้งเนี่ยนะจะไปเดินเที่ยวตลาด นางจะกล้าเหยียบเท้าลงพื้นหรือเปล่าหรอก” หล่อนแอบนินทาพี่สาว
“ถ้างั้นเราเดินไปบ้านโน้นกัน เฮียบุ้งหิ้วปิ่นโตไปให้เองเลย” โดยไม่รอให้อีกฝ่ายออกความเห็น คนตัวเล็กก็จูงมือพาพี่ชายต่างสายเลือดเดินลิ่วไปไปยังบ้านของพี่สาวที่อยู่ในรั้วเดียวกันแต่ไม่ไกลกันนัก บุรินทร์ทำหน้าลำบากก่อนจะตัดสินใจหยุดการกระทำของคนตัวเล็ก
“เฮียว่าอย่าดีกว่า...” เขาพูดออกมาในที่สุด
“ทำไมล่ะ..แล้วกระเพาะปลานี่ล่ะคะ?” แทนดาวถามอย่างไม่เข้าใจเพราะปรกติแทบไม่ต้องชวนด้วยซ้ำ เฮียบุ้งเองจะเป็นฝ่ายเดินไปหาพี่สาวเอง ชายหนุ่มยังไม่ตอบในทันทีแต่เดินย้อนกลับมานั่งพักที่ศาลา แทนดาวเดินตามมาเงียบๆ
“ฝากน้องพลูจัดการด้วยก็แล้วกัน” เขาพูดเสียงหงอยๆ แทนดาวนั่งลงข้างๆ
“เฮียบุ้งเป็นอะไร?”
“อย่าพยายามอีกเลยนะน้องพลู เฮียยอมแพ้แล้ว” บุรินทร์ตอบเสียงเศร้า แทนดาวเข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึงเรื่องอะไร
“ทำไมล่ะ? น้องพลูอยากให้พี่ผึ้งกับเฮียบุ้งเป็น....” พูดไม่ทันจบก็ถูกพี่ชายเอามือปิดปาก
“เรา...เฮียกับเค้า คุยกันไปหมดแล้ว เราสองคนจะไม่มีวันเป็นอย่างอื่นได้นอกจาก...พี่น้อง” เขาพูดได้เท่านั้นก็หยุดเพราะรู้สึกถึงก้อนแข็งๆมาจุกอยู่ที่คอ แทนดาวมองหน้าพี่ชายด้วยความรู้สึกทั้งสงสารและเห็นใจแต่ก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“เฮียบุ้งขา...น้องพลูรักเฮียบุ้งนะคะ น้องพลูไม่อยากเห็นพี่ชายต้องเป็นแบบนี้เลย” คนตัวเล็กโผเข้ากอดเขาแน่นเป็นการปลอบใจ พี่สาวคงจะบอกตัดสัมพันธ์ขั้นเด็ดขาดไปแล้วไม่งั้นคงไม่เศร้าหมองขนาดนี้
“ขอบใจน้องพลูที่เอาใจช่วยเฮียมาตลอด แต่เฮียก็ต้องพยายามก้าวผ่านความผิดหวังนี้ไปให้ได้ ไม่ต้องห่วงนะ...เฮียบุ้งไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ” เขากอดคนตัวเล็กแน่นขึ้น กดคางลงกับศีรษะเล็กเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเอง
“กลับกันดีกว่า ป่านนี้คุณย่าคงเตรียมของเรียบร้อย ว่าแต่เรา...ใกล้เรียนจบแล้วนี่ เห็นบ่นกับหมากว่าไม่อยากไปทำงานที่ทวีกิจเหรอ มาช่วยเฮียขายทองเอามั้ย? หรือจะไปช่วยเฮียเบิ้มเสิร์ฟอาหารที่ภัตตาคาร?” บุรินทร์พยายามทำตัวให้ร่าเริงแต่คนฟังก็ยังรู้สึกได้ถึงความเศร้าหมอง แทนดาวผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะยุติเรื่องการทำหน้าที่แม่สื่อเพียงเท่านี้ ตอนนี้ควรจะหาวิธีช่วยเฮียบุ้งให้ผ่านพ้นความเสียใจเร็วๆดีกว่า
“น้องพลูขายของไม่เก่งหรอกค่ะ แต่รับจ้างเลี้ยงเด็กยังพอได้ ตอนนี้บ้านม๊าหลีลูกหลานเต็มไปหมด... เปิดเป็นเนอสเซอรี่น่าจะเข้าท่า เดี๋ยวน้องพลูไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กเอง” แทนดาวทำเสียงร่าเริงและยิ้มให้พี่ชายอย่างสดใส บุรินทร์ค่อยยิ้มออกมาได้บ้างแล้วสองพี่น้องจะเดินโอบเอวกันกลับไปที่บ้านใหญ่
พาหนะคันงามของบุรินทร์ขับเคลื่อนผ่านประตูบานใหญ่ไปนานแล้วแต่ปลายเดือนยังคงยืนมองมาจากระเบียงบ้านชั้นบนอีกสักพักจึงค่อยผ่อนคลายอิริยาบถ หล่อนเห็นตั้งแต่ตอนที่รถของบุรินทร์เข้ามาจอดที่บ้านใหญ่แล้วเลยรีบเดินกลับบ้านโดยไม่รอทักทายเหมือนแต่ก่อนเพราะไม่อยากให้เขาต้องคิดมากอีกถ้าเห็นหน้ากัน เข้าใจดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในช่วงเวลาทำใจ
“ผึ้งขอให้เฮียบุ้งได้เจอกับคนดีๆที่รักเฮียบุ้งมากๆเหมือนกับที่เฮียบุ้งรักผึ้งนะจ๊ะ” ปลายเดือนรำพึงกับตัวเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ