The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  53.17K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

34) ญี่ปุ่น ความจริงของอาราอิ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

อาราอิโดนพักงานสองเดือนหนึ่งเต็มๆเพราะเรื่องชกต่อย  แต่เขาก็ไม่แคร์  เพราะตอนนี้สถานที่ซึ่งเขาอยากไปคือทุกที่ซึ่งจุ๊ยอยู่

จุ๊ยเองก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้น  ถ้าวันไหนที่อาราอิไม่โทรหา  เขาจะเป็นฝ่ายโทรหาอาราอิ  และมักจะชวนออกไปโน่นมานี่ด้วยกัน

อย่างวันนี้จุ๊ยก็เป็นคนชวนเขาให้มาเดินเล่นจตุจักร

จุ๊ยยืนพลิกดูเนื้อหาของหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับดนตรีเล่มใหญ่ เขาอ่านไปเรื่อยๆเพื่อตรวจสอบว่าตรงกับสิ่งที่ต้องการหรือไม่

“ไม่ยักรู้ว่านายเก่งภาษาแล้ว” อาราอิกล่าว

“แน่นอน” เขายักคิ้ว

“สมองที่ดีย่อมมีการพัฒนา  สมองไร้ค่าก็ไม่ปัญญาเรียนรู้เพิ่ม”

อาราอิสะอึก เพราะรู้สึกเหมือนโดนด่า

“นี่นายด่าฉันหรือ” อาราอิดึงหนังสือมาซ่อนข้างหลัง

“เฮ้ยด่าอะไร แค่พูดคำคม” จุ๊ยว่า แล้วก็กอดอกลอยหน้าลอยตา

“แต่นายร้อนตัวรับไปเอง  ก็ดี  ไม่ต้องด่าตรงๆ”

“กวนตีน” อาราอิเอาหนังสือเคาะหัวจุ๊ย  แล้วส่งคืนให้

“หิวแล้วอะ กินอะไรดี”

จุ๊ยมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ตัวก็ไม่อ้วน แดกล้างแดกพลาญนะเนี่ย พึ่งกินลูกชิ้นไปสองไม้ไม่ใช่เหรอ”

“ก็มันหิวนี่หว่า...” อาราอิลูบท้องประกอบ

จุ๊ยส่งเสียหึ

แล้วหันไปเห็นหนังสือที่มีภาพอาหาร หยิบแล้วส่งให้

“เอ้าอ่านซะ  จะได้หายหิว” จุ๊ยว่า

“ถ้าไม่อิ่มก็ฉีกแดกไปสักหน้าสองหน้า  แล้วก็อย่าลืมจ่ายตังค์เค้าด้วยหล่ะ”

“โอยก็ยิ่งหิวสิว๊า... ไปเหอะจุ๊ย  ฉันหิวจะแย่”

“ก็บอกว่ายังไม่เสร็จ  ขี้เกียจเดินกลับมาตรงนี้อีกรอบ”

“เอ้านี่ วิธีทำซูซิ แดกซะจะได้อิ่มๆ”

“โอยไม่เอา  จุ๊ยก็เลือกเร็วๆสิ”

“เร็วได้ไงเล่า  ก็หาหนังสืออยู่”

ตรงมุมที่ทั้งคู่มองไม่เห็น  อ๊อดกับเมืองฟ้าแอบดูอยู่  ทั้งสองมองหน้ากัน

“มันจะสนิทกันเกินไปรีเปล่าวะ” อ๊อดว่า

เมืองฟ้าก็พยักหน้าช้าๆ

“เล่นเอาเมืองไม่กล้าออกไปทักเลยนะเนี่ย  กลัวไปเป็นก้างของพวกเขา”

 

จุ๊ยสั่งข้าวผัด  ส่วนของอาราอิเป็นมักโรนีผัด

“เอามากินบ้าง” จุ๊ยว่าแล้วตักมักโรนีเข้าปาก

“เฮ้ยเอาของนายมาบ้างสิ” อาราอิทวง

“ก็ตักเอา” จุ๊ยเลือนจานออกมา

แต่พออาราอิจะตัก เขากลับดึงจานหลบ

“เฮ้ย...” อาราอิร้อง

จุ๊ยหัวเราะ

แล้วตักใส่ช้อนมาคำหนึ่ง

“เอ้าอ้าม...”

อาราอิก็อ้าปากรอ

แต่จุ๊ยกลับเอามือซ้ายหยิบต้นหอมใส่ปากอาราอิแทน

“ไอ้จุ๊ย” อาราอิร้องเมื่อเอาต้นหอมออกจากปาก

จุ๊ยหัวเราะร่วน

 

ระหว่างเดินๆดูของไปเรื่อยๆ  จุ๊ยก็ชวนคุยนั้นคุยนี่ไปตามเรื่อง  แต่อยู่ๆเขาก็เงียบ  แล้วดึงอาราอิให้หยุด

“ไปทางอื่นดีกว่า” เขาว่าแล้วจะดึงตัวอาราอิหันกลับ

แต่อาราอิขืนตัวไว้

เขารู้จากที่เดฟเคยเล่าให้ฟัง

เขากอดคอจุ๊ยไว้ในลักษณะล๊อก  แล้วลากตัวเดิน

“กระต่ายเต็มเลย... น่ารักจะตายเนอะ”

“ไม่เอา” จุ๊ยจะดิ้นหนี ก็ไม่ได้เพราะอาราอิใช้การล๊อกแบบคาราเต้

“ทำไมหล่ะจุ๊ย ก็ฉันอยากดูกระต่าย” อาราอิแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินหน้าเข้าหาแผงค้าที่มีกรงกระต่ายอยู่ทั้งสองข้างทาง

“ไม่เอา  ไม่เอา” จุ๊ยดิ้นขลุกขลัก  แต่ดิ้นไม่ออก

“ไอ้ญี่ปุ่นขี้แกล้งงงงง”

“ตัวเองนั้นหล่ะ ขี้แกล้ง... มาเลยมาเล่นกับน้องต่ายแสนน่ารัก”

“ไม่อ๊าววว”

“อันนี้เก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้  อันนี้ก่อนนะครับลุง”  แล้วเขาก็แกะห่อขนมที่ซื้อมาให้บิดาของจุ๊ย

“ขอบใจ” ไฮ้จุ้งกล่าว

“เรียกอั๊วว่า ป๊าก็ได้  เรียกลุงๆ ฟังดูแปลกๆ”

อาราอิยิ้ม

“ครับป๊า”

“เฮ้ยอาราอิ ขึ้นมาช่วยฉันยกโต๊ะหน่อยสิ  ฉันจะถูใต้โต๊ะ” เสียงจุ๊ยดังจากชั้นลอย

ไฮ้จุ้งรู้สึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมา เพราะเวลามาทุกครั้งนอกจากมีของฝากมาด้วยแล้ว  เขาก็ยังช่วยทำงานในร้านโดยไม่รังเกียจว่าจะเปื้อน  คราวก่อนก็ช่วยตักจารบีแบ่งขายจนเสื้อเลอะ แต่ก็ไม่บ่นสักคำ

จะว่าเพราะต้องการเอาใจก็ไม่ใช่  ไฮ้จุ้งดูออกถึงความแตกต่างของการเอาอกเอาใจ กับความเอื้ออาทรตามนิสัยแท้จริง

การเห็นอาราอิมันทำให้เขานึกไปถึงคนหนึ่ง  เด็กหนุ่มชื่อไตรคนนั้น   ไฮ้จุ้งยังจำได้ดี... รวมทั้งจำได้แม่นถึงความเสียอกเสียใจของลูกชายตอนที่ไตรจากไป..

“เหือมไอ้จุ๊ย  แกล้งอีกแล้วนะ ดูดิเนี่ย  มันเลอะ” เสียงอาราอิดังจากข้างบน

 

เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยดังสะท้อนในบรรยากาศยามค่ำ  บทเพลง Mack the Knife สร้างบรรยากาศอันแจ่มใส

ลมเย็นที่เกิดจากฝนตกในที่หนึ่งที่ใด  ตีเรือนผมของจุ๊ย  เขาขยับไปตามจังหวะ  แล้วส่งสายตาขี้เล่นมาเป็นระยะ

แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

อาราอิมองหมายเลข  เขาเกิดความลังเลที่จะรับ  จุ๊ยกำลังจะเล่นโน้ตสุดท้ายอยู่แล้ว สังเกตเห็น

ดังนั้นเมื่อถอนปากจากเม้าท์พิช

“รับเถอะ  นามิจังใข่ไหมล่ะ”

อาราอิมองหน้าจุ๊ย ก่อนจะกดรับแล้วทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วเดินไปในระยะห่างพอสมควร

จุ๊ยถอนหายใจเบาๆ  แล้วนั่งลง  เขาถอดแซกโซโฟนออกเป็นชิ้นเพื่อจะเก็บ

มองไปอีกที่เหมือนอาราอิจะมีอาการนิ่งอึ้งต่อข่าวสารทางโทรศัพท์  ต่อมาเขาจึงกล่าวขอบคุณแล้วก็วางโทรศัพท์

แล้วยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

จุ๊ยเห็นผิดปกติ  จึงเดินเข้าไป

“มีอะไรเหรอ  หน้าตาไม่ดีเลย”

อาราอิถอนหายใจแล้วเก็บโทรศัพท์

“จุ๊ย” เขากล่าวแล้วจับมือจุ๊ย

“ไปญี่ปุ่นกันไหม”

 

 

จุ๊ยไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน  ไม่คิดว่าการเดินทางครั้งแรกในชีวิตจะกลายเป็นการเดินทางไปต่างประเทศ แถมเป็นประเทศที่เคยหวังว่าจะได้ไปสักครั้งในชีวิต

อาราอิเห็นจุ๊ยมีปัญหากับSeat Belt ก็เลยช่วย  แต่ก็แกล้งวนไปวนมาอยู่บนเป้าจุ๊ย

“เฮ้ยๆ พอละ  คาดเข็มขัด  จะยุ่งอะไรกับน้องชายฉัน” จุ๊ยว่าแล้วดันหัวอาราอิออกไป

“ลามกจะนายเนี่ย”

อาราอิหัวเราะ  แล้วก็หยิบหมากฝรั่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ 

“เอาเคี้ยวจะได้หูไม่อื้อ”

จุ๊ยก็รับมามอง

“แล้วถ้ายังอื้ออีกทำไง” จุ๊ยถามอีก

อาราอิหันมายิ้ม

“ก็จูบกับฉันไง  จะได้หายอื้อ”

จุ๊ยก็เลยยิ้มบ้าง

“มานี่สิเข้ามาใกล้ๆ”

อาราอิก็เอียงหน้ามา

จุ๊ยก็เลยเอาหัวโขกหัวเขาตังป๊อก  อาราอิร้องโอย

“รุนแรงอะ..”

“ก็อยากลามกทำไมหล่ะครับ”

“ไม่ได้ลามกฉันพูดจริงๆ “

“ไอ้ลามก...”

 

ตอนที่เครื่องบินมาวิ่งแท็กซี่มาหยุดเพื่อเตรียมตัวออก  อาราอิก็กุมมือจุ๊ยไว้เพราะเห็นจุ๊ยดูหวาดๆ

เสียงกัปตันบอกกับลูกเรือผ่านลำโพง

“จะไปแล้ว” อาราอิให้สัญญาณ แล้วกุมมือจุ๊ยแน่นขึ้น

เครื่องบินขับกำลังมหาศาลผ่านเครื่องเจ็ท  แล้วมันก็พุ่งไปตามทางวิ่ง  จากนั้นก็ค่อยๆลอยขึ้นไปในอากาศ  มุ่งไปสู่ท้องฟ้ายามรุ่งสาง

 

จุ๊ยออกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองมา  ก็หันซ้ายแลขวา  อาราอิที่ต้องแยกออกไปบอกให้เขารอตรงจุดที่ออกมาเดี่ยวเขาจะมารับ

แต่นานพอสมควรเขาก็ยังไม่เห็น

เล่นอะไรวะ  จุ๊ยบ่นกับตัวเอง  คิดจะเข็นรถออกไปตามหา  ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน

ใจชักแป๋ว... นี่โดนไอ้อาราอิหลอกมาทิ้งไว้ญี่ปุ่นรึเปล่าวะเนีย

แต่สักครู่ก็มีมือมาสะกิด

หันไปก็เจอกับดอกไม้ดอกหนึ่ง กับรอยยิ้มของอาราอิ

“สุขสันต์วันเกิดครับ”

จุ๊ยแปลกใจแต่ก็รับดอกไม้มา

“รู้ได้ยังไง”  จุ๊ยรับดอกไม้มาแล้วก็เอาเสียบไว้กับรถเข็น

“ก็มันอยู่ในพาสปอร์ต”

จุ๊ยหัวเราะหึกับ รอยยิ้มหวานๆ

“ไร้สาระ” จุ๊ยกล่าวแล้วเข็นรถเดินไป

“มาเหอะ  ฉันหิวอยากกินข้าวเช้าแล้ว”

อาราอิมองตาม

“แค่นี้เหรอ... เราอุตส่าห์เซอร์ไพร์ส”

“ไร้สาระ” จุ๊ยตอบหน้าตาย

อาราอิทำหน้าจ๋อยๆ แต่ก็มาช่วยจุ๊ยเข็นรถที่มีกระเป๋าเดินทางตั้งอยู่

“ก็จะให้ฉันจูบนายตรงนี้ได้ยังไงเล่าคนเยอะแยะ  อยากจะจูบจะแย่อยุ่แล้วเนี่ย” จุ๊ยเอ่ยปากออกมาโดยไม่มองหน้า

อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย  แล้วเขาก็ยิ้มออกมา

แกล้งเอามือวางบนมือจุ๊ย  จุ๊ยก็ไม่ได้ว่าอะไร

 

 

จุ๊ยลากกระเป๋าเดินตามอาราอิที่สะพายกระเป๋าแค่ใบเดียว

 เขามัวตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างรอบตัว  จนเกือบจะพลัดหลงไปหลายครั้ง  อาราอิต้องเดินกลับมาตาม

“นี่นาย  เดี่ยวก็หลงหรอก  เดี่ยวได้นอนสถานีรถไฟ  กินข้าวลิง”

จุ๊ยทำหน้าเย้ยแล้วตบกระเป๋าตัวเอง

“เรามีเงิน  แล้วก็ไม่ได้โง่นี่  โรงแรมเยอะแยะก็นอนโรงแรมเอาก็ได้”

“เอาเหอะ  คุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อนเถอะจุ๊ย” อาราอิว่าแล้วเดินมาช่วยลากกระเป๋า

 

บ้านของอาราอิอยู่ในโอซาก้า แถวย่านเทนโนจิ มองจากภายนอกก็เหมือนบ้านคนญี่ปุ่นทั่วๆไป หลังไม่ใหญ่โตอะไร

กดกริ่งที่ประตู สักครู่ก็มีผุ้ชายวัยราวๆสี่สิบปลายไอเบาๆตอนเปิดประตูตัวบ้านที่เป็นบานเลื่อนเพื่อดูว่าแขกที่มาเป็นใคร

“อาราอิ” เขากล่าวเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้ว

อาราอิตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า

“พ่อครับ  ผมกลับมาแล้ว”

จุ๊ยก็เลยยกมือไหว้บ้าง

 

เข้ามาภายในบ้านที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่ตกแต่งแบบญี่ปุ่นน่ารักพอสมควร มีภาพเขียนติดผนังหลายรูปและมีหนังสืออยู่แทบทุกมุมห้องรับแขก

พ่อของอาราอิยกน้ำชาออกมาพร้อมกับขนมในจานเล็ก

“อาราอิบอกเพื่อนให้ ชิมดูสิ” บิดาของอาราอิกล่าว  จุ๊ยสังเกตว่าบิดาของอาราอิมีท่าเดินที่แปลกๆ คงจะเพราะอุบัติเหตุที่อาราอิเคยเล่า

“แล้วก็น้่งขัดสมาธิก็ได้  นั่งแบบญี่ปุ่นคงเมื่อยแย่แล้ว”

อาราอิบอกกับจุ๊ยตามนั้น

“พ่อครับ จุ๊ยเขาพูดภาษาอังกฤษได้” อาราอิกลับมาบอก

“โอเค” พ่อของอาราอิรับคำ

แล้วเริ่มต้นพูดกับจุ๊ยเป็นภาษาอังกฤษที่มีสำเนียงดีพอสมควร

“ทำตัวตามสบาย  ไม่ต้องเกร็งหรอกนะ  ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอจากอาราอิ  เขาบอกว่าเธอเล่นดนตรีเก่งมาก”

จุ๊ยมองหน้าอาราอิก่อนจะตอบ

“ไม่ได้เก่งหรอกครับ”จุ๊ยตอบ

“ไม่เก่งก็เป็น แชมป์เปี้ยนไม่ใช่เหรอ  เอาไว้เล่นให้ฉันฟังบ้างสิ”

จุ๊ยยิ้มตอบ  แต่ก็สังเกตเห็นพ่อของอาราอิมีสีหน้าไม่สู้แจ่มใสนัก  แม้จะยิ้ม

“ขนมอร่อยนะ กินสิ แล้วเดี่ยวไปอาบน้ำก่อน  จะพักพ่อนก็ได้  แล้วค่อยออกไปเที่ยวกันภาษาหนุ่ม”

 

อาราอิบอกว่าจะไปเอาเครื่องนอนมาให้  แล้วก็ทิ้งจุ๊ยเอาไว้ในห้องนอนของเขา 

ในห้องไม่มีเตียง มีแต่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็ตู้เสื้อผ้าอีกหนึ่งใบ ที่หลังตู้ก็มีถ้วยรางวัลของอยู่สองใบ 

มองไปอีกฝั่ง  จุ๊ยเห็นเป็นรูปถ่าย  พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นเป็นภาพอาราอิกับผุ้หญิงที่จุ๊ยจำได้ว่าเป็นนามิจัง

แต่ชุดที่สวม.. อาราอิสวมกิโมโนดำตัดด้วยขาวที่ขอบแขน และคาดผูกด้วยเชื่อกสีขาว  ส่วนฝ่ายหญิงเป็นกิโมโนสีขาวล้วนคลุมผมด้วยผ้าสีขาว

ชุดแต่งงาน...

พอดีอาราอิเปิดประตูเข้ามา เขาชะงักที่เห็นจุ๊ยยืนมองภาพนั้นอยู่

“นายต้องการคำบรรยายภาพ และเรื่องราวประกอบไหม” อาราอิถามแล้วก็วางที่นอนแบบญี่ปุ่นไว้

จุ๊ยหันมามองหน้าเขาโดยไม่ได้พูดออกไป เพราะเขากำลังงงงวยและสับสน

 

“ฉันกับนามิจังแต่งงานกันแล้วเมื่อห้าปีก่อน” อาราอิเล่า

จุ๊ยก็มองหน้าเขา ตอนนี้ทั้งคู่นั่งลงกับพื้นห้อง

“มันเป็นเรื่องซับซ้อนนะจุ๊ย  นายอย่าพึ่งโกรธฉัน  ฉันไม่ได้อยากปิดบัง  แต่ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง”

จุ๊ยถอนหายใจ แล้วยกขาขึ้นชันเข่าข้างหนึ่ง

“ก็คือปิดบังนั้นหล่ะ  อาราอิ  ทำไมนายไม่บอกฉันว่านายสองคนแต่งงานกันแล้ว แล้วนี่นายยังเด็กทั้งคู่แล้วทำไมใจร้อนแต่งงานกัน”

“แต่ฉันอายุมากกว่านายสองปีนะจุ๊ย” อาราอิแย้ง

จุ๊ยอึ้ง  ก่อนจะเฉไฉ

“ก็น้อยนั้นหล่ะ  ดูในรูปสิยังเด็กเลย  ญี่ปุนเขาแต่งงานกันได้ด้วยเหรออายุแค่นี้”

“ได้สิ ถ้าพ่อแม่รับรอง อย่าลืมว่าประเทศนี้มีปัญหาการหดตัวของประชากร” อาราอิตอบ

“แต่มันเป็นความจำเป็นนะจุ๊ย  เราไม่ได้อยากแต่งงานกัน”

 

“ฉัน กับนามิจังเป็นเพื่อนสนิทกันก็จริง  เราสนิทกันมากก็จริง  แต่เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากการเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง  คือ อิโต้ซัง” อาราอิเล่า

“อิโต้ซังเป็นกัปตันชมราคาราเต้  ส่วนฉันเป็นคนหนึ่งที่อิโต้ซังให้การดูแลเป็นพิเศษ  และก็เหมือนนายกับพี่ไตร ก็คือเราสนิทกันมาก  แต่ต่างตรงที่ฉันกับอิโต้ซังไม่ได้รักกัน  ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอารมณ์พาไปล้วนๆ วันหนึ่งฉันนอนค้างที่ชมรมกับเขาสองคน  แต่เพราะอารมณ์เด็กวัยรุ่น  ฉันกับเขาก็เลย มีอะไรกัน”

“มัน ก็เป็นเซ๊กซ์ที่ดีใช่ได้  แต่ที่นี่ญี่ปุ่น  สังคมของเราไม่เปิดเผยและกับพี่อิโต้ต่างคนต่างได้รับการอบรมให้เป็นลูก ผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษผ่านการเรียนคาราเต้  ตอนนั้นฉันสับสนมาก ไม่รู้จะทำยังไง  ก็เลยตัดสินใจปรึกษากับนามิจัง  แต่ปรากฏว่านามิจังกลับไม่ได้ตกใจหรือรังเกียจ  เขาบอกว่ารักฉันมานานมากแล้ว  และเพราะความสับสน ฉันก็เลย...”

“จับปล้ำทำเมียเสียเลย” จุ๊ยสรุปแทน

แล้วเขาก็ส่ายหัวดุกดิก

“นี่ นายพาฉันมาญี่ปุ่นเพื่ออะไรกันแน่  จะบอกเลิกก็บอกที่เมืองไทยก็ได้  ไม่ต้องพามาเลิกกันยันประเทศตัวเอง  แล้วยังไง... นายจะเอาฉันมาฆ่าไกลถึงญี่ปุ่นเพื่อ...”

น้ำเสียงจุ๊ยตอนนี้  ยากที่จะเดาได้ว่าเขารู้สึกยังไง  เพราะจุ๊ยเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

“เอ้าๆ เล่าต่อ ไหนๆก็ไหนแล้ว” จุ๊ยโบกมือเมิ่อเห็นอาราอิหน้าเจื่อนลง

“ตอนแรกฉันก็สับสน..” อาราอิกล่าวต่อ

“ก็แน่หล่ะ... เมื่อวานได้ผู้ชาย วันนี้ได้ผู้หญิง เลือกไม่ถูกหล่ะสิว่าจะเอาไง  หน้าดี หรือหลังดี” จุ๊ยอดปากไวไม่ได้

“ก็ประมาณนั้น” อาราอิรับคำออกมาอีกต่างหาก

“เอ้าเวร... ไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้... “ จุ๊ยจับหน้าผากส่ายหัว

“แต่เราก็ไม่ได้ถึงขนาดจะแต่งงานกัน ถ้าไม่ปรากฏว่ามีคนแอบถ่ายคลิปที่เรามีอะไรกันไปโพสต์ในทวีตเตอร์” อาราอิถอนหายใจ

“เอ้าดังเลยสิ... เป็นดาราเอวีทวีตเตอร์” จุ๊ยกล่าวแล้วโคลงหัว 

“แล้วไงต่อ”

อาราอิมองที่รูป

“พ่อ แม่ของนามิจังเป็นคนหัวเก่า  และก็ยังเป็นหัวหน้าของพ่อฉันด้วย  เขาก็เลยไม่ยอม  เขาต้องการให้ฉันแต่งงานกับนามิจังเพื่อรักษาชื่อเสียงของเธอ  พ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องจับเราแต่งงานกัน”

จุ๊ยมองหน้าอาราอิซึ่งไปที่มองภาพแต่งงาน

“นาย จะบอกว่าอะไร... นี่เหรอความจำเป็นของนาย  ตอนนี้นายก็ยังรักกันนี่  ก็ดีแล้ว  ฉันรับทราบ” จุ๊ยกล่าวแล้วถอนหายใจยาวมองไปที่รูปบ้าง

“เอาเป็นว่า  ฉันรู้แล้วหล่ะ รับทราบแจ่มแจ้ง”

แต่พอหันกลับก็เห็นอาราอิจ้องมาที่เขา

“นายพูดอย่างนั้นได้ยังไง  นายยังฟังไม่จบ” เขาเข้ามารวบแขนจุ๊ยไว้ทั้งสองข้าง

“เบาๆก็ได้  พ่อนักคาราเต้... “ จุ๊ยทำหน้าจ่อยๆ เพราะตอนนี้แววตาของอาราอิแข็งกร้าว

“ทุกอย่าง จะเป็นไปด้วยดี  ถ้านายไม่เข้ามาจุ๊ย  การเจอกันระหว่างฉันกับนาย มันเปลี่ยนฉันไปทุกอย่าง  ฉันทนทำใจให้เป็นเหมือนเดิมกับนามิจังไม่ได้อีก  ฉันหลงรักนายตั้งแต่ตอนนั้น” อาราอิพูดไปก็เขย่าจุ๊ยจนหัวคลอน

“เบาๆสิ  เจ็บ..” จุ๊ยอุทธรณ์

อาราอิจึงปล่อยจุ๊ย

จุ๊ยต้องลูบแขนตัวเองเบาๆทั้งสองข้าง

“อาราอิฉันพูดตามตรงนะ  นามิจังเขาก็รักนายดี  นายทำไมทำอย่างนี้”  แล้วจุ๊ยก็หลังตาลง  เลือนตัวเองไปพิงพนัง

“นายทำให้ฉันอยู่ในฐานะเดียวกับที่ฉันเป็นกับพี่ไตร”

อาราอิมองเห็นเหมือนเกล็ดน้ำตาจากตาจุ๊ย

“ไม่หรอก... เพราะฉันต่างตรงที่ฉันบอกกับนามิจังตามตรงตั้งแต่วันที่กลับจากญี่ปุ่น ฉันบอกเธอว่าฉันเจอคนที่ประทับใจมากที่สุดแล้ว”

จุ๊ยอึ้ง 

“นายใจร้ายมาก” จุ๊ยร้องออกไป

เขาส่ายหัว  แล้วมองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่าง

“นายทำร้ายคนที่รักนายอย่างนี้ได้ยังไง”

“เขาต่างหากที่ทำก่อน” อาราอิกล่าวออกมา

“นา มิจังกับฉัน  หลังจากต้องแต่งงานกัน  ความสัมพันธ์ของเราก็เป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อย  เราถึงได้รู้ว่าจริงๆเราไม่ใช่คนที่ใช่ของกันและกัน  แล้ววันหนึ่งฉันก็รู้ว่าเธอแอบมีความสัมพันธ์กับรุ่นที่คนหนึ่งที่เรียนสูง กว่าเราหนึ่งปี  แต่ฉันก็ไม่กล้าจะพูดออกไป”

“เพราะ ยังไงเราสองคนจะเลิกกันก็ไม่ได้  พ่อของนามิจังเป็นคนทีอิทธิพลมาก  แถมพ่อของฉันที่สุขภาพไม่ดี ต้องอาศัยพึ่งพาพ่อของนามิจัง  เธอเองก็รู้ตรงจุดนี้  แล้วเธอก็กลัวว่าคิมูระซังที่เธอรัก จะได้รับอันตรายจากพ่อของเธอด้วย"

"เรา ก็เลยต้องทนอยู่กันไป  ระหว่างนี้เองพ่อก็ประสบอุบัติเหตุหนักมาก  ฉันอยากให้พ่อได้เจอแม่ ฉันเลยไปเมืองไทย แล้วได้เจอกับนาย  พอกลับมาฉันก็เลยกล้าบอกความจริง  ตอนนี้เราสองคนอยู่ด้วยกันก็แค่ร่างกาย  แต่ใจเราสองคนมีใครคนอื่น”

“ฉัน เริ่มเรียนภาษาไทย เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อจะได้สามารถกลับไปเมืองไทยได้ ทั้งหมดก็เพื่อจะได้กลับไปหานาย" อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย ก่อนจะหันกลับไปหน้าตรง

"แล้ว ฉันก็บอกกับพ่อว่าจะไปเมืองไทย พอดีตอนนั้น แม่ติดต่อมา เพื่อขอหย่ากับพ่อ แต่พ่อก็แกล้งดึงเรื่องเอาไว้  ก็เพราะพ่อห่วงความรู้สึกของฉัน  ฉันก็เลยอ้างกับพ่อว่าจะกลับไปเปลี่ยนใจแม่ ซึ่งจริงๆก็มีส่วนครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งแล้วคือฉันต้องการไปเจอนายอีกครั้ง  ส่วนนามิจังก็เข้าแผนของเธอ เธอตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยในโตเกียว เพื่อจะได้เรียนที่เดียวกับคิมูระซัง” จุ๊ยมองหน้าอาราอิเพื่อหาร่องรอยการโกหก  แต่เขาก็ไม่พบ

“จุ๊ย  ฉันพานายมาที่นี่ไม่ใช่มาเลิก  หรือต้องการให้เจ็บปวด  แต่มาบอกให้นายมั่นใจว่าฉันรักนาย  ถ้านายไม่เชื่อฉันจะพานายไปเจอกับนามิจัง  แล้วให้นายได้ฟังจากปากเธอเอง”

อาราอิหันหลังจะลุกขึ้น

เขาเหลือบมามองหน้าจุ๊ย

“ฉัน จะลงไปคุยกับพ่อ  ส่วนนาย  อาบน้ำเสร็จแล้วจะนอนก็ปูที่นอนเอาเองนะ  อยู่ที่นี่ฉันเป็นแค่คนธรรมดา  ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่หลานมหาเศรษฐี  บ้านก็เป็นอย่างนี้หล่ะโทรมๆ  ขอโทษด้วยแล้วกัน”

 

จุ๊ย อาบน้ำแล้วก็หลับไปงีบหนึ่งด้วยความอ่อนล้า  พอตื่นขึ้นมาก็พบอาราอิปูที่นอนอยู่ข้างๆ  เขารู้สึกตัวตอนจุ๊ยขยับเพราะไม่ได้หลับสนิท

สองคนมองหน้ากันเงียบๆ

“อาราอิ พาเพื่อนลงมากินข้าวได้แล้ว”

 

จุ๊ยมองกับข้าวบนโต๊ะแล้วรู้สึกเกรงใจ  เพราะจัดเป็นชุดๆ  ในชุดจะมีปลาหนึ่งตัว น้ำแกงถ้วยหนึ่ง  ผักสลัดอีกจาน

“เป็น รูปแบบ อาหารญี่ปุ่นน่ะ  เรากินกันแบบนี้  ไม่ค่อยจะทำออกมาเป็นจานๆแล้วตักกินกันเหมือนไทยหรอก” นายโยชิฮิสะบอกกับจุ๊ยเหมือนรู้ใจ

จุ๊ยยิ้มแทนคำตอบ มองอาราอิที่กำลังปรุงรสปลาด้วยโชยุโดยไม่ได้หันมามอง

“เดี่ยวนายพาก็ไปเที่ยวแถวมินามิสิ” นายโยชิฮิสะหันไปหาลูกชาย โดยใช้ภาษาอังกฤษสนทนา

“ครับ” อาราอิขานคำเดียวว่า ไฮ้

จุ๊ยช่วยทำความสะอาดด้วยการล้างจาน  ตอนนั้นเองที่เขาอยู่กับบิดาของอาราอิเพียงลำพังเพราะเขาขอตัวไปห้องน้ำ

“ทะเลาะกันอย่างนั้นเหรอ” นายโยชิฮะสะถาม อย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย“เพราะเรื่องการแต่งงานใช่ไหม”

จุ๊ยแปลกใจมาก

จุ๊ยหันมามองเขาแต่ไม่ได้ตอบ

“อาราอิกับนามิจัง แรกๆก็เหมือนจะไปด้วยกันได้ เพราะเคยเป็นเพื่อนกันก่อน  แต่ตอนหลังๆ เขาก็เริ่มมีปัญหากัน  อาจเพราะยังเด็กด้วยกันทั้งคู่  ฉันเองก็เข้าใจนะ  เพราะก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานเท่าไหร่  แต่ทำยังไงได้ ก็เป็นไปตามนั้น”

แล้วบิดาของอาราอิก็วางมือบนไหล่จุ๊ย

“ฉันเก็บข้าวของที่อาราอิทิ้งไว้ในตู้เก็บที่นอน  ลองไปดูนะ  เพราะเธอควรจะได้เห็น”

 

อาราอิออกไปซื้อของตามที่พ่อบอก จึงเป็นโอกาสให้จุ๊ยขึ้นไปตามที่ได้รับการบอกเล่า

ของที่ว่าเป็นกล่องใบหนึ่ง  พอเปิดออกดูก็เห็นว่ามีอะไรหลายอย่าง  เช่นชุดคาราเต้  ถุงมือเบสบอล  หมวก  สมุดบันทึก..

พอ จุ๊ยเปิดดู แรกๆก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบหวัดๆ  เปิดต่อมาก็พบว่ามันมีหน้าหนึ่งที่ภาพที่น่าจะปริ๊นด้วยปริ๊นเตอร์สี  เป็นรูปของจุ๊ยเอง.. น่าจะเป็นตอนที่อาราอิถ่ายเขาไว้ด้วยกล้องมือถือในตอนเจอกันครั้งแรก  จากนั้นก็มีรูปเหน็บอีกหลายหน้า แต่เป็นภาพจากเว็ปไซด์ของโรงเรียน  บางภาพยังมีภาพของพี่ไตรอยู่ด้วย

วาง สมุดบันทึกแล้วมองลงไปในกล่อง ก็เห็นม้วนกระดาษ  พอคลี่ดูก็เป็นภาพของเขาเอง  มีร่องรอยว่าเคยติดอยู่บนอะไรสักอย่าง มีบทกวีภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า

In My darkest day, You show me the way of light

 During my darkest sky, your smile shines like a sun

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา