7Swords
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) Fox & Wolf
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 19 Fox & Wolf
“ตามไปดีมั้ย?” เอเคลเซธเอ่ยน้ำเสียงลอยๆฝันๆ ภาพลิลลี่สบตากับเขายังคงแจ่มชัดในมโนจิต
“ไปยังไงล่ะ?” เอริคถาม เขายังคงจับพังงาแน่น “หนึ่งด้วยความเร็วนี่กับเรือปิศาจนั่น...... สองพวกเราไม่มีใครบังคับเรือเป็น...... สามกัปตันแวนสลบไปตายแล้วหรือยังก็ไม่รู้ และสี่..... ตอนนี้ข้าเริ่มเมาเรือแล้ว -- ”
เอเคลเซธถอนสายตาจากเรือที่หายลับไปนานแล้ว เขารีบเดินไปหาแวน ผู้ซึ่งยังคงนอนคว่ำเลือกจากข้อมือท่วมตัว เขาหายใจรวยริน
“ข้าจะตายมั้ย?” แวนถามด้วยเสียงแหบพร่า
“ตายแน่ๆ ถ้าไม่รีบทำแผลนี่ -- แค่โพกผ้าเอาไว้มันไม่ทำให้เลือดหยุดได้......” เอเคลเซธมองเข้าไปในดวงตาที่เริ่มลอยๆเข้าไปในเปลือกตาของแวน เขาขบฟันแน่นเพื่อบอกให้รู้ว่ามีวิธีเร่งด่วนและดีกว่าในการห้ามเลือด
“มีเหล้ามั้ย?” แวนถามหอบๆ เขากัดฟันพูดทุกพยางค์เพราะเข้าใจว่าเอเคลเซธจะทำอะไร “ถ้าต้องทำมันจริงๆ ข้ามต้องการมัน -- !!”
ชายหนุ่มหันไปมองพ่อของเขาซึ่งตะโกนสั่งทหารว่า “เฮ้ย รีบค้นเรือด่วนเลย -- !!”
แต่เอเคลเซธเดินเข้าไปหาและแบมือออกมา เอริคมีสีหน้าปั้นยากก่อนจะล้วงเข้าไปในอกเสื้อและหยิบขวดดีบุกทรงแบนขวดเล็กออกมา และมองมันด้วยความอาลัยสุดแสน ก่อนจะยัดมันใส่มือของลูกชายและกัดริมฝีปากเบือนหน้าหนี น้ำตาปริ่ม
“นี่เป็นเหล้าดีกรีสูงที่สุดในโลก ทั่วทั้งโลกคงมีอยู่แค่สิบขวด -- พ่อข้าได้ไอ้นี่มาเมื่อตอนยังหนุ่ม แต่ไม่เคยแตะมันเลย......” เอเคลเซธพูดพลางแกะผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือดออกจากมือของแวน “อย่างมากสุดก็แค่เอามาดมๆกลิ่นบ้างตามขอบ” ชายหนุ่มปิดฝา กลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งกระจายออกมาทันที มันเป็นกลิ่นที่รุ่นแรงแต่เย้ายวนมากทีเดียว เพียงแค่ดมกลิ่นก็ทำให้ร่างกายร้อนขึ้นมากะทันหัน เอริคหลับตาลงใบหน้าบูดเบี้ยวน้ำตาไหลลงอาบแก้ม
ชายหนุ่มเทเหล้าใส่แผลข้อมือของแวนที่แหวะหวะ ก่อนจะเทเหล้าใส่มีดและเอาไปเผาไฟเพื่อฆ่าเชื้อ ไฟลุกโพลงขึ้นมาทันที ประเดี๋ยวเดียวมีดนั้นก็แดงก่ำด้วยไฟที่ร้อนแรง เอเคลเซธมองแวนอย่างแน่วแน่
แวนไม่ยอมมองมือที่ด้วนของเขา เขายกเหล้าจากขวดดีบุกแบนนั่นจ่อปากและหันหน้าไปทางอื่น เขาหายใจกระชั้นชิด
เอเคลเซธนาบมีดลนไฟนั้นใส่แผลของแวนอย่างรวดเร็ว เขากดไล่แผลด้วยเสียงที่ดัง ฉ่า – กลิ่นเนื้อไหม้ลอยฟุ้งในอากาศ แวนกรีดร้องทาบไม่เป็นเสียงเขาดีดดิ้นด้วยความเจ็บปวดแต่พยายามไม่กระชากแขนกลับ
เอเคลเซธใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้การสมานแผลแบบเร่งด่วนนั้น เขาค่อยๆวางแขนของแวนลง
“เก่งมาก -- ท่านเก่งมาก แวน เดอ มูชเชอร์” เอเคลเซธปาดเหงื่อออก เขาคิดในใจว่าคงจะงดเมนูย่างไปอีกนาน ก่อนจะลงหมดแรงลงข้างๆ “พยายามตากลมไว้ให้แห้งเร็วๆ อ้อ... อย่าให้โดนน้ำด้วยล่ะ”
แวนกระดกเหล้าที่เหลือลงคอก่อนจะโยนขวดดีบุกส่งกลับให้เอริค “ข้าขอสาบานว่าต่อให้ตาย ข้าจะหาเหล้านั่นมาให้ท่านขวดหนึ่งแบบไม่พร่องเลย สหาย..... -- ”
เอริคเทเหล้าจากขวดอย่างมีความหวัง แต่ก็ไม่มีอะไรหยดลงมา เขาร้องไห้เงียบๆก่อนจะเก็บขวดแบนนั้นกลับที่เดิมด้วยอาการชอกช้ำเหลือคณา *“Keep your word…..” เขาบอกก่อนที่แวนจะสลบไป
เรือของพวกไวท์ฟอร์ทแล่นเลียบชายฝั่งไปอย่างไร้จุดหมาย เอริคเสนอให้ทิ้งสมอ ก่อนจะรีบวิ่งไปคายของเก่า พวกไวท์ฟอร์ทเกือบทั้งหมดมีอาการเมาเรือกันถ้วนหน้า ไม่สามารถจะเคลื่อนไหวกันได้ เอเคลเซธเก็บความคิดที่จะเสนอว่าให้ลองแล่นเรือกลับชายฝั่ง เพราะพวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรอีกต่อไป ทุกคนต่างเมาเรือ และตอนนี้บริเวณโดยรอบต่างมืดมิดมองไม่เห็นฝั่งเลย
เรือโคลงไปมาตามกระแสคลื่น พวกทหารต่างนอนกันหน้าซีดนานๆครั้งจะมีคนวิ่งไปคายของเก่าแม้ว่าจะไม่มีให้คายอีกแล้วก็ตาม
“แบบนี้มันแย่จริงๆเลยแฮะ.....” เอเคลเซธเอ่ยพลางมองไปยังบริเวณโดยรอบ “ถึงจะคาดการณ์เตรียมตัวถึงการลอบโจมตี แล้วก็จริง แต่ไม่ยักกะคิดว่าจะมาจอดกับอาการเมาเรือแบบนี้” เอเคลเซธเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาการเมาเรือต่างจากคนอื่นๆ แวนเองก็นอนไม่ได้สติอยู่ด้านใน เขาเดินเข้าไปในใต้ท้องเรือซึ่งทหารที่เจ็บตัวและไม่สบายแออัดกันอยู่ที่นั่น “ทนให้ถึงรุ่งเช้านะทุกคน..... ขืนรอให้กัปตันแวนตื่นมาก็อาจกินเวลาไปหลายวัน พรุ่งนี้แข็งใจล่องเรือกันเข้าชายฝั่ง.... อย่างน้อยเราจะได้ดีขึ้น” พวกทหารเงียบไม่ตอบกลับ ต่างคนต่างอ่อนเพลียเกินกว่าจะตอบ หรือไม่ก็กลัวว่าถ้าขยับตัวก็จะคลื่นไส้ ได้แต่นอนขดกับพื้นไม้แข็งๆบนเรือนั้น
เอเคลเซธขอให้โคล์ดี้เตรียมเรือไว้ให้เผื่อหนี โดยใช้เงินที่ไดจากการขายพวกเชลย แต่เหมือนว่า ยังเตรียมอะไรไม่พร้อมมากนัก เสบียงอะไรบนเรือยังไม่มี ทั้งนี้เป็นเพราะเขาไม่อยากให้พวกพ็อตเทอร์รี่ผิดสังเกตว่าพวกเขาซื้อเรือแถมเตรียมเสบียงไว้..... –
ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่า เขาทำผิดพลาดในหลายๆเรื่อง..... เขาทนความร้สึกผิดไม่ไหวจึงออกจากใต้ท้องเรือที่อุดอู้ออกมารับลมหนาวยามราตรีแต่เพียงผู้เดียว เอเคลเซธเติมฟืนใส่กระถางไฟก่อนจะนั่งหันหลังเพื่อผิงไฟ และจ้องมองไปยังมวลหมู่ดาวที่พราวพร่างเกลื่อนฟ้า
ช่างน่าแปลกใจ.....
ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดมา ท่ามกลางหมู่ดาวที่ยังคงส่องแสง ทำให้เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า เขาเพิ่งจะเสียชาวไวท์ฟอร์ทที่เป็นทั้งทหาร เพื่อน และผู้ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาไปกว่าครึ่ง.... ทั้งๆที่คืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายของเขา.... อาจจะเป็นเขาที่นอนตายที่ท่าเรือ.....
แต่เขาก็ยังรอดมาได้.... --
นั่นแหละที่เขาสงสัย..... พวกทัพซุ่มโดนอัศวินนั่นจู่โจมทันทีที่ทำงานพลาด พวกโจรสลัดก็ถูกจัดการแบบเดียวกันเมื่อเรือออกจากเมืองพ็อตเทอร์รี่ไป.....
คำถามคือ..... -- ทำไมพวกเขายังไม่โดนฟ้าผ่าจนไหม้ดำเป็นตอตะโกและจมน้ำลงไปนับอาหารให้สาหร่ายทะเล? เพราะอะไรกันที่อัศวินนั่นถึงยังไม่ลงมือ?
รุ่งเช้าที่ไวท์ฟอร์ท ลอร์ดเบโอวูล์ฟก็ได้รับจดหมายน่าตื่นตระหนกจากหอเรเวน สายรายงานมากล่าวถึงการกรีฑาทัพของทหารราวหนึ่งหมื่นคนจากเบรฟเวอรี่การ์เดน.... -- ทหารของพระราชา และทัพหนุนจากพ็อตเทอร์รี่ ที่เตรียมเดินทางมาที่ไวท์ฟอร์ทด้วยเช่นกัน
ไลโอซ่าร์ดูจะตกใจกับข่าวนี้น้อยมาก เขาบัญชาการให้ทหารเตรียมการรบทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ ไลโอซ่าร์” ลิมพาเนียรีบเดินมาหาเขาเธอดูร้อนใจอย่างมากเมื่อทราบข่าวการรบที่กำลังจะเกิดขึ้น
“เราจะเข้าสู่ภาวะสงครามอีกครั้งหลังจากว่างเว้นมาถึงยี่สิบห้าปีนั่นล่ะ” ไลโอซ่าร์เอ่ยขรึมๆ
“เป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อเราเพิ่งจะต้อนรับเลดี้โรสไปนะคะ.... -- ” ลิมพาเนียเดินตามไลโอซ่าร์ที่ประคองนางตามไปด้วย
“เจ้ายังไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ดีพอ.... ลิมพาเนีย” ไลโอซ่าร์มองภาพของชาวเมืองที่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมตัวรับสงคราม
“ทำไมกันคะ? เราทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือ?”
“ลิมพาเนีย......” ไลโอซ่าร์จับต้นแขนทั้งสองข้างของภรรยาไว้และย่อตัวลงเล็กน้อยจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันและพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าอยากขออะไรเจ้าอย่างหนึ่ง”
“อะไรล่ะคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลง
“รับปากข้าก่อน -- ”
“ไม่!! จนกว่าท่านจะบอกข้าก่อนว่าท่านจะทำอะไร -- ”
“ลิมพาเนีย!!” ไลโอซ่าร์มีสีหน้าทุกข์ใจ “ได้โปรดเถอะ เห็นแก่ข้า -- ”
“อย่าเอาคำๆนั้นมาอ้างหน่อยเลย..... ท่านจะให้ข้ารับปากในเรื่องที่ข้าไม่รู้ได้ยังไงกัน?” ลิมพาเนียบอกอย่างจริงจังและไม่เห็นด้วย ไลโอซ่าร์หลับตาสูดลมหายใจและเอ่ยว่า
“ข้าอยากให้เจ้าพาไลโอเนลลี้ภัยไปกับนักบวชฮาน -- ”
“อ้อ.... นี่ท่านจะทิ้งข้าเหรอคะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลย!!” ไลโอซ่าร์ร้อง “ที่ข้าขอร้องเจ้าแบบนั้นเพราะ ข้าห่วงเจ้า -- พวกลูกๆของเรา!!”
“ถ้าข้าขอร้องท่านแบบเดียวกันให้ไปจากไวท์ฟอร์ท.... ทิ้งให้ข้าเผชิญหน้าอันตรายเพียงลำพัง ท่านจะรู้สึกอย่างไรล่ะคะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น.....” ไลโอซ่าร์ดึงลิมพาเนียเข้ามาใกล้ ซึ่งเธอก็ยินยอมให้สามีกอดแต่โดยดี “ข้าเพียงแต่อยากให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัย ข้าจะได้รบอย่างไม่กังวล......”
ไลโอซ่าร์กอดภรรยาของเขาอยู่นานทั้งสองนิ่งและเงียบ ลิมพาเนียปล่อยให้ไลโอซ่าร์กอดอยู่อย่างนั้นก่อนจะเอ่ยว่า “ตกลงค่ะ.....”
ไลโอซ่าร์ปล่อยเธอช้าๆก่อนจะจับต้นแขนของเธออีกครั้งและจ้องตาเธอ
“แต่ข้าจะไปก็ต่อเมื่อเราคับขันจริงๆนะคะ......”
“ลิมพาเนีย -- ไม่เอาน่า.....” ไลโอซ่าร์เอ่ยอย่างร้อนรน
“ถ้างั้น.....” จู่ๆเธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะท้านก่อนน้ำตาจะไหลลงอาบแก้ม “ท่านต้องสัญญามาก่อน ว -- ว่า ท่านจะไม่ตาย ท่านจะอุ้มลูกของเรา แล้วตั้งชื่อให้กับเขาหรือเธอ -- ......”
“แน่นอน.....” ไลโอซ่าร์เอ่ยและปาดน้ำตาให้กับภรรยาก่อนจะดึงมากอดอีกครั้ง “ข้าสัญญา......”
ทั้งสองกอดกันท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาอีกครั้ง......
*“Keep your word…..” Aric’s Quote: “รักษาคำพูดด้วยล่ะ.....”
สำหรับเอริค เหล้าขวดนั้นถือเป็นสมบัติล้ำค่า แต่การที่เขายอมเสียสละเพื่อใช้มันในการช่วยเหลือคนนั้น.....และบอกกับ กัปตันแวนว่าให้รักษาคำพูดที่บอกว่าจะหาเหล้ามาใช้คืนให้ได้...... เอริคจะพูดเฉยๆเพื่อเอาบุญคุณหรือพูดเพราะอยากได้เหล้าคืนจริงๆ...... ก็สุดแต่เราจะคาดเดาได้ --
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ