7Swords
9.6
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
31 chapter
3 วิจารณ์
28.76K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) Bread and Bacon
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 15 Bread and Bacon
ลีโอไนดัสตื่นขึ้น เขาลืมตามองทั่วห้องที่เริ่มสว่างแล้ว แม้จะไม่มีแสงแดด แต่ถ้าเขาอยู่ที่ไวท์ฟอร์ทตามปกติแล้ว เขาคงกำลังออกกำลังกายในลานฝึกกับพวกเพื่อนๆและคงกำลังฟาดฟันดาบอย่างสนุกสนาน เขาพลิกตัวในเตียงนุ่มนั้นแต่ในใจคิดถึงความเย็นสบายตอนที่เขาโดนต่อยจนใบหน้าฟุบกับกองหิมะ และลุกขึ้นมาหัวเราะกับพวกทหารแล้วหาอะไรอุ่นๆกิน.....
เขาพลิกตัวอีกครั้งก่อนจะยอมรับว่าเขานอนต่อไม่ไหวแล้ว..... พ่อของเขาไม่เคยว่าอะไรเลยตอนที่เขาแอบดื่มเบียร์หรือเหล้าเพื่อเพิ่มความอุ่นให้กับร่างกาย (เพียงแค่ห้ามบอกแม่เขาว่าพ่อเห็นเขาแอบดื่ม) แต่เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับว่า เมื่อมาอยู่พ็อตเทอร์รี่แล้วความอยากในการดื่มของเขาไม่มีเลยสักนิด โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับเอริค.... จิ้งจอกขี้เมา ผู้ดื่มเหล้าวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง
เอริคกำชับให้เขาซ่อนตัว ซึ่งลีโอไนดัสก็ทราบดีถึงความสำคัญข้อนี้ ว่าการปล่อยให้ผู้ที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูรู้ถึงการมีตัวตนของลูกชายลอร์ดเบโอวูล์ฟแห่งไวท์ฟอร์ทอยู่ในเมือง เป็นเรื่องที่โง่เง่าชนิดสุดกู่ทีเดียว ก็จริงอยู่ที่เขาเป็นคนที่แอบตามพวกจิ้งจอกพ่อลูกมาเอง แต่เขาคาดคิดว่าจะเจอการผจญภัย การต่อสู้ การอยู่ร่วมในเหตุการณ์อันอาจจะเป็นตำนานเล่าสืบต่อกันในภายหลัง เหมือนตอนที่พ่อของเขาในวัยสิบหกปีที่ได้ออกรบครั้งแรก -- ไม่ใช่การหลบซ่อนตัวแบบนี้.....
ลีโอไนดัสเดินไปที่ริมหน้าต่างและเหม่อมองท้องทะเลที่คืนวานเขาเห็นมันอีกครั้ง...... -- สายฟ้าปริศนาที่น่าจะมาจากตำนาน เซเวนซอร์ดส์.... ดาบแห่งขุมพลังและอำนาจตามตำนานที่เขาได้ยินมาแต่เด็ก..... เขาสงสัยเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าอัศวินที่ถือดาบสายฟ้านั่นคือใคร เขาได้ดาบในตำนานมาจากไหน และทำไมต้องคอยเล่นงานพวกเขา?
เอริคไม่ค่อยแสดงความเห็นเรื่องนี้ เอเคลเซธเองก็มีทฤษฎีเป็นสิบๆแต่เขาเลือกที่จะไม่ฟัง เพราะบางครั้งยิ่งฟังคนฉลาดอธิบายมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกโง่มากเท่านั้น
ท้องของเด็กหนุ่มส่งเสียงคร่ำครวญ เขาจึงเดินลงจากห้องพักชั้นสองเพื่อลงไปหาอะไรกินด้านล่าง
บาร์เหล้าในยามเช้านั้นบรรยากาศแตกต่างกับยามค่ำคืนเป็นหน้ามือกับหลังมือ ซึ่งลีโอไนดัสค้นพบว่าเขาชอบบรรยากาศตอนนี้มากกว่า มันทั้งเงียบสงบและโล่งหูโล่งตา แม้จะมีกลิ่นเหล้าเจือปนในอากาศหน่อยๆ แต่เตาผิงที่ส่งกลิ่นไม้ไหม้และเสียงเปรี๊ยะๆในอากาศยามเช้าที่ค่อนข้างเย็นก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้น ลีโอไนดัสเดินเข้าไปใกล้เตาผิงข้างบาร์ซึ่งเป็นเตาเดียวที่ลุกโชนอยู่ก่อนจะยืนเอามืออังไฟ
“อ้าว ตื่นเช้าเชียว?” เสียงทักดังมาจากหลังบาร์ ลิลลี่สาวเสิร์ฟที่มีกระบนใบหน้ามองเขาตาปรือหน่อยๆเหมือนนอนไม่ค่อยอิ่มนัก เธอน่าจะอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี “นี่นายมากับพวกไวท์ฟอร์ทเหรอ?”
ลีโอไนดัสนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมใส่หมวกเกราะ ขณะที่เขากำลังอึกอักหาคำตอบเงียบๆนั้น ลิลลี่ก็อ้าปากหาวและยกห่อผ้ายาวขึ้นมาก่อนจะแก้ออกและขนมปังแข็งแท่งยาวสามสี่แท่งก็กลิ้งออกมา เธอยกเขียงออกมาและทุบขนมปังจนแบนแล้วหั่นออกเป็นแผ่นๆ ก่อนจะส่งให้กับลีโอไนดัสบนจานประมาณสามสี่แผ่น พร้อมกับเบคอนเย็นๆวางมาในจานด้วย
“เอาเบคอนย่างกับขนมปังก่อนนะ แล้วค่อยกิน” เธอส่งไม้คีบมาให้ “เดี๋ยวขอตัวเอาอาหารเช้าไปเสิร์ฟก่อนนะ” แล้วเธอก็เดินฉับๆก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกับถาดขนมปังทุบกับเบคอน ลีโอไนดัสเคาะขี้เถ้าออกจากไม้คีบและลองเอาขนมปังย่างกับเบคอนดูที่เตาผิง
เขาทำขนมปังไหม้ไปครึ่งแผ่นเมื่อลิลลี่โผล่กลับมา เธอคว้าไม้คีบและจัดการให้กับเขา
“ที่นี่เงียบดีเนอะครับตอนเช้าๆ” ลีโอไนดัสเอ่ยอย่างกระดาก โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิง
“ใช่ ตอนคนเยอะๆก็สนุกดีอยู่หรอก แต่ตอนเช้าๆแบบนี้สบายหูกว่า.... -- เอ้านี่” เธอส่งขนมปังที่ปิ้งกำลังดีโดยมีเบคอนที่ส่งเสียงฟู่เบาๆบ่งบอกว่าร้อนได้ที่ย่างกำลังดี เด็กหนุ่มกัดเข้าไปคำหนึ่งและรู้สึกว่ามันอร่อยใช้ได้เลย
“อร่อยดีครับ” เขาพูดพลางเคี้ยวขนมปังกรวมๆ ลิลลี่ยักไหล่นิดๆก่อนจะลงมือ ย่างขนมปังต่อ
“ที่ไวท์ฟอร์ทคงหนาวกว่านี้มากเลยใช่มั้ย?” เธอถาม ทำเอาลีโอไนดัสสำลัก ขนมปังติดคอ “เอ้านี่ -- ” เธอส่งไวน์ให้เขา ลีโอไนดัสรีบดื่มเข้าไปอึกใหญ่ๆ
“ระ -- รู้ได้ไงครับ ว่าผมมาจากไวท์ฟอร์ท” เขาถามหลังจากไอและหอบหายใจพักใหญ่
“มีแต่ชาวไวท์ฟอร์ทแหละที่กินของร้อนยังกับไฟลุกได้หน้าตาเฉย” เธอบอกเรื่อยๆ และกัดขนมปังบ้าง
“อืม...... แล้วคุณ......” จู่ๆลีโอไนดัสรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมา เขาวางตัวไม่ถูกเมื่อถูกจับได้ไวอย่างนี้
“เรียกว่า ลิลลี่ก็พอ” เธอบอกพลางยื่นขนมปังให้เขาอีกชิ้น “ไปนะ เดี๋ยวต้องไปทำความสะอาดต่อ -- ”
“ครับ.....” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ ก่อนที่เขาจะหยิบขนมปังขึ้นมากินด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ซึ่งเขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร..... --
“เอ๋....... ตกลงว่า -- ท่านไม่คิดว่าพวกดราก้อนที่ยกไปโจมตีเมืองเลฟท์ฮิลล์มีเซเว่นซอร์ดส์หรอกเหรอคะ?” ลิลลี่ถามเอริคเมื่อเลยถึงยามบ่ายแล้ว โดยที่เอริคคลานลงมาและร้องหาเอลดังลั่น
“มีเหตุผลอะไรที่เราต้องเชื่อล่ะ ว่าพวกดราก้อนมีดาบในตำนาน?” เอริคนอนเหยียดบนเก้าอี้ไม้ยาวที่พนักพิงและฐานนั่งบุด้วยหมอนนุ่มๆ เขาถามกลับก่อนจะยื่นแก้วไม้ให้ลิลลี่เติมเบียร์ที่ทำจากมอลต์ของข้าวบาร์เล่ย์จนเต็มแก้ว
“ก็จากคำร่ำลือกัน......” เธอมองเพดานทำหน้านึกและเหลือบตามองลีโอไนดัสที่เดินมาร่วมวงด้วย เขาหวีผมจนเรียบแปล้ “ได้ยินว่าพวกดราก้อนเอาทหารไปแค่ สองพัน แต่ใกล้จะถล่มพวกเลฟท์ฮิลล์ที่มีตั้งสองหมื่นได้นี่คะ?”
เอริคไม่ยอมตอบเขาดื่มเบียร์จนหมดและยื่นให้กับลิลลี่เงียบๆ แต่ลิลลี่ยื้อเหยือกเบียร์ไปด้านหลังสีหน้านิ่ง เหมือนจะบอกว่าถ้าเอริคไม่บอก เธอก็จะไม่เติมเบียร์ให้เขา
*“Come on…..!! Are you trying to kill me?” เอริคร้องงอแงราวกับเด็กๆ
“ตอบมาก่อนสิคะ” ลิลลี่พูดด้วยท่าทางเย้าแหย่ จนลีโอไนดัสอดยิ้มไม่ได้
“ได้ๆๆ” เอริคบอกอย่างยอมแพ้และ ลิลลี่ก็เติมเบียร์ให้เขา “สาเหตุก็คือพวกดราก้อนน่ะ ไม่มีดาบอะไรนั่นจริงๆหรอก.... ถ้ามีคงงัดออกมารบกับทัพของพระราชาเมื่อสงครามก่อนหน้านี้แล้ว......”
“แต่สงครามที่ไอออนเกทก็เกือบสิบปีแล้วนี่คะ ตอนนั้นพวกเขาอาจจะยังไม่มีดาบนั่นก็ได้” ลิลลี่ตอบ
“งั้น ลองเดาซิว่าทำไมพวกนั้นถึงปล่อยข่าวว่ามีดาบ?” เอริคถามกลับ ลิลลี่ทำท่าคิดก่อนจะพูดว่า
“ถ้าเป็นแบบนั้น ใครๆก็ต้องกลัวจริงไหมคะ? ถ้ารู้ว่าศัตรูมีอาวุธวิเศษอยู่ด้วย”
“ถูกต้อง -- ” เอริคบอก เขาเทเบียร์ลงคอทั้งๆที่นอนอยู่ก่อนจะเอ่ยว่า “คิดถึงข้อดีของการบอกว่าเอากองทัพไปสองพัน แต่จริงๆขนไปสองหมื่นสิ?”
“แบบนั้น......” เธอทำตาลุกวาว “เมืองอื่นๆก็จะคิดว่า ไอออนเกทมีกองกำลังรักษาเมืองอยู่จนไม่มีใครกล้ายกทัพไป แล้วพวกเลฟท์ฮิลล์ก็จะประมาทเพราะศัตรูมาน้อย..... -- ”
“พอตีจนใกล้แตก ก็ปล่อยข่าวว่าใช้กำลังแค่สองพันซึ่งถ้าผนวกกับข่าวลือที่ว่าอาจจะมีดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยทำให้การโจมตีนั้นได้เปรียบ -- มันก็ลงตัวใช่มั้ยล่ะ?” เอริคเอ่ยและยื่นแก้วที่ว่างลงมาให้ลิลลี่อีกครั้ง
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ถือว่า พวกเขาร้ายจริงๆนะคะ” เธอพูดพลางเติมเบียร์ “กล้าใช้ลูกไม้แบบนี้”
“ที่ร้ายจริงๆน่ะ คือข้อมูล..... สาวน้อย.....” เอริคเอ่ยยิ้มๆ “เธอมีหนุ่มที่ปิ๊งหรือยังล่ะ?” ชายวัยกลางคนถามคำถามที่ทำเอาลีโอไนดัสนั่งตัวตรงขึ้นอย่างกะทันหัน
“ไม่ค่ะ -- แล้วท่านก็ไม่ใช่แบบที่หนูชอบด้วย” เอริคสำลักเบียร์และหัวเราะก๊ากๆอย่างขบขัน
“ฉันเพิ่งจะเจอผู้หญิงหัวไวอย่างเธอ.....” เขาพูดพลางปาดน้ำตาที่เกิดจากความขบขัน “เลยคิดว่าเธอน่าจะเอาลูกชายของฉันอยู่ -- ” ลีโอไนดัสเหี่ยวลงทันตาเห็น
“แล้วลูกชายของท่านเขาหล่อมั้ยคะ?”
เด็กหนุ่มเหี่ยวลงกว่าเดิมเมื่อได้ยินเธอถามกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง
เอเคลเซธอ้าปากหาวอย่างยาวนาน เขาตื่นทำอะไรบางอย่างในห้องทั้งคืน ก่อนจะหลับไปและเพิ่งจะตื่นอีกทีตอนบ่าย ชายหนุ่มเปิดประตูเพื่อจะลงไปหาอะไรกิน
“อ้าว.... ลีโอ -- ” เอเคลเซธทักง่วงๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าห้อง “มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ?”
“พี่เอเคลอย่าเพิ่งลงไปข้างล่างเลย มีขี้เมาส่งเสียงดังน่ารำคาญอยู่” ชายหนุ่มกำลังนึกหน้าชายขี้เมาที่ว่าและคิดถึง เอริคพ่อของเขา “ข้าเอานี่มาให้ พี่จะได้ไม่ลำบากเดินลงไป” ลีโอไนดัสส่ง ขนมปังทุบที่ย่างแล้วกับเบคอนมาให้เอเคลเซธซึ่งรับไว้งงๆ “พักต่อให้สบายนะ พี่เอเคล!!”
แล้วเด็กหนุ่มก็ปิดประตูให้กับชายหนุ่มผู้ซึ่งกัดขนมปังพร้อมเลิกคิ้วอย่างง่วงๆ
“Come on…..!! Are you trying to kill me?” Aric’s Quote: “ไม่เอาน่า.....!! นี่เธอจะพยายามจะฆ่าฉันเหรอ?”
Come on นั้นใช้แปลได้อย่างแพร่หลาย และความหมายก็แปลได้ตามสถานการณ์นั้นๆ
เช่นถ้าเราเรียกเพื่อน “Come on” = “มาเร็ว”
หรือในประโยคที่ต้องการบอกให้ใจเย็นๆ “Come on…. Don’t be mad….” = “ไม่เอาน่า..... อย่าโมโหสิ.....”
ลีโอไนดัสตื่นขึ้น เขาลืมตามองทั่วห้องที่เริ่มสว่างแล้ว แม้จะไม่มีแสงแดด แต่ถ้าเขาอยู่ที่ไวท์ฟอร์ทตามปกติแล้ว เขาคงกำลังออกกำลังกายในลานฝึกกับพวกเพื่อนๆและคงกำลังฟาดฟันดาบอย่างสนุกสนาน เขาพลิกตัวในเตียงนุ่มนั้นแต่ในใจคิดถึงความเย็นสบายตอนที่เขาโดนต่อยจนใบหน้าฟุบกับกองหิมะ และลุกขึ้นมาหัวเราะกับพวกทหารแล้วหาอะไรอุ่นๆกิน.....
เขาพลิกตัวอีกครั้งก่อนจะยอมรับว่าเขานอนต่อไม่ไหวแล้ว..... พ่อของเขาไม่เคยว่าอะไรเลยตอนที่เขาแอบดื่มเบียร์หรือเหล้าเพื่อเพิ่มความอุ่นให้กับร่างกาย (เพียงแค่ห้ามบอกแม่เขาว่าพ่อเห็นเขาแอบดื่ม) แต่เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับว่า เมื่อมาอยู่พ็อตเทอร์รี่แล้วความอยากในการดื่มของเขาไม่มีเลยสักนิด โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับเอริค.... จิ้งจอกขี้เมา ผู้ดื่มเหล้าวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง
เอริคกำชับให้เขาซ่อนตัว ซึ่งลีโอไนดัสก็ทราบดีถึงความสำคัญข้อนี้ ว่าการปล่อยให้ผู้ที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูรู้ถึงการมีตัวตนของลูกชายลอร์ดเบโอวูล์ฟแห่งไวท์ฟอร์ทอยู่ในเมือง เป็นเรื่องที่โง่เง่าชนิดสุดกู่ทีเดียว ก็จริงอยู่ที่เขาเป็นคนที่แอบตามพวกจิ้งจอกพ่อลูกมาเอง แต่เขาคาดคิดว่าจะเจอการผจญภัย การต่อสู้ การอยู่ร่วมในเหตุการณ์อันอาจจะเป็นตำนานเล่าสืบต่อกันในภายหลัง เหมือนตอนที่พ่อของเขาในวัยสิบหกปีที่ได้ออกรบครั้งแรก -- ไม่ใช่การหลบซ่อนตัวแบบนี้.....
ลีโอไนดัสเดินไปที่ริมหน้าต่างและเหม่อมองท้องทะเลที่คืนวานเขาเห็นมันอีกครั้ง...... -- สายฟ้าปริศนาที่น่าจะมาจากตำนาน เซเวนซอร์ดส์.... ดาบแห่งขุมพลังและอำนาจตามตำนานที่เขาได้ยินมาแต่เด็ก..... เขาสงสัยเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าอัศวินที่ถือดาบสายฟ้านั่นคือใคร เขาได้ดาบในตำนานมาจากไหน และทำไมต้องคอยเล่นงานพวกเขา?
เอริคไม่ค่อยแสดงความเห็นเรื่องนี้ เอเคลเซธเองก็มีทฤษฎีเป็นสิบๆแต่เขาเลือกที่จะไม่ฟัง เพราะบางครั้งยิ่งฟังคนฉลาดอธิบายมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกโง่มากเท่านั้น
ท้องของเด็กหนุ่มส่งเสียงคร่ำครวญ เขาจึงเดินลงจากห้องพักชั้นสองเพื่อลงไปหาอะไรกินด้านล่าง
บาร์เหล้าในยามเช้านั้นบรรยากาศแตกต่างกับยามค่ำคืนเป็นหน้ามือกับหลังมือ ซึ่งลีโอไนดัสค้นพบว่าเขาชอบบรรยากาศตอนนี้มากกว่า มันทั้งเงียบสงบและโล่งหูโล่งตา แม้จะมีกลิ่นเหล้าเจือปนในอากาศหน่อยๆ แต่เตาผิงที่ส่งกลิ่นไม้ไหม้และเสียงเปรี๊ยะๆในอากาศยามเช้าที่ค่อนข้างเย็นก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้น ลีโอไนดัสเดินเข้าไปใกล้เตาผิงข้างบาร์ซึ่งเป็นเตาเดียวที่ลุกโชนอยู่ก่อนจะยืนเอามืออังไฟ
“อ้าว ตื่นเช้าเชียว?” เสียงทักดังมาจากหลังบาร์ ลิลลี่สาวเสิร์ฟที่มีกระบนใบหน้ามองเขาตาปรือหน่อยๆเหมือนนอนไม่ค่อยอิ่มนัก เธอน่าจะอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี “นี่นายมากับพวกไวท์ฟอร์ทเหรอ?”
ลีโอไนดัสนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมใส่หมวกเกราะ ขณะที่เขากำลังอึกอักหาคำตอบเงียบๆนั้น ลิลลี่ก็อ้าปากหาวและยกห่อผ้ายาวขึ้นมาก่อนจะแก้ออกและขนมปังแข็งแท่งยาวสามสี่แท่งก็กลิ้งออกมา เธอยกเขียงออกมาและทุบขนมปังจนแบนแล้วหั่นออกเป็นแผ่นๆ ก่อนจะส่งให้กับลีโอไนดัสบนจานประมาณสามสี่แผ่น พร้อมกับเบคอนเย็นๆวางมาในจานด้วย
“เอาเบคอนย่างกับขนมปังก่อนนะ แล้วค่อยกิน” เธอส่งไม้คีบมาให้ “เดี๋ยวขอตัวเอาอาหารเช้าไปเสิร์ฟก่อนนะ” แล้วเธอก็เดินฉับๆก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกับถาดขนมปังทุบกับเบคอน ลีโอไนดัสเคาะขี้เถ้าออกจากไม้คีบและลองเอาขนมปังย่างกับเบคอนดูที่เตาผิง
เขาทำขนมปังไหม้ไปครึ่งแผ่นเมื่อลิลลี่โผล่กลับมา เธอคว้าไม้คีบและจัดการให้กับเขา
“ที่นี่เงียบดีเนอะครับตอนเช้าๆ” ลีโอไนดัสเอ่ยอย่างกระดาก โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิง
“ใช่ ตอนคนเยอะๆก็สนุกดีอยู่หรอก แต่ตอนเช้าๆแบบนี้สบายหูกว่า.... -- เอ้านี่” เธอส่งขนมปังที่ปิ้งกำลังดีโดยมีเบคอนที่ส่งเสียงฟู่เบาๆบ่งบอกว่าร้อนได้ที่ย่างกำลังดี เด็กหนุ่มกัดเข้าไปคำหนึ่งและรู้สึกว่ามันอร่อยใช้ได้เลย
“อร่อยดีครับ” เขาพูดพลางเคี้ยวขนมปังกรวมๆ ลิลลี่ยักไหล่นิดๆก่อนจะลงมือ ย่างขนมปังต่อ
“ที่ไวท์ฟอร์ทคงหนาวกว่านี้มากเลยใช่มั้ย?” เธอถาม ทำเอาลีโอไนดัสสำลัก ขนมปังติดคอ “เอ้านี่ -- ” เธอส่งไวน์ให้เขา ลีโอไนดัสรีบดื่มเข้าไปอึกใหญ่ๆ
“ระ -- รู้ได้ไงครับ ว่าผมมาจากไวท์ฟอร์ท” เขาถามหลังจากไอและหอบหายใจพักใหญ่
“มีแต่ชาวไวท์ฟอร์ทแหละที่กินของร้อนยังกับไฟลุกได้หน้าตาเฉย” เธอบอกเรื่อยๆ และกัดขนมปังบ้าง
“อืม...... แล้วคุณ......” จู่ๆลีโอไนดัสรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมา เขาวางตัวไม่ถูกเมื่อถูกจับได้ไวอย่างนี้
“เรียกว่า ลิลลี่ก็พอ” เธอบอกพลางยื่นขนมปังให้เขาอีกชิ้น “ไปนะ เดี๋ยวต้องไปทำความสะอาดต่อ -- ”
“ครับ.....” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ ก่อนที่เขาจะหยิบขนมปังขึ้นมากินด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ซึ่งเขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร..... --
“เอ๋....... ตกลงว่า -- ท่านไม่คิดว่าพวกดราก้อนที่ยกไปโจมตีเมืองเลฟท์ฮิลล์มีเซเว่นซอร์ดส์หรอกเหรอคะ?” ลิลลี่ถามเอริคเมื่อเลยถึงยามบ่ายแล้ว โดยที่เอริคคลานลงมาและร้องหาเอลดังลั่น
“มีเหตุผลอะไรที่เราต้องเชื่อล่ะ ว่าพวกดราก้อนมีดาบในตำนาน?” เอริคนอนเหยียดบนเก้าอี้ไม้ยาวที่พนักพิงและฐานนั่งบุด้วยหมอนนุ่มๆ เขาถามกลับก่อนจะยื่นแก้วไม้ให้ลิลลี่เติมเบียร์ที่ทำจากมอลต์ของข้าวบาร์เล่ย์จนเต็มแก้ว
“ก็จากคำร่ำลือกัน......” เธอมองเพดานทำหน้านึกและเหลือบตามองลีโอไนดัสที่เดินมาร่วมวงด้วย เขาหวีผมจนเรียบแปล้ “ได้ยินว่าพวกดราก้อนเอาทหารไปแค่ สองพัน แต่ใกล้จะถล่มพวกเลฟท์ฮิลล์ที่มีตั้งสองหมื่นได้นี่คะ?”
เอริคไม่ยอมตอบเขาดื่มเบียร์จนหมดและยื่นให้กับลิลลี่เงียบๆ แต่ลิลลี่ยื้อเหยือกเบียร์ไปด้านหลังสีหน้านิ่ง เหมือนจะบอกว่าถ้าเอริคไม่บอก เธอก็จะไม่เติมเบียร์ให้เขา
*“Come on…..!! Are you trying to kill me?” เอริคร้องงอแงราวกับเด็กๆ
“ตอบมาก่อนสิคะ” ลิลลี่พูดด้วยท่าทางเย้าแหย่ จนลีโอไนดัสอดยิ้มไม่ได้
“ได้ๆๆ” เอริคบอกอย่างยอมแพ้และ ลิลลี่ก็เติมเบียร์ให้เขา “สาเหตุก็คือพวกดราก้อนน่ะ ไม่มีดาบอะไรนั่นจริงๆหรอก.... ถ้ามีคงงัดออกมารบกับทัพของพระราชาเมื่อสงครามก่อนหน้านี้แล้ว......”
“แต่สงครามที่ไอออนเกทก็เกือบสิบปีแล้วนี่คะ ตอนนั้นพวกเขาอาจจะยังไม่มีดาบนั่นก็ได้” ลิลลี่ตอบ
“งั้น ลองเดาซิว่าทำไมพวกนั้นถึงปล่อยข่าวว่ามีดาบ?” เอริคถามกลับ ลิลลี่ทำท่าคิดก่อนจะพูดว่า
“ถ้าเป็นแบบนั้น ใครๆก็ต้องกลัวจริงไหมคะ? ถ้ารู้ว่าศัตรูมีอาวุธวิเศษอยู่ด้วย”
“ถูกต้อง -- ” เอริคบอก เขาเทเบียร์ลงคอทั้งๆที่นอนอยู่ก่อนจะเอ่ยว่า “คิดถึงข้อดีของการบอกว่าเอากองทัพไปสองพัน แต่จริงๆขนไปสองหมื่นสิ?”
“แบบนั้น......” เธอทำตาลุกวาว “เมืองอื่นๆก็จะคิดว่า ไอออนเกทมีกองกำลังรักษาเมืองอยู่จนไม่มีใครกล้ายกทัพไป แล้วพวกเลฟท์ฮิลล์ก็จะประมาทเพราะศัตรูมาน้อย..... -- ”
“พอตีจนใกล้แตก ก็ปล่อยข่าวว่าใช้กำลังแค่สองพันซึ่งถ้าผนวกกับข่าวลือที่ว่าอาจจะมีดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยทำให้การโจมตีนั้นได้เปรียบ -- มันก็ลงตัวใช่มั้ยล่ะ?” เอริคเอ่ยและยื่นแก้วที่ว่างลงมาให้ลิลลี่อีกครั้ง
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ถือว่า พวกเขาร้ายจริงๆนะคะ” เธอพูดพลางเติมเบียร์ “กล้าใช้ลูกไม้แบบนี้”
“ที่ร้ายจริงๆน่ะ คือข้อมูล..... สาวน้อย.....” เอริคเอ่ยยิ้มๆ “เธอมีหนุ่มที่ปิ๊งหรือยังล่ะ?” ชายวัยกลางคนถามคำถามที่ทำเอาลีโอไนดัสนั่งตัวตรงขึ้นอย่างกะทันหัน
“ไม่ค่ะ -- แล้วท่านก็ไม่ใช่แบบที่หนูชอบด้วย” เอริคสำลักเบียร์และหัวเราะก๊ากๆอย่างขบขัน
“ฉันเพิ่งจะเจอผู้หญิงหัวไวอย่างเธอ.....” เขาพูดพลางปาดน้ำตาที่เกิดจากความขบขัน “เลยคิดว่าเธอน่าจะเอาลูกชายของฉันอยู่ -- ” ลีโอไนดัสเหี่ยวลงทันตาเห็น
“แล้วลูกชายของท่านเขาหล่อมั้ยคะ?”
เด็กหนุ่มเหี่ยวลงกว่าเดิมเมื่อได้ยินเธอถามกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง
เอเคลเซธอ้าปากหาวอย่างยาวนาน เขาตื่นทำอะไรบางอย่างในห้องทั้งคืน ก่อนจะหลับไปและเพิ่งจะตื่นอีกทีตอนบ่าย ชายหนุ่มเปิดประตูเพื่อจะลงไปหาอะไรกิน
“อ้าว.... ลีโอ -- ” เอเคลเซธทักง่วงๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าห้อง “มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ?”
“พี่เอเคลอย่าเพิ่งลงไปข้างล่างเลย มีขี้เมาส่งเสียงดังน่ารำคาญอยู่” ชายหนุ่มกำลังนึกหน้าชายขี้เมาที่ว่าและคิดถึง เอริคพ่อของเขา “ข้าเอานี่มาให้ พี่จะได้ไม่ลำบากเดินลงไป” ลีโอไนดัสส่ง ขนมปังทุบที่ย่างแล้วกับเบคอนมาให้เอเคลเซธซึ่งรับไว้งงๆ “พักต่อให้สบายนะ พี่เอเคล!!”
แล้วเด็กหนุ่มก็ปิดประตูให้กับชายหนุ่มผู้ซึ่งกัดขนมปังพร้อมเลิกคิ้วอย่างง่วงๆ
“Come on…..!! Are you trying to kill me?” Aric’s Quote: “ไม่เอาน่า.....!! นี่เธอจะพยายามจะฆ่าฉันเหรอ?”
Come on นั้นใช้แปลได้อย่างแพร่หลาย และความหมายก็แปลได้ตามสถานการณ์นั้นๆ
เช่นถ้าเราเรียกเพื่อน “Come on” = “มาเร็ว”
หรือในประโยคที่ต้องการบอกให้ใจเย็นๆ “Come on…. Don’t be mad….” = “ไม่เอาน่า..... อย่าโมโหสิ.....”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ