7Swords
9.6
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
31 chapter
3 วิจารณ์
28.74K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) Apple
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 21 Apple
ผ่านไปเกือบหนึ่งวันเต็มๆ เมื่อพวกเอเคลเซธสามารถล่องเรือมาถึงฝั่งได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าฝั่งนั่นคือที่ไหน แต่พวกไวท์ฟอร์ทที่เหลืออยู่ก็ขยับร่างกายลงมาเหยียบพื้นดินที่มั่นคงอีกครั้งก่อนจะนอนพักหมดแรงเรี่ยรายบนชายหาด ชายหนุ่มเห็นด้วยกับพวกทหารส่วนใหญ่ที่บอกว่าเกลียดเสียงลั่นของไม้ และเบื่อหน่ายเสียงคลื่นเต็มที นั่นไม่นับการโคลงเคลงของเรือที่ทำเอาพวกเขารู้สึกอยากคายของเก่า พวกเขาทั้งอ่อนเพลียและหิวกระหาย การอยู่บนเรือที่ไม่มีเสียงอะไรเลย ไม่ได้กินแม้แต่น้ำมาหนึ่งวันเต็มๆทำให้พวกทหารไวท์ฟอร์ทหลายต่อหลายคนยอมตักน้ำทะเลขึ้นมาดื่มและนอนหมดแรงที่ชายหาดนั้น
เอเคลเซธรู้สึกว่าเขาต้องทำตัวให้เข็มแข็งกว่าคนอื่น เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มีอาการคลื่นเหียนรุนแรงเหมือนคนอื่นๆ เขาตัดสินใจชวนพ่อของเขาออกไปเดินดูรอบๆบริเวณนั้น เพื่อดูว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและหาอาหารไปด้วย เอริคยินดีเดินตามลูกชายของเขามาเพราะรู้สึกว่าขาของเขาจะเป็นง่อยอยู่แล้วกับการยืนรากงอกอยู่บนเรือนั่น
พวกเขาเดินตามชายหาดที่ลมโชยเพื่อเข้าไปในป่าที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เมื่อสองพ่อลูกอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง เอเคลเซธก็ตัดสินใจถามถึงจดหมายของลอร์ดเบโอวูล์ฟทันที
“เจ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้” เอริคตอบเรียบๆ ตัวเขาเริ่มสั่นด้วยอาการอยากเหล้า
“ข้าน่ะหรือจะไม่รู้?” เอเคลเซธเอ่ยเสียงสั่นเหมือนกัน แต่เป็นเพราะเขาหิวและอ่อนระโหยโรยแรง “แต่ข้าไม่เข้าใจต่างหากว่า ลอร์ดเบโอวูล์ฟต้องการอะไรกันแน่?”
“การที่เขาบอกให้เรากลายเป็นหมาป่าน่ะหรือ?” เอริคหันมามองลูกชายของเขาตรงๆ แบบที่เขาไม่เคยมองมาก่อนเลย “เจ้าคิดว่าเขาหมายความว่าอะไรล่ะ?”
เอเคลเซธอึกอัก เขาไม่อยากพูด แต่ในเมื่อเขาต้องสันนิษฐาน.... -- “เป็นไปได้หรือ... ว่าไวท์ฟอร์ทล่มแล้ว?”
“เป็นไปได้” เอริคเอ่ยก้าวเดินฉับๆและมองซ้ายขวาเพื่อหาอะไรกิน “หรือลอร์ดเบโอวูล์ฟก็คาดการณ์ในแง่ที่ร้ายกาจที่สุด -- ”
“เราต้องหาเรเวน” เอเคลเซธเอ่ยอย่างร้อนใจ “แล้วเราก็ต้องตามหาลีโอไนดัสด้วย!!”
“ประสบการณ์ที่พ่อปล่อยให้เจ้าทำไม่ได้สอนอะไรเจ้าเลยหรือ?” เอริคหยุดเดินและหันมาคุยกับเอเคลเซธตรงๆ เขาเงยหน้ามองลูกชายที่สูงกว่า “ความใจร้อน -- ความร้อนรนของเจ้า ความที่ขาดประสบการณ์ของเจ้านำพาให้เจ้ามาถึงจุดๆนี้ มีการแก้ไขสถานการณ์ที่ดีกว่านี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ข้าไม่พูดไม่ทำอะไร...... เจ้ารู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร?”
“เพราะอะไรกันล่ะ?” เอเคลเซธเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประชด
“เพราะเจ้าคือผู้นำของเรา” เอริคตอบและเดินต่อ “ลอร์ดเบโอวูล์ฟมอบหมายหน้าที่นี้ให้เจ้ากับข้า และข้าก็เห็นว่าความล้มเหลวจำเป็นสำหรับเจ้า -- ”
“อ้อ..... พ่อคงสะใจที่เห็นข้าล้มเหลวงั้นสิ?”
*“None of teacher better than failure” เอริคเอ่ย “และก็ใช่ -- พ่อแอบสะใจนิดๆ” พ่อของเขายักคิ้วให้และยิ้มให้กำลังใจขณะพูดล้อเล่นกับลูกชาย
“ตลกตายล่ะ พ่อ......” เอเคลเซธพ่นลมหายใจออก “ท่านไม่ใช่สิงโตนะ ที่จะสอนลูกของมันโดยการผลักให้ตกหน้าผา.... เราพ่อลูกเป็นจิ้งจอกนะ”
“อาฮะ.....” เอริคเอ่ยช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆเช่นกัน “ใช่แล้ว.....”
“ท่านพ่อ.... ฟังนะ..... ข้าเสียใจ” เอเคลเซธพูดและก้มหน้าลงขณะย่ำเท้าตามขาสั้นๆของพ่อเขาไป “ข้าเพิ่งเข้าใจว่าจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของข้าคือการตัดสินใจในสถานการณ์เฉพาะหน้า.... ข้าเก่งแต่เรื่องที่ต้องใช้เวลาและการวางแผนที่รอบคอบรัดกุม ถ้าให้ท่านพ่อเป็นผู้นำในครั้งนี้เราก็คงไม่สูญเสียมากถึงขนาดนี้.....”
“เสียใจที่ต้องบอกว่าพ่อไม่มีความเป็นผู้นำ และไม่เคยคิดอยากเป็นผู้นำเลยลูกชายเอ๋ย” พ่อของเขาบอกก่อนจะเจอต้นแอปเปิ้ลที่มีผลอยู่เต็มต้น เอริคย่อตัวลงและทำตัวเป็นฐานให้ เอเคลเซธเหยียบขึ้นไปเพื่อเด็ดแอปเปิ้ลบนต้น “จะมีทหารคนไหนอยากจะติดตามตาแก่ขี้เมาบ้าง? พวกเขาต้องการผู้นำที่หนุ่มแน่น ชาญฉลาด และกล้าหาญ นะลูกชาย -- ”
“ที่พ่อพูดนั่นก็ไม่ใช่ตัวข้าเลย” เอเคลเซธเอ่ยก่อนจะเหยียบเข่า มือและไหล่ของพ่อเขาเพื่อไต่ขึ้นไปบนกิ่งไม้ลงใช้มืออันสั่นเทาเนื่องจากความหิวปลดแอปเปิ้ลส่งให้พ่อของเขาซึ่งกัดกินลูกแรกหมดไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาที “ท่านกำลังพูดถึงลอร์ดเบโอวูล์ฟสมัยหนุ่มๆต่างหาก”
“แล้วตอนนี้ ลองค่อยๆคิดและบอกมาซิว่าแผนการขั้นต่อไปเจ้าจะทำอะไร?” เอริคเอ่ยและถอดเสื้อคลุมออกมาและเก็บแอปเปิ้ลที่เอเคลเซธโยนลงมาใส่ให้มากที่สุด
“ท่านต้องบอกข้ามาก่อน” เอเคลเซธเอ่ยพลางชะเง้อมองหาแอปเปิ้ลลูกต่อไปที่เหมือนจะไกลเอื้อมมือ “ว่าจดหมายของลอร์ดเบโอวูล์ฟมีความเป็นไปได้อีกอย่าง”
เอริคแสยะยิ้ม เขาพอใจที่ลูกชายใจเย็นลงบ้างแล้ว “หมาป่าตัวผู้น่ะนะ.... เมื่ออายุพอสมควรแล้วจะแยกตัวออกจากฝูงไปอยู่ด้วยตัวเอง หมาป่าที่อยู่ตัวเดียวมาก่อนจะแข็งแกร่งและดุร้ายกว่าพวกที่อยู่กันเป็นฝูง มันจะสร้างอาณาเขตและฝูงของมันเองในภายหลัง......”
เอเคลเซธเข้าใจความหมายของพ่อเขาว่ามันหมายความว่าอะไร...... --
“แต่พวกเราเป็นจิ้งจอก -- ”
“คำสั่งของลอร์ดเบโอวูล์ฟคือ จงกลายเป็นหมาป่า” เอริคก้มหน้าก้มตาเก็บแอปเปิ้ลต่อจนแทบจะล้นผ้าคลุม ในขณะที่เอเคลเซธโหนตัวกระโดดลงจากต้นแอปเปิ้ล “เจ้าเติบโตเกินกว่าจะอยู่ในฝูงที่ไวท์ฟอร์ทได้แล้ว..... และทั้งหมดนั่นคือเหตุผลที่พ่อต้องปล่อยให้ลูกเผชิญหน้าปัญหาทั้งหมดตามลำพัง..... ”
“ข้าไม่เข้าใจ..... ท่านพ่อ......” เอเคลเซธคิ้วขมวด
“พ่อจะไม่บอกว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจหรอกนะ.... มันน้ำเน่าเกินไป” เอริคพูดพลางมัดผ้าคลุมให้กลายเป็นถุงบรรจุแอปเปิ้ลก่อนจะยื่นมาให้ลูกชายแบก “เอาเป็นว่าค่อยๆทำความเข้าใจไปก็แล้วกัน”
เอเคลเซธจ้องหน้าพ่อของเขา และรับถุงมาแบกไว้ ก่อนจะปัดฝุ่นดินที่ไหล่ของพ่อเขาออกไป เอริคเก็บแอปเปิ้ลที่กลิ้งอยู่อีกสองสามลูกขึ้นมาแทะกินก่อนจะเดินนำเอเคลเซธกลับ โดยที่เก็บกิ่งไม้แห้งไปด้วย
เมื่อพวกเขากลับมาถึงก็มืดมากแล้ว เอเคลเซธพบว่าทหารยังคงนอนกลิ้งกันอยู่มีอยู่แค่ไม่กี่คนที่นั่งอยู่ข้างๆเพื่อน เอเคลเซธวางถุงแอปเปิ้ลและร้องเรียกว่า อาหารมาแล้ว -- ทว่าไม่มีใครลุกมาเลย
ชายหนุ่มนึกสงสัยก่อนจะตะโกนเสียงดังกว่าเดิมแหวกสายลมว่า อาหารมาแล้ว
มีเพียงทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา ทหารคนนั้นร้องไห้ปากคอสั่น
“เกิดอะไรขึ้น!!” เอเคลเซธร้องถามอย่างตกใจ
“พวก..... พวกเขา.....” ทหารชี้ไปยังเพื่อนๆของเขาที่นอนอยู่ “ทุก..... ทุกคน..... ตายหมดแล้วครับ..... -- ”
“อะไร...... ทำไมกัน.....?” เอริคเอ่ยอย่างตกใจเช่นกัน เขาเผลอปล่อยให้แอปเปิ้ลหลุดออกจากมือร่วงลงพื้นทราย
“พะ... พวกที่ดื่มน้ำทะเล...... ตายกันหมดเลยขอรับ” ทหารคนนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น
เอเคลเซธ เอริคกับทหารที่ยังคงรอดชีวิตอีกแปดคนยืนมองร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งกว่าเจ็ดสิบนายที่พวกเขาช่วยกันจัดศพให้นอนเรียงรายกัน แต่ละศพนั้นเอามือประสานกันและมีแอปเปิ้ลวางอยู่บนอกของทุกคน
“เราจัดพิธีศพให้พวกเขาไม่ได้...... เราไม่มีนักบวช” ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาเองก็ถือแอปเปิ้ลอยู่ แม้ท้องจะร้องคร่ำครวญแต่เขาก็ไม่กัดกิน “วิญญาณของพวกเขาจะวนเวียนอยู่ที่หาดแห่งนี้ตลอดไปไม่ได้..... เซอร์คาร์ลดีเซน -- เราต้องเชิญนักบวชมาทำพิธีให้กับพี่น้องของเรานะขอรับ......”
ในใจของเอเคลเซธทั้งสับสนและสิ้นหวัง
การออกเดินทางครั้งนี้มีแต่เรื่องเหนือความคาดหมายทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอัศวินที่มีดาบนั่น พวกพ็อตเทอร์รี่ที่ไล่ฆ่าพวกเขา..... เขาไม่รู้เลยว่าไวท์ฟอร์ทจะมีชะตากรรมอย่างไร เช่นเดียวกับชะตากรรมของลีโอไนดัส.....
เขาถูกบอกไม่ให้กลับไปที่บ้านเกิด ทหารที่รอดมาได้ไม่ถึงครึ่งก็ต้องมาตายเพราะแค่กินน้ำทะเล แถมพวกเขาก็ทำศพไม่ได้เพราะไม่มีนักบวช......
ตอนนี้ เหลือเพียงทหารแค่แปดคนจากสองร้อย เอริค และกัปตันแวนที่ยังคงไม่ได้สติ.....
ไร้กำลัง ไร้อำนาจ ไร้ทรัพย์.....
สิ่งเดียวที่เขามีอยู่คือ แอปเปิ้ลที่อยู่ในมือ
เอเคลเซธกัดกินผลแอปเปิ้ลนั้นเงียบๆ ทุกคนก็กินตาม
เอเคลเซธแนะนำให้ฝังศพของพวกทหารไว้ที่ชายหาดและตั้งป้ายใจความว่า
Our FRIENDS who invited to have a meal, Could not take the Last Apple…. They sleep quietly and calmly left us only the sorrow until the Sanctuary’s men will relief our sadness for FRIENDS’ Soul.
(เพื่อนแห่งเราผู้ซึ่งได้รับเชิญร่วมโต๊ะ มิสามารถรับแอปเปิ้ลเป็นคราสุดท้าย.... พวกเขาหลับลงอย่างเงียบสงบทิ้งไว้เพียงความโศกเศร้าแก่เรา จนกว่าผู้มาจากแซงจัวรี่จักปลดปล่อยความเศร้าของเราและปวงวิญญาแห่งเพื่อนเรา)
เอเคลเซธมองป้ายด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ เขาไม่อาจบอกว่าเพื่อนที่นอนอยู่ภายใต้หลุมศพนั้นคือใคร และไม่อาจลงชื่อผู้จารึกถ้อยคำหน้าหลุมศพ..... เพราะหากมีคนรู้ว่าศพเหล่านี้เป็นทหารของไวท์ฟอร์ท พวกเขาอาจโดนรบกวนได้.....
เขาได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง.... จะมีนักบวชสักคนที่ผ่านมาและกรุณาทำพิธีส่งวิญญาณให้กับเพื่อนๆของเขา..... ชายหนุ่มวางแอปเปิ้ลที่เหลือลงที่หน้าหลุมศพและถอยอออกมา.....
โดยที่เขาไม่อาจรู้เลยว่า ในอีกสามวัน ไวท์ฟอร์ทจะโดนบุกโจมตี..... --
*“None of teacher better than failure” Aric’s Quote: “ไม่มีครูใดที่ดีไปกว่าความล้มเหลว”
ผ่านไปเกือบหนึ่งวันเต็มๆ เมื่อพวกเอเคลเซธสามารถล่องเรือมาถึงฝั่งได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าฝั่งนั่นคือที่ไหน แต่พวกไวท์ฟอร์ทที่เหลืออยู่ก็ขยับร่างกายลงมาเหยียบพื้นดินที่มั่นคงอีกครั้งก่อนจะนอนพักหมดแรงเรี่ยรายบนชายหาด ชายหนุ่มเห็นด้วยกับพวกทหารส่วนใหญ่ที่บอกว่าเกลียดเสียงลั่นของไม้ และเบื่อหน่ายเสียงคลื่นเต็มที นั่นไม่นับการโคลงเคลงของเรือที่ทำเอาพวกเขารู้สึกอยากคายของเก่า พวกเขาทั้งอ่อนเพลียและหิวกระหาย การอยู่บนเรือที่ไม่มีเสียงอะไรเลย ไม่ได้กินแม้แต่น้ำมาหนึ่งวันเต็มๆทำให้พวกทหารไวท์ฟอร์ทหลายต่อหลายคนยอมตักน้ำทะเลขึ้นมาดื่มและนอนหมดแรงที่ชายหาดนั้น
เอเคลเซธรู้สึกว่าเขาต้องทำตัวให้เข็มแข็งกว่าคนอื่น เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มีอาการคลื่นเหียนรุนแรงเหมือนคนอื่นๆ เขาตัดสินใจชวนพ่อของเขาออกไปเดินดูรอบๆบริเวณนั้น เพื่อดูว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและหาอาหารไปด้วย เอริคยินดีเดินตามลูกชายของเขามาเพราะรู้สึกว่าขาของเขาจะเป็นง่อยอยู่แล้วกับการยืนรากงอกอยู่บนเรือนั่น
พวกเขาเดินตามชายหาดที่ลมโชยเพื่อเข้าไปในป่าที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เมื่อสองพ่อลูกอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง เอเคลเซธก็ตัดสินใจถามถึงจดหมายของลอร์ดเบโอวูล์ฟทันที
“เจ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้” เอริคตอบเรียบๆ ตัวเขาเริ่มสั่นด้วยอาการอยากเหล้า
“ข้าน่ะหรือจะไม่รู้?” เอเคลเซธเอ่ยเสียงสั่นเหมือนกัน แต่เป็นเพราะเขาหิวและอ่อนระโหยโรยแรง “แต่ข้าไม่เข้าใจต่างหากว่า ลอร์ดเบโอวูล์ฟต้องการอะไรกันแน่?”
“การที่เขาบอกให้เรากลายเป็นหมาป่าน่ะหรือ?” เอริคหันมามองลูกชายของเขาตรงๆ แบบที่เขาไม่เคยมองมาก่อนเลย “เจ้าคิดว่าเขาหมายความว่าอะไรล่ะ?”
เอเคลเซธอึกอัก เขาไม่อยากพูด แต่ในเมื่อเขาต้องสันนิษฐาน.... -- “เป็นไปได้หรือ... ว่าไวท์ฟอร์ทล่มแล้ว?”
“เป็นไปได้” เอริคเอ่ยก้าวเดินฉับๆและมองซ้ายขวาเพื่อหาอะไรกิน “หรือลอร์ดเบโอวูล์ฟก็คาดการณ์ในแง่ที่ร้ายกาจที่สุด -- ”
“เราต้องหาเรเวน” เอเคลเซธเอ่ยอย่างร้อนใจ “แล้วเราก็ต้องตามหาลีโอไนดัสด้วย!!”
“ประสบการณ์ที่พ่อปล่อยให้เจ้าทำไม่ได้สอนอะไรเจ้าเลยหรือ?” เอริคหยุดเดินและหันมาคุยกับเอเคลเซธตรงๆ เขาเงยหน้ามองลูกชายที่สูงกว่า “ความใจร้อน -- ความร้อนรนของเจ้า ความที่ขาดประสบการณ์ของเจ้านำพาให้เจ้ามาถึงจุดๆนี้ มีการแก้ไขสถานการณ์ที่ดีกว่านี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ข้าไม่พูดไม่ทำอะไร...... เจ้ารู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร?”
“เพราะอะไรกันล่ะ?” เอเคลเซธเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประชด
“เพราะเจ้าคือผู้นำของเรา” เอริคตอบและเดินต่อ “ลอร์ดเบโอวูล์ฟมอบหมายหน้าที่นี้ให้เจ้ากับข้า และข้าก็เห็นว่าความล้มเหลวจำเป็นสำหรับเจ้า -- ”
“อ้อ..... พ่อคงสะใจที่เห็นข้าล้มเหลวงั้นสิ?”
*“None of teacher better than failure” เอริคเอ่ย “และก็ใช่ -- พ่อแอบสะใจนิดๆ” พ่อของเขายักคิ้วให้และยิ้มให้กำลังใจขณะพูดล้อเล่นกับลูกชาย
“ตลกตายล่ะ พ่อ......” เอเคลเซธพ่นลมหายใจออก “ท่านไม่ใช่สิงโตนะ ที่จะสอนลูกของมันโดยการผลักให้ตกหน้าผา.... เราพ่อลูกเป็นจิ้งจอกนะ”
“อาฮะ.....” เอริคเอ่ยช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆเช่นกัน “ใช่แล้ว.....”
“ท่านพ่อ.... ฟังนะ..... ข้าเสียใจ” เอเคลเซธพูดและก้มหน้าลงขณะย่ำเท้าตามขาสั้นๆของพ่อเขาไป “ข้าเพิ่งเข้าใจว่าจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของข้าคือการตัดสินใจในสถานการณ์เฉพาะหน้า.... ข้าเก่งแต่เรื่องที่ต้องใช้เวลาและการวางแผนที่รอบคอบรัดกุม ถ้าให้ท่านพ่อเป็นผู้นำในครั้งนี้เราก็คงไม่สูญเสียมากถึงขนาดนี้.....”
“เสียใจที่ต้องบอกว่าพ่อไม่มีความเป็นผู้นำ และไม่เคยคิดอยากเป็นผู้นำเลยลูกชายเอ๋ย” พ่อของเขาบอกก่อนจะเจอต้นแอปเปิ้ลที่มีผลอยู่เต็มต้น เอริคย่อตัวลงและทำตัวเป็นฐานให้ เอเคลเซธเหยียบขึ้นไปเพื่อเด็ดแอปเปิ้ลบนต้น “จะมีทหารคนไหนอยากจะติดตามตาแก่ขี้เมาบ้าง? พวกเขาต้องการผู้นำที่หนุ่มแน่น ชาญฉลาด และกล้าหาญ นะลูกชาย -- ”
“ที่พ่อพูดนั่นก็ไม่ใช่ตัวข้าเลย” เอเคลเซธเอ่ยก่อนจะเหยียบเข่า มือและไหล่ของพ่อเขาเพื่อไต่ขึ้นไปบนกิ่งไม้ลงใช้มืออันสั่นเทาเนื่องจากความหิวปลดแอปเปิ้ลส่งให้พ่อของเขาซึ่งกัดกินลูกแรกหมดไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาที “ท่านกำลังพูดถึงลอร์ดเบโอวูล์ฟสมัยหนุ่มๆต่างหาก”
“แล้วตอนนี้ ลองค่อยๆคิดและบอกมาซิว่าแผนการขั้นต่อไปเจ้าจะทำอะไร?” เอริคเอ่ยและถอดเสื้อคลุมออกมาและเก็บแอปเปิ้ลที่เอเคลเซธโยนลงมาใส่ให้มากที่สุด
“ท่านต้องบอกข้ามาก่อน” เอเคลเซธเอ่ยพลางชะเง้อมองหาแอปเปิ้ลลูกต่อไปที่เหมือนจะไกลเอื้อมมือ “ว่าจดหมายของลอร์ดเบโอวูล์ฟมีความเป็นไปได้อีกอย่าง”
เอริคแสยะยิ้ม เขาพอใจที่ลูกชายใจเย็นลงบ้างแล้ว “หมาป่าตัวผู้น่ะนะ.... เมื่ออายุพอสมควรแล้วจะแยกตัวออกจากฝูงไปอยู่ด้วยตัวเอง หมาป่าที่อยู่ตัวเดียวมาก่อนจะแข็งแกร่งและดุร้ายกว่าพวกที่อยู่กันเป็นฝูง มันจะสร้างอาณาเขตและฝูงของมันเองในภายหลัง......”
เอเคลเซธเข้าใจความหมายของพ่อเขาว่ามันหมายความว่าอะไร...... --
“แต่พวกเราเป็นจิ้งจอก -- ”
“คำสั่งของลอร์ดเบโอวูล์ฟคือ จงกลายเป็นหมาป่า” เอริคก้มหน้าก้มตาเก็บแอปเปิ้ลต่อจนแทบจะล้นผ้าคลุม ในขณะที่เอเคลเซธโหนตัวกระโดดลงจากต้นแอปเปิ้ล “เจ้าเติบโตเกินกว่าจะอยู่ในฝูงที่ไวท์ฟอร์ทได้แล้ว..... และทั้งหมดนั่นคือเหตุผลที่พ่อต้องปล่อยให้ลูกเผชิญหน้าปัญหาทั้งหมดตามลำพัง..... ”
“ข้าไม่เข้าใจ..... ท่านพ่อ......” เอเคลเซธคิ้วขมวด
“พ่อจะไม่บอกว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจหรอกนะ.... มันน้ำเน่าเกินไป” เอริคพูดพลางมัดผ้าคลุมให้กลายเป็นถุงบรรจุแอปเปิ้ลก่อนจะยื่นมาให้ลูกชายแบก “เอาเป็นว่าค่อยๆทำความเข้าใจไปก็แล้วกัน”
เอเคลเซธจ้องหน้าพ่อของเขา และรับถุงมาแบกไว้ ก่อนจะปัดฝุ่นดินที่ไหล่ของพ่อเขาออกไป เอริคเก็บแอปเปิ้ลที่กลิ้งอยู่อีกสองสามลูกขึ้นมาแทะกินก่อนจะเดินนำเอเคลเซธกลับ โดยที่เก็บกิ่งไม้แห้งไปด้วย
เมื่อพวกเขากลับมาถึงก็มืดมากแล้ว เอเคลเซธพบว่าทหารยังคงนอนกลิ้งกันอยู่มีอยู่แค่ไม่กี่คนที่นั่งอยู่ข้างๆเพื่อน เอเคลเซธวางถุงแอปเปิ้ลและร้องเรียกว่า อาหารมาแล้ว -- ทว่าไม่มีใครลุกมาเลย
ชายหนุ่มนึกสงสัยก่อนจะตะโกนเสียงดังกว่าเดิมแหวกสายลมว่า อาหารมาแล้ว
มีเพียงทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา ทหารคนนั้นร้องไห้ปากคอสั่น
“เกิดอะไรขึ้น!!” เอเคลเซธร้องถามอย่างตกใจ
“พวก..... พวกเขา.....” ทหารชี้ไปยังเพื่อนๆของเขาที่นอนอยู่ “ทุก..... ทุกคน..... ตายหมดแล้วครับ..... -- ”
“อะไร...... ทำไมกัน.....?” เอริคเอ่ยอย่างตกใจเช่นกัน เขาเผลอปล่อยให้แอปเปิ้ลหลุดออกจากมือร่วงลงพื้นทราย
“พะ... พวกที่ดื่มน้ำทะเล...... ตายกันหมดเลยขอรับ” ทหารคนนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น
เอเคลเซธ เอริคกับทหารที่ยังคงรอดชีวิตอีกแปดคนยืนมองร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งกว่าเจ็ดสิบนายที่พวกเขาช่วยกันจัดศพให้นอนเรียงรายกัน แต่ละศพนั้นเอามือประสานกันและมีแอปเปิ้ลวางอยู่บนอกของทุกคน
“เราจัดพิธีศพให้พวกเขาไม่ได้...... เราไม่มีนักบวช” ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาเองก็ถือแอปเปิ้ลอยู่ แม้ท้องจะร้องคร่ำครวญแต่เขาก็ไม่กัดกิน “วิญญาณของพวกเขาจะวนเวียนอยู่ที่หาดแห่งนี้ตลอดไปไม่ได้..... เซอร์คาร์ลดีเซน -- เราต้องเชิญนักบวชมาทำพิธีให้กับพี่น้องของเรานะขอรับ......”
ในใจของเอเคลเซธทั้งสับสนและสิ้นหวัง
การออกเดินทางครั้งนี้มีแต่เรื่องเหนือความคาดหมายทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอัศวินที่มีดาบนั่น พวกพ็อตเทอร์รี่ที่ไล่ฆ่าพวกเขา..... เขาไม่รู้เลยว่าไวท์ฟอร์ทจะมีชะตากรรมอย่างไร เช่นเดียวกับชะตากรรมของลีโอไนดัส.....
เขาถูกบอกไม่ให้กลับไปที่บ้านเกิด ทหารที่รอดมาได้ไม่ถึงครึ่งก็ต้องมาตายเพราะแค่กินน้ำทะเล แถมพวกเขาก็ทำศพไม่ได้เพราะไม่มีนักบวช......
ตอนนี้ เหลือเพียงทหารแค่แปดคนจากสองร้อย เอริค และกัปตันแวนที่ยังคงไม่ได้สติ.....
ไร้กำลัง ไร้อำนาจ ไร้ทรัพย์.....
สิ่งเดียวที่เขามีอยู่คือ แอปเปิ้ลที่อยู่ในมือ
เอเคลเซธกัดกินผลแอปเปิ้ลนั้นเงียบๆ ทุกคนก็กินตาม
เอเคลเซธแนะนำให้ฝังศพของพวกทหารไว้ที่ชายหาดและตั้งป้ายใจความว่า
Our FRIENDS who invited to have a meal, Could not take the Last Apple…. They sleep quietly and calmly left us only the sorrow until the Sanctuary’s men will relief our sadness for FRIENDS’ Soul.
(เพื่อนแห่งเราผู้ซึ่งได้รับเชิญร่วมโต๊ะ มิสามารถรับแอปเปิ้ลเป็นคราสุดท้าย.... พวกเขาหลับลงอย่างเงียบสงบทิ้งไว้เพียงความโศกเศร้าแก่เรา จนกว่าผู้มาจากแซงจัวรี่จักปลดปล่อยความเศร้าของเราและปวงวิญญาแห่งเพื่อนเรา)
เอเคลเซธมองป้ายด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ เขาไม่อาจบอกว่าเพื่อนที่นอนอยู่ภายใต้หลุมศพนั้นคือใคร และไม่อาจลงชื่อผู้จารึกถ้อยคำหน้าหลุมศพ..... เพราะหากมีคนรู้ว่าศพเหล่านี้เป็นทหารของไวท์ฟอร์ท พวกเขาอาจโดนรบกวนได้.....
เขาได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง.... จะมีนักบวชสักคนที่ผ่านมาและกรุณาทำพิธีส่งวิญญาณให้กับเพื่อนๆของเขา..... ชายหนุ่มวางแอปเปิ้ลที่เหลือลงที่หน้าหลุมศพและถอยอออกมา.....
โดยที่เขาไม่อาจรู้เลยว่า ในอีกสามวัน ไวท์ฟอร์ทจะโดนบุกโจมตี..... --
*“None of teacher better than failure” Aric’s Quote: “ไม่มีครูใดที่ดีไปกว่าความล้มเหลว”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ