รอยอธิษฐาน

10.0

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.

  13 ตอน
  17 วิจารณ์
  16.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) 5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เจนนี่   เฮ้ย!   เจนนี่ อยู่ไหนน่ะ ไม่เอานะอย่าล้อเล่นสิ”

ปาระมีรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หล่อนไม่อยากนึกเลยว่า เพื่อนสาวยังคงติดอยู่ที่อดีตเมื่อ กว่า 100 ปีที่แล้ว หญิงสาวหันรีหันขวาง รู้สึกร้อนรน นี่หล่อนควรจะทำอย่างไรดี    

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมององค์พระพุทธรูปสีทองอร่ามตาตรงหน้า ท่านยังคงอยู่ในท่าทีสงบเยือกเย็น ปาระมีพยายามทำใจให้เป็นสมาธิ หล่อนพยายามคิดหาทางอย่างมีสติแต่ต้องรวดเร็ว หรือจะลองกราบพระอีกสักครั้ง ในเมื่อมันเป็นหนทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้   ปาระมีทรุดลงกราบพระอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นรัวอย่างหวาดกลัว  กลัวว่ามันจะไม่ได้ผล       

หญิงสาวก้มลงกราบครบสามครั้ง หล่อนกัดริมฝีปากแน่นอย่างระทึก ทว่า ... เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมากลับไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด ๆเลย วิหารยังคงสภาพเดิม พัดลมยังคนหมุนวน ไร้สรรพเสียงใด ๆ ที่จะบ่งบอกได้ว่ามีการเปลี่ยนของภพกาลขึ้น หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างคนสิ้นหวัง

“โธ่! เจนนี่ ฉันควรจะทำยังไงดี”

ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบนั้นสั่นระริก หล่อนลุกขึ้นเดินหมุนวนอยู่ในวิหาร ก่อนที่สายตาจะบางสิ่งเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ที่ข้างตัว… มันเป็นเงาสีดำจาง ๆ พาดผ่านเร็ว ๆ ในตัววิหาร วิหารวัดแก้วกนกในยามที่ภายนอกมีแสงแดดเจิดจ้า ปาระมีเพ่งมองตามเงาดำวูบไหวนั้นด้วยใจสั่นไหว จังหวะหนึ่งเงานั้นหยุดนิ่งที่หน้าพระประธาน ปาระมีกลั้นหายใจด้วยความตกใจ มันเป็นเงาร่างของเด็ก!! เด็กผู้หญิงผมจุกตัวเล็ก ๆ ที่หล่อนเห็นเมื่อครั้งแรกก่อนจะย้อนเวลาเข้าไปในวันที่วิหารหลวงไฟไหม้

“ไม่นะ!”

หญิงสาวอุดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมา เมื่อเงานั้นค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้ ปาระมีเอนกายหนีห่าง ขณะกำลังจะตัดสินใจวิ่งหนีออกไป เจ้าเงาร่างเล็กนั้นก็กลับเคลื่อนผ่านหน้าหล่อนไปช้า ๆ หล่อนรู้สึกถึงไอเย็นเยียบที่ลอยผ่านไปจนรู้สึกขนลุก เจ้าเงาดำเผยให้เห็นเป็นร่างจาง ๆ และค่อยแจ่มชัดขึ้นในความสลัวรางภายในวิหาร เด็กหญิงกำลังเดินกึ่งวิ่งเหยาะ ๆ ผ่านหน้าพระประธานไปหยุดที่ประตูไม้แกะสลักหน้าบันไดขึ้นลงของพระสงฆ์ข้างวิหาร ประตูไม้ที่ยังคงมีกระจกสีชาปิดไว้พรางร่องรอยดำไหม้ที่ตัวไม้รอยสลัก เด็กน้อยหันมามองหญิงสาวก่อนจะปิดปากหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหมุนตัววิ่งหายเข้าไปในบานประตูไม้แกะสลัก ปาระมีมองตามราวกับต้องมนต์สะกด กว่าจะรู้ตัว หล่อนก็พบว่าตัวเองกำลังก้าวเท้าตามเด็กหญิงไปอย่างช้า ๆ พลันก็รู้สึกถึง แรงดึงดูดที่กระจกสีชานั่น

วืด...

“กรี๊ด!!!”

ปาระมีรู้สึกเหมือนตัวเองพลัดตกจากที่สูงไปวูบหนึ่ง ปลายเท้าที่ตกลงมาจากพื้นที่ต่างระดับโซเซไปเล็กน้อย ให้ใจคอยิ่งหวั่นไหวไปอีก แต่แล้วก็มาพบว่าตนเองมายืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังอีกครั้ง....

“ฮ้า....กลับ ...กลับมาแล้ว”

หล่อนมองไปรอบ ๆตัว อากาศเย็นเยือก ฟ้าเริ่มสาง แสงแดดทออ่อน ๆ เผยให้เห็นสายหมอกจาง ๆ เหนือผิวดิน มันไม่ใช่เวลาเช้ามืดที่ร้างไร้ผู้คนอย่างเมื่อครู่นี้อีกแล้ว เสียงผู้คนเดินจ้อกแจ้กจอแจทั่วบริเวณวัด ในมือถือทั้งไม้กวาด มีด ค้อน ต่างก็แต่งกายรัดกุมมิดชิด หล่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ ไร้วี่แววของเจนนิษาและลุงทอง จึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากซากวิหารนั้น

                  หญิงสาวมองไม่เห็นหนทางอื่นนอกเสียจากจะกลับไปที่บ้านลุงทองอีกครั้ง ระยะทางนั้นไม่ไกลมากแต่หญิงสาวรู้สึกอึดกับสายตาของผู้คนที่เดินสวนกันหล่อนเข้ามาในวัด

“อีนางน้อยคนนี้อีกแล้ว เป็นอย่างใดกันมาวัดแต่เช้ามืด นอนที่วัดนี้หรือ”

เสียงหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้น ทว่าเป็นเพียงคำซุบซิบที่ไม่ได้มีเจตนาจะต้องการคำตอบจากเจ้าตัว

“นั่นสิ เห็นอีกคนที่มาด้วยกันวันก่อนโน้น กินอยู่บ้านไอ้ทองอีคำตั้งหลายวัน คนนี้มาอยู่วัดเป็นใดบ่ฮู้มาละกัน”

เสียงคู่สนทนาอีกคนหนึ่งว่า ปาระมีฟังอย่างแปลกใจ วันก่อนโน้นเชียวเหรอ เพิ่งเมื่อวานนี้เองที่หล่อนมากับเจนนิษา หญิงสาวสาวเท้าให้เร็วขึ้น ความสงสัยใคร่รู้มีมากกว่าความสนใจที่มีต่อหญิงชาวบ้านหลายคนที่เดินเปลือยอกไปมาตามข้างทาง จนเมื่อมาถึงบ้านลุงทองพบป้าคำที่พันแต่เพียงผ้าขาวม้าที่คอ ทิ้งสองถุงให้ห้อยโตงเตงข้างล่างจึงรู้สึกชินตาไปเสียแล้ว

“อ้าว! อีนาง มาตั้งแต่ยามใดนี่ พ่อมัน! พ่อมัน! อีนางน้อยกลับมาแล้ว”

ป้าคำตะโกนโหวกเหวก แววตาทั้งตื่นเต้นและแปลกใจระคนกัน

“พี่สาวคนงามมาแล้ว”

เอื้องและอินวิ่งมาจากหลังบ้าน เด็กหญิงและเด็กชายฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ใบหน้าฝรั่งยื่นออกมาจากเรือนพร้อมกับเสียงร้องกรี๊ดตามแบบฉบับเดิมที่หญิงสาวคุ้นเคยดี แต่เจนนิษาเซอร์ไพรส์หล่อนมากเกินกว่าทุกครั้ง เจ้าหล่อนถลาลงมาจากเรือน พุ่งตรงเข้ากอดหญิงสาว ราวกับแสนคิดถึง แล้วปล่อยโฮ

“ปาน แกหายไปไหนมา เรา... เรานึกว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียวซะแล้ว ทำไมทิ้งกันได้ยะ นังเพื่อนบ้า”

สาวลูกครึ่งฟูมฟาย ปาระมีดันตัวเพื่อนสาวออกมองหล่อนอย่างสงสัย

“ฉันไม่ได้ทิ้งแกไปไหนเลยนะ ไปถึงปุ๊บ ไม่เห็นแก ฉันก็รีบหาทางกลับมาเลยเนี่ย”

                  เจนนิษาเม้มปาก เท้าสะเอวมองเพื่อนสาวอย่างเอาเรื่อง

“รีบกลับมาเหรอ 3 วันเนี่ยนะ รีบของแก นี่ถ้าแกไม่รีบ เราคงออกลูกออกหลานมันซะที่นี่เลยมั้ง”

“3 วันเหรอ...”

หญิงสาวทวนคำ

“ใช่ 3 วัน”

เจนนิษาเน้นเสียง ดวงตาเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง

“แต่ฉัน”

“เอาเถอะ ๆ พอก่อน มากินข้าวกินปลากันก่อน บ่ต้องเถียงกัน”

ลุงทองเข้ามาห้ามทัพ ก่อนจะกึ่งลากกึ่งดันสองสาวขึ้นไปทานข้าวบนเรือน

เจนนิษาดูอารมณ์เสียตลอดเวลาอาหารเช้า แม้ปาระมีจะพยายามเล่าว่าหล่อนไม่ได้แม้แต่จะก้าวเท้าออกจากวิหารวัดเลย ปลายจมูกของเจนนิษาก็ยังคงเป็นสีแดงอยู่ตลอดเวลา หล่อนทั้งสูดน้ำมูก ทำตาขวางและค้อนเพื่อนสาวทุกครั้งที่มีโอกาส จนกระทั่งลุงกับป้าออกไปจากเรือน เจนนิษาจึงเริ่มเอ่ยขึ้นมาก่อน

“ตั้งแต่แกไป... รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง”

“ฉันก็บอกแล้วไงว่า…”

“เรารู้แล้ว! ฟังเราเล่าก่อนสิ”

เจนนิษาเอ็ด ปาระมีจึงเงียบ ฟังเพื่อนสาวปาดน้ำตาเล่าเรื่องอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้

“พอเรากราบพระเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเรายังนั่งอยู่ที่เดิม ปานหายไป ถามลุงทอง แกก็บอกว่าจู่ ๆ แกก็หายตัวไปอย่างน่าตกใจ แต่จริง ๆแล้วเราต่างหากที่ตกใจมากกว่า เรารอแกอยู่จนค่ำก็ไม่เห็นแกกลับมาซักที ลุงทองก็เลยชวนเรากลับมาที่นี่”

“แปลกจังเลย”

ปาระมีรำพึง ระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีของที่โน่น กินเวลาเพียง 3 วันของที่นี่เชียวหรือ หล่อนคิดอย่างใจหาย นี่ถ้าหล่อนไม่สามารถหาทางกลับมาได้ภายในวันหรือสองวัน เจนนิษาต้องติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหนกันนะ

“แกเห็นมั้ยว่าเราใส่ชุดอะไรเนี่ย”

เจนนิษาว่า ปาระมีมองตามแล้วอมยิ้ม หล่อนเพิ่งสังเกตว่า เพื่อนสาวสวมเสื้อก้อมสีขาวแบบคุณย่ายายสวมกันที่ยุคปัจจุบัน มันดูคับไปหน่อยสำหรับสาวไซส์ฝรั่งอย่างเจนนิษา แต่หญิงสาวก็สวมใส่ให้ดูเป็นแฟชั่นซึ่ง

ก็ดูรับกันดีกับผ้าซิ่นลายตีนจกที่หล่อนนำมาผูกเข้ากับสะโพกให้ดูกรุยกราย โชว์เอวขาว ๆ

“สวยดีนี่ แล้วชุดเก่าแกล่ะ ไปไหน”

เจนนิษาหน้าเบ้

“อย่าพูดถึงได้มะ ชุดจากุชชี่ของเรา ฮือ ฮือ”

“ทำไม”

“ก็ป้าคำน่ะสิ เอาไปซักให้เรา เค้าเอาอะไรซักรู้มั้ย”

“สบู่ลายล่ะมั้ง”

ปาระมีพยายามเดา เจนนิษาส่ายหน้าอย่างมีอารมณ์

“ตอนแรกเราก็คิดอย่างนั้นแหละ เลยบอกเค้าว่าไม่เอาสบู่ลายเพราะกลัวผ้าเสีย เค้า เค้าก็เลย”

หญิงสาวน้ำตาคลอ

“เค้าก็เลย...”

ปาระมีช่วยลุ้น

“เอาขี้วัวแห้งมาแช่น้ำซักให้เรา โฮ โฮ”

เจนนิษาคร่ำครวญเสียงดัง ปาระมีเข้าใจเพื่อนรักอย่างสุดซึ้งทีเดียวจึงได้แต่อ้าปากค้างทำตาปริบ ๆ และไม่พูดว่าอะไรเลยซักคำับสาวไซส์ว่าไม่เอาสบู่ลายเพราะกลัวผ้าเสีย เค้า เค้าก็เลย" ๆ

แฟชั่นซึ่ง

มกันที่กลับมาได้ภายในวันหรือสองวั

                 

                  ปาระมีล่ำลาลุงทองและป้าคำอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ครั้งนี้หล่อนมั่นใจว่าจะต้องได้กลับบ้านโดยไม่มีเหตุใด ๆอีก ป้าทองลูบหลังลูบไหล่เจนนิษาอย่างเอ็นดู

“ป้าบ่ฮู้จะพูดจะใด จะได้เจอกันอีกเมื่อใดก็บ่ฮู้น่อ ถ้าได้มาอีกก็แวะมาหาป้ากับลุงเน้อที่นี่”

เจนนิษาน้ำตาซึม นั่งคอตกในชุดจากุชชี่ขี้วัวอย่างสงบเสงี่ยม ลุงทองหิ้วชะลอมใส่ลิ้นจี่มาให้ 2 ชะลอมใหญ่

“เอาไปฝากพ่อกับแม่เน่อ เสียดายที่บ่ได้ฮู้จักกัน”

เอื้องกับอินมายืนส่งใกล้ ๆ เอื้องเข้ามากอดเอวปาระมี

“พี่จะกลับแล้วกา จะมาแหมบ่ ถ้าได้มา มาดูเอื้องเน่อ ใหญ่มาเอื้องจะงามเหมือนพี่”

หญิงสาวย่อเข่าลงยิ้มให้สองพี่น้อง

“ถ้าพี่ได้มาอีก พี่จะมาเยี่ยม”

ว่าพลางปลดต่างหูหินทรายทองให้เด็กหญิง

“โตเป็นสาว ได้ใส่อันนี้งามแน่”

เด็กหญิงรับมาอย่างดีใจ

“ของอ้ายอินมีก่อ อ้ายชอบพี่สาวขนาดบอกว่าพี่สาวงามแต๊ ๆ”

เด็กหญิงว่าเสียงเจื้อยแจ้ว ผู้เป็นแม่ตีเผียะที่แขนเบา ๆ

“ว่าหยังอย่างอั้น อายเปิ้น”

ปาระมีหัวเราะในความไร้เดียงสาของเอื้อง หล่อนมองเห็นเด็กชายนั่งหลบอยู่ข้างเสาเรือน แก้มโผล่พ้นเสามาแอบดูหล่อนอย่างอาย ๆ ปาระมีไม่มีของเล่นเด็กผู้ชายติดตัวมาด้วย แต่ความรู้สึกที่คิดว่าได้มาเยือนที่นี่และจะจากไปมันแสนยิ่งใหญ่ มันเป็นมากยิ่งกว่าความฝัน ที่หล่อนอยากจะตอกย้ำกับตนเองว่า ที่แห่งนี้ คนที่นี่ เป็นของจริงและหล่อนไม่ได้เพ้อเจอหรือฝันไป หล่อนอยากจะมีอะไรสักอย่างไว้แทนตัวเอง..สำหรับที่นี่

“เอิ่ม...”

ที่ข้อมือของหล่อนสวมกำไลเงินเส้นบาง ๆ ไว้คู่หนึ่ง นอกเหนือจากสิ่งนี้ ก็ไม่เห็นจะสิ่งอื่นใดจะเหมาะสมกว่า หญิงสาวจึงถอดกำไลออกมาอันหนึ่ง แล้วยื่นให้เด็กชาย

“พี่ให้เป็นของที่ระลึกนะ อินไม่อยากใส่ก็เก็บเอาไว้”

แก้มเด็กชายแดงเรื่อ แต่ก็ไม่กล้าเดินออกมารับ ผู้เป็นน้องมองอย่างขัดตาก่อนจะเป็นผู้มาไหว้รับเอาไปเอง

“เอื้องเอาเองก่ได้”

“ของอ้าย!!”

เด็กชายพุ่งออกจากที่หลบมาคว้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไหว้ขอบคุณปาระมีขวยเขินแล้ววิ่งเข้าเรือนหายจ้อย

“สเต็บเดิม”

เจนนิษามองตามแล้วกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ปาระมีหัวเราะ ทั้งคู่ไหว้ลาป้าคำแล้วจึงตามลุงทองออกเดินทางมาที่วัดแก้วกนกอีกครั้ง

 

                  “ตอนขามาหนูเห็นเค้าถือมีด ถือค้อนเข้าวัดกันน่ะค่ะลุงทอง วันนี้มีงานอะไรรึเปล่าคะ”

ปาระมีชวนคุยระหว่างเดินทางไปสู่วัดแก้วกนก

“อ๋อ วันนี้เขาจะย้ายองค์หลวงพ่อออกจากวิหาร คงจะทุบซากวิหารออกเพราะจะสร้างใหม่”

ปาระมีตาเหลือก

“ทุบซากวิหาร เหรอคะ”

“แม่นแล้ว บ่ทุบจะสร้างใหม่ได้อย่างใด”

ลุงทองย้ำ

“งั้นเจนนี่เร็วเข้า ถ้าเขาทุบประตูไม้ออก เราจบเห่แน่”

ปาระมีคว้าข้อมือเพื่อนสาววิ่ง เสียงค้อนกระทบซากวิหารดังตึง ๆทำเอาใจหาย ทั้งสองวิ่งมาถึงหน้าวิหารเห็นชายร่างกายกำยำสองคนกำลังช่วยกันยกประตูไม้ออกจากเสา ปาระมีเหลือบมองพระพุทธรูปยังอยู่จึงรีบวิ่งขึ้นไปยังลานที่นั่งหน้าพระวิหาร

“ไปกันเถอะ ลุงทองคะ สวัสดีค่ะ”

ปาระมีนำเจนนิษาลัดเลาะซากปรักหักพังขึ้นไป ประตูกำลังถูกยกออกจากกรอบ ปาระมีฉุดมือเจนนิษากระโจนเข้าใส่ประตูทันที

“โดด!!”

กรอบประตูเลื่อนหลุดออกไปแล้ว สองสาวหลุดพรวดออกทางช่องว่างระหว่างกรอบประตูไม้ตกลงไปทางบันไดข้างวิหาร

 

                 

“อูย! ก้นกบหักแน่ ๆเลย ทำไมต้องดึงเรามากระโดดกะแกด้วยเนี่ย หา!”

เจนนิษาคลำสะโพกบ่นอุบ ปาระมีลูบหน้าผาก ที่ไรผมมีรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อยพร้อมกับรอยปูดบวมผลจากการกระแทกกับขอบบันได

“บันไดเขามีไว้ให้เดิน คิดยังไงถึงได้กระโดดโหม่งลงมาล่ะ”

เสียงแหบพร่าที่คุ้นหูดังขึ้น สองสาวมองเท้าบนรองเท้าแตะคีบของชายชราไล่ขึ้นไป พบกับใบหน้าฉงน งงงวยของตาถา อดีตปู่จารย์เฒ่า แกยังคงสวมเสื้อม่อฮ่อมตัวเดิม ในมือถือตำราเก่าเล่มใหญ่

“ตา! ตาถานี่”

เจนนิษาร้องอย่างดีใจ หญิงสาวรีบลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากกางเกงหญิงสาวกวาดสายตามองรอบ ๆ ตัว ท้องฟ้าเจิดจ้าด้วยแสงตะวันยามบ่าย วิหารวัดแก้วกนกสะท้องแสงเรืองรอง เป็นวิหารที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แม้จะค่อนข้างเก่า เจนนิษาหัวเราะออกมา

“วะ ฮะ ฮะ ฮ่า ได้กลับมาแล้ว ๆ โอ! สวรรค์โปรด”

ปาระมีค่อย ๆลุกขึ้น กวาดสายตาไปรอบ ๆ วิหารอย่างโล่งใจ หล่อนกลับมาได้อีกครั้ง จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่นี่จะเป็นประสบการณ์ที่หล่อนจะจดจำไปตลอดชีวิต เพราะมันคงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่มากราบพระที่นี่เป็นแน่ หญิงสาวหันกลับมามองที่ชายชราจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด

“ตา ตาไปหาหนังสือนี่นานมั้ย”

ตาถามองหนังสือในมือ ก่อนจะยื่นให้หญิงสาว ยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ก็ไม่ถึงกับ 3 วันหรอกหลานเอ๊ย”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา