The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  52.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

38) ความช่วยเหลือจากสไบทอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
         
ใจแล้วจุ๊ยไม่อยากจะเล่า เพราะหนึ่งคือรู้ดีว่าอาราอิไม่อยากให้สไบทองเข้ามาเกี่ยวข้อง  แต่นี่คือทางเดียวที่จุ๊ยคิดเอาไว้  ถ้าหากสไบทองไม่มาพูดเองในวันนี้  เขาก็คิดอยู่ว่าจะหาวิธีให้สไบทองทราบอยู่ดี
สไบทองฟังเรื่องจบ ก็นั่งนิ่งอยุ่นานพอสมควร
“ฉันกับอากิระ  พ่อของอาราอิ  แล้วก็ตัวอาราอิเองน่ะ  มีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันมากโขเลยหล่ะ   ก็เริ่มจากตัวฉันเองนี่หละ  ที่ไม่ใช่ศรีภรรยาตามคอนเซ็ปของญี่ปุ่น  เราก็เลยทะเลากันบ่อยๆ  แถมช่วงนั้นฉันก็มัวแต่เพลินกับงานในวงการ  ก็เลยไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี  จนที่สุดความสัมพันธ์มันก็พังไม่เป็นท่า” เธอกล่าว
“แต่ไม่ว่าอาราอิจะคิดว่าฉันไม่รักเขา หรือไม่รักพ่อเขายังไง  แต่ฉันจะบอกว่าไม่ใช่เลย  ฉันกับพ่อของเขาไม่ได้คบหากันด้วยความบังเอิญ  ไม่ได้จับฉลากได้จากงานสอยดาว  แต่เราคบหาและเข้าใจกันมาก่อน  ดังนั้นอาราอิจึงไม่ผลพวงของความผิดพลาด  แต่เป็นความรักของฉันกับเขา” สไบทองยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ
“ฉันเป็นนักแสดงโดยอาชีพ  ถึงแสดงออกว่ารักยังไง  อาราอิก็อาจไม่เชื่อหรอก  เพราะเขาได้เห็นภาพการทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมาหลายครั้งก่อน เราจะตัดสินใจแยกกันอยู่”
แล้วสไบทองก็ถอนหายใจ
“อาราอิก็คงไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากฉัน และไม่มีทางที่พ่อของอาราอิจะยอมรับความช่วยเหลือจากฉันด้วย  เรื่องนี้มันยากมากกับการที่จะเข้าไปทำอะไร”
จุ๊ยก็ทราบข้อนี้ดี 
“แต่เราก็ต้องทำนะครับ  ผมก็คิดอยู่หลายครั้งเรื่องนี้  และคิดเหมือนคุณน้า   และคุณพ่อ.. ผมหมายถึงคุณโยชิฮิสะ  ก็ดูเป็นคนดื้อดึงไม่แพ้กัน  คงจะเป็นอย่างที่คุณน้าพูดแน่นอน”
“แม่ก็ได้นะ  ฉันไม่รังเกียจ  เพราะถ้าอากิระยังยอมให้เธอเรียกเขาได้ว่าพ่อ ก็แปลว่าเขายอมรับเธอแล้ว  ฉันก็เหมือนกัน” สไบทองออกปาก
จุ๊ยแม้จะรู้สึกเขิน  แต่เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าจะต้องคุยความรู้สึกจึงหายไปอย่างรวดเร็ว
“แล้วจะ ทำยังไงได้ ขนาดตอนหย่า สินสมรสเขายังโอนให้ฉันเกือบหมด  อากิระน่ะประเภทลูกผู้ชายบูชิโด เขาไม่ยอมแน่ๆ” สไบทองตักสลัดคำสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวช้าๆ
“แล้วไม่มีใครเลยเหรอครับที่คุณพ่อวางใจ หรือเกรงใจ” จุ๊ยถาม
“มันก็มีนะ” สไบทองตอบ
“ถ้าเธอบอกว่า พ่อของนามิจัง  ก็พูดไปแล้ว  ก็คงเป็นคนนี้แล้วหล่ะ  ที่พูดได้”
“ใครหรือครับ” จุ๊ยมองหน้าสไบทอง
แล้วสไบทองก็ถอนหายใจ
“เอา เป็นว่า  เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง  แต่ตัวเถอะ เตรียมรับพายุจากอาราอิได้เลย  ฉันเดาว่าก่อนเขาจะฟังเหตุผล  เขาต้องฟาดงวงฟาดงากับเธอก่อน  เด็กคนนี้นิสัยไม่ดีตรงนี้หล่ะ”
“ครับ” จุ๊ยก็ตระหนัก  แต่เขาเตรียมใจอาไว้แล้ว
แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น 
“จ๊าเทียน” สไบทองตอบสาย
“เออม  ได้แต่ขอเป็นบ่ายๆได้ไหม  พี่พึ่งกลับจากฮ่องกงเมื่อเช้ายังเหนื่อยอยู่เลย”
แล้วเธอก็วางสาย
แล้วมองหน้าจุ๊ย
“ส่วนนี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะวาน  ฉันไม่อยากให้ อาราอิตีกับเทียนอีก  เธอเข้าใจใช่ไหม  มันลำบากใจนะ” สไบทองกล่าวกับจุ๊ย
“ครับ” จุ๊ยรับคำ
“ผมจะพยายาม”
แล้วจุ๊ยก็ขอตัว
แต่ก่อนจะออกไป สไบทองก็กล่าวขึ้น
“เรื่องอาหารกล่องน่ะ  ไม่ต้องทำหรอกนะ” เธอยิ้มเมื่อจุ๊ยหันมามอง
“เพราะกองถ่ายปกติเขาจะมีอาหารเลี้ยงอยู่แล้วนะ  ไม่ต้องห่วง  เขาไม่ปล่อยให้พระเอกอดตายหรอก”
จุ๊ยเลยเกาหัวเบาๆ
ขานตอบว่าครับ
 
พอกลับมาอาบน้ำอาบท่า  อาราอิก็มานั่งท่องสคลิปต์อยู่ในห้องนอนตอนจุ๊ยยกเอาขนมมาให้
“ขอบคุณนะภรรยาที่รัก”
แต่พอจุ๊ยไม่ตอบ  อาราอิก็เลยหยุดมือที่จะหยิบขนม
“เป็นอะไรน่ะ”
จุ๊ยมองไปมองมาก่อนจะกล่าว
“วันนี้ฉันคุยกับแม่ของนายเรื่อง..” จุ๊ยกล่าว  แล้วก็ต้องอึกไปเพราะอาราอิเปลี่ยนสีหน้า
“เรื่องพ่อของนาย”
อาราอิฟังได้แค่นั้น เขาฟาดสคลิปต์ลงบนตัก
“จุ๊ยทำอะไรน่ะ”
“เฮ้ย.. ก็จุ๊ยอยากจะช่วย” จุ๊ยท้วง
“ช่วยอะไร.. จุ๊ยก็รู้ว่า ฉันไม่อยากจะให้เขามายุ่ง”
“แต่แม่ของนายยินดีจะช่วยนะ” จุ๊ยแย้งอีก
“แต่ฉันไม่ต้องการ” อาราอิเอ็ดใส่หน้าจุ๊ย
จุ๊ยเลยเงียบ
“ผู้หญิงคนนั้น ก็เลิกกับพ่อไปแล้ว  ยังมีอะไรต้องมาข้องเกี่ยวกับเราอีกหล่ะ” อาราอิคุมอารมณ์ไม่ได้
“จุ๊ย ทำอย่างนี้นึกว่าฉันจะดีใจเหรอ  ทางที่ดีนายอย่ามายุ่งเลยดีกว่า  จุ๊ยไปยุ่งเรื่องครอบครัวของจุ๊ย แล้วจัดการมันให้ดีก่อนดีกว่าไหม  เรื่องฉัน  ฉันจะจัดการเอง”
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  ไม่ได้พูดอะไร  เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
อาราอิมองตามไป  แต่เขากำลังพลุ่งพล่าน  จึงไม่มีอารมณ์ลุกตามไป
 
 
เพราะเห็นอาราอิไม่ได้มาหลายวันแล้ว  อ๊อดก็เลยชักสงสัย  ตอนที่จุ๊ยนั่งคุยกับฮ้อยเรื่องเพลงที่จะเล่นในการทดสอบอาทิตย์หน้า
 
เขาก็เลยถาม
 
“เฮ้ยอาราอิมันหายไปไหนวะ”
 
จุ๊ยเหลือบมามองแล้วตอบแบบเฉยๆ
 
“ไม่รู้กูไม่ได้หำติดกัน”
 
“อ้าวไอ้นี่ ถามดีๆ” อ๊อดดันหัวมันออกไป
 
“งอนอะไรกันวะ” ฮ้อยถามบ้าง
 
“ไม่ได้งอน  กูก็แค่ทำตามคำร้องขอของมัน  มันไม่อยากให้กูยุ่งกูก็ไม่ยุ่ง  เรื่องของแม่ง ก็ปล่อยมันจัดการเอาเอง” จุ๊ยตอบแบบไม่สบอารมณ์นัก 
 
อ๊อดกำลังจะพูด  แต่เสียงปู๊นดังมาจากด้านหนึง
 
จุ๊ยหันไปเห็นอู๊ดกำลังสอนเพื่อนสองคนให้เป่าแซกโซโฟนตามวิธีที่จุ๊ยสอน
 
“เว้ย อ่อนว่ะ” แล้วจุ๊ยก็ลุกไป
 
“ไอ้เหี้ยอู๊ด  ใครบอกมึงให้ทำอย่างนี้  เดี่ยวเขาก็หาว่าวิชากูห่วยกันพอดี”
 
“โอ้ยอะไรอะพี่  ที่พี่ทำได้ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้หรอกนะ”อู๊ดท้วง
 
“ขืนมาทำตามพี่  มีหวังไม่ต้องเป่ากัน ใครมันจะเก่งอย่างพี่ทุกคน”
 
“มึงห่วยเองต่างหากไอ้อู๊ดมากูสอนเอง ไม่ต้องมาทำเท่ห์”
 
 
 
อาราอิเปิดประตูรถเข้ามานั่ง  แล้วก็โยนปึกบทละครไปไว้เบาะตอนหลัง  ได้ยินเสียงดังป๊อกก็เลยหันไปดู  เห็นกล่องข้าวที่จุ๊ยเตรียมให้เขานั้นวันนั้น
 
เขาถอนหายใจหยิบโทรศัพกดเรียกเลขหมาย
 
แต่ก็เหมือนเดิมไม่มีการตอบรับ
 
อาราอิเอาหัวกระแทกกับขอบพวงมาลัยหนัง
 
“ขี้งอนชิบหาย” เขาบอกตัวเอง
 
ไม่ใช่ไม่อยากง้อ  แต่เพราะเขาพึ่งจะเสร็จจากการถ่ายละครที่ลำปางวันนี้เอง  แล้วก็พึ่งจะบินกลับมากรุงเทพแล้วก็มาเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่สนามบิน  แต่เขาโทรหาจุ๊ยตลอด  แต่จุ๊ยก็ไม่รับสาย  จุ๊ยคงไม่รู้ว่ามันทำให้อาราอิร้อนอกร้อนใจแค่ไหน
 
 
 
 
 
 
 
จุ๊ยเดินออกมาตามทางไปสู่ถนนใหญ่โดยสนทนามากับอ๊อดและฮ้อย 
 
“กูว่ามันไม่น่าจะเวริ์ค ถ้ากูเปลี่ยนไปเล่นฟรุ๊ตอาจจะดีกว่า” จุ๊ยว่า  แล้วก้มมองกล่องแซกโซโฟนในมือ
 
“เฮ้ย  เดี่ยวก็ยิ่งเละ ถ้าปรับไปอีกมีหวังพัง” ฮ้อยไม่เห็นด้วย
 
“แต่ทุกคนคาดหวังว่าจะได้ยินไอ้จุ๊ยเป่าแซก  มันก็น่าสนุกดีออก ถ้าไอ้จุ๊ยไม่เป่าแซก เป่าอย่างอื่นแทน” อ๊อดกล่าวอีกแง่
 
“เออ... กูก็ว่า  กูก็กะจะเป่าไอ้นี่มึงอยู่พอดี...” ว่าแล้วก็ตบลงไปบนเป้าอ๊อดดังป๊าบจนอ๊อดตัวงอ
 
“ไอ้สัตว์จุ๊ย” อ๊ฮดกัดฟันด่าด้วยความจุก
 
“เอาน่า... กูก็ทดลองดูก่อนว่ามึงตายด้านไหม ก็ไม่ด้านนี่หว่า  ใช้ได้”  เขาหัวเระคิกคัก
 
“พวกมึงก็เล่นกันอยุ่ได้... “ ฮ้อยติง
 
“นี่จะสอบอีกสองวันแล้ว นะเฟ..” ฮ้อยหยุดไปแค่นั้น  เพราะอาราอิเดินฉับๆมาถึง
 
 
 
ที่เบาะตอนหลังสุดบนรถเมล์ปรับอากาศ อาราอิยิ่งนั่งก็ยิ่งเบียดจุ๊ย
 
“เฮ้ยที่นั่งก็กว้างนายจะเบียดทำไม” จุ๊ยเอ็ดออกมาอย่างเหลืออด
 
“ไม่จนกว่าจุ๊ยจะอภัยให้” อาราอิยืนยัน
 
“อภัยอะไร  พูดบ้าๆ” จุ๊ยหันไปมองนอกหน้าต่าง
 
“ก็อภัยที่ฉันพูดไม่ดีกับจุ๊ยไง  ฉันขอโทษ  ตอนนั้นมันโมโห  ขอโทษน๊า” อาราอิทำเสียงอ้อน  แล้วทำท่าจะซบไหล่
 
จุ๊ยดันหัวออกไป
 
“ไปเลยไป  คนเยอะแยะ  ประเดี่ยวก็ได้ลงหน้าหนึ่ง”
 
แล้วจุ๊ยก็ถอนหายใจ
 
“ก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพราะนายก็พูดถูกนั้นหล่ะฉันมันยุ่งไม่เข้าเรื่อง  เรื่องของตัวเองก็ไม่รู้จักดูแลมัวแต่ไปยุ่งเรื่องคนอื่น”
 
“ฉันขอโทษ  ฉันโมโหน่ะ  นายก็รู้ว่าฉันมันสันดานเสีย โมโหร้าย” อาราอิเว้าวอน
 
“อย่าโกรธเลยนะนะ”
 
จุ๊ยก็เงียบหันไปทางอื่น
 
“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ”
 
อาราอิถอนหายใจ
 
“ฉัน คิดมาตลอดหลายวันเลยนะจุ๊ย  ว่าไปแล้วก็ไม่มีทางอื่นนอกจากทางนี้แล้วหล่ะ  แต่จะให้ฉันทำใจง่ายๆ มันไม่ได้หรอก  แม่ทำร้ายจิตใจพ่อหลายครั้งมากเลย  ฉันเองก็เหมือนกัน”
 
จุ๊ยหันมามอง
 
“จุ๊ยนายเข้าใจรึเปล่า  ว่าการที่โดนทำร้ายบ่อยๆ มันก็ฝังใจนะ  จะให้ทำใจมันยากเลยหล่ะ”
 
จุ๊ยถอนหายใจมองไปรอบๆก่อนจนแน่ใจว่าไม่ได้มีใครสนใจ จึงจับมืออาราอิ
 
“ฉันเข้าใจนาย  แต่นายก็ต้องเข้าใจคนอื่นด้วย  บางทีคนเราอาจมีเหตุผลกันไปคนละอย่าง  แต่ถ้าหากเราไม่รับฟังกันและกัน  มันก็จะกลายเป็นเราต้องหันหน้าหนีกันไปตลอด  ถึงยังไง นี่ก็คือครอบครัวของนาย  แถมแม่นายก็เป็นคนออกปากให้ความช่วยเหลือเองด้วยซ้ำ  ไม่มากก็น้อย แม่ของนายก็ยังคงรักพ่อของนายอยู่  ถ้านายบอกว่าแม่ทำร้ายพวกนาย  นายก็ควรจะให้โอกาสเขาได้ชดเชยบ้างไม่ใช่เหรอ”
 
อาราอิมองมือของจุ๊ยที่กุมมือตัวเอง
 
“ฉันก็เข้าใจแล้วไง... ฉันสัญญาจะพยายามทำดีกับเขาให้มากอีกนิด”
 
จากมุมที่ไม่ใครมองเห็น อารากุมมือจุ๊ยไว้แน่น  ทั้งสองเพียงสบตากันแต่ก็เปี่ยมความหมายเสียยิ่งกว่าการกอดอย่างแนบแน่นเสียอีก
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา