The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  52.01K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

49) Saxophone Selmer Referance 54... ของขวัญของอาจารย์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

        

“หิวไหม” อัศวะถามตอนที่กลับมาจากห้องน้ำ  เดินไปที่เตียงซึ่งเดฟนอนอยู่โดยมีเผือกอ่อนห่อข้าข้างหนึ่งไว้

 เดฟไม่ได้ตอบ  แกล้งทำเป็นหลับ

เขาก็เลยแกล้งทำเป็นเงียบไปบ้าง

 เมื่ออัศวะเงียบไป เดฟเลยชักสงสัย  แต่พอลืมตาขึ้นมาหน้าอัศวะก็อยู่ห่างหน้าเขาแค่ฝ่ามือ

 “ทำอะไร” เดฟถาม

 “ก็จะจูบไง  ก็นายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ก็ต้องจูบให้ตื่นก่อน” อัศวะตอบ แล้วจะก้มลงมา

 “ฉันตื่นแล้วไม่ต้อง” เดฟเอามือมาปิดปากไว้

 อัศวะยิ้มแล้วก็เปลี่ยนเป็นจูบที่หน้าผาก

 หน้าคมได้สัดส่วนของเดฟแดงจนเขารู้สึกว่ามันร้อนฉ่า

 อัศวะถอยมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง

 “พรุ่งนี้ฉันจะมารับ  หมอบอกว่านอนแค่คืนเดียวก็พอ”

 เดฟทำปากเจ่อๆ ลุกขึ้นนั่งมองเท้าตัวเอง

 “จะนอนทำไม ฉันแค่กระดูกร้าวไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”

 “ก็ เขาคิดเงินไปแล้ว  นายคิดว่าจะรอดเหรอ โรงพยาบาลเอกชนระดับนี้  พอรู้ว่าเป็นนายเดวิด วูลดิ้งเบิร์ก เขาก็จับเปิดห้องเปิดเตียงทันที  ดาราชื่อดังแถมลูกเจ้าพ่ออสังหา  เหยื่อชั้นดีชัดๆ” อัศวะตอบ

 “เฮ้ย ก็ฉันไม่อยากนอนนี่  กลับดีกว่า  ไหนๆก็ไหนๆ นายช่วยบอกพยาบาลเอาไม้เท้าหรือไม้ค้ำยัน หรืออะไรก็ได้ให้หน่อย  ฉันจะได้กลับบ้าน” เดฟบอกแล้วทำท่าจะลงจากเตียง

 “เฮ้ยๆ “ อัศวะลุกขึ้นมาจับตัวไว้

 “ทำไมวะ  ก็แค่นอน  นอนเหอะ  แผลอย่างนี้ตอนกลางคืนมันจะอักเสบนะเว้ย  อยู่ใกล้ๆหมอเขาจะได้ช่วยได้” อัศวะกล่าว ก่อนจะจ้องตา

 “ทำไม หรือว่า กลัวผี”

 เดฟเปลี่ยนสีหน้าทันที

 “เปล่า.. โลกนี้มีผีที่ไหน"

 อัศวะยิ้มกระหยิ่ม

 “ก็ดี...” อัศวะตอบ แล้วก็หันไปคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเอง

 “งั้น ฉันกลับหละ  นายก็นอนพักนะ  ในโลกนี้ไม่มีผีหรอก  ฉันก็เคยนอนตั้งหลายคืนตอนเป็นไข้เลือดออก  มีแค่คุณน้าใจดีเข้ามานั่งปลายเตียงทุกคืน  แล้วก็คุณลุงแก่ๆ มาเดินไปเดินมาไอโคล่กๆ แล้วก็เด็กที่นั่งทำตาโตๆอยู่บนเพดานแค่นั้นหล่ะ”

 เดฟหน้าจืดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 “ไปนะ  ถ้าเขามาก็บอกว่าเดี่ยวจะไปทำบุญให้  เดี่ยวเขาก็ไปกันเอง” แล้วก็เดินจะออกไป

 “เฮ้ยๆนี่นายใจร้ายไปรึเปล่าวะ  แล้วใครจะมาพาฉันเข้าห้องน้ำ” เดฟร้องห้าม

 “ก็พยาบาลไง  ไม่ต้องกลัวฉันจะกำชับให้หาบุรุษพยาบาลหล่อๆมาประจำการ” อัศวะตอบ

 เดฟทำหน้าบูดไปนิดหนึ่ง แต่ก็กลับยิ้มออกมาใหม่

 “ก็ได้ งั้นฉันจะจ้างพิเศษเลย  บุรุษพยาบาลหล่อๆ กล้ามใหญ่ๆ นายเน้นตรงนี้ด้วยนะ  เผื่อถูกใจจะรับเลี้ยงเลย”

 อัศวะหันมามองรอยยิ้มเย้ยๆของเดฟแล้วก็หมั่นเขี้ยว

 “งั้นจ้างฉันดีกว่า” เขาตอบแล้วเดินกลับมาในระยะประชิด

 “ใครจะรู้ใจนายเท่าฉัน  จริงไหม” 

 ทั้งคู่สบตากกันนิ่งนาน  จนกระทั้งเดฟอดใจไม่ไหว ดึงอัศวะเข้ามาแล้วโน้มคอลงแล้วจูบอย่างดูดดื่ม

 “ฉันคิดถึงนายมาเลยอัส” เดฟกล่าวหลังจากถอนจูบมาแล้ว

 

อัศวะนั้งลงข้างๆเดฟแล้วสวมกอด

 “ฉันยิ่งกว่านายอีก  เวลาร้องเพลงรักๆยิ่งเห็นหน้านาย  ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งคิดถึงนาย”

 ที่หน้าประตูห้อง จุ๊ยที่ห้ามอาราอิไว้ก็หันมายักคิ้ว  อาราอิถอนหูจากที่แนบประตูไว้ แล้วหันมาถาม

 “จะเข้าไปไหม” เขาถามเสียงเบาๆ

 จุ๊ยส่ายหน้า

 “กลับเหอะ... ฉันอยากไปหาไอ้ฮ้อย”

 

 

 

“นี่มันบ้า” ฮ้อยร้องออกมาหลังจากฟังเรื่องจบ  แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง

 “บ้าชัดๆ ทำไมไม่คิดบ้างว่าอ๊อดมันจะรู้สึกยังไง”

 จุ๊ยมองไปรอบๆห้องที่เรียบร้อยดีของฮ้อยเพราะมีการจ้างคนทำความสะอาด

 “แล้วมันไปไหนแล้ว” จุ๊ยถาม

 “ย้ายไปอยู่กับพี่สรรค์” ฮ้อยตอบ

 จุ๊ยกับอาราอิมองหน้ากัน  แล้วก็เป็นอาราอิที่กล่าวออกมา

 “บาง ทีก็อาจไม่คิดอะไรก็ได้นะ  เมืองฟ้าเขาอาจคิดถูกต้องแล้วก็ได้  ถ้าอ๊อดมันไปอยู่กับพี่สรรค์  แสดงว่ามันก็อาจพร้อมเริ่มต้นใหม่กับพี่สรรค์”

 ฮ้อยถอนหายใจดังเฮือก

 “ก็หวังว่าเป็นอย่างนั้น  แต่ยังไง  ถ้ามันรู้  ไม่มีทางที่มันจะไม่เสียใจ”  แล้วเขาก็หันไปหาจุ๊ย

 “ตกลงมึงจะไม่บอกจริงๆใช่ไหม”

 จุ๊ยตอบด้วยการพยักหน้า

 “แต่กูก็ไม่ได้ห้ามมึงบอกนะเว้ย  มึงก็คิดดูเอาเองแล้วกัน”

 ฮ้อยทำท่าเหล่มองหน้าจุ๊ย

 “มึงมาโยนขี้ไว้ที่กูเลยเหรอ... ถ้ามึงไม่บอก กูก็ไม่บอกเหมือนกัน” ฮ้อยตอบ

 

 

 

Killing Me Softly ที่บรรเลงหวานหูนั้นตรึงใจคนในงานอย่างมาก พอจบเพลงพิธีกรก็ประกาศ

 “ขอเสียงปรบมือให้ The Trio Tenders  ครับ”

 ทั้งสามหนุ่มก็โค้งแล้วลงจากเวที  สรรค์ที่ยืนอยู่ข้างเวทีก็เดินเข้าไปหลังเวที

 จุ๊ยนั่งลงแล้วเริ่มต้นถอดแซกโซโฟนออกเป็นชิ้นๆ

 ในขณะที่ฮ้อยก็เก็บชีทโน้ตใส่แฟ้มให้เรียบร้อย

 สรรค์เดินเข้ามาแล้วก็นั่งลงข้างสามหนุ่ม

 “พี่ มีงานใหญ่  วงร๊อกต่างประเทศเขาจะมาแสดงเมืองไทย เขาต้องการวงไปเล่นเปิดการแสดง  ตอนแรกพี่เขาก็เสนอไปหลายวง แต่เขารีเควสมาเองเลย  เขาบอกว่าอยากได้จุ๊ย เพราะอยากฟังจุ๊ยเล่นแซก  นักร้องเขาเคยมามาเมืองไทยเป็นการส่วนตัวแล้ว เขาบอกว่าเคยเห็นจุ๊ยเล่นในงานอีเวนท์สมัย เป็น The Quartet พี่เลยเอาเทปพวกเราให้เขาดู เขาเลยโอเคทันที”

 สามหนุ่มหันมองหน้ากัน

 “จริงเหรอพี่” ฮ้อยเสียงสูงทันใด

 “วงอะไรครับ” อ๊อดถาม

 พอบอกชื่อวงสามหนุ่มก็ร้องโอ้โห

 “งานหนักเลยนะนั่น” จุ๊ยบอกออกมา เพราะวงนี้เป็นวงดนตรีระดับตำนานวงหนึ่ง

 แต่ดูเหมือนสองเพื่อนกำลังดีใจจนเนื้อเต้น

 “ขอบคุณครับพี่” อ๊อดดีใจจนเผลอกอดเอวพี่สรรค์  สรรค์ก็โอบตอบ

 ฮ้อยหุบยิ้มเกือบทันที หันไปมองหน้าจุ๊ย  แต่จุ๊ยไม่ได้ว่าอะไรค่อยๆเก็บแซกโซโฟนของเขา พยายามจะไม่ใส่ใจกับภาพที่ได้เห็น

 

 

 

จุ๊ย กับอาราอิต้องวนรถหลายรอบกว่าจะหาที่จอดได้  เพราะเปิดเรียนวันแรก  มีนักศึกษาใหม่ที่พ่อแม่ยังเห่อมาส่งอยู่  ดังนั้นเขาจึงต้องเดินเข้ามหาวิทยาลัยฝั่ง  ใกล้กับคณะที่อาราอิเรียน

“หล่วส่งไลน์มาบอกว่าจะกลับมาช่วงคริสมาสต์” จุ๊ยบอกกับอาราอิตามตรง

อาราอิตอบแค่คำว่าอืมแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร  จุ๊ยก็เลยไม่กล้าถามต่อ  แต่พอถึงหน้าตึก  อาราอิกลับพูดออกมาเอง

“ทุกอย่างอยู่ ที่จุ๊ยตัดสินใจ  ถ้าหากจุ๊ยเลือกยังไง  ฉันก็ทำตามจุ๊ยบอก  สำหรับฉันเราสองคนเหมือนยังไม่มีทางออกจากปัญหาของเราทั้งคู่  ของฉันอาจเหมือนจะชัดเจนกว่าที่เราแต่งงานกัน  แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ชัดเจนเช่นกัน  แต่จุ๊ยต่างหาก  ความสัมพันธ์กับเธอไม่ชัดเจน  ตรงนี้จุ๊ยต้องจัดการเอง  และเลือกเอง” อาราอิกล่าวมองสบตากับจุ๊ย

“ถึง ยังไง ฉันก็ต้องฟังนาย เพราะนายเท่านั้นที่ตัดสินได้  ถ้าคำตอบคือใช่ ฉันก็จะดีใจ  แต่ถ้าไม่  ฉันก็อยากจะบอกว่า ฉันจะเสียใจมาเช่นกัน  แต่ฉันก็ไปแต่โดยดี  เพราะนี่คือการติดสินจากนาย  แต่ขออย่างเดียวอย่าให้มันยืดเยื้อ  เพราะมันจะทำร้ายฉันและนาย แล้วก็เธอด้วย”

“อย่าฆ่าฉันด้วยความไม่ชัดเจน  ฉันยอมโดนฆ่าเพราะจุ๊ยชัดเจนกับเธอมากกว่า” อาราอิปิดประโยคสุดท้ายที่หนักแน่น

สิ่งที่จุ๊ยอยากทำตอนนี้คือสิ่งที่เขาทำไม่ได้ต่อหน้าคนอื่น  ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้อาราอิเดินขึ้นตึกไป

จุ๊ยอยากจะกอดอาราอิเหลือเกินในตอนนี้

เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วระบายออกก่อนจะหันเดินไปตึกเรียนของตัวเอง 

หากเดินไปไม่เท่าไหร่  ก็เห็นรถที่คุ้นตามาจอด

“เอ้าค่อยๆ” อัศวะบอกตอนที่ลงจากฝั่งตัวเองแล้วมาเปิดประตูให้เดฟ

“รู้แล้วคร๊าบพ่อ แหม่ทำอย่างเดฟเป็นเด็กเลยนะ” เดฟว่า  แล้วก็เกาะไหล่อัศวะเพื่อยืนขึ้น

แล้วอัศวะก็เดินกำกับเดฟที่ใช้ไม้คำยันมาจนถึงฟุตบาท แต่พอเห็นจุ๊ยมารับช่วงต่อเขาก็บอก

“งั้นกูเอารถไปจอดก่อน  มึงช่วยพาเมียมึงไปหาที่นั่งก่อน เดี่ยวกูมา”แล้วก็เดินกลับไปที่รถ

จุ๊ยทำหน้าผงะกับคำว่าเมีย

“ไอ้สัตว์เมียมึงนั่นหละไอ้อัส  มายัดให้กู  กินตับกันป๊าบๆสองคน  แข้งขาหักก็ไม่ได้เว้น เสือกมายัดกูเป็นผัว” จุ๊ยบ่นไล่หลังไป

“ไม่ใช่นะครับจุ๊ยผมเป็นผัวอัสต่างหาก” เดฟแย้ง

แล้วก็กอดคอจุ๊ย ยิ้มอย่างเจ้าชู้

“แต่ถ้าเป็นจุ๊ยผมยอมเป็นเมียก็ได้นะครับ”

“โหไอ้หอก” จุ๊ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้ 

“ประเดี่ยวก็ปล่อยแม่งไว้ตรงนี้เลยนี่”

 

 

 

“ตกลงมึงสองคนก็กลับมาคบกัน” จุ๊ยกล่าวเมื่อเดฟนั่งลงที่ม้านั้งยาวในสวนหย่อมของตึกเรียน

เดฟเอาไม้เท้าพิงไว้

“ก็คงต้องตามนั้น  ผมทำใจไม่ได้จริงน่ะจุ๊ย  ยังไงผมก็หลงไปรักเพื่อนของจุ๊ยเสียแล้ว”

จุ๊ยพยักหน้าเงิ่ดๆ

“แล้วมันจะเอายังไงเรื่องงานเพลง  เรื่องพ่อมันอีกล่ะ  พวกมึงได้คิดกันหรือยัง”

เดฟส่ายหน้า  แววตาเศร้าลงนิดหน่อย

“ก็คงต้องให้วันพรุ่งนี้ตัดสินครับ” เดฟยืมคำพูดของจุ๊ยตอบ

“เราก็แค่รอให้มันมาถึง  แล้วเราค่อยคิดว่าเราจะทำยังไง  เพราะตอนนี้ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”

จุ๊ยมองหน้าเดฟก่อนจะตบบ่า

“เอาเหอะวะ สู้ๆกูจะคอยเอาใจช่วย”

แล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างแจ่มใส  รอยยิ้มที่อย่างไรก็ตามยังทำให้เดฟใจเต้นแรงได้เสมอ

 

จุ๊ยเดิมถึงตึกคณะ ก็เห็นสาวๆทั้งหญิงสาวและเกย์สาวกลุ่มใหญ่ทั้งปีสองและปีสามกำลังนั่งรุม เด็กหนุ่มผิวขาวจัดอยู่คนเดียว  ซึ่งพอคงจะโดนแซวหนักก็เลยเขินจนหน้าแดงระเรื่อเห็นแต่ไกล

จุ๊ยส่ายหัวแต่ก็อมยิ้ม  แล้วเดินเข้าทำท่าโบกไล่ทั้งสองมือ

“หุยๆหุย”

“อะไรไอ้จุ๊ย  ฉันไม่ใช่ควาย” เกย์สาว ร่วมคณะเรียนเอกดนตรีไทย ชื่อหนูหมิวลุกขึ้นท้าวสะเอว

จุ๊ยแทรกตัวลงมานั่งข้างวาทิต

“อ้าวก็ยังไม่ได้บอกสักคำ  แค่ร้อยหุยๆหุย”

“อีนี่” หนูหมิวชี้หน้า

“ทำเป็นหวงอีกละ  ตัวเองไม่ใช่น้องอู๊ดสักหน่อย  จะหวงอะไร” แหวนว่า

“ฉันก็เห็นว่าน้องเขาน่ารักดี  เลยมาแซวเล่นๆ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเข้ามาหยิกแก้วนวลของวาทิต

จุ๊ยเอาหนังสือปัด

“เฮ้ย  เดี่ยวช้ำหมด... อยากได้เอาสินสอดทองหมั้นมาขอ  ไม่อย่างนั้นไม่ก็อย่ามาแตะ”

วาทิตมองหน้าจุ๊ย   เพราะตอนนี้จุ๊ยโอบไหล่เขาไว้อย่างกับแม่ไก่ปกป้องลูกเจี๊ยบ

“ฉันว่าแกไปขอจากไอ้ลูกศิษย์แกดีกว่า  นั่นมาโน่นแล้ว” หนูหมิวชี้

จุ๊ยหันไป เห็นอุ๊ดเดินฉับๆมาแต่ไกล หน้าตาบ่งบอกว่าไม่พอใจ

จุ๊ยก็เลยแกล้งโอบกระชับขึ้น  แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิรอรับการมาถึง  ในขณะที่สาวๆเริ่มทยอยถอยออกไป

“วามานี่” อู๊ดมาถึงก็จะดึงวาทิตลุกขึ้น  แต่จุ๊ยกอดแน่นรั้งเอาไว้

“เฮ้ยๆอะไร  มึงมาช้าเอง กูมาถึงก่อนก็ต้องได้ก่อนสิวะ”

อู๊ดยังจับมือวาทิตอยู่

“เฮ้ยพี่จุ๊ยอะไรว๊า  ไหนรับปากว่าจะเลิกหลีวา”

“กูก็ไม่ได้หลี  แต่กูกอด  น้องกู กูก็กอดได้” แล้วก็กอดสองมือเลย

“จะหอมยังได้” แล้วก็หอมจริงๆด้วย

สาวที่ยังลอบดูอยู่สงเสียงกรี๊ดกร๊าด

“ไอ้พี่จุ๊ย” อู๊ดเสียงเขียว

แต่จุ๊ยยังคงกอดไม่ปล่อย  ตอนนี้วาทิตหน้าแดงแจ๋ยิ่งกว่าตอนแรกอีก

“นายนทีธาร” เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง  จุ๊ยจำได้ว่าเป็นอาจารย์จินไตรที่สอนวิชาดนตรีคลาสซิคจึงรีบปล่อยตัววาทิตแล้วลุกขึ้น

“ทำอะไรอยู่  มานี่กับอาจารย์หน่อยสิ” อาจารย์รับไหว้ของเหล่านักศึกษาก่อนจะพูด

แต่พอพูดจบก็หันหลังเดินไป

จุ๊ยหันมามองหน้าอู๊ดที่ลงไปนั่งกอดวาทิตแทนแล้วทำแล่บลิ้นหลอก  ส่วนวาทิตยังหน้าแดงอยู่มองจุ๊ยอย่างเขินๆ

“ฝากไว้ก่อนเหอะมึงอย่างเผลอนะ  กูจะดูดปากโชว์เลยคอยดู” จุ๊ยว่าแล้วก็รีบเดินตามอาจารย์ไป

อู๊ดทำลอยหน้าลอยตา  แต่พอจุ๊ยเดินพ้นไป ก็หันมาดุวาทิต

“นี่ไงพี่ก็บอกแล้วว่าให้รอพี่มาก่อน  แล้วเป็นไง  โดนสาวๆแกล้ง เราน่ะ น่าตาน่ารัก ใครเห็นก็อยากจะแกล้งทั้งนั้น”

“เฮ้ยๆน้องออสซี่  หวงก็บอกไปเลยว่าหวง” แหวนเดินเข้าแซวก่อนจะเดินไปกับพวกปีสาม

“ออสซี่นี่ใครครับ” วาทิตถาม

“อ้อเปล่า  ไม่มีอะไร” อู๊ดปัดพันละวัน  ก่อนจะเฉไฉเข้าเรื่องตัวเอง

“สาวๆไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้พี่จุ๊ยนี่ไม่ได้เด็ดขาด  นี่หล่ะตัวอันตราย  ต่อไปพี่จะไปรับวาทุกวัน  แล้วเราก็มาพร้อมกันเข้าใจไหม”

“แต่ถ้าวันไหนพี่อู๊ดไม่มีเรียน  ผมก็ห้ามมาเรียนด้วยไหมครับ” วาทิตถามกลับ

อู๊ดนิ่ง.. ก่อนจะตีหัวเบาๆสั่งสอน

“นี่แนะ ยอกย้อนแล้วนะ”

อ๊อดเดินมาทันเห็นสองคนหยอกกันพอดี

“เอ้าๆหวานกันเข้าไป นี่มหาลัยไม่ใช่โรงแรมม่านรูด”

อู๊ดหันไปมองหน้า วาทิตก็ยกมือไหว้

“ไม่ต้องไหว้วา” อ๊อดกล่าวแล้วก็เอื้อมมือมากะจะตบไหล่วาทิต  แต่เห็นสายตาหวงก้างของอู๊ตก็ชักกลับ

“ไอ้จุ๊ยล่ะมายัง” อ๊อดถาม

“ไปกับอาจารย์...” วาทิตยกล่าวแล้วมองหน้าอู๊ด

“อาจารย์จินไตรพี่  เห็นบอกว่ามีธุระคุยด้วย” อู๊ดตอบแทน

 

“เมื่อ วานท่านอธิการบอกว่ามีโทรศัพท์จากราชเลขาบอกว่าเจ้าฟ้าท่านมีพระประสงค์ให้ จุ๊ยไปเล่นตอนพักเบรกงานสังสรรค์สมาคมในพระอุปถัมภ์ ให้คณะทูตจากต่างประเทศฟัง” อาจารย์จินไตรกล่าว

“อัน นี้เห็นราชเลขาว่า  ทรงได้จำเธอได้จากการประกวดดนตรี  แล้วมีรับสั่งถามถึงอีก เพราะมีคนไปเล่าถวายว่าเธอเล่นดีกว่าก่อนมาก ก็เลยทรงมีพระประสงค์จะให้เธอเข้าถวายงานรับใช้  ทรงให้คนสนิทไปบันทึกเทปตอนที่เธอไปเล่นในงานอีเว้นท์แล้วด้วย ทรงพอพระทัยมาก”

จุ๊ยรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาเพราะดูจะเป็นงานใหญ่เกินตัว

“ทรง ให้เธอฝึกซ้อมเพลงพระราชนิพนต์สองเพลง แล้วเพลงสากลหนึ่งเพลง  เธอต้องส่งรายชื่อมาก่อน  แล้วอาจารย์จะส่งรายชื่อเพลงไปทางสำนักอธิการเพื่อทูลเกล้าถวาย”

อาจารย์จินไตรกล่าวปิด แล้วก็สังเกตหน้าตาลูกศิษย์

“เอาน่า อาจารย์ว่าเธอทำได้  ซ้อมเยอะๆแล้วกัน ทางในวังจะมีนักดนตรีมืออาชีพมาร่วมเล่นกับเธอแล้ว  ถึงเวลาก็ไปซ้อมกับเขาด้วย”

“ครับผม” จุ๊ยตอบเพราะไม่รู้จะตอบอะไรมากกว่านั้น

 

“ได้เล่นถวายตัว” อ๊อดทำเสียงสูง

“ถวายงาน” ฮ้อยแก้ให้ “เออนั้นหล่ะ” อ๊อดว่า

“กูไม่ค่อยมั่นใจเลยวะ งานใหญ่นะนี่  พลาดขึ้นมาทีอับอายไปทั่วโลก” จุ๊ยกล่าวแล้วนั่งชันเข่า

“มึงพูดอย่างนี้ทุกที  แต่มึงก็ทำได้กูเชื่อ” ฮ้อยกล่าวแล้วก็ตบบ่าจุ๊ย

“สู้ๆเว้ย”

 

อาร์ทขมวดคิ้วกับแซกโซโฟนของจุ๊ย

“คือ มันเก่ามากแล้วน่ะ  อันนี้จริงแล้วพ่อไปจับได้โดยบังเอิญ  ประมูลมาแพงมาก  แต่มันก็เก่ามากแล้วด้วยเหมือนกัน  คงซ่อมลำบากแล้วหล่ะ”

“แล้วทำยังไงดีหล่ะครับ  ผมต้องใช้เล่นต่อหน้าพระพักต์อีกสองอาทิตย์นี่แล้ว” จุ๊ยร้อนใจ

“จริงๆแล้วจุ๊ย” อาร์ทมองหน้าจุ๊ย

อาราอิก็มองหน้าจุ๊ย

“จุ๊ยจริงๆก็ถึงเวลานานแล้วล่ะ แต่พี่เห็นจุ๊ยยังมีความสุขดีกับแซกของอาเหม่ย... พี่ก็เลยไม่ได้เอามาให้ดู  รอเดี่ยวนะ”

 

จุ๊ยนั่งลงที่เปียโน  แล้วก็กรีดนิ้วบรรเลงเพลง Barcarolle Op. 60ของ Chopin เสียงของมันแว่วหวานและชวนอาราอิให้รู้สึกราวนั่งอยู่กลางสวนดอกไม้ที่มี ผีเสื้อบนวนเวียน และกลิ่นหอมยวนใจของฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นก็เหมือนจะไปสู่ความรื่นเริงของงานเทศกาลฤดูร้อนในญี่ปุ่น

แต่ ใจของจุ๊ยนึกไปถึง คำพูดของพ่อของเขาอีกคน  แม่เคยรักกับอาจารย์ถนอม... แล้วเขาก็นึกไปถึงใบหน้าของแม่ยามที่ได้ฟังอาจารย์ถนอมเล่นดนตรีให้ฟังเพื่อ เป็นตัวอย่างสำหรับเขาและพี่ไตร 

คงต้องใช่อย่างนั้นจริงๆ  เพราะแม่ดูมีความสุขทั้งจากเสียงดนตรี  และความสุขจากการได้เห็นอาจารย์ถนอมบรรเลงเพลง

อาร์ทเดินลงมานานแล้ว  พร้อมกับกล่องแซกโซโฟนสองตัว  แต่เขายังยืนรอจุ๊ยให้บรรเลงจนจบ

“ไม่ตกเลยนะ  ฝีมือเนี่ย”

จุ๊ยหันมาโค้งอย่างร่าเริง

“แน่นอนครับ”

 

“แซก สองตัวนี้  พ่อได้มาจากครอบครัวของเพื่อนของท่าน ที่เสียชีวิตลงกะทันหัน ด้วยอาการโรคมาลาเลียหลังจากเดินทางไปแสดงดนตรีที่แอฟริกา  สองตัวนี้ใช้น้อยมาก เพราะซื้อมาก่อนจะเสียไม่นาน  ก็เลยยังใหม่มาก  พ่อกำชับให้พี่ดูแลให้ดี” แล้วก็เปิดกล่องแซกตัวหนึ่ง ในขณะจุ๊ยเปิดอีกตัว

Selmer Referance 54” จุ๊ยร้องออกมาเสียงหลง เพราะเป็นหนึ่งในสุดยอดแซกโซโฟนในฝันของนักแซกโซโฟนทั่วโลก

“ใช่... เทนเนอร์กับอัลโต้อย่างละตัว” อาร์ทกล่าวทั้งยกคิ้วสูง

จุ๊ยลูบคลำอย่างชื่นชม

“ผมลองดูได้ไหม” จุ๊ยถาม

“ได้สิ” อาร์ทว่า แล้วก็มองรูปของพ่อ

“งั้นพี่ขอเพลง A Whiter Shade of Pale

 

 

อาร์ทลงกลอนประตูร้านแล้วก็ลากประตูเหล็กลงมาครึ่งหนึ่ง  จากนั้นก็เดินตามสองหนุ่นขึ้นไปบนชั้นสองที่มีห้องซ้อมดนตรี

ห้องนี้เป็นห้องที่จุ๊ยได้รับการถ่ายทอดวิชาดนตรีมาจากอาจารย์ถนอม

จุ๊ยเอาอัลโต้แซกโซโฟนประกอบ  เขาลูบมันอย่างร่าเริงเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่

แต่พอยืนนิ่งเพื่อเริ่มต้นเพลงเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูสงบนิ่งและตั้งใจ  จรดปากแล้วเป่า... เสียงเสนาะจากแซกโซโฟนราคาเรือนแสน โลดเล่นเป็นบทเพลงยอดนิยมในอดีต ที่เคยถ่ายทอดโดยวง Procol Harum จุ๊ย เล่นด้วยแซกโซโฟนด้วยการเป่าที่พริ้วไหว เทียบได้กับคิง เคอร์ตีส ศิลปินชื่อดังเล่นไว้ที่เล่นอย่างสวยงาม  แล้วพอถึงช่วงสร้อยที่เป็นเสียงสูง แซกโซโฟนนั้นก็ราวจะส่งเสียงออกมาเหมือนกับการเปล่งเสียงจากนักร้องชื่อดัง

“จุ๊ย มีเอกลักษณ์ที่หางเสียงกับความต่อเนื่องในการเป่า  เขามีหางเสียงที่เพราะมากมันจะไหวได้แล้วบาดลึกในอารมณ์  แล้วก็การเป่าที่ไม่มีแทบเหมือนไม่ได้หายใจเลย  ซึ่งตรงนี้ยากมากถ้าเทียบกับอายุของเขา” อาร์ทอธิบาย

“แต่ ตอนนี้เขามีเทคนิคมามากกว่าตอนพี่ฟังเขาครั้งสุดท้ายเยอะมาก...  ตอนนี้พี่กล้าบอกว่าเขาไปไกลกว่าพ่อของพี่ที่เป็นอาจารย์ของเขาเสียอีก”

 “เด็ก คนนี้นับวันก็ยิ่งห่างจากคนอื่นๆไปทุกที  แต่เขาคงไม่รู้ตัวหรอก  เพราะเขาน่ะแค่อยากจะเล่น แล้วก็เล่นไปตามใจอยาก  เขาไม่เคยมีเป้าหมายว่าจะเป็นอะไรยังไง  ขอให้เขาได้เล่นดนตรีก็พอ”

อาราอิหันมองหน้าอาร์ทที่มองจุ๊ยด้วยความยินดี  เหมือนผู้ใหญ่ที่ได้เห็นเด็กที่ตัวเองรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีเติบโตไปอย่างงดงาม

 

“พี่ให้” อาร์ทบอกซ้ำครั้งที่สอง เพราะจุ๊ยทำหน้าไม่เชื่อ

“พี่ให้จริงๆ”

“ล้อเล่นน่าพี่ ผมไม่กล้ารับหรอก  สองตัวนี่ซื้อรถได้คันนึงเลยนะพี่” จุ๊ยสั่นหัวแล้ว  เอามือออกจากลูบคลำ

“นี่ คือคำสั่งเสียของอาจารย์ของจุ๊ย  เขาบอกว่าถ้าพี่จะเก็บไว้ ให้พี่เอาเล่นเก่งพอจะแข่งกับจุ๊ยให้ได้ก่อน  แต่พี่ไม่มีปัญญาอยู่แล้ว  ยังไงพี่ก็ต้องให้จุ๊ย” อาร์ทว่า

“จริงๆแล้วเขาจะให้จุ๊ยกับไตรคนละตัว  แต่บังเอิญไตรตายไปแล้ว ก็เหลือจุ๊ยเป็นคนรับมรดกคนเดียว”

“พ่อ น่ะ บอกว่าวันไหนถ้าจุ๊ยคู่ควรแล้วค่อยให้  แต่พี่เห็นว่าจุ๊ยน่ะคู่ควรมานานแล้ว  แต่พี่ก็ยังอยากดูจุ๊ยไปอีกระยะ  ตอนนี้พี่คงไม่มีข้ออ้างจะเก็บไว้แล้วล่ะนะ” แล้วพี่อาร์ทก็วางมือบนไหล่ของจุ๊ย

“จุ๊ย เป็นศิษย์เอกของพ่อ  ตอนที่จุ๊ยบอกชอบคุณพ่อออกทีวีตอนรับรางวัลชนะเลิศประเทศไทย  นั้นก็ครั้งหนึ่งแล้ว  แต่พี่อยากให้จุ๊ยเอาแซกสองตัวนี้ไป ทำให้ชื่อของพ่อกลับไปอยู่ในเวทีระดับโลกอีกครั้ง  อันนี้พี่แน่ใจว่าจ๊ยต้องทำได้แน่นอน”

จุ๊ยมองหน้าอาร์ทที่มองเขาอย่างมาดมั่น

“ครับผม  ผมจะทำให้ได้ครับ”

 

ปกรณ์กับจินไตรนั่งฟังจุ๊ยบรรเลงเพลงพระราชนิพนต์อย่างต่อเนื่องสองเพลงโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยด้วยเทนเนอร์แซกโซโฟน

“นี่มัน  Selmer Reference 54 ใช่ไหม” อาจารย์ปกรณ์สังเกตแซกโซโฟนของจุ๊ย

“ครับ  ผมเห็นตั้งแต่ตอนเอามาประกอบ  เขาบอกว่าอาจารย์ของเขา คุณถนอมเก็บไว้ให้เขา แล้วลูกชายพึ่งเอามาให้”   อาจารย์จินไตรตอบ

“อ้อนายอาร์ทน่ะเหรอ” ปกรณ์กล่าว

“รู้จักกันเป็นการส่วนตัวด้วยเหรอครับ” จินไตรถามตามข้อสังเกต

“ครับ  เขาเป็นรุ่นพี่ผม  เขาเก่งมากเลย  ผมน่ะยอมแพ้เลย   แล้วยิ่งมาเจอนายจุ๊ย  ยิ่งรู้สึกเลยว่าตัวเองยังห่างไกลจากพี่ถนอมมาก” ปกรณ์ยอมรับความจริง

“แต่มันก็เกี่ยวกับตัวเด็กด้วยหล่ะครับ  เด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ  ผมว่าเราเอาเขาไว้ไม่อยู่แล้วนะครับ  เขาไปไกลมาก”

จินไตรกล่าว

ปกรณ์ถอนหายใจ

“ก็ ได้แต่ภาวนาว่าเขาจะเข้าทดสอบปลายปีนี้เท่านั้นล่ะครับ  เพราะถ้าไม่เข้าอีก  ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง  เสียดายมาก  ความสามารถระดับนี้  ผมเสียดายจริงๆถ้าเขาไม่ได้ไปยืนในระดับโลก”

 

วาทิต ได้ยินจากพวกเพื่อนๆว่าเฮียจุ๊ยกำลังซ้อมแซกโซโฟนกับพวกอาจารย์จึงรีบเข้าไป ชมในห้องซ้อมดนตรี  พอเปิดเข้าไปส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่นั่งอยู่ เพราะส่วนใหญ่ได้ยินชื่อของเฮียจุ๊ยมาจากที่ต่างๆ ก็เลยมาขอร้องให้ได้เข้าไปชม

“วาๆ” อ๊อดเรียก 

วาทิตเลยเดินก้มๆผ่านเพื่อนๆไปนั่งกับอ๊อดและฮ้อย

“มันกำลังจะเล่น  Adagio et Rondo” อ๊อดบอก

“ดูไว้นะ  แล้วพยายามจำเทคนิค  เพราะวาเป็นศิษย์เอกของจุ๊ย  น่าจะพอทำตามมันได้บ้างหละ”

“ศิษย์เอกคือพี่อู๊ดต่างหาก  เห็นอย่างนี้พี่เขาชอบเอาวีดีโอของเฮียมาดูแล้วลองเป่า” วาทิตตอบเสียงเบาๆ

จินไตรเก่งด้านเปียโน เขาจึงนั่งแท่นเป็นผู้บรรเลงคู่กับจุ๊ยในบทเพลงคลาสสิกระดับโลก Adagio et Rondo, Opus 63ที่ประพันธ์โดย Jean-Baptiste Singelée

จุ๊ยพอเห็นวาทิตเข้ามาก็หันมายิ้ม  แล้วยกแซกโซโฟนเชิงบอกให้ดูให้ดี

พอ อาจารย์จินไตรเริ่มบรรเลง  จุ๊ยก็รอ จนได้จังหวะแล้วก็เริ่มต้นเป่าออกไป  ที่จริงก็ไม่ใช่เพลงยากอะไร  แต่พอเป็นจุ๊ยเป่าแล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป  เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยทำให้เด็กปีหนึ่งถึงกับอ้าปากค้างไปหลายคน  มันลื่นไหลอย่างไม่น่าเชื่อ  แถมยังมีปลายเสียงที่กินใจอย่างประหลาด  ความต่อเนื่องความแม่นยำในตัวโน้ต  มันคือความลงตัวที่ทำให้คนฟังถูกสะกดไปอย่างช่วยไม่ได้ 

“พอจับเทคนิคไหวไหมวา” อ๊อดกระซิบ

วาทิตไม่ตอบในทีแรกเพราะกำลังตะลึง

ก่อนจะตอบออกมาเบาๆ

“ไม่ไหวหรอกพี่  มันไม่รู้จะจับอะไรดี  มันดีเกินไปน่ะพี่ ตามไม่ทันจริงๆ”

 

อาราอิมารออยู่ใต้ตึกเพราะเขารู้สึกว่าไม่เหมาะจะขึ้นไปหาจุ๊ยด้วยตัวเอง

พอจุ๊ยถือกล่องแซกโซโฟนตัวใหม่เดินลงมา ก็ลุกขึ้นไปช่วยถือ

ฮ้อยก็แซว

“แหม่รีบมาเลยนะ กลัวเมียเหนื่อยหรือไง”

จุ๊ยจึงตบหัวผลั๊กไปทีหนึ่ง

อ๊อดเดินตามลงมาที่หลัง โดยคุยโทรศัพท์กับคนที่น่าจะเป็นสรรค์

เขาโบกมือให้ก่อนจะเดินไป

อาราอิมองตามไปแล้วก็หันหาจุ๊ยที่ก็มองตามไปเหมือนกัน

“ตกลงก็ไม่ได้บอกใช่ไหม”

จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ

“พูดไม่ออกว่ะ” ฮ้อยกล่าว

“เห็นมันก็มีความสุขดีนี่ เผลอๆลืมแล้วมั๊งว่าเคยรู้สึกยังไงกับเมือง”

จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ

“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น  กูไม่อยากเห็นมันเสียใจ  เมืองเองคงไม่อยาก”

โทรศัพท์ที่จุ๊ยเปลี่ยนระบบสั่นไว้ก็เริ่มเคลื่อนไหวจากช่องเก็บของด้านหน้าของกล่องแซกโซโฟน

อาราอิจึงยกสูงขึ้นให้จุ๊ยล้วงออกมารับ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา