ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  38.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) ตอนที่ 10 คนในความทรงจำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 10 คนในความทรงจำ

 

                ครอบครัวทวีกิจไพศาลกลับถึงกรุงเทพฯในตอนเย็นวันเดียวกันก่อนจะแยกทางกับรมณ์นลินที่สนามบินดอนเมือง คุณวารียังอยู่ต่ออีกสองวันเพราะนานๆจะลงมาเยี่ยมญาติที่ตรัง แทนดาวเจอชลธีครั้งสุดท้ายตอนที่เขามาส่งน้องสาวที่สนามบินตรัง ก่อนจะเดินทางไปพักที่ภูเก็ตหนึ่งคืนเพื่อต่อเครื่องเครื่องบินไปออสเตรียเลียในวันรุ่งขึ้น

               รถตู้ที่บ้านมารอรับอยู่แล้ว แทนดาวรู้สึกเพลียเหลือเกิน ตอนอยู่บนเครื่องบินก็ไม่ได้หลับอย่างสุขสงบ เพราะปลายเดือนที่นั่งข้างๆคุยจ้อข้ามแถวอยู่กับเวทิวุฒิที่เปลี่ยนตั๋วกลับมาเที่ยวเดียวกันวันนี้ แถมยังคอยดึงคนจะนอนให้เข้าไปคุยด้วยอีก ดังนั้นพอขึ้นรถได้ก็จองที่นั่งเบาะหลังแล้วหลับเป็นตายจนถึงบ้าน

                “น้องพลู...ถึงบ้านแล้วนะคะ” คุณดวงทิพย์เขย่าตัวลูกสาวเรียกให้ตื่น สัมภาระต่างๆรวมถึงของฝากถูกขนลงจากรถหมดแล้วคงเหลือแต่คุณน้องพลูขี้เซาไม่ตื่นเสียที

                “ไม่ต้องปลุกหรอกครับแม่ เดี๋ยวผมอุ้มไปเอง” เมื่อเห็นว่าน้องสาวคงยังสลบเหมือดอยู่อย่างเดิมก็ไม่อยากฝืนปลุกเพราะสงสาร รู้ดีว่าถ้าน้องนอนไม่เต็มอิ่มแล้วถูกกวนจนตื่นขึ้นมาจะเกิดอาการ ‘งี่เง่า’

                “งั้นเดี๋ยวเสร็จแล้วไปหาพ่อที่ห้องหนังสือหน่อยนะ แท้ด้วยนะ” คุณเที่ยงธรรมสั่งบุตรชายกับน้องชาย เทียมภพคิดเซ็งๆว่าพอถึงบ้านปุ๊บคุณพ่อก็ให้ทำงานปั๊บเลยหรือ

                เทียมภพว่างร่างน้องสาวที่ยังไม่ยอมตื่นบนเตียงสีชมพูหนานุ่มในห้องนอนของเจ้าตัวแล้วก็จะไปหาบิดา แต่พลันเสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กของน้องสาวเกิดมีสายเรียกเข้าสั่นสะเทือนอยู่อย่างนั้น พอเห็นชื่อปลายสายที่แสดงบนจอก็ต้องรีบรับสายทันที

                “ว่าไง...มีอะไร?” เสียงแข็งกระด้างที่กรอกลงไปทำให้คนโทรมาถึงกับเสียวสันหลังวาบ

                “ขอพูดกับน้องพลูหน่อยได้มั้ยคะ?” รมณ์นลินรู้สึกว่าระยะนี้ตนเองโชคไม่ดีนักดันโทรมาเจอพี่ชายจอมโหดเสียได้

                “น้องพลูหลับอยู่ ไม่สะดวกคุย มีอะไรก็ว่ามาเดี๋ยวผมจะบอกให้” เขาบอกห้วนๆ

                “คือว่า...น้องพลูลืมกล้องไว้น่ะค่ะ แฟงเพิ่งนึกได้”

                “กล้องเหรอ...แล้วไปลืมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

                “ก็วันนี้แหละค่ะ”

                “แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”

                “อยู่ที่บ้านค่ะ”

                “เออ...แล้วบ้านน่ะอยู่ที่ไหนเล่า?!” เขาชักเริ่มรำคาญ รมณ์นลินรีบบอกตรอกซอกซอยละเอียดยิบแล้วก็บ่นพี่ชายอยู่ในใจ

                “พี่ชลนะพี่ชล ไม่น่าหาเรื่องมาให้เลย”

                “รออยู่นั่นนะ เดี๋ยวผมไป” เทียมภพวางสายแล้วหันไปมองน้องสาวขี้ลืมที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเดินทางไปบ้านคู่อริ มันน่าตีไหมล่ะเนี่ย

                รมณ์นลินถอนหายใจออกมาเบาๆหลังจบบทสนทนาแสนห้วนนั้น ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ากล้องดิจิตอลมิเรอร์เลสที่ชลธีถือติดมือมานั้นเป็นของใคร พอพี่ชายตัวดีโหลดภาพลงแล็บท็อปก็ถึงบางอ้อ ในนั้นมีแต่รูปลูกศิษย์คนโปรดเต็มไปหมด

                 “นี่พี่ชลไปขโมยกล้องน้องพลูมาเหรอ?”

            “เหลวไหล...เค้าลืมไว้บนรถสองแถว ดีนะที่คนขับเขารู้จักพี่แล้วก็มีจริยธรรมพอที่จะเอามาคืนน่ะ”

            “แล้วแอบเอาของเค้ามาเปิดดูเนี่ยนะ พี่ชลนี่ไม่มีมารยาทเลย”

            “ดูไปเงียบๆน่า” พี่ชายเอ็ดให้อย่างขัดใจแล่วนั่งดูรูปภาพไปเรื่อยๆ จนมาถึงภาพสุดท้ายที่เป็นรูปคู่ เขาแปลกใจกึ่งดีที่ภาพหลังสุดนี้ติดมาด้วยเพราะจำได้ว่าถ่ายตอนแบตเตอรี่จะหมดพอดี

            “พี่ชลแอบขโมยรูปน้องพลู” พอเห็นพี่ชายก็อปปี้ทั้งหมดเก็บไว้เลยทักท้วง

            “ไม่ได้ขโมย พี่แค่เก็บไว้เป็นแบ็คอัพเฉยๆ อย่ามาใส่ร้ายเชียวนะ” คนฟังเบ้ปากให้กับคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นของพี่ชาย

            “เอ...ชักจะยังไงแล้วน๊า...” น้องสาวทำตาทะเล้นใส่เลยถูกหยิกแก้มเบาๆ

            “เป็นเด็กเป็นเล็ก...อย่ายุ่ง อ้อ...พอถึงกรุงเทพแล้วฝากเอาไปคืนเจ้าของด้วยนะ ขืนเอาไปให้ตอนนี้เดี๋ยวได้ตีกับไอ้ร็อตไวเลอร์นั่นอีก พี่ต้องการไปเมืองนอกด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา ไม่ใช่ฟกช้ำดำเขียว...เดี๋ยวแอร์ไม่ให้ขึ้นเครื่อง”

                เทียมภพลงมาที่ห้องหนังสือ เห็นอาเที่ยงแท้กับบิดาปรึกษาอะไรกันอยู่ดูท่าทางเคร่งเครียด พอเห็นบุตรชายเดินทำหน้าเหนื่อยๆเข้ามาก็ไม่รอให้พักหายใจ แจ้งจุดประสงค์ให้รับรู้ทันที

                “หมาก...พ่อกับอาแท้ปรึกษากันว่าจะขายหุ้นให้ธาราหกสิบเปอร์เซ็นต์ หมากจะว่ายังไง?” เทียมภพสะดุ้งแทบจะตกเก้าอี้ คิ้วขมวดผูกปมด้วยความเครียดแล้วก็ตอบโดยไม่ต้องคิด

                “ผมไม่เห็นด้วย! อย่าว่าแต่หกสิบเลยครับ...เปอร์เซ็นต์เดียวผมก็ไม่ยอม พ่อจะให้ไอ้ชลมันมันมานั่งปั้นหน้าเหมือนผีดิบในบอร์ดบริหารของทวีกิจหรือฮะ?” บุตรชายโพล่งออกมาอย่างแค้นเคือง

                “หมากจะพูดอะไรก็ระวังหน่อย เราจำเป็นต้องทำเพราะตอนนี้ผู้ถือหุ้นทุกคนกำลังจะถอนเงินคืนกันหมดแล้ว” ผู้เป็นอากล่าว เทียมภพทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเอามือกุมหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม เขารับรู้ปัญหาของทวีกิจที่ยืดเยื้อมานานหลายปีแล้ว การดำเนินงานผิดพลาดของหนึ่งในผู้บริหารคนก่อนทำให้เกิดความเสียหายค่อนข้างมาก แม้ตนเองจะเป็นผู้สืบทอดกิจการรุ่นใหม่ไฟแรงและยังมีฝีมือการทำงานไม่ว่าจะบู๊จะบุ๋นจนเป็นที่ยอมรับ แต่ก็ไม่อาจจะช่วยเหลือได้ทันท่วงทีเพราะคนกระทำผิดคนนั้นต่างก็เป็นเครือญาติกับผู้ร่วมก่อตั้งทวีกิจมาตั้งแต่แรกก็เลยเกิดความเชื่อใจและเกรงใจจนไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบงานส่วนนั้น พอมารู้อีกทีความเสียหายก็เกิดขึ้นหนักมากแล้ว ซ้ำร้ายวิกฤตินี้เริ่มรุนแรงขึ้นหลายเท่าตัวก็ช่วงที่เศรษฐกิจหยุดชะงักเพราะเหตุบ้านการเมืองไม่สงบ การส่งออกหรือนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ที่ทำอยู่ก็ติดขัดไปทุกทาง

                “หมาก...พ่อกับอาแท้ได้คุยกับคุณชลมาแล้วสักระยะหนึ่ง พ่อไม่รู้หรอกว่าเค้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไงแต่วันนึงเค้าก็เข้ามาคุยกับพ่อ ไม่ใช่ว่าพ่อจะยอมตกลงทั้งแต่ทีแรกนะ แต่เรื่องนี้เรา...พ่อกับอาแกคุยกันมาหลายเดือนแล้วและเราเห็นพ้องต้องกัน” คุณเที่ยงธรรมยกชาร้อนขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อเสียงเครียด

                “เค้าไม่ได้อยากเข้ามาก้าวก่ายงานของครอบครัวเรา แต่ถ้าปฏิเสธไม่ยอมให้เค้าเข้ามาพยุง...รู้มั้ยเราจะเป็นยังไง? ทวีกิจจะต้องปิดตัวหากคนอื่นๆพากันถอนตัวออกไปเพราะขาดความเชื่อถือในตัวเรา” บิดาอธิบายเสียงเครียด เทียมภพเครียดกว่าจนต้องควานหาควานหายาสูบ

                “ถ้ามันถึงเวลาที่ต้องปิดก็ปิด พ่อจะกลัวไปทำไม? ผมยังมีทรีดีที่ทำกับเพื่อนๆ ผมดูแลครอบครัวเราได้อยู่แล้ว” เทียมภพตอบเสียงหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยความวิตก

                “พ่อรู้...แต่ทวีกิจมีมาตั้งแต่พ่อกับอาของลูกยังไม่เกิด อีกอย่าง...พวกเราก็เติบโตมากับมัน ปู่ของลูกสร้างมันมากับมืออย่าให้มันมาจบที่พวกเรา...พ่อรับไม่ได้” บิดามองหน้าบุตรชายคนโตอย่างขอความเห็นใจ เทียมภพเงยหน้ามองภาพถ่ายขาวดำขนาดใหญ่ในกรอบไม้สีทองที่แขวนอยู่บนผนังด้านหนึ่งของห้อง ในภาพเป็นชายวัยหนุ่มใหญ่กับสตรีร่างเล็กยืนอยู่หน้าอาคารพาณิชย์สองห้อง ด้านในร้านมองเห็นว่ามีสินค้าจำพวกของใช้ในครัวเรือนอยู่เต็ม ป้ายชื่อร้านที่แขวนอยู่ด้านบนเขียนด้วยตัวหนังสือสวยงามว่า “ทวีกิจไพศาล” ชายในภาพคือคุณกอบกิจผู้บุกเบิกและก่อตั้งทวีกิจรุ่นแรก ส่วนสตรีที่ยืนข้างๆคือคุณลำเภาผู้เป็นย่าซึ่งกำลังตั้งครรภ์คุณเที่ยงธรรมในตอนนั้น

                  ด้วยความเป็นทายาทคนโตตระหนักดีว่าบิดารักทวีกิจมากแค่ไหน พอสิ้นบุญคุณปู่ท่านก็ลาออกจากตำแหน่งนักการทูตที่รักมาบริหารงานเองเต็มตัว พอมีลูกชายคนแรกก็ตั้งความหวังให้มาสานต่อกิจการและเขาเองก็ทำมันได้ดี ไม่เคยทำให้ท่านต้องผิดหวัง

                “กู้ธนาคารไม่ได้หรือครับพ่อ เดี๋ยวผมจะร่างแผนปรับการดำเนินงานให้ใหม่แล้วไปยื่นขอกู้ ผมก็พอมีเงินส่วนตัวอยู่บ้าง...ผมให้ได้ครับ” เทียมภพเสนอ

                “ตอนนี้เครดิตเราไม่ดีในสายตาสถาบันการเงินนะหมาก อาทำตรงนี้อยู่ทำไมจะไม่รู้” คุณเที่ยงแท้บอก บิดาพยักหน้าเห็นด้วย

                “เลยเหลือวิธีนี้วิธีเดียวใช่มั้ยครับพ่อ? ถ้างั้นผมขอลาออก ผมจะเลือกทำงานที่ทรีดีที่เดียว จะไม่ยอมร่วมงานกับ ‘มัน’ เด็ดขาด!” เขาประกาศชัดเจนว่าจะยอมทิ้งทวีกิจในนามของศัตรูแล้วเดินตึงตังออกไป ทิ้งให้บิดาและอามองหน้ากันด้วยความกลัดกลุ้ม

 

                เสียงแตรรถดังสนั่นติดกันสามครั้งทำให้รมณ์นลินที่กำลังจัดข้าวของที่เพิ่งรื้อออกจากกระเป๋าเดินทางต้องรีบวิ่งลงมาดู รถคันใหญ่สีเงินสว่างคุ้นตาจอดเทียบอยู่หน้าบ้าน คนขับกดกระจกลงจนสุดบานเพื่อมองคนที่วิ่งมาอย่างไม่สบอารมณ์

                “ชักช้าจริงวุ้ย! คนยิ่งรีบๆอยู่” คนขับบ่นให้ได้ยิน รมณ์นลินเปิดประตูรั้วอย่างหวาดหวั่น

                “ไหนล่ะกล้อง? รีบๆไปเอามา ผมจะไปธุระต่อ” เทียมภพถามห้วนๆ

                “ค่ะ...รอเดี๋ยวนะคะ จะเข้าบ้านก่อนมั้ย?” หล่อนเชิญชวนตามมารยาทแต่กลับกลายเป็นว่าเรียกรอยยิ้มเย้ยหยันจากคนในรถได้

                “อะไรกันครับคุณครู รู้จักกันไม่เท่าไหร่ก็ชวนผู้ชายเข้าบ้านแล้วเหรอ?” แล้วคนพูดก็กดปุ่มเลื่อนกระจกลงทั้งสี่บานแล้วหยิบบุหรี่ต่างประเทศขึ้นมาจุดสูบอย่างสบายอารมณ์ รมณ์นลินหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธขึ้นมาทันที

                “ไม่เข้าก็ตามใจ งั้นรออยู่นี่แล้วก็หยุดเห่าซะที เดี๋ยวข้างบ้านจะเข้าใจผิดคิดว่าบ้านนี้ซื้อสุนัขมาเลี้ยง” ด้วยความโกรธเลยตะโกนกลับจนตกใจตัวเองที่บริภาษเขาแรงขนาดนั้น ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยด่าใครเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย

                  เทียมภพคีบบุหรี่ค้าง อ้าปากหวอ...จำไม่ได้ทั้งหมดว่าโดนด่าอะไรไปบ้างเพราะตอนนี้โกรธจนตัวชา จำได้แต่ ‘หยุดเห่า’ กับ ‘หมา’ ก็นะ...แบกความหงุดหงิดออกมาจากบ้านก็ว่าแย่แล้วพอมาโดนด่ารัวๆแบบนี้ก็ของขึ้น ร่างสูงสง่ารีบลงรถแทบจะเป็นกระโดด ปามวนยาสูบที่เพิ่งไหม้ไปได้นิดเดียวลงพื้นแล้วบดขยี้ราวกับเอามันเป็นตัวแทนของคนที่ทำให้โกรธ

                “คุณด่าผมเป็นหมารึ? สั่งให้หยุดเห่ารึ? ผมเป็นนายจ้างคุณนะเฮ้ย!” เขาตะโกนกลับเสียงดังไม่แพ้กัน

                “แล้วยังไงล่ะ? ไม่ใช่พ่อฉันนี่!” สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพูดจายอกย้อนก้าวร้าวแบบนี้มาก่อนแต่เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้ต้องพูด

                “นี่คุณ! จะเกินไปแล้วนะ ด่าคนจ่ายค่าจ้างได้ยังไงฮะ!” เทียมภพหน้าแดง โกรธจนบอกไม่ถูกเพราะไม่เคยมีใครกล้าว่าเขาขนาดนี้ ในเวลาปกติตนเองเป็นใหญ่เสมอทั้งที่บ้านและที่ทำงาน

                “คนหยาบคาย! จะบอกให้ว่า...ถ้ารู้ว่าจะได้เงินของคุณฉันก็ไม่รับงานนี้หรอก คนทุเรศ!” หล่อนว่าให้อย่างเหลืออด เทียมภพสุดจะทานทนคิดว่าจะต้องสั่งสอนให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมาแว๊ดๆใส่ได้ หมือหนากระชากร่างบางตรงหน้าเข้ามาประชิดตัว สบตาใสๆที่มีแวววิตกอย่างเหี้ยมเกรียม

                “ปล่อยนะ! จะทำอะไร?” รมณ์นลินถามแทบจะเป็นกระซิบ

                “คุณจะได้รู้เดี๋ยวนี้” เขายิ้มเยาะเย็นๆก่อนจะก้มลงกดริมฝีปากกับปากบางอย่างรวดเร็วและแม่นยำ คนถูกกระทำไม่ทันตั้งตัวจึงรับจูบรุนแรงเต็มๆได้แต่อู้อี้ประท้วงด้วยความตกใจ พยายามขืนตัวออกมาก็ไม่สำเร็จ ขณะที่อีกฝ่ายใช้ทักษะอันชำนาญตามประสาหนุ่มเพลย์บอยเจนโลกบังคับให้ริมฝีปากที่ด่าฉอดๆเมื่อกี้ยอมเปิดรองรับการรุกรานจากเขาได้เต็มที่ หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าพลังของตัวเองกำลังจะถูกดูดจนหมดไปจึงฮึดสู้โดยการกัดริมฝีปากล่างของเขาอย่างแรง

                “โอ๊ย! เจ็บนะเว้ย” เทียมภพร้องลั่นและรับรู้รสชาติปะแล่มๆของเลือด รมณ์นลินรีบผลักเขาออกห่างแล้ววิ่งเข้าบ้านไปทันทีโดยไม่ลืมล็อกประตูรั้วกันอีกฝ่ายวิ่งตามเข้ามา เทียมภพเขย่าประตูตะโกนโหวกเหวกอย่างบ้าคลั่งทั้งเจ็บทั้งแค้นที่ถูกโต้กลับอย่างนี้

                “เฮ้ย! เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ แล้วกล้องผมล่ะ...เปิดซิโว้ย!” เขาตะโกนดังลั่น ดีที่บ้านของชลธีอยู่ในหมู่บ้านใหญ่ บริเวณบ้านจึงถูกจัดสรรให้อยู่เป็นสัดส่วนในพื้นที่ส่วนตัวจึงไม่มีใครได้ยินเสียงโหวกเหวกของเขา

                “บ้าชิบ!” เทียมภพบริภาษกับตัวเองก่อนจะกระชากประตูรถเปิดและปิดดังปังเมื่อความพยายามของตนไม่ประสบความสำเร็จ เขาตัดสินใจกลับเพราะไม่เห็นทีท่าว่าวันนี้จะได้กล้องคืน

                 รมณ์นลินเข้าห้องได้ก็น้ำตาแตกพรั่งพรู ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครทำหยามหยาบกับตัวเองขนาดนี้เลย ถ้าชลธีอยู่ด้วยเขาก็คงไม่กล้าทำบุ่มบ่ามอย่างนี้หรอก ไม่คิดเลยว่าคนที่แอบมองมานาน คนที่คิดเสมอว่าเป็นคนดีแต่แท้จริงแล้วจะเป็นคนจ้วงจาบหยาบช้าชนิดที่ไม่น่าคิดผิดไป ‘แอบชอบ’ เลย

              ร่องรอยบอบช้ำจากการกระทำของเขาเมื่อครู่ยังคงทิ้งร่องรอยร้อนรุ่มฉาบอยู่ที่ริมฝีปาก จูบแรกทำไมถึงไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย เสียใจปนน้อยใจที่ความจริงใจของตัวเองกลับถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไร้ยางอายชวนผู้ชายเข้าบ้านซ้ำยังได้รับบทลงโทษที่ป่าเถื่อนที่สุด หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงปล่อยน้ำตาไหลรินเงียบๆเมื่อหวนคิดถึงวันนั้น วันที่ได้เจอเขาครั้งแรก...

                 “แฟง...ดูพี่คนนั้นสิ อย่างเท่อ่ะ เหมือนนายแบบตามปกนิตยสารเลยเนอะ” รมณ์นลินเงยหน้าขึ้นจากตำราแล้วมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวสะอาดที่เพื่อนชี้ให้ดู เขากำลังเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่อยู่ไม่ไกลกัน หล่อนเป็นน้องใหม่อยู่ปีหนึ่งส่วนเขาเป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่โด่งดังมากในหมู่นักศึกษาสาว

            “เขาชื่อพี่หมาก หล่อและบ้านรวยมาก ฉันเคยคุยกับพี่เค้าด้วยล่ะ น่ารักที่สุด เวลายิ้มทีแทบจะละลายเลย” เพื่อนคนหนึ่งเล่า

            “พี่เค้าเรียนเศรษฐศาสตร์นี่นา ตึกข้างๆเราเลย”

            “ดูเขาจะขี้เล่นเนอะ หน้าตาใจดีเชียว”

            “แต่เสียใจด้วยนะ...พี่หมากคนนี้มีแฟนแล้ว เห็นว่าคบพี่คนนึงเรียนอยู่คณะเดียวกันแหละ รู้สึกจะชื่ออะไรนะ...ปราย...ปรางอะไรนี่แหละ ที่ได้เป็นนางนพมาศเมื่อวันลอยกระทงไง” รมณ์นลินรู้สึกสะดุดหูกับชื่อนี้แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ

            “ถ้างั้นพวกเธอก็อย่าไปมองเค้ามากนักเลย ชะเง้อให้คอหักเค้าก็ไม่เห็นเธอหรอกน่า” รมณ์นลินเตือนเพื่อนสนิทอีกคนที่ตอนนี้ยืนชะเง้อคอยาวมองตามร่างสูงที่เดินลับตาไปแล้ว

            อีกหลายสัปดาห์ต่อมา หลังเลิกเรียนในตอนบ่ายวันหนึ่งขณะที่หล่อนกำลังเดินข้ามถนนในมหาวิทยาลัยกำลังจะไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว อารามตกใจจึงรีบถลาหลบเข้าข้างทางแต่ก็ทำให้เสียหลักจนล้มลงไปกองกับพื้นถนน

            “โอ๊ย!” รมณ์นลินร้องลั่น ทันใดนั้นรถยนต์อีกคันก็เข้ามาจอดเทียบข้างๆแล้วคนขับก็รีบเปิดประตูลงมาดู

            “น้อง...เป็นอะไรมากเปล่า?” หล่อนลืมความเจ็บไปชั่วขณะเมื่อเห็นหน้าคนถามเต็มตา

            “เลือดออกด้วยนี่ ไอ้เวรนั่นไม่มาดูเลยว่าทำคนเจ็บ...ไอ้นรกเอ๊ย!” เขาสบถแล้วล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าสีเลือดหมูในกระเป๋าเสื้อมากดบาดแผลตรงข้อศอกที่มีเลือดซึมออกมา

            “เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” หล่อนพยายามประคองตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ลำบากเต็มทนจนเขาต้องช่วยพยุงอีกแรง

            “ผมว่าไปทำแผลก่อนดีกว่า ไปเถอะ...จะพาไปห้องพยาบาล” รมณ์นลินยังไม่ทันว่าอะไรเขาก็ประคองเข้าไปนั่งในรถ แล้วก่นด่ารถมอเตอร์ไซค์ต้นเหตุไม่หยุด ส่วนหล่อนก็เอาแต่ก้มหน้ามองดูบาดแผลและแอบชำเลืองมองซีกหน้าหล่อเหลาอยู่เป็นระยะ

            “ผมเห็นแล้วล่ะว่ามันขับมาเร็ว ยังนึกในใจอยู่เลยว่ามันจะรีบไปเผาศพบิดารึไงกัน แต่น้องก็โชคดีที่หลบทันไม่งั้นคงเจ็บกว่านี้ ไอ้ห่านั่นก็ไม่เหลียวแลเลย จะแจ้งความมั้ย...ผมขับตามมันมาเปิดกล้องหน้ารถดูทะเบียนมันได้” หล่อนส่ายหน้าไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย อีกอย่างก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย

            “ตามใจ...คราวหลังก็ระวังหน่อย แม่ง...มันคิดว่าในมหา’ลัยเป็นสนามแข่งรถหรือไงวะไอ้พวกเกรียนสวะ เอาล่ะ...ถึงแล้ว เดินไหวมั้ยล่ะ?” เขาหันมาถาม รมณ์นลินที่เอาแต่ก้มศีรษะพร้อมกับกล่าวขอบคุณก่อนลงจากรถ ยืนมองตามรถยนต์คันนั้นแล่นไปจนลับตา ความประทับใจบังเกิดขึ้นโดยฉับพลัน มิน่าล่ะถึงมีแต่สาวๆรุมล้อม เพราะนอกจากเขาเป็นคนใจดีแล้ว...ตัวจริงยังเป็นสุภาพบุรุษเต็มร้อย

            หลังจากวันนั้นรมณ์นลินก็แอบมองเขามาตลอด อยากจะเข้าไปคุยด้วยแต่ก็ไม่กล้า หลายครั้งที่เดินสวนกันแต่ดูเหมือนว่าเขาจะจำไม่ได้แม้แต่นิดเดียว พอจบภาคเรียนนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกแต่ก็ไม่เคยลืมเขาเลย นานแสนนานจนคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วจนกระทั่งวันหนึ่ง

            “แฟง...มาดูนี่สิ รับสมัครครูสอนเปียโนพาร์ทไทม์” รมณ์นลินที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาเดินมาดูประกาศรับสมัครงานในอินเตอร์เน็ตที่เพื่อนสาวเปิดให้ดู

            “สอนที่บ้านเหรอ คงไม่ว่างไปหรอก แม่เรากำลังจะเปิดโรงเรียนสอนดนตรีให้อยู่แล้ว คงจะต้องสอนที่โรงเรียนอย่างเดียวแหละ”

            “นี่...ดูดีๆสิ สอนวันเสาร์-อาทิตย์ โห...จ้างแพงซะด้วยสิ” รมณ์นลินตาโตเมื่ออ่านประกาศรับสมัครงานอีกครั้งแต่ไม่ได้สนใจค่าจ้างสูงที่ระบุไว้ แต่เป็นชื่อคนจ้างต่างหาก

            “ติดต่อโดยตรงที่ เทียมภพ ทวีกิจไพศาล” หล่อนอ่านทวนชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนแน่ใจก่อนจะโทรศัพท์ไปตามเบอร์ที่แจ้งไว้ทันที

                 รมณ์นลินปาดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากแก้มนวล เดินช้าๆไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ไขกุญแจลิ้นชักที่เก็บของมีค่าแล้วหยิบกล่องกระดาษใบหนึ่งออกมา มือน้อยๆสั่นเมื่อค่อยๆเปิดกล่องใบนั้น บรรจงหยิบสิ่งที่บรรจุอยู่ข้างในออกมาอย่างเบามือ ผ้าเช็ดหน้าสีเลือดหมูยังอยู่ในสภาพดี ไม่มีโอกาสได้นำมันไปคืนให้กับเจ้าของเลยเก็บเอาไว้เทียบเท่ากับเป็นสิ่งมีค่าเพราะมันทำให้ฝันของหล่อนเป็นจริง...ฝันที่จะได้พบกับเขาอีกครั้ง

 

                แทนดาวได้นอนหลับไปงีบใหญ่ก็สดชื่นมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม มือเล็กคว้าโทรศัพท์มาดูข้อความในไลน์แล้วก็เห็นว่าครูสาวโทรมาตอนที่นอนหลับอยู่เลยโทรกลับ

                “หวัดดีค่ะพี่แฟง โทรหาน้องพลูมีอะไรคะ? พอดีตอนนั้นหลับอยู่ค่ะเลยไม่ได้รับ” เสียงใสๆที่กรอกมาตามสายทำให้คนฟังอมยิ้ม ไม่ว่าจะอย่างไรลูกศิษย์คนนี้ก็ยังคงสดใสเสมอ

                “จ้ะน้องพลู คือว่าน้องพลูลืมกล้องเอาไว้น่ะ พี่ชลเค้าเก็บมาได้เลยฝากพี่มาคืน ขอโทษที่ไม่ได้คืนให้ที่สนามบินนะ” แทนดาวปิดปากตัวเองกลั้นเสียงอุทาน ลืมเรื่องกล้องไปเสียสนิทเลย        

                 “ตายจริง...ดีนะไม่หายไป ไม่งั้นพี่หมากเอาตายแน่ๆ เพิ่งจะซื้อมาก่อนไปเที่ยวไม่กี่วันเอง” แทนดาวรำพัน รมณ์นลินยิ้มแหยๆและนึกในใจว่า

                “คนที่ตายคงไม่ใช่น้องพลูหรอกค่ะ แต่เป็นพี่นี่แหละ”

                “เดี๋ยวพี่เอาไปให้วันเสาร์นี้ก็แล้วกันนะคะ”

                “อืม...น้องพลูถ่ายรูปไว้เพียบเลย อยากเอามาดูเร็วๆ...เดี๋ยวบอกให้พี่หมากแวะไปเอาก็ได้ค่ะ ตอนนี้พี่หมากออกไปข้างนอกพอดี”

                “อืม...อย่าเลยจ้ะ” รมณ์นลินนึกสยองขึ้นมาทันทีถ้าเจอหน้ากันอีกรอบคงไม่ไหวแน่

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวน้องพลูโทรบอกพี่หมากเลย พี่แฟงไม่ต้องลำบากเลยนะคะ” แล้วคนพูดแจ้วๆก็ตัดบทเอาดื้อๆไม่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาออกความเห็นใดๆต่อ เอาเถอะ...ถ้างั้นก็ต้องเตรียมตั้งรับไว้แต่เนิ่นๆ

                แทนดาวโทรศัพท์หาพี่ชายอยู่หลายครั้งกว่าเจ้าตัวจะรับสาย จึงได้รู้ว่าคนเกิดก่อนออกไปนั่งชิลอยู่ที่บ้านเพื่อนสนิทคนหนึ่ง พอรู้จุดประสงค์ของน้องสาวก็รีบอาสาจัดให้ ได้โอกาสแก้แค้นคนที่กัดปากเขาจนเป็นแผลซักที

                “ขากลับอย่าลืมซื้อเครปเค้กชาเขียวมาฝากด้วยนะคะ”

                “จ้า...รู้แล้วจ้า แต่คืนนี้พี่คงกลับดึกนะ”

                “ห้ามดึกมาก น้องพลูคิดถึง...รักพี่หมากนะคะ” เทียมภพเบ้ปากกับคำหวานๆของน้องสาวที่อ้อนขอของกินแต่ถึงกระนั้นก็ยังฟังแล้วชื่นใจ มีน้องสาวขี้ประจบฉอเลาะอย่างนี้ก็ทำให้ประปรี้กระเปร่าดีเหมือนกัน

                “อ้อ...ซื้อพายมะนาวร้านนั้นไปฝากพี่แฟงด้วยนะคะ บอกว่าน้องพลูฝากมาให้ รู้มั้ยว่าพี่แฟงชอบกินพายมะนาว” เทียมภพรับปาก นี่เขาเป็นพี่หรือเป็นทาสเนี่ย

                เทียมภพแวะซื้อพายมะนาวที่ร้านขนมเจ้าประจำตามที่น้องสาวสั่ง ถ้าแม่น้องสาวบังเกิดเกล้าไม่โทรจิกให้ไปเอากล้องก็ตั้งใจว่าจะไปหาที่ดริ้งค์ต่อยามค่ำคืนกับเพื่อนๆตามประสาหนุ่มโสด ระหว่างทางก็นึกถึงเรื่องที่ตนเองก่อไว้กับรมณ์นลิน หวังว่าคงจะเข็ดไม่กล้ามาขึ้นเสียงยอกย้อนอีกล่ะ บทลงโทษวันนี้ถือว่ายังแค่เบาะๆ คนอย่างเทียมภพยอมให้ใครมาด่าว่าปาวๆฟรีน่ะหรือ...ไม่มีทาง

 

                เสียงแตรรถดังหน้าบ้านอีกครั้งตอนทุ่มกว่าๆ รมณ์นลินที่เพิ่งจะรับประทานอาหารเย็นเสร็จต้องรีบบอกสาวใช้ให้เอากล้องดิจิตอลไปให้เขาแทน ไม่เอาอีกแล้ว...การประจันหน้ากับเขาไม่ชวนให้รื่นรมย์อีกต่อไปแล้ว

                “เอ่อ...คุณแฟงคะ คุณผู้ชายคนนั้นบอกว่าอยากพบค่ะ” สาวใช้คนเดิมกลับมารายงาน รมณ์นลินวางผ้าเช็ดปากลง ในใจก็กลัวแต่อีกใจนึงก็...อยากเจอ เอามือแตะริมฝีกปากเบาๆอย่างเผลอไผล เอาเถอะ...คราวนี้จะระวังตัว

                “นี่ส้ม...ถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็ โทรแจ้งตำรวจเลยนะ” หล่อนสั่งสาวใช้ก่อนจะออกไปพบแขกที่ไม่อยากรับเชิญอีกครั้ง เห็นคนป่าเถื่อนกำลังยืนรออยู่แล้ว

                “คุณหมากมีอะไรกับดิฉันอีก ของก็ได้คืนไปแล้ว” เทียมภพรู้สึกขัดๆหูกับน้ำเสียงเยือกเย็น เขาเปิดประตูด้านหลังหยิบอะไรบางอย่างออกมา

                “เอ้านี่...ยัยพลูฝากมาให้” เขายื่นถุงขนมให้ผ่านประตูรั้ว คนรับรู้ทันทีว่าคืออะไรเพราะเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้เหมือนกัน

                “เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” หล่อนรับถุงมาอย่างกล้าๆกลัวๆ เวลาเขาอารมณ์ดีๆก็ดูน่ารักดีนี่นา

                “ทำไรอยู่?” เขาถามห้วนๆ

                “เพิ่งทานข้าวเสร็จค่ะ”

                “เหรอ...งั้นผมไม่กวนล่ะ” ตอนแรกก็ว่าจะเคลียร์เรื่องเมื่อเย็นเสียหน่อย แต่พอเห็นหน้าซีดๆตาเศร้าๆแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ไม่รู้เป็นไง...อยู่ดีๆก็ใจอ่อนขึ้นมาเสียดื้อๆ

                “แล้วคุณหมากทานข้าวมาหรือยังคะ? ถ้ายังก็เชิญนะคะ” รมณ์นลินชวน อย่างน้อยเขาก็มาดีแถมยังซื้อขนมของโปรดมาให้ ไม่เป็นไรหรอก...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเดี๋ยวส้มก็โทรเรียกตำรวจเองแหละ

                “อืม...ก็ดีเหมือนกัน หิวจะตาย กว่าจะมาบ้านคุณได้รถติดจะแย่” คนถูกชวนขยับปากจะปฏิเสธแต่เหมือนเกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา ได้ที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้สึกหิวจัดอะไร ก่อนมานี่ก็ซัดกับแกล้มบ้านเพื่อนมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่รู้คิดยังไงถึงตามคำเชิญชวนของเจ้าของบ้านโดยดี

                “จะเอารถเข้าบ้านมั้ยคะ?”

                “ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวก็กลับ” เขาลังเลนิดหนึ่งว่ามากินข้าวบ้านคู่อริ แต่ทบทวนดูแล้วฝ่ายนั้นก็ยังเคยไปกินข้าวที่บ้านเขาเลย ดังนั้นก็ถือว่าหายกันไป

                “ส้ม...เดี๋ยวเตรียมข้าวอีกรอบนะจ๊ะ” สาวใช้รับคำก่อนจะวางจานเปล่าตรงหน้าแขกผู้มาเยือนและตักข้าวให้เต็มจาน

                “ทานเยอะๆนะคะ แฟงทำกับข้าวพวกนี้เอง” รมณ์นลินเชื้อเชิญ เทียมภพได้กลิ่นหอมๆของกับข้าวตรงหน้าก็ยิ่งหิวเข้าไปอีก พอซดแกงส้มชะอมไข่กุ้งได้หนึ่งคำก็ติดใจ ไม่นึกเลยว่าสาวสมัยใหม่จะทำกับข้าวเป็น อร่อยเสียด้วย

               “ไอ้ชลมันลิ้นจระเข้หรือไงนะ ข้าวบ้านอร่อยจะตายยังเสือกชอบไปหากินที่อื่น” เทียมภพด่าพาดพิงคู่ปรับในใจ ระหว่างรับประทานอาหารไม่มีบทสนทนาใดๆเป็นพิเศษ ผลัดกันถามคำตอบคำอยู่อย่างนั้น

                “เป็นไงบ้างคะ ถูกปากหรือเปล่า?” หล่อนถามเมื่อเห็นเขารวบช้อน

                “ก็ใช้ได้” เขาตอบอย่างไว้เชิง รมณ์นลินอดค่อนขอดในใจไม่ได้

                “แค่ใช้ได้รึ...เติมตั้งสองเที่ยวเชียวนะนั่น แกงส้มก็ขอดจนติดก้นหม้อ”

                “แล้วอยู่คนเดียวไม่กลัวเหรอ? ไอ้พี่คุณมันไม่อยู่ตั้งหลายวัน มันไม่ห่วงเลยหรือไง?” เขาตวัดเสียงถามห้วนๆเพราะรู้ว่าชลธีไปต่างประเทศตั้งอาทิตย์ นึกด่าอยู่ในใจว่าไม่ห่วงน้องนุ่งเสียเลย ถ้าเป็นตัวเองล่ะก็...ไม่มีวันให้ทนดาวอยู่คนเดียวแบบนี้หรอก

                “เดี๋ยวมะรืนนี้คุณแม่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนค่ะ วันนี้เลยอยู่กับส้มสองคน”

                “อ้อ...เหรอ อืม...ระวังหน่อยก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรก็...โทรหาผมก็ได้” พูดจบก็หลบตาอีกฝ่าย เอ้า...ว่าจะมาหาเรื่องนะเนี่ย กลับออกตัวเป็นฮีโร่ซะงั้นแหละ

                “ขอบคุณค่ะ” รมณ์นลินรับคำเบาๆ เม้มริมฝีปากเข้าหากัน เทียมภพริมฝีปากแดงเรื่อที่เขามอบบทลงโทษให้เมื่อสองชั่วโมงก่อนแล้วก็ใจกระตุก

                “คือ...เมื่อเย็น...ผมขอโทษ” เทียมภพพูดออกมาในที่สุด ถึงหล่อนจะเป็นน้องสาวของคู่อาฆาตแต่อย่างไรก็เป็นหญิง การปล้ำจูบเอาแบบนั้นนอกจากจะเป็นการไม่ให้เกียรติแล้วยังมิใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ รมณ์นลินก้มหน้าไม่ตอบว่าอะไรด้วยความกระดาก ไม่คิดว่าคนกักขฬะจะคิดมากเรื่องนี้ เขาคงมอบจุมพิตหวานๆให้สตรีอยู่เนืองๆจนไม่น่าจะเห็นความสำคัญกับเรื่องเมื่อตอนเย็นนัก

                “ทานพายมะนาวด้วยกันมั้ยคะ?” หล่อนเอ่ยชวนและถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องสนทนา แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธเพราะแทนแทนดาวเคยเล่าว่าพี่ชายตัวเองเกลียดของหวานทุกชนิดนี่นา

                “ทำไมทำหน้าอย่างนั้น คิดว่าสวยแล้วเหรอ?” เทียมภพสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าตาแปลกๆก็ถามอย่างเสียมิได้ รมณ์นลินได้สติแล้วก็เคืองนิดๆที่ถูกว่า ส่วนคนว่าก็ตั้งหน้าตั้งตากินพายมะนาวจนหมดชิ้นทั้งๆที่ อยากจะแหวะออกมาเต็มทน

               “เปรี้ยวจะตาย...กินเข้าไปได้ไงเนี่ย” ถึงจะแอบบ่นอยู่ในใจแต่ก็สงสัยว่าตัวเองจะมาทนฝืนกลืนไอ้สิ่งที่เรียกว่าขนมรสชาติประหลาดนี้ทำไมกัน

                “ก็อร่อยปะแล่มๆดีนะ พวกผู้หญิงนี่ก็ช่างซอกแซกหาอะไรแปลกๆมากินกัน เปรี้ยวอม...หวาน” เขาพูดลากเสียงในพยางค์สุดท้ายพลางจ้องมองริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างจงใจ นี่เขาจะเตือนให้ระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมาใช่ไหม

                “จะดื่มกาแฟหรือชามั้ยคะ?” หล่อนหลบตาคมคายนั้นก่อนจะเสไปถามเรื่องอื่น คนช่างหยอดเลยได้สติจึงบริภาษตัวเองอยู่ในใจ

               “นี่น้องไอ้ชล...มึงจะไม่เว้นไว้สักคนเลยเหรอ?

                “ขืนดื่มเข้าไปคืนนี้ก็ไม่ต้องนอนกันพอดี ขอน้ำเย็นสักแก้วก็พอ ล้างคอหน่อย...ขนมอะไรทั้งเปรี้ยวทั้งหวานแสบคอ” เขาบ่นหงุมหงิมจนรมณ์นลินต้องแอบค้อนให้วงใหญ่ คนอะไร...มากินข้าวบ้านคนอื่นแล้วยังจะเรื่องมาก

              เทียมภพถือโอกาสเดินย่อยอาหารด้วยการสำรวจไปรอบๆห้องนั่งเล่น อดนึกชมในใจว่าเจ้าของบ้านอย่างคู่ปรับก็มีรสนิยมในการแต่งบ้านอยู่ไม้น้อย ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งหรือภาพวาดที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติและดนตรีอย่างลงตัว เปียโนหลังใหญ่ตั้งตรงกลางบ้าน มีเครื่องดนตรีอีกสองสามชนิดวางข้างๆกัน ฝั่งหนึ่งมีตู้กระจกหลังใหญ่ที่เก็บถ้วยและโล่รางวัลต่างๆรวมทั้งภาพถ่ายของสมาชิกในครอบครัว เขากวาดตาไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่รูปถ่ายครอบครัวในวันรับปริญญาของรมณ์นลิน รูปนั้นถ่ายกันสามคนแม่ลูกหน้าป้ายมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

                “น้ำค่ะ” รมณ์นลินวางแก้วน้ำเย็นลงบนโต๊ะเล็กแล้วเดินเข้าไปใกล้เทียมภพที่กำลังดูรูปอย่างสนอกสนใจ

                “คุณจบจากที่นี่เหรอ รุ่นไหนล่ะ?” รมณ์นลินบอกชื่อคณะกับลำดับรุ่น เทียมภพเพียงทำหน้าทบทวนแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่รู้สึกว่ามันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน

                “โลกกลมดีนะ คุณเป็นน้องสาวไอ้ชลแล้วยังเป็นรุ่นน้องผมอีก” เสียงของเขาเจือความขบขัน ตัวเองก็ไม่รู้ประวัติตื้นลึกหนาบางอะไรหรอกเพราะตอนหล่อนมาสมัครงานก็ให้มารดาเป็นคนสัมภาษณ์

                “อยากดูทีวีมั้ยคะ?” รมณ์นลินชวนเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้โดนขุดคุ้ยอะไรไปมากกว่านี้

                “ไม่ล่ะ...ผมกลับก่อนดีกว่า ป่านนี้ยัยพลูรอกินขนมเงกแล้ว” เขาดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้วเตรียมจะกลับพร้อมกำชับนักหนาว่าให้ล็อกประตูหน้าต่างให้ดี

              “ขอบคุณนะคะที่...เป็นห่วง” รมณ์นลินเดินมาส่งที่รถ

               “เปล่า...แค่ไม่อยากให้มีปัญหา ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาแล้วตำรวจสืบสวนมาว่าผมอยู่กับคุณเป็นคนสุดท้าย...ผมก็ซวยน่ะสิ” เทียมภพตอบกวนๆแล้วก้าวขึ้นรถ รมณ์นลินหน้าชา

             “อ้อ...อันนี้ชมจากใจจริงนะ คุณทำกับข้าวอร่อยดี...ใครได้ไปเป็นเมียคงจะโชคดี” เขาหยุดนิดหนึ่งเพื่อมองหน้าหญิงสาวเจ้าของบ้านที่ยืนฟังอย่างอึ้งๆกับคำพูดพิลึกพิลั่นแบบนี้

              “นี่ถ้าไม่ติดว่าปากเป็นแผล...จะกินให้เยอะกว่านี้” เขายิ้มให้อย่างมีความหมายก่อนจะขับรถออกไปปล่อยให้เจ้าของบ้านหน้าแดงซ่านขณะมองตามพาหนะคันนั้นไปจนลับตา ยังไงเขาก็เป็นเทียมภพคนเดิมนั่นล่ะ... ฝ่ายคนช่างยั่วโมโหชำเลืองมองกระจกส่องหลังจนเห็นหญิงสาวเดินเข้าบ้านไปแล้วก็เร่งความเร็วพาหนะคู่ใจตรงกลับบ้าน ลึกๆแล้วก็อดเป็นห่วงรมณ์นลินไม่ได้ ห่วง...เขารู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

 

                เทียมภพยังรู้สึกอิ่มตื้อ ไม่อยากไปต่อที่ไหนอย่างเคย ขนาดว่าแฟนสาวอ้อนให้ไปหาก็ยังปฏิเสธได้ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคย รู้สึกว่าวันนี้มัน ‘อิ่ม’ จนไม่อยาก ‘กิน’ อะไรเพิ่มเติมอะไรอีก มันเป็นความอิ่มเอมที่ชุสิตาหรือแม้แต่แทนดาวก็ให้ไม่ได้ คิดถึงหน้าหวานๆ แววตาตระหนกยามที่ถูกตวาดใส่ทำให้รู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

                “พี่หมาก...ซื้อเค้กมารึเปล่าคะ?” น้องสาวตัวเดินกะเผลกเข้ามาถามหาขนมก่อนอื่น

                “อะไรกัน...ตอนโทรมาก็บอกว่าคิดถึงพี่ แล้วไหงถามหาแต่ของกิน” คนพูดแกล้งทำน้อยใจ น้องสาวรีบกอดเอวประจบ

                “น้องพลูก็คิดถึงพี่หมากอยู่แล้วนี่คะ” ปากว่าไปเรื่อยแต่มือก็สาละวนแกะกล่องขนม

                “ไปๆ...เข้าบ้าน ยืนตรงนี้ยุงจะกัดเอา”

                “อุ้มหน่อย” คนตัวเล็กช้อนตามองพี่ชาย ทำหน้าตาสงสารเต็มที่

                “ไม่เจ็บแผลแล้วนี่ เดินเองสิ”

                “ฮื้อ...มันยังเจ็บแปล๊บๆอยู่นี่นา” เทียมภพมองน้องสาวอย่างเหนื่อยหน่าย

                “เฮ้อ...เมื่อไหร่จะเลิกอ้อนแบบนี้ซะทีนะ พี่เหนื่อยรู้มั้ยเนี่ย?” ในที่สุดก็ต้องช้อนตัวขึ้นมาอุ้มจนได้ น้องสาวไม่สนใจคนบ่น อิงหน้าซบอกพี่ชายอย่างสบายใจ

                “เดินเร็วๆสิคะ อยากกินแล้ว” คนตัวเล็กเร่งพี่ชายเพราะห่วงกิน     

               “มาเดินเองสิงั้น ตัวเราหนักจะแย่” คนอุ้มบ่นอุบ

                “พี่หมากน่าร้าก...” พอถึงที่หมายก็เขย่งจุ๊บแก้มพี่ชายเป็นรางวัล เทียมภพหยิกแก้มยุ้ยๆนั่นหนึ่งทีอย่างหมั่นเขี้ยว

                “พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ อ้อ...นี่กล้อง ทีหลังอย่าไปวางไว้มั่วๆสิ ตัวนึงตั้งหลายหมื่นหายไปก็เสียดาย เรานี่นะ...รับผิดชอบอะไรได้มั่งมั้ย? ดูสิ....ดึกแล้วยังจะกินขนมเดี๋ยวก็อ้วนเป็นหมู รีบกินซะจะได้ไปนอน อย่ามากวนล่ะ...วันนี้พี่เพลียจริงๆ” พี่ชายบ่นรัวๆ แทนดาวนั่งฟังตาปริบๆ พอคุณพ่อคนที่สองกลับห้องแล้วก็หยิบกล้องขึ้นมาดู คิดถึงคนเก็บกล้องได้ว่าป่านนี้คงจะนอนหลับเตรียมตัวเดินทางพรุ่งนี้แน่แล้ว ความอบอุ่นเล็กๆเกิดขึ้นในใจเมื่อนึกถึงเวลาที่ได้เดินเคียงคู่กับเขาไปตามชายหาด สัมผัสใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้หัวใจดวงน้อยๆเต้นแรงทุกครั้งแต่แล้วก็ต้องสลัดไล่ความรู้สึกพิลึกๆนี่ออกไป

              “พอเถอะแทนดาว...ในสายตาเขา เธอก็คือเด็กเล็กๆเท่านั้นแหละ”

              หลังจากจัดการกับของโปรดเรียบร้อยแล้วสาวน้อยก็รีบจัดการโอนไฟล์รูปจากกล้อง ถ้าได้รูปสวยๆจะเอาไปอัดใส่กรอบให้พี่ชายเอาไปตั้งที่ทำงานด้วยจะได้กันพวกสาวๆให้อยู่ห่างๆหน่อย คนตัวเล็กดูรูปไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน บางรูปเห็นแล้วก็ขำจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ พอมาถึงภาพสุดท้ายก็ต้องขยี้ตาตัวเอง ไม่คิดว่าจะได้รูปนี้มาด้วยเพราะตอนถ่ายแบตเตอรี่หมดพอดี ในภาพตนเองยึดแขนของเขาที่กำลังโอบประคองไม่ให้เสียหลักล้มแต่ดูในรูปแล้วเหมือนว่าตั้งใจกอดกัน หญิงสาวมองภาพนั้นอีกครั้งแล้วยิ้มกับตัวเองแล้วพาลให้หน้าแดงแล้วเอนตัวลงนอนด้วยความสุขประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา