รอยอธิษฐาน
10.0
เขียนโดย อาบตะวัน
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.
13 ตอน
17 วิจารณ์
16.63K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) 5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เจนนี่ เฮ้ย! เจนนี่ อยู่ไหนน่ะ ไม่เอานะอย่าล้อเล่นสิ”
ปาระมีรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หล่อนไม่อยากนึกเลยว่า เพื่อนสาวยังคงติดอยู่ที่อดีตเมื่อ กว่า 100 ปีที่แล้ว หญิงสาวหันรีหันขวาง รู้สึกร้อนรน นี่หล่อนควรจะทำอย่างไรดี
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมององค์พระพุทธรูปสีทองอร่ามตาตรงหน้า ท่านยังคงอยู่ในท่าทีสงบเยือกเย็น ปาระมีพยายามทำใจให้เป็นสมาธิ หล่อนพยายามคิดหาทางอย่างมีสติแต่ต้องรวดเร็ว หรือจะลองกราบพระอีกสักครั้ง ในเมื่อมันเป็นหนทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ ปาระมีทรุดลงกราบพระอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นรัวอย่างหวาดกลัว กลัวว่ามันจะไม่ได้ผล
หญิงสาวก้มลงกราบครบสามครั้ง หล่อนกัดริมฝีปากแน่นอย่างระทึก ทว่า ... เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมากลับไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด ๆเลย วิหารยังคงสภาพเดิม พัดลมยังคนหมุนวน ไร้สรรพเสียงใด ๆ ที่จะบ่งบอกได้ว่ามีการเปลี่ยนของภพกาลขึ้น หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างคนสิ้นหวัง
“โธ่! เจนนี่ ฉันควรจะทำยังไงดี”
ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบนั้นสั่นระริก หล่อนลุกขึ้นเดินหมุนวนอยู่ในวิหาร ก่อนที่สายตาจะบางสิ่งเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ที่ข้างตัว… มันเป็นเงาสีดำจาง ๆ พาดผ่านเร็ว ๆ ในตัววิหาร วิหารวัดแก้วกนกในยามที่ภายนอกมีแสงแดดเจิดจ้า ปาระมีเพ่งมองตามเงาดำวูบไหวนั้นด้วยใจสั่นไหว จังหวะหนึ่งเงานั้นหยุดนิ่งที่หน้าพระประธาน ปาระมีกลั้นหายใจด้วยความตกใจ มันเป็นเงาร่างของเด็ก!! เด็กผู้หญิงผมจุกตัวเล็ก ๆ ที่หล่อนเห็นเมื่อครั้งแรกก่อนจะย้อนเวลาเข้าไปในวันที่วิหารหลวงไฟไหม้
“ไม่นะ!”
หญิงสาวอุดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมา เมื่อเงานั้นค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้ ปาระมีเอนกายหนีห่าง ขณะกำลังจะตัดสินใจวิ่งหนีออกไป เจ้าเงาร่างเล็กนั้นก็กลับเคลื่อนผ่านหน้าหล่อนไปช้า ๆ หล่อนรู้สึกถึงไอเย็นเยียบที่ลอยผ่านไปจนรู้สึกขนลุก เจ้าเงาดำเผยให้เห็นเป็นร่างจาง ๆ และค่อยแจ่มชัดขึ้นในความสลัวรางภายในวิหาร เด็กหญิงกำลังเดินกึ่งวิ่งเหยาะ ๆ ผ่านหน้าพระประธานไปหยุดที่ประตูไม้แกะสลักหน้าบันไดขึ้นลงของพระสงฆ์ข้างวิหาร ประตูไม้ที่ยังคงมีกระจกสีชาปิดไว้พรางร่องรอยดำไหม้ที่ตัวไม้รอยสลัก เด็กน้อยหันมามองหญิงสาวก่อนจะปิดปากหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหมุนตัววิ่งหายเข้าไปในบานประตูไม้แกะสลัก ปาระมีมองตามราวกับต้องมนต์สะกด กว่าจะรู้ตัว หล่อนก็พบว่าตัวเองกำลังก้าวเท้าตามเด็กหญิงไปอย่างช้า ๆ พลันก็รู้สึกถึง แรงดึงดูดที่กระจกสีชานั่น
วืด...
“กรี๊ด!!!”
ปาระมีรู้สึกเหมือนตัวเองพลัดตกจากที่สูงไปวูบหนึ่ง ปลายเท้าที่ตกลงมาจากพื้นที่ต่างระดับโซเซไปเล็กน้อย ให้ใจคอยิ่งหวั่นไหวไปอีก แต่แล้วก็มาพบว่าตนเองมายืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังอีกครั้ง....
“ฮ้า....กลับ ...กลับมาแล้ว”
หล่อนมองไปรอบ ๆตัว อากาศเย็นเยือก ฟ้าเริ่มสาง แสงแดดทออ่อน ๆ เผยให้เห็นสายหมอกจาง ๆ เหนือผิวดิน มันไม่ใช่เวลาเช้ามืดที่ร้างไร้ผู้คนอย่างเมื่อครู่นี้อีกแล้ว เสียงผู้คนเดินจ้อกแจ้กจอแจทั่วบริเวณวัด ในมือถือทั้งไม้กวาด มีด ค้อน ต่างก็แต่งกายรัดกุมมิดชิด หล่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ ไร้วี่แววของเจนนิษาและลุงทอง จึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากซากวิหารนั้น
หญิงสาวมองไม่เห็นหนทางอื่นนอกเสียจากจะกลับไปที่บ้านลุงทองอีกครั้ง ระยะทางนั้นไม่ไกลมากแต่หญิงสาวรู้สึกอึดกับสายตาของผู้คนที่เดินสวนกันหล่อนเข้ามาในวัด
“อีนางน้อยคนนี้อีกแล้ว เป็นอย่างใดกันมาวัดแต่เช้ามืด นอนที่วัดนี้หรือ”
เสียงหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้น ทว่าเป็นเพียงคำซุบซิบที่ไม่ได้มีเจตนาจะต้องการคำตอบจากเจ้าตัว
“นั่นสิ เห็นอีกคนที่มาด้วยกันวันก่อนโน้น กินอยู่บ้านไอ้ทองอีคำตั้งหลายวัน คนนี้มาอยู่วัดเป็นใดบ่ฮู้มาละกัน”
เสียงคู่สนทนาอีกคนหนึ่งว่า ปาระมีฟังอย่างแปลกใจ วันก่อนโน้นเชียวเหรอ เพิ่งเมื่อวานนี้เองที่หล่อนมากับเจนนิษา หญิงสาวสาวเท้าให้เร็วขึ้น ความสงสัยใคร่รู้มีมากกว่าความสนใจที่มีต่อหญิงชาวบ้านหลายคนที่เดินเปลือยอกไปมาตามข้างทาง จนเมื่อมาถึงบ้านลุงทองพบป้าคำที่พันแต่เพียงผ้าขาวม้าที่คอ ทิ้งสองถุงให้ห้อยโตงเตงข้างล่างจึงรู้สึกชินตาไปเสียแล้ว
“อ้าว! อีนาง มาตั้งแต่ยามใดนี่ พ่อมัน! พ่อมัน! อีนางน้อยกลับมาแล้ว”
ป้าคำตะโกนโหวกเหวก แววตาทั้งตื่นเต้นและแปลกใจระคนกัน
“พี่สาวคนงามมาแล้ว”
เอื้องและอินวิ่งมาจากหลังบ้าน เด็กหญิงและเด็กชายฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ใบหน้าฝรั่งยื่นออกมาจากเรือนพร้อมกับเสียงร้องกรี๊ดตามแบบฉบับเดิมที่หญิงสาวคุ้นเคยดี แต่เจนนิษาเซอร์ไพรส์หล่อนมากเกินกว่าทุกครั้ง เจ้าหล่อนถลาลงมาจากเรือน พุ่งตรงเข้ากอดหญิงสาว ราวกับแสนคิดถึง แล้วปล่อยโฮ
“ปาน แกหายไปไหนมา เรา... เรานึกว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียวซะแล้ว ทำไมทิ้งกันได้ยะ นังเพื่อนบ้า”
สาวลูกครึ่งฟูมฟาย ปาระมีดันตัวเพื่อนสาวออกมองหล่อนอย่างสงสัย
“ฉันไม่ได้ทิ้งแกไปไหนเลยนะ ไปถึงปุ๊บ ไม่เห็นแก ฉันก็รีบหาทางกลับมาเลยเนี่ย”
เจนนิษาเม้มปาก เท้าสะเอวมองเพื่อนสาวอย่างเอาเรื่อง
“รีบกลับมาเหรอ 3 วันเนี่ยนะ รีบของแก นี่ถ้าแกไม่รีบ เราคงออกลูกออกหลานมันซะที่นี่เลยมั้ง”
“3 วันเหรอ...”
หญิงสาวทวนคำ
“ใช่ 3 วัน”
เจนนิษาเน้นเสียง ดวงตาเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง
“แต่ฉัน”
“เอาเถอะ ๆ พอก่อน มากินข้าวกินปลากันก่อน บ่ต้องเถียงกัน”
ลุงทองเข้ามาห้ามทัพ ก่อนจะกึ่งลากกึ่งดันสองสาวขึ้นไปทานข้าวบนเรือน
เจนนิษาดูอารมณ์เสียตลอดเวลาอาหารเช้า แม้ปาระมีจะพยายามเล่าว่าหล่อนไม่ได้แม้แต่จะก้าวเท้าออกจากวิหารวัดเลย ปลายจมูกของเจนนิษาก็ยังคงเป็นสีแดงอยู่ตลอดเวลา หล่อนทั้งสูดน้ำมูก ทำตาขวางและค้อนเพื่อนสาวทุกครั้งที่มีโอกาส จนกระทั่งลุงกับป้าออกไปจากเรือน เจนนิษาจึงเริ่มเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ตั้งแต่แกไป... รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่า…”
“เรารู้แล้ว! ฟังเราเล่าก่อนสิ”
เจนนิษาเอ็ด ปาระมีจึงเงียบ ฟังเพื่อนสาวปาดน้ำตาเล่าเรื่องอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้
“พอเรากราบพระเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเรายังนั่งอยู่ที่เดิม ปานหายไป ถามลุงทอง แกก็บอกว่าจู่ ๆ แกก็หายตัวไปอย่างน่าตกใจ แต่จริง ๆแล้วเราต่างหากที่ตกใจมากกว่า เรารอแกอยู่จนค่ำก็ไม่เห็นแกกลับมาซักที ลุงทองก็เลยชวนเรากลับมาที่นี่”
“แปลกจังเลย”
ปาระมีรำพึง ระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีของที่โน่น กินเวลาเพียง 3 วันของที่นี่เชียวหรือ หล่อนคิดอย่างใจหาย นี่ถ้าหล่อนไม่สามารถหาทางกลับมาได้ภายในวันหรือสองวัน เจนนิษาต้องติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหนกันนะ
“แกเห็นมั้ยว่าเราใส่ชุดอะไรเนี่ย”
เจนนิษาว่า ปาระมีมองตามแล้วอมยิ้ม หล่อนเพิ่งสังเกตว่า เพื่อนสาวสวมเสื้อก้อมสีขาวแบบคุณย่ายายสวมกันที่ยุคปัจจุบัน มันดูคับไปหน่อยสำหรับสาวไซส์ฝรั่งอย่างเจนนิษา แต่หญิงสาวก็สวมใส่ให้ดูเป็นแฟชั่นซึ่ง
ก็ดูรับกันดีกับผ้าซิ่นลายตีนจกที่หล่อนนำมาผูกเข้ากับสะโพกให้ดูกรุยกราย โชว์เอวขาว ๆ
“สวยดีนี่ แล้วชุดเก่าแกล่ะ ไปไหน”
เจนนิษาหน้าเบ้
“อย่าพูดถึงได้มะ ชุดจากุชชี่ของเรา ฮือ ฮือ”
“ทำไม”
“ก็ป้าคำน่ะสิ เอาไปซักให้เรา เค้าเอาอะไรซักรู้มั้ย”
“สบู่ลายล่ะมั้ง”
ปาระมีพยายามเดา เจนนิษาส่ายหน้าอย่างมีอารมณ์
“ตอนแรกเราก็คิดอย่างนั้นแหละ เลยบอกเค้าว่าไม่เอาสบู่ลายเพราะกลัวผ้าเสีย เค้า เค้าก็เลย”
หญิงสาวน้ำตาคลอ
“เค้าก็เลย...”
ปาระมีช่วยลุ้น
“เอาขี้วัวแห้งมาแช่น้ำซักให้เรา โฮ โฮ”
เจนนิษาคร่ำครวญเสียงดัง ปาระมีเข้าใจเพื่อนรักอย่างสุดซึ้งทีเดียวจึงได้แต่อ้าปากค้างทำตาปริบ ๆ และไม่พูดว่าอะไรเลยซักคำับสาวไซส์ว่าไม่เอาสบู่ลายเพราะกลัวผ้าเสีย เค้า เค้าก็เลย" ๆ
แฟชั่นซึ่ง
มกันที่กลับมาได้ภายในวันหรือสองวั
ปาระมีล่ำลาลุงทองและป้าคำอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ครั้งนี้หล่อนมั่นใจว่าจะต้องได้กลับบ้านโดยไม่มีเหตุใด ๆอีก ป้าทองลูบหลังลูบไหล่เจนนิษาอย่างเอ็นดู
“ป้าบ่ฮู้จะพูดจะใด จะได้เจอกันอีกเมื่อใดก็บ่ฮู้น่อ ถ้าได้มาอีกก็แวะมาหาป้ากับลุงเน้อที่นี่”
เจนนิษาน้ำตาซึม นั่งคอตกในชุดจากุชชี่ขี้วัวอย่างสงบเสงี่ยม ลุงทองหิ้วชะลอมใส่ลิ้นจี่มาให้ 2 ชะลอมใหญ่
“เอาไปฝากพ่อกับแม่เน่อ เสียดายที่บ่ได้ฮู้จักกัน”
เอื้องกับอินมายืนส่งใกล้ ๆ เอื้องเข้ามากอดเอวปาระมี
“พี่จะกลับแล้วกา จะมาแหมบ่ ถ้าได้มา มาดูเอื้องเน่อ ใหญ่มาเอื้องจะงามเหมือนพี่”
หญิงสาวย่อเข่าลงยิ้มให้สองพี่น้อง
“ถ้าพี่ได้มาอีก พี่จะมาเยี่ยม”
ว่าพลางปลดต่างหูหินทรายทองให้เด็กหญิง
“โตเป็นสาว ได้ใส่อันนี้งามแน่”
เด็กหญิงรับมาอย่างดีใจ
“ของอ้ายอินมีก่อ อ้ายชอบพี่สาวขนาดบอกว่าพี่สาวงามแต๊ ๆ”
เด็กหญิงว่าเสียงเจื้อยแจ้ว ผู้เป็นแม่ตีเผียะที่แขนเบา ๆ
“ว่าหยังอย่างอั้น อายเปิ้น”
ปาระมีหัวเราะในความไร้เดียงสาของเอื้อง หล่อนมองเห็นเด็กชายนั่งหลบอยู่ข้างเสาเรือน แก้มโผล่พ้นเสามาแอบดูหล่อนอย่างอาย ๆ ปาระมีไม่มีของเล่นเด็กผู้ชายติดตัวมาด้วย แต่ความรู้สึกที่คิดว่าได้มาเยือนที่นี่และจะจากไปมันแสนยิ่งใหญ่ มันเป็นมากยิ่งกว่าความฝัน ที่หล่อนอยากจะตอกย้ำกับตนเองว่า ที่แห่งนี้ คนที่นี่ เป็นของจริงและหล่อนไม่ได้เพ้อเจอหรือฝันไป หล่อนอยากจะมีอะไรสักอย่างไว้แทนตัวเอง..สำหรับที่นี่
“เอิ่ม...”
ที่ข้อมือของหล่อนสวมกำไลเงินเส้นบาง ๆ ไว้คู่หนึ่ง นอกเหนือจากสิ่งนี้ ก็ไม่เห็นจะสิ่งอื่นใดจะเหมาะสมกว่า หญิงสาวจึงถอดกำไลออกมาอันหนึ่ง แล้วยื่นให้เด็กชาย
“พี่ให้เป็นของที่ระลึกนะ อินไม่อยากใส่ก็เก็บเอาไว้”
แก้มเด็กชายแดงเรื่อ แต่ก็ไม่กล้าเดินออกมารับ ผู้เป็นน้องมองอย่างขัดตาก่อนจะเป็นผู้มาไหว้รับเอาไปเอง
“เอื้องเอาเองก่ได้”
“ของอ้าย!!”
เด็กชายพุ่งออกจากที่หลบมาคว้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไหว้ขอบคุณปาระมีขวยเขินแล้ววิ่งเข้าเรือนหายจ้อย
“สเต็บเดิม”
เจนนิษามองตามแล้วกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ปาระมีหัวเราะ ทั้งคู่ไหว้ลาป้าคำแล้วจึงตามลุงทองออกเดินทางมาที่วัดแก้วกนกอีกครั้ง
“ตอนขามาหนูเห็นเค้าถือมีด ถือค้อนเข้าวัดกันน่ะค่ะลุงทอง วันนี้มีงานอะไรรึเปล่าคะ”
ปาระมีชวนคุยระหว่างเดินทางไปสู่วัดแก้วกนก
“อ๋อ วันนี้เขาจะย้ายองค์หลวงพ่อออกจากวิหาร คงจะทุบซากวิหารออกเพราะจะสร้างใหม่”
ปาระมีตาเหลือก
“ทุบซากวิหาร เหรอคะ”
“แม่นแล้ว บ่ทุบจะสร้างใหม่ได้อย่างใด”
ลุงทองย้ำ
“งั้นเจนนี่เร็วเข้า ถ้าเขาทุบประตูไม้ออก เราจบเห่แน่”
ปาระมีคว้าข้อมือเพื่อนสาววิ่ง เสียงค้อนกระทบซากวิหารดังตึง ๆทำเอาใจหาย ทั้งสองวิ่งมาถึงหน้าวิหารเห็นชายร่างกายกำยำสองคนกำลังช่วยกันยกประตูไม้ออกจากเสา ปาระมีเหลือบมองพระพุทธรูปยังอยู่จึงรีบวิ่งขึ้นไปยังลานที่นั่งหน้าพระวิหาร
“ไปกันเถอะ ลุงทองคะ สวัสดีค่ะ”
ปาระมีนำเจนนิษาลัดเลาะซากปรักหักพังขึ้นไป ประตูกำลังถูกยกออกจากกรอบ ปาระมีฉุดมือเจนนิษากระโจนเข้าใส่ประตูทันที
“โดด!!”
กรอบประตูเลื่อนหลุดออกไปแล้ว สองสาวหลุดพรวดออกทางช่องว่างระหว่างกรอบประตูไม้ตกลงไปทางบันไดข้างวิหาร
“อูย! ก้นกบหักแน่ ๆเลย ทำไมต้องดึงเรามากระโดดกะแกด้วยเนี่ย หา!”
เจนนิษาคลำสะโพกบ่นอุบ ปาระมีลูบหน้าผาก ที่ไรผมมีรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อยพร้อมกับรอยปูดบวมผลจากการกระแทกกับขอบบันได
“บันไดเขามีไว้ให้เดิน คิดยังไงถึงได้กระโดดโหม่งลงมาล่ะ”
เสียงแหบพร่าที่คุ้นหูดังขึ้น สองสาวมองเท้าบนรองเท้าแตะคีบของชายชราไล่ขึ้นไป พบกับใบหน้าฉงน งงงวยของตาถา อดีตปู่จารย์เฒ่า แกยังคงสวมเสื้อม่อฮ่อมตัวเดิม ในมือถือตำราเก่าเล่มใหญ่
“ตา! ตาถานี่”
เจนนิษาร้องอย่างดีใจ หญิงสาวรีบลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากกางเกงหญิงสาวกวาดสายตามองรอบ ๆ ตัว ท้องฟ้าเจิดจ้าด้วยแสงตะวันยามบ่าย วิหารวัดแก้วกนกสะท้องแสงเรืองรอง เป็นวิหารที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แม้จะค่อนข้างเก่า เจนนิษาหัวเราะออกมา
“วะ ฮะ ฮะ ฮ่า ได้กลับมาแล้ว ๆ โอ! สวรรค์โปรด”
ปาระมีค่อย ๆลุกขึ้น กวาดสายตาไปรอบ ๆ วิหารอย่างโล่งใจ หล่อนกลับมาได้อีกครั้ง จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่นี่จะเป็นประสบการณ์ที่หล่อนจะจดจำไปตลอดชีวิต เพราะมันคงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่มากราบพระที่นี่เป็นแน่ หญิงสาวหันกลับมามองที่ชายชราจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด
“ตา ตาไปหาหนังสือนี่นานมั้ย”
ตาถามองหนังสือในมือ ก่อนจะยื่นให้หญิงสาว ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ก็ไม่ถึงกับ 3 วันหรอกหลานเอ๊ย”
ปาระมีรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หล่อนไม่อยากนึกเลยว่า เพื่อนสาวยังคงติดอยู่ที่อดีตเมื่อ กว่า 100 ปีที่แล้ว หญิงสาวหันรีหันขวาง รู้สึกร้อนรน นี่หล่อนควรจะทำอย่างไรดี
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมององค์พระพุทธรูปสีทองอร่ามตาตรงหน้า ท่านยังคงอยู่ในท่าทีสงบเยือกเย็น ปาระมีพยายามทำใจให้เป็นสมาธิ หล่อนพยายามคิดหาทางอย่างมีสติแต่ต้องรวดเร็ว หรือจะลองกราบพระอีกสักครั้ง ในเมื่อมันเป็นหนทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ ปาระมีทรุดลงกราบพระอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นรัวอย่างหวาดกลัว กลัวว่ามันจะไม่ได้ผล
หญิงสาวก้มลงกราบครบสามครั้ง หล่อนกัดริมฝีปากแน่นอย่างระทึก ทว่า ... เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมากลับไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด ๆเลย วิหารยังคงสภาพเดิม พัดลมยังคนหมุนวน ไร้สรรพเสียงใด ๆ ที่จะบ่งบอกได้ว่ามีการเปลี่ยนของภพกาลขึ้น หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างคนสิ้นหวัง
“โธ่! เจนนี่ ฉันควรจะทำยังไงดี”
ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบนั้นสั่นระริก หล่อนลุกขึ้นเดินหมุนวนอยู่ในวิหาร ก่อนที่สายตาจะบางสิ่งเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ที่ข้างตัว… มันเป็นเงาสีดำจาง ๆ พาดผ่านเร็ว ๆ ในตัววิหาร วิหารวัดแก้วกนกในยามที่ภายนอกมีแสงแดดเจิดจ้า ปาระมีเพ่งมองตามเงาดำวูบไหวนั้นด้วยใจสั่นไหว จังหวะหนึ่งเงานั้นหยุดนิ่งที่หน้าพระประธาน ปาระมีกลั้นหายใจด้วยความตกใจ มันเป็นเงาร่างของเด็ก!! เด็กผู้หญิงผมจุกตัวเล็ก ๆ ที่หล่อนเห็นเมื่อครั้งแรกก่อนจะย้อนเวลาเข้าไปในวันที่วิหารหลวงไฟไหม้
“ไม่นะ!”
หญิงสาวอุดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมา เมื่อเงานั้นค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้ ปาระมีเอนกายหนีห่าง ขณะกำลังจะตัดสินใจวิ่งหนีออกไป เจ้าเงาร่างเล็กนั้นก็กลับเคลื่อนผ่านหน้าหล่อนไปช้า ๆ หล่อนรู้สึกถึงไอเย็นเยียบที่ลอยผ่านไปจนรู้สึกขนลุก เจ้าเงาดำเผยให้เห็นเป็นร่างจาง ๆ และค่อยแจ่มชัดขึ้นในความสลัวรางภายในวิหาร เด็กหญิงกำลังเดินกึ่งวิ่งเหยาะ ๆ ผ่านหน้าพระประธานไปหยุดที่ประตูไม้แกะสลักหน้าบันไดขึ้นลงของพระสงฆ์ข้างวิหาร ประตูไม้ที่ยังคงมีกระจกสีชาปิดไว้พรางร่องรอยดำไหม้ที่ตัวไม้รอยสลัก เด็กน้อยหันมามองหญิงสาวก่อนจะปิดปากหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหมุนตัววิ่งหายเข้าไปในบานประตูไม้แกะสลัก ปาระมีมองตามราวกับต้องมนต์สะกด กว่าจะรู้ตัว หล่อนก็พบว่าตัวเองกำลังก้าวเท้าตามเด็กหญิงไปอย่างช้า ๆ พลันก็รู้สึกถึง แรงดึงดูดที่กระจกสีชานั่น
วืด...
“กรี๊ด!!!”
ปาระมีรู้สึกเหมือนตัวเองพลัดตกจากที่สูงไปวูบหนึ่ง ปลายเท้าที่ตกลงมาจากพื้นที่ต่างระดับโซเซไปเล็กน้อย ให้ใจคอยิ่งหวั่นไหวไปอีก แต่แล้วก็มาพบว่าตนเองมายืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังอีกครั้ง....
“ฮ้า....กลับ ...กลับมาแล้ว”
หล่อนมองไปรอบ ๆตัว อากาศเย็นเยือก ฟ้าเริ่มสาง แสงแดดทออ่อน ๆ เผยให้เห็นสายหมอกจาง ๆ เหนือผิวดิน มันไม่ใช่เวลาเช้ามืดที่ร้างไร้ผู้คนอย่างเมื่อครู่นี้อีกแล้ว เสียงผู้คนเดินจ้อกแจ้กจอแจทั่วบริเวณวัด ในมือถือทั้งไม้กวาด มีด ค้อน ต่างก็แต่งกายรัดกุมมิดชิด หล่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ ไร้วี่แววของเจนนิษาและลุงทอง จึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากซากวิหารนั้น
หญิงสาวมองไม่เห็นหนทางอื่นนอกเสียจากจะกลับไปที่บ้านลุงทองอีกครั้ง ระยะทางนั้นไม่ไกลมากแต่หญิงสาวรู้สึกอึดกับสายตาของผู้คนที่เดินสวนกันหล่อนเข้ามาในวัด
“อีนางน้อยคนนี้อีกแล้ว เป็นอย่างใดกันมาวัดแต่เช้ามืด นอนที่วัดนี้หรือ”
เสียงหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้น ทว่าเป็นเพียงคำซุบซิบที่ไม่ได้มีเจตนาจะต้องการคำตอบจากเจ้าตัว
“นั่นสิ เห็นอีกคนที่มาด้วยกันวันก่อนโน้น กินอยู่บ้านไอ้ทองอีคำตั้งหลายวัน คนนี้มาอยู่วัดเป็นใดบ่ฮู้มาละกัน”
เสียงคู่สนทนาอีกคนหนึ่งว่า ปาระมีฟังอย่างแปลกใจ วันก่อนโน้นเชียวเหรอ เพิ่งเมื่อวานนี้เองที่หล่อนมากับเจนนิษา หญิงสาวสาวเท้าให้เร็วขึ้น ความสงสัยใคร่รู้มีมากกว่าความสนใจที่มีต่อหญิงชาวบ้านหลายคนที่เดินเปลือยอกไปมาตามข้างทาง จนเมื่อมาถึงบ้านลุงทองพบป้าคำที่พันแต่เพียงผ้าขาวม้าที่คอ ทิ้งสองถุงให้ห้อยโตงเตงข้างล่างจึงรู้สึกชินตาไปเสียแล้ว
“อ้าว! อีนาง มาตั้งแต่ยามใดนี่ พ่อมัน! พ่อมัน! อีนางน้อยกลับมาแล้ว”
ป้าคำตะโกนโหวกเหวก แววตาทั้งตื่นเต้นและแปลกใจระคนกัน
“พี่สาวคนงามมาแล้ว”
เอื้องและอินวิ่งมาจากหลังบ้าน เด็กหญิงและเด็กชายฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ใบหน้าฝรั่งยื่นออกมาจากเรือนพร้อมกับเสียงร้องกรี๊ดตามแบบฉบับเดิมที่หญิงสาวคุ้นเคยดี แต่เจนนิษาเซอร์ไพรส์หล่อนมากเกินกว่าทุกครั้ง เจ้าหล่อนถลาลงมาจากเรือน พุ่งตรงเข้ากอดหญิงสาว ราวกับแสนคิดถึง แล้วปล่อยโฮ
“ปาน แกหายไปไหนมา เรา... เรานึกว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียวซะแล้ว ทำไมทิ้งกันได้ยะ นังเพื่อนบ้า”
สาวลูกครึ่งฟูมฟาย ปาระมีดันตัวเพื่อนสาวออกมองหล่อนอย่างสงสัย
“ฉันไม่ได้ทิ้งแกไปไหนเลยนะ ไปถึงปุ๊บ ไม่เห็นแก ฉันก็รีบหาทางกลับมาเลยเนี่ย”
เจนนิษาเม้มปาก เท้าสะเอวมองเพื่อนสาวอย่างเอาเรื่อง
“รีบกลับมาเหรอ 3 วันเนี่ยนะ รีบของแก นี่ถ้าแกไม่รีบ เราคงออกลูกออกหลานมันซะที่นี่เลยมั้ง”
“3 วันเหรอ...”
หญิงสาวทวนคำ
“ใช่ 3 วัน”
เจนนิษาเน้นเสียง ดวงตาเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง
“แต่ฉัน”
“เอาเถอะ ๆ พอก่อน มากินข้าวกินปลากันก่อน บ่ต้องเถียงกัน”
ลุงทองเข้ามาห้ามทัพ ก่อนจะกึ่งลากกึ่งดันสองสาวขึ้นไปทานข้าวบนเรือน
เจนนิษาดูอารมณ์เสียตลอดเวลาอาหารเช้า แม้ปาระมีจะพยายามเล่าว่าหล่อนไม่ได้แม้แต่จะก้าวเท้าออกจากวิหารวัดเลย ปลายจมูกของเจนนิษาก็ยังคงเป็นสีแดงอยู่ตลอดเวลา หล่อนทั้งสูดน้ำมูก ทำตาขวางและค้อนเพื่อนสาวทุกครั้งที่มีโอกาส จนกระทั่งลุงกับป้าออกไปจากเรือน เจนนิษาจึงเริ่มเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ตั้งแต่แกไป... รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่า…”
“เรารู้แล้ว! ฟังเราเล่าก่อนสิ”
เจนนิษาเอ็ด ปาระมีจึงเงียบ ฟังเพื่อนสาวปาดน้ำตาเล่าเรื่องอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้
“พอเรากราบพระเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเรายังนั่งอยู่ที่เดิม ปานหายไป ถามลุงทอง แกก็บอกว่าจู่ ๆ แกก็หายตัวไปอย่างน่าตกใจ แต่จริง ๆแล้วเราต่างหากที่ตกใจมากกว่า เรารอแกอยู่จนค่ำก็ไม่เห็นแกกลับมาซักที ลุงทองก็เลยชวนเรากลับมาที่นี่”
“แปลกจังเลย”
ปาระมีรำพึง ระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีของที่โน่น กินเวลาเพียง 3 วันของที่นี่เชียวหรือ หล่อนคิดอย่างใจหาย นี่ถ้าหล่อนไม่สามารถหาทางกลับมาได้ภายในวันหรือสองวัน เจนนิษาต้องติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหนกันนะ
“แกเห็นมั้ยว่าเราใส่ชุดอะไรเนี่ย”
เจนนิษาว่า ปาระมีมองตามแล้วอมยิ้ม หล่อนเพิ่งสังเกตว่า เพื่อนสาวสวมเสื้อก้อมสีขาวแบบคุณย่ายายสวมกันที่ยุคปัจจุบัน มันดูคับไปหน่อยสำหรับสาวไซส์ฝรั่งอย่างเจนนิษา แต่หญิงสาวก็สวมใส่ให้ดูเป็นแฟชั่นซึ่ง
ก็ดูรับกันดีกับผ้าซิ่นลายตีนจกที่หล่อนนำมาผูกเข้ากับสะโพกให้ดูกรุยกราย โชว์เอวขาว ๆ
“สวยดีนี่ แล้วชุดเก่าแกล่ะ ไปไหน”
เจนนิษาหน้าเบ้
“อย่าพูดถึงได้มะ ชุดจากุชชี่ของเรา ฮือ ฮือ”
“ทำไม”
“ก็ป้าคำน่ะสิ เอาไปซักให้เรา เค้าเอาอะไรซักรู้มั้ย”
“สบู่ลายล่ะมั้ง”
ปาระมีพยายามเดา เจนนิษาส่ายหน้าอย่างมีอารมณ์
“ตอนแรกเราก็คิดอย่างนั้นแหละ เลยบอกเค้าว่าไม่เอาสบู่ลายเพราะกลัวผ้าเสีย เค้า เค้าก็เลย”
หญิงสาวน้ำตาคลอ
“เค้าก็เลย...”
ปาระมีช่วยลุ้น
“เอาขี้วัวแห้งมาแช่น้ำซักให้เรา โฮ โฮ”
เจนนิษาคร่ำครวญเสียงดัง ปาระมีเข้าใจเพื่อนรักอย่างสุดซึ้งทีเดียวจึงได้แต่อ้าปากค้างทำตาปริบ ๆ และไม่พูดว่าอะไรเลยซักคำับสาวไซส์ว่าไม่เอาสบู่ลายเพราะกลัวผ้าเสีย เค้า เค้าก็เลย" ๆ
แฟชั่นซึ่ง
มกันที่กลับมาได้ภายในวันหรือสองวั
ปาระมีล่ำลาลุงทองและป้าคำอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ครั้งนี้หล่อนมั่นใจว่าจะต้องได้กลับบ้านโดยไม่มีเหตุใด ๆอีก ป้าทองลูบหลังลูบไหล่เจนนิษาอย่างเอ็นดู
“ป้าบ่ฮู้จะพูดจะใด จะได้เจอกันอีกเมื่อใดก็บ่ฮู้น่อ ถ้าได้มาอีกก็แวะมาหาป้ากับลุงเน้อที่นี่”
เจนนิษาน้ำตาซึม นั่งคอตกในชุดจากุชชี่ขี้วัวอย่างสงบเสงี่ยม ลุงทองหิ้วชะลอมใส่ลิ้นจี่มาให้ 2 ชะลอมใหญ่
“เอาไปฝากพ่อกับแม่เน่อ เสียดายที่บ่ได้ฮู้จักกัน”
เอื้องกับอินมายืนส่งใกล้ ๆ เอื้องเข้ามากอดเอวปาระมี
“พี่จะกลับแล้วกา จะมาแหมบ่ ถ้าได้มา มาดูเอื้องเน่อ ใหญ่มาเอื้องจะงามเหมือนพี่”
หญิงสาวย่อเข่าลงยิ้มให้สองพี่น้อง
“ถ้าพี่ได้มาอีก พี่จะมาเยี่ยม”
ว่าพลางปลดต่างหูหินทรายทองให้เด็กหญิง
“โตเป็นสาว ได้ใส่อันนี้งามแน่”
เด็กหญิงรับมาอย่างดีใจ
“ของอ้ายอินมีก่อ อ้ายชอบพี่สาวขนาดบอกว่าพี่สาวงามแต๊ ๆ”
เด็กหญิงว่าเสียงเจื้อยแจ้ว ผู้เป็นแม่ตีเผียะที่แขนเบา ๆ
“ว่าหยังอย่างอั้น อายเปิ้น”
ปาระมีหัวเราะในความไร้เดียงสาของเอื้อง หล่อนมองเห็นเด็กชายนั่งหลบอยู่ข้างเสาเรือน แก้มโผล่พ้นเสามาแอบดูหล่อนอย่างอาย ๆ ปาระมีไม่มีของเล่นเด็กผู้ชายติดตัวมาด้วย แต่ความรู้สึกที่คิดว่าได้มาเยือนที่นี่และจะจากไปมันแสนยิ่งใหญ่ มันเป็นมากยิ่งกว่าความฝัน ที่หล่อนอยากจะตอกย้ำกับตนเองว่า ที่แห่งนี้ คนที่นี่ เป็นของจริงและหล่อนไม่ได้เพ้อเจอหรือฝันไป หล่อนอยากจะมีอะไรสักอย่างไว้แทนตัวเอง..สำหรับที่นี่
“เอิ่ม...”
ที่ข้อมือของหล่อนสวมกำไลเงินเส้นบาง ๆ ไว้คู่หนึ่ง นอกเหนือจากสิ่งนี้ ก็ไม่เห็นจะสิ่งอื่นใดจะเหมาะสมกว่า หญิงสาวจึงถอดกำไลออกมาอันหนึ่ง แล้วยื่นให้เด็กชาย
“พี่ให้เป็นของที่ระลึกนะ อินไม่อยากใส่ก็เก็บเอาไว้”
แก้มเด็กชายแดงเรื่อ แต่ก็ไม่กล้าเดินออกมารับ ผู้เป็นน้องมองอย่างขัดตาก่อนจะเป็นผู้มาไหว้รับเอาไปเอง
“เอื้องเอาเองก่ได้”
“ของอ้าย!!”
เด็กชายพุ่งออกจากที่หลบมาคว้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไหว้ขอบคุณปาระมีขวยเขินแล้ววิ่งเข้าเรือนหายจ้อย
“สเต็บเดิม”
เจนนิษามองตามแล้วกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ปาระมีหัวเราะ ทั้งคู่ไหว้ลาป้าคำแล้วจึงตามลุงทองออกเดินทางมาที่วัดแก้วกนกอีกครั้ง
“ตอนขามาหนูเห็นเค้าถือมีด ถือค้อนเข้าวัดกันน่ะค่ะลุงทอง วันนี้มีงานอะไรรึเปล่าคะ”
ปาระมีชวนคุยระหว่างเดินทางไปสู่วัดแก้วกนก
“อ๋อ วันนี้เขาจะย้ายองค์หลวงพ่อออกจากวิหาร คงจะทุบซากวิหารออกเพราะจะสร้างใหม่”
ปาระมีตาเหลือก
“ทุบซากวิหาร เหรอคะ”
“แม่นแล้ว บ่ทุบจะสร้างใหม่ได้อย่างใด”
ลุงทองย้ำ
“งั้นเจนนี่เร็วเข้า ถ้าเขาทุบประตูไม้ออก เราจบเห่แน่”
ปาระมีคว้าข้อมือเพื่อนสาววิ่ง เสียงค้อนกระทบซากวิหารดังตึง ๆทำเอาใจหาย ทั้งสองวิ่งมาถึงหน้าวิหารเห็นชายร่างกายกำยำสองคนกำลังช่วยกันยกประตูไม้ออกจากเสา ปาระมีเหลือบมองพระพุทธรูปยังอยู่จึงรีบวิ่งขึ้นไปยังลานที่นั่งหน้าพระวิหาร
“ไปกันเถอะ ลุงทองคะ สวัสดีค่ะ”
ปาระมีนำเจนนิษาลัดเลาะซากปรักหักพังขึ้นไป ประตูกำลังถูกยกออกจากกรอบ ปาระมีฉุดมือเจนนิษากระโจนเข้าใส่ประตูทันที
“โดด!!”
กรอบประตูเลื่อนหลุดออกไปแล้ว สองสาวหลุดพรวดออกทางช่องว่างระหว่างกรอบประตูไม้ตกลงไปทางบันไดข้างวิหาร
“อูย! ก้นกบหักแน่ ๆเลย ทำไมต้องดึงเรามากระโดดกะแกด้วยเนี่ย หา!”
เจนนิษาคลำสะโพกบ่นอุบ ปาระมีลูบหน้าผาก ที่ไรผมมีรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อยพร้อมกับรอยปูดบวมผลจากการกระแทกกับขอบบันได
“บันไดเขามีไว้ให้เดิน คิดยังไงถึงได้กระโดดโหม่งลงมาล่ะ”
เสียงแหบพร่าที่คุ้นหูดังขึ้น สองสาวมองเท้าบนรองเท้าแตะคีบของชายชราไล่ขึ้นไป พบกับใบหน้าฉงน งงงวยของตาถา อดีตปู่จารย์เฒ่า แกยังคงสวมเสื้อม่อฮ่อมตัวเดิม ในมือถือตำราเก่าเล่มใหญ่
“ตา! ตาถานี่”
เจนนิษาร้องอย่างดีใจ หญิงสาวรีบลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากกางเกงหญิงสาวกวาดสายตามองรอบ ๆ ตัว ท้องฟ้าเจิดจ้าด้วยแสงตะวันยามบ่าย วิหารวัดแก้วกนกสะท้องแสงเรืองรอง เป็นวิหารที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แม้จะค่อนข้างเก่า เจนนิษาหัวเราะออกมา
“วะ ฮะ ฮะ ฮ่า ได้กลับมาแล้ว ๆ โอ! สวรรค์โปรด”
ปาระมีค่อย ๆลุกขึ้น กวาดสายตาไปรอบ ๆ วิหารอย่างโล่งใจ หล่อนกลับมาได้อีกครั้ง จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่นี่จะเป็นประสบการณ์ที่หล่อนจะจดจำไปตลอดชีวิต เพราะมันคงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่มากราบพระที่นี่เป็นแน่ หญิงสาวหันกลับมามองที่ชายชราจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด
“ตา ตาไปหาหนังสือนี่นานมั้ย”
ตาถามองหนังสือในมือ ก่อนจะยื่นให้หญิงสาว ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ก็ไม่ถึงกับ 3 วันหรอกหลานเอ๊ย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ