7Swords
9.6
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
31 chapter
3 วิจารณ์
28.72K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) Question
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 5 Question
เอริคดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดจมูกของเขาพลางมองไปยังภาพของร่างนับพันที่ไหม้เกรียมเป็นตอตะโก ภาพของศพพวกเชลยถูกสายฟ้าช็อตตายทั้งๆถูกมัดอยู่นั้นทำเอาเขาต้องหรี่ตามอง
“ให้ตายสิ ทำเอาเหล้ากร่อยไปเลย” เอริคพูดหลังจากเทเหล้าเข้าปากและบ้วนออกมา “เอเคลเซธ.....”
เอริคหันมาหาลูกชายของเขาผู้ซึ่งพยักหน้าและลงจากม้า เขาย่นจมูกเดินท่อมๆไปท่ามกลางหมู่ศพพร้อมกับทหารอีกหลายคน พลางพลิกพิจารณาดูร่างเหล่านั้น
“พี่เอเคล ทำอะไรน่ะ -- รีบไปกันเถอะน่า” ลีโอไนดัสร้องเรียกขณะที่เอเคลเซธตรวจดูศพไหม้เกรียมศพหนึ่ง “เกิดมันกลับมาจะทำยังไงกัน?” เด็กหนุ่มจมูกย่น กลิ่นเนื้อไหม้ทำเอาเขารู้สึกอยากอาเจียนเป็นอย่างมาก แม้มันจะกลิ่นคล้ายกับเนื้อไก่ย่างที่เขาเคยกิน แต่มันให้ความรู้สึกคนละแบบเลยทีเดียว
“เงียบแล้วก็ดู เรียนรู้งานเสียบ้าง ลีโอไนดัส” เอริคซับหัวล้านของเขา พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วๆ ตั้งแต่บนฟ้า ศพ และอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ *“The words may change, but body never tells a lie” เขาเชิดม้า นำหน้าไปก่อนเมื่อเห็นเอเคลเซธเดินกลับมาที่ม้า พวกเขามุ่งหน้าลงใต้สู่เมืองพ็อตเทอร์รี่ทันที
“เท่าที่ตรวจดูจากศพพวกนั้น ไม่มีตราประทับทาสอะไรเลยครับ” เอเคลเซธขี่ม้ามาข้างๆพ่อของเขาผู้ซึ่งเทเหล้าให้กับลูกชายใช้ล้างมือ “กล้ามเนื้อบ่งบอกว่าผ่านการฝึกมาอย่างดี แต่ไม่มีของที่ใช้ยืนยันสถานะอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเกราะหรืออาวุธ..... ไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลย”
“คิดว่าในค่ายของพวกมันจะมีมั้ย?” แม่ทัพโคล์ดี้ทำหน้าเฉยชามากขณะล้างมือ
“ถ้ามีเวลากับกำลังพลมากกว่านี้ การเข้าไปตรวจก็ถือเป็นอะไรที่ข้าอยากทำเป็นอย่างแรก” เอริคเอ่ย ขณะกรอกเหล้าเข้าปาก “แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เรารีบไปจากที่นี่จะดีกว่า” เขาเสริมตัวสั่นหน่อยๆ
“ท่านลุงครับ อัศวินนั่น......” ลีโอไนดัสเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ
“เห็นชัดๆว่า มาปิดปากพวกเชลยนั่น” เขาพูดพลางปาดเหล้าที่ไหลหกจนถึงคาง
“ทำไม ไอ้นั่นถึงไม่เข้ามากำจัดเราล่ะครับ?” เด็กหนุ่มถามต่อ
“ก็เป็นไปได้ในหลายๆอย่าง” เอริคตอบเบาๆ แต่ไม่ขยายความต่อ เด็กหนุ่มเห็นเขาเอาแต่กรอกเหล้าเข้าปาก จึงหันไปหาเอเคลเซธ ผู้ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด
“จากความเป็นไปได้ที่ข้าคิด” เขาเอ่ยช้าๆ “อัศวินนั่น อาจจะไม่ได้อยากกำจัดเราด้วยตัวเอง ถ้ากองทัพนั่นถูกจ้างมาเพื่อจัดการกับเรา ก็คงเป็นเขานั่นแหละที่ว่าจ้าง -- และเมื่อเห็นว่าทหารกำลังจะคายข้อมูล ก็รีบชิงปิดปากแล้วหนีไป......” ชายหนุ่มหันไปมองพ่อของเขาซึ่งไม่ขยายความต่อ เขาหันไปมองแม่ทัพโคล์ดี้ที่ขบกรามแน่น ราวกับมีเรื่องที่อยากรู้แต่ไม่อยากถาม
“แล้ว..... ท่านพี่ เห็นดาบของอัศวินนั่นมั้ย?” ลีโอไนดัสถามคำถามที่ทุกคนทั้งอยากและไม่อยากรู้ในเวลาเดียวกัน
“......เห็น..... -- ” เอเคลเซธตอบช้าๆ โดยพยายามจะไม่สบตาใคร
“ท่านพี่ว่า..... มันใช่ไหม?” เด็กหนุ่มถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่อะไร.....” เอเคลเซธถ่วงเวลา เขารู้ว่าลีโอไนดัสหมายถึงอะไร เพียงแต่เขาไม่อยากยอมรับ และรู้สึกปฏิเสธที่จะยอมรับ
“เอ้า -- ” เด็กหนุ่มร้องอย่างโมโห “ก็ดาบนั่น.... มันต้องใช่แน่ๆ หนึ่งในดาบศักดิ์สิทธิ์.... -- หนึ่งในเซเว่นซอร์ดส์!!”
พวกทหารรู้สึกเกร็งขึ้นมา ความเครียดทวีขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ไม่มีใครมองใคร ต่างคนต่างขี่ม้าอย่างเงียบๆ เอเคลเซธหันหน้าช้าๆไปหาลีโอไนดัส
“เจ้าคิดแบบนั้นหรือ?”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว!!” ลีโอไนดัสตอบอย่างแน่วแน่ “ดาบนั่นรูปทรงแปลกๆ แถมมีสายฟ้าไหลดังเปรี๊ยะๆเลย แล้วก็ยังปล่อยสายฟ้าออกมาได้ด้วย!!” เด็กหนุ่มเสริมด้วยอาการตื่นเต้น
“สมมุติว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ......” เอเคลเซธชำเลืองไปยังพ่อของเขาที่ยังคงไม่ยอมหันมามองลีโอไนดัส เอเคลเซธ จึงถามต่อว่า “เจ้าคิดว่าอัศวินเกราะดำนั่นเป็นใครมากจากไหน -- ด้วยพลังสายฟ้าที่มี..... จะจำนวนกองทัพไหนๆต่อให้มาเป็นล้านก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา..... เรื่องเอาชนะสงครามคงจะเป็นเรื่องง่ายมากเลยทีเดียวถ้ามีดาบนั่น แล้วทำไมเราไม่เคยได้ยินตำนานของดาบที่ปล่อยสายฟ้าได้? ทำไมมันเพิ่งโผล่ออกมาตอนนี้?”
ลีโอไนดัสอ้ำอึ้ง เด็กหนุ่มไม่อาจตอบคำถามได้
**“Aquestion leads to another question…..” เอริคตอบเสียงยานๆ ราวกับเมาได้ที่ “อาจจะมีความเป็นไปได้เรื่องจำนวนครั้งในการใช้พลังที่ทำให้หมอนั่นเลิกไล่ล่าเรา”
“แล้วเรื่องตำนานดาบศักดิ์สิทธิ์ล่ะ” แม่ทัพโคล์ดี้โพล่งออกมาราวกับไม่อาจอดกลั้นคำถามไว้ในใจได้อีกต่อไป “ทำไมมันถึงโผล่มาเอาตอนนี้.... ต่อหน้าพวกเรา -- ทำไมเราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน!?”
“ท่านแม่ทัพ......” เอริคเอ่ยพลางยกเหล้าขึ้นดื่มก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้าท่านเป็นนักพนันท่านจะเผยไพ่ที่ดีที่สุดเมื่อไหร่ล่ะ?” แล้วพวกเขาก็เดินทางต่อไปเงียบๆโดยไม่มีใครพูดจา.....
เลยถึงยามบ่ายที่ยังคงหนาวเหน็บนอกเขตเมืองพ็อตเทอร์รี่ ปรากฏกองกำลังอารักขาที่มีรถม้าหรูหราแล่นอยู่ หน้าต่างรถม้าปิดสนิททุกบ้าน สตรีที่นั่งอยู่ด้านในตัวโอนเอียงไปมาเล็กน้อยตามถนนที่ขรุขระ ใบหน้าสวยของเธอนิ่งสงบ เธอกำลังหลับตา ราวกับกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
“เลดี้โรส” เสียงของหัวหน้าองครักษ์เอ่ยจากด้านหน้ารถม้า “เราจะพักหมู่บ้านข้างหน้านี้ก่อนนะขอรับ”
“......ได้” เสียงอันไพเราะตอบกลับมาเบาๆ หัวหน้าทหารสั่งให้กองอารักขาช้าลงก่อนจะจอดถามชาวนาวัยชราที่กำลังนั่งพักอยู่นอกใต้ร่มไม้ เขากำลังผิงแดดและดูดควันจากกล้องสูบ
“ตาแก่.... หมู่บ้านข้างหน้านี้มีโรงเตี๊ยมหรือไม่ -- ”
“โรงเตี๊ยมเรอะ!!” ชายแก่หัวเราะก๊ากๆ ทำเอาควันออกจากปากของเขาเป็นริ้วๆ “จะขำตาย บ้านนอกอย่างนี้จะไปหาโรงเตี๊ยมที่ไหนล่ะไอ้หนุ่ม!! ถ้าเป็นร้านเหล้าล่ะก็มีอยู่หรอก -- ”
“มีที่ไหนรองรับแขกหรือเปล่า” หัวหน้าองครักษ์หรี่ตาลงอย่างไม่พอใจกับท่าทีของชายชรา
“ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านสิ” ชายแก่พูดพลางลุกขึ้นยืน เขาชี้มือไปยังบ้านที่มีปล่องไฟสองปล่อง ใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นๆเล็กน้อย
“ขอบใจ -- ” องครักษ์ตอบเสียงขุ่นก่อนจะสั่งให้เดินทัพต่อไป และโยนถุงเงินลงตรงหน้าของชายแก่ แต่ชาวนาผู้นั้นมีท่าทีเกรี้ยวกราด เขาหยิบถุงเงินและปากลับมาที่หัวหน้าองครักษ์
“เก็บไว้เผาศพพ่อแกเถอะ -- !!” ชายชราตะโกนเสียงดัง เผยให้เห็นฟันหน้าที่เหลือไม่กี่ซี่
หัวหน้าองครักษ์ผุดลุกจากที่นั่ง
“พอที!!” เสียงดังมาจากด้านในรถม้า “หยุดซิ.....” เมื่อรถม้าหยุดอีกครั้ง เลดี้โรสก็เดินลงมา เธอตรงเข้าไปหาชายชราที่ยืนกอดอกใบหน้าแสดงอาการหาเรื่องเต็มที่
“เลดี้ -- ” พวกทหารทำท่าจะตามมาแต่เธอยกมือห้ามไว้
“ข้าต้องขออภัยท่านผู้เฒ่า ในความไร้มารยาทของทหารของข้า” เธอกล่าวอย่างนอบน้อม “ได้โปรดอย่าตำหนิพวกเขาเลย.... พวกเขาถูกฝึกมาให้ไม่ยอมใคร -- ”
“พอเข้าใจได้” ชายชราเอ่ยอย่างไว้ตัว แต่สงวนท่าทีลง “เมื่อก่อนข้าก็เคยเป็นทหาร ข้าก็เป็นแบบนี้แหละ....”
“ถ้าอย่างไร ข้าขอขอบคุณในความช่วยเหลือของท่านผู้เฒ่านะคะ” เธอพยักหน้าเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มให้ ชายชราถอดหมวกพร้อมกับค้อมหัวให้
“ด้วยความยินดี นายหญิง.....” แล้วเลดี้โรสก็เดินกลับขึ้นไปยังรถม้าและก็ออกเดินทางไปยังบ้านที่ชายชราบอก
“นายหญิง..... ท่านเป็นผู้สูงศักดิ์ แถมเป็นบุตรีขุนนางชั้นสูง.... ทำไมถึงต้องลดตัวไปขอบคุณราษฎรไร้การศึกษาแบบนั้นด้วย?” หัวหน้าองครักษ์เอ่ยถามโดยไม่สนว่ารถม้าจะออกห่างจากชายชราคนนั้นไกลพอหรือยัง
“เรื่องนี้ เจ้าเป็นคนผิด” เธอตอบกลับมาจากด้านในรถม้า เธอนั่งหลับตาอีกครั้ง “เจ้าขอความช่วยเหลือเขา แต่แสดงท่าทีแบบนั้นกับเขา หากยังทำแบบนี้ต่อไป เจ้าก็เป็นได้แค่ทหารอยู่แบบนี้นั่นแหละ”
“ข้าน้อย ขอโทษขอรับ.... นายหญิง....” หัวหน้าองครักษ์เอ่ย
“ใช่......” เลดี้โรสลืมตาขึ้น “คนผิด..... ต้องขอโทษ.....” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกลับ
*“The words may change, but body never tells a lie” Aric Quote: “ลมปากนั้นเปลี่ยนได้ แต่ร่างกายนั้นไม่มีวันโกหก”
**“Aquestion leads to another question…..” Aric Quote: “คำถามหนึ่งนำไปสู่อีกหลายคำถาม.......”
เอริค ตอบแทนลีโอไนดัสที่ไม่อาจตอบคำถามของเอเคลเซธได้ เพื่อเป็นการปัดไปว่า เรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลังจะดีกว่า เพราะขวัญกำลังใจของทหารในตอนนี้ ไม่อาจทำใจรับเรื่องยากๆได้ดีเท่าไหร่นัก เพราะทุกคนต่างช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และต่างหวาดกลัวกับศัตรูที่ไม่รู้ที่มาและยังมีอำนาจที่พวกเขาไม่มี
เอริคดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดจมูกของเขาพลางมองไปยังภาพของร่างนับพันที่ไหม้เกรียมเป็นตอตะโก ภาพของศพพวกเชลยถูกสายฟ้าช็อตตายทั้งๆถูกมัดอยู่นั้นทำเอาเขาต้องหรี่ตามอง
“ให้ตายสิ ทำเอาเหล้ากร่อยไปเลย” เอริคพูดหลังจากเทเหล้าเข้าปากและบ้วนออกมา “เอเคลเซธ.....”
เอริคหันมาหาลูกชายของเขาผู้ซึ่งพยักหน้าและลงจากม้า เขาย่นจมูกเดินท่อมๆไปท่ามกลางหมู่ศพพร้อมกับทหารอีกหลายคน พลางพลิกพิจารณาดูร่างเหล่านั้น
“พี่เอเคล ทำอะไรน่ะ -- รีบไปกันเถอะน่า” ลีโอไนดัสร้องเรียกขณะที่เอเคลเซธตรวจดูศพไหม้เกรียมศพหนึ่ง “เกิดมันกลับมาจะทำยังไงกัน?” เด็กหนุ่มจมูกย่น กลิ่นเนื้อไหม้ทำเอาเขารู้สึกอยากอาเจียนเป็นอย่างมาก แม้มันจะกลิ่นคล้ายกับเนื้อไก่ย่างที่เขาเคยกิน แต่มันให้ความรู้สึกคนละแบบเลยทีเดียว
“เงียบแล้วก็ดู เรียนรู้งานเสียบ้าง ลีโอไนดัส” เอริคซับหัวล้านของเขา พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วๆ ตั้งแต่บนฟ้า ศพ และอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ *“The words may change, but body never tells a lie” เขาเชิดม้า นำหน้าไปก่อนเมื่อเห็นเอเคลเซธเดินกลับมาที่ม้า พวกเขามุ่งหน้าลงใต้สู่เมืองพ็อตเทอร์รี่ทันที
“เท่าที่ตรวจดูจากศพพวกนั้น ไม่มีตราประทับทาสอะไรเลยครับ” เอเคลเซธขี่ม้ามาข้างๆพ่อของเขาผู้ซึ่งเทเหล้าให้กับลูกชายใช้ล้างมือ “กล้ามเนื้อบ่งบอกว่าผ่านการฝึกมาอย่างดี แต่ไม่มีของที่ใช้ยืนยันสถานะอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเกราะหรืออาวุธ..... ไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลย”
“คิดว่าในค่ายของพวกมันจะมีมั้ย?” แม่ทัพโคล์ดี้ทำหน้าเฉยชามากขณะล้างมือ
“ถ้ามีเวลากับกำลังพลมากกว่านี้ การเข้าไปตรวจก็ถือเป็นอะไรที่ข้าอยากทำเป็นอย่างแรก” เอริคเอ่ย ขณะกรอกเหล้าเข้าปาก “แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เรารีบไปจากที่นี่จะดีกว่า” เขาเสริมตัวสั่นหน่อยๆ
“ท่านลุงครับ อัศวินนั่น......” ลีโอไนดัสเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ
“เห็นชัดๆว่า มาปิดปากพวกเชลยนั่น” เขาพูดพลางปาดเหล้าที่ไหลหกจนถึงคาง
“ทำไม ไอ้นั่นถึงไม่เข้ามากำจัดเราล่ะครับ?” เด็กหนุ่มถามต่อ
“ก็เป็นไปได้ในหลายๆอย่าง” เอริคตอบเบาๆ แต่ไม่ขยายความต่อ เด็กหนุ่มเห็นเขาเอาแต่กรอกเหล้าเข้าปาก จึงหันไปหาเอเคลเซธ ผู้ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด
“จากความเป็นไปได้ที่ข้าคิด” เขาเอ่ยช้าๆ “อัศวินนั่น อาจจะไม่ได้อยากกำจัดเราด้วยตัวเอง ถ้ากองทัพนั่นถูกจ้างมาเพื่อจัดการกับเรา ก็คงเป็นเขานั่นแหละที่ว่าจ้าง -- และเมื่อเห็นว่าทหารกำลังจะคายข้อมูล ก็รีบชิงปิดปากแล้วหนีไป......” ชายหนุ่มหันไปมองพ่อของเขาซึ่งไม่ขยายความต่อ เขาหันไปมองแม่ทัพโคล์ดี้ที่ขบกรามแน่น ราวกับมีเรื่องที่อยากรู้แต่ไม่อยากถาม
“แล้ว..... ท่านพี่ เห็นดาบของอัศวินนั่นมั้ย?” ลีโอไนดัสถามคำถามที่ทุกคนทั้งอยากและไม่อยากรู้ในเวลาเดียวกัน
“......เห็น..... -- ” เอเคลเซธตอบช้าๆ โดยพยายามจะไม่สบตาใคร
“ท่านพี่ว่า..... มันใช่ไหม?” เด็กหนุ่มถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่อะไร.....” เอเคลเซธถ่วงเวลา เขารู้ว่าลีโอไนดัสหมายถึงอะไร เพียงแต่เขาไม่อยากยอมรับ และรู้สึกปฏิเสธที่จะยอมรับ
“เอ้า -- ” เด็กหนุ่มร้องอย่างโมโห “ก็ดาบนั่น.... มันต้องใช่แน่ๆ หนึ่งในดาบศักดิ์สิทธิ์.... -- หนึ่งในเซเว่นซอร์ดส์!!”
พวกทหารรู้สึกเกร็งขึ้นมา ความเครียดทวีขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ไม่มีใครมองใคร ต่างคนต่างขี่ม้าอย่างเงียบๆ เอเคลเซธหันหน้าช้าๆไปหาลีโอไนดัส
“เจ้าคิดแบบนั้นหรือ?”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว!!” ลีโอไนดัสตอบอย่างแน่วแน่ “ดาบนั่นรูปทรงแปลกๆ แถมมีสายฟ้าไหลดังเปรี๊ยะๆเลย แล้วก็ยังปล่อยสายฟ้าออกมาได้ด้วย!!” เด็กหนุ่มเสริมด้วยอาการตื่นเต้น
“สมมุติว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ......” เอเคลเซธชำเลืองไปยังพ่อของเขาที่ยังคงไม่ยอมหันมามองลีโอไนดัส เอเคลเซธ จึงถามต่อว่า “เจ้าคิดว่าอัศวินเกราะดำนั่นเป็นใครมากจากไหน -- ด้วยพลังสายฟ้าที่มี..... จะจำนวนกองทัพไหนๆต่อให้มาเป็นล้านก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา..... เรื่องเอาชนะสงครามคงจะเป็นเรื่องง่ายมากเลยทีเดียวถ้ามีดาบนั่น แล้วทำไมเราไม่เคยได้ยินตำนานของดาบที่ปล่อยสายฟ้าได้? ทำไมมันเพิ่งโผล่ออกมาตอนนี้?”
ลีโอไนดัสอ้ำอึ้ง เด็กหนุ่มไม่อาจตอบคำถามได้
**“Aquestion leads to another question…..” เอริคตอบเสียงยานๆ ราวกับเมาได้ที่ “อาจจะมีความเป็นไปได้เรื่องจำนวนครั้งในการใช้พลังที่ทำให้หมอนั่นเลิกไล่ล่าเรา”
“แล้วเรื่องตำนานดาบศักดิ์สิทธิ์ล่ะ” แม่ทัพโคล์ดี้โพล่งออกมาราวกับไม่อาจอดกลั้นคำถามไว้ในใจได้อีกต่อไป “ทำไมมันถึงโผล่มาเอาตอนนี้.... ต่อหน้าพวกเรา -- ทำไมเราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน!?”
“ท่านแม่ทัพ......” เอริคเอ่ยพลางยกเหล้าขึ้นดื่มก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้าท่านเป็นนักพนันท่านจะเผยไพ่ที่ดีที่สุดเมื่อไหร่ล่ะ?” แล้วพวกเขาก็เดินทางต่อไปเงียบๆโดยไม่มีใครพูดจา.....
เลยถึงยามบ่ายที่ยังคงหนาวเหน็บนอกเขตเมืองพ็อตเทอร์รี่ ปรากฏกองกำลังอารักขาที่มีรถม้าหรูหราแล่นอยู่ หน้าต่างรถม้าปิดสนิททุกบ้าน สตรีที่นั่งอยู่ด้านในตัวโอนเอียงไปมาเล็กน้อยตามถนนที่ขรุขระ ใบหน้าสวยของเธอนิ่งสงบ เธอกำลังหลับตา ราวกับกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
“เลดี้โรส” เสียงของหัวหน้าองครักษ์เอ่ยจากด้านหน้ารถม้า “เราจะพักหมู่บ้านข้างหน้านี้ก่อนนะขอรับ”
“......ได้” เสียงอันไพเราะตอบกลับมาเบาๆ หัวหน้าทหารสั่งให้กองอารักขาช้าลงก่อนจะจอดถามชาวนาวัยชราที่กำลังนั่งพักอยู่นอกใต้ร่มไม้ เขากำลังผิงแดดและดูดควันจากกล้องสูบ
“ตาแก่.... หมู่บ้านข้างหน้านี้มีโรงเตี๊ยมหรือไม่ -- ”
“โรงเตี๊ยมเรอะ!!” ชายแก่หัวเราะก๊ากๆ ทำเอาควันออกจากปากของเขาเป็นริ้วๆ “จะขำตาย บ้านนอกอย่างนี้จะไปหาโรงเตี๊ยมที่ไหนล่ะไอ้หนุ่ม!! ถ้าเป็นร้านเหล้าล่ะก็มีอยู่หรอก -- ”
“มีที่ไหนรองรับแขกหรือเปล่า” หัวหน้าองครักษ์หรี่ตาลงอย่างไม่พอใจกับท่าทีของชายชรา
“ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านสิ” ชายแก่พูดพลางลุกขึ้นยืน เขาชี้มือไปยังบ้านที่มีปล่องไฟสองปล่อง ใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นๆเล็กน้อย
“ขอบใจ -- ” องครักษ์ตอบเสียงขุ่นก่อนจะสั่งให้เดินทัพต่อไป และโยนถุงเงินลงตรงหน้าของชายแก่ แต่ชาวนาผู้นั้นมีท่าทีเกรี้ยวกราด เขาหยิบถุงเงินและปากลับมาที่หัวหน้าองครักษ์
“เก็บไว้เผาศพพ่อแกเถอะ -- !!” ชายชราตะโกนเสียงดัง เผยให้เห็นฟันหน้าที่เหลือไม่กี่ซี่
หัวหน้าองครักษ์ผุดลุกจากที่นั่ง
“พอที!!” เสียงดังมาจากด้านในรถม้า “หยุดซิ.....” เมื่อรถม้าหยุดอีกครั้ง เลดี้โรสก็เดินลงมา เธอตรงเข้าไปหาชายชราที่ยืนกอดอกใบหน้าแสดงอาการหาเรื่องเต็มที่
“เลดี้ -- ” พวกทหารทำท่าจะตามมาแต่เธอยกมือห้ามไว้
“ข้าต้องขออภัยท่านผู้เฒ่า ในความไร้มารยาทของทหารของข้า” เธอกล่าวอย่างนอบน้อม “ได้โปรดอย่าตำหนิพวกเขาเลย.... พวกเขาถูกฝึกมาให้ไม่ยอมใคร -- ”
“พอเข้าใจได้” ชายชราเอ่ยอย่างไว้ตัว แต่สงวนท่าทีลง “เมื่อก่อนข้าก็เคยเป็นทหาร ข้าก็เป็นแบบนี้แหละ....”
“ถ้าอย่างไร ข้าขอขอบคุณในความช่วยเหลือของท่านผู้เฒ่านะคะ” เธอพยักหน้าเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มให้ ชายชราถอดหมวกพร้อมกับค้อมหัวให้
“ด้วยความยินดี นายหญิง.....” แล้วเลดี้โรสก็เดินกลับขึ้นไปยังรถม้าและก็ออกเดินทางไปยังบ้านที่ชายชราบอก
“นายหญิง..... ท่านเป็นผู้สูงศักดิ์ แถมเป็นบุตรีขุนนางชั้นสูง.... ทำไมถึงต้องลดตัวไปขอบคุณราษฎรไร้การศึกษาแบบนั้นด้วย?” หัวหน้าองครักษ์เอ่ยถามโดยไม่สนว่ารถม้าจะออกห่างจากชายชราคนนั้นไกลพอหรือยัง
“เรื่องนี้ เจ้าเป็นคนผิด” เธอตอบกลับมาจากด้านในรถม้า เธอนั่งหลับตาอีกครั้ง “เจ้าขอความช่วยเหลือเขา แต่แสดงท่าทีแบบนั้นกับเขา หากยังทำแบบนี้ต่อไป เจ้าก็เป็นได้แค่ทหารอยู่แบบนี้นั่นแหละ”
“ข้าน้อย ขอโทษขอรับ.... นายหญิง....” หัวหน้าองครักษ์เอ่ย
“ใช่......” เลดี้โรสลืมตาขึ้น “คนผิด..... ต้องขอโทษ.....” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกลับ
*“The words may change, but body never tells a lie” Aric Quote: “ลมปากนั้นเปลี่ยนได้ แต่ร่างกายนั้นไม่มีวันโกหก”
**“Aquestion leads to another question…..” Aric Quote: “คำถามหนึ่งนำไปสู่อีกหลายคำถาม.......”
เอริค ตอบแทนลีโอไนดัสที่ไม่อาจตอบคำถามของเอเคลเซธได้ เพื่อเป็นการปัดไปว่า เรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลังจะดีกว่า เพราะขวัญกำลังใจของทหารในตอนนี้ ไม่อาจทำใจรับเรื่องยากๆได้ดีเท่าไหร่นัก เพราะทุกคนต่างช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และต่างหวาดกลัวกับศัตรูที่ไม่รู้ที่มาและยังมีอำนาจที่พวกเขาไม่มี
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ