7Swords
9.6
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
31 chapter
3 วิจารณ์
28.75K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) Slider
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 22 Slider
สามวันต่อมา พวกเอเคลเซธยังคงปักหลักที่บริเวณชายหาด แวนยังคงไม่ได้สติและมีไข้ เขาดูซีดเซียวและปากก็แห้ง เอเคลเซธเอาผ้าที่เอาชุบน้ำวางบนหน้าผากของแวน และหันไปหาทหารที่ล้อมวงกันอยู่ ลมหนาวแปลกฤดูยังคงพัดมาต่อเนื่อง พวกเขากำลังก่อไฟและย่างกระต่ายป่าสามตัว และหมูป่าหนึ่งตัวที่ล่ามาได้จากป่าวันนี้
“แล้วเราจะเอาอย่างไรต่อดีขอรับ เซอร์คาร์ลดีเซน” ทหารนายหนึ่งถาม
“สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือออกตามหาหอเรเวนเพื่อจะส่งข่าวของเราไปที่ไวท์ฟอร์ท แต่ดูๆแถบนี้ไม่น่าจะใกล้ในเมืองเลย เพราะไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัย..... เราต้องล่องเรืออีกครั้ง -- ใช่..... เราต้องขึ้นเรือ” เอเคลเซธมองสีหน้าของทหารแต่ละคนที่มีสีหน้าสยอง “แต่ก่อนอื่น เราต้องหาทางรักษากัปตันแวนของเราก่อน... เขาเป็นคนเดียวที่รู้วิธีเดินเรือ และเขาก็รู้จักลิลลี่ที่พาลีโอไนดัสไปด้วย -- ”
“นังผู้หญิงคนนั้นเป็นโจรสลัด..... -- ” เสียงดังขึ้นมาจากแวนที่นอนอยู่ เขาหายใจฟืดฟาดขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะร้องครางและก้มลงมองข้อมือที่ขาดหายไป “ใช่..... ข้าเพิ่งนึกออก ยัยคนนั้นเป็นกัปตันเรือฟลายอิ้งฟิช -- ชื่อว่า แมร์รี่ โรส.....”
“โรสนี่ ชื่อหรือนามสกุล?” เอริคถาม
“ชื่อสิ” แวนเอ่ย “พูดถึงโจรสลัดแมร์รี่ พวกนายน่าจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างนะ?”
“ก็คุ้นๆอยู่” เอริคเอ่ย เขาตัวสั่น..... ไม่ใช่เพราะหนาว แต่เพราะอยากเหล้า “เหมือนว่าจะเคยมีปัญหากับพวกดราก้อนใช่หรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ..... ไม่สนใจ” แวนไออย่างรุนแรง ก่อนเอเคลเซธจะให้เขานอนลง
“ถ้าแบบนั้น ก่อนที่เราจะไปหอเรเวนและออกตามหา พวกโจรสลัดแมร์รี่ เราคงต้องรอให้ กัปตันหายดีก่อนสินะ” เอริคเอ่ย
“เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น” เอเคลเซธบีบมืออย่างกลุ้มใจ “นี่ก็สามวันผ่านมาแล้ว ข้าไม่ค่อยสบายใจเลย นี่กัปตันแวน.... -- ท่านพอจะนั่งเรือไหวมั้ย? แค่นั่งเฉยๆแล้วสั่งพวกเรา -- ”
“อย่าบ้าน่ะ เอเคลเซธ” เอริคเอ่ยเสียงดุ “เจ้าจะฆ่าเขานะ -- ”
“พาข้าไปหาหมอ..... -- ” แวนเอ่ยขึ้น “ล่องเรือไปทางใต้อีกนิด..... น่าจะถึงเซาท์เทิร์นต้า.... ที่นั่นมีหมออยู่ หอเรเวนก็ด้วย -- ”
“หมอเหรอ? ใช่พวกที่ผ่าเอาอะไรๆในท้องออกมาแล้วยัดกลับเข้าไปนั่นหรือเปล่า” เอริคเอ่ยอย่างขยะแขยงปนสยอง
“ก็มีนั่นแหละ” แวนเอ่ยพร้อมกับไออีกครั้ง
“ไม่อยากจะเชื่อว่าคนพวกนี้มีอยู่จริงๆ” เอริคเอ่ยพลางส่ายศีรษะ
“ถ้างั้นเป็นอันตกลง..... เราจะไป เซาท์เทิร์นต้า.....” เอเคลเซธพูดพร้อมกับหิ้วปีกแวนขึ้นมา เขามองหลุมศพของเพื่อนพ้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพยุงแวนกลับขึ้นเรือ
“เออ..... แล้วทหารมันหายไปไหนหมดล่ะ?” แวนเอ่ยถาม
ที่ไวท์ฟอร์ทยามนี้อากาศหนาวชนิดสุดขั้ว กลางวันแม้จะมีแสงแดดบ้าง แต่ก็บรรเทาความหนาวเย็นได้เพียงเล็กน้อย ตกเย็นหิมะก็สูงท่วมขึ้นมาเรื่อยๆ และตอนนี้ลอร์ดเบโอวูล์ฟก็กำลังยืนอยู่บนกำแพงหนาที่ทำเสริมจากน้ำแข็งเป็นทางลาดที่ดูจะไต่ขึ้นได้แต่ก็ชันและลื่นมาก เขาวางมือลงบนกำแพงน้ำแข็งและจ้องมองไปยังกองทัพนับหมื่นที่ตั้งค่ายในทุ่งหิมะ พวกนี้เป็นทหารที่มาจากพ็อตเทอร์รี่
“ดูพวกขี้ขลาดนั่นสิ” แม่ทัพที่ใส่เกราะเต็มยศยืนเอาตัวอังกองไฟก่อนจะมองมายังกำแพงแปลกๆของไวท์ฟอร์ท “ถ้าพวกมันฉลาดสักหน่อย คงเตรียมทัพซุ่มพวกเราตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ตั้งค่ายแล้ว นี่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ คงกลัวกันแย่เลยล่ะสิ”
“อย่าไปว่าพวกเขาเลย แม่ทัพกิลเมซ” เรคอมป์เอ่ยพลางยิ้มเยาะ “ในเมื่อพวกจิ้งจอกที่เก่งเรื่องวางแผนการรบหายไปแบบนี้ พวกนั้นจะกลัวหัวหดกันก็ไม่แปลก..... ได้ข่าวว่าตอนนี้พวกนั้นมีทหารจริงๆอยู่แค่สามร้อย ที่เหลือเป็นชาวเมืองและชาวบ้านละแวกนี้อีกราวร้อยเศษ..... ตอนนี้พวกนั้นมีไม่ถึงพันคนเองมั้ง -- ว่ากันจริงๆ”
“ประมาณหนึ่งต่อสิบสินะ” แม่ทัพกิลเมซหัวเราะ “พวกเจ้าพร้อมจะตามข้าไปสร้างประวัติศาสตร์โดยการตีไวท์ฟอร์ทแตกเป็นครั้งที่สอง พร้อมกับฆ่าชายคนแรกที่ตีไวท์ฟอร์ทแตกหรือยัง!!”
“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!”
กิลเมซชูดาบขึ้นพร้อมกับตะโกนประกาศพร้อมรบ พวกทหารทั้งหมดกู่ร้องกลับพร้อมกับลุกขึ้นจากกองไฟที่พากันนั่งอยู่ เสียงเฮลั่นของพวกเขาดังลั่นราวกับสามารถจะสั่นคลอนภูเขาได้ทั้งลูก
“ตามข้ามา!!” กิลเมซขึ้นม้าและนำทหารหนึ่งหมื่นคนเรียงแถวหน้ากระดานเดินทัพอย่างเป็นจังหวะ หิมะถึงกับเคลื่อนจากกันตามแรงสั่นสะเทือนนั้น
เมื่อถึงบริเวณใกล้กับรัศมีลูกธนูกิลเมซพยักหน้าให้นายกองผู้หนึ่งเดินม้าออกไป นายกองคนนั้นตะโกนเสียงดังว่า
“ลอร์ดเบโอวูล์ฟ จงยอมจำนนเสีย!!” เขาเงยหน้าขึ้นและก็พบว่า ลอร์ดเบโอวูล์ฟโผล่ออกมาเหนือกำแพง เขามองมายังกองทัพข้างล่างเงียบๆ “วางอาวุธเสีย!! -- แล้วเราจะไว้ชีวิตท่านและชาวเมือง หากท่านปฏิเสธน้ำใจนี้ เราจะบุกเข้าไป เราจะฆ่าคนแก่ เราจะข่มขืนผู้หญิง เราจะส่งผู้ชายและเด็กผู้ชายไปเป็นทาส เราจะขายเด็กผู้หญิงในซ่อง -- ”
สวบ!!
หอกน้ำแข็งสีขาวขนาดประมาณเก้าหรือสิบฟุตลอยแหวกอากาศมาเสียบเข้าที่ปากของนายกองคนนั้นและทะลุท้ายทอยออกไปด้านหลังทะลุปักถึงพื้นอย่างไม่มีใครทันคาดคิดและไม่มีใครเห็น เพราะหอกสีขาวนั้นกลืมกลืนกับพื้นที่สีขาวบริเวณรอบๆนั้น หอกที่แทงทะลุอาบด้วยสีแดงของเลือด ก่อนร่างของนายกองจะรูดลงตามหอกน้ำแข็งนั้นตกจากม้า
*“Pottery’s Men!!” ลอร์ดเบโอวูล์ฟตะโกนก้อง “Wanna talk or kill!?”
สิ้นเสียงของลอร์ดเบโอวูล์ฟ แม่ทัพกิลเมซก็บันดาลโทสะ ตะโกนก้องก่อนจะสั่งให้ทหารทั้งหมดเดินหน้า ทหารเดนตายสับฝีเท้าและวิ่งซิกแซกเพื่อหลบลูกธนูจนหิมะที่สูงท่วมข้อเท้าปลิวกระเด็น แต่ไม่มีธนูจากหลังกำแพงลาดชันนั้นเลย ในที่สุดพวกทหารเดนตายก็วิ่งมาถึงทางลาดที่สูงราวสี่สิบฟุตนั้น
“เอาละ” ไลโอซ่าร์ยืนดูอย่างบันเทิงก่อนจะหันมาหาแม่ทัพริชาร์ดที่อยู่ข้างๆ “ทุกคนพร้อมนะ”
ริชาร์ดพยักหน้าก่อนจะเอ่ยว่า **“Let them enjoy our White Fort’s Slider!!”
ทหารของพ็อตเทอร์รี่ค้นพบว่าสามารถวิ่งขึ้นบนทางลาดนั้นได้ ก็พากันกรูวิ่งขึ้นไปด้านบนกันไปเรื่อยๆ.... แต่พวกที่วิ่งขึ้นมาก่อนก็พบว่า ยิ่งสูงขึ้น หิมะยิ่งเกาะน้อยลง ความลื่นของน้ำแข็งก็มากตาม และเมื่อใกล้จะถึงยอดที่ลอร์ดเบโอวูล์ฟยืนอยู่โดยที่ยังกอดอกเฉยๆไม่ชักดาบออกมา ทหารคนแรกก็ลื่นล้มไปชนกับคนข้างหลังและค่อยดึงๆกันตามลงมาแล้วพวกทหารก็ไหลลงมากันเป็นแถวๆ คนที่ใกล้จะปีนถึงก็ถูกหอกน้ำแข็งจากทหารขว้างเข้าใส่ บางคนหลบก็ไถลลื่นตกลงไปด้านล่างอีก
ชุดเกราะเหล็กคือตัวถ่วงอย่างมากในการเคลื่อนไหวบุกบนทางลาดชั้นนั้น และเป็นดาบสองคมเช่นกัน เมื่อทหารคนแรกตกลงมาใส่คนข้างล่าง น้ำหนักของคนและชุดเกราะก็ทับให้ทหารหายใจไม่ออกหนีกระเสือกกระสนแตกแถวและถูกหอกน้ำแข็งพุ่งลงมาอย่างไม่ขาดสาย
จนในที่สุด ทางลาดนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดที่ละลายทางลาดลงเล็กน้อย แต่กลับเพิ่งความลื่นให้มากกว่าเดิม กิลเมซเดือดดาลมากกว่าเก่าเขาเร่งให้ทหารบุกเข้าไปอีก เขาสั่งให้เหยียบย่ำคนที่กลิ้งตกลงมาเป็นบันได ทหารขึ้นไปได้แค่อีกราวสองหรือสามฟุตเมื่อเจอหอกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่แลพากันลื่นตกลงมาเ
การรบเป็นไปในรูปแบบนี้ไม่นานนัก หิมะรอบๆบริเวณนั้นก็ถูกย้อมจนแดงเถือก สนามรบเริ่มมีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ทหารของพ็อตเทอร์รี่ต่างหนาวเหน็บและขวัญเสียเมื่อพวกเขาต้องเหยียบย่ำเพื่อนพ้องขึ้นไป ก่อนจะไถลลื่นตกลงมา คนที่ยังไม่ตายก็โดนเท้าเหยียบแล้วเหยียบอีกจนตายเพราะพวกเดียวกัน จนเมื่อเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษๆ แม่ทัพกิลเมซก็สั่งถอนกำลังกลับไปยังค่าย พร้อมกับความพ่ายแพ้ เขาสูญเสียทหารไปราวสามพันคน ในขณะที่ทัพของไวท์ฟอร์ทไม่สูญเสียแม้แต่คนเดียว
กิลเมซขบกรามแน่นตอนที่เขาสั่งถอยทัพ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดั่งลั่นหลังกำแพงน้ำแข็งนั้น
“Pottery’s Men!! Wanna talk or kill?” Liozar’s Quote: “ชาวพ็อตเทอร์รี่เอ๋ย!! จะคุยหรือจะฆ่า?”
**“Let them enjoy our White Fort’s Slider!!” Richard’s Quote: “ให้พวกมันได้สนุกกับกระดานลื่นแห่งไวท์ฟอร์ทเถอะ!!”
สามวันต่อมา พวกเอเคลเซธยังคงปักหลักที่บริเวณชายหาด แวนยังคงไม่ได้สติและมีไข้ เขาดูซีดเซียวและปากก็แห้ง เอเคลเซธเอาผ้าที่เอาชุบน้ำวางบนหน้าผากของแวน และหันไปหาทหารที่ล้อมวงกันอยู่ ลมหนาวแปลกฤดูยังคงพัดมาต่อเนื่อง พวกเขากำลังก่อไฟและย่างกระต่ายป่าสามตัว และหมูป่าหนึ่งตัวที่ล่ามาได้จากป่าวันนี้
“แล้วเราจะเอาอย่างไรต่อดีขอรับ เซอร์คาร์ลดีเซน” ทหารนายหนึ่งถาม
“สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือออกตามหาหอเรเวนเพื่อจะส่งข่าวของเราไปที่ไวท์ฟอร์ท แต่ดูๆแถบนี้ไม่น่าจะใกล้ในเมืองเลย เพราะไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัย..... เราต้องล่องเรืออีกครั้ง -- ใช่..... เราต้องขึ้นเรือ” เอเคลเซธมองสีหน้าของทหารแต่ละคนที่มีสีหน้าสยอง “แต่ก่อนอื่น เราต้องหาทางรักษากัปตันแวนของเราก่อน... เขาเป็นคนเดียวที่รู้วิธีเดินเรือ และเขาก็รู้จักลิลลี่ที่พาลีโอไนดัสไปด้วย -- ”
“นังผู้หญิงคนนั้นเป็นโจรสลัด..... -- ” เสียงดังขึ้นมาจากแวนที่นอนอยู่ เขาหายใจฟืดฟาดขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะร้องครางและก้มลงมองข้อมือที่ขาดหายไป “ใช่..... ข้าเพิ่งนึกออก ยัยคนนั้นเป็นกัปตันเรือฟลายอิ้งฟิช -- ชื่อว่า แมร์รี่ โรส.....”
“โรสนี่ ชื่อหรือนามสกุล?” เอริคถาม
“ชื่อสิ” แวนเอ่ย “พูดถึงโจรสลัดแมร์รี่ พวกนายน่าจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างนะ?”
“ก็คุ้นๆอยู่” เอริคเอ่ย เขาตัวสั่น..... ไม่ใช่เพราะหนาว แต่เพราะอยากเหล้า “เหมือนว่าจะเคยมีปัญหากับพวกดราก้อนใช่หรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ..... ไม่สนใจ” แวนไออย่างรุนแรง ก่อนเอเคลเซธจะให้เขานอนลง
“ถ้าแบบนั้น ก่อนที่เราจะไปหอเรเวนและออกตามหา พวกโจรสลัดแมร์รี่ เราคงต้องรอให้ กัปตันหายดีก่อนสินะ” เอริคเอ่ย
“เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น” เอเคลเซธบีบมืออย่างกลุ้มใจ “นี่ก็สามวันผ่านมาแล้ว ข้าไม่ค่อยสบายใจเลย นี่กัปตันแวน.... -- ท่านพอจะนั่งเรือไหวมั้ย? แค่นั่งเฉยๆแล้วสั่งพวกเรา -- ”
“อย่าบ้าน่ะ เอเคลเซธ” เอริคเอ่ยเสียงดุ “เจ้าจะฆ่าเขานะ -- ”
“พาข้าไปหาหมอ..... -- ” แวนเอ่ยขึ้น “ล่องเรือไปทางใต้อีกนิด..... น่าจะถึงเซาท์เทิร์นต้า.... ที่นั่นมีหมออยู่ หอเรเวนก็ด้วย -- ”
“หมอเหรอ? ใช่พวกที่ผ่าเอาอะไรๆในท้องออกมาแล้วยัดกลับเข้าไปนั่นหรือเปล่า” เอริคเอ่ยอย่างขยะแขยงปนสยอง
“ก็มีนั่นแหละ” แวนเอ่ยพร้อมกับไออีกครั้ง
“ไม่อยากจะเชื่อว่าคนพวกนี้มีอยู่จริงๆ” เอริคเอ่ยพลางส่ายศีรษะ
“ถ้างั้นเป็นอันตกลง..... เราจะไป เซาท์เทิร์นต้า.....” เอเคลเซธพูดพร้อมกับหิ้วปีกแวนขึ้นมา เขามองหลุมศพของเพื่อนพ้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพยุงแวนกลับขึ้นเรือ
“เออ..... แล้วทหารมันหายไปไหนหมดล่ะ?” แวนเอ่ยถาม
ที่ไวท์ฟอร์ทยามนี้อากาศหนาวชนิดสุดขั้ว กลางวันแม้จะมีแสงแดดบ้าง แต่ก็บรรเทาความหนาวเย็นได้เพียงเล็กน้อย ตกเย็นหิมะก็สูงท่วมขึ้นมาเรื่อยๆ และตอนนี้ลอร์ดเบโอวูล์ฟก็กำลังยืนอยู่บนกำแพงหนาที่ทำเสริมจากน้ำแข็งเป็นทางลาดที่ดูจะไต่ขึ้นได้แต่ก็ชันและลื่นมาก เขาวางมือลงบนกำแพงน้ำแข็งและจ้องมองไปยังกองทัพนับหมื่นที่ตั้งค่ายในทุ่งหิมะ พวกนี้เป็นทหารที่มาจากพ็อตเทอร์รี่
“ดูพวกขี้ขลาดนั่นสิ” แม่ทัพที่ใส่เกราะเต็มยศยืนเอาตัวอังกองไฟก่อนจะมองมายังกำแพงแปลกๆของไวท์ฟอร์ท “ถ้าพวกมันฉลาดสักหน่อย คงเตรียมทัพซุ่มพวกเราตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ตั้งค่ายแล้ว นี่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ คงกลัวกันแย่เลยล่ะสิ”
“อย่าไปว่าพวกเขาเลย แม่ทัพกิลเมซ” เรคอมป์เอ่ยพลางยิ้มเยาะ “ในเมื่อพวกจิ้งจอกที่เก่งเรื่องวางแผนการรบหายไปแบบนี้ พวกนั้นจะกลัวหัวหดกันก็ไม่แปลก..... ได้ข่าวว่าตอนนี้พวกนั้นมีทหารจริงๆอยู่แค่สามร้อย ที่เหลือเป็นชาวเมืองและชาวบ้านละแวกนี้อีกราวร้อยเศษ..... ตอนนี้พวกนั้นมีไม่ถึงพันคนเองมั้ง -- ว่ากันจริงๆ”
“ประมาณหนึ่งต่อสิบสินะ” แม่ทัพกิลเมซหัวเราะ “พวกเจ้าพร้อมจะตามข้าไปสร้างประวัติศาสตร์โดยการตีไวท์ฟอร์ทแตกเป็นครั้งที่สอง พร้อมกับฆ่าชายคนแรกที่ตีไวท์ฟอร์ทแตกหรือยัง!!”
“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!”
กิลเมซชูดาบขึ้นพร้อมกับตะโกนประกาศพร้อมรบ พวกทหารทั้งหมดกู่ร้องกลับพร้อมกับลุกขึ้นจากกองไฟที่พากันนั่งอยู่ เสียงเฮลั่นของพวกเขาดังลั่นราวกับสามารถจะสั่นคลอนภูเขาได้ทั้งลูก
“ตามข้ามา!!” กิลเมซขึ้นม้าและนำทหารหนึ่งหมื่นคนเรียงแถวหน้ากระดานเดินทัพอย่างเป็นจังหวะ หิมะถึงกับเคลื่อนจากกันตามแรงสั่นสะเทือนนั้น
เมื่อถึงบริเวณใกล้กับรัศมีลูกธนูกิลเมซพยักหน้าให้นายกองผู้หนึ่งเดินม้าออกไป นายกองคนนั้นตะโกนเสียงดังว่า
“ลอร์ดเบโอวูล์ฟ จงยอมจำนนเสีย!!” เขาเงยหน้าขึ้นและก็พบว่า ลอร์ดเบโอวูล์ฟโผล่ออกมาเหนือกำแพง เขามองมายังกองทัพข้างล่างเงียบๆ “วางอาวุธเสีย!! -- แล้วเราจะไว้ชีวิตท่านและชาวเมือง หากท่านปฏิเสธน้ำใจนี้ เราจะบุกเข้าไป เราจะฆ่าคนแก่ เราจะข่มขืนผู้หญิง เราจะส่งผู้ชายและเด็กผู้ชายไปเป็นทาส เราจะขายเด็กผู้หญิงในซ่อง -- ”
สวบ!!
หอกน้ำแข็งสีขาวขนาดประมาณเก้าหรือสิบฟุตลอยแหวกอากาศมาเสียบเข้าที่ปากของนายกองคนนั้นและทะลุท้ายทอยออกไปด้านหลังทะลุปักถึงพื้นอย่างไม่มีใครทันคาดคิดและไม่มีใครเห็น เพราะหอกสีขาวนั้นกลืมกลืนกับพื้นที่สีขาวบริเวณรอบๆนั้น หอกที่แทงทะลุอาบด้วยสีแดงของเลือด ก่อนร่างของนายกองจะรูดลงตามหอกน้ำแข็งนั้นตกจากม้า
*“Pottery’s Men!!” ลอร์ดเบโอวูล์ฟตะโกนก้อง “Wanna talk or kill!?”
สิ้นเสียงของลอร์ดเบโอวูล์ฟ แม่ทัพกิลเมซก็บันดาลโทสะ ตะโกนก้องก่อนจะสั่งให้ทหารทั้งหมดเดินหน้า ทหารเดนตายสับฝีเท้าและวิ่งซิกแซกเพื่อหลบลูกธนูจนหิมะที่สูงท่วมข้อเท้าปลิวกระเด็น แต่ไม่มีธนูจากหลังกำแพงลาดชันนั้นเลย ในที่สุดพวกทหารเดนตายก็วิ่งมาถึงทางลาดที่สูงราวสี่สิบฟุตนั้น
“เอาละ” ไลโอซ่าร์ยืนดูอย่างบันเทิงก่อนจะหันมาหาแม่ทัพริชาร์ดที่อยู่ข้างๆ “ทุกคนพร้อมนะ”
ริชาร์ดพยักหน้าก่อนจะเอ่ยว่า **“Let them enjoy our White Fort’s Slider!!”
ทหารของพ็อตเทอร์รี่ค้นพบว่าสามารถวิ่งขึ้นบนทางลาดนั้นได้ ก็พากันกรูวิ่งขึ้นไปด้านบนกันไปเรื่อยๆ.... แต่พวกที่วิ่งขึ้นมาก่อนก็พบว่า ยิ่งสูงขึ้น หิมะยิ่งเกาะน้อยลง ความลื่นของน้ำแข็งก็มากตาม และเมื่อใกล้จะถึงยอดที่ลอร์ดเบโอวูล์ฟยืนอยู่โดยที่ยังกอดอกเฉยๆไม่ชักดาบออกมา ทหารคนแรกก็ลื่นล้มไปชนกับคนข้างหลังและค่อยดึงๆกันตามลงมาแล้วพวกทหารก็ไหลลงมากันเป็นแถวๆ คนที่ใกล้จะปีนถึงก็ถูกหอกน้ำแข็งจากทหารขว้างเข้าใส่ บางคนหลบก็ไถลลื่นตกลงไปด้านล่างอีก
ชุดเกราะเหล็กคือตัวถ่วงอย่างมากในการเคลื่อนไหวบุกบนทางลาดชั้นนั้น และเป็นดาบสองคมเช่นกัน เมื่อทหารคนแรกตกลงมาใส่คนข้างล่าง น้ำหนักของคนและชุดเกราะก็ทับให้ทหารหายใจไม่ออกหนีกระเสือกกระสนแตกแถวและถูกหอกน้ำแข็งพุ่งลงมาอย่างไม่ขาดสาย
จนในที่สุด ทางลาดนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดที่ละลายทางลาดลงเล็กน้อย แต่กลับเพิ่งความลื่นให้มากกว่าเดิม กิลเมซเดือดดาลมากกว่าเก่าเขาเร่งให้ทหารบุกเข้าไปอีก เขาสั่งให้เหยียบย่ำคนที่กลิ้งตกลงมาเป็นบันได ทหารขึ้นไปได้แค่อีกราวสองหรือสามฟุตเมื่อเจอหอกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่แลพากันลื่นตกลงมาเ
การรบเป็นไปในรูปแบบนี้ไม่นานนัก หิมะรอบๆบริเวณนั้นก็ถูกย้อมจนแดงเถือก สนามรบเริ่มมีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ทหารของพ็อตเทอร์รี่ต่างหนาวเหน็บและขวัญเสียเมื่อพวกเขาต้องเหยียบย่ำเพื่อนพ้องขึ้นไป ก่อนจะไถลลื่นตกลงมา คนที่ยังไม่ตายก็โดนเท้าเหยียบแล้วเหยียบอีกจนตายเพราะพวกเดียวกัน จนเมื่อเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษๆ แม่ทัพกิลเมซก็สั่งถอนกำลังกลับไปยังค่าย พร้อมกับความพ่ายแพ้ เขาสูญเสียทหารไปราวสามพันคน ในขณะที่ทัพของไวท์ฟอร์ทไม่สูญเสียแม้แต่คนเดียว
กิลเมซขบกรามแน่นตอนที่เขาสั่งถอยทัพ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดั่งลั่นหลังกำแพงน้ำแข็งนั้น
“Pottery’s Men!! Wanna talk or kill?” Liozar’s Quote: “ชาวพ็อตเทอร์รี่เอ๋ย!! จะคุยหรือจะฆ่า?”
**“Let them enjoy our White Fort’s Slider!!” Richard’s Quote: “ให้พวกมันได้สนุกกับกระดานลื่นแห่งไวท์ฟอร์ทเถอะ!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ