รอยอธิษฐาน

10.0

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.

  13 ตอน
  17 วิจารณ์
  16.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ภาพจากแกลลอรี่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปาระมีกลับเข้าบ้านก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว หล่อนปล่อยให้กานต์ขับรถไปส่งเจนนิษาเอง โดยบอกเหตุผลกับทั้งคู่สั้น ๆ ว่าปวดศีรษะ หล่อนเห็นกานต์หน้าหงิก เจนนิษาทำหน้ามุ่ย แต่ทั้งคู่ก็ยอมไปด้วยกันแต่โดยดี

ปาระมีเดินเข้าทางประตูหน้าบ้านที่เป็นโซนแกลลอรี่ เห็นปกบุญป้องคุณกำลังกุลีกุจอช่วยพ่อนำรูปภาพที่เพิ่งย้ายมาใหม่ขึ้นเรียงบนฝาผนัง ปกบุญกำลังหัดใช้สว่านเจาะผนัง เสียงสว่านเจาะผ่านกำแพงปูนดัง ครืดคราดลั่นบ้าน ผสานกับเสียงโหวกเหวกโวยวายของป้องคุณอีกด้านหนึ่ง ที่พยายามจะยกรูปขนาดใหญ่ขึ้นแขวนตามตะปู

“ดี ๆ เจ้าป้อง ดี ๆ เดี๋ยวร่วงโครมครามลงมาจะเสียของกันหมด ของเก่าทั้งนั้นเลยนะ”

                  พ่อกลอยร้องตะโกนแข่งกับเสียงสว่านบอกแฝดผู้น้อง ป้องคุณโอดครวญ

“โอย...มันหนักนะพ่อ อีกกี่รูปเนี่ยกว่าจะเสร็จ ป้องหิวข้าวแล้วนะ”

“ลุงสิทธิ์ฝากมาไว้ที่เราส่วนหนึ่ง เขาปรับปรุงร้านเขา แหม... มีแค่ไม่กี่รูปเอง”

พ่อพูดถึงคุณลุงประสิทธิ์ ญาติคนหนึ่งทางฝั่งแม่ เขาเปิดแกลลอรี่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำปิง ลุงประสิทธิ์เป็นช่างภาพ และนักสะสมตัวยง พอ ๆ กันกับพ่อ เพราะทำธุรกิจสายเดียวกัน จึงคุยกันถูกคอและเอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาโดยตลอด แกลลอรี่ของพ่อกลอยเป็นที่ชื่นชอบของพวกนักสะสมของเก่าไม่เบา พ่อมีรูปเก่า ๆ มากมาย ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของช่างภาพชาวต่างชาติทั้งฝรั่งและญี่ปุ่นที่เคยเก็บภาพวิถีชีวิตของคนล้านนาเอาไว้ ทั้งวิถีดั้งเดิมของคนท้องถิ่น ประเพณีสำคัญ ๆ ตลอดจนเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในสมัยประวัติศาสตร์ แต่ที่ผู้คนนิยมซื้อหากันมามักเป็นรูปภาพพื้น ๆ ของคนสมัยโบราณ เช่น รูปคนปั่นจักรยานบนถนนกลางเวียง รูปแม่อุ๊ยนั่งรถถีบสามล้อไปตลาด รูปลุงคนถีบสามล้อสวมหมวกปีกกว้างปั่นจักรยานสามล้อด้วยความบากบั่นแต่ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข พ่อเองก็เป็นช่างภาพด้วย รูปเก่า ๆ ของพ่อสมัยหนุ่ม ๆ ก็ขายดีไม่น้อย แต่ด้วยเป็นของเก่าและหาไม่ได้อีกแล้ว ราคาก็ย่อมสูงตามไปด้วย แม้ปัจจุบันพ่อจะหารูปโบราณเหล่านั้นมาเพิ่มเติมได้เรื่อย ๆ แต่ของเก่าของแก่ทั้งหลายย่อมหายากและก็มีแต่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเจ้าของไปตามความนิยมชมชอบและกาลเวลา

“รูปของลุงสิทธิ์อย่างสวยอ่ะพ่อ”

ปกบุญเดินปาดเหงื่อเข้ามายืนชื่นชมกองภาพถ่ายที่วางรอการแขวนอยู่ข้างบันได ปาระมีเดินเข้าไปยืนดูด้วย ปกบุญหันมามองพี่สาว

“ไงเจ้านางน้อย”

ปาระมีสะดุ้ง

“พูดอะไรของแกน่ะเจ้าปก”

หล่อนแหวเสียงดัง ปกบุญหัวเราะ เงยขึ้นไปมองแฝดผู้น้อง

“เฮ้ย! ป้อง รูปไหนนะ ที่เราว่าหน้าเจ้านางในรูปเหมือนพี่ปานน่ะ”

ป้องคุณแขวนรูปเสร็จแล้วจึงไต่บันไดเหล็กลงมา เขาหัวเราะหึ ๆ ขณะเดินไปดึงภาพกรอบกระจกบานหนึ่งออกมาจากกองกรอบรูปที่เพิ่งได้มาใหม่

“นี่ไง... เหมือนจริงนะพี่ พ่อกับแม่ยังอึ้ง นี่สงสัยพี่จะเป็นเจ้านางกลับชาติมาเกิด”

เขาว่าแล้วก็หัวเราะ ผู้เป็นพ่อทำเสียงปรามในลำคอเบา ๆ ปาระมีเห็นป้องคุณรีบหุบปากเหลือแค่แววตายิ้มขันที่ส่งรับกันระหว่างแฝดคู่หู หล่อนไม่อยากสนใจเจ้าสองแสบ จึงหันไปสนใจรูปภาพที่พวกเขาตั้งใจจะนำเสนอแทน

ภาพนั้นเป็นภาพขาวดำ ถ่ายที่คุ้มวังพิทักษ์ ปาระมีเห็นแวบแรกก็จำได้ทันที คุ้มวังพิทักษ์เมื่อสมัยยังรุ่งเรือง คุ้มหลังใหญ่ตระหง่านงามท่ามกลางสวนสวยกับต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างดี หลังคาคุ้มโดดเด่นเป็นสง่าตัดกับท้องฟ้าขาวสะอาด ปาระมีมองภาพเก่าคร่านั้นอย่างตั้งใจ หล่อนรู้สึกตื้นตันในอกอย่างบอกไม่ถูก ขณะมองดูหลังคาทรงมะนิลา[1]ที่ยังดูแข็งแรงดี หลังคาหน้าจั่วที่มุงด้วยกระเบื้องดินขอคลุมระเบียงโดยรอบ ตัวเรือนคุ้มเป็นครึ่งปูนครึ่งไม้ ซึ่งเป็นลักษณะของการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมล้านนาโบราณ กับอิทธิพลของตะวันตกในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ดูสง่างามเป็นฉากหลังที่รับกันกับบุคคลที่นั่งเรียงไล่ซ้อนกันเป็นลำดับอยู่ด้านหน้าคุ้ม ปาระมีจำบุรุษหนวดงามในชุดเสื้อพิธีสีขาวนั้นได้แม่นยำ เขาคือเจ้าคำสิงห์ วังพิทักษ์ เจ้าราชวงศ์ พระญาติแห่งเจ้าหลวงแก้วนวรัตน์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของนครเชียงใหม่ เคียงข้างด้วยเจ้านางรูปร่างผอมบาง ใบหน้ารูปไข่ รวบผมเป็นมวยไว้เหนือศีรษะขับใบหน้าให้เป็นนวลผ่อง หล่อนจำหญิงสาวผู้สง่างามและมีนัยน์ตาโศกนางนี้ได้ดี เจ้านางแห่งคุ้มวังพิทักษ์ เจ้าดาวเรือง ภรรยาเอกของเจ้าคำสิงห์

ปาระมีไล่มองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นระคนตื้นตัน หล่อนไม่ได้สังเกตตามที่น้องชายทั้งสองพูดหยอกล้อก่อนหน้านี้ ถึงความคล้ายคลึงกันของใบหน้าเจ้านางกับตัวหล่อน แต่กลับสนใจมองผู้คนที่นั่งรายล้อมอยู่ถัดลงมาจากเจ้าทั้งสองนั้นต่างหาก ที่นั่งถัดลงมาจากที่นั่งบนตั่งไม้นั้นเป็นเก้าอี้ไม้เตี้ย ๆ สามตัว มีชายหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อพิธีการสีขาวนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสามคน พวกเขาอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจอยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าคำสิงห์ ส่วนทางฝั่งเดียวกันกับเจ้าดาวเรือง ถัดลงไปบนพื้นเสื่อ มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งอยู่ข้าง ๆ นางด้วย ปาระมีจ้องมองใบหน้านั้นอย่างสนใจ แน่นอนว่าหล่อนไม่มีทางจะรู้จักใครในภาพนี้ได้อีก นอกจากเจ้าทั้งสองที่หล่อนเคยเห็นพวกเขามาก่อนหน้านี้จากภาพบนผนังวัดแก้วกนก แต่ใบหน้าสวยที่มีแววตาแข็งกร้าวคู่นั้น กลับตรึงสายตาของปาระมีให้จ้องมองนางจนรู้สึกหนาวสะท้าน หญิงสาวรู้สึกเหมือนเคยเห็นแววตาคู่นี้มาก่อน แววตาที่ดูเคียดแค้นชิงชัง แววตาที่ทำให้ใบหน้าสวยสะนั้นแลดูน่าเกลียดน่ากลัว ไม่ชวนมองอย่างยิ่ง ปาระมีกวาดตามองภาพนั้นโดยละเอียด เด็กน้อยหญิงชายวัยไม่เกิน 5 - 6 ปีอีก สามสี่คนนั่งปนบนพื้นเสื่อนั้นด้วย เด็ก ๆ สวมเสื้อสีขาว เด็กหญิงสวมกระโปรง เด็กชายสวมกางเกงขาก๊วยสีเข้มแบบเดียวกัน ดูเหมือนเป็นเด็กนักเรียนมากกว่าเป็นลูกหลาน

ใต้ภาพสลักข้อความไว้ว่า คุ้มวังพิทักษ์ ปี พ.ศ. 2480

                  “21 ปีหลังไฟไหม้วิหารหลวง”

                  ปาระมีพึมพำออกมาเบา ๆ หล่อนเห็นพ่อหันมามองเหมือนเข้าใจว่าหล่อนกำลังพูดด้วยก็รีบยิ้มปฎิเสธ แล้วรีบวางรูปคืนไว้ที่เดิม

“เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวให้ป้องเอาขึ้นแขวน”

ผู้เป็นพ่อร้องบอก ก่อนจะหันไปตะโกนสั่งงานลูกชายคนเล็กต่อ

“เอาไว้สูง ๆ หน่อยนะรูปนี้ รูปเจ้ารูปนาย หายากมาก ลุงสิทธิ์ตัดใจเอามาฝากเราเลยนะเนี่ย”

“คงแพงหูฉี่”

เสียงแฝดหนุ่มแซว

“โอ่ย... มากเลยล่ะ พ่อว่าลุงแกก็คงไม่อยากขายหรอก รูปคุ้มวังพิทักษ์สมัยยังสวยกับเจ้าราชวงศ์ทั้งครอบครัว หายากชนิดไม่รู้จะมีหลงเก็บไว้ที่ครอบครัวไหนอีกหรือเปล่า”

ช่างภาพรุ่นใหญ่ยกภาพนั้นขึ้นมาพิจารณาอย่างชื่นชม

“ปกติบ้านเรามีแต่ภาพวิวเมืองเชียงใหม่ ภาพคนทั่วไป เอาตรง ๆ นะพ่อ เอารูปนี้มาไว้บ้าน ปกรู้สึกหนาว ๆ ยังไงก็ไม่รู้”

ปกบุญพูดเหมือนกระซิบ แฝดหนุ่มทำท่าขนลุกประกอบให้แฝดน้องทำท่าหนาวตาม

“เพ้อเจ้อ ถ้าแกกลัวก็ไม่ต้องเดินลงมาที่ห้องแกลลอรี่ก็สิ้นเรื่อง พี่เขาเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ยังไม่เห็นจะกลัวอะไรเลย”

ผู้เป็นพ่อหันมาทางปาระมี ผู้ยังคงยืนฟังการสนทนาตรงนั้นอย่างสนใจ ปาระมีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของหนุ่ม ๆ ทั้งสาม หล่อนยิ้มแห้ง ๆ ให้พวกเขา

“ใครบอกว่าหนูไม่กลัวคะ หนูหนาวเลยล่ะค่ะ”

พ่อกับน้องชายหัวเราะ

“พี่คิดว่าไง เหมือนเห็นตัวเองนั่งข้าง ๆ เข้าคำสิงห์เลยไหม”

ปกบุญถามทำหน้าตาตื่นเต้น ปาระมีย่นจมูก

“พูดอะไรของแกน่ะ ก็เพิ่งบอกไปว่ากลัว พี่ว่าไม่เห็นจะเหมือนตรงไหนเลย พี่หน้าเหมือนแม่ต่างหาก พวกแกมากว่า หน้าเหมือนเจ้าคำสิงห์เลย ดูสิ”

หล่อนสะบัดหน้าไปทางรูปภาพที่ป้องบุญกำลังถือขึ้นไต่บันไดแขวน แวบหนึ่งที่หางตา หล่อนเห็นเหมือนมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่ริมฝาผนัง ครั้นตวัดสายตากลับไปมองอีกครั้งก็ไม่เห็นใคร

“ฮ่า ๆ พวกผมหล่อแบบมีเอกลักษณ์ครับพี่ หล่อไม่ซ้ำใคร ขนาดพ่อยังไม่มีเค้าพวกเราเลยนะ ดู ๆ หล่อโดดเด่น หล่อจริงจัง ฮ่า ๆ”

แฝดชวนกันหัวเราะ พ่อกลอยก็ขำตามไปด้วย ปาระมีโล่งใจที่คำพูดที่หลุดจากปากเพราะความหงุดหงิดของหล่อนไม่ได้ทำให้พี่น้องรู้สึกระคายใจ หล่อนลอบมองดูหน้าพ่อ เห็นแกหัวเราะเบิกบานดีก็นึกโกรธตัวเองขึ้นมาที่โมโหคำพูดหยอกล้อเล่น ๆ ของน้องชาย หล่อนรู้สึกเหมือนถูกพี่น้องผลักไสให้หล่อนออกจากครอบครัวเพียงเพราะพวกเขาบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าดาวเรือง ทั้งที่พวกเขาต่างหาก ที่ ‘  อาจจะ’ เป็นคนที่มาจากครอบครัวอื่น ไม่ใช่หล่อนสักหน่อย

“ไปอาบน้ำนอนแล้วนะคะ ไม่อยากพูดด้วยละ”

หล่อนหมุนตัวเดินขึ้นบันได รู้สึกโกรธตัวเองอีกรอบที่กำลังเห็นว่า เป็นตัวหล่อนเองต่างหากที่กำลังผลักไสน้องชายแท้ ๆ ของตัวเองให้ไปเป็นคนของครอบครัวอื่น ทั้งที่ไม่มีอะไรมายืนยันสักหน่อย ว่าปกบุญกับป้องคุณเป็นลูกฝาแฝดของเจ้าคำสิงห์ที่หายไป ปู่จารย์วัดเฒ่าบอกหล่อนเช่นนั้นหรือ เขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าพ่อแม่ได้ลูกแฝดมาจากหลวงพ่อแก้วกนก เปล่าเลย แกไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย ทั้งหมดนี้ เป็นแค่หล่อนสันนิษฐานเอาเองทั้งนั้น

แล้วพ่อกับแม่ขออะไรจากหลวงพ่อแก้วกนกกันนะ

ปาระมีถอดสร้อยที่แม่ให้ออกจากคอก่อนจะเตรียมตัวไปอาบน้ำ เงาของใครบางคนเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าห้องน้ำ หล่อนหันไปดูตามหางตา ไม่มีใครที่นั่น นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่หล่อนเห็นเป็นเงาของคนจริง ๆ เหมือนก่อนหน้านี้ ที่ผนังในห้องแกลลอรี่ หล่อนเห็นเป็นผู้ชาย…

ปาระมีนึกอะไรขึ้นได้ …ผู้ชายอย่างนั้นหรือ

ผู้ชายที่สวมเสื้อพิธีการสีขาว ผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่มีรอยยิ้มอบอุ่น ผู้ชายคนที่เคยสีไวโอลินให้หล่อนฟังในความฝัน ผู้ชายคนนั้น

ปาระมีรีบเปิดประตูห้องนอนวิ่งออกมา ที่บันไดไปห้องแกลลอรี่ พ่อกับน้อง ๆ ของหล่อนยังอยู่ไหมนะ

ไฟในห้องแกลลอลี่ปิดไปเกือบหมดแล้ว เหลือไฟสีส้มบางดวงที่ส่องสว่างให้เห็นบางส่วนของห้องจัดแสดงภาพ แต่หล่อนมีเป้าหมายที่ฝาผนังห้องส่วนที่เด่นที่สุด ที่แขวนรูปภาพของลุงสิทธิ์ที่เป็นชิ้นงานที่แพงที่สุด

รูปของคุ้มวังพิทักษ์....

หญิงสาวกลับมายืนตรงหน้ารูปอีกครั้ง จ้องมองไปยังผู้ชายคนที่นั่งติดกับเจ้าคำสิงห์ ผู้ชายตาคม มีรอยยิ้มอบอุ่น อย่างที่หล่อนเคยเห็นมาก่อน

เป็นคนนี้จริง ๆ ด้วย เขาเป็นใครกันนะ

“ปาระมี”

เสียงเรียกที่ทำให้หล่อนแทบผงะหงายหลัง ชายหนุ่มที่หล่อนเพิ่งสบตากับเขาผ่านรูปใบเก่าบนผนัง กำลังยืนสบตาหล่อนอยู่ที่ข้างผนังห้อง

“คุณ…”

หล่อนหันไปรอบ ๆ ห้อง รอบตัวเอง หายใจไม่ทั่วท้อง นี่หล่อนกำลังเผชิญหน้ากับใคร หรืออะไรกัน

“คุณเป็นใครน่ะ เข้ามาได้ยังไงกัน”

เขายืนยิ้มอยู่ที่เดิม จ้องมองหล่อนด้วยสายตาอ่อนหวาน

“กลับบ้านเรากันเถอะ ปาระมี”

เสียงบรรเลงเพลงพื้นเมืองดังแว่ว ๆ มาจากที่ไหนสักแห่ง ปาระมีหยุดชะงักฟัง แม่เปิดเพลงอย่างนั้นหรือ เพลงพื้นเมืองล้านนาโบราณที่หล่อนไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่ช่างเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะ น่าฟังยิ่งนัก

“กลับบ้านเรากันนะ”

เสียงทุ้มนุ่มเมื่อครู่เปลี่ยนไป หล่อนมองเห็นร่างเล็ก ๆ ของเด็กน้อยผมจุกมายืนแทนที่ชายหนุ่มเมื่อครู่ เด็กน้อยยิ้มเศร้า

“เจ้าแม่ต้องการเจ้า กลับบ้านเราเถอะ”

อะไรบางอย่างออกแรงกระชากตัวปาระมีให้สะดุ้งสุดตัว หญิงสาวผวาตัวผุดลุกขึ้นราวกับมีใครมาฉุดดึง หล่อนกำลังนั่งอยู่บนเตียงในความมืด รอบตัวเงียบสงัด

หล่อนฝันไปอีกแล้ว...

แสงจันทร์นอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามา องค์พระเก่าที่แม่ให้บนโต๊ะหนังสือทอประกายระยิบระยับเคียงคู่กับลุกกุญแจดอกเก่าที่หล่อนได้อย่างน่าฉงนสงสัย ราวกับมีเสียงเรียกร้องจากที่ไกล ๆ ผ่านความแวววาวของวัตถุทั้งสองบนโต๊ะตัวนั้น

เสียงใครบางคนร้องซ้อนกันดังเซ็งแซ่อยู่ในห้วงคำนึง

กลับบ้านเราเถอะนะ…

 

[1] รูปแบบของหลังคาที่มีการผสมผสานระหว่างหลังคาทรงจั่วและปั้นหยา โดยจะมีรูปหลังคาเป็นสามเหลี่ยมที่มีสันตรงกลาง และทรงหลังคาลาดลงทั้ง 2 ข้าง

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา