7Swords

9.6

เขียนโดย จิ้งจอกมายา

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.

  31 chapter
  3 วิจารณ์
  29.41K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) Bread and Bacon

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 15 Bread and Bacon

 

ลีโอไนดัสตื่นขึ้น เขาลืมตามองทั่วห้องที่เริ่มสว่างแล้ว แม้จะไม่มีแสงแดด แต่ถ้าเขาอยู่ที่ไวท์ฟอร์ทตามปกติแล้ว เขาคงกำลังออกกำลังกายในลานฝึกกับพวกเพื่อนๆและคงกำลังฟาดฟันดาบอย่างสนุกสนาน เขาพลิกตัวในเตียงนุ่มนั้นแต่ในใจคิดถึงความเย็นสบายตอนที่เขาโดนต่อยจนใบหน้าฟุบกับกองหิมะ และลุกขึ้นมาหัวเราะกับพวกทหารแล้วหาอะไรอุ่นๆกิน.....

เขาพลิกตัวอีกครั้งก่อนจะยอมรับว่าเขานอนต่อไม่ไหวแล้ว..... พ่อของเขาไม่เคยว่าอะไรเลยตอนที่เขาแอบดื่มเบียร์หรือเหล้าเพื่อเพิ่มความอุ่นให้กับร่างกาย (เพียงแค่ห้ามบอกแม่เขาว่าพ่อเห็นเขาแอบดื่ม) แต่เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับว่า เมื่อมาอยู่พ็อตเทอร์รี่แล้วความอยากในการดื่มของเขาไม่มีเลยสักนิด โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับเอริค.... จิ้งจอกขี้เมา ผู้ดื่มเหล้าวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง

เอริคกำชับให้เขาซ่อนตัว ซึ่งลีโอไนดัสก็ทราบดีถึงความสำคัญข้อนี้ ว่าการปล่อยให้ผู้ที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูรู้ถึงการมีตัวตนของลูกชายลอร์ดเบโอวูล์ฟแห่งไวท์ฟอร์ทอยู่ในเมือง เป็นเรื่องที่โง่เง่าชนิดสุดกู่ทีเดียว ก็จริงอยู่ที่เขาเป็นคนที่แอบตามพวกจิ้งจอกพ่อลูกมาเอง แต่เขาคาดคิดว่าจะเจอการผจญภัย การต่อสู้ การอยู่ร่วมในเหตุการณ์อันอาจจะเป็นตำนานเล่าสืบต่อกันในภายหลัง เหมือนตอนที่พ่อของเขาในวัยสิบหกปีที่ได้ออกรบครั้งแรก -- ไม่ใช่การหลบซ่อนตัวแบบนี้.....

ลีโอไนดัสเดินไปที่ริมหน้าต่างและเหม่อมองท้องทะเลที่คืนวานเขาเห็นมันอีกครั้ง...... -- สายฟ้าปริศนาที่น่าจะมาจากตำนาน เซเวนซอร์ดส์.... ดาบแห่งขุมพลังและอำนาจตามตำนานที่เขาได้ยินมาแต่เด็ก..... เขาสงสัยเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าอัศวินที่ถือดาบสายฟ้านั่นคือใคร เขาได้ดาบในตำนานมาจากไหน และทำไมต้องคอยเล่นงานพวกเขา?

เอริคไม่ค่อยแสดงความเห็นเรื่องนี้ เอเคลเซธเองก็มีทฤษฎีเป็นสิบๆแต่เขาเลือกที่จะไม่ฟัง เพราะบางครั้งยิ่งฟังคนฉลาดอธิบายมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกโง่มากเท่านั้น

ท้องของเด็กหนุ่มส่งเสียงคร่ำครวญ เขาจึงเดินลงจากห้องพักชั้นสองเพื่อลงไปหาอะไรกินด้านล่าง

บาร์เหล้าในยามเช้านั้นบรรยากาศแตกต่างกับยามค่ำคืนเป็นหน้ามือกับหลังมือ ซึ่งลีโอไนดัสค้นพบว่าเขาชอบบรรยากาศตอนนี้มากกว่า มันทั้งเงียบสงบและโล่งหูโล่งตา แม้จะมีกลิ่นเหล้าเจือปนในอากาศหน่อยๆ แต่เตาผิงที่ส่งกลิ่นไม้ไหม้และเสียงเปรี๊ยะๆในอากาศยามเช้าที่ค่อนข้างเย็นก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้น ลีโอไนดัสเดินเข้าไปใกล้เตาผิงข้างบาร์ซึ่งเป็นเตาเดียวที่ลุกโชนอยู่ก่อนจะยืนเอามืออังไฟ

“อ้าว ตื่นเช้าเชียว?” เสียงทักดังมาจากหลังบาร์ ลิลลี่สาวเสิร์ฟที่มีกระบนใบหน้ามองเขาตาปรือหน่อยๆเหมือนนอนไม่ค่อยอิ่มนัก เธอน่าจะอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี “นี่นายมากับพวกไวท์ฟอร์ทเหรอ?”

ลีโอไนดัสนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมใส่หมวกเกราะ ขณะที่เขากำลังอึกอักหาคำตอบเงียบๆนั้น ลิลลี่ก็อ้าปากหาวและยกห่อผ้ายาวขึ้นมาก่อนจะแก้ออกและขนมปังแข็งแท่งยาวสามสี่แท่งก็กลิ้งออกมา เธอยกเขียงออกมาและทุบขนมปังจนแบนแล้วหั่นออกเป็นแผ่นๆ ก่อนจะส่งให้กับลีโอไนดัสบนจานประมาณสามสี่แผ่น พร้อมกับเบคอนเย็นๆวางมาในจานด้วย

“เอาเบคอนย่างกับขนมปังก่อนนะ แล้วค่อยกิน” เธอส่งไม้คีบมาให้ “เดี๋ยวขอตัวเอาอาหารเช้าไปเสิร์ฟก่อนนะ” แล้วเธอก็เดินฉับๆก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกับถาดขนมปังทุบกับเบคอน ลีโอไนดัสเคาะขี้เถ้าออกจากไม้คีบและลองเอาขนมปังย่างกับเบคอนดูที่เตาผิง

เขาทำขนมปังไหม้ไปครึ่งแผ่นเมื่อลิลลี่โผล่กลับมา เธอคว้าไม้คีบและจัดการให้กับเขา

“ที่นี่เงียบดีเนอะครับตอนเช้าๆ” ลีโอไนดัสเอ่ยอย่างกระดาก โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิง

“ใช่ ตอนคนเยอะๆก็สนุกดีอยู่หรอก แต่ตอนเช้าๆแบบนี้สบายหูกว่า.... -- เอ้านี่” เธอส่งขนมปังที่ปิ้งกำลังดีโดยมีเบคอนที่ส่งเสียงฟู่เบาๆบ่งบอกว่าร้อนได้ที่ย่างกำลังดี เด็กหนุ่มกัดเข้าไปคำหนึ่งและรู้สึกว่ามันอร่อยใช้ได้เลย

“อร่อยดีครับ” เขาพูดพลางเคี้ยวขนมปังกรวมๆ ลิลลี่ยักไหล่นิดๆก่อนจะลงมือ ย่างขนมปังต่อ

“ที่ไวท์ฟอร์ทคงหนาวกว่านี้มากเลยใช่มั้ย?” เธอถาม ทำเอาลีโอไนดัสสำลัก ขนมปังติดคอ “เอ้านี่ -- ” เธอส่งไวน์ให้เขา ลีโอไนดัสรีบดื่มเข้าไปอึกใหญ่ๆ

“ระ -- รู้ได้ไงครับ ว่าผมมาจากไวท์ฟอร์ท” เขาถามหลังจากไอและหอบหายใจพักใหญ่

“มีแต่ชาวไวท์ฟอร์ทแหละที่กินของร้อนยังกับไฟลุกได้หน้าตาเฉย” เธอบอกเรื่อยๆ และกัดขนมปังบ้าง

“อืม...... แล้วคุณ......” จู่ๆลีโอไนดัสรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมา เขาวางตัวไม่ถูกเมื่อถูกจับได้ไวอย่างนี้

“เรียกว่า ลิลลี่ก็พอ” เธอบอกพลางยื่นขนมปังให้เขาอีกชิ้น “ไปนะ เดี๋ยวต้องไปทำความสะอาดต่อ -- ”

“ครับ.....” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ ก่อนที่เขาจะหยิบขนมปังขึ้นมากินด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ซึ่งเขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร..... --

 

“เอ๋....... ตกลงว่า -- ท่านไม่คิดว่าพวกดราก้อนที่ยกไปโจมตีเมืองเลฟท์ฮิลล์มีเซเว่นซอร์ดส์หรอกเหรอคะ?” ลิลลี่ถามเอริคเมื่อเลยถึงยามบ่ายแล้ว โดยที่เอริคคลานลงมาและร้องหาเอลดังลั่น

“มีเหตุผลอะไรที่เราต้องเชื่อล่ะ ว่าพวกดราก้อนมีดาบในตำนาน?” เอริคนอนเหยียดบนเก้าอี้ไม้ยาวที่พนักพิงและฐานนั่งบุด้วยหมอนนุ่มๆ เขาถามกลับก่อนจะยื่นแก้วไม้ให้ลิลลี่เติมเบียร์ที่ทำจากมอลต์ของข้าวบาร์เล่ย์จนเต็มแก้ว

“ก็จากคำร่ำลือกัน......” เธอมองเพดานทำหน้านึกและเหลือบตามองลีโอไนดัสที่เดินมาร่วมวงด้วย เขาหวีผมจนเรียบแปล้ “ได้ยินว่าพวกดราก้อนเอาทหารไปแค่ สองพัน แต่ใกล้จะถล่มพวกเลฟท์ฮิลล์ที่มีตั้งสองหมื่นได้นี่คะ?”

เอริคไม่ยอมตอบเขาดื่มเบียร์จนหมดและยื่นให้กับลิลลี่เงียบๆ แต่ลิลลี่ยื้อเหยือกเบียร์ไปด้านหลังสีหน้านิ่ง เหมือนจะบอกว่าถ้าเอริคไม่บอก เธอก็จะไม่เติมเบียร์ให้เขา

*“Come on…..!! Are you trying to kill me?” เอริคร้องงอแงราวกับเด็กๆ

“ตอบมาก่อนสิคะ” ลิลลี่พูดด้วยท่าทางเย้าแหย่ จนลีโอไนดัสอดยิ้มไม่ได้

“ได้ๆๆ” เอริคบอกอย่างยอมแพ้และ ลิลลี่ก็เติมเบียร์ให้เขา “สาเหตุก็คือพวกดราก้อนน่ะ ไม่มีดาบอะไรนั่นจริงๆหรอก.... ถ้ามีคงงัดออกมารบกับทัพของพระราชาเมื่อสงครามก่อนหน้านี้แล้ว......”

“แต่สงครามที่ไอออนเกทก็เกือบสิบปีแล้วนี่คะ ตอนนั้นพวกเขาอาจจะยังไม่มีดาบนั่นก็ได้” ลิลลี่ตอบ

“งั้น ลองเดาซิว่าทำไมพวกนั้นถึงปล่อยข่าวว่ามีดาบ?” เอริคถามกลับ ลิลลี่ทำท่าคิดก่อนจะพูดว่า

“ถ้าเป็นแบบนั้น ใครๆก็ต้องกลัวจริงไหมคะ? ถ้ารู้ว่าศัตรูมีอาวุธวิเศษอยู่ด้วย”

“ถูกต้อง -- ” เอริคบอก เขาเทเบียร์ลงคอทั้งๆที่นอนอยู่ก่อนจะเอ่ยว่า “คิดถึงข้อดีของการบอกว่าเอากองทัพไปสองพัน แต่จริงๆขนไปสองหมื่นสิ?”

“แบบนั้น......” เธอทำตาลุกวาว “เมืองอื่นๆก็จะคิดว่า ไอออนเกทมีกองกำลังรักษาเมืองอยู่จนไม่มีใครกล้ายกทัพไป แล้วพวกเลฟท์ฮิลล์ก็จะประมาทเพราะศัตรูมาน้อย..... -- ”

“พอตีจนใกล้แตก ก็ปล่อยข่าวว่าใช้กำลังแค่สองพันซึ่งถ้าผนวกกับข่าวลือที่ว่าอาจจะมีดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยทำให้การโจมตีนั้นได้เปรียบ -- มันก็ลงตัวใช่มั้ยล่ะ?” เอริคเอ่ยและยื่นแก้วที่ว่างลงมาให้ลิลลี่อีกครั้ง

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ถือว่า พวกเขาร้ายจริงๆนะคะ” เธอพูดพลางเติมเบียร์ “กล้าใช้ลูกไม้แบบนี้”

“ที่ร้ายจริงๆน่ะ คือข้อมูล..... สาวน้อย.....” เอริคเอ่ยยิ้มๆ “เธอมีหนุ่มที่ปิ๊งหรือยังล่ะ?” ชายวัยกลางคนถามคำถามที่ทำเอาลีโอไนดัสนั่งตัวตรงขึ้นอย่างกะทันหัน

“ไม่ค่ะ -- แล้วท่านก็ไม่ใช่แบบที่หนูชอบด้วย” เอริคสำลักเบียร์และหัวเราะก๊ากๆอย่างขบขัน

“ฉันเพิ่งจะเจอผู้หญิงหัวไวอย่างเธอ.....” เขาพูดพลางปาดน้ำตาที่เกิดจากความขบขัน “เลยคิดว่าเธอน่าจะเอาลูกชายของฉันอยู่ -- ” ลีโอไนดัสเหี่ยวลงทันตาเห็น

“แล้วลูกชายของท่านเขาหล่อมั้ยคะ?”

เด็กหนุ่มเหี่ยวลงกว่าเดิมเมื่อได้ยินเธอถามกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง

 

เอเคลเซธอ้าปากหาวอย่างยาวนาน เขาตื่นทำอะไรบางอย่างในห้องทั้งคืน ก่อนจะหลับไปและเพิ่งจะตื่นอีกทีตอนบ่าย ชายหนุ่มเปิดประตูเพื่อจะลงไปหาอะไรกิน

“อ้าว.... ลีโอ -- ” เอเคลเซธทักง่วงๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าห้อง “มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ?”

“พี่เอเคลอย่าเพิ่งลงไปข้างล่างเลย มีขี้เมาส่งเสียงดังน่ารำคาญอยู่” ชายหนุ่มกำลังนึกหน้าชายขี้เมาที่ว่าและคิดถึง เอริคพ่อของเขา “ข้าเอานี่มาให้ พี่จะได้ไม่ลำบากเดินลงไป” ลีโอไนดัสส่ง ขนมปังทุบที่ย่างแล้วกับเบคอนมาให้เอเคลเซธซึ่งรับไว้งงๆ “พักต่อให้สบายนะ พี่เอเคล!!”

แล้วเด็กหนุ่มก็ปิดประตูให้กับชายหนุ่มผู้ซึ่งกัดขนมปังพร้อมเลิกคิ้วอย่างง่วงๆ

 

“Come on…..!! Are you trying to kill me?” Aric’s Quote: “ไม่เอาน่า.....!! นี่เธอจะพยายามจะฆ่าฉันเหรอ?”

Come on นั้นใช้แปลได้อย่างแพร่หลาย และความหมายก็แปลได้ตามสถานการณ์นั้นๆ

เช่นถ้าเราเรียกเพื่อน “Come on” = “มาเร็ว”

หรือในประโยคที่ต้องการบอกให้ใจเย็นๆ “Come on…. Don’t be mad….” = “ไม่เอาน่า..... อย่าโมโหสิ.....”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา