รอยอธิษฐาน

10.0

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.

  13 ตอน
  17 วิจารณ์
  16.64K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            

หลังมื้อเย็นผ่านไปอย่างอิ่มหนำ สองสาวมานั่งเล่นที่ชานเรือน ทั้งสองสวม ‘เสื้อก้อม’ สีขาวของป้าคำพันทับด้วยผ้าขาวม้าคนละผืนกันลมหนาว พูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ กับสองลุงป้าผู้ใจดี ปาระมีครุ่นคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หล่อนคิดถึงวิหารวัดแก้วกนกที่จู่ ๆ ก็หายไปกับไฟไหม้ทั้งหลัง ขณะที่หล่อนอยู่ในวิหารหลวง ไฟไม่ได้กดำลังไหม้ แต่มันมอดดับลงแล้ว เหลือเพียงซากเศษปรักหักพังของวิหารหลวง มันไหม้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือตั้งแต่เมื่อร้อยปีที่แล้ว ที่หล่อนกับเจนนิษาอ่านเจอในหนังสือ

                  “ปีนี้มันปีพ.ศ.อะไรคะ ลุงทอง”

                  ปาระมีรีบถามทันทีที่นึกขึ้นได้

                  “อ้าว! บ่ฮู้วันฮู้ปีกันเลยกานี่ ฮ่า ๆ ปีนี้มันก่ปี พ.ศ. 2459 แล้ว เพิ่งฉลองปีใหม่กันไปบ่าเมินนี้เอง”

                           เหมือนไฟในดวงตาของปาระมีถูกจุดให้สว่างพรึ่บขึ้นมา พ.ศ. 2459  นั่นมันเมื่อร้อยปีที่แล้ว ร้อยปี ที่เคยเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นที่วิหารหลวงวัดแก้วกนก หญิงสาวสบตากับเจนนิษา รู้กันจากแววตา ว่า เรื่องที่ลุงทองพูดมานั้นมันกำลังอยู่ในความสงสัยของหล่อนแต่แรกอยู่พอดี หล่อนย้อนอดีตมาได้

หล่อนย้อนเวลากลับมาเมื่อร้อยปีที่แล้ว แล้วเรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นกับหล่อนได้อย่างไรกัน

ปาระมีคิดถึงในตอนที่กราบพระ การกราบพระทั้งสองครั้งของหล่อนล้วนไม่เป็นปกติ มีวิญญาณเด็กผู้หญิงอยู่ร่วมกับหล่อนด้วยทุกครั้ง หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหล่อนและเจนนิษาในครั้งนี้ จะเป็นฝีมือของผีเด็กนั่น

                  แล้ว เจ้าวิญญาณเด็กนั่น ต้องการอะไรจากหล่อนกัน จึงได้พาพวกหล่อนย้อนเวลามาแบบนี้

“เอ่อ...ลุงทองคะหนูอยากรู้เรื่องไฟไหม้วัดนี้ค่ะ ลุงพอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ”

ปาระมีตัดสินใจถาม ด้วยปักใช่เชื่อแน่ว่า ที่มาของผีเด็กต้องเกิดจากไฟไหม้วิหารแน่ ไม่อย่างนั้น เจ้าผีนั่น ..จะพาหล่อนมาที่นี่ทำไม ลุงทองฟังแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ หันไปจุดบุหรี่มวนใบตองขึ้นสูบ พ่นควันขาวลอยฟุ้ง

“ลุงก็บ่ฮู้อะหยังนักดอก ไฟมันไหม้ตั้งกะวานซืน โหมแรงเสียจนหลังคาวิหารมอดหมด คิดแล้วก่ใจหาย เพิ่งสร้างมาได้บ่กี่ปีนี้เอง เจ้าคำสิงห์ท่านใจบุญนักอุตส่าห์ถวายเงินตั้งมากมายสร้างวิหาร นี่ข่าวว่าลูกท่านหายไปตอนไฟไหม้นี้ ไม่รู้ว่าหาเจอกันรึยัง”

ปาระมีหูผึ่ง

“ลูกเจ้าคำสิงห์หายไปเหรอคะ เป็นเด็กผู้หญิงประมาณ 4 ขวบ ไว้ผมจุกแบบเอื้องนี่ใช่มั้ยคะ”

หญิงสาวพูดรัวเร็ว ลุงทองจ้องหน้า

“ไปฮู้ที่ไหนมา บ่แม่นดอก ลูกเจ้าคำสิงห์เพิ่งเกิด ได้ไม่กี่เดือนเอง เป็นเด็กแฝดนะ หายไปทั้งคู่เลย”

ลุงทองถอนใจอีกครั้ง พ่นควันสีขาวขึ้นบนอากาศราวกับจะระบายความอัดอั้นในใจ

“เด็กแฝด...”

ปาระมีทวนคำขมวดคิ้ว เจนนิษามองหน้า

“แกเห็นกี่คนล่ะ”

“แค่คนเดียว   ทำผมแบบเอื้องนี่เลย แต่เด็กมาก”

เสียงเด็กผู้ชายร้องลั่นที่หน้าลานบ้าน ขัดบทสนทนาของคนบนเรือนด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ป้าคำรีบลุกพรวดพราดลงจากเรือน

“เป็นอะหยัง ไอ้อิน เป็นอะหยังร้องเสียงดังเลย”

ผู้เป็นแม่ร้องเสียงสั่น ปาระมีลุกวิ่งตามไปด้วย ทันเห็นเจ้าอิน ลูกชายคนโตวัย 10 ปี ของลุงทองนอนตัวงออยู่บนพื้นดินลานบ้าน มือที่กุมเข่าไว้มีเลือดไหลอาบมือ

“เป็นอะไรไอ้อิน เอ็งตกต้นไม้รึไงนั่น”

“โอ๊ย! อีแม่ งู งู มันอยู่บนต้นไม้”

เด็กชายชี้มือปากบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ป้าคำหน้าถอดสี รีบถลาเข้าพยุงเด็กชาย

“โดนงูขบหรือ กูว่าแล้ว ๆ ฮ้ายอย่างยักษ์ [1] ไหน เอ็งเจ็บตรงไหนบ้าง ฮึ”

“บ่ได้ขบแม่ เฮาตกใจเลยตกลงมา งูมันบ่ได้ขบ”

ป้าเอามือทาบอก

“กูตกใจซิ่นเกือบหลูด (หลุด)”

“มานี่มา พี่จะพาไปล้างแผลก่อน”

ปาระมีว่าพลางช่วยจับแขนอินขึ้นเรือน เด็กชายเหลือบมองหน้าหญิงสาวอาย ๆ เมื่อหล่อนพาเขามานั่งบนเรือน หญิงสาวก็กระวีกระวาดลงไปตักน้ำใส่ขันขึ้นมาให้

“ล้างดินล้างฝุ่นออก เช็ดให้แห้ง พอจะมียาอะไรใส่ได้ไหมคะ”

ปาระมีเคยไปเป็นอาสาดูแลผู้ป่วยตอนเรียนที่สิงคโปร์ แต่ตอนนั้นต่างกันกับที่นี่มาก เครื่องไม้เครื่องมือครบครัน หยูกยาพร้อมสรรพ

“เดี๋ยวเอาใบสาบเสือมาให้”

เด็กชายรีบชักขาหนี หน้าบิดเบี้ยวเหยเกเตรียมจะร้องไห้

“บ่เอาแม่ บ่เอา มันแสบ”

ป้าคำเขยิบเข้าแทนที่ปาระมี จับขาลูกชายแน่นและกัดยิ้มเบา ๆ

“แหม ทีสาวจับทำเป็นยิ้มหวาน ทีแม่จับบ้างละหุยดังลั่นเลยนะไอ้อิน สลิดนัก”

เด็กชายเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะกลับมามีสมาธิกับใบสาบเสือในมือของผู้เป็นแม่แทน ปาระมีเห็นเขากัดริมฝีปากเบ้หน้าอย่างเจ็บปวด ขณะที่ป้าคำเอาใบสาบเสือขยี้จนแหลกแล้วเอาไปโปะที่แผล หนเาเด็กน้อยซีดเผือดแต่กลับไม่ส่งเสียงร้องใด ๆ ออกมา เขาอดทนกระทั่งแม่พันผ้าปิดแผลเสร็จ ก็รีบวิ่งปร๋อเข้าห้องไป

“ท่าจะอายสาวแต๊ ๆ ”

ลุงทองหัวเราะ เจนนิษาทำปากยื่น

“ทีเมื่อเย็น ยังไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย พิลึกเด็ก เด็กโบราณ”

คำหลังหล่อนพูดเบาเหมือนกระซิบ

“พรุ่งนี้หนูจะกลับไปที่วัดอีกรอบ เผื่อหนูจะหาทางกลับบ้านได้”

ปาระมีหันกลับมาคุยกับลุงทองอีกครั้ง หล่อนมาได้ หล่อนก็ต้องกลับได้ในทางเดิมนั่นแหละ

“ลุงบ่เข้าใจเลยเรื่องบ้านของอีนางน้อย ถามว่าอยู่ตรงไหนของวัดก็บ่แม่นซักอย่าง แล้วจะกลับอย่างใดจึงต้องไปผ่านวัดน่ะ ฮึ”

“บ้านหนูไกลกว่านั้นแน่ ๆค่ะลุง ทั้งไกลและทั้งใกล้”

หลวงพ่อแก้วกนกยังตระหง่านงามอยู่บนวิหารหลวง ต่อให้ไฟไหม้จนไม่เหลือความเป็นวิหารอยู่เลย แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของวัดแก้วกนกก็สำคัญตรงตัววิหารไม่ ตราบใดที่หลวงพ่อยังอยู่ หล่อนก็จะไปกราบท่าน ให้ท่านช่วยส่งหล่อนกลับไปยังที่ที่หล่อนมา...

 

                  เช้าวันรุ่งขึ้นสองสาวผลัดผ้าให้เป็นชุดเดิมของตัวเอง หญิงสาวปฏิเสธอาหารเช้าเพื่อจะออกไปวัดตั้งแต่เช้ามืด พวกหล่อนไม่อยากเจอชาวบ้านช่างสอดส่องพวกนั้นอีก ลุงทองจึงจำใจเดินมาส่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

บริเวณวัดแก้วกนกเงียบสงัด ซากวิหารดูเหมือนร่อยรอยความยิ่งใหญ่ในอดีตที่คงเหลือแต่ความทรงจำ ลุงทองมองภาพนั้นอย่างเศร้าสร้อย ปาระมีอยากบอกลุงทองเหลือเกินว่าเมื่อเวลาผ่านไป วิหารก็จะกลับมาคงความงดงามเหมือนเดิม เพราะหญิงสาวก็จำได้ดีว่าในหนังสือประวัติวัดแก้วกนกบอกเอาไว้ว่า วัดแก้วกนกใช้เวลาบูรณะหลังจากการไฟไหม้ในเวลาอันรวดเร็วมาก

สองสาวพยายามลัดเลาะซากเถ้าถ่านและหาทางเพื่อขึ้นไปนั่งตรงลานหน้าองค์พระพุทธรูปได้สำเร็จ

“ลองดูนะ กราบพระให้ครบสามครั้ง ฉันมั่นใจว่ามาได้แบบนี้ เราก็ต้องกลับได้ในแบบเดียวกัน”

ปาระมีบอกเพื่อน หล่อนหันไปด้านหลัง เห็นลุงทองยืนดูอยู่อย่างตั้งใจ หญิงสาวยิ้มให้จาง ๆ

สองสาวพร้อมในท่าคุกเข่า พยายามกราบพระให้พร้อมกัน

กราบ 1...

กราบ 2…

กราบ 3...

ปาระมีก้มหน้าเงียบ หูคอยเงี่ยฟังสรรพเสียงรอบข้าง หญิงสาวค่อย ๆลืมตาและเงยหน้าขึ้น แสงสว่างส่องลอดผ่านทางหน้าต่างเจิดจ้าแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นเวลาเช้ามืดอีกต่อไป เสียงพัดลมเพดานหมุนขวับ ๆ บ่งบอกให้เห็นถึงภพกาลปัจจุบันที่หล่อนได้กลับมาแล้ว..

“ฉันว่าแล้วว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับประตูไม้บานนี้   เฮ้อ! ได้กลับมาเสียที”

หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนอย่างลิงโลด ยืนมองดูหลังคาวิหารที่สมบูรณ์แบบอย่างมีความสุข ไม่มีซากเสาไม้ เศษเถ้าถ่าน นี่คือวิหารวัดแก้วกนก ในหมู่บ้านที่มีพ่อแม่ของหล่อน นี่คือปัจจุบันที่หล่อนกำลังจะได้กลับบ้านจริง ๆ หญิงสาวปราดคว้ากระเป๋าถือข้างตัวแล้วรีบก้าวเดินออกจากพระวิหาร ก่อนจะชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไป ที่หน้าประธาน แล้วพบว่า   เจนนิษาไม่ได้อยู่ในวิหารนี้ด้วย...

 

[1] เกเรมาก ในที่นี้ เป็นสำนวน หมายถึง ซนเหมือนลิง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา