รอยอธิษฐาน

10.0

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.

  13 ตอน
  17 วิจารณ์
  16.95K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) คุ้มวังพิทักษ์3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

                  ฟ้าสว่างแล้ว เสียงนกร้องเซ็งแซ่ ปาระมีปรือตาขึ้นมองเพดานห้องอย่างขี้เกียจ ดวงหน้ายังอมยิ้มละไม หล่อนได้ยินเสียงมารดาพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ที่ชานบ้าน จึงค่อยลุกเดินออกจากห้อง

“แม่จะไปตอนเช้านี้แหละ ลองดูอีกสักทีตั้งแต่เราขอคราวโน้น ก็ไม่เคยไปไหว้ขออะไรอีกเลย ทำไมท่านจะไม่ให้”

เสียงแม่ละมุนถอนใจ พ่อกำนันนั่งอยู่ข้าง ๆ

“จะให้พ่อไปด้วยรึเปล่าล่ะ”

“เอ้า ไปด้วยกันน่ะซี ช่วยกันอธิษฐานขอร้องท่าน ท่านจะได้ช่วยให้ลูกหายไวๆ”

แม่ละมุนว่าพลางลุกขึ้นยืน นางพบใบหน้าฉงนสงสัยของลูกสาวคนโตอยู่ตรงนั้น ฝีเท้าของนางหยุดกึกก่อนจะทรุดลงนั่งข้างสามีอย่างมีพิรุธ

“แม่จะไปไหนคะ”

ปาระมีถามเสียงเรียบ คราวนี้ผู้เป็นพ่อหันมาสะดุ้งอีกคน

“เอ่อ...ไปวัดน่ะจ้ะ จะไปกราบพระท่านขอให้ลูกหายป่วยไง”

ผู้เป็นแม่ตอบรอยยิ้มดูแห้งแล้งชอบกล

“เมื่อกี้แม่ว่าตั้งแต่คราวโน้น..แม่ขออะไรคะ”

หญิงสาวถามพลางปิดปากหาว สองสามีภรรยาอ้ำอึ้งก่อนจะลุกออกไปจากชานเสียดื้อ ๆ แม่ละมุนปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติร้องเตือนบุตรสาวให้รีบอาบน้ำแต่งตัวเข้าพิธีเรียกขวัญ ปาระมีโคลงศีรษะ พ่อกับแม่ดูแปลก ๆไปหลายอย่าง เหมือนมีความลับที่บอกไม่ได้   พ่อกับแม่จะไปกราบพระขอพร ‘ท่าน’ ที่สองกล่าวถึงต้องเป็นพระประธานองค์ที่อยู่ในวิหารแน่ ๆ เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงอยู่บ่อยครั้งเหมือนกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระพุทธรูปวัดแก้วกนก ที่ว่า ‘ขออะไรก็ได้’ แล้วพ่อกับแม่ท่านขออะไรกันนะ

 

                  หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเรียกขวัญ ปาระมีก็ได้อยู่แต่กับบ้านเหมือนอย่างที่ผู้เป็นแม่ตั้งใจเอาไว้จริง ๆ ตะวันคล้อยบ่าย สาวผมแดงหน้าฝรั่งก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับจักรยานคู่ใจ

“วันนี้แปลกแฮะ ไม่ยักมีรถโฟร์วิลสีดำจอดอยู่ที่หน้าบ้านเหมือนทุกวัน”

เจนนิษาว่าพลางยักไหล่ ปาระมีอมยิ้ม

“คิดถึงรึไงยะ”

“บ้าน่า ดีแล้ว น่าเบื่อจะตายคนอะไรเก๊กหล่อได้ตลอด”

สาวลูกครึ่งแบะปาก ปาระมีกลอกตา แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าสองคนนี้มาไม่ตรงกันบ้างก็ดี หล่อนเบื่อจะฟัง คำคนพูดเสียดสีเหน็บแนมกันเต็มที กานต์ไม่ชอบสาวรสนิยมสูงอย่างเจนนิษา ในขณะที่เจนนิษาก็เกลียดความขี้โอ่ขี้โม้ของชายหนุ่มที่ทุกครั้งต้องพูดถึงเรื่องความเก่งกล้าสามารถต่าง ๆนานาของเขาอย่างไม่รู้เบื่อ ปาระมีไม่กล้าเอ่ยออกไปให้เคืองใจเพื่อนทั้งสอง ว่าพวกเขาทั้งสองคน เหมาะสมกันดี

“เออนี่ ถ้าแกแข็งแรงดีแล้ว พรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันดีมั้ย”

เจนนิษาออกปากชวน ปาระมีทำท่าคิด ออกไปเที่ยว...ก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่หล่อนอยากจะไปหาชายชราที่วัดแก้วกนกมากกว่า มีอะไรบางอย่างในหนังสือเล่มหนาที่หล่อนนั่ง ๆ นอน ๆอ่านมาตลอดหลายวันนี้แล้วไม่เข้าใจอยู่มากทีเดียว

“ไปส่งฉันไปวัดแป๊บสิ”

ปาระมีว่า เจนนิษาอ้าปากค้าง รีบกวาดสายตาไปรอบ ๆตัวอย่างเกรงว่าจะมีใครมาได้ยินถ้อยคำอันตรายนี้เข้า

“นี่แกยังไม่เข็ดอีกเหรอ ป่วยเป็นอาทิตย์น่ะ คิดว่าด้ายเต็มข้อมือนั่นจะช่วยกันผีได้งั้นเหรอ”

หล่อนว่า มองด้ายสายสิญจน์สีขาวที่ได้มาจากการผู้ข้อมือเรียกขวัญอย่างหมิ่น ๆ

“ไปวัด...ไม่ใช่ไปที่คุ้มซักหน่อย เออ... ถ้าแกไม่อยากไปฉันไปคนเดียวก็ได้”

ร่างบางลุกพรวด เดินไปคว้าจักรยานปั่นออกจากบ้านหน้าตาเฉย เจนนิษาร้องตามอย่างตกใจ

“เฮ้ย! รอด้วยดิ อะไรวะ ใจร้อนจริงเลย”

 

                  “เป็นใดถึงอยากรู้เรื่องคุ้มนี้นักหนา ฮึ! อีหน้อย”

ตาถาผินหลังกวาดลานวัด ตอบคำถามหญิงสาวอย่างไม่ใส่ใจ

“หนูงงเรื่องลูกของเจ้าคำสิงห์น่ะค่ะ ตาว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับวัดแก้วกนกนี้รึเปล่าคะ”

ปาระมียังคงคร่อมจักรยาน พยายามเอียงคอคุยด้วย กลัวว่าชายชราจะไม่ได้ยิน

“มันก็ต้องเกี่ยวสิ ก็ลูกท่านหายที่วัด ตอนไฟไหม้วัดไง บ่ได้อ่านรึ หนังสือที่ให้ไปน่ะ”

ตาถาตอบยังคงก้มหน้าก้มตากวาดเศษใบไม้จนฝุ่นฟุ้ง ปาระมีขยับริมฝีปากอย่างครุ่นคิด

“อ่านแล้วค่ะ แต่หนูงง ลูกตั้งสองคน ทำยังไงให้หายไปได้ เจ้าเอาลูกไปวางไว้ที่ไหนล่ะคะ ลูกถึงได้หายไปได้ ตาว่ามันแปลกมั้ยล่ะคะ นั่นลูกเจ้านะคะ ไม่ธรรมดาเลย ปล่อยให้หายไปได้ยังกะฝุ่น”

ตาถากระแอม ปาระมีเกาคาง

“แล้ว ...ไฟไหม้วัดได้ยังไงคะ ตาต้องรู้แน่เลย เพราะตาอยู่มานานกว่าใคร ๆ...ใช่มั้ยคะ”

หญิงสาวว่ายิ้ม ๆชายชราหันมามอง

“อีหน้อย เจ้าคนนายคนน่ะ ท่านบ่อุ้มลูกเองดอก ท่านใช้คนอื่นเลี้ยง ไฟไหม้วัดก็เพราะธูปเพราะเทียน คนมากันหลายก็ช่วยกันจุด แต่บ่มีไผช่วยดับ ไฟมันก็เลยไหม้”

ตาถาหยุดมองหญิงสาวนิดหนึ่ง เห็นหล่อนฟังอย่างตั้งใจแกจึงพูดต่อ

“ลูกเจ้าคำสิงห์หายไปไหน บ่มีไผรู้หรอก บางที เจ้าอาจจะลองถามหลวงพ่อแก้วกนกในวิหารหลวงนี้ดูก็ได้นะ หลวงพ่อตนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์นัก พ่อแม่เจ้าก่รู้ดีนี่ ว่าท่านศักดิ์สิทธิ์เพียงไหน ใครขออะไรก็ได้ คนมีศีลมีธรรมอย่างพ่อแม่เจ้า ขออะไรก็ได้เหมือนกันนั่นล่ะ”

แกพูดช้า ๆ เนิบ ๆ จ้องมองปฏิกิริยาของคู่สนทนานิ่งนาน

“ลูก...”

ปาระมีพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง แต่สายตาที่ตวัดกลับไปมองยังใบหน้าของคู่สนทนาก็พบกับความมั่นใจในดวงตาหม่นคู่นั้น ตาถาอมยิ้มในหน้า ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกุฏิหลวงตา โดยไม่หันกลับมามองสองสาวอีก เจนนิษาหันมามองหน้าเพื่อนสาวอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่ปาระมีใบหน้าซีดเผือด นี่เป็นคำตอบที่หล่อนอยากได้ยินนักหนาใช่ไหม สิ่งที่เป็นเหมือนจุดสีดำเล็ก ๆในใจได้มลายหายไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่อัดอั้นที่เข้ามาแทนที่ในขณะนี้กลับทำให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่า สิ่งที่พ่อกับแม่ปิดบังหล่อนไว้ก็คือเรื่องนี้นี่เอง ปาระมีคิดถึงคำพูดของมารดาที่หล่อนบังเอิญได้ยินเข้า

“...ตั้งแต่เราขอคราวโน้น ก็ไม่เคยไปไหว้ขออะไรอีกเลย ทำไมท่านจะไม่ให้”

ปาระมีปิดหน้า เมื่อคิดถึงว่าสิ่งที่ทั้งสองท่านขอต่อองค์พระประธานศักดิ์สิทธิ์นั้น...ก็คือลูกชาย... ลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนของท่าน ประตู...ประตูมิติที่ประตูไม้แกะสลักนั่นต้องเคยเปิดมาก่อนหน้านี้แล้วแน่ ๆ มันเปิดออกเพื่อจะต้อนรับปกบุญและป้องคุณ มาอยู่กับครอบครัวของหล่อนนี่ไง

“ปาน...ทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ”

เจนนิษาแตะไหล่เพื่อนสาวที่มีเหงื่อผุดพราวขึ้นเต็มหน้าผาก สาวลูกครึ่งมองอย่างไม่เข้าใจ

“ตาถาแกพูดถึงอะไรน่ะ เราไม่เห็นเข้าใจเลย ปาน ปาน เป็นอะไรไป”

ปาระมีรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ หล่อนปาดน้ำตา ก่อนจะคว้ารถจักรยานออกไปจากบริเวณวัด นี่เป็นเรื่องที่หล่อนไม่ควรรู้ แม่กับพ่อปกปิดมันเพื่อจะปกป้องความรู้สึกของลูก สิ่งที่หล่อนควรทำในเวลานี้ ก็คือทำให้มันเป็นความลับต่อไป อย่างนั้นใช่หรือไม่

 

                  ทุกอย่างที่บ้านดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนยังคงพูดเล่นและยิ้มหัว มีเพียงปาระมีเท่านั้นที่รู้สึกหดหู่ มันไม่เห็นจะสำคัญตรงไหนเลยใช่ไหมที่พวกเธอไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ ในเมื่อพวกเธอก็อยู่กันมาได้เป็นสิบกว่าปี พ่อกับแม่ไม่เคยรักใครมากกว่าใคร พี่น้องก็รักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันให้เคืองขุ่น มีแค่ใจของหล่อนเท่านั้นเองที่ไม่เป็นสุข ทำไมหล่อนต้องไปสนใจใส่ใจกับแค่เรื่องเก่า ๆที่ได้รู้มาด้วย มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย ทุกอย่างหล่อนสามารถปล่อยวางให้มันเป็นปกติได้ แค่ใจของหล่อนเท่านั้นเอง...

“เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ เจ้าแม่ต้องการลูกของท่าน เจ้าต้องช่วยท่าน”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในจิตสำนึก ปาระมีคงเข้าใจว่าหล่อนคิดไปเอง หากไม่เห็นเงาของเด็กหญิงจ้องมองสะท้อนออกมาจากกระจกหน้าต่าง ใบหน้าเศร้าหมองนั้นมีร่องรอยจากการถูกทำร้าย เด็กหญิงมีน้ำตาคลอ หญิงสาวซบหน้าลงกับฝ่ามือ มันยากเกินกว่าที่หล่อนจะก้าวต่อไปได้ หล่อนควรจะทำอย่างไร ระหว่างคุณธรรมต่อเพื่อนร่วมโลกหรือคุณธรรมต่อครอบครัวอันเป็นที่รัก ทำไมนะ ลูกท่านหายมาเป็นร้อยปี ทำไมต้องเป็นหล่อนที่ได้มารับรู้ ทำไมต้องเป็นหล่อน ทำไม...

                  เสียงโทรศัพท์มือถือปลุกหญิงสาวให้หลุดออกจากห้วงคิด ปกบุญหยิบโทรศัพท์มาส่งให้ก่อนจะกลับไปเล่นเกมกับป้องคุณต่ออย่างสนุกสนาน ปาระมีหลบเสียงดังเอะอะนั้นขึ้นไปรับสายในห้องของตัวเอง

“ว่าไงคะ พี่กานต์”

หล่อนกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ ปลายสายตอบรับด้วยเสียงนุ่ม ๆเหมือนเช่นเคย

“ครับผม...น้องปานหายป่วยรึยังคะ”

“หายแล้วค่ะ ดีขึ้นมากแล้ว”

หญิงสาวตอบเบา ๆ กานต์อุทานอย่างดีใจ

“...งั้นพรุ่งนี้เราไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากันซักหน่อยดีมั้ยคะ น้องปานจะได้สดชื่น พี่เป็นเจ้ามือเองเลยนะ...”

ปาระมีหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะตัดสินใจ ตอบรับ

“ไปก็ไปค่ะ แต่เจนนี่เค้าก็รอให้ปานไปเที่ยวกับเค้าเหมือนกันนะคะ เราไปกันสามคนเลยได้หรือเปล่าคะ”

กานต์เงียบไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อสาวผมแดง

“พี่ว่าเราไปกันสองคนดีกว่าค่ะ เอาไว้น้องปานค่อยไปกับเจนนี่วันหลังจะดีกว่าไหมคะ”

ปาระมียิ้มที่มุมปาก หล่อนเตรียมตัวรับกับคำตอบนี้อยู่แล้ว

“ถ้าพี่กานต์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรค่ะ ปานนัดกับเจนนี่อยู่แล้วเราไปกันเองก่อนก็ได้”

กานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอบกลับมาเสียงอ้อมแอ้ม

“โอเคค่ะ น้องปานคะ พี่ตามใจน้องปานนะ ไปก็ไปค่ะ พรุ่งนี้พี่จะไปรับนะคะ คนดี”

ปาระมีวางสายชายหนุ่มลงเบื่อ ๆ ความจริงแล้วหล่อนไม่มีกะจิตกะใจจะไปเที่ยวที่ไหนเลย แต่การได้ออกจากบ้าน จากหมู่บ้าน จากชุมชน ไปบ้างในเวลานี้ ก็อาจจะช่วยให้จิตใจแช่มชื่นขึ้นบ้าง   

 

                  กานต์มารับหล่อนตอนสาย ๆ เจนนิษามาทานข้าวเช้าที่บ้านเพื่อนสาวจึงทันได้เห็นกันตั้งแต่ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ

“จะไปช่วยคุณลุงขนลังเหรอคะพี่กานต์ ดูแต่งตัวเข้าสิ ใส่หมวกแบบกันแดดเข้าไปอีกก็พอดีเลย คุณลุงได้คนช่วยเพิ่มแล้ว”

เจนนิษาทักเสียงแหลม พ่อกลอยของปาระมีกำลังเตรียมตัวจะไปขนรูปภาพที่แกลลอลี่ในกลางเวียงมาจัดแสดงที่บ้าน คนงานชายสองสามคนกำลังกุลีกุจอทำงานกันแข็งขัน กานต์ที่สวมเสื้อลายสก็อตสีแดงสลับน้ำเงินจึงหน้าเสีย มองสายตายียวนของสาวผมแดงตรงหน้าแล้วก็ทำหน้าหงิก เขากระแทกประตูรถโครมใหญ่

“จะใส่เสื้ออะไรมันก็ไม่สำคัญหรอกจ้ะน้องเจนนี่ พี่มันคนมีดีข้างใน อินเนอร์มันได้ โปรไฟล์มันใช่ จะใส่อะไรมันก็ลงตัวทั้งนั้นแหละ อ้อ... น้องปานพร้อมรึยังคะ”

เขากัดฟันพูด ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้ปาระมีที่กำลังเดินลงมาจากบันได เจนนิษาแบะปาก เหลือบแลดูคน ‘มั่นหน้า’ ด้วยหางตา

“โอ้โห วันนี้แต่งตัวสวยจังเลยค่ะ ชุดนี้น่ารักจัง”

กานต์ร้องชมหญิงสาวด้วยน่ำเสียงตื่นเต้น ปาระมีก้มมองชุดตัวเอง มันคือเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนต์แบบเดิมที่หญิงสาวเคยสวมไปกับเขาคราวก่อนไม่มีผิดเพี้ยน หล่อนมองชายหนุ่มที่ออกอาการปลาบปลื้มเสียโอเว่อร์ แล้วก็พอจะเข้าใจเมื่อเห็นสายตาที่ส่งไปยังสาวผมแดงในชุดเดรสสีชมพูดำ เจ้าหล่อนกรีดนิ้วทาลิปสติกอย่างไม่ใส่ใจ

“อย่ามัวแต่ออกลีลาอยู่เลยค่ะ คุณพี่กานต์คะ เดี๋ยวสายแดดจะแรง เจนนี่กลัวผิวเสีย”

เจนนิษาจีบปาก มองชายหนุ่มผ่านแผงขนตาอย่างหมั่นไส้ กานต์มองตอบอย่างขุ่นเคือง ปาระมีโคลงศีรษะ ไม่รู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่ตอนตัดสินใจเที่ยวพร้อมกัน 3 คนนี้

 

                  ในห้างสรรพสินค้าดูวันนี้ไม่ค่อยคึกคักนัก อาจเป็นเพราะทั้งสามเลือกมาเที่ยวในวันทำงาน กานต์อาสาเป็นเจ้ามืออย่างเต็มที่จริง ๆหลังจากที่อิ่มอร่อยกับมื้อกลางวันแล้ว เจนนิษาก็เริ่มงานถนัด

“ช้อปให้กระจายเลยปาน วันนี้มีเจ้ามือทุ่มให้ไม่อั้นนี่”

เจ้าหล่อนกระซิบ ปาระมีกลอกตา

“จะช้อปเอาอะไร...ไม่เห็นอยากได้อะไรเลย”

“น้องปานชอบตุ๊กตานี่มั้ยคะ พี่ว่ามันเหมาะกับน้องปานจริง ๆเลยค่ะ”

กานต์ทำเสียงตื่นเต้นมาจากร้านตุ๊กตาหัวมุมบันได เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี มีเด็กผู้หญิงนั่งอยู่ข้าง ๆ สองสาวเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ มันเป็นร้านขายของกิ๊ฟช้อปธรรมดา ๆ ที่มีของกระจุกกระจิกของผู้หญิงตั้งแต่ตุ๊กตาไปจนถึงเครื่องใช้เครื่องประดับหรือแม้แต่ของที่ระลึก

“อู้ว...ชิ้นนี้เริ่ดมาก”

เจนนิษาหยิบสร้อยลูกปัดพวงโตมาทาบที่หน้าอกอย่างพออกพอใจ ในขณะที่กานต์ก็เซ้าซี้จะซื้อโน่นซื้อนี่ให้ปาระมีอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่ากานต์กำลังพยายามเอาใจหญิงสาวอยู่ แต่ปาระมีรู้สึกว่าเขากำลังอยากยั่วโมโหเจนนิษามากกว่า

“ตัวนี้ดีมั้ยคะน้องปาน น่ารักเหมือนน้องปานเลยดูสิคะ จิ้มลิ้มเชียว”

ปาระมีไม่สนใจของชิ้นไหนเลยจึงเออออตามชายหนุ่ม รับตุ๊กตาเด็กผู้หญิงนุ่งกระโปรงสีชมพูนั้นไว้หนึ่งตัว ส่วนเจนนิษานั้นถูกอกถูกใจไปเสียทุกอย่าง หล่อนซื้อไปเสียมากมายได้ของมาหลายถุงทีเดียว

“พี่สาวคะ อันนี้หนูแถมให้”

เด็กหญิงที่นั่งข้างคนขายสะกิดที่เอวปาระมี ยื่นสร้อยแขวนลูกกุญแจให้ หล่อนรับมางง ๆ

“เอาไว้ใช้นะคะ ประตูบานใหญ่ ๆไขได้ทุกวัน”

เด็กหญิงทำเสียงกระซิบ หล่อนจ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ ครู่หนึ่งก่อนจะสะดุ้งเมื่อพบว่าที่ใบหน้าเด็กหญิงมีเงาเด็กผมจุกซ้อนขึ้นมา เด็กหญิงหลิ่วตาให้อย่างรู้กัน ปาระมีหันรีหันขวางมองหาเพื่อนสาวและชายหนุ่ม ก็พบว่าทั้งสองคนออกไปยืนเถียงกันอยู่ที่หน้าร้านเสียแล้ว เมื่อหล่อนหันกลับมาที่เด็กหญิงก็พบว่า เธอฟุบหลับไปที่โต๊ะมีป้าเจ้าของร้านยิ้มอยู่ข้าง ๆ

“คงจะเหนื่อยน่ะ วันนี้ขยันทั้งวัน”

แกลูบหัวเด็กหญิงอย่างรักใคร่ ปาระมีมองภาพนั้นอย่างพิศวง หล่อนตัดสินเดินออกจากร้าน ในมือถือกุญแจสีทองทรงโบราณนั้นไว้มั่น ลูกกุญแจเก่าอย่างนี้ มันจะไขอะไรได้ นอกเสียจากจะใช้กับประตูที่เก่าไม่แพ้กัน เวลานี้ที่เดียวที่หล่อนนึกถึงจะเป็นที่ไหนเสียไม่ได้เลยนอกเสียจาก คุ้มวังพิทักษ์...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา