The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ
-
เขียนโดย Valentinlover
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.
56 ตอน
0 วิจารณ์
51.95K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
35) เสียงแซกโซโฟนยามบ่าย ในโอซากะโจ..
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในรถไฟใต้ดินไปสู่นัมบะย่านช๊อบบิ้งใจกลางนครโอซาก้า เมืองใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น อาราอิสวมหมวกแก็บกับแว่นตาเพื่ออำพราง เนื่องจากพ่อของอาราอิบอกว่าเดี่ยวนี้คนไทยมาเที่ยวกันมาก จึงเป็นการดีที่เขาจะอำพรางไม่ให้คนสังเกตเห็นได้ง่ายๆ
จุ๊ยนั่งเงียบๆมองไปนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ทั้งสองยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยตั้งแต่ออกมาจากบ้าน
“ขออภัยท่านผู้โดยสาร สถานีต่อไป นัมบะ นัมบะ กรุณาเตรียมตัวลงจากรถและตรวจสอบสิ่งของของท่านด้วยครับ นัมบะ”
สองคนเดินไปตามทางใต้ดิน นัมบะวอร์ก จุ๊ยก็มัวแต่ตื่นตาตื่นใจ จนไม่ได้สังเกตว่าอาราอิมองเขาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข แต่กระนั้นสองคนก็ยังไม่ได้สนทนากัน นอกจากอาราอิจะบอกกับจุ๊ยเป็นช่วงๆว่านี่คืออะไร
จาก นั้นสองคนก็เดินออกจากทางเดินขึ้นไปที่ย่านโดทนบุริ อาราอิก็พาจุ๊ยไปถ่ายภาพกับป้ายโฆษณาชื่อดังตามหน้าร้านต่างๆ อันเป็นจุดเด่นของย่านนี้ จากนั้นก็พาเดินเรื่อยๆ จนมาถึงสะพานข้ามคลอง อาราอิก็เลยออกปากชวนลงไปนั่งที่ริมน้ำ
จุ๊ยจิ้มทาโกะยากิกินอย่างอร่อย ตาก็มองไปที่ชิงช้าสวรรค์ทรงยาวที่มีรูปชายแก่ยิ้มอย่างใจดีเป็นส่วนประดับ
“นี่รูปอะไร” จุ๊ยถาม
“ฟุกุโรกุยู เทพแห่งโชคลาภ ตึกนี้เป็นร้านปาจิงโกะ” อาราอิตอบ
จุ๊ยก็พยักหน้า
“นายเคยเล่นไหม”
อาราอิส่ายหน้า
“เขาไม่ให้เข้าหรอก ตอนฉันไปจากไป ฉันอายุสิบแปดเองนะ”
“อ้าว แต่นายเป็นคนมีครอบครัวแล้วนี่” จุ๊ยตอบ
“ทำหน้าแก่ๆเดินเข้าไป หัวเราะโฮ่ๆ เฮ้ยวันนี้จะหาเงินไปซื้อนมเลี้ยงลูกสักหน่อย อะไรอย่างนี้” จุ๊ยพูดทั้งดัดเสียง
อาราอิหัวเราะ
“หน้าเด็กๆอย่างฉันเนี่ยนะ เขาคงเชื่อหรอก ขอดูบัตรขึ้นมา เขาก็โยนฉันออกจากร้านเลย” อาราอิตอบ
“เหม่ๆ ชมตัวเองเชียว... หน้าเด็ก... ถุ้ย” จุ๊ยทำท่าประกอบ
“ถ้านายหน้าเด็ก ฉันก็ทารกแล้วหละ”
อาราอิหัวเราะอีก
แล้วจุ๊ยก็มองไปที่ตึก
“เอา อย่างนี้ไหม นายไปหาชุดทำงาน แล้วฉันก็จะไปหาขุดนักเรียนม.ปลาย พอไปถึงหน้าร้าน ฉันก็เรียกนายว่าพ่อ แล้วก็จะทำท่าจะดึงไม่ให้นายเข้า แต่นายหันมาเอ็ด” จุ๊ยเล่าแผน ตามด้วยดัดเสียงและแสดงท่า
”โฮ่ย.. นี่ฉันกำลังจะเข้าไปหาค่าเทอมให้แกนะ ไปกลับบ้านไปช่วยแม่ทำงานได้แล้ว”
อาราอิหัวเราะคิกคัก เพราะนึกภาพตามไปด้วย
“ตอนนั้นนายน่าจะอยู่ที่นี่นะ เวิร์คนี่ ถ้านายเล่นละคร รับรองได้เข้าไป”
จุ๊ยเลิกคิ้วสูงยิ้มท้าทาย
“ลองดูไหมเล่า”
อาราอิส่ายหน้า
“ปีนี้ฉันยี่สิบเอ็ดแล้ว เดินเข้าไปเฉยๆเขาก็ให้เข้า”
จุ๊ยสะอึก ก่อนจะยิ้มแหย่ๆพลางเกาหัว
“เอ่อ ลืมไป”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไปนานพอสมควร
“จุ๊ย” อาราอิกล่าวขึ้นก่อน จุ๊ยจึงหันมา แต่ตอนนั้นอาราอิยังไม่ได้หันมา
“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอกความจริง ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับนายเรื่องนี้ ฉันกลัวนายจะโกรธ” อาราอิหันมาเผชิญหน้ากับจุ๊ย
“นายอาจไม่เข้าใจ นายอาจโกรธฉันอยู่ แต่อย่าพูดว่าเราจะเลิกกัน ฉันรับคำนั้นไม่ได้จริงๆ”
จุ๊ยมองตาที่เต็มไปด้วยความหมายของการเว้าวอน
เขาหรี่ตาลง แล้วหันไปมองในลำคลองที่สะท้องแสงไฟเป็นประกายราวกับดาวบนฟ้า
“อาราอิ ในทางพระพุทธศาสนามีอยู่คำหนึ่งที่เที่ยงแท้ คือ ทุกสิ่งมันไม่แน่นอน มีตั้งอยู่ มีดับไป... วันนี้นายรักฉันเพราะเราพึ่งจะคบกัน แต่วันข้างหน้า นายอาจพบว่านายรักคนอื่น หรืออาจจะรักนามิจังมากกว่าฉันก็ได้ นี่คือความจริงแท้อาราอิ”
แล้วจุ๊ยก็เงียบไป เป็นช่วงเวลาที่อาราอิผู้รอคอยคำพูด ทุกข์ใจต่อสิ่งที่จุ๊ยจะพูดออกมา
“แต่กว่าจะถึงวันนั้น ฉันจะอยู่กับนาย ไปจนกว่านายจะบอกฉันว่า ให้ฉันไปจากนาย”
ตอนนั้นจุ๊ยไม่ได้หันมามองหน้าอาราอิ แต่ใบหน้าที่พูดแดงระเรื่อ
อาราอิเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ เขาจะกอดจุ๊ย
แต่จุ๊ยหลบ
“ใจเย็นๆ คนเยอะขนาดนี้ ฉันขี้เกียจเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ตอนกลับเมืองไทย”
“ว้า..” อาราอิทำหน้าผิดหวัง
จุ๊ยลุกขึ้น แล้วยื่นมืออกมาให้อาราอิ
“เราไปเดินเล่นกันต่อเถอะ ฉันอยากจะไปร้านขายเครื่องไฟฟ้า ร้านขื่ออะไรนะบิ๊กคาเมร่า นายรู้จักไหม”
อาราอิมองมือข้างนั้นแล้วก็จับแล้วลุกขึ้นกอดคอจุ๊ย
“ไปสิ.. ฉันจะซื้อมือถือใหม่ให้ ของเก่ามันตกรุ่นไปแล้ว”
“บ้ามันยังใช้ได้เลย”
“เอาเถอะน่า... เอายี่ห้ออะไร ผลไม้ไหม”
“ไม่เอาหล่ะ ผลไม้ใช้ยาก ขออย่างเดิมแต่รุ่นใหม่ก็พอแล้ว”
“เสื้อผ้าด้วย เสื้อผ้านายมันมีแต่เชยๆ เดี่ยวฉันเลือกให้ใหม่ คนเขาจะได้ไม่ว่า ว่าฉันไปพาขอทานที่ไหนมาเดินด้วย”
“ขอทานเลยเหรอ..”
“เออ..”
“แล้วรักไหมหล่ะ”
“อืมม..โคตรอะรักเลยล่ะ”
ออกมาจากบริเวณถ่ายทำ เดฟก็นั่งพักรอคิวต่อไป ระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดเฟสบุ๊คดู แล้วเขาก็เลื่อนลงเรื่อยๆเพื่ออ่านข่าว
แต่พอถึงภาพหนึ่ง เขาก็หยุดเลื่อนหน้าจอ
จุ๊ย ถ่ายเซลฟี่ โดยมาฉากหลังเป็นรูปวัดโทไดจิ แห่งนารา ที่ญี่ปุ่น แล้วพอเลื่อนไปอีกก็มีอีกภาพที่ภาพที่มีผุ้ชายคนหนึ่งอยู่ในภาพ ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นกำลังล้างมือที่ตรงบ่อน้ำก่อนเข้าวัด
“โยชินี่” เสียงดังจากข้างหลัง ผู้จัดสาวกล่าว
พอหันไปก็เห็นทิพย์ยืนกอดแฟ้มอยู่
“นี่กลับญี่ปุ่นไปเหรอ”
เดฟรีบกดปิดหน้าจอ
“เขาไปกับใคร... กับเพื่อนของเดฟที่ชื่อ อะไรน๊า จุ๊ยใช่ไหม รีเปล่า พักนี้สองคนนี้เขาสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”เดฟตอบปัดไป แต่ก็กลัวจะโดนซักไซ้เหมือนกัน แต่มีระฆังช่วยดังก่อน
“เดฟมาซ้อมบทหน่อย พี่เขามาแล้ว” ผู้กำกับเรียก
เดฟก็เลยรีบเดินไป
อัศวะรู้ว่าเดฟมาถ่ายละครอยู่แถวนี้ พอดีเขามาธุระก็เลยมารับ เพราะว่ารถของเดฟพึ่งโดนชนและเข้าอู่ไปทำสี
แต่พอเดฟขึ้นรถมาก็นั่งเงียบเหมือนอยู่ในห้วงความคิด
“คิดเรื่องไอ้จุ๊ยใช่ไหม”
เดฟหันมามองหน้า
“เขาไปญี่ปุ่นกับโยชิ อัศโทรไปเช็คกับที่บ้านจุ๊ยมา เห็นว่าจะไปสิบห้าวันนะ”
เดฟพยักหน้าช้าๆ
“ก็ดีนี่ จุ๊ยเขาอยากไปญี่ปุ่น ผมยังเคยคิดว่าจะพาไปเลยนะ”
อัศวะเคาะพวงมาลัยช้าๆ
“หึงสินะ”
เดฟนิ่งไป มองออกไปที่หน้าต่าง
“ก็ต้องมีบ้างล่ะ”
อัศวะปลดเบรกมือแล้วเข้าเกียร์
“ตอบมานี่คิดบ้างรึเปล่าว่า อัศจะรู้สึกเหมือนกัน”
เดฟหันมามองหน้าอัศวะ ที่มองไปตรงไปข้างหน้า
แล้วก็ถอนหายใจ
“อัส... ฉันเข้าใจ แต่ฉัน...” เดฟก็ไม่รู้จะพูดยังไง
อัศวะยังคงขับรถต่อไปเงียบๆ ไม่ตอบโต้
แล้วเดฟก็เงียบไป หันออกนอกรถสักพักไปสักพัก แล้วหันกลับมา
“เราไปกันบ้างไหม”
“ญี่ปุ่นเหรฮ” อัศวะถาม
“เปล่า... ไปได้ยังไงหล่ะ ฉันมีคิวติดกันหลายวัน “ เดฟปฏิเสธ
“อ้าวแล้วจะพูดทำไม” อัศวะส่ายหัว
“แต่ถ้าเป็นแค่ภูเก็ตสักสามวันก็พอจะไปได้นะ อัศอยากไปไหมหล่ะ” เดฟกล่าวแล้วจับบนไหล่ของอัศวะ
อัศวะเหลือบมอง
“ได้.. แต่ขอเปิดห้องเดียวนะ”
“เฮ้ย... ฉันไม่เคยนอนกับใคร” เดฟท้วง
อัศวะยักไหล่
“ก็หัดไว้สิ... เดี่ยวก็คุ้นไปเอง”
ปราสาทงดงามตระหง่านอยู่บนฐานหินที่เรียงตั้งกันเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ คือจุดสนใจกลางนครโอซาก้า ปราสาทโอซาก้าอันเลื่องลือ
และ เพราะเป็นวันอาทิตย์ จึงมีคนมามากเป็นพิเศษ แต่อาราอิก็จงใจมาวันนี้ เพราะจะมีศิลปินเปิดหมวกมาแสดงการแสดงหลากหลายในบริเวณสวนของปราสาท
จุ๊ย ดูกิจกรรมต่างๆอย่างสนใจ แต่ที่สุดก็มาตรงที่มีวงสามคนกำลังแสดงดนตรีแจ๊ส คนหนึ่งเล่น แซ็กโซโฟน คนหนึ่งเล่น ไวโอลีน อีกคนคนเล่นคีย์บอร์ด
จุ๊ยยืนฟังจะจบ แถมบริจาคเงินไปให้เขาอีกต่างหาก
“เขาเก่งจังเลยนะ ถ้าจุ๊ยเอาแซกมาจะขอเขาเล่นด้วยแล้ว ไม่บอกไม่งั้นจุ๊ยจะเอามาด้วยแล้วนะเนี่ย” จุ๊ยกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
อาราอิอ่านจากป้ายก็เห็นว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย หาทุนเรียนหนังสือ
“จุ๊ยอยากเล่นไหมล่ะ”
แต่ไม่รอให้จุ๊ยตอบ อาราอิก็เดินเข้าไปสนทนากับนักดนตรีทั้งสาม สักพักพวกเขาก็หันมามองจุ๊ยทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะสนทนากันต่อไป
สักพักอาราอิกวักมือเรียกจุ๊ยมา
“ฉันบอกเขาว่านายเป็นแชมป์ประเทศไทย เขาก็เลยให้เล่นด้วย”
จุ๊ยทำหน้าจืด ซึ่งปกติก็จืดอยู่แล้ว แต่ก็รับแซกโซโฟนจากคนที่เป็นเจ้าของแซกโซโฟนเทนเนอร์
“ไปบอกเขาทำไม เกิดเล่นไม่ดี อายเขาตายเลย อับอายไปถึงประเทศไทยเลยนะนั่น”
“ทุกๆ ท่านครับวันนี้เรามีเพื่อนมาจากประเทศไทย เขาเป็นนักดนตรีเหมือนกัน วันนี้เขาก็เลยอยากจะแสดงร่วมกับพวกเรา หนุ่มมือไวโอลีนกล่าวแนะนำเพื่อเรียกคนดู
“ซึ่งเขาคนนี้มีดีกรีเป็นถึงแชมเปี้ยนในระดับประเทศของไทย”
พอได้ยินอย่างนั้นก็เลยมีหลายคนสนใจมามุงดูด้วย
อาราอิมองไปก็อมยิ้ม แล้วหันไปทำท่ากำหมัดกับจุ๊ย
“ไฟท์” เขาว่า
“Moonlight in Vermont ครับ เชิญรับฟัง”
จุ๊ยหันไปมองคนเล่นคีย์บอร์ดที่เริ่มต้นเพลง จากนั้นเมื่อถึงจังหวะ เขาก็สูดลมหายใจแล้วจรดเป่า..
เทนเนอร์กระจายสำเนียงเสียงต่ำอันนุ่มละมุ่น บทเพลงของจากปี40 ถ่าย ทอดออกมาจากการเป่าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีอย่างละเมียดละไม บรรยากาศรอบตัวจากที่เคยอึกทึก กลับค่อยๆซาลง ไม่ช้าคนจำนวนมากก็มามุงดู บางคนต้องจับที่หัวใจเมื่อเด็กหนุ่มทิ้งหางเสียงกังวาลในอากาศยามบ่าย
“สุโค่ย...” นั้นคือปากคำของเจ้าของแซกโซโฟนเทนเนอร์ในมือจุ๊ย...
หันมาถามจากอาราอิ
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่มืออาชีพ นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยนะ”
“เขาก็เป็นนักศึกษาดนตรีเหมือนคุณนั้นล่ะ” อาราอิตอบ
เสียงปรบมือดังกึกก้องตอนที่จุ๊ยลากหางเสียงสุดท้ายกังวาน
จุ๊ยเดินไปจับมือกับนักคีย์บอร์ด แล้วก็ยกมือไหว้ตอบการโค้งของเขา
“คนไทยเหรอ” เสียงดังจากกลุ่มคน อาราอิได้ยินก็กระชับแว่นตาดำก่อนจะหันไป
เห็นเป็นหนุ่มสาวชาวไทยสามสี่คน น่าจะวัยราวๆเดียวกับจุ๊ย
“อ๋อ... นี่ไงนักดนตรีที่เป็นตัวนำของวงโยที่ชนะสามสมัยซ้อน อาจารย์ดนตรีโรงเรียนเก่าของฉันยังบอกเลยว่าจะเป็นสุดยอดนักดนตรีคนต่อไป ชื่ออะไรน๊า..รู้สึกจะชื่อนทีธาร ฉันอ่านบทสัมภาษณ์ของเขาในนิตยสารดนตรี”
จุ๊ยกำลังยืนคุยกับเจ้าของแซกเป็นภาษาอังกฤษ และยังถ่ายเซลฟี่เป็นที่ระลึกด้วย
อาราอิเดินเข้ามา
“ไปเถอะ เหมือนจะมีคนจำนายได้นะ”
จุ๊ยก็เลยเดินหันไปบอกลากับนักดนตรีทั้งสามคนแล้ว อาราอิก็พาเขาเดินไป
สามนักคนตรีมองหน้ากัน
“เก็บไว้นะรูปที่ถ่ายกั[เขาไว้นะ อีกหน่อยเขาต้องกลายเป็นคนมีชื่อเสียงแน่นอน ถ้าเล่นได้ขนาดนี้” คนเล่นคีย์บอร์ดบอก
“อ๊อด” เมืองฟ้าเรียก
อ๊อดที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกก็หันมา
“นี่จุ๊ยหรือเปล่า”
“มี คนพึ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเขาโพสต์กระทู้ในพันทิป บอกว่าตอนแรกตั้งใจจะถ่ายการแสดงเปิดหมวกที่โอซาก้า แต่กลับได้เจอนักดนตรีระดับเทพ แถมเป็นคนไทย” เมืองฟ้ากล่าว
แล้วเขาก็เล่นคลิป
อ๊อดจำเสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยได้ดี ต่อให้เสียงที่อัดมาจะไม่ดีนัก
“เออ..” อ๊อดหันมาดูจอคอมพิวเตอร์ของเมืองฟ้า
“ใช่จริงๆ มันไม่เห็นบอกนี่ว่าไปญี่ปุ่น”
เมืองฟ้าปล่อยคลิปเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงตอนที่จุ๊ยไหว้ตอบคนเล่นคีย์บอร์ดที่โค้งให้เขา
“วันนี้รับงานอีกแล้วเหรอ” เมืองฟ้าถาม
“อืม พี่สรรค์จะมารับ คงจะดึกมากน่ะ ไม่ต้องรอนะ”
“เดี่ยวนี้อ๊อดกับพี่เขาสนิทกันมากเลยนะ” เมืองฟ้ากล่าวพลางพิจารณาตัวอ๊อด
“เสื้อตัวนี้เขาก็ซื้อให้ไม่ใช่เหรอ แล้วยังซื้อให้ตั้งหลายตัว สีที่อ๊อดชอบทั้งนั้นเลยด้วย”
อ๊อดนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามา ก้มลงจูบที่เรือนผมของอ๊อด
“อ๊อดไปทำงานเฉยๆ อย่าพูดเหมือนหึงสิเมือง อ๊อดไม่สบายใจ ถ้าเมืองไม่ชอบอ๊อดก็ไม่ไปก็ได้นะ”
เมืองฟ้าส่ายหน้า
“ไปเถอะเมืองก็แค่ล้อเล่น”
อ๊อดก็จูบอีกที แล้วก็ออกไปจากห้อง
จู่ๆเมืองฟ้าก็มีแววตาหม่นลง และกล่าวออกมา
“เมืองรักอ๊อดมากเลยนะ”
อาราอิเปิดลิ้นชักหนึ่งที่เป็นโต๊ะส่วนตัวของบิดา ภายในมีเอกสารใบหนึ่ง พอเปิดดูก็เห็นหัวโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์โอซาก้า
เขาถอนหายใจ
“พ่อสามีน่ะท่าทางจะไม่ยอมรักษา ขนาดพ่อของฉันมาพูดเองท่านก็ยังปฏิเสธ ท่านบอกว่าท่านก็ไม่มีอะไรห่วงแล้ว เพราะตอนนี้อาราอิเองก็มีรายได้จากการเป็นดาราที่เมืองไทย ดูแลตัวเองได้แล้ว แถมใกล้จะเรียนจบ ดังนั้นท่านก็เลยไม่ยอมไปหาหมออีกโดยปริยาย” นามิจังเล่า
“นามิจังว่าอาราอิควรมาด้วยตัวเอง เพราะโรคแบบนี้ยิ่งรักษาเร็วยิ่งมีโอกาสหาย ถ้าช้าไปอาจแย่นะอาราอิ”
เขามองออกไปที่สวน จุ๊ยกำลังช่วยพ่อของเขาจัดการลงต้นไม้ใหม่ โดยอาสาขุดดินให้ ดูไปแล้วก็เหมือนพ่อลูกกันจริงๆมาเสียยิ่งกว่าเขาอีก
เรือเฟอรี่วิ่งออกจากฝั่งไปสู่เส้นทางประจำของมัน
อาราอิมองเหม่อในสายน้ำ ในขณะที่จุ๊ยกำลังบันทึกภาพด้วยมือถือเครื่องใหม่ โดยถ่ายกลับไปยังตัวเมืองฮิโรชิม่า
“มีอะไรรึเปล่า เหมือนนายจะไม่สบายใจใช่ไหม
อาราอิหันมองจุ๊ยที่นั่งลงข้างๆ
“จุ๊ยที่ฉันพานายมาญี่ปุ่นนี่ นอกจากจะเรื่องของเราแล้ว ยังมีอีกเรื่องนะ” อาราอิกล่าว
จุ๊ยนั่งเงียบๆมองไปนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ทั้งสองยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยตั้งแต่ออกมาจากบ้าน
“ขออภัยท่านผู้โดยสาร สถานีต่อไป นัมบะ นัมบะ กรุณาเตรียมตัวลงจากรถและตรวจสอบสิ่งของของท่านด้วยครับ นัมบะ”
สองคนเดินไปตามทางใต้ดิน นัมบะวอร์ก จุ๊ยก็มัวแต่ตื่นตาตื่นใจ จนไม่ได้สังเกตว่าอาราอิมองเขาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข แต่กระนั้นสองคนก็ยังไม่ได้สนทนากัน นอกจากอาราอิจะบอกกับจุ๊ยเป็นช่วงๆว่านี่คืออะไร
จาก นั้นสองคนก็เดินออกจากทางเดินขึ้นไปที่ย่านโดทนบุริ อาราอิก็พาจุ๊ยไปถ่ายภาพกับป้ายโฆษณาชื่อดังตามหน้าร้านต่างๆ อันเป็นจุดเด่นของย่านนี้ จากนั้นก็พาเดินเรื่อยๆ จนมาถึงสะพานข้ามคลอง อาราอิก็เลยออกปากชวนลงไปนั่งที่ริมน้ำ
จุ๊ยจิ้มทาโกะยากิกินอย่างอร่อย ตาก็มองไปที่ชิงช้าสวรรค์ทรงยาวที่มีรูปชายแก่ยิ้มอย่างใจดีเป็นส่วนประดับ
“นี่รูปอะไร” จุ๊ยถาม
“ฟุกุโรกุยู เทพแห่งโชคลาภ ตึกนี้เป็นร้านปาจิงโกะ” อาราอิตอบ
จุ๊ยก็พยักหน้า
“นายเคยเล่นไหม”
อาราอิส่ายหน้า
“เขาไม่ให้เข้าหรอก ตอนฉันไปจากไป ฉันอายุสิบแปดเองนะ”
“อ้าว แต่นายเป็นคนมีครอบครัวแล้วนี่” จุ๊ยตอบ
“ทำหน้าแก่ๆเดินเข้าไป หัวเราะโฮ่ๆ เฮ้ยวันนี้จะหาเงินไปซื้อนมเลี้ยงลูกสักหน่อย อะไรอย่างนี้” จุ๊ยพูดทั้งดัดเสียง
อาราอิหัวเราะ
“หน้าเด็กๆอย่างฉันเนี่ยนะ เขาคงเชื่อหรอก ขอดูบัตรขึ้นมา เขาก็โยนฉันออกจากร้านเลย” อาราอิตอบ
“เหม่ๆ ชมตัวเองเชียว... หน้าเด็ก... ถุ้ย” จุ๊ยทำท่าประกอบ
“ถ้านายหน้าเด็ก ฉันก็ทารกแล้วหละ”
อาราอิหัวเราะอีก
แล้วจุ๊ยก็มองไปที่ตึก
“เอา อย่างนี้ไหม นายไปหาชุดทำงาน แล้วฉันก็จะไปหาขุดนักเรียนม.ปลาย พอไปถึงหน้าร้าน ฉันก็เรียกนายว่าพ่อ แล้วก็จะทำท่าจะดึงไม่ให้นายเข้า แต่นายหันมาเอ็ด” จุ๊ยเล่าแผน ตามด้วยดัดเสียงและแสดงท่า
”โฮ่ย.. นี่ฉันกำลังจะเข้าไปหาค่าเทอมให้แกนะ ไปกลับบ้านไปช่วยแม่ทำงานได้แล้ว”
อาราอิหัวเราะคิกคัก เพราะนึกภาพตามไปด้วย
“ตอนนั้นนายน่าจะอยู่ที่นี่นะ เวิร์คนี่ ถ้านายเล่นละคร รับรองได้เข้าไป”
จุ๊ยเลิกคิ้วสูงยิ้มท้าทาย
“ลองดูไหมเล่า”
อาราอิส่ายหน้า
“ปีนี้ฉันยี่สิบเอ็ดแล้ว เดินเข้าไปเฉยๆเขาก็ให้เข้า”
จุ๊ยสะอึก ก่อนจะยิ้มแหย่ๆพลางเกาหัว
“เอ่อ ลืมไป”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไปนานพอสมควร
“จุ๊ย” อาราอิกล่าวขึ้นก่อน จุ๊ยจึงหันมา แต่ตอนนั้นอาราอิยังไม่ได้หันมา
“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอกความจริง ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับนายเรื่องนี้ ฉันกลัวนายจะโกรธ” อาราอิหันมาเผชิญหน้ากับจุ๊ย
“นายอาจไม่เข้าใจ นายอาจโกรธฉันอยู่ แต่อย่าพูดว่าเราจะเลิกกัน ฉันรับคำนั้นไม่ได้จริงๆ”
จุ๊ยมองตาที่เต็มไปด้วยความหมายของการเว้าวอน
เขาหรี่ตาลง แล้วหันไปมองในลำคลองที่สะท้องแสงไฟเป็นประกายราวกับดาวบนฟ้า
“อาราอิ ในทางพระพุทธศาสนามีอยู่คำหนึ่งที่เที่ยงแท้ คือ ทุกสิ่งมันไม่แน่นอน มีตั้งอยู่ มีดับไป... วันนี้นายรักฉันเพราะเราพึ่งจะคบกัน แต่วันข้างหน้า นายอาจพบว่านายรักคนอื่น หรืออาจจะรักนามิจังมากกว่าฉันก็ได้ นี่คือความจริงแท้อาราอิ”
แล้วจุ๊ยก็เงียบไป เป็นช่วงเวลาที่อาราอิผู้รอคอยคำพูด ทุกข์ใจต่อสิ่งที่จุ๊ยจะพูดออกมา
“แต่กว่าจะถึงวันนั้น ฉันจะอยู่กับนาย ไปจนกว่านายจะบอกฉันว่า ให้ฉันไปจากนาย”
ตอนนั้นจุ๊ยไม่ได้หันมามองหน้าอาราอิ แต่ใบหน้าที่พูดแดงระเรื่อ
อาราอิเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ เขาจะกอดจุ๊ย
แต่จุ๊ยหลบ
“ใจเย็นๆ คนเยอะขนาดนี้ ฉันขี้เกียจเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ตอนกลับเมืองไทย”
“ว้า..” อาราอิทำหน้าผิดหวัง
จุ๊ยลุกขึ้น แล้วยื่นมืออกมาให้อาราอิ
“เราไปเดินเล่นกันต่อเถอะ ฉันอยากจะไปร้านขายเครื่องไฟฟ้า ร้านขื่ออะไรนะบิ๊กคาเมร่า นายรู้จักไหม”
อาราอิมองมือข้างนั้นแล้วก็จับแล้วลุกขึ้นกอดคอจุ๊ย
“ไปสิ.. ฉันจะซื้อมือถือใหม่ให้ ของเก่ามันตกรุ่นไปแล้ว”
“บ้ามันยังใช้ได้เลย”
“เอาเถอะน่า... เอายี่ห้ออะไร ผลไม้ไหม”
“ไม่เอาหล่ะ ผลไม้ใช้ยาก ขออย่างเดิมแต่รุ่นใหม่ก็พอแล้ว”
“เสื้อผ้าด้วย เสื้อผ้านายมันมีแต่เชยๆ เดี่ยวฉันเลือกให้ใหม่ คนเขาจะได้ไม่ว่า ว่าฉันไปพาขอทานที่ไหนมาเดินด้วย”
“ขอทานเลยเหรอ..”
“เออ..”
“แล้วรักไหมหล่ะ”
“อืมม..โคตรอะรักเลยล่ะ”
ออกมาจากบริเวณถ่ายทำ เดฟก็นั่งพักรอคิวต่อไป ระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดเฟสบุ๊คดู แล้วเขาก็เลื่อนลงเรื่อยๆเพื่ออ่านข่าว
แต่พอถึงภาพหนึ่ง เขาก็หยุดเลื่อนหน้าจอ
จุ๊ย ถ่ายเซลฟี่ โดยมาฉากหลังเป็นรูปวัดโทไดจิ แห่งนารา ที่ญี่ปุ่น แล้วพอเลื่อนไปอีกก็มีอีกภาพที่ภาพที่มีผุ้ชายคนหนึ่งอยู่ในภาพ ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นกำลังล้างมือที่ตรงบ่อน้ำก่อนเข้าวัด
“โยชินี่” เสียงดังจากข้างหลัง ผู้จัดสาวกล่าว
พอหันไปก็เห็นทิพย์ยืนกอดแฟ้มอยู่
“นี่กลับญี่ปุ่นไปเหรอ”
เดฟรีบกดปิดหน้าจอ
“เขาไปกับใคร... กับเพื่อนของเดฟที่ชื่อ อะไรน๊า จุ๊ยใช่ไหม รีเปล่า พักนี้สองคนนี้เขาสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”เดฟตอบปัดไป แต่ก็กลัวจะโดนซักไซ้เหมือนกัน แต่มีระฆังช่วยดังก่อน
“เดฟมาซ้อมบทหน่อย พี่เขามาแล้ว” ผู้กำกับเรียก
เดฟก็เลยรีบเดินไป
อัศวะรู้ว่าเดฟมาถ่ายละครอยู่แถวนี้ พอดีเขามาธุระก็เลยมารับ เพราะว่ารถของเดฟพึ่งโดนชนและเข้าอู่ไปทำสี
แต่พอเดฟขึ้นรถมาก็นั่งเงียบเหมือนอยู่ในห้วงความคิด
“คิดเรื่องไอ้จุ๊ยใช่ไหม”
เดฟหันมามองหน้า
“เขาไปญี่ปุ่นกับโยชิ อัศโทรไปเช็คกับที่บ้านจุ๊ยมา เห็นว่าจะไปสิบห้าวันนะ”
เดฟพยักหน้าช้าๆ
“ก็ดีนี่ จุ๊ยเขาอยากไปญี่ปุ่น ผมยังเคยคิดว่าจะพาไปเลยนะ”
อัศวะเคาะพวงมาลัยช้าๆ
“หึงสินะ”
เดฟนิ่งไป มองออกไปที่หน้าต่าง
“ก็ต้องมีบ้างล่ะ”
อัศวะปลดเบรกมือแล้วเข้าเกียร์
“ตอบมานี่คิดบ้างรึเปล่าว่า อัศจะรู้สึกเหมือนกัน”
เดฟหันมามองหน้าอัศวะ ที่มองไปตรงไปข้างหน้า
แล้วก็ถอนหายใจ
“อัส... ฉันเข้าใจ แต่ฉัน...” เดฟก็ไม่รู้จะพูดยังไง
อัศวะยังคงขับรถต่อไปเงียบๆ ไม่ตอบโต้
แล้วเดฟก็เงียบไป หันออกนอกรถสักพักไปสักพัก แล้วหันกลับมา
“เราไปกันบ้างไหม”
“ญี่ปุ่นเหรฮ” อัศวะถาม
“เปล่า... ไปได้ยังไงหล่ะ ฉันมีคิวติดกันหลายวัน “ เดฟปฏิเสธ
“อ้าวแล้วจะพูดทำไม” อัศวะส่ายหัว
“แต่ถ้าเป็นแค่ภูเก็ตสักสามวันก็พอจะไปได้นะ อัศอยากไปไหมหล่ะ” เดฟกล่าวแล้วจับบนไหล่ของอัศวะ
อัศวะเหลือบมอง
“ได้.. แต่ขอเปิดห้องเดียวนะ”
“เฮ้ย... ฉันไม่เคยนอนกับใคร” เดฟท้วง
อัศวะยักไหล่
“ก็หัดไว้สิ... เดี่ยวก็คุ้นไปเอง”
ปราสาทงดงามตระหง่านอยู่บนฐานหินที่เรียงตั้งกันเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ คือจุดสนใจกลางนครโอซาก้า ปราสาทโอซาก้าอันเลื่องลือ
และ เพราะเป็นวันอาทิตย์ จึงมีคนมามากเป็นพิเศษ แต่อาราอิก็จงใจมาวันนี้ เพราะจะมีศิลปินเปิดหมวกมาแสดงการแสดงหลากหลายในบริเวณสวนของปราสาท
จุ๊ย ดูกิจกรรมต่างๆอย่างสนใจ แต่ที่สุดก็มาตรงที่มีวงสามคนกำลังแสดงดนตรีแจ๊ส คนหนึ่งเล่น แซ็กโซโฟน คนหนึ่งเล่น ไวโอลีน อีกคนคนเล่นคีย์บอร์ด
จุ๊ยยืนฟังจะจบ แถมบริจาคเงินไปให้เขาอีกต่างหาก
“เขาเก่งจังเลยนะ ถ้าจุ๊ยเอาแซกมาจะขอเขาเล่นด้วยแล้ว ไม่บอกไม่งั้นจุ๊ยจะเอามาด้วยแล้วนะเนี่ย” จุ๊ยกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
อาราอิอ่านจากป้ายก็เห็นว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย หาทุนเรียนหนังสือ
“จุ๊ยอยากเล่นไหมล่ะ”
แต่ไม่รอให้จุ๊ยตอบ อาราอิก็เดินเข้าไปสนทนากับนักดนตรีทั้งสาม สักพักพวกเขาก็หันมามองจุ๊ยทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะสนทนากันต่อไป
สักพักอาราอิกวักมือเรียกจุ๊ยมา
“ฉันบอกเขาว่านายเป็นแชมป์ประเทศไทย เขาก็เลยให้เล่นด้วย”
จุ๊ยทำหน้าจืด ซึ่งปกติก็จืดอยู่แล้ว แต่ก็รับแซกโซโฟนจากคนที่เป็นเจ้าของแซกโซโฟนเทนเนอร์
“ไปบอกเขาทำไม เกิดเล่นไม่ดี อายเขาตายเลย อับอายไปถึงประเทศไทยเลยนะนั่น”
“ทุกๆ ท่านครับวันนี้เรามีเพื่อนมาจากประเทศไทย เขาเป็นนักดนตรีเหมือนกัน วันนี้เขาก็เลยอยากจะแสดงร่วมกับพวกเรา หนุ่มมือไวโอลีนกล่าวแนะนำเพื่อเรียกคนดู
“ซึ่งเขาคนนี้มีดีกรีเป็นถึงแชมเปี้ยนในระดับประเทศของไทย”
พอได้ยินอย่างนั้นก็เลยมีหลายคนสนใจมามุงดูด้วย
อาราอิมองไปก็อมยิ้ม แล้วหันไปทำท่ากำหมัดกับจุ๊ย
“ไฟท์” เขาว่า
“Moonlight in Vermont ครับ เชิญรับฟัง”
จุ๊ยหันไปมองคนเล่นคีย์บอร์ดที่เริ่มต้นเพลง จากนั้นเมื่อถึงจังหวะ เขาก็สูดลมหายใจแล้วจรดเป่า..
เทนเนอร์กระจายสำเนียงเสียงต่ำอันนุ่มละมุ่น บทเพลงของจากปี40 ถ่าย ทอดออกมาจากการเป่าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีอย่างละเมียดละไม บรรยากาศรอบตัวจากที่เคยอึกทึก กลับค่อยๆซาลง ไม่ช้าคนจำนวนมากก็มามุงดู บางคนต้องจับที่หัวใจเมื่อเด็กหนุ่มทิ้งหางเสียงกังวาลในอากาศยามบ่าย
“สุโค่ย...” นั้นคือปากคำของเจ้าของแซกโซโฟนเทนเนอร์ในมือจุ๊ย...
หันมาถามจากอาราอิ
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่มืออาชีพ นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยนะ”
“เขาก็เป็นนักศึกษาดนตรีเหมือนคุณนั้นล่ะ” อาราอิตอบ
เสียงปรบมือดังกึกก้องตอนที่จุ๊ยลากหางเสียงสุดท้ายกังวาน
จุ๊ยเดินไปจับมือกับนักคีย์บอร์ด แล้วก็ยกมือไหว้ตอบการโค้งของเขา
“คนไทยเหรอ” เสียงดังจากกลุ่มคน อาราอิได้ยินก็กระชับแว่นตาดำก่อนจะหันไป
เห็นเป็นหนุ่มสาวชาวไทยสามสี่คน น่าจะวัยราวๆเดียวกับจุ๊ย
“อ๋อ... นี่ไงนักดนตรีที่เป็นตัวนำของวงโยที่ชนะสามสมัยซ้อน อาจารย์ดนตรีโรงเรียนเก่าของฉันยังบอกเลยว่าจะเป็นสุดยอดนักดนตรีคนต่อไป ชื่ออะไรน๊า..รู้สึกจะชื่อนทีธาร ฉันอ่านบทสัมภาษณ์ของเขาในนิตยสารดนตรี”
จุ๊ยกำลังยืนคุยกับเจ้าของแซกเป็นภาษาอังกฤษ และยังถ่ายเซลฟี่เป็นที่ระลึกด้วย
อาราอิเดินเข้ามา
“ไปเถอะ เหมือนจะมีคนจำนายได้นะ”
จุ๊ยก็เลยเดินหันไปบอกลากับนักดนตรีทั้งสามคนแล้ว อาราอิก็พาเขาเดินไป
สามนักคนตรีมองหน้ากัน
“เก็บไว้นะรูปที่ถ่ายกั[เขาไว้นะ อีกหน่อยเขาต้องกลายเป็นคนมีชื่อเสียงแน่นอน ถ้าเล่นได้ขนาดนี้” คนเล่นคีย์บอร์ดบอก
“อ๊อด” เมืองฟ้าเรียก
อ๊อดที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกก็หันมา
“นี่จุ๊ยหรือเปล่า”
“มี คนพึ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเขาโพสต์กระทู้ในพันทิป บอกว่าตอนแรกตั้งใจจะถ่ายการแสดงเปิดหมวกที่โอซาก้า แต่กลับได้เจอนักดนตรีระดับเทพ แถมเป็นคนไทย” เมืองฟ้ากล่าว
แล้วเขาก็เล่นคลิป
อ๊อดจำเสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยได้ดี ต่อให้เสียงที่อัดมาจะไม่ดีนัก
“เออ..” อ๊อดหันมาดูจอคอมพิวเตอร์ของเมืองฟ้า
“ใช่จริงๆ มันไม่เห็นบอกนี่ว่าไปญี่ปุ่น”
เมืองฟ้าปล่อยคลิปเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงตอนที่จุ๊ยไหว้ตอบคนเล่นคีย์บอร์ดที่โค้งให้เขา
“วันนี้รับงานอีกแล้วเหรอ” เมืองฟ้าถาม
“อืม พี่สรรค์จะมารับ คงจะดึกมากน่ะ ไม่ต้องรอนะ”
“เดี่ยวนี้อ๊อดกับพี่เขาสนิทกันมากเลยนะ” เมืองฟ้ากล่าวพลางพิจารณาตัวอ๊อด
“เสื้อตัวนี้เขาก็ซื้อให้ไม่ใช่เหรอ แล้วยังซื้อให้ตั้งหลายตัว สีที่อ๊อดชอบทั้งนั้นเลยด้วย”
อ๊อดนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามา ก้มลงจูบที่เรือนผมของอ๊อด
“อ๊อดไปทำงานเฉยๆ อย่าพูดเหมือนหึงสิเมือง อ๊อดไม่สบายใจ ถ้าเมืองไม่ชอบอ๊อดก็ไม่ไปก็ได้นะ”
เมืองฟ้าส่ายหน้า
“ไปเถอะเมืองก็แค่ล้อเล่น”
อ๊อดก็จูบอีกที แล้วก็ออกไปจากห้อง
จู่ๆเมืองฟ้าก็มีแววตาหม่นลง และกล่าวออกมา
“เมืองรักอ๊อดมากเลยนะ”
อาราอิเปิดลิ้นชักหนึ่งที่เป็นโต๊ะส่วนตัวของบิดา ภายในมีเอกสารใบหนึ่ง พอเปิดดูก็เห็นหัวโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์โอซาก้า
เขาถอนหายใจ
“พ่อสามีน่ะท่าทางจะไม่ยอมรักษา ขนาดพ่อของฉันมาพูดเองท่านก็ยังปฏิเสธ ท่านบอกว่าท่านก็ไม่มีอะไรห่วงแล้ว เพราะตอนนี้อาราอิเองก็มีรายได้จากการเป็นดาราที่เมืองไทย ดูแลตัวเองได้แล้ว แถมใกล้จะเรียนจบ ดังนั้นท่านก็เลยไม่ยอมไปหาหมออีกโดยปริยาย” นามิจังเล่า
“นามิจังว่าอาราอิควรมาด้วยตัวเอง เพราะโรคแบบนี้ยิ่งรักษาเร็วยิ่งมีโอกาสหาย ถ้าช้าไปอาจแย่นะอาราอิ”
เขามองออกไปที่สวน จุ๊ยกำลังช่วยพ่อของเขาจัดการลงต้นไม้ใหม่ โดยอาสาขุดดินให้ ดูไปแล้วก็เหมือนพ่อลูกกันจริงๆมาเสียยิ่งกว่าเขาอีก
เรือเฟอรี่วิ่งออกจากฝั่งไปสู่เส้นทางประจำของมัน
อาราอิมองเหม่อในสายน้ำ ในขณะที่จุ๊ยกำลังบันทึกภาพด้วยมือถือเครื่องใหม่ โดยถ่ายกลับไปยังตัวเมืองฮิโรชิม่า
“มีอะไรรึเปล่า เหมือนนายจะไม่สบายใจใช่ไหม
อาราอิหันมองจุ๊ยที่นั่งลงข้างๆ
“จุ๊ยที่ฉันพานายมาญี่ปุ่นนี่ นอกจากจะเรื่องของเราแล้ว ยังมีอีกเรื่องนะ” อาราอิกล่าว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ